เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 195 2. กรณีผู้ถูกใช้มิได้กระท าลง ซึ่งต๎องประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ดังตํอไปนี้ 2.1 ต๎องมีการกระท าอันกํอให๎ผู๎อื่นกระท าความผิด 2.2 ต๎องมีเจตนากํอให๎ผู๎อื่นกระท าความผิด 2.3 ความผิดมิได๎กระท าลงเพราะ ก. ผู๎ถูกใช๎ไมํยอมกระท า ข. ผู๎ถูกใช๎ยังไมํได๎กระท า ค. เหตุอื่นใด หลักเกณฑ์ตามข๎อ 2.1 และ 2.2 เหมือนกับกรณีผู๎ถูกใช๎ได๎กระท าความผิดซึ่งได๎อธิบาย ไปแล๎ว ในที่นี้จะไมํอธิบายซ้ าอีก จะขออธิบายเฉพาะหลักเกณฑ์ข๎อ 2.3 ความผิดมิได๎กระท าลง หมายความวําการกระท าความผิดยังมิได๎เริ่มต๎น กลําวคือยัง มิได๎ลงมือหรือพยายามกระท าตามมาตรา 80 ถ๎าได๎ลงมือกระท าแม๎เพียงแตํพยายามกระท า ก็ถือวํา ความผิดได๎กระท าลงแล๎ว ผู๎ถูกใช๎มิได๎กระท าความผิดมี 3 กรณี คือ ความผิดมิได๎กระท าลง หมายความวําการกระท าความผิดยังมิได๎เริ่มต๎น กลําวคือยัง มิได๎ลงมือหรือพยายามกระท าตามมาตรา 80 ถ๎าได๎ลงมือกระท าแม๎เพียงแตํพยายามกระท า ก็ถือวํา ความผิดได๎กระท าลงแล๎ว ผู๎ถูกใช๎มิได๎กระท าความผิดมี 3 กรณี คือ 1. ความผิดมิได๎กระท าลงเพราะผู๎ถูกใช๎ไมํยอมกระท า คือ ผู๎ถูกใช๎ไมํยอมรับวํา กระท าตามที่ใช๎ หรือผู๎ถูกใช๎ยอมรับวําจะกระท าตามที่ใช๎แล๎วแตํภายหลังกลับใจไมํยอมกระท าตามที่ใช๎ ตามที่ใช๎ หรือผู๎ถูกใช๎มิได๎กระท าความผิดมี 3 กรณี 2. ความผิดไมํได๎กระท าลงเพราะผู๎ถูกใช๎ยังไมํได๎กระท า ซึ่งหมายความวําผู๎ถูกใช๎ ยอมรับวําจะกระท าแตํยังไมํได๎กระท า 3. ความผิดมิได๎กระท าลงเพราะเหตุอื่น เชํน ผู๎ถูกใช๎ตายเสียกํอนที่จะได๎กระท า ความผิดตามที่ใช๎ ผู๎ใช๎บอกเลิกใช๎ ผลของการใช๎ในกรณีผู๎ถูกใช๎มิได๎กระท าลง ตามมาตรา 84 วรรคสองบัญญัติวํา “……..ผู๎ใช๎ต๎องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่ก าหนดไว๎ส าหรับความผิดนั้น” หมายความวําผู๎ถูก ใช๎มิได๎กระท าความผิดเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งตามข๎อ 1-3 แล๎ว ผู๎ใช๎มีความผิดและต๎องรับโทษด๎วยแตํโทษ ที่จะรับนั้นกฎหมายก าหนดไว๎เพียงหนึ่งในสามของโทษที่ก าหนดไว๎ส าหรับความผิดนั้น การที่ผู๎ใช๎ได๎บอกเลิกหรือเพิกถอนการใช๎ เชํน บอกเลิกจ๎างหรือบอกให๎งดการกระท า ความผิดเสียกํอนได๎มีการลงมือกระท า จะมีผลให๎ผู๎ใช๎พ๎นความรับผิดหรือไมํ ถ๎าผู๎ถูกใช๎ไมํกระท า ความผิดเพราะผู๎ใช๎ได๎บอกให๎งดเสีย ผู๎ใช๎ต๎องรับโทษตามมาตรา 84 วรรคสองตอนท๎ายคือหนึ่งในสาม ส าหรับความผิดที่ใช๎ให๎กระท าแตํผู๎ถูกใช๎ยังขืนกระท าความผิดแตํกระท าไปไมํตลอด หรือกระท าไป ตลอดแล๎วแตํไมํบรรลุผล ผู๎ใช๎ต๎องรับโทษหนึ่งในสามของโทษส าหรับความผิดที่ใช๎ให๎กระท า
196 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ในเรื่องพยายามกระท าความผิดนี้ถ๎าผู๎ถูกใช๎ไมํต๎องรับโทษใดอันเป็นเหตุลักษณะผู๎ใช๎ก็ ได๎รับการยกเว๎นโทษด๎วยเชํนกัน เชํน พยายามกระท าความผิดฐานลหุโทษไมํต๎องรับโทษตามมาตรา 105 พยายามท าให๎หญิงแท๎งลูกตามมาตรา 302 ไมํต๎องรับโทษตามมาตรา 304 เป็นต๎น ที่กลําวมาแล๎วเป็นการกํอให๎ผู๎อื่นกระท าความผิดโดยวิธีการทั่วๆไปตามาตรา 84 แตํ ยังมีการกํอให๎บุคคลทั่วไปกระท าความผิดโดยการโฆษณาหรือประกาศดังที่ได๎บัญญัติไว๎ในมาตรา 85 ส่วนที่ 3 “ผู้โฆษณาหรือประกาศ” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 บัญญัติวํา “ผู๎ใดโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎ กระท าความผิด และความผิดนั้นมีก าหนดโทษไมํต่ ากวํา 6 เดือนผู๎นั้นต๎องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษ ที่ก าหนดไว๎ส าหรับความผิดนั้น ถ๎าได๎มีการกระท าความผิดเพราะเหตุที่ได๎มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก ผู๎โฆษณาหรือประกาศต๎องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ” บทบัญญัติในมาตรา 85 นี้เป็นการใช๎ให๎ผู๎อื่นกระท าความผิดอยํางหนึ่งเชํนเดียวกันกับมาตรา 84 ที่กลําวมาแล๎ว เป็นวิธีการใช๎ให๎กระท าความผิดนั้นแตกตํางกัน กลําวคือ2 การใช๎ให๎กระท าความผิดตามมาตรา 84 ไมํได๎ก าหนดอัตราโทษของความผิดที่ใช๎ให๎กระท า สํวนการใช๎ตามมาตรา 85 ได๎ก าหนดโทษของความผิดที่ใช๎ให๎กระท านั้น ก าหนดโทษไมํต่ ากวํา 6 เดือน ถ๎าความผิดที่ใช๎มีโทษก าหนดไว๎ต่ ากวํา 6 เดือนยํอมไมํมีความผิด และก าหนดโทษไมํต่ ากวํา 6 เดือน นั้น หมายถึงโทษขั้นสูงของความผิดที่ใช๎ตามกฎหมายบัญญัติไว๎ส าหรับความผิดนั้น ไมํใชํวําโทษขั้นต่ า การโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดตามมาตรา 85 นี้มิได๎จ ากัดวิธีการ ประกาศหรือโฆษณาไว๎ โทษของการโฆษณาหรือประกาศให๎กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือผู๎ประกาศความผิดต๎องรับ โทษดังนี้คือ 1. เมื่อได๎มีการโฆษณาประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดนั้นยังมิได๎มีการกระท า เนื่องจากการโฆษณาหรือประกาศนั้น ผู๎โฆษณาหรือประกาศจะต๎องรับโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่ก าหนดไว๎ ส าหรับความผิดนั้น อยํางไรก็ตามเมื่อได๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดและความผิได๎กระท า ลงแตํมิใชํเนื่องจากการโฆษณาหรือประกาศ ผู๎โฆษณาหรือประกาศคงต๎องรับโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่ ก าหนดไว๎ส าหรับความผิดนั้น 2 จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513). หน๎า 153
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 197 2. ถ๎าได๎มีการกระท าความผิดเนื่องจากการโฆษณาหรือประกาศผู๎โฆษณาหรือประกาศจะต๎อง รับโทษเสมือนหนึ่งวําตนได๎ลงมือท าความผิดนั้นเอง ส่วนที่ 4 ผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในกรณีที่ผู้อื่นกระท าความผิด เรียกว่า “ผู้สนับสนุน” ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 บัญญัติวํา “ผู๎ใดกระท าความผิดด๎วยประการใด ๆ อัน เป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นกระท าความผิดกํอนหรือขณะกระท าความผิด แม๎ ผู๎กระท าความผิดมิได๎รู๎ถึงการชํวยเหลือให๎ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู๎สนับสนุนการกระท าความผิด ต๎อง ระวางโทษสองในสามของโทษที่ก าหนดไว๎ส าหรับนั้น” อยํางไรเรียกวําสนับสนุน ทํานศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได๎อธิบายไว๎วํา3 ความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุนจะต๎อง พร๎อมด๎วยองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1. กระท าด๎วยประการใด อันเป็นการชํวยเหลือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นกระท าความผิด 2. การชํวยเหลือหรือให๎ความสะอาดในการที่ผู๎อื่นกระท าความผิดนั้นต๎องกระท ากํอนหรือขณะ การท าความผิด 3. ผู๎สนับสนุนต๎องได๎มีเจตนาที่ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกนั้นก็ไมํเป็นข๎อส าคัญ 4. ผู๎สนับสนุนต๎องได๎มีเจตนาที่จะชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการกระท ากํอนหรือขณะ กระท าความผิด ทํานศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ก็ได๎อธิบายวํา4 ความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุนมีหลักดังนี้ 1. หลักประการแรก คือต๎องมีการกระท าผิดเกิดขึ้น จะเป็นในชั้นพยายามหรือความผิด ส าเร็จก็ได๎ รวมทั้งการตระเตรียมทีมีโทษดุจความผิดพยายามหรือความผิดส าเร็จและการสมคบอันเป็น ความผิด ถ๎าความผิดนั้นยังไมํมีการกระท าถึงขั้นที่กลําวนี้ การสนับสนุนก็ยังไมํมีโทษ 2. หลักประการที่สอง คือต๎องมีการกระท าที่เป็นการกระท าที่ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวก ในการที่ผู๎อื่นกระท าความผิด ความหมายของการชํวยเหลือในที่นี้ก็คือ ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวก ให๎มีการกระท าความผิด ความหมายของการชํวยเหลือในที่นี้ก็คือ ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกให๎มี การกระท าความผิดขึ้นตามหลักประการที่ 1 และไมํจ ากัดวําจะต๎องท าโดยวิธีใด 3 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515). หน๎า 89. 4 จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513). หน๎า 176.
198 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 3. หลักประการที่สาม คือการสนับสนุนต๎องกระท ากํอนหรือขณะกระท าความผิด ถ๎าได๎ กระท าภายหลังการกระท าความผิดไมํเป็นผู๎สนับสนุน แตํอาจเป็นความผิดตํางหาก เชํน ตํอสู๎ขัดขวาง เจ๎าพนักงาน แจ๎งความเท็จ ชํวยผู๎กระท าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189,214 รับ ตัวบุคคลตามมาตรา 284,317,318,319 รับคําไถํตามมาตรา315 หรือรับของโจรก็ตาม มาตรา 357 ฯลฯ 4. หลักประการที่สี่ คือกาสนับสนุนต๎องกระท าโดยเจตนากลําวคือต๎องกระท าโดยประสงค์ตํอ ผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นจะกระท าความผิดตามหลัก 3 ข๎อที่ได๎กลําวมาแล๎ว ถ๎าผู๎กระท าการสนับสนุนไมํประสงค์ตํอผลหรือเล็งเห็นผลเชํนนั้นแล๎ว ก็ไมํเป็น ความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุน ดังนี้เราจึงต๎องกลําวได๎วํา ความผิดฐานสนับสนุนจะต๎องประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ 3 ประการ คือ 1. ต๎องมีการกระท าความผิดเกิดขึ้น และมีเจตนาสนับสนุนความผิดที่ผู๎อื่นจะกํอขึ้น 2. ต๎องกระท าใด ๆ อันเป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นกระท าความผิดโดย ผู๎กระท าความผิดจะได๎หรือมิได๎รู๎ถึงการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกนั้นก็ไมํเป็นข๎อส าคัญ 3. การชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นกระท าผิดนั้นต๎องกระท ากํอนหรือขณะ กระท าความผิด 1. ต้องมีการกระท าความผิดเกิดขึ้นและมีเจตนาสนับสนุนความผิดที่ผู้อื่นจะก่อขึ้น แบํง ออกเป็น 2 กรณีคือ ก. ต๎องมีการกระท าความผิดเกิดขึ้น จะเป็นขั้นพยายามหรือความผิดส าเร็จก็ได๎ ความผิดนั้นไมํเข๎าขั้นลงมือกระท าการสนับสนุนก็ยังไมํมีโทษ เว๎นแตํความผิดลหุโทษตามมาตรา 102 แม๎จะได๎ลงมือกระท าความผิดแล๎ว ผู๎สนับสนุนก็ไมํต๎องรับโทษตามตามมาตรา 105 ข. มีเจตนาสนับสนุนความผิดที่ผู๎อื่นจะกํอขึ้น การสนับสนุนก็เชํนเดียวกับการใช๎ให๎ กระท าความผิด ผู๎กระท าโดยรู๎ส านึกในการที่กระท าและในขณะเดียวกัน เจตนาในที่นี้หมายถึงเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง คือการกระท าโดยรู๎ส านึกในการที่กระท าในขณะเดียวกันผู๎กระท าประสงค์ ตํอผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการกระท านั้นด๎วย สํวนการประสงค์ตํอผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการ กระท าก็จ ากัดพียงประสงค์ตํอผลหรือยํอมเล็งเห็นผลในการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการผู๎อื่น กระท าความผิดเทํานั้น เจตนาของผู๎สนับสนุนนี้อาจกระท าโดยผู๎สนับสนุนเจตนาฝุายเดียว ผู๎กระท า ความผิดที่ได๎รับการสนับสนุนไมํจ าต๎องรู๎ถึงการสนับสนุนด๎วย เชํน คนใช๎ในบ๎านแกล๎งเปิดประตู หน๎าตํางที่เปิดไว๎นั้นได๎มีผู๎เปิดทิ้งไว๎โดยเจตนาให๎คนร๎ายเข๎าไปลักทรัพย์ “ถ๎าในกรณีที่ผู๎กระท าความผิดไปเกินกวําเจตนาที่สนับสนุน ผู๎สนับสนุนก็คงได๎รับผิด ทางอาญาเพียงส าหรับความรับผิดชอบที่อยูํในขอบเขตที่สนับสนุนเทํานั้น” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 วรรคแรก) กลําวคือ ผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดเพียงส าหรับความรับผิดเทําที่ผู๎สนับสนุนได๎
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 199 เจตนาสนับสนุนโดยประสงค์ตํอผลให๎กระท าความผิดนั้นขึ้นโดยตรง แม๎จะผิดแผกแตกตํางไปจากที่ สนับสนุนยังต๎องรับผิด เชํน สนับสนุนยังต๎องรับผิดอยูํ “แตํถ๎าโดยพฤตการณ์อาจเล็งเห็นได๎วําอาจเกิด การกระท าความผิด เชํน ที่เกิดขึ้นนั้นได๎จากการสนับสนุน ผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดทางอาญาตาม ความผิดที่เกิดขึ้นนั้น” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 วรรคแรก) หมายความผู๎สนับสนุนมี เจตนาเล็งเห็นผลได๎วําผู๎กระท าอาจจะท าไปเกินขอบเขตที่สนับสนุนแล๎วก็ต๎องถือวําผู๎สนับสนุนมีเจตนา สนับสนุนให๎เกิดการกระท าความผิดขึ้นเกินขอบเขตที่สนับสนุนด๎วย จึงต๎องรับผิดในการกระท าที่เป็น ผลจาการกระท าความผิด ผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดทีมีก าหนด โทษสูงขึ้นด๎วย” กรณีนี้ได๎แกํกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 63 ซึ่งต๎องเป็นผลที่ตาม ธรรมดายํอมเกิดขึ้นได๎ กรณีเชํนนี้ผู๎กระท าต๎องรบผิดแม๎มิได๎ประสงค์หรือเล็งเห็นผลนั้น ผู๎สนับสนุนก็ ต๎องรับผิดด๎วยเชํนเดียวกัน เชํน สนับสนุนให๎ ก. ท าร๎ายรํางกายผู๎อื่นโดยพา ก. ไปชี้ตัวผู๎นั้นให๎รูจัก เพราะ ก. ไมํรู๎จักผู๎นั้นแล๎วก็กลับไป ผู๎นั้นถูกตํอยจนตาขวาปิดซ้ า ตํอมา 5-6 วันตาขวาพิการบอดมอง ไมํเห็นเพราะถูก ก. ตํอย ก.มีความผิดตามาตรา 297 (1) ดังนี้ ผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดเชํนเดียวกับ ก. ด๎วย 2. ต้องกระท าอันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระท าความผิด โดยกระท าความผิดจะได้รู้หรือมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ไม่เป็นข้อส าคัญ แยก ออกเป็น 2 กรณี คือ ก. ต๎องกระท าใดๆ อันเป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกซึ่งเป็นการจ ากัดการ กระท าของผู๎สนับสนุนวําจะท าได๎เฉพาะแตํการกระท าอันเป็นการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ ผู๎อื่นจะท าความผิด ส าหรับการชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกนั้นจะด๎วยประการใด ๆ ก็ได๎กฎหมาย ไมํได๎จ ากัดไว๎ อาจจะท าโดยการหาชํองทาง เชํน ชํวยเปิดประตูหน๎าตํางไว๎ให๎ ชํวยบอกเวลาปลอดคน หรือหลอกคนในบ๎านให๎หนีไป หรือยืมเครื่องมีใช๎อาวุธ โดยบอกความรู๎อันเป็นอุปการพในการกระท า ความผิด เชํน บอกชํองทางออกทางเข๎า ทางหนีทีไลํ บอกที่เก็บทรัพย์ ให๎สถานที่ประชุมวาง แผนการหรือเป็นที่พัก ฉะนั้นถ๎าเห็นการกระท าความผิดแล๎วนิ่งเสียหรือไมํขัดขวาง หรือเพียงห๎ามคน อื่นไมํให๎ชํวยเหลือการกระท าความผิดนั้นเพราะชอบดู เพียงเทํานี้ไมํถือวําเป็นการสนับสนุนโดยการ ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกแตํอยํางใด เชํน ค าพิพากษาฎีกาที่ 1599/2494 ตัดสินแตํละเว๎นไมํ ขัดขวางหรือยอมให๎กระท าความผิดเกิดขึ้นแล๎วพิพากษาเฉยไมํขัดขวาง หรือไมํชํวยเหลือเมื่อผู๎เสียหาย ร๎องขอ ไมํสนับสนุน แท๎แตํแนะน าผู๎อื่นมิให๎ขัดขวางที่จะมีผู๎กระท าความผิดก็ไมํเป็นผู๎สนับสนุนกัน ข. โดยผู๎กระท าความผิดจะได๎รู๎หรือมิได๎รู๎ถึงการการชํวยเหลือให๎ความสะดวกนี้ก็ไมํ เป็นข๎อส าคัญ กลําวคือ การสนับสนุนนี้อาจเป็นการเจตนาฝุายเดียว ผู๎กระท าจะรู๎หรือไมํก็ตาม เชํน คนรับใช๎เปิดประตูหน๎าตํางบ๎านนายจ๎างทิ้งไว๎ให๎คนร๎ายเข๎ามาลักทรัพย์ คนร๎ายเข๎าทางประตูโดยไมํรู๎วํา มีคนเปิดประตูทิ้งไว๎ให๎แล๎วเข๎าไปลักทรัพย์ในบ๎านนั้น ดังนี้คนรับใช๎มีความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุนหรือ ก. ง. ท าร๎าย จ. ข. ค. ไมํได๎รํวมด๎วย แตํล๎วงปืนห๎ามไมํให๎คนอื่นชํวย โดย ก. ง. ท าร๎าย จ. ข. ค.
200 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ไมํได๎รํวมมือ แตํล๎วงปืนห๎ามไมํให๎คนอื่นชํวย โดย ก. ง. ไมํรู๎เป็นในการกระท าของ ข. ค. ข. ค.เป็น ผู๎สนับสนุน (ค าพิพากษาฎีกาที่ 1478/2410) 3. การช่วยเหลือหรือหารให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระท าความผิดนั้นจะต้องกระท า ก่อนหรือขณะการะท าความผิด5 การกระท าความผิดเริ่มตันตั้งแตํลงมือหรือ พยายามกระท าความผิด และสิ้นสุดลงเมื่อการกระท าความผิดเสร็จสิ้น ดังนี้การสนับสนุนจะต๎องกระท ากํอนที่มีการลงมือกระท า ความผิด หรือขณะที่กระท าความผิดหากกระท าภายหลังไมํเป็นความผิดฐานสนับสนุน แตํอาจเป็น ความผิดฐานอื่น เชํน ความผิดฐานรับของโจร อยํางไรก็ตามถ๎าไมํมีการกระท าความผิดเกิดขึ้นตามที่ สนับสนุนจนถึงขึ้นที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดก็ไมํผิดฐานสนับสนุน การสนับสนุนกํอนหรือขณะกระท าความผิดนั้นจะต๎องแยกจากากรรํวมมือกระท าความผิดอัน เป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ทั้งนี้เพราะการชํวยเหลือ หรือให๎ความสะดวก ในขณะกระท าความผิดซึ่งเป็นการสนับสนุน อาจเป็นการชํวยเหลือซึ่งไมํเข๎าขั้นการรํวมมือเป็นตัวการ กลําวคือไมํถึงกับเป็นการกระท าสํวนหนึ่งแหํงความผิด เชํน การคอยอยูํในที่ เกิดเหตุ ถ๎าเป็นเพียงอยูํ ในที่เกิดเหตุเพื่อให๎ความสะดวกแกํการกระท าผิดเทํานั้นมิใชํคอยอยูํในลักษณะที่จะกระท าความผิดนั้น ให๎ส าเร็จด๎วยตนเอง กรณีการรํวมมือกระท าผิด ผู๎รํวมกระท าขาดคุณสมบัติที่จะกระท าความผิดเทํานั้นคอยอยูํ เชํนคนธรรมกาหรือเจ๎าพนักงานไมํมีหน๎าที่กระท าความผิดตํอต าแหนํงหน๎าที่ คนธรรมดาหรือเจ๎า พนักงานที่ไมํมีหน๎าทียํอมเป็น “ตัวการไมํได๎” เพราไมํใช๎พนักงานที่มีหน๎าที่กระทะนั้น จึงไมํเข๎า องค์ประกอบความผิดตามมาตรา นั้น ๆ ได๎” แตํอาจจะเป็นผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 84 หรือเป็นผู๎สนับสนุนตามมาตรา 86 เทํานั้น โทษที่ผู้สนับสนุนจะได้รับ 1. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดต๎องระวะวางโทษ 2 ใน 3 สํวนของโทษที่ก าหนดไว๎ส าหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น 2. บางกรณีผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดเทํากับโทษฐานเป็นตัวการกระท าความผิด เชํนความผิดตํอ องค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู๎ส าเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา 107 ถึง มาตรา 110 ความตํอความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 119 ถึง 128 เป็นต๎น 3. บางกรณีผู๎สนับสนุนต๎องรับผิดเกินกวําเจนตาที่ตนสนับสนุนก็ได๎ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 4. บางกรณีผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดไมํต๎องรับโทษกรณีที่ความผิดที่สนับสนุนนั้นเป็น ความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานท าให๎แทงลูกตามมาตรา 304 5 ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525). หน๎า 143.
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 201 ค าพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับผู้สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 592/2461 น าทางผู๎ร๎ายไปปล๎นเกวียน แตํกลับเสียกํอนถึงเกวียน เพื่อมิ ให๎พวกเกรียนจ าหน๎าได๎ มีผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุนการปล๎น ค าพิพากษาฎีกาที่ 571/2461 จ าเลยกับผู๎ที่ฟันผู๎ตาย สาเหตุที่จะฟันเพราะผู๎ฟันถามถุงทางที่ จะไป แตํผู๎ตายนิ่งเพราะไมํพอฟังวําจ าเลยเป็นผู๎สนับสนุนการปล๎น ค าพิพากษาฎีกาที่ 985/2462 ก. ข.จ าเลยเมาสุราเข๎าไปหาผู๎เสียหายผู๎เสียหายทักทายและ ล๎อเลํนเดินหํางไปประมาณ 5 วา ก.สํงเสียงให๎ ข.และรับเอาปืนให๎ ข. และรับเอาปืนของ ข. มาถือ ไว๎แล๎ว ข.ใช๎ปืนของ ก. ยิงผู๎เสียหายทั้งๆ ที่ไมํมีสาเหตุกัน ดังนี้การสํงปืนของ ก. เป็นเพียงให๎ความ สะดวกแกํ ข. ในการกระท าความผิด จึงเป็นผู๎สนับสนุนเทํานั้น ค าพิพากษาฎีกาที่ 164/2463 การขึ้นบ๎านเจ๎าทรัพย์ให๎แกํพวกปล๎นเป็นผู๎สนับสนุนการปล๎น ค าพิพากษาฎีกาที่ 848/2459 ฉุดหญิงมาให๎ผู๎อื่นขํมขืน แตํเวลาขํมขืนไมํได๎รํวมมือด๎วย มี ความผิดฐานสนับสนุนการขํมขืน ค าพิพากษาฎีกาที่ 249/2463 จ าเลยรับยาเบื่อมาจากคนร๎ายแล๎วไปติดตํอกับคนใช๎ในบ๎าน เอายาเบื่อวางเจ๎าทรัพย์ จ าเลยจึงมอบยาเบื่อให๎และนัดตอนดึกจะเข๎าลัก แตํคนใช๎กลับบอกเจ๎าทรัพย์ เจ๎าทรัพย์ไปแจ๎งต ารวจดักจับ ครั้นตอนดึกคนร๎ายก็เข๎ามาบ๎านเจ๎าทรัพย์แตํถูกเจ๎าพนักงานยิงเสียกํอน จ าเลยมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ค าพิพากษาฎีกาที่ 590/2463 ก.ท าร๎าย ข. เข๎าไป แล๎วจ าเลยร๎องบอก ก. วํา ตีให๎ตายปาก มันกล๎านัก ก. จึงเข๎าท าร๎าย ข. อีก ดังนี้วินิจฉัยวําจ าเลยกลําวในขณะ ก. ท าร๎าย ข.อยูํแล๎ว การกลําว เพียงให๎ ก. ใจปล้ าขึ้น จึงผิดเพียงเป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 237/2463 บ. ส.สามีภริยากัน ป. ค. ด. ไปปิดท านบจับปลา บ. ส. เคย ทะเลาะดําวํากันแตํยังอยูํกินด๎วยกัน ป. ค. ด. ตี ส. ด๎วยสันขวาน บ. ภริยา ส. ยืนอยูํหําง บ.ไมํได๎ลงมือ ท าร๎าย ส. แตํโยนไม๎ให๎ตี ป. ค. ด. เพื่อท าร๎าย ส. แล๎ว ชํวยปกปิดโดยบอกกลําว ส. ไปลํองแพ บ. เป็น ผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 566-568/2546 ก. ถูกท าร๎ายขูํบังคับให๎น าไปบ๎านเจ๎าทรัพย์ ก.พูดกับเจ๎า ทรัพย์ด๎วยวําพวกนี้เป็นเสือ แตํพูดโดยความจริง ไมํพอฟังวําเป็นการอุปการะการกระท าความผิด ไมํ มีความผิดด๎วย ค าพิพากษาฎีกาที่ 774/2465 กํอนผู๎ร๎ายจะไปท าการลักทรัพย์ได๎มาประชุมเลี้ยงอาหารและ สูบฝิ่นที่บ๎านจ าเลย แล๎วพูดกันถึงเรื่องจะไปลักทรัพย์ จ าเลยพูดขณะนั้นวํามีหีบหลายใบแล๎วให๎เสื้อกัน หนาวผู๎ร๎ายใสํไป ดังนี้เป็นการสนับสนุน
202 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ค าพิพากษาฎีกาที่ 213/2477 จ าเลยไปรับพวกปล๎นและพวกปล๎นไปสูบฝิ่นเวลาปรึกษาหารือ กันเรื่องปล๎นก็อยูํด๎วย จึงเป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 740/2477 เจ๎าพนักงานเข๎าจับกุมผู๎มีฝิ่นเถื่อน ผู๎ที่ชํวยหยิบกระป๋องฝิ่นไป เสียให๎พ๎น ไมํเป็นผู๎สนับสนุนการมีฝิ่น (และดูค าพิพากษาฎีกาที่ 417/2781 ด๎วย) ค าพิพากษาฎีกาที่ 696/2478 ชํวยหารือให๎ผู๎ฉุดครําหญิงไปแล๎ว และหาเสื้อผ๎าอาหารสํงให๎ ณ ที่ซํอน และบอกขําววําการติดตามของพวกผู๎เสียหาย ตลอดจนแจ๎งความเท็จแกํเจ๎าพนักงาน เป็น การกระท าหลังจาฉุดครํา แตํเป็นผู๎สนับสนุนความผิดฐานชํวยผู๎ร๎ายให๎พ๎นจากการจับกุมตรงกับมาตรา 189 ค าพิพากษาฎีกาที่ 528/2480 ก. ได๎รับอนุญาตให๎มีอาวุธปืนโดยชอบด๎วยกฎหมายแล๎วได๎ น าปืนของตนออกไปเฝูาสวนกับ ข. คอยดักยิงสุกรปุา ก.เข๎าบ๎านจึงมอบปืนไว๎กับ ข. โดยตั้งใจจะกลีบ ออกไปอีก ก. ไมํได๎กลับออกไปอีก แตํ ก. ไมํได๎กลับออกไป ข. ได๎ใช๎ปืนนั้นยิงสุกรปุาแล๎ว ข.ถูกจับกุม มาฟูองฐานมีปืนและใช๎ปืนโดยไมํได๎รับอนุญาต ดังนี้วินิจฉัยวํา ข. มีความผิดฐานมีปืนและใช๎ปืนโดย ไมํได๎รับอนุญาต สํวน ก. ไมํมีความผิดฐานสนับสนุน ข.ให๎กระท าความผิดเพราะที่ ก. ให๎ปืน ข. ไว๎นั้นก็ ได๎ยินยอมให๎ ข. ใช๎ปืนนั้นด๎วย การกระท าเป็นความผิดเฉพาะ ข. สํวน ก. แม๎จะมีหรือครอบครองไว๎เอง ก็ยํอมไมํมีความผิด ทั่งถือไมํได๎วําเป็นผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิด (และดูค าพิพากษาฎีกาที่ 803/2481,1301/2480,1578/2495,1824/2499) ค าพิพากษาฎีกาที่ 19/2482 ซื้อจักรยาย 3 ล๎อจากผู๎ที่เชํารถนั้น ผู๎เชํารถมีความผิดฐาน ยักยอก แตํผู๎ซื้อรถนั้นมีความผิดฐานรับของโจร ไมํใชํสนับสนุนการยักยอก เพราะความผิดฐานยักยอก ส าเร็จเมื่อแสดงกิริยาเอารถเป็นประโยชน์สํวนตัวการขายรถเป็นแตํข๎อเท็จจริงแสดงเจตนาทุจริตเทํานั้น ค าพิพากษาฎีกาที่ 399/2482 เจ๎าพนักงาจะเข๎าจับกุมผู๎ที่ก าลังเลํนการพนัน โดยมิได๎รับ อนุญาต จ าเลยดับไฟเสียเพื่อมิให๎เจ๎าพนักงานจับกุมผู๎เลํนการพนัน หรือเพื่อจ าเลยจะได๎หลบหนีการ จับกุม ดังนี้มิใชํการชํวยเหลอหรือให๎ความสะดวกให๎การเลํนการพนันอันผิดกฎหมายเพราะหลังจากดับ ไฟแล๎วไมํมีการเลํนการพนันอีก แตํกระท าเพื่อไมํให๎มีการจับกุม (และดูค าพิพากษาฎีกาที่ 2506,225/2515) ค าพิพากษาฎีกาที่ 459/2488 แจวเรือให๎ผู๎ซื้อสุราเถื่อนบรรทุกสุราเถื่อนไป ผู๎แจวเรือไมํมี ความผิดฐานสนับสนุนการซื้อ หรือมีสุราเถื่อนซึ่งเป็นความผิดสมบูรณ์อยูํแล๎ว ค าพิพากษาฎีกาที่ 358/2486 หลอกลวงพาหญิงไปเพื่อการอานาจารความผิดส าเร็จตั้งแตํ แรกพาไป ในระหวํางทางมีผู๎สนับสนุนค ากลําวของผู๎พาไป ดังนี้ ไมํมีผลเป็นการสนับสนุนการกระท า ผิด
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 203 ค าพิพากษาฎีกาที่ 458/2489 ซื้อของทีมีผู๎น าภาษาศุลกากรเข๎ามาในราชอาณาจักรแล๎วไมํใชํ อุปการะให๎หลีเลี่ยงภาษี เป็นการกระท าภายหลังความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 (และดูค า พิพากษาฎีกาที่ 172/2490) ค าพิพากษาฎีกาที่ 433/2491 ก. ข. คบคิดกันไปฆําคน แตํใจฟูองวํา ก. ข. ใช๎ ข. ไปฆําคน จะลงโทษ ก. ในฐานะรํวมมือด๎วยไมํได๎เพราะข๎อเท็จจริงตํางกับฟูอง แตํก็ลงโทษ ก.ในฐานะสนับสนุน การฆําได๎ เพราะการรํวมมือหรือใช๎ก็เป็นการสนับสนุนอยํางหนึ่ง ค าพิพากษาฎีกาที่ 587/2496 ผู๎ที่รํวมในการปล๎นแตํไมํได๎ไปปล๎นด๎วยโดยนั่งอยูํในรถที่ใช๎เป็น พาหะไปล๎น แล๎วกลับมาในรถพร๎อมกัน เป็นผู๎สนับสนุนเทํานั้น ค าพิพากษาฎีกาที่ 109/2496 จ าเลยไมํได๎เตรียมการหรือคอยที่อยูํแตํได๎ขี่จักรยานสามล๎อตัด หนจ๎าพนักทรัพย์ ในทันใดนั้นผู๎ร๎ายอีกคนหนึ่งฉกฉวยสร๎อยคอเจ๎าทรัพย์กระโดดขึ้นสามล๎อของจ าเลย พาหนีไปตํอหน๎า ดังนี้จะเรียกวําสมคบไมํถนัด จึงมีความผิดเพียงสนับสนุนวิ่งราวทรัพย์ ค าพิพากษาฎีกาที่ 1425/2496 ผู๎ที่แจวเรือรับคนร๎ายมาสํงและจอดคอยอยูํหํางที่เกิดเหตุ ๖ วา ระหวํางที่ขึ้นไปปล๎น แล๎วแจวเรือรับคนร๎ายกลับมา เป็นผู๎สนับสนุนการปล๎น ค าพิพากษาฎีกาที่ 814/2498 ทหารซ๎อมยิงระเบิด ก. รับเงินจาก ข. มา จํายให๎ทหารที่งดยิง ระเบิดเพื่อให๎มีลูกระเบิดที่ไมํได๎ยิงเหลือไว๎ให๎ ข. ยักยอก ก. เป็นผู๎สนับสนุนในการยักยอก ค าพิพากษาฎีกาที่ 1322/2498 รํวมกับผู๎วิ่งราวทรัพย์และจอดรถสามล๎อเครื่องอยูํหํางที่เกิด 1 เส๎น เพื่อให๎ผู๎วิ่งราวได๎แล๎วมาขึ้นรถที่จอดรออยูํนั้นเป็นเพียงผู๎สนับสนุนไมํใชํตัวการ ค าพิพากษาฎีกาที่ 394/2502 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา การที่บุคคลอื่นน าเครื่องมือส าหรับปลอม เหรียญกษาปณ์ไปทอลองท าเงินตราปลอมที่บ๎านจ าเลยเพื่อให๎จ าเลยดู ดังนี้จ าเลยไมํใชํตัวการท า เงินตราปลอมเพราะมิได๎รํวมในการทดลองด๎วย แตํการที่จ าเลยให๎ใช๎สถานที่ ภาชนะเตาไฟของตนนั้น เป็นการใช๎ความสะดวกในการท าปลอมเงินตราจึงต๎องมีความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 1113-1114/2508 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา จ าเลยเห็นผู๎ตายก าลังถูกท าร๎าย ไมํได๎เข๎าขัดขวางแตํอยํางใด และไลํลูก ๆ ไห๎ออกไป ทั้งสั่งห๎ามไมํให๎ไปบอกใครด๎วย เมื่อมีหญิงอีกคน หนึ่งมายังที่เกิดเหตุ จ าเลยวิ่งไปรับห๎ามมิให๎เข๎าไปโดยกลําวเท็จวําผัวเมียกันไมํใชํธุระ เป็นการแสดงวํา ให๎จ าเลยกระท าไปโดยตั้งใจเพื่ออ านวยความสะดวกให๎ผู๎ตายถูกฆําโดยไมํต๎องถูกผู๎ใดขัดขวาง จ าเลยจึง มีความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ค าพิพากษาฎีกาที่ 1279/2508 บ.รับจ าน าปืนจาก พ. มีความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7 เป็นความผิดเฉพาะตัว บ.ซึ่งมีปืนไว๎โดยไมํได๎รับอนุญาตแตํปืนนั้น พ.ได๎รับ อนุญาตให๎มี พ.จึงไมํมีความผิดฐานสนับสนุน บ.
204 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ค าพิพากษาฎีกาที่ 407/2509 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา แม๎จ าเลยที่ 3 จะไมํได๎เป็นเจ๎าพนักงานผู๎ ทีมีหน๎าที่ในการนี้ก็ตาม เมื่อได๎รํวมกับเจ๎าพนักงานในการกระท าความผิดก็ยํอมมีความผิดฐาน สนับสนุนในการกระท าความผิดด๎วย ค าพิพากษาฎีกาที่ 342/2509 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา การที่จ าเลยพาพวกมาปล๎นมารู๎จักบ๎าน ผู๎เสียหายแล๎วแยกทางไปโดยไมํได๎รํวมปล๎นด๎วย จ าเลยมีความผิดเพียงเป็นผู๎สนับสนุนตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 86 ค าพิพากษาฎีกาที่ ค าพิพากษาฎีกาที่ 1235/2509 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา ขณะที่จ าเลยที่ 1 ลงไปฉุดผู๎เสียหายขึ้นรถ จ าเลยที่ 2 จอดรถติดเครื่องรอคอยอยูํใกล๎ ๆ ครั้นจ าเลยที่ 1 ฉุดผู๎เสียหายขึ้น รถแล๎ว จ าเลยที่ 2 ได๎ออกรถขับไปทันที เชํนนี้กากระท าตั้งแตํแรกจนพาผู๎เสียหายไป หลังจาก ผู๎เสียหายขึ้นรถแล๎วถือวําเป็นการกระท าผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอยูํตลอดเวลา กากระท า ของจ าเลยที่ 2 ที่ขับพาผู๎เสียหายกับจ าเลยที่ 1 ไปจึงเป็นการกระท าสํวนหนึ่งของการพาผู๎เสียหายไป เป็นการรํวมกันกระท าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ไมํใชํผู๎สนับสนุนการกระท า ความผิดมาตรา 86 ค าพิพากษาฎีกาที่ 50/2511 ศาลฎีกาวินิจฉัยวํา การที่จ าเลยจอดเรือคอยรับทรัพย์ที่คนร๎าย ลักจากสถานที่ซึ่งอยูํหํางจากที่จอดรถเรือไป 30 วา อันเป็นการชํวยเหลือให๎ความสะดวกในการ กระท าผิดฐานลักทรัพย์ ยํอมมีความผิดฐานเป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 2173/2514 รับจ๎างเหมาขับเรือสํงผู๎ค๎าบรรทุกปืนเถื่อน เป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 225/2515 หลังจากการชิงทรัพย์ได๎หยุดลงแล๎ว ผู๎เสียหายถามจ าเลยวํา รู๎จักคนร๎ายหรือไมํ แมํจ าเลยจะรู๎จักคนร๎ายดีแตํได๎บอกวําไมํรู๎จักก็ตาม มาใชํเป็นเรื่องที่จ าเลยได๎ ชํวยเหลือหรือให๎ความสะดวกในการที่ผู๎อื่นกระท าความผิด ค าให๎การขั้นสอบสวนของคนร๎ายอื่นที่ซัด ทอดวําจ าเลยได๎วางแผนให๎ท าการชิงทรัพย์จะฟังวําจ าเลยได๎สนับสนุนให๎กระท าผิดหาได๎ไมํ ค าพิพากษาฎีกาที่ 1050/2515 ว. ขับรถไปสํงคนร๎ายและจอดรถหํางที่เกิดเหตุประมาณ 1 เส๎น เมื่อคนร๎ายยิงผู๎เสียหายแล๎วขับรถพาคนร๎ายหนีไป ยังไมํชัดวําเป็นการคบคิดการกระท าความผิด โดยแบํงหน๎าที่กันกระท า ว. มีความผิดเพียงเป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 237/2516 โจทก์ฟูองวําจ าเลยที่ 1 รํวมกับจ าเลยอื่นท าการปล๎นทรัพย์ ข๎อเท็จจริงได๎ความวํา จ าเลยที่ 1 เพียงแตํเป็นผู๎วางแผนออกเงินให๎จ าเลยอื่นไปเชําทรัพย์ของเจ๎าของ ทรัพย์อันเป็นสํวนหนึ่งของแผนการปล๎นทรัพย์และไปชี้บ๎านเจ๎าทรัพย์ให๎เชํนนี้ แม๎จะถือวําการงวาง แผนการปล๎นทรัพย์ของจ าเลยที่ 1 เป็นการกํอให๎ผู๎อื่นกระท าผิด แตํเมื่อโจทก์มิได๎บรรยายฟูองมา เชํนนี้ ยํอมลงโทษจ าเลยที่ 1 ฐานเป็นผู๎ใช๎ผู๎อื่นกระท าผิดไมํได๎ คงลงโทษได๎แตํเพียงเป็นผู๎สนับสนุน ค าพิพากษาฎีกาที่ 2154/2516 จ าเลยที่ 1 ที่ 2 รํวมปรึกษาหารือกับจ าเลยที่ 3 เพื่อจะ ไปลักกระบือ แล๎ววางแผนให๎จ าเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ไปซุํมรอรับกระบือที่หัวทุํง จ าเลยที่ 3 กับ
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 205 พวกไปต๎อนกระบือของผู๎เสียหายมาสํงให๎จ าเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. สถานที่จ าเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. รอรับกระบือกับสถานที่ที่จ าเลยที่ 3 และพวกไปต๎อนกระบือนั้นอยูํไกลกันมากจ าเลยที่ 1 ที่ 2 จึง ไมํอยูํในฐานะที่จะรํวมมือกับจ าเลยที่ 3 ขณะที่ 3 กับ ส. ท าการลักกระบืออันจะถือวําจ าเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นตัวการ แตํพฤติการณ์ดังกลําวถือได๎วําจ าเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นผู๎สนับสนุนกํอนการกระท า ผิด ค าพิพากษาฎีกาที่ 1904/2517 จ าเลยใช๎ให๎ผู๎อื่นน าช๎างไปชักลากไม๎หวงห๎ามโดยจ าเลยไมํได๎ ไปรํวมท าการชักลากไม๎ด๎วย ถือไมํได๎วําจ าเลยเป็นผู๎มีไม๎ดังกลําวไว๎ในครอบครองอันจะต๎องได๎รับ อนุญาต จ าเลยไมํมีความผิดฐานมีไม๎หวงห๎ามไว๎ในครอบครอบตาม พ.ร.บ. ปุาไม๎ ฯ แตํจ าเลยรู๎วําไม๎ ดังกลําวเป็นไม๎หวงห๎ามจ าเลยจึงเป็นผู๎ใช๎ให๎ชักลากไม๎ (ท าไม๎) หวงห๎ามโดยไมํได๎รับอนุญาต เมื่อโจทก์ ฟูองวําจ าเลยรํวมท าการชักลากไม๎ จึงลงโทษจ าเลยฐานเป็นผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิดไมํได๎ คงลงโทษ เพียงฐานเป็นผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ค าพิพากษาฎีกาที่ 1556/2518 จ าเลยที่ 3 ลักไม๎กระดานจากใต๎ถุนบ๎านมากองไว๎จ าเลยที่ 1 , 2 จอดรถยนต์รอบรรทุกไม๎อยูํตรงที่กองไม๎ระหวํางที่จ าเลยที่ 3 เขําไปขนไม๎อีกจ าเลยที่ 1 เป็น ผู๎สนับสนุนตามมาตรา 335 , 86 ค าพิพากษาฎีกาที่ 1804/ 2519 คนร๎ายเข๎าขูํบังคับเอาทรัพย์ในร๎านขายของใสํกระสอบและ คุมตัวผู๎เสียหายไป จ าเลยคอยอยูํข๎างร๎าน 3 เส๎นรับของแบกตํอไป จ าเลยเป็นผู๎สนับสนุนการปล๎น ค าพิพากษาฎีกาที่ 435/2519 ราษฎรให๎สินบนเจ๎าพนักงานเพื่อท าการอันมิชอบด๎วยหน๎าที่ เจ๎าหนักงาน ราษฎรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 เจ๎าพนักงานผิดมาตรา 144 ราษฎรไมํมีความผิดฐานสนับสนุนเจ๎าพนักงานอีก ค าพิพากษาฎีกาที่ 2196/2521 ราษฎรรํวมกับเจ๎าพนักงานยักยอกเป็นความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 147 ราษฎรเป็นผู๎สนับสนุน เจ๎าพนักงานที่เป็นตัวการตายราษฎรก็ยังถูกฟูอง และลงโทษได๎ ค าพิพากษาฎีกาที่ 1090/2522 จ าเลยที่ 1 เข๎าไปยิงผู๎เสียหาย สํวนจ าเลยที่ 2 ขี่ จักรยานยนต์ติดเครื่องรออยูํบนถนนหํางจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร แล๎วขี่จักรยานยนต์พา จ าเลยที่ 1 นั่งซ๎อนท๎ายหนีไปทันที ดังนี้การกระท าของจ าเลยที่ 2 เป็นแตํเพียงชํวยเหลือให๎ความ สะดวกแกํจ าเลยที่ 1 ในการกระท าความผิดเทํานั้น จึงมีความผิดฐานสนับสนุนตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 86 ค าพิพากษาฎีกาที่ 1735/2522 จ าเลยรับเอาแผนการปล๎นโดยน ารถบรรทุกสินค๎าไปหยุด ณ ที่ก าหนด ให๎พวกปล๎นเอารถและสนค๎าไป ไมํมีพฤติการณ์อื่นวําจ าเลยรํวมกระท าในขณะปล๎น จึงเป็น ผู๎สนับสนุนเทํานั้น
206 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ส่วนที่ 5 ขอบเขตความรับผิดของผู้ใช้ ผู้โฆษณา หรือผู้ประกาศ และผู้สนับสนุน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 บัญญัติวํา “ในกรณีที่มีการกระท าความผิดเพราะมีผู๎ใช๎ กระท าตามมาตรา 84 เพราะมีผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดตามมาตรา 85 หรือโดยมีผู๎สนับสนุนตามมาตรา 86 ถ๎าความผิดที่เกิดขึ้นนั้นผู๎กระท าไปเกินขอบเขตที่ใช๎หรือโฆษณา หรือประกาศ หรือเกินไปจากเจตนาของผู๎สนับสนุน ผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํ บุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิด หรือผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดแล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญา เดียวส าหรับความผิดเทําที่อยูํในขอบเขตที่ใช๎หรือที่โฆษณา หรือประกาศ หรืออยูํในขอบเขตแหํง เจตนาของผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดเทํานั้น แตํถ๎าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได๎วําอาจเกิดจาก การกระท าความผิดเชํนที่เกิดขึ้นนั้นได๎จากการใช๎ การโฆษณาหรือประกาศ หรือการสนับสนุนผู๎ใช๎ให๎ กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิด หรือผู๎สนับสนุนการกระท า ความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิด หรือสนับสนุนการกระท าความผิด แล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดทีเกิดขึ้นนั้น ในกรณีที่ผู๎ถูกใช๎ ผู๎กระท าตามโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปกระท าความผิดหรือตัวการ ในความผิดจะต๎องรับผิดทางอาญามีก าหนดโทษสูงขึ้นเพราะอาศัยผลที่เกิดจากการกระท าความผิด ผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดหรือสนับสนุนการ กระท าความผิดแล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่ก าหนดโทษสูงขึ้นนั้นด๎วย แตํถ๎าโดย ลักษณะของความผิดผู๎กระท าจะต๎องรับผิดทางอาญามีก าหนดโทษสูงขึ้นเฉพาะเมื่อผู๎กระท าต๎องรู๎หรือ อาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํนนั้นขึ้น ผู๎ใช๎กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไป กระท าความผิด หรือผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดจะต๎องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีก าหนด โทษสูงขึ้นก็เฉพาะเมื่อตนได๎รู๎หรืออาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํนที่เกดขึ้นนั้น มาตรา 88 บัญญัติวํา “ถ๎าความผิดที่ได๎ใช๎ ที่ได๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎ กระท า หรือได๎สนับสนุนให๎กระท า ได๎กระท าถึงขั้นลงมือกระท าความผิด แตํเนื่องจากการเข๎าขัดขวาง ของผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือประกาศ หรือสนับสนุน ผู๎กระท าได๎การะท าไปไมํตลอด หรือกระท าไปตลอด แล๎วแตํการกระท านั้นไมํบรรลุผล ผู๎ใช๎หรือโฆษณาหรือประกาศคงรับผิดเพียงบัญญัติไว๎ในมาตรา 84 วรรคสอง หรือมาตรา 85 วรรคแรก แล๎วแตํกรณี สํวนผู๎สนับสนุนไมํต๎องรับโทษ” ตามบัญญัติมาตรา 87 , 88 นี้แยกพิจารณาได๎ 2 ประการด๎วย คือ 1.กรณีที่มีการกระท าความผิดเกินขอบเขตที่ใช๎หรือโฆษณาหรือที่สนับสนุน 2.กรณีที่ใช๎ ผู๎โฆษณา หรือผู๎สนับสนุนขัดขวางไมํให๎กระท าความผิดเป็นผลส าเร็จ 1. กรณีที่มีการกระท าความผิดเกินขอบเขตที่ใช้หรือโฆษณาหรือที่สนับสนุน ในกรณีที่มี การกระท าความผิดเพราะมีผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิดและผู๎ถูกใช๎ได๎กระท าความผิดเกินกวําขอบเขตที่ได๎ใช๎
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 207 ก็ดี หรือได๎มีการโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปกระท าความผิดแตํผู๎กระท าความผิดตามโฆษณา หรือประกาศได๎กระท าความผิดเกินกวําที่ได๎โฆษณาหรือประกาศก็ดีที่การสนับสนุนให๎กระท าความผิด แตํตัวการผู๎กระท าความผิดเกินไปกวําที่ผู๎สนับสนุนเจตนาก็ดี มาตรา 87 วรรคแรกได๎บัญญัติให๎ผู๎ใช๎ให๎ กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดหรือประกาศ หรืออยูํใน ขอบเขตแหํงเจตนาของผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดเทํานั้น เชํน จํานายสิบต ารวจ ส. สั่งให๎พล ต ารวจ ย.ขึ้นไปจับ ป. บนเรือน พลต ารวจ ย.ขึ้นไปบนเรือนยิง ป. ตาย ดังนี้พลต ารวจ ย. กระท า เกินค าสั่งของจํานายสิต ารวจ ส. จํานายสิบต ารวจ ส. จํานายสิบต ารวจ ส. จึงไมํต๎องรับผิดในความ ตายของ ป. (ค าพิพากษาฎีกาที่ 820/2515) หลักดังกล่าวข้างต้นนี้มีข้อเว้นอยู่ 2 ประการ คือ ก. ถึงแม๎จะได๎มีการกระท าความผิดเกินไปกวําขอบเขตที่ได๎ใช๎โฆษณาหรือประกาศ หรือเกินกวําเจตนาที่สนับสนุนก็ตาม ถ๎าโดนพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได๎วําอาจเกิดการกระท าความผิด เชํนที่เกิดขึ้นนั้นได๎จากการใช๎ การโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิด หรือการ สนับสนุน ผู๎ใช๎กระท าความผิด ผู๎โฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปให๎กระท าความผิดหรือสนับสนุน การกระท าความผิดแล๎วแตํกรณี ต๎องรับผิดทางอาญา ตามความผิดที่เกดขึ้น เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไป ลักทรัพย์ของ ค. ข. ได๎เข๎าไปในบ๎านของ ค. ขณะหยิบวิทยุของ ค. ค.มาพบพอดีจึงเกิดการตํอสู๎ ข. ท าร๎าย ค. แล๎วน าเอาวิทยุ ค. ไป ซึ่งการลักทรัพย์โดยการใช๎ก าลังประทุษร๎ายนี้เป็นความผิดฐานชิง ทรัพย์มีอัตราโทษสูงกวําลักทรัพย์ ถ๎าพิจารณาตาหลักข๎างต๎น ก. ควรจะมีความผิดฐานลักทรัพย์นั้น เพราะ ก. ใช๎ให๎ ข. ไปปล๎นทรัพย์ แตํ ข. ไปลักทรัพย์แตํ ข. ได๎ไปท าร๎ายเจ๎าของทรัพย์ด๎วยจึงเป็น ชิงทรัพย์ เจ๎าของทรัพย์มาพบยํอมขัดขวางแนํ การใช๎ก าลังประทุษร๎ายเพื่อเอาทรัพย์ไปจึงมีได๎แนํ ฉะนั้น ก.จึงต๎องรับผิดฐานเป็นเหตุใช๎ให๎ชิงทรัพย์ ข. ในกรณีที่ผู๎ถูกใช๎ ผู๎กระท าตามโฆษณาหรือประกาศแกํบุคคลทั่วไปกระท าความผิด หรือตัวการในความผิด จะต๎องรับผิดทางอาญามีก าหนดโทษสูงขึ้นเพราะทางอาศัยผลที่เกิดก าหนด สูงขึ้นนั้นด๎วย เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไปตํอย ค. ล๎มลงไปศีรษะฟาดพื้นเส๎นโลหิตในสมองแตกถึงแกํความ ตาย ข.มีความผิดฐานฆํา ค. ตายโดยไมํเจตนา ก. มีความผิดฐานเป็นผู๎ใช๎ให๎ ข. ฆํา ค.ตายโดยเจตนา ด๎วย ซึ่งมีโทษสูงกวําท าร๎ายรํางกาย แตํถ๎าโดยลักษณะของความผิด ผู๎กระท าความผิดทางอาญามีก าหนดโทษสูงขึ้น เฉพาะ เมื่อผู๎กระท าต๎องรู๎หรืออาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํนนั้นขึ้นผู๎ใช๎ให๎กระท าความผิดจะต๎องรับ โทษหรือประกาศแกํบุคคลที่ก าหนดให๎กระท าความผิด หรือผู๎สนับสนุนการกระท าความผิดจะต๎องรับ ผิดทางอาญาตามความผิดที่ก าหนดโทษสูงขึ้นก็เฉพาะเมื่อตนได๎รู๎หรืออาจเล็งเห็นได๎วําจะเกิดผลเชํนที่ เกิดขึ้นนั้น เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไปฆํา ค. ซึ่งเป็นเจ๎าพนักงานโดยที่ ก. ไมํรู๎วํา ค. เป็นเจ๎าพนักงานผู๎ซึ่ง กระท าตามหน๎าที่
208 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 2. กรณีที่ผู้ใช้ ผู้โฆษณาหรือผู้ประกาศ หรือผู้สนับสนุนขัดขวางไม่ให้กระท าเป็นผลส าเร็จ ได๎กลําวมาแล๎วในเรื่องพยายามกระท าความผิดวํา เมื่อได๎มีการลงมือกระท าความผิดแตํยังไมํเป็น ผลส าเร็จ ถือวําอยูํในขั้นพยายามกระท าความผิด ผู๎กระท าต๎องรับโทษสองในสามสํวนของโทษที่ กฎหมายก าหนดไว๎ส าหรับความผิดนั้น กรณีผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือประกาศ เมื่อผู๎ถูกใช๎หรือบุคคลที่ กระท าความผิดตามโฆษณาหรือประกาศท าความผิดขั้นพยายามรับโทษสองในสามผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือ ประกาศจะต๎องรับโทษ 2 ใน 3 ของโทษ ส าหรับความผิดนั้นเชํนเดียวกับผู๎ลงมือกระท าความผิดนั้น และผู๎ที่สนับสนุนก็จะต๎องรับโทษ 2 ใน 3 ของ 2 ใน 3 ของความผิดที่ได๎สนับสนุนให๎กระท า ความผิด หากในระหวํางที่ลงมือกระท าความผิดกันยังไมํถึงขั้นเป็นผลส าเร็จ ผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณา หรือ ผู๎สนับสนุนได๎เข๎าขัดขวางผู๎กระท าได๎กระท าไปไมํตลอดหรือกระท าไปโดยตลอดแล๎วแตํการกระท านั้นไมํ บรรลุผล ผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณา หรือผู๎สนับสนุนจะต๎องรับโทษอยํางไร คงเป็นไปตามที่ได๎บัญญัติไว๎ในมาตรา 88 ซึ่งประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ดังตํอไปนี้ ก. ความผิดที่ใช๎ โฆษณา หรือสนับสนุนให๎กระท า ได๎ลงมือกระท าแตํยังไมํเป็นผลส าเร็จ ข. ผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือประกาศ หรืแอผู๎สนับสนุนขัดขวาง ค. การขัดขวางเป็นเหตุให๎ผู๎การะท าได๎กระท าไปไมํตลอดหรือกระท าไปตลอดแล๎วแตํการ กระท านั้นไมํบรรลุผล เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ทั้ง 3 ประการแล้ว โทษของผู้ขัดขวางมีดังนี้ 1. ผู๎ขัดขวางเป็นผู๎ใช๎ ผู๎โฆษณาหรือประกาศ จะต๎องรับโทษส าหรับความผิดที่ผู๎ถูกใช๎ผู๎กระท า ผิดตามโฆษณาหรือประกาศได๎กระท าถึงขั้นลงมือกระท าความผิดเพียงหนึ่งในสามของโทษที่ก าหนดไว๎ ส ารับความผิดที่ใช๎ และกึ่งของโทษที่ก าหนดไว๎ส าหรับความผิดที่โฆษณาหรือประกาศ 2. ผู๎ขัดขวางเป็นผู๎สนับสนุน ผู๎สนับสนุนไมํต๎องรับโทษ ส่วนที่ 6 เหตุเกี่ยวกับตัวบุคคลและกระท าความผิด เหตุเกี่ยวกับตัวบุคคลและกระท าความผิดมีบัญญัติอยูํในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 89 วํา “ถ๎ามีเหตุสํวนตัวอันสมควรยกเว๎นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษแกํผู๎กระท าความผิดคนใด จะน าเหตุ นั้นไปใช๎แกํผู๎กระท าความผิดคนอื่นในการกระท าความผิดนั้นด๎วยไมํได๎ แตํถ๎าเหตุอันควรยกเว๎นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงให๎ใช๎แกํผู๎กระท าความผิดในการกระท าความผิดนั้นด๎วย ทุกคน”
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 209 การใช๎มาตรา 89 นี้6 จะต๎องมาภายหลังหลักทั่วไปในเรื่องความรับผิดชอบของตัวการหรือ ผู๎สนับสนุน กลําวคือต๎องเป็นการกระท า หรือใช๎ หรือสนับสนุนที่ต๎องรับผิดตามหลักทั่วไปในมาตรา 83 ถึงมาตรา 88 กํอนแล๎ว ส าหรับเหตุเกี่ยวกับบุคคลผู๎กระท าความผิดนั้นมี 2 ประการ คือ ก. เหตุสํวนตัว ข. เหตุลักษณะคดี ก. เหตุส่วนตัว หมายความวําถึงเหตุข๎อเท็จจริงที่เกี่ยวข๎องเฉพาะตัวของผู๎กระท าความผิดแตํ ละคน อันมีผลที่เป็นการยกเว๎นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษ แกํผู๎กระท าความผิดของแตํละคนนั้น และค าวําผู๎กระท าความผิดแตํละคนนั้นยํอมหมายความวําถึงตัวการผู๎รํวมกระท า ผู๎ใช๎ให๎กระท า ความผิด หรือผู๎สนับสนุน เชํน ความผิดฐานลักทรัพย์ ภริยารํวมกับคนอื่นหรือคนอื่นรํวมกับภริยาลัก ทรัพย์ของสามี คนอื่นมีความผิดและต๎องรับโทษ แตํภรรยาได๎รับยกเว๎นโทษเพราะการที่สามีภริยาได๎ ลักทรัพย์กันเอง มาตรา 71 ถือวํามีความผิดแตํได๎รับยกเว๎นโทษเนื่องจากเป็นความสัมพันธ์เฉพาะตัว ของผู๎กระท าความผิดแตํละคน ค าวําผู๎กระท าความผิดแตํละคนให๎หมายถึงผู๎กระท าด๎วย ตามตัวอยําง คนอื่นนั้นไมํได๎รับประโยชน์จากมาตรา 71 ด๎วยเพราะเป็นเหตุสํวนตัว เหตุส่วนตัวนี้มีผลเป็นดังนี้ 1. ยกเว้นโทษ คือเหตุที่ท าให๎ไมํต๎องรับโทษ เชํน สามีภริยาลักทรัพย์ซึ่งกันและกันตาม มาตรา 71 สามีภริยาไมํต๎องรับโทษ ถ๎ามีผู๎รํวมกระท าหรือสนับสนุน บุคคลเหลํานี้ยํอมมีความผิดและ รับโทษ เพราะบุคคลเหลํานี้มิได๎มีความสัมพันธ์เฉพาะตัวกับผู๎กระท าความผิด ในเรื่องความสัมพันธ์ เฉพาะตัวของถือเป็นเหตุสํวนตัว สามีภริยาจึงได๎รับการยกเว๎นโทษ 2. เหตุอันควรลดโทษ หมายความวําผู๎กระท าความผิดนั้นต๎องบรับโทษแตํได๎รับการลดโทษ เพราะเหตุแหํงข๎อเท็จจริงของผู๎กระท าความผิดแตํละคน เชํน การลดมาตราสํวนโทษตามมาตรา 75 , 76 เหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 เหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 รวมทั้งการส าคัญผิดใน ข๎อเท็จจริงของผู๎กระท าความผิดบางคนก็ถือเป็นเหตุสํวนตัวของบุคคลนั้น 3. เหตุอันควรเพิ่มโทษ ให๎หมายถึงความสัมพันธ์ระหวํางบุคคลที่จะต๎องรับโทษหนัก เชํน การฆําบุบพการีของตนตามมาตรา 289(1) สํวนคนอื่นที่รํวมกระท าความผิดหรือสนับสนุนนั้นมี ความผิดตามมาตรา 288 เหตุอันควรเพิ่มโทษโดยตรงก็คือ การกระท าความผิดอีกซึ่งเป็นเหตุเพิ่มโทษ ตามมาตรา 92 , 93 ข. เหตุลักษณะคดีความ ถึงข๎อเท็จจริงอื่นๆ ในคดีไมํใชํข๎อเท็จจริงหรือความสัมพันธ์เฉพาะตัว ของผู๎กระท าความผิดแตํละคนซึ่งเรียกวําเหตุสํวนตัวดังนั้นเหตุข๎อเท็จจริงใดๆ ในคดีถือวําเป็นเหตุใน 6 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515). หน๎า 101.
210 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ลักษณะคดี เชํน การกระท าของจ าเลยไมํเป็นความผิด หรือฟูองโจทก์ถูกต๎องตามกฎหมาย หรือ พยานหลักฐานไมํพอฟังลงโทษได๎ นอกจากนี้ก็มีเหตุในลักษณะคดีที่กฎหมายบัญญัติไว๎อีก เชํน การกระท าเป็นเพียงพยายาม กระท าความผิดมาตรา 80 , 81 การยับยั้งเสียงเองตามมาตรา 82 การท าแท๎งลูกตามมาตรา 304 กรณีเหตุในลักษณะคดีนี้เป็นผลให๎ผู๎กระท าผิด หรือผู๎รํวมกระท าหรือผู๎สนับสนุนยํอมได๎รับ ยกเว๎นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษด๎วยกันทุกคน ตังอย่างค าพิพากษาเกี่ยวกับมาตรา 89 ค าพิพากษาฎีกาที่ 163/2519 ปล๎นทรัพย์โดยมีหรือใช๎อาวุธปืนตาม ป.อ.มาตรา 340 ตรี ลงโทษหนักขึ้นเฉพาะตังผู๎มีหรือใช๎อาวุธปืนเทํานั้น ผู๎อื่นที่รํวมปล๎นไมํต๎องรับโทษด๎วย ศาลลงโทษตาม มาตรา 340 วรรค 2 ค าพิพากษาฎีกาที่ 350/2519 จ าเลยกับพวกอีก 1 คนชิงทรัพย์พวกของจ าเลยถือปืนยิง จ าเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 339 วรรค 2 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ไมํผิดมาตรา 340 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข๎อ 15 ไมํผิดมาตรา 340 ประกาศคณะปฏิวัติ ข๎อ 15 ค าพิพากษาฎีกาที่1824/2520 ผู๎ที่มีอาวุธเป็นตัวรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ต๎องแปลความโดยเครงครัดเฉพาะตัวผู๎กระท าที่มีปืนเทํานั้น ค าพิพากษาฎีกาที่ 2652/2520 มาตรา 340 ตรี ลงโทษผู๎กระท าผิดตามมาตรา 339, 339 ทวี 340 , 340ทวิ หนักขึ้นต๎องตีความโดยเครํงคัด จึงหมายความเฉพาะตังผู๎กระท า ไมํเป็นเหตุใน ลักษณะคดี ค าพิพากษาฎีกาที่ 2277/2521 คนร๎ายปลํอยตัวผู๎ถูกเอาตัวไปเรียกคําไถํตามมาตรา 316 แม๎คนร๎ายพวกของจ าเลยเป็นผู๎จัดให๎ได๎เสรีภาพ ไมํใชํจ าเลยเป็นผู๎จัดเหตุลดโทษเป็นลักษณะคดี จ าเลย ได๎รับการลดโทษด๎วย
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 211 ค าถามท้ายบท 1. จงอธิบายหลักเกณฑ์ของการเป็นตัวการ ผู๎ใช๎และผู๎สนับสนุน เป็นประการใด 2. นาย ก. และนาย ข. ชิงทรัพย์นาย ค. ได๎แล๎ว จึงขึ้นรถสามล๎อเครื่องของนาย ง. ซึ่งติดเครื่องรออยูํ หนีไป ดังนี้ตามกรณีข๎อเท็จจริงดังกลําวนาย ก. นาย ข. และนาย ง. ถือเป็นตัวการตามมาตรา 83 หรือไมํ อยํางไร 3. จงอธิบายวิธีการกํอให๎ผู๎อื่นกระท าความผิด พร๎อมยกตัวอยํางมา 1 ตัวอยําง 4. นางพะนอแง๎มหน๎าตํางเพื่อให๎คนเข๎ามาลักทรัพย์ นายโทนดึงบานหน๎าตํางเปิดออกเพื่อลักทรัพย์แม๎ นายโทนจะไมํรู๎ถึงการให๎ความสะดวกของนางพะนอก็ตาม การกระท าของนางพนอถือเป็นการสนับสนุน การกระท าความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 86 หรือไมํอยํางไร จงอธิบาย 5. นายชมวําจ๎างนายชิดให๎ไปฆํานายใส นายชิตตกลงท าตาม แตํกํอนที่จะไปฆํา นายชิตเกิดปุวย กะทันหัน นายชิตจึงไปวําจ๎างนายชื่นให๎ไปฆํานายใสแทนตน เมื่อนายชื่นจ๎องเล็งปืนจะยิงนายใส นายชม เกิดส านึกผิดจึงวิ่งเข๎ามายังที่เกิดเหตุและปัดปืนออก ท าให๎ปืนตกลงไปในน้ า ตามกรณีข๎อเท็จจริง ดังกลําวจงวินิจฉัยวํา นายชิตและนายชมต๎องรับผิดฐานใดหรือไมํอยํางไร
212 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา อ้างอิงประจ าบท จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง พิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513). หน๎า 153 ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525). หน๎า 143. สุปัน พูลพัฒน์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงสุทธิการพิมพ์, 2515), หน๎า 443. หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515). หน๎า 89.
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 213 บทที่ ๑๑ การกระท าความผิดหลายบทหรือหลายกระทงและการกระท าผิดอีก วัตถุประสงค์การเรียนประจ าบท 1. เพื่อให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงลักษณะของการกระทําความผิดหลายบทหรือหลาย กระทงได๎ 2. เพื่อให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงโทษของการกระทําความผิดหลายบทหรือหลาย กระทงได๎ 3. เพื่อให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงลักษณะของการกระทําความผิดอีกได๎ 4. เพื่อให๎นิสิตได๎ศึกษาและวิเคราะห์ถึงโทษของการกระทําความผิดอีกได๎ ขอบข่ายเนื้อหา 1. การกระทําความผิดหลายบทหรือหลายกระทงความผิด 2. โทษของการกระทําความผิดหลายบทหรือหลายกระทง 3. การกระทําความผิดอีก 4. โทษของการกระทําความผิดอีก วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจ าบท 1. การบรรยาย 2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน 3. ทําแบบฝึกหัดท๎ายบท สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ประมวลกฎหมายอาญา
214 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา การกระทําความผิดหลายบทหรือหลายกระทง มีบัญญัติอยูํหลายประมวลกฎหมาย มาตรา 90 และมาตรา 91 รวม 2 มาตราด๎วยกัน มาตรา 90 บัญญัติวํา “เมื่อกระทําใดอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดตํอกฎหมายหลายบท ให๎ ใช๎กฎหมายบทที่มีโทษหนักสุดลงโทษแกํผู๎กระทําความผิด” มาตรา 91 บัญญัติวํา “เมื่อปรากฏวําผู๎ใดได๎กระทําการอันเป็นความผิดหลายกรรมตํางกัน ให๎ ศาลลงโทษผู๎นั้นเป็นกรรมเป็นกระทงความผิดไป แตํไมํวําจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราสํวน โทษด๎วยหรือไมํก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล๎วโทษจําคุกทั้งสิ้นต๎องไมํเกินกําหนดดังตํอไปนี้ (1) สิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงไมํเกินสามปี (2) ยี่สิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกินสามปี แตํไมํ เกินสิบปี (3) ห๎าสิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงหนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว๎น แตํกรณีที่ศาลลงโทษจําคุกตลอดชีวิต จากบทบัญญัติทั้ง 2 มาตรานี้ แยกพิจารณาได๎ 2 ประการ คือ 1. การกระทําความผิดหลายบท 2. การกระทําความผิดหลายกระทง ส่วนที่ 1 การกระท าความผิดหลายบท การกระท าความผิดหลายบท หมายถึง กรณีที่ผู๎กระทําความผิดได๎กระทําลงเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งอันตํอเนื่องเป็นชุดเดียวกัน แตํการกระทํานั้นเป็นความผิดหลายบท ซึ่งเรียกวําเป็นการ กระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท การกระท าอันเป็นกรรมเดียวนั้นอาจเกิดขึ้นในลักษณะต่อไปนี้ ก. การกระท าความผิดกรรมเดียวซึ่งผิดกฎหมายบทเดียว ได้แก่ 1. การกระทําในทางธรรมชาติอันเดียวซึ่งเกิดผลอยํางเดียวและเข๎าข๎อห๎ามของ กฎหมายบทเดียว เชํน สวงใช๎ปืนยิงแสวงถึงแกํความตาย สวงมีความผิดฐานฆําแสวงตายตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 288 การกระทําของสวงเป็นการกระทําครั้งเดียวและผิดกฎหมายบทเดียว 2. การกระทําในธรรมชาติหลายการกระทํา แตํกฎหมายถือวําเป็นกรรมเดียวและเข๎า ข๎อห๎ามของกฎหมายบทเดียว ได๎แกํ การกระทําหลายครั้งแตํตํอเนื่องเป็นชุดเดียวกัน เชํน 2.1 เด๋อและดอนนั่งจักรยานยนต์ซ๎อนท๎ายกัน เดํนใช๎ปืนยิง 2-3 นัด ติดๆกัน กํอน เด๋อและดอน หรือใช๎ปืนยิงหลายนัดถูกหลายคนในคราวเดียวกัน 2.2 ก. วางยาพิษให๎ ข. กินวันละเล็กละน๎อยจนครบ 15 วัน ข. จึงตาย
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 215 2.3 หลํอขํมขืนกระทําชําเรา น.ส.สวยหลายครั้ง 2.4 คนร๎ายเข๎าไปในห๎องและกระทําการลักทรัพย์คราวเดียวกันซึ่งเป็นทรัพย์หลาย ชิ้นของหลายเจ๎าของ 2.5 คนร๎าย 7 คน เขาปล๎นทรัพย์ 5 ราย ซึ่งอยูํบ๎านใกล๎เคียงกันโดยแยกย๎ายกัน เข๎าปล๎นในเวลาเดียวกัน แม๎คนร๎ายจะแยกทําการแตํละบ๎านไมํถึง 3 คน ก็ถือ วําเป็นความผิดฐานปล๎นทรัพย์ 2.6 รับของโจรทรัพย์ของบุคคลหลายคนซึ่งถูกลักมาหลายคราวตํางกันแตํรับไว๎ คราวเดียวกัน 2.7 เบิกความเท็จหลายตอนในคดีเดียวกันการกระทําความผิดตามข๎อ 2.1-2.7 เป็นการกระทําหลายครั้งแตํตํอเนื่องเป็นชุดเดียวกัน จึงถือเป็นกรรมเดียวผิด กฎหมายบทเดียว ข. การกระท าสองอันซึ่งถือว่าเป็นกรรมเดียวกันและผิดกฎหมายหลายบท 1. การกระทําสองอันซึ่งถือเป็นกรรมเดียว เพราะกระทําอันหนึ่งเปูนความผิดสําเร็จตัวเอง อยูํแล๎ว แตํได๎กระทําไปโดยมุํงหมายที่จะกระทําความผิดอีกฐานหนึ่ง เชํน ก.ใช๎มีดกรีดกระเป๋าถือของ ข. ซึ่งสะพายอยูํเพื่อลักเอากระเป๋าในธนบัตร ซึ่งอยูํในกระเป๋าถือนั้นอีกทีหนึ่ง การที่ ก. ใช๎มีดกรีดกระเป๋า ถือเป็นความผิดฐานทําให๎เสียทรัพย์สําเร็จในตัวเองอยูํแล๎ว แตํความมุํงหมายที่แท๎จริงของ ก. ในการกรีด กระเป๋าถือของ ข. ก็เพื่อลักกระเป๋าใสํธนบัตรซึ่งอยูํในกระเป๋าถือนั้น จึงถือเป็นกรรมเดียว - บุกรุกเข๎าไปลักทรัพย์ในบ๎านเขา - บุกรุกเข๎าไปขํมขืนกระทําชําเราหญิงในบ๎านนั้น - บุกรุกเข๎าไปทําร๎ายเขาในบ๎าน - บุกรุกเข๎าไปทําลายทรัพย์ของเขาในบ๎าน การบุกรุกเป็นความผิดสําเร็จในตัวเองอยูํแล๎ว แตํความมุํงหมายของผู๎บุกรุกที่แท๎จริงก็เพื่อ เข๎าไปลักทรัพย์ ขํมขืนกระทําชําเราหญิง ทําร๎าย หรือทําให๎เสียทรัพย์ จึงถือวําเป็นการบุกรุกและ ความผิดตามที่มุํงหมายเป็นกรรมเดียวกัน มีเฮโรอีนไว๎ในครอบครองเพื่อจําหนํายและพยายามสํงเฮโรอีนจํานวนเดียวกันนั้นออกนอก ราชอาณาจักร การมีเฮโรอีนไว๎ในครอบครองเพื่อจําหนํายเป็นความผิดสําเร็จในตัวเองอยูํแล๎ว แตํความ มุํงหมายที่แท๎จริงก็เพื่อสํงเฮโรอีนจํานวนเดียวกันนั้นออกนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง จึงถือวําการมีเฮโรอีนไว๎ในครอบครองเพื่อจําหนํายและพยายามสงเฮโรอีนจํานวนเดียวกันนั้นออกไป นอกราชอาณาจักรเป็นกรรมเดียวกัน
216 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 2. การกระทําสองอันซึ่งถือเป็นกรรมเดียวกัน เพราะกฎหมายบัญญัติรวมเป็นความผิด ฐานเดียวกันและผิดกฎหมายบทเดียว เชํน ความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 ต๎องประกอบด๎วยการกระทํา 2 อยําง คือ 1) การลักทรัพย์ 2) ใช๎กําลังประทุษร๎ายหรือขูํเข็ญวําในทันใดนั้นจะใช๎กําลังประทุษร๎าย เชํน ดําลัก ทรัพย์ของขาว ขาวมาพบจึงเข๎าขัดขวาง ดําจึงใช๎มีดแทงขาวถึงแกํความตาย และดําได๎นําทรัพย์ของขาว ไป เชํนนี้การกระทําของดําอันแรกคือการลักทรัพย์นั้นเป็นความผิดในตัวเองอยูํแล๎ว สํวนการกระทําอัน ที่สองคือใช๎มีดแทงขาวเป็นการใช๎กําลังประทุษร๎าย ก็เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งแตํกฎหมายบัญญัติรวม เป็นความผิดฐานเดียวกันคือชิงทรัพย์เป็นเหตุในความตาย ซึ่งถือวําเป็นการลักทรัพย์และใช๎กําลัง ประทุษร๎ายเป็นกรรมเดียวกัน ค. การกระท าครั้งเดียวซึ่งการกระท านั้นผิดกฎหมายหลายบท1 หมายถึง การกระทําอัน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ได๎แกํการกระทําอันมีลักษณะดังนี้ 1. แดงใช๎ปืนยิงไปที่ดํา ลูกปืนถูกดําตายแล๎วเลยไปถูกเขียวบาดเจ็บด๎วย การกระทําของ แดงกระทําครั้งเดียวถือเป็นกรรมเดียวแตํผิดกฎหมายหลายบท คือ มีความผิดฐานฆําดําตาย ป.อ. มาตรา 288 บทหนึ่ง และพยายามฆําเขียวตามมาตรา 288, 80, 60 อีกบทหนึ่ง 2. แดงเห็นดํายืนอยูํหลังประตูกระจก แดงใช๎ปืนยิงไปที่ประตูกระจก ลูกปืนถูกกระจก กระจกแตกและทะลุไปถึงดําถึงแกํความตาย การกระทําของแดงกระทําครั้งเดียวถือเป็นกรรมเดียวแตํ ผิดกฎหมายหลายบท คือทําให๎เสียทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 358 บทหนึ่ง และฆําดําตายตาม ป.อ. มาตรา 288 อีกบทหนึ่ง 3. จําเลยตํอสู๎พนักงานโดยใช๎กําลังทําร๎ายเจ๎าพนักงาน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลาย บท คือตํอสู๎ขัดขวางเจ๎าพนักงานตามมาตรา 138 บทหนึ่ง และทําร๎ายเจ๎าพนักงานซึ่งกระทําการตาม หน๎าที่ตามมาตรา 296 อีกบทหนึ่ง 4. จําเลยแยํงของกลางจากตํารวจไปทําลาย เพื่อชํวยพักพวกที่ถูกตํารวจจับเป็นกรรม เดียวผิดกฎหมายหลายบท คือฐานตํอสู๎ขัดขวางเจ๎าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา 138 บทหนึ่ง ฐานเอาไป ซึ่งทรัพย์ที่เจ๎าพนักงานยึดไว๎ตาม ป.อ. มาตรา 184 อีกบทหนึ่ง 5. จําเลยประมาทขับรถเร็วผิดทางชนคนตายและบาดเจ็บสาหัส เป็นกรรมเดียวผิด กฎหมายหลายบท คือผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบกบทหนึ่ง ฐานทําให๎คนตายโดยประมาทตาม ป.อ. อาญา มาตรา 291 บทหนึ่ง และฐานทําให๎ผู๎อื่นรับอันตรายสาหัสโดยประมาทตาม ป.อ.มาตรา 300 อีก บทหนึ่ง 1 ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525), หน๎า 221.
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 217 6. ยื่นตั๋วแลกเงินเพื่อเดินทาง ขอรับเงินแล๎วลงชื่อปลอมเป็นชื่อคนในตั๋วจนได๎รับเงินไป เป็นการใช๎เอกสารปลอมทําการฉ๎อโกง ถือเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท คือ ฐานปลอมตั๋วเงิน ตามมาตรา 266 (4) บทหนึ่ง ใช๎ตั๋วเงินปลอมตามมาตรา 268, 266 บทหนึ่ง และฐาน ฉ๎อโกงตามมาตรา 342 (1) อีกบทหนึ่ง ง. ความผิดซึ่งกระท าต่อเนื่องกันเรื่อยไป ถือเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เชํน ความผิดฐานมีปืนไมํจดทะเบียนไว๎ในครอบครองโดยไมํได๎รับอนุญาต แม๎จะมีไว๎ในครอบครองโดยไม๎ ได๎รับอนุญาตทุกวันตลอดมาก็ถือเป็นกรรมเดียว จ. ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์นั้น เมื่อได๎กระทําความผิดกรรมหนึ่งแกํทรัพย์นั้นแม๎จะมีการ กระทําเกี่ยวแกํทรัพย์นั้นอีก กฎหมายก็ถือวําเป็นกรรมเดียว เชํน 1. ลักทรัพย์ไปแล๎วทําลายทรัพย์นั้นภายหลัง ย๎อมไมํเป็นความผิดฐานทําให๎เสียทรัพย์อีก 2. ยิงกระบือตายแล๎วชําแหละเอาเนื้อไป เป็นลักทรัพย์กระทงเดียวไมํผิดฐานยักยอกออกอีก 3. ได๎ทรัพย์ไปโดยการระทําผิดฐานลักทรัพย์แล๎ว แม๎จะกระทํากับทรัพย์นั้นตํอไปอีกก็ไมํเป็น รับของโจร ฉ. การกระท าบางอย่างแม้จะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่กฎหมายจัดไว้เป็นความผิดในบท มาตราเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียวกัน คือ 1. ตัดไม๎หวงห๎ามแล๎วทําการชักลาก แม๎การตัดไม๎กับการชักลากจะเป็นการกระทําตํางลักษณะ กัน ถือเป็นกรรมเดียวเพราะผิด พ.ร.บ.ปุาไม๎ พ.ศ.2484 มาตรา 11 บทเดียวกัน 2. มีน้ําหมักสําและแปูงเชื้อ ถือเป็นความผิดกรรมเดียวกันเพราะเป็นความผิดอยูํในบท เดียวกัน 3. มีสุราแชํละสุรากลั่นถูกจับได๎คราวเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียวเพราะผิดกฎหมายบท เดียวกัน 4. มีปืนและลูกระเบิดในคราวเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียวกันเพราะผิดกฎหมายบทเดียวกัน ช. การกระท ากรรมเดียวซึ่งเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่กฎหมายถือว่าเกลื่อน กลืนเป็นบทเดียว ได๎แกํ 1) ความผิดสําเร็จเกลื่อนกลืนการพยายามและการตระเตรียม การเริ่มต๎นของ ความผิดอาญานั้น เริ่มแตํลงมือกระทําความผิด กลําวคือ ผํานขั้นตระเตรียมไปแล๎ว โดยปกติขั้น ตระเตรียมการยังไมํเป็นความผิด เว๎นแตํบางกรณีที่กฎหมายบัญญัติในขั้นตระเตรียมการเป็นความผิด เชํน ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 219
218 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ตัวอย่าง ก. ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของ ข. เป็นความผิดฐานตระเตรียมตาม มาตรา 219 ก. ลงมือเผาทรัพย์ของ ข. แตํไมํไหม๎ เป็นพยายามวางเพลิงตามมาตรา 217 , 80 ก. เผาทรัพย์ของ ข. จนมอดไหม๎ เป็นความผิดฐานวางเพลิงสําเร็จตามมาตรา 217 เมื่อ ก. วางเพลิงเผาทรัพย์ของ ข. สําเร็จ เป็นความผิดตามมาตรา 217 จึงเกลื่อน กลืนการตระเตรียมและพยายามตาม ป.อ.มาตรา 219 และ 217, 80 คงรับผิดตามมาตรา 217 บท เดียว 2) ความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 เกลื่อนกลืนการใช๎ตามมาตรา 84 และการ สนับสนุนตามมาตรา 86 เชํน ก. ใช๎ให๎ ข. ไปฆํา ค. ขณะที่ ข. กําลังใช๎ค๎อนทุบศีรษะ ค. ก. เข๎ารํวมโดย ชํวยจับ ค. ไว๎ไมํให๎ดิ้นเพื่อ ข. ทุบศีรษะ ค. ไมํสะดวก ก. เป็นตัวการในการฆํา ค. ตาม ป.อ.มาตรา 83 ก. ไมํผิดฐานเป็นผู๎ใช๎ตามมาตรา 84 อีก เพราะความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83 เกลื่อนกลืนการ ใช๎ตามมาตรา 84 ไปแล๎ว 3) ความผิดบทฉกรรจ์เกลื่อนกลืนความผิดบทธรรมดา เมื่อการกระทําเป็นความผิด ตามบทฉกรรจ์แล๎ว จะไมํผิดตามบทธรรมดาอีก เชํน ก. ใช๎ปืนยิง ข. บิดาของตนถึงแกํความตาย ก. มี ความผิดฐานฆําบุพการีตามมาตรา 289 (1) บทเดียว ก. ไมํมีความผิดฐานฆําคนธรรมดาตายตามมาตรา 288 อีก นาย ก. เข๎าไปลักทรัพย์ในบ๎านนาย ข. นาย ก. มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน ตามมาตรา 339 (8) บทเดียว ก. ไมํมีความผิดฐานลักทรัพย์บุคคลธรรมดาตามมาตรา 3434 อีก 4) ความผิดบทเฉพาะเกลื่อนกลืนความผิดบททั่วไป เมื่อการกระทําเป็นความผิดบท เฉพาะแล๎วจะไมํผิดตามบททั่วไปอีก เชํน ก. เป็นเจ๎าพนักงานมีหน๎าที่จัดซื้อพัสดุ ก. ได๎เบียดบังเอาพัสดุ ที่ตนจัดซื้อเป็นประโยชน์ของตน ก. มีความผิดตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล๎ว ก. ไมํมีความผิด ฐานเจ๎าพนักงานทุจริตตํอหน๎าที่ตามมาตรา 157 อีก 5) ความผิดใหมํเกลื่อนกลืนความผิดฐานเดิมซึ่งผสมกับการกระทําอีกบางอยําง การ กระทําหลายอันแตํละอันมีความผิดได๎ในตัวเอง แตํกฎหมายบัญญัติรวมเป็นความผิดฐานเดียวกัน ถือวํา เป็นความผิดบทเดียว เชํน ความผิดฐานเชิงทรัพย์ซึ่งประกอบด๎วยการกระทํา 2 ประการ คือ การลัก ทรัพย์ประการหนึ่ง และการใช๎กําลังประทุษร๎ายอีกประการหนึ่ง แตํกฎหมายบัญญัติรวมเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ฐานเดียว จึงไมํมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือทําร๎ายรํางกายอีก เพราะความผิดฐานใหมํคือ ชิงทรัพย์เกลื่อนกลืนความผิดเดิมคือลักทรัพย์และทําร๎ายรํางกายไปแล๎ว ผลของการกระท าความผิดหลายบท ในกรณีการกระทําความผิดกฎหมายหลายบท ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 บัญญัติให๎ใช๎ กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดบทเดียวลงโทษผู๎กระทําความผิดซึ่งหมายความวํา ผู๎กระทํายังมีความผิดทุก
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 219 บทที่ตนกระทําลง เพียงแตํการลงโทษให๎ใช๎บทหนักที่สุดลงโทษ ในการพิจารณาวํากฎหมายบทใดเป็น บทหนักที่สุด พอสรุปเป็นหลักได๎ดังนี้ 1. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ได๎กําหนดโทษไว๎ 5 สถานตามลําดับ คือ ประหาร ชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ ริบสินทรัพย์ โทษลําดับแรกยํอมหนักกวําโทษลําดับหลัง 2. ถ๎ากฎหมายกําหนดโทษไว๎ลําดับเดียวกัน ต๎องถืออัตราโทษที่สูงกวําเป็นเกณฑ์ เชํน ถ๎าเป็น โทษจําคุกเหมือนกัน ก็พิจารณาวําโทษจําคุกบทไหนสูงกวํา 3. ถ๎ากฎหมายกําหนดโทษไว๎ลําดับเดียวและอัตราโทษขั้นสูงเทํากันต๎องพิจารณาอัตราโทษขั้น สูงของโทษลําดับถัดไป เชํน อัตราโทษจําคุกขั้นสูงเทํากันต๎องพิจารณาวําโทษปรับของบทไหนสูงกวํา 4. ถ๎าอัตราโทษขั้นสูงเทํากัน ต๎องพิจารณาวําโทษขั้นต่ําของบทไหนสูงกวํา เชํน กระทํา ความผิดกฎหมาย 2 บท บทแรกมีอัตราโทษจําคุก 6 เดือน ถึง 5 ปี สํวนอีกบทหนึ่งมีอัตราโทษจําคุกไมํ เกิน 5 ปี โดยมีกําหนดอัตราโทษขั้นต่ําไว๎ เชํนนี้ฐานต๎องลงโทษผู๎กระทําความผิดตามกฎหมายบทแรก เพราะมีอัตราโทษขั้นต่ําไว๎ 5. ในกรณีที่การกระทํากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ทุกบทมีโทษเทํากัน ศาลยํอมลงโทษ ตามบทใดบทหนึ่งแตํบทเดียว อนึ่ง ในการนําบัญญัติมาตรา 90 มาใช๎บังคับนี้ ให๎ใช๎บังคับเฉพาะการกระทําความผิดที่ต๎องด๎วย กฎหมายหลายบทเทํากัน ส่วนที่ 2 การกระท าความผิดหลายกระทง การกระท าความผิดหลายกระทง หมายถึง การกระทําความผิดหลายอัน การกระทําแตํละ อันแยกจากกันได๎ โดยการกระทําหลายอันนั้นอาจจะกระทําตํางเวลาหรือในเวลาเดียวกันก็ได๎ และจะ เป็นความผิดฐานเดียวกันหรือตํางฐานกันก็ได๎ กรณีการกระทําหลายอันกระทําตํางเวลากัน เชํน ก. ทําร๎าย ข. ในบ๎านแล๎ววิ่งไปทําร๎าย ข. นอกบ๎านอีก เชํนนี้เป็นการกระทําตํางเวลากันในความผิดฐานเดียวกัน กรณีการกระทําหลายอันกระทําในเวลาเดียวกัน เชํน ก. มีฝิ่นกับมีมูลฝิ่นไว๎ในครอบครองใน เวลาเดียวกัน กฎหมายแยกเป็นคนละความผิดกัน วัตถุของกลางก็เป็นคนละอยํางตํางกัน ถือเป็น ความผิด 2 กระทง การกระทําความผิดหลายกระทงต๎องประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ 1. เป็นการกระทําหลายอัน 2. แตํละการกระทําแยกจากกันได๎ทั้งในสํวนเจตนาและสภาพการกระทํา
220 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 1. เป็นการกระท าหลายอัน ความผิดหลายกระทงนี้จะต๎องเป็นความผิดที่มีการกระทําเป็น สองกรรมหรือมากกวํานั้น เชํน จําเลยใช๎ปืนซึ่งไมํได๎รับอนุญาตจากนายทะเบียนยิงผู๎เสียหาย จําเลยยํอม มีความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยมิได๎รับอนุญาตและฐานพยายามฆํา 2 กระทง ตํางกัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 711/2513) การกระทําหลายอันนี้จะกระทําตํางเวลากัน เชํน ก. ลักทรัพย์ ข. ตองเช๎า และตีศีรษะ ค. ตอนบําย หรือกระทําในเวลาเดียวกัน เชํน ฟูองมีไม๎หวงห๎ามยังมิได๎แปรรูปโดยมิได๎รับอนุญาต เป็นการ กระทําหลายอันในเวลาเดียวกัน ถือวําเป็นความผิดสองกระทง (คําพิพากษาฎีกาที่ 1176/2511)จําเลย หลอกลวงผู๎เยาว์อายุ 16 ปี วําคูํรักมาคอยพบ ผู๎เยาว์หลงเชื่อตามจําเลยไปแล๎วถูกจําเลยขํมขืนกระทํา ชําเราและหนํวงเหนี่ยวกักขัง ดังนี้เป็นการกระทําหลายอันกระทําในขณะเดียวกัน เป็นความผิดหลาย กระทง (คําพิพากษาฎีกาที่ 200/2508) 2. แต่ละการกระท าแยกจากกันได้ทั้งในส่วนเจตนาและสภาพการกระท า การกระทําผิด หลายกระทงนี้ เจตนาเป็นเรื่องสําคัญที่จะต๎องพิจารณาวําผู๎ทํามีเจตนาให๎การกระทําเหลํานั้นแยกจาก กันหรือไมํ ซึ่งผู๎กระทํามีเจตนาให๎แยกจากกันจะกํอให๎เกิดผลเป็นหลายกรรม เพราะผู๎กระทํามีเจตนา อยํางใดอยํางหนึ่งยํอมมุํงไปถึงอยํางนั้น ซึ่งกวําจะไปถึงจุดหมายอาจต๎องผํานการกระทําอันเป็นความผิด อื่นอีกมากมาย ถ๎าการกระทําอันเป็นความผิดอื่นเกิดจากเจตนาเดิมแล๎วยํอมเป็นการกระทํากรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท เชํน บุกรุกเข๎าไปลักทรัพย์ในบ๎านเขา ผู๎กระทํามีเจตนามุํงอยูํในการลักทรัพย์ แตํ การลักทรัพย์ต๎องเข๎าไปในบ๎านของผู๎อื่น การเข๎าไปในบ๎านของผู๎อื่นโดยมิได๎รับอนุญาตยํอมมีความผิด ฐานบุกรุก แตํการบุกรุกนี้มิได๎เกิดจากผู๎กระทํามีเจตนาขึ้นใหมํ คงเป็นเจตนาเดิมที่จะลักทรัพย์อยูํ นั้นเอง แตํถ๎าการกระทําอันเป็นความผิดอื่นเกิดจากผู๎กระทํามีเจตนาขึ้นใหมํซึ่งแสดงถึงเจตนาของ ผู๎กระทําประสงค์ให๎การกระทําแตํละอันแยกจากกัน จึงถือวําเป็นกรรมใหมํขึ้นอีกกรรมหนึ่งตํางหาก จึงเป็นความผิดหลายกระทง เชํน นายกวางทองเมาสุราได๎เข๎าไปในชุมชนโดยมีลูกระเบิดไปด๎วย พ.ร.บ.อาวุธปืนกระทงหนึ่งพาลูกระเบิดไปในเมืองผิด ป.อ.มาตรา 371 กระทงหนึ่ง เมาสุราผิด ป.อ. มาตรา 378 และโยนลูกระเบิดพยายามฆํา ป.อ.มาตรา 288, 80 อีกกระทงหนึ่ง รวม 4 กระทง ซึ่งแตํละการกระทํามีเจตนาแยกจากกัน ฉะนั้น จะเป็นความผิดหลายกระทงได๎จะต๎องประกอบด๎วยหลักเกณฑ์ทั้งสองประการ จึงสรุป การกระทําที่เป็นความผิดหลายกระทงมีได๎ดังนี้2 1. การกระทําหลายกรรมนั้นเป็นการกระทําความผิดตํางฐานกัน และมีเจตนาคนละอันด๎วย เชํน ก. ตีศีรษะ ข. วันนี้ แล๎วลักทรัพย์ ค. ในวันรุํงขึ้น หรืออาจใกล๎ชิดติดตํอกันไป เชํน ก. ทําร๎าย ข. สลบไป หรือฆํา ข. ตายแล๎วเกิดความผิดขึ้นใหมํคือเห็น ข. มีสร๎อยคอทองคําได๎ลักสร๎อยคอทองคํา ข. ไปด๎วยขณะนั้น ทั้งการกระทําและเจตนาตํางกันทั้งสองประการเป็นความผิด 2 กระทง 2 จิตติติงศภัทย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 1 ตอน 2, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2518), หน๎า 446.
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 221 2. การกระทําหลายกรรมนั้นเป็นการกระทําความผิดตํางฐานกัน แตํความหมายในกากระทํา อันเดียวกัน ก็ถือวําเป็นเจตนาตํางกัน เชํน จําเลยปีบคอฉุดหญิงอายุ 17 ปีจากทางเดินเข๎าไปปุาหําง 1 วา แล๎วขํมขืนกระทําชําเรา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 ฐานพาหญิงไป เพื่อการอนาจารกระทงหนึ่งและมาตรา 276 ฐานขํมขืนกรําทําชําเราอีกกระทงหนึ่ง (คําพิพากษาฎีกา ที่ 1111/2519) นอกจากนี้ยังรวมถึงเรื่องที่ผู๎กระทําความผิดประสงค์การะทําความผิดอยํางหนึ่งแตํได๎กระทํา ความผิดอีกอันหนึ่งด๎วยเพื่อบรรลุผลที่เจตนากระทํา เชํน มีปืนเถื่อนเพื่อฆําคนหรือพนักงานเทศบาล ลักใบเสร็จแล๎วลอบไปเก็บเงินเป็นประโยชน์สํวนตัว มีความผิดตามมาตรา 335(11) กระทงหนึ่ง และ มาตรา 157 อีกกระทงหนึ่งเป็น 2 กระทง 3. การกระทําหลายกรรมนั้นเป็นความผิดฐานเดียวกัน แตํผู๎กระทํามีเจตนาเป็นคนละอัน ตํางกัน ดังนี้ถือวําเป็นการกระทําหลายกรรมและหลายเจตนาเป็นการกระทําหลายกรรมตํางกันด๎วย เชํน ก. ทําร๎าย ข. นอกบ๎านแล๎ววิ่งเข๎าไปทําร๎าย ค. ในบ๎าน หรือขณะที่ ก. ทําร๎าย ข. ข.เรียกให๎ ง. ชํวย ก. ได๎ทําร๎าย ง. ที่มาชํวย ข. อีก เป็นการกระทําหลายกรรมแตํเป็นความผิดฐานเดียวกัน โดย ผู๎กระทํามีเจตนาแยกการกระทํานั้นเป็นคนละอัน จึงเป็นความผิดหลายกระทง หรือแดงผู๎ใหญํบ๎าน เหลืองตํารวจกับดําราษฎรไปสืบสวนจับกุมเขียวผู๎ร๎าย ขณะที่แดงสอบถามเขียวอยูํ ขาวตีแดงแล๎วสีดํา และตีเหลืองด๎วยถือได๎สําการกระทําของขาวเป็นการกระทําหลายอันตํางวาระกันโดยผู๎กระทํามีเจตนา แยกการกระทําแตํละอันออกจากกัน จึงเป็นความผิดหลายทาง (คําพิพากษาฎีกาที่ 1520/1506) ข้อสังเกต การกระทําครั้งเดียวคราวเดียว หากผู๎กระทํามีเจตนาหลายเจตนาที่จะให๎เกิด ผลตํางกรรมกันก็เป็นความผิดหลายทาง และแม๎จะมีเจตนาหลายอยําง แตํประสงค์ให๎เกิดผลเป็น ความผิดหลายฐานตํางกันก็เป็นความผิดหลายกระทง (คําพิพากษาฎีกาที่ 398/2502) ตัวอย่างความผิดหลายกระทง 1. จําเลยหลอกลวงผู๎เยาว์อายุ 16 ปีวําคูํรักมาคอยพบ ผู๎เยาว์เชื่อตามจําเลยไปแล๎วขํมขืน กระทําชําเราและหนํวงเหนี่ยวกักขัง ดังนี้เป็นความผิดหลายกระทง (คําพิพากษาฎีกาที่ 200/2508) 2. จําเลยฉุดครําหญิงไปขํมขืนกระทําชําเรา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 และ 310 กระทงหนึ่ง กับเป็นความผิดตามมาตรา 276 อีกกระทงหนึ่ง (คําพิพากษา ฎีกาที่ 51/82517) 3. การกระทําครั้งเดียวคราวเดียว หากผู๎กระทํามีเจตนาหลายเจตนาที่จะให๎เกดผลตํางกรรม กัน ก็เป็นความผิดหลายกระทง และแม๎จะมีเจตนาอยํางเดียวแตํประสงค์ให๎เกิดผลเป็นความผิดหลาย ฐานตํางกัน ก็เป็นความผิดหลายกระทง จําเลยพรากเด็กหญิงไปจากบิดามารดาเพื่ออนาจาร เป็น ความผิดหลายกรรมตํางกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 กับมาตรา 317 (คําพิพากษา ฎีกาที่ 398/2520)
222 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 4. พาหญิงอายุ 16 ปีไปจากบิดามารดาเพื่ออนาจารให๎สําเร็จความใครํของผู๎อื่นเป็นเจตนา อยํางเดียวแตํประสงค์ให๎เกิดผลเป็นความผิดหลายฐาน เป็นหลายกรรมตํางกันตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 319 กระทงหนึ่ง ตามมาตรา 284 อีกระทงหนึ่ง 5. ปลอมเอกสารกู๎ ฉบับวําโจทก์ 4 คนกู๎แตํละฉบับในวันเวลาเดียวกันเป็นการกระทํา แยกกันได๎แตํละฉบับ จําเลยนําเอกสารปลอมทั้ง 4 ฉบับไปแสดงตํอกรรมการสอบสวนเป็นความผิด ตามมาตรา 265, 268 กระทงหนึ่ง จําเลยนําเอกสารปลอมไปฟูองโจทก์แตํละคนเป็น 4 สํานวน เป็นความผิดอีก 4 กระทง ศาลเรียงกระทงลงโทษ 5 กระทงตามมาตรา 365,368 (คําพิพากษา ฎีกาที่ 2192/2522) 6. เจ๎าพนักงานยักยอกเงินเป็นความผิดสําเร็จแตํละวันที่ไมํนําเงินสํงตามหน๎าที่เป็นรายกระทง ไมํใชํรวมกันทุกวันเป็นความผิดกรรมเดียว (คําพิพากษาฎีกาที่ 256/2523) 7. การที่จําเลยและผู๎เสียหายซึ่งอายุไมํเกิน 13 ปี พากันไปรํวมประเวณีที่กระทํอมด๎วยความ สมัครใจ แล๎วแยกกันกลับบ๎าน แม๎ทางกลับบ๎านของผู๎เสียหายกับกระทํอมหํางกันเพียง 90 เมตร และผู๎เสียหายอยูํกับจําเลยเพียง 5 ชั่วโมง ก็ถือวําเลยรบกวนสิทธิหรือแยกสิทธิของผู๎ปกครองเสียหาย ในการควบคุมดูแลผู๎เสียหายโดยปราศจากเหตุอันสมควรแล๎ว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 กับผิดมาตรา 317 อีกกระทงหนึ่ง (คําพิพากษาฎีกาที่ 1605/2523) ส่วนที่ 3 โทษของการกระท าความผิดหลายกระทง การกระทําความผิดหลายกระทง ตามบทบัญญัติในมาตรา 91 เดิม “.....ให๎ศาลลงโทษผู๎นั้น ทุกกรรมเป็นกระทงผิดไป” ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่บังคับให๎ศาลลงโทษเรียงกระทงความผิดไป ศาลจะใช๎ ดุลพินิจไมํได๎ จึงมีผู๎กระทําความผิดบางคนถูกลงโทษจําคุก 200ปี หรือมากวํานั้นคงเป็นไปไมํได๎เพราะ อายุคนที่มีอายุ 100 ปีก็หายากเต็มทีแล๎ว จึงเห็นวําไมํเป็นประโยชน์เลยสําหรับการที่จะเรียงกระทง ความผิดแล๎วให๎ผู๎กระทําความผิดแล๎วรับโทษโดยไมํจํากัด อยํางไรก็ตามบทบัญญัติมาตรา 91 นี้ได๎ แก๎ไขเกี่ยวกับการลงโทษใหมํตาม พ.ร.บ. แก๎ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 3 ตามมาตรา 91 ซึ่งได๎แก๎ไขบัญญัติวํา “...ให๎ศาลลงโทษผู๎นั้นทุกกรรมเป็นกระทง ความผิดไป แตํไมํวําจะมีการเพิ่มโทษลดโทษหรือลดมาตราสํวนโทษด๎วยหรือไมํก็ตาม เมื่อรวมโทษทุก กระทงแล๎วโทษจําคุก (1) สิบปี สําหรับความผิดกระทงที่หนักที่สุด มีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงไมํเกินสามปี (2) ยี่สิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกินสามปีแตํไมํเกิน สิบปี (3) ห๎าสิบปี สําหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอยํางสูงเกิน สิบปีขึ้นไป เว๎นแตํกรณีที่ศาลลงโทษคุกตลอดชีวิต”
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 223 การแก๎ไขมาตรา 91 ใหมํดังกลําวนี้ ทําให๎ความผิดหลายกระทงที่เคยลงโทษจําคุก 200 ปี หรือมากกวํานั้นไมํมีอีกตํอไป แตํถ๎าเป็นโทษปรับคงเรียงกระทงความผิดเหมือนกํอนที่เคยแก๎ไข ส่วนที่ 4 การกระท าความผิดอีก บุคคลที่เคยกระทําความผิดและถูกศาลพิพากษาให๎ลงโทษจําคุกมาแล๎วในระหวํางที่กําลังรับ โทษอยูํก็ดี หรือพ๎นโทษแล๎วแตํยังอยูํในเวลาที่กําหนดไว๎ ผู๎นั้นได๎กระทําความผิดอีก แสดงวําผู๎นั้นไมํ เข็ดหลาบ ทํานวําจะต๎องเพิ่มโทษในความผิดครั้งหลังตามที่บัญญัติไว๎ในภาค 1 ลักษณะ 1 หมวด 8 มาตรา 92 ถึงมาตรา 94 มาตรา คือ 1. เพิ่มโทษหนึ่งในสาม การเพิ่มโทษหนึ่งในสามนี้มีบัญญัติอยูํในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 วํา “ผู๎ใดต๎องคําพิพากษาถึงที่สุดให๎ลงโทษจําคุกและได๎กระทําความผิดใดๆ อีกในระหวําง ที่ยังจะต๎องรับโทษอยูํก็ดี ภายในเวลาห๎าปีนับแตํวันพ๎นโทษก็ดี หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึง จําคุก ก็ให๎เพิ่มโทษที่จะลงแกํผู๎นั้นหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกําหนดสําหรับความผิดครั้งหลัง” องค์ประกอบส าหรับการเพิ่มโทษตามมาตรา 92 ดังนี้3 1. ต๎องคําพิพากษาถึงที่สุดให๎ลงโทษจําคุก 2. การกระทําความผิดใดๆ อีก ก. ในระหวํางที่ยังจะต๎องรับโทษอยูํ หรือ ข. ภายในเวลาห๎าปีนับแตํวันพ๎นโทษ 3. ศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจําคุก 1) ต้องค าพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจ าคุก คําพิพากษาในที่นี้ยํอมหมายความถึงคํา ชี้ขาดของศาล จะเป็นศาลธรรมดาหรือศาลอื่นใดที่ใช๎อํานาจตุลาการ เชํน ศาลทหาร ก็ถือเป็นคํา พิพากษาเชํนเดียวกัน แตํต๎องเป็นศาลไทย และคําพิพากษานั้นต๎องเป็นคําพิพากษาถึงที่สุดหมายความ วําไมํมีอุทธรณ์หรือฎีกาตํอไปอีก 2) การกระท าความผิดใดๆ อีก ก. ในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ เชํน ทําความผิดอีกระหวํางพักการ ลงโทษจําคุกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 หรือระหวํางที่ยังหลบหนีการ ลงโทษกํอนลํวงเลยการลงโทษตามาตรา 98 หรือกระทําความผิดในระหวํางรับโทษจําคุกอยูํในเรือนจํา (คําพิพากษาฎีกาที่ 308/2506) ถ๎ากระทําความผิดเมื่อลํวงเลนการลงโทษไปตามมาตรา 98 แล๎ว ก็ 3 จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน๎า 1068.
224 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ถือวําเป็นเวลาที่ผู๎นั้นจะต๎องรับโทษและจะถือวําพ๎นก็ไมํได๎ เพราะยังไมํได๎รับโทษครบกําหนดก็ยํอมจะ ไมํมีการพ๎นโทษ ข. ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ กรณีพ๎นโทษไปแล๎วนับแตํวันพ๎นโทษ ไปจนถึงวันกระทําความผิดอีกภายในเวลา 5 ปี โดยไมํเกิน 5 ปี จะพ๎นโทษเพราะได๎รับโทษ ครบถ๎วนหรือโดยการอภัยโทษก็มีผลเพิ่มโทษได๎เชํนกัน อัตราการเพิ่มโทษตามอัตรา 92 ให๎เพิ่มโทษจําคุกที่จะลงแกํผู๎ที่กระทํา ความผิดอีกนั้นหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกําหนดสําหรับความผิดครั้งหลัง หมายความวํา ให๎ศาล กําหนดโทษจําคุกตามความผิดทีจะลงแกํผู๎กระทําความผิดนั้นกํอน แล๎วจึงคํานวณเพิ่มขึ้นจากกําหนด นั้นไมํใชํเพิ่มอัตราโทษที่กําหนดไว๎ในกฎหมายสําหรับความผิดนั้น 2. อัตราการเพิ่มโทษในความผิดเฉพาะอย่าง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93บัญญัติ วํา “ผู๎ใดต๎องคําพิพากษาสูงที่สุดให๎ลงโทษจําคุก ถ๎าและได๎กระทําความผิดอยํางหนึ่งอยํางใดที่จําแนก ไว๎ในอนุมาตราตํอไปนี้ในอนุมาตราเดียวกันอีกในระหวํางที่ยังจะต๎องรับโทษอยูํก็ดี ภายในเวลาสามปี นับแตํวันพ๎นโทษก็ดี ถ๎าความผิดครั้งแรกเป็นความผิดซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจําคุกไมํน๎อยกวําหกเดือน หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจําคุก ก็ให๎เพิ่มโทษที่จะลงแกํผู๎นั้นกึ่งหนึ่งของโทษที่ศาลกําหนด สําหรับความผิดครั้งหลัง” (1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแหํงราชอาณาจักร ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 107 ถึง มาตรา 135 (2) ความผิดตํอเจ๎าพนักงาน ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 136 ถึงมาตรา 146 (3) ความผิดตํอตําแหนํงหน๎าที่ราชการ ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 147 ถึงมาตรา 166 (4) ความผิดตํอเจ๎าพนักงานในการยุตธรรม ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 167 ถึงมาตรา 192 และมาตรา 194 (5) ความผิดตํอตําแหนํงหน๎าที่ในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติในมาตรา 200 ถึงมาตรา 204 (6) ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 209 ถึง 216 (7) ความผิดตํอตําแหนํงหน๎าที่ในการยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 217 ถึง มาตรา 224 มาตรา 226 ถึงมาตรา 234 และมาตรา 236 ถึงมาตรา 238 (8) ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 204 ถึงมาตรา 249 ความผิด เกี่ยวกับดวงตราแสตมป์ และตั๋ว ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 250 ถึงมาตรา 261 และความผิด เกี่ยวกับเอกสาร ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 264 ถึงมาตรา 269 (9) ความผิดเกี่ยวกับการค๎า ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 270 ถึงมาตรา 275 (10) ความผิดเกี่ยวกับเพศ ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 276 ถึงมาตรา 285 (11) ความผิดตํอชีวิต ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 288 ถึงมาตรา 290 และมาตรา294 ความผิดตํอรํางกายตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 295 ถึงมาตรา 299 ความผิดฐานทําให๎แท๎งลูก ตามที่
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 225 บัญญัติไว๎ในมาตรา 301 ถึงมาตรฐานทอดทิ้งเด็ก คนปุวยเจ็บหรือคนชรา ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 306 ถึงมาตรา 308 (12) ความผิดตํอเสรีภาพ ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา และมาตรา 310 และมาตรา 312 ถึง มาตรา 320 (13) ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว๎ในมาตรา 334 ถึงมาตรา 365 สําหรับการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 นี้4 ต๎องปรากฏวํา 1. การกระทําความผิดครั้งแรกต๎องคําพิพากษาให๎จําคุกแล๎วไมํน๎อยกวํา 6 เดือนในความผิด อยํางใดอยํางหนึ่งที่จําแนกไว๎ในอนุมาตราตํางๆ 13 อนุมาตราด๎วยกัน 2. การกระทําความผิดครั้งหลังกระทําความผิดซ้ําในอนุมาตราเดียวกันอีก ในขณะต๎องโทษคดี หรือพ๎นโทษไปแล๎วเป็นเวลา 3 ปี 3. เพิ่มโทษ โทษตามคําพิพากษาในคดีกํอนต๎องโทษจําคุกไมํน๎อยกวํา 6 เดือนขึ้นไปแตํไมํมี กําหนดสําหรับโทษจําคุกครั้งหลัง อัตราเพิ่มโทษสําหรับความรับผิดครั้งหลังจะต๎องเพิ่มอีกกึ่งหนึ่งของ โทษที่จะลงสําหรับความผิดครั้งหลัง 3. ความผิดที่ไม่ถือเป็นเหตุเพิ่มโทษ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 94 บัญญัติวํา “ความผิดอันได๎กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซึ่งผู๎กระทําได๎กระทําในขณะที่มี อายุไมํเกินสิบเจ็ดปีนี้ ไมํวําจะได๎กระทําในครั้งกํอนหรือครั้งหลัง ไมํถือวําเป็นความผิดเพื่อการเพิ่มโทษ ตามความในหมวดนี้” สําหรับโทษที่ลงเพราะความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ หรือซึ่งได๎กระทําใน ขณะที่อายุไมํเกินสิบเจ็ดปี ไมํวําครั้งกํอนหรือครั้งหลังไมํถือเป็นความผิดเพื่อการเพิ่มโทษ นอกจากความผิด 3 ประเภทนี้แล๎วจะเป็นความผิดตามกฎหมายใด ๆ ก็ตาม ยํอมอยูํใน เกณฑ์ของการที่จะนําไปพิจารณาเพิ่มโทษได๎ทั้งสิ้น 4 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2524), หน๎า 20-25.
226 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ค าถามท้ายบท 1. จงอธิบายสาระสําคัญตามกฎหมายของการกระทําความผิดหลายบท พร๎อมยกตัวอยํางกรณีศึกษา มา 1 ตัวอยําง 2. จงอธิบายสาระสําคัญตามกฎหมายของการกระทําความผิดหลายกระทง พร๎อมยกตัวอยํางกรณีศึกษา มา 1 ตัวอยําง 3. หลักเกณฑ์ในการรับโทษของการกระทําความผิดหลายกระทง มีหลักเกณฑ์อยํางไร 4. จงอธิบายองค์ประกอบสําคัญในการเพิ่มโทษสําหรับการกระทําความผิดอีกเป็นอยํางไร 5. นายแดงใช๎ปืนยิงไปที่นายดํา ลูกปืนถูกนายดําตาย แล๎วเลยไปถูกนายเขียวได๎รับบาดเจ็บอีกด๎วย การ กระทําของนายแดง เป็นการกระทําความผิดในลักษณะใด และนายแดงต๎องรับผิดฐานใด
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 227 อ้างอิงประจ าบท เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะ นิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2524), หน๎า 20-25. จิตติติงศภัทย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญา ภาค 1 ตอน 2, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แสง ทองการพิมพ์, 2518), หน๎า 446. จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง พิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน๎า 1068. ดร.อุทิศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525), หน๎า 221.
228 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา บทที่ ๑๒ โทษในทางอาญา วัตถุประสงค์การเรียนประจ าบท 1. เพื่อให้นิสิตได้ศึกษาและวิเคราะห์ถึงสภาพบังคับทางอาญาว่าเมื่อการกระท าเป็นความผิด ผู้กระท าต้องถูกลงโทษอย่างไร 2. เพื่อให้นิสิตได้ศึกษาและวิเคราะห์ถึงลักษณะของโทษในทางอาญา 3. เพื่อให้นิสิตได้ทราบว่าการลงโทษต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย และจะลงโทษเกิน กว่ากฎหมายที่ก าหนดไม่ได้เว้นแต่จะมีเหตุเพิ่มโทษ ขณะเดียวกันย่อมลงโทษน้อยกว่าที่ กฎหมายบัญญัติไว้ได้ หรือรอการลงโทษก็ได้ 4. เพื่อให้นิสิตได้ทราบว่าเมื่อมีการกระท าความผิด จะลงโทษผู้กระท าความผิดในการ ด าเนินคดีต้องกระท าภายในเวลาที่ก าหนดไว้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. วัตถุประสงค์ของการลงโทษ 2. ชนิดของโทษและหลักเกณฑ์ของโทษทางอาญา 3. วิธีเพิ่มโทษและลดโทษ 4. การรอการก าหนดโทษ และรอการลงโทษ 5. อายุความ วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจ าบท 1. การบรรยาย 2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน 3. ท าแบบฝึกหัดท้ายบท สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ประมวลกฎหมายอาญา
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 229 ในทางอาญาเมื่อมีการกระท าผิดเกิดขึ้น ปฏิกิริยาที่สังคมมีต่อการกระท าความผิดทั้งในด้าน การปราบปรามและในด้านการปูองกัน ส าหรับปฏิกิริยาในด้านปราบปรามก็คือการลงโทษผู้กระท าผิด ส่วนในด้านการปูองกันก็ได้แก่การบังคับใช้วิธีเพื่อความปลอดภัย โทษ โทษเป็นวิธีการบังคับ (Sanction) ที่รัฐใช้ปฏิบัติต่อผู้กระท าผิดอาญาวิธีการเพิ่มโทษและลด โทษ การยกโทษจ าคุก การรอลงโทษและรอการก าหนดโทษ 18 ถึง มาตรา 38 มาตรา 51 ถึง มาตรา 58 มาตรา 79 และมาตรา 95 ถึงมาตรา 101 ส่วนที่วิธีการเพื่อความปลอดภัยไม่ใช่โทษ อาญา 1 เป็นวิธีการหรือมาตรการของกฎหมายที่ศาลใช้แก่ผู้กระท าความผิดซึ่งแม้จะไม่ต้องรับโทษ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งศาลจะยกฟูองของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษและปล่อยตัวจ าเลยไป ถ้าศาลเห็นว่า การปล่อยตัวบุคคลนั้นไปจะไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนศาลอาจใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้นั้นตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ อันเป็นการปูองกันมิใช่การปราบปรามเหมือนโทษ เปรียบเทียบโทษกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย 1. โทษจะใช้ลงได้เฉพาะผู้กระท าความผิดเท่านั้น (ป.อ.มาตรา 2) ส่วนวิธีการเพื่อความ ปลอดภัยจะใช้แก่ผู้ที่ยังมิได้กระท าความผิดก็ได้ (ป.อ.มาตรา 46) หรือแก่ผู้ที่ศาลไม่ลงโทษก็ได้ (ป.อ. มาตรา 46, มาตรา 48 และมาตรา 49) 2. กฎหมายที่ใช้ลงโทษต้องใช้กฎหมายในขณะกระท าความผิด (ป.อ.มาตรา 72) ส่วนวิธีการ เพื่อความปลอดภัยต้องใช้กฎหมายในขณะที่ศาลพิพากษา (ป.อ.มาตรา 12) 3. เมื่อศาลพิพากษาลงโทษแก่ผู้กระท าผิดห้าม (ป.วิ.อ.มาตรา 190) เว้นแต่โทษกักขังอย่าง เดียวเท่านั้นที่ศาลซึ่งพิพากษาคดีนั้นเองอาจแก้ไขให้เปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจ าคุกได้ในระหว่างที่รับ โทษกักขังอยู่ ไม่ว่าค าพิพากษาที่ลงโทษกักขังนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ก็ตามในระหว่างที่รับโทษกักขัง นั้นอยู่ ไม่ว่าค าพิพากษาที่ลงโทษกักขังนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ก็ตาม (ป.อ.มาตรา 27) ส่วนวิธีการ เพื่อความปลอดภัยศาลนั้นเองอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงค าพิพากษาฎีกาค าสั่งที่ใช้การนั้นได้เสมอ (ป.อ. มาตรา 16) 4. โทษจะใช้ลงแก่เด็กที่มีอายุต่ ากว่า 17 ปี และไม่เกิน 17 ปีก็ได้ (ป,อ.มาตรา 75) ส่วน วิธีการเพื่อความปลอดภัย 2 ชนิด กักกัน และเรียกประกันทัณฑ์บนจะใช้แก่เด็กที่มีอายุไม่เกิน 17 ปีไม่ได้ (ป.อ.มาตรา 41, 46) 5. การลงโทษต้องมีค าขอของโจทก์ให้ลงโทษ มิฉะนั้นศาลลงโทษไม่ได้ (ป.อ.มาตรา 158 และมาตรา192) ส่วนวิธีการเพื่อความปลอดภัย โจทก์ไม่ต้องมีค าขอ ศาลก็มีอ านาจสั่งหรือใช้วิธีแก่ จ าเลยผู้นั้นได้ (ป.อ.มาตรา 45 ถึงมาตรา 50) เว้นแต่การกักกันอย่างเดียวเท่านั้นที่พนักงานอัยการ โจทก์มีค าขอให้กักกัน ศาลจึงกักกันได้ (ป.อ.มาตรา 43) 1 เสริม วินิจฉัยกุล, (2482), ค าอธิบายลักษณะอาญาภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : ไทยพาณิชยการ). หน้า 78.
230 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 6. ผู้มีอ านาจฟูองคดีอาญาขอให้ลงโทษผู้กระท าความผิดได้แก่ พนักงานอัยการและราษฎร ผู้เสียหายจากการกระท าความผิดนั้น (ป,อ.มาตรา 28 ส่วนวิธีการเพื่อความปลอดภัยในข้อกักกัน พนักงานเท่านั้นมีอ านาจฟูอง ผู้เสียหายจะฟูองให้กักกันไม่ได้ (ป,อ,มารตา 43) การศึกษาว่าด้วยโทษ จะแบ่งออกเป็น 4 เรื่องด้วยกัน คือ 1. ชนิดของโทษ และหลักเกณฑ์ของโทษอาญา 2. วิธีเพิ่มโทษและลดโทษ 3. การยกโทษจ าคุก การรอการลงโทษและการรอการก าหนดโทษจ าคุก 4. การระงับของโทษและความผิด ส่วนที่ 1 ชนิดของโทษและหลักเกณฑ์ของโทษอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 บัญญัติว่า “โทษส าหรับลงแก่ผู้กระท าความผิดมีดังนี้ (1) ประหารชีวิต (2) จ าคุก” (3) กักขัง (4) ปรับ (5) ริบทรัพย์สิน โทษประหารชีวิตและจ าคุกตลอดชีวิตมิให้น ามาบังคับแก่ผู้ซึ่งกระท าความผิดในขณะที่มีอายุต่ า กว่าสิบแปดปี ในกรณีผู้ซึ่งกระท าความผิดในขณะที่อายุต่ ากว่าสิบแปดปีได้กระท าความผิดที่มีระวางโทษ ประหารชีวิต หรือจ าคุกตลอดชีวิตให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจ าคุกห้าสิบปี” จากบัญญัติ มาตรา 18 วรรคหนึ่ง โทษตามประมวลกฎหมายอาญามีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน คือ2 1. โทษประหารชีวิต ประมวลกฎหมายอาญา มาตร 19 “ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิตให้ด าเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือ สารพิษให้ตาย หลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมก าหนดโดย ประกาศในราชกิจานุเบกษา” เมื่อมีค าพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิตแล้ว ศาลจะต้องหมายส่งตัว จ าเลยผู้ต้องโทษประหารชีวิตไกรมราชทัณฑ์ จึงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่จะด าเนินการ ประหารชีวิต โดยจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 หยุด แสงอุทัย, (2520), กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 14, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์). หน้า 98.
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 231 247, 248, 261 และมาตรา 262 กล่าวคือจะด าเนินการประหารชีวิตทันทีไม่ได้จะต้องรอไว้ให้พ้น ก าหนด 60 วันนับแต่วันฟังค าพิพากษาเสียก่อน ทั้งนี้แม้จะมีค าพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษประหาร ชีวิตแล้ว ผู้ต้องค าพิพากษายังมีสิทธิทูลเกล้าฯถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัย โทษได้ และเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยที่จะถวายเรื่องราวนั้นต่อพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งถวายความเห็นว่าควรพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงยกเรื่องราวที่ ทูลเกล้าฯ นั้นให้ด าเนินการประหารชีวิต ซึ่งการประหารชีวิตตามมาตรา 19 แก้ไขโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2546 ให้ด าเนินการวิธี ฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวง ยุติธรรมก าหนโดยประกาศในราชกิจานุเบกษา โทษประหารชีวิตนี้จะไม่น ามาใช้บังคับแก่ผู้กระท าผิดที่มีอายุต่ ากว่าสิบแปดปี และในกรณีที่ ผู้กระท าผิดมีอายุต่ ากว่าสิบแปดปี ได้กระท าความผิดที่มาระวางโทษประหารชีวิตเปลี่ยนเป็นระวางโทษ จ าคุกห้าสิบปี (มาตรา 18 วรรคสองและวรรคสาม เพิ่มเติมโดนมาตรา 3 แห่ง พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2546) ในการเพิ่มโทษมิให้เพิ่มมิให้เพิ่มขึ้นถึงประหารชีวิต (ป.อ.มาตรา 51 และในการลดโทษ ประหารชีวิตไม่ว่าจะเป็นการลดโทษมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลงให้ตลอดดังนี้ (1) ถ้าจะลดหนึ่ง ในสามให้ลดเป็นโทษจ าคุกตลอดชีวิต (2) ถ้าจะลดกึ่งหนึ่งให้ลดลงเป็นโทษจ าคุกตลอดชีวิตหรือโทษ จ าคุกตั้งแต่ยี่สิบปีถึงห้าสิบปี (ป.อ.มาตรา 52) 2. โทษจ าคุก โทษจ าคุกอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ3 ก. โทษจ าคุกตลอดชีวิต ข. โทษจ าคุกโดยมีการก าหนดเวลา การลงโทษจ าคุก ในกฎหมายที่บัญญัติความผิดอันมีโทษจ าคุกนั้น จะก าหนดโทษจ าคุกไว้สถานเดียว เช่น จ าคุกตลอดชีวิต หรือก าหนดไว้ 2 สถาน คือ จ าคุกและปรับหรือ 3 สถาน คือ จ าคุกหรือปรับหรือ ทั้งจ าทั้งปรับ แล้วแต่กรณีการกระท าความเหมาะสมของโทษนั้น ๆ แต่ความผิดบางชนิดที่ค่อนข้าง ร้ายแรงจะก าหนดและระวางโทษขั้นต่ า และขั้นสูงไว้ทั้งโทษจ าคุกและปรับโทษฉะนั้นการที่ศาลจะ ลงโทษจ าเลยจึงต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติโทษไว้ จะต่ ากว่าหรือเกินกว่าอัตราโทษที่กฎหมาย ก าหนดไว้ไม่ได้ และถ้ากฎหมายก าหนดโทษไว้ว่าให้ศาลลงโทษน้อยกว่าอัตราที่กฎหมายก าหนดไว้ เพียงใดก็ได้ 3 จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน้า 168.
232 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ในกรณีที่กฎหมายก าหนดให้ลงโทษจ าคุกและโทษปรับด้วยเป็น 2 สถาน เช่นความผิดฐาน กรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ก าหนดให้ลงโทษจ าคุกและปรับถ้าศาล เห็นสมควรจะลงโทษจ าคุกอย่างเดียวโดยไม่ลงโทษปรับด้วยก็ได้ (ป.อ.มาตรา 20) แต่ถ้าโทษจ าคุกที่ผู้ ที่กระท าความผิดจะต้องรับมีก าหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่า ศาลก าหนดโทษจ าคุกให้น้อยลง อีกก็ได้ หรือถ้า โทษที่ผู้กระท าความผิดจะต้องรับมีก าหนดเวลาเพียงสามเดือนหรือน้อยกว่าและมีโทษ ปรับด้วย ศาลก าหนดโทษจ าคุกให้น้อยหรือก าหนดเวลาโทษจ าคุกเสีย คงให้ปรับแต่อย่างเดียวก็ได้ (ป.อ. มาตรา 55) ส่วนในกรณีที่กฎหมายก าหนดโทษไว้ 3 สถาน คือ ให้จ าคุกหรือปรับหรือทั้งจ าทั้งปรับศาลมี อ านาจใช้ดุลพินิจให้ลงโทษจ าคุกหรือโทษปรับอย่างเดียว หรือลงโทษทั้งจ าคุกและปรับก็ตามที่ศาล เห็นสมควร การค านวณระยะเวลาจ าคุก 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 ให้นับวันเริ่มจ าคุกรวมค านวณเข้าด้วยเป็นหนึ่งวัน เต็มโดยค านึงถึงจ านวนชั่วโมงของวันเมจ าคุกนั้น เช่น ศาลอ่านค าพิพากษาให้ลงโทษจ าคุกจ าเลย 15.00น. ศาลออกมาจ าคุกส่งตัวจ าเลยไปถึงเรือนจ าเวลา 18.00 ก็ต้องนับวันเป็นวันเริ่มจ าคุกหนึ่งวัน เต็ม 2. ถ้าระยะเวลาจ าคุกก าหนดเป็นเดือน เช่น ศาลพิพากษาให้จ าคุกจ าเลย 3 เดือน นับ สามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน 3. ถ้าระยะเวลาจ าคุกเป็นปี ให้ค านานตามปฏิทินราชการ 4. เมื่อผู้ต้องโทษจ าคุกถูกจ าคุกครบก าหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวไปในวันถัดจากวันครบก าหนด โทษ ครบก าหนดโทษจ าคุกวันที่ 9 กันยายน 2548 ต้องปล่อยตัวไปในวันที่ 10 กันยายน 2548 การนับวันจ าคุกและหักวันถูกคุมขัง 1. การนับวันจ าคุกตั้งแต่วันที่ศาลมีค าพิพากษา (ป.อ. มาตรา 22 ซึ่งหมายถึงวันที่ศาลอ่าน ค าพิพากษาให้จ าเลยฟัง (ป.อ. มาตรา 182) 2. ในกรณีที่ศาลพิพากษาจ าคุกจ าเลย ถ้าจ าเลยถูกคุมขังมาก่อนศาลพิพากษาคดีนั้นศาลต้อง หักวันคุมขังออกจากตามค าพิพากษาให้แก่จ าเลย เว้นแต่ค าพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น (ป.อ. มาตรา 22) กล่าวคือศาลจะไม่หักวันคุมขังให้ โดยจะให้นับวันจ าคุกตั้งแต่วันที่ศาลพิพากษาก็ได้ หรือ จะนับโทษจ าคุกคดีนี้ต่อจากโทษจ าคุกในคดีอื่นก็ได้ ซึ่งศาลจะต้องระบุไว้ในค าพิพากษานั้น เช่น 1) ก. กระท าความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลพิพากษาให้ลงโทษจ าคุก 6 เดือน ถูกคุมขังมาก่อนศาล พิพากษา 2 เดือน ดังนี้ถ้าศาลระบุในค าพิพากษาให้นับวันจ าคุกตั้งแต่วันมีค าพิพากษาศาลจะไม่ให้หัก วันคุมขัง 2 เดือนออกจากโทษจ าคุกที่ศาลจะลง 6 เดือนนั้น แต่ถ้าศาลไม่ระบุค าพิพากษาให้นับวัน ตั้งแต่วันมีค าพิพากษา ศาลก็ต้องหักวันคุมขังให้จ าเลยตามทีมาตรา 22 บัญญัติไว้ อย่างไรก็ตามถ้า ศาลระบุในค าพิพากษาไห้นับวันจ าคุกตั้งแต่วันมีค าพิพากษา โทษจ าคุกตามค าพิพากษาเมื่อรวมจ านวน
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 233 ที่ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาในคดีเรื่องนั้นเข้าด้วยแล้วต้องไม่เกินอัตราโทษขั้นสูงของกฎหมายที่ก าหนด ไว้ส าหรับความผิดที่ได้กระท าลงนั้น เช่น ก. ท าร้ายร่างกาย ข. ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ก าหนดโทษขั้นสูงไว้ไม่เกิน 2 ปี ถ้าศาลพิพากษาให้ลงโทษจ าคุก ก. 1 ปี 6 เดือน และระบุใน ค าพิพากษาให้นับวันจ าคุกตั้งแต่วันมีค าพิพากษา หากปรากฏว่า ก. ได้ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาแล้ว 8 เดือน เมื่อศาลไม่ให้หักวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจ าคุกตมค าพิพากษา เมื่อรวมวันที่ถูกขังกับ ระยะเวลาจ าคุกตามค าพิพากษาเข้าด้วยกันจะเป็นเวลา 2 ปี 2 เดือน ซึ่งเกอัตราโทษขั้นสูงตามมาตรา 295 อยู่ 2 เดือน ประมวลกฎหมายอาญา 22 วรรคสองได้บัญญัติห้ามไว้ เช่นศาลจะต้องหัก ระยะเวลาจ าคุกให้ 2 เดือน เหลือระยะเวลาที่ ก. จ าคุก 1 ปี 4 เดือนเท่านั้น ทั้งนี้เป็นการ กระทบกระเทือนบทบัญญัติในมาตรา 91 เช่น ก. ท าร้ายร่างกาย ข. เป็นความผิดตาม ป. อ.มาตรา 295 (โทษขั้นสูง 2 ปี) ต่อมา ก. ลักทรัพย์ ค. เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 334 (โทษขั้นสูง 3 ปี ก. กระท าความผิดหลายกรรมต่างกัน (ป.อ.มาตรา 91) ถ้า ก. ถูกฟูองเป็นคดีเดียวกันและศาลพิพากษา ในค าพิพากษาอันเดียวกันให้โทษ ก. ทั้ง 2 กระทงโดยลงโทษกระทงแรก 1 ปี 6 เดือน กระทงหลัง 2 ปี ถ้าปรากฏว่า ก. ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา 1 ปี ศาลให้ดุลพินิจสั่งไม่ให้วันที่ถูกคุมขังออกจาก ระยะเวลาจ าคุกตามค าพิพากษา เมื่อรวมวันที่ถูกคุมขังเข้าด้วยกันกับระยะเวลาจ าคุกตามค าพิพากษา 3 ปี 6 เดือน เดือนแล้วไม่เกินกว่าอัตราโทษจ าคุกขั้นสูงของกฎหมายคือ 5 ปีใน 2 กระทง 2) ก. กระท าความผิดฐานท าร้ายร่างกาย ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจ าคุก 1 ปี เช่นนี้ศาลมีอ านาจใช้ดุลพินิจ สั่งไว้ในค าพิพากษาให้นับโทษคดีหลังต่อจากคดีก่อนได้ คือเมื่อ ก. รับโทษจ าคุกคดีแรกแล้วจึงเริ่ม ระยะเวลาจ าคุกในคดีหลัง 3. การหักวันคุมขังออกจากโทษจ าคุกนี้จะต้องเป็นวันถูกคุมขังอยู่ใน “คดีเรื่องนั้น” กล่าวคือ เป็นวันที่จ าเลยถูกคุมขังอยู่ในคดีเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ฟูองขอให้ลงโทษนั้นเอง การเพิ่มและลดโทษจ าคุก การเพิ่มโทษและลดโทษจ าคุก มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา 51, 53, 54 และ มาตรา 55 ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดในหัวข้อถัดไปเรื่องวิธีการเพิ่มโทษและลดโทษ 3. กักขัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระท าความผิดซึ่งมีโทษจ าคุกและใน คดีนั้นศาลจะลงโทษจ าคุกไม่เกินสามเดือน ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจ าคุกมาก่อนหรือปรากฏว่า ได้รับโทษจ าคุกมาก่อนแต่เป็นโทษส าหรับความผิดที่ได้กระท าโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ศาล จะพิพากษาให้ลงโทษกักขังไม่เกินสามเดือนแทนโทษจ าคุกนั้นก็ได้”
234 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา หลักเกณฑ์ในการลงโทษกักขังแทนโทษจ าคุกมีดังนี้4 1) ต้องเป็นกากระท าความผิดทีมีโทษจ าคุกึึ่งมีระยะเวลาให้จ าคุก โดยจะมีโทษปรับหรือ โทษริบทรัพย์สินรวมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นถ้าเป็นความผิดที่มีโทษประหารชีวิต หรือจ าคุกตลอด ชีวิต หรือมีแต่ปรับอย่างเดียว และโทษริบทรัพย์สินโดยไม่มีโทษจ าคุกที่มีก าหนดเวลา ศาลจะใช้โทษ แทนไม่ได้ 2) ความผิดที่มีโทษจ าคุกดังกล่าว ศาลจะลงโทษจ าคุกได้ไม่เกิน 3 เดือน ค าว่า “ศาลจะ ลงโทษจ าคุกไม่เกินสามเดือน” ตามมาตรานั้นหมายความถึงโทษสุทธิที่ศาลลงโทษจริงๆ ดังนั้นถ้าศาล ลงโทษจ าเลยมากกว่า 3 เดือน แต่มีเหตุที่ศาลลดมาตราส่วนโทษให้ หรือลดโทษให้ฐานรับสารภาพ คงจ าคุกจ าเลยไม่เกิน 3 เดือน ศาลจะลงโทษกักขังแทนก็ได้ 3) ต้องไม่ปรากฏว่าจ าเลยได้รับโทษจ าคุกมาก่อน เว้นแต่เป็นโทษจ าคุกส าหรับความผิดที่ กระท าโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ค าว่า “ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจ าคุกมาก่อน” หมายความว่าจ าเลยในคดีทีก าลังพิจารณาอยู่นี้ไม่ได้รับโทษจ าคุกมาก่อนเวลาที่ศาลพิพากษาคดีนี้ แต่ ปรากฏว่าจ าเลยได้รับโทษจ าคุกหรือก าลังรับโทษจ าคุกอยู่ในคดีอื่น ไม่ว่าคดีอื่นนั้นศาลจะพิพากษาถึง ที่สุดแล้วหรือไม่ก็ดี ก็เรียกว่าจ าเลยได้รับโทษจ าคุกมาก่อน คือถือเอาข้อเท็จจริงในการรับโทษจ าคุก คดีอื่นของจ าเลยเป็นส าคัญในขณะจะพิพากษาคดีนี้ว่าจ าเลยได้รับโทษจ าคุกในคดีอื่นหรือไม่ ถ้าได้รับ หรือก าลังรับโทษจ าคุกอยู่แล้วและมิใช่โทษในความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึง ที่สุด ศาลจะลงโทษกักขังในคดีไม่ได้ 4) โทษกักขังต้องมีข้อก าหนดเวลาเท่ากับโทษจ าคุกที่ศาลจะลงโทษ ไม่เกิน 3 เดือนนั้นด้วย เช่น ศาลพิพากษาให้จ าคุก 2 เดือนอันเป็นโทษสุทธิ ก็ต้องลงโทษกักขัง 2 เดนแทนโทษจ าคุกนั้น การบังคับโทษกักขังแทนโทษจ าคุก เมื่อศาลพิพากษาให้ลงโทษกักขังแทนโทษจ าคุกตาม มาตรา 23 แล้วจะกักขังไว้ที่ไหนได้บ้าง มีบัญญัติอยู่ในมาตรา 24 ดังนี้ “ผู้ใดต้องโทษกักขัง ให้กักขังไว้ในสถานที่กักขังซึ่งก าหนดไว้ อันมิใช่ เรือนจ า สถานีต ารวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน ถ้าศาลเห็นเป็นการสมควร จะสั่งในค าพิพากษาให้กักขังผู้กระท าความผิดไว้ในที่อาศัยของผู้ นั้นเอง หรือผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้นไว้ หรือสถานที่อันที่อาจกักขังได้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภท หรือ สภาพของผู้กักขังก็ได้ ถ้าปรากฏแก่ศาลว่า การกักขังผู้ต้องโทษกักขังไว้ในสถานที่กักขังตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้นั้น หรือท าให้ผู้อื่นต้องพึงพาผู้ต้องโทษกักขังในการด ารงชีพได้รับความ เดือดร้อนเกินพอสมควร หรือมีพฤติการณ์พิเศษประการอื่นที่แสดงให้เห็นว่าไม่ควรกักขังผู้ต้องโทษ 4 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 76.
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 235 กักขังโทษกักขังในสถานที่ดังกล่าว ศาลจะมีค าสั่งให้กักขังผู้ต้องขังในสถานที่อื่นมิใช่ที่อยู่อาศัยของผู้ นั้นเอง โดยได้รับความยินยอม โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองสถานที่ได้ กรณี เช่นนี้ให้ศาลมีอ านาจก าหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติ และหากเจ้าของหรือผู้ ครอบครองสถานที่ดังกล่าวยินยอม ศาลอาจมีค าสั่งแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายนี้” สถานที่กักขังแทนโทษจ าคุกมี 2 ประเภท คือ 1. สถานที่กักขังซึ่งก าหนดไว้มิใช่เรือนจ า สถานีต ารวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของ พนักงานสอบสวน 2. ที่อาศัยของผู้ต้องโทษกักขังนั้นเอง หรือที่อาศัยของผู้อื่นที่ยินยอมรับตัวไว้ หรือสถานที่อื่น ที่อาจกักขังได้ ข้อสังเกต 1. สถานที่กักขังตามข้อ 2 ศาลต้องระบุไว้ในต าพิพากษา แต่สถานที่กักขังตามข้อ 1 ศาล ไม่ต้องสั่งค าพิพากษา เพียงแต่พิพากษาลงโทษกักขังแล้วศาลก็ออกหมายกักขังส่งตัวจ าเลยไปยัง สถานที่นั้นเลย 2. ถ้าการกักขังตามข้อ 1 หรือข้อ 2 อาจก่อให้เกดอันตรายต่อผู้ต้องโทษกักขัง หรือบุคคลผู้ ซึ่งพึ่งพาผู้ต้องโทษกักขังในการด ารงชีพได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร หรือมีพฤติการณ์พิเศษ ประการอื่นที่แสดงให้เห็นว่าไม่สมควรกักขังผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่ดังกล่าว ศาลจะมีค าสั่งให้กักขังผู้ ต้องโทษกักขังในสถานที่อื่นโดยศาลมีอ านาจก าหนดเงื่อนไขให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติ สิทธิและหน้าที่ของผู้ต้องโทษกักขัง 1. ผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่ซึ่งก าหนดไว้อันมิใช่เรือนจ า สถานีต ารวจหรือสถานที่ควบคุม ผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน (ป.อ.มาตรา 24 วรรคหนึ่ง) ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิและหน้าที่ ดังต่อไปนี้5 ก. สิทธิรับการเลี้ยงดูจากสถานที่นั้น แต่ภายใต้บังคับของสถานที่นั้น ข. สิทธิที่จะรับอาหารจากภายนอกโดยค่าใช้จ่ายของตนเอง ค. สิทธิที่จะใช้เสื้อผ้าของตนเอง ง. สิทธิที่จะได้รับการเยี่ยมอย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง จ. สิทธิที่จะรับส่งจดหมายได้ 5 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2524), หน้า 65.
236 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ช. มีหน้าที่ที่ต้องท างานตามระเบียบ ข้อบังคับ และวินัย ถ้าผู้ต้องโทษกักขัง ประสงค์จะท างานอย่างอื่น ก็อนุญาตให้เลือกท าได้ตามประเภทงานที่ตนสมควรแต่ต้องไม่ขัดระเบียบ ข้อบังคับ วินัย หรือความปลอดภัยของสถานที่นั้น (ป.อ.มาตรา 25) 2. ผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่อาศัยของผู้นั้นเอง ของผู้ที่ยอมรับผู้ต้องโทษ กักขัง หรือ สถานที่อื่นอาจกักขังได้ มีสิทธิดังนี้ สิทธิทีจะด าเนินการในวิชาชีพหรืออาชีพตนในสถานที่ดังกล่าว และในการนี้ศาลจะก าหนด เงื่อนไขให้ผู้ต้องโทษกักขังปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร (ป.อ.มาตรา 26) การเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจ าคุก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27 บัญญัติว่า “ถ้าในระหว่างที่ผู้ต้องโทษกักขัง ตาม มาตรา 23 ได้รับโทษกักขังอยู่ ความปรากฏแก่ศาลเองหรือปรากฏแก่ศาลตามค าแถลงของพนักงาน อัยการ หรือผู้ควบคุมสถานที่กักขังว่า (1) ผู้ต้องโทษฝุาฝืนระเบียบ ข้อบังคับ หรือวินัยของสถานที่กักขัง (2) ผู้ต้องโทษกักขังไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลก าหนด หรือ (3) ผู้ต้องโทษกักขังต้องค าพิพากษาให้ลงโทษจ าคุก ศาลอาจเปลี่ยนโทษกักขังจ าคุกมีก าหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินก าหนดเวลา โทษกักขังที่ผู้ต้องโทษกักขังจะต้องได้รับต่อไป” การเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจ าคุกมาตรา 27 นี้เป็น ดุลพินิจของศาลที่จะเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจ าคุกหรือไม่ก็ได้ ถ้าศาลเปลี่ยนเป็นโทษจ าคุก กฎหมาย บังคับไว้ว่าจ าจ าคุกเกินกว่าก าหนดเวลาโทษกักขังที่จะได้รับไปไม่ได้ แต่อนุญาตให้ศาลจ าคุกเท่าใดก็ได้ ภายในก าหนดเวลาโทษกักขังที่จะได้รับต่อไปนั้น 4. โทษปรับ โทษปรับเป็นโทษทางทรัพย์สินที่ศาลก าหนดโดยพิพากษาภายในขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้ โทษปรับตมกฎหมายได้บัญญัติจ านวนเงินค่าปรับไว้ตามลักษณะความผิดนั้นๆ เป็นอัตราโทษปรับ การ ลงทาปรับจึงต้องเป็นไปตามอัตราโทษในกฎหมาย ซึ่งศาลจะใช้ดุลพินิจว่าจะลงโทษปรับเท่าใดภายใน อัตราโทษปรับนั้นๆ เป็นอัตราโทษปรับ การลงโทษปรับจึงต้องเป็นไปตามอัตราโทษในกฎหมาย ซึ่ง ศาลจะใช้ดุลพินิจว่าจะลงทาปรับเท่าใดภายในอัตราโทษปรับนั้นๆ เว้นแต่มีอัตราโทษปรับขั้นต่ าและขั้น สูงไว้ก่อนเป็นไปตามนั้น กรณีโทษปรับที่กฎหมายก าหนดไว้พร้อมกับทาจ าคุก ศาลจะจ าคุกอย่างเดียว โดยไม่ปรับด้วยก็ได้เมื่อเห็นสมควร (ป.อ.มาตรา 20)) เว้นแต่ความผิดนั้นร้ายแรงหรือมีเหตุอื่นอันควร ลงโทษทั้งจ าคุกและปรับ หรือมีกรณีที่จะบกโทษจ าคุกคงปรับสถานเดียวตามมาตรา 55 หรือศาลจะ รอลงโทษจ าคุก แต่ควรให้ผู้กระท าความผิดได้รับโทษในปัจจุบันบ้างโดยการปรับได้
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 237 การบังคับโทษปรับ 1. ผู้ต้องโทษปรับจะต้องข าระค่าปรับตามจ านวนที่ก าหนดไว้ในค าพิพากษาต่อศาล (ป.อ. มาตรา 28) 2. ระยะเวลาช าระค่าปรับ เนื่องจากตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 28 มิได้ก าหนด ระยะเวลาช าระค่าปรับไว้ ได้แต่บัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรคหนึ่งว่า “ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ช าระ ค่าปรับภายในสามสิบงันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือมิฉะนั้นจะ ถูกขังแทนค่าปรับแต่ศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียก ประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้” ตามมาตรา 29 วรรคหนึ่งนี้หมายความ ว่า เมื่อศาลมีค าพิพากษาผู้ต้องโทษช าระค่าปรับ ผู้นั้นต้องช าระค่าปรับให้ครบถ้วนในวันนั้น หากไม่ ช าระหรือช าระไม่ครบ ศาลจะสั่งเรียกประกันการช าระค่าปรับ ถ้าผู้ต้องโทษปรับขอประกันช าระ ค่าปรับและศาลอนุญาตแล้ว จะต้องท าสัญญาประกันกับศาลด้วย ถ้าผิดสัญญาประกันผู้นั้นจะต้องใช้ เงินตามที่ระบุไว้ในสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นสมควร ซึ่งเรียกว่าศาลปรับนายประกัน ซึ่งกรณีนี้ มิใช่ค่าปรับหรือผู้ต้องโทษปรับ ดังนี้เมื่อพ้น 30 วัน นับแต่วันมีค าพิพากษา หากผู้ต้องโทษปรับไม่ช าระค่าปรับ ศาลจะสั่ง (1) ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ (2) กักขังแทนค่าปรับ เว้นแต่ผู้ต้องโทษปรับจะได้ขอประกันการช าระ ค่าปรับศาลอนุญาตแล้ว กรณียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ ตามมาตรากฎหมายอาญา มาตรา 26 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลพิพากษาลงโทษปรับจ าเลยวันใด ศาลจะสั่งให้ยึดทรัพย์จ าเลยมาใช้ค่าปรับก่อนครบ 30 วันนับแต่วันมีค าพิพากษาไม่ได้และแม้ศาลจะ สงสัยว่าจ าเลยหลีกเลี่ยงช าระค่าปรับโดยจ าเลยไม่ขอประกันช าระค่าปรับศาลก็ได้กักขังแทนค่าปรับไป พลางก่อนเท่านั้นจะยึดทรัพย์ของจ าเลยไปพลางก่อนเพื่อใช้ค่าปรับก่อนครบก าหนด 30 วันไม่ได้ ศาล จะสั่งยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับต่อเมื่อจ าเลยไม่ช าระค่าปรับภายใน 30 วันนับแต่วันมีค าพิพากษาให้ปรับ เว้นแต่จ าเลยจะมีประกันการช าระค่าปรับระหว่างนั้น กรณีศาลให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อน ถ้ากักขังนั้นได้ท าไปจนครบ 30 วันนับแต่วันมี พิพากษาและยังไม่ครบก าหนดวันกักขัง เมื่อปรากฏว่าผู้ต้องโทษปรับมีทรัพย์สินพอจะยึดมาใช้ค่าปรับที่ ยังเหลืออยู่จากการกักขังได้ ศาลจะสั่งยึดทรัพย์ของผู้ต้องโทษปรับมาใช้ค่าปรับที่ยังเหลืออยู่ได้ โดยงด หรือไม่กักขังต่อไป การกักขังแทนค่าปรับ 1. การกักขังแทนค่าปรับจะกระท าได้ต่อเมื่อผู้ต้องโทษปรับไม่ช าระค่าปรับภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา เว้นแต่ศาลสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกัน ถ้าผู้นั้นไม่มีประกันในวันที่ศาลมีค าพิพากษาศาลจะออกหมายกักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนในวันที่
238 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ศาลมีค าพิพากษานั้นเอง (ป.อ.มาตรา 29 วรรคหนึ่ง) กรณีผู้ต้องโทษปรับได้ช าระค่าปรับในวันที่ศาลมี ค าพิพากษาแต่ช าระไม่ครบจ านวนค่าปรับตาม ป.อ.มาตรา 28 ถ้าผู้นั้นไม่มีประกันค่าปรับในส่วนที่ยัง ขาดอยู่ ศาลจะสั่งกักขังแทนค่าปรับในส่วนที่ยังช าระไม่ครบได้ 2. การกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราสองร้อยบาทต่อหนึ่งวัน และไม่ว่ากรณีความผิดกระทง เดียวหรือหลายกระทง ห้ามกักขังเกินก าหนดหนึ่งปี เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่แปด หมื่นบาทขึ้นไป ศาลจะสั่งให้กักขังแทนคาปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปีก็ได้ (ป.อ. มาตรา 30 วรรคหนึ่ง) การคิดวันกักขังแทนค่าปรับ ไม่ว่าศาลจะปรับกระทงเดียวหรือหลายกระทงให้ถืออัตราสอง ร้อยบาทต่อหนึ่งวัน เมื่อค านวณวันกักขังแล้วหากวันกักขังเกิน 1 ปี ให้กักขังได้เพียง 1 ปี เว้นแต่ผู้นั้น ถูกศาลปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทขึ้นไปจึงจะกักขังเกิน 1 ปี ได้ แต่ต้องไม่เกิน 2 ปี 3. การค านวณระยะเวลานั้น ให้นับวันเริ่มกักขังแทนค่าปรับรวมเข้าด้วยและให้นับเป็นหนึ่ง วันเต็มโดยไม่ต้องค านึงถึงจ านวนชั่วโมง (ป.อ. มาตรา 30 วรรคสอง) 4. การคิดวันกักขังแทนค่าปรับ ถ้าผู้ต้องโทษปรับถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ศาลต้องหักวัน คุมขังนั้นออกจากวันค่าปรับด้วย โดยอัตราสองร้อยบาทต่อหนึ่งวันเหมือนกัน เช่น ศาลพิพากษาให้ ลงโทษปรับ ก. เป็นจ านวนเงิน 20,000 บาท แต่ ก. ได้ถูกคุมขัง (ในคดีเรื่องนั้น) ก่อนศาลพิพากษา (คดีนั้น) มาแล้ว 60 วัน คิดเป็นเงินได้ 12,000 บาท น าไปหักออกจากจ านวนเงินค่าปรับเหลือที่ต้อง ช าระค่าปรับ 8,000 บาท ก. จึงถูกกักขังแทนค่าปรับเพียง 40 วัน แต่ถ้า ก. ถูกศาลสั่งลงโทษทั้ง จ าคุกและปรับ ซึ่งถ้าจะต้องหักวันคุมขังออกจากวันจ าคุกตามมาตรา 22 ก็ให้หักออกจากจ าคุกก่อน ถ้ายังเหลือวันคุมขังอยู่อีกจึงให้หักออกจากเงินค่าปรับตามตัวอย่าง ถ้า ก. ถูกศาลพิพากษาลงโทษ จ าคุก 30 วัน ละปรับ 20,000 บาท ถ้า ก. ถูกศาลคุมขังก่อนศาลพิพากษามาแล้ว 60 วัน ต้องน า ระยะเวลาคุมขังไปหักออกจากวันจ าคุก เหลือวันคุมขังอีก 30 วัน จึงน าไปหักออกจากเงินค่าปรับ จึง เหลือที่ต้องช าระค่าปรับ 14,000 บาท 5. เมื่อผู้ต้องโทษปรับถูกกักขังแทนค่าปรับครบก าหนดแล้ว ให้ปล่อยตัวในวันถัดจากวันที่ครบ ก าหนด ถ้าน าเงินค่าปรับมาช าระครบแล้วให้ปล่อยตัวไปทันที 6. สถานกักขัง ตาม ป.อ.มาตรา 29 วรรคสองบัญญัติว่า “ความในวรรคสองของมาตรา 24 มิให้น ามาใช้บังคับแก่การกักขังแทนค่าปรับ “หมายความว่าจะกักขังไว้ในสถานที่อาศัยของผู้ต้องโทษ ปรับนั้นเองหรือของผู้อื่นไม่ได้ กล่าวคือให้กักขังไว้ในสถานที่กักขังซึ่งก าหนดไว้อันมิใช่เรือนจ า สถานี ต ารวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน 7. การกักขังแทนค่าปรับ จะใช้หรือกระท าได้เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น จะใช้แก่นิติบุคคล ไม่ได้ การท างานบริการสังคมหรือท างานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ เนื่องจากผู้ต้องโทษปรับที่ยากจนไม่มีเงินค่าปรับ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ ยากจนและต้องโทษปรับไม่ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับได้ท างานบริการสังคมหรือท างานสาธารณะ
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 239 ประโยชน์แทนค่าปรับ ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเพิ่มเติม มาตรา 30/1, 30/2 และ 30/3 โดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2545 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30/1 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลพิพากษาปรับไม่เกินแปด หมื่นบาท ผู้ต้องโทษปรับซึ่งไม่ใช่นิติบุคคล และไม่มีเงินช าระค่าปรับ อาจยื่นค าร้องต่อศาลขั้นต้นที่ พิพากษาคดีเพื่อขอท างานบริการสังคมหรือท างานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ การพิจารณาค าร้องตามวรรคแรก เมื่อศาลพิจารณาถึงฐานะการเงินประวัติ และสภาพ ความผิดของผู้ต้องโทษปรับแล้วเห็นเป็นการสมควร ศาลจะมีค าสั่งให้ผู้นั้นท างานบริการสังคมหรือ ท างานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับก็ได้ ทั้งนี้ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ เจ้าหน้าที่ ของรัฐ หน่วยงานรัฐ หรือองค์การซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการบริการสังคมการกุศลสาธารณะหรือ สาธารณะประโยชน์ที่ยินยอมรับดูแล กรณีศาลมีค าสั่งให้ผู้ต้องโทษปรับงานบริการสังคม หรือท างานสาธารณะประโยชน์แทน ค่าปรับ ให้ศาลก าหนดลักษณะหรือประเภทของงาน ผู้ดูแลการท างานเริ่มท างาน ระยะเวลาการ ท างาน และจ านวนชั่วโมงที่ถือเป็นการท างานหนึ่งวัน ทั้งนี้โดยค านึงถึง เพศ อายุ ประวัติ การนับ ถือศาสนา ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ สิ่งแวดล้อม หรือสภาพความผิดของผู้ต้องโทษปรับประกอบด้วย เพราะศาลก าหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่ง อย่างใดให้ผู้ต้องโทษปรับบัญญัติเพื่อให้แก้ไขฟื้นฟู หรือปูอองกันมิให้ผู้นั้นกระท าความผิดขึ้นอีกได้ ถ้าภายหลังความปรากฏแก่ศาลว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับการท างานบริการสังคมหรือท างาน สาธารณะประโยชน์ของผู้ต้องโทษได้เปลี่ยนแปลงไป ศาลอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงค าสั่งที่ก าหนดไว้นั้นก็ ได้ตามที่สมควร ในการก าหนดระยะเวลาท างาน แทนค่าปรับตามวรรคสามให้น าบทบัญญัติ มาตรา 30 มาใช้ บังคับโดยอนุโลม และในกรณีที่ศาลมิได้ก าหนดให้ผู้ต้องโทษปรับท างานติดต่อกันไป การท างาน ดังกล่าวต้องอยู่ภายในก าหนดระยะเวลาสองปีนับแต่วันเริ่มท างานตามที่ศาลก าหนด เพื่อประโยชน์ในการก าหนดจ านวนชั่วโมงท างานตามวรรคสาม ให้ประธานศาลฎีกามีอ านาจ ออกระเบียบราชการฝุายตุลาการศาลยุติธรรมก าหนดจ านวนชั่วโมงที่ถือเป็นการท างานหนึ่งวัน ส าหรับ งานบริการสังคม หรืองานสาธารณะประโยชน์แต่ละประเภทได้ตามสมควร” มาตรา 30/2 บัญญัติว่า “ถ้าภายหลังศาลมีค าสั่งอนุญาตตามมาตรา 30/1 แล้วปรากฏแก่ ศาลเองหรือความปรากฏตามค าแถลงของโจทก์ หรือเจ้าพนักงานว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินพอช าระ ค่าปรับได้ ในเวลาที่ยื่นค าร้องตามมาตรา 30/1 หรือฝุาฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามค าสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาล ก าหนด ศาลจะเพิกถอนค าสั่งอนุญาตดังกล่าว และปรับหรือกักขังแทนค่าปรับโดยให้หักจ านวนวันที่ ท างานมาแล้วหักออกจากจ านวนเงินค่าปรับก็ได้ ในระหว่างการท างานบริการสังคม หรือท างานสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ หากผู้ต้องโทษ ปรับไม่ประสงค์จะท างานดังกล่าวต่อไป อาจขอเปลี่ยนเป็นรับโทษปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับก็ได้ ใน กรณีนี้ให้ศาลมีค าสั่งอนุญาตตามค าร้องโดยให้หักจ านวนวันที่ท างานมาแล้วออกจากจ านวนเงินค่าปรับ
240 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 5. ริบทรัพย์สิน เรื่องการริบทรัพย์สินในการกระท าความผิดอาญา คือ เป็นโทษชนิดหนึ่งในห้าชนิดตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 18 โทษริบทรัพย์สินเป็นโทษที่ลงแก่ทรัพย์สินเป็นส าคัญว่าเข้าหลักเกณฑ์ที่จะริบได้ หรือไม่โดยไม่ค านึงถึงตัวบุคคลว่าได้กระท าความผิดหรือไม่ เช่น ทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดตาม มาตรา 32 หรือทรัพย์สินที่ศาลใช้ดุลพินิจว่าจะริบหรือไม่ริบตามมาตรา 33 ก็มุ่งถึงทรัพย์สนเป็นส าคัญ เช่น ทรัพย์สินที่บุคคลมีไว้เพื่อใช้ในการกระท าผิดตามมาตรา 33(1) จะเห็นได้ชัดว่าบุคคลนั้นยังมิได้ กระท าความผิดศาลก็อาจริบได้ เช่นเดียวกับทรัพย์สินที่บุคคลได้ใช้ในการกระท าความผิด แต่ปรากฏ ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระท าความผิดคดีนั้น ศาลก็ริบได้ เว้นแต่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์สินของ ผู้อื่นที่ไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท าความผิด ศาลริบไม่ได้ตามข้อยกเว้นในวรรคสองมาตรา 33 และ 34 สรุป หลักในการริบทรัพย์สินที่มุ่งถึงตัวทรัพย์สินเป็นส าคัญโดยไม่ค านึงถึงว่าจ าเลยผู้ถูกฟูองจะ เป็นผู้กระท าความผิดในคดีนั้นหรือไม่ (ค าพิพากษาฎีกาที่ 246/2516, 48/2518) การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญามีบัญญัติอยู่ในมาตรา 32,33 และ 34 แยกออก พิจารณาดังนี้ 1. ทรัพย์สินที่กฎหมายบังคับให้ริบโดยไม่มีข้อยกเว้น (ป.อ.มาตรา 32) 2. ทรัพย์สินที่กฎหมายบังคับให้ริบโดยมีข้อยกเว้น (ป.อ.มาตรา 34) 3. ทรัพย์สินที่กฎหมายให้ศาลใช้ดุลพินิจได้โดยมีข้อยกเว้น (ป.อ.มาตรา 33) 1. ทรัพย์สินที่กฎหมายบังคับให้ริบโดยไม่มีข้อยกเว้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดท า หรือมีไว้เป็นความผิดให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นของผู้กระท าความผิด และมีผู้ถูกลงโทษตามค าพิพากษา หรือไม่” ตามมาตรา 32 มุ่งที่ตัวทรัพย์สินเป็นส าคัญ กล่าวคือ ทรัพย์สินเหล่านี้มีกฎหมายบัญญัติ เป็นความผิด เป็นความผิดในตัวเองหรือตัวทรัพย์สินนั้นเป็นวัตถุในการท าหรือมีไว้เป็นความผิดเด็ดขาด เช่น ปืนท าเองหรือปืนที่ไม่มีทะเบียนของเจ้าพนักงานที่เรียกว่า ปืนเถื่อนนั้นเอง สุราเถื่อน หรือเงิน ปลอม เฮโรอีน กัญชา ยาบ้า ยาอี เป็นต้น ตัวอย่าง 1) จ าเลยยิงขณะผู้เสียหายยกมีดจะฟันจ าเลย มีดนั้นขนาดใหญ่ถ้าฟันได้อาจเป็นอันตรายถึง ชีวิต จ าเลยยิงนัดเดียว ดังนี้เป็นการปูองกันชีวิตพอสมควรแก่เหตุไม่เป็นความผิด ส่วนปืนที่ใช้ยิงเป็น ปืนแก๊ปไม่มีทะเบียนผู้ใดมีไว้เป็นความผิดจึงเป็นของที่ต้องริบตาม ป.อ. มาตรา 32 2) อาวุธปืนของกลางเป็นของผู้ตาย การที่จ าเลยหยิบอาวุธปืนของผู้ตายที่วางอยู่บริเวณที่เกิด เหตุขึ้นมายิงผู้ตายนั้น อาวุธปืนดังกล่าวยังอยู่ในครอบครองของผู้ตาย จ าเลยไม่มีความผิดฐานมีอาวุธ ปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่เมื่ออาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียนผู้ใดมีไว้เป็น ความผิดจึงต้องริบตาม ปอ.มาตรา 32
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 241 2. ทรัพย์สินที่กฎหมายบังคับให้ริบโดยมีข้อยกเว้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 34 บัญญัติว่า “บรรดาทรัพย์สิน (1) ซึ่งได้ให้ตามความในมาตรา 143, มาตรา 144, มาตรา 149, มาตรา 150, มาตรา 167, มาตรา 201 หรือ มาตรา 202 หรือ (2) ซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระท าความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระท า ความผิดให้ริบทรัพย์ทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท า ความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่น ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท า ความผิด” ตามมาตรา 34 มีทรัพย์สินที่จะริบได้อยู่ 2 ประเภท คือ 6 1) ท รั พ ย์ สิ น ซึ่ง ไ ด้ใ ห้ ต า ม ค ว า มใ น ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย อ า ญ า ม า ต ร า 143,144,150,167,201,202 ซึ่งความผิดดังกล่าวนั้นเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงาน และเจ้าพนักงานใน การยุติธรรม เป็นเรื่องให้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระท าการหรือไม่ กระท าการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานเรียกริบ หรือยอมจะริบทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์อื่นใด เพื่อกระท าการหรือไม่กระท าการอย่างใดในต าแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบ ด้วยหน้าที่ ทรัพย์สิที่ให้ตามความผิดดังกล่าวศาลจึงสั่งริบได้ เว้นแต่ทรัพย์สินจะเป็นของผู้อื่นที่มิได้รู้ เห็นเป็นใจด้วนในการกระท าความผิด 2) ทรัพย์สินซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระท าความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที บุคคลได้กระท าความผิด เช่น ให้ทรัพย์ใดๆ ไปเพื่อล่อหรือจูงใจให้เขากระท าความผิดใดๆก็ตาม หรือ เมื่อเขาไปกระท าความผิดมาแล้วจึงให้ทรัพย์สินแก่เขาเป็นรางวัลในการกระท าความผิด ทรัพย์สินทั้ง 2 ประเภทนี้ เป็นมูลฐานส าคัญที่ท าให้เสี่ยมเสียความยุติธรรม และยั่วยุ ให้เกิดอาชญากรรมเป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือของ บ้านเมืองมาตรา 34 จึงบังคับให้ริบทรัพย์สินนั้นทั้งสิ้น เว้นแต่ปรากฏว่าทรัพย์สินที่ให้นั้นเป็นของ บุคคลอื่นซึ่งไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท าความผิดนั้นๆ จึงริบไม่ได้ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่า การริบ ทรัพย์สินเป็นโทษย่อมจะไม่ลงโทษริบแก่เจ้าของทรัพย์สินซึ่งไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท าความผิด 3. ทรัพย์สินที่ศาลใช้ดุลพินิจได้โดยมีข้อยกเว้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 บัญญัติว่า “ในการริบทรัพย์สินนอกจากศาลจะมีอ านาจ ริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วให้ศาลมีอ านาจสั่งริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วยคือ (1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระท าความผิดหรือ (2) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระท าความผิด 6 จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน้า 214.
242 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท าความผิด” ตามมาตรา 33 นี้ มีทรัพย์สิน 3 ประเภท ที่จะถูกริบคือ (1) ทรัพย์ที่บุคคลได้ใช้ในการกระท าความผิด หมายความว่า ความผิด นั้นได้กระท าด้วยการใช้ทรัพย์นั้นเองโดยตรง เช่น ใช้มีดหรือไม้ท ารายร่างกายเขา การท าร้ายร่างการ เป็นความผิด มีดหรือไม้ที่ใช้ในการท าร้ายร่างกายจึงเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระท าความผิดที่ศาลจะริบ มีดหรือไม้นั้นได้ แต่ถ้าความผิดเกิดขึ้นเพราะเหตุอย่างอื่นไม่ได้อยู่ในการใช้ทรัพย์นั้น ทรัพย์สินที่ใช้ เกี่ยวข้องกับความผิดนั้นไม่เรียกว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระท าความผิด (2) ทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระท าความผิด หมายความถึงทรัพย์สิน ที่มีไว้โดยเจตนาเพื่อจะใช้ในการกระท าความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ใบมีดโกน มีดท าครัว ขวาน เคียวเกี่ยวข้าว ไม้หลักแจว ไม้ไผ่ถ่อเรือ รถยนต์ เงิน กุญแจผี เหล่านี้ถ้ามีไว้เพื่อใช้ในการกระท า ความผิด ศาลริบได้ แม้ความผิดยังไม่ได้กระท าลงก็ตาม (3) ทรัพย์สินที่ได้มาโดยกระท าความผิด หมายความถึงทรัพย์สินที่ได้มา จากการกระท าความผิดทุกอย่าง เว้นแต่ทรัพย์สินที่ได้มาตามมาตรา 34 เช่น ได้รับสินบท หรือค่าจ้าง หรือรางวัลในการกระท าความผิดซึ่งต้องริบ ไม่อยู่ในดุลพินิจของศาลอย่างมาตรา 33 นี้ อีกประการ หนึ่งทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระท าความผิดบางอย่างตามกฎหมายอื่น ตัวอย่างทรัพย์ที่ใช้ในการกระท าความผิด 1. จ าเลยขายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ยังไม่ได้ออกรางวัลให้แก่ผู้มีชื่อครึ่งฉบับในราคา 5 บาท 50 สตางค์ เช่นนี้เงินทั้งจ านวน 5 บาท 50 สตางค์ ย่อมมีส่วนก่อให้เกิดความผิดไม่ใช่ส่วนเฉพาะที่ เกิน 50 สตางค์ ศาลมีอ านาจริบเงิน 5 บาท 50 สตางค์ เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระท าความผิด 2. รถยนต์ที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะไปกระท าความผิด และกลับหลังจากกระท าความผิดไม่ใช่ ทรัพย์ที่ใช้ในการกระท าความผิดริบไม่ได้ 3. รถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ที่คนร้ายขับขี่ปาดหน้ารถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ผู้เสียหาย หรือใช้คุ้มกันช่วยเหลือน าตัวผู้เสียหายไปท าร้าย เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระท าความผิดริบได้ ผลของการริบทรัพย์สิน การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญาก็ดี ตามกฎหมายอื่นก็ดี เมื่อศาลพิพากษาให้ริบ มีผล 3 ประการ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 35 และมาตรา 37 กล่าวคือ 1. ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน 2. ศาลพิพากษาให้ท าลายหรือท าให้ทรัพย์สินนั้นใช้ไม่ได้ต่อไปก็ได้ เช่น ให้ขีดฆ่าธนบัตร ปลอม หรือเผาท าลายภาพลามกอนาจาร หรือฟิล์มภาพยนตร์ลามก เป็นต้น
เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 243 3. ศาลมีอ านาจให้ผู้ครอบครองทรัพย์ที่ศาลริบ (ซึ่งอาจเป็นจ าเลยหรือบุคคลภายนอกที่ พนักงานสอบสวนมอบให้รักษาทรัพย์สินของกลางนั้นไว้ก็ได้) ส่งทรัพย์สินนั้นต่อศาลภายในเวลาที่ ก าหนด ถ้าผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามค าสั่งศาล ศาลมีอ านาจสั่งต่อไปนี้ (1) ให้ยึดทรัพย์สินนั้น (2) ให้ช าระราคา หรือสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของผู้นั้นชดใช้ราคาเต็ม หรือ (3) ถ้าศาลเห็นว่าผู้นั้นจะส่งทรัพย์สินได้แต่ไม่ส่งหรือชระราคาได้ แต่ไม่ช าระให้ศาล กักขังผู้นั้นได้จนกว่าจะปฏิบัติตามค าสั่ง แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี และในระหว่างกักขังนั้นถ้าปรากฏแก่ศาล เองหรือโดยค าเสนอของผู้นั้นว่า ผู้นั้นไม่สามารถส่งทรัพย์สินหรือไม่สามารถช าระราคาได้ ศาลจะปล่อย ตัวไปก่อนครบก าหนดกักขังก็ได้ เช่นทรัพย์สินที่ริบนั้นสูญหายหรือถูกท าลายไปโดยอุบัติเหตุหรือเหตุ สุดวิสัย หรือผู้นั้นเป็นคนยากจนไม่สามารถช าระราคาได้เป็นต้น ทรัพย์สินที่ริบต้องมีตัวทรัพย์สินอยู่ เมื่อศาลพิพากษาให้ริบมีผลให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดินและศาลยังมีอ านาจพิพากษาให้ ท าลายหรือท าให้ทรัพย์สินนั้นใช้ไม่ได้ต่อไปตาม ปอ.มาตรา 35 ทั้งมีอ านาจสั่งให้ผู้ครอบครอง ทรัพย์สินที่ถูกริบส่งมอบแก่ศาล หรือให้ยึดทรัพย์สินนั้นตาม ปอ.มาตรา 37 แสดงอยู่ในตัวว่าทรัพย์สิน ที่ศาลจะพิพากษาให้ริบต้องมีตัวทรัพย์สินนั้นอยู่ในขณะที่ศาลพิพากษาคดีนั้นไม่ว่าจะจับได้ทรัพย์สินนั้น มาเป็นของกลางในคดีแล้วหรืออยู่ที่ใคร แต่ถ้าปรากฏว่าทรัพย์สินที่จะริบไม่มีอยู่ เช่น ถูกท าลายหรือ สูญหายไปแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุใดศาลจะไม่ริบเพราะไม่มีตัวทรัพย์สินที่จะตกเป็นของแผ่นดินได้ การขอคืนทรัพย์สินที่ศาลริบ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 ไปแล้วหากปรากฏในภายหลังโดยค าเสนอของเจ้าของแท้จริง ว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็น เป็นใจด้วยในการกระท าความผิดก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความ ครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่ค าเสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องกระท าต่อศาลภายในหนึ่งปีนับ แต่วันค าพิพากษาถึงที่สุด” ตามมาตรา 36 นี้ ในการขอคืนทรัพย์สินที่ศาลริบต้องประกอบด้วย หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้คือ 1. ต้องเป็นทรัพย์สินที่ศาลริบตามมาตรา 33 และ 34 2. ผู้ขอคืนต้องเป็น “เจ้าของตัวจริง” ในทรัพย์สินนั้นและต้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระท า ความผิดนั้นด้วย 3. เจ้าของแท้จริงต้องมีค าเสนอขอคืนต่อศาลภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ริบ และ 4. ศาลจะสั่งให้คืนได้ต่อเมื่อทรัพย์สินยังคงอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน
244 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ข้อสังเกต 1. ในการร้องขอคืนนี้จะมีการฟูองคดีต่อศาลหากมีการริบโดยไม่มีการฟูองคดีต่อศาลจะมาร้อง ขอให้ศาลสั่งคืนของกลางตามมาตรา 36 นี้ไม่ได้ 2. การร้องขอต่อศาลให้สั่งคืนทรัพย์สินที่ถูกริบตาม ปอ.มาตรา 36 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบ และผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท า ความผิดเท่านั้น 3. ผู้ที่จะร้องขอคืนตาม ปอ.มาตรา 36 ได้ ต้องเป็นบุคคลภายนอก 4. เจ้าของที่แท้จริงนั้น หมายรวมถึง เจ้าของรวมด้วยส่วนผู้เช่าซื้อนั้นถ้าในขณะร้องขอคืนยัง ช าระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนยังไม่ถือว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริง 5. ผู้ที่รับโอนของกลางโดยสุจริตภายหลังจ าเลยกระท าผิดแล้วก็ถือว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ ต้องรับโอนก่อนศาลมีค าพิพากษาถึงที่สุดให้ริบ 6. ค าว่า “รู้เห็นเป็นใจ” หมายความว่า รู้เหตุการณ์และร่วมใจด้วย ส่วนค าว่า “ร่วมใจ” หมายความว่า นึกคิดอย่างเดียวกัน การรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระท าความผิดจึงหมายความว่า รู้แล้ว ว่าจะมีการน าทรัพย์ของกลางไปใช้กระท าความผิด และมีความนึกคิดกระท าความผิดด้วย 7. การขอคืนของกลางต้องกระท าภายใน 1 ปี นับแต่วันค าพิพากษาถึงที่สุด ส่วนที่ 2 วิธีเพิ่มโทษและลดโทษ 1. การเพิ่มโทษ การเพิ่มโทษมีค าศัพท์อยู่ 2 ค า คือ การเพิ่มมาตราส่วนโทษกับการเพิ่มโทษที่จะลงประมวล กฎหมายอาญามาตรา 51 บัญญัติว่า “ในการเพิ่มโทษมิให้เพิ่มขึ้นถึงประหารชีวิต จ าคุกตลอดชีวิต หรือ จ าคุกเกินห้าสิบปี” ตามมาตรา 51 หมายความว่า7 การเพิ่มโทษจ าคุกทุกกรณี ศาลจะเพิ่มโทษขึ้นเป็น ให้ประหารชีวิตไม่ได้และจะเพิ่มโทษจ าคุกตลอดชีวิตหรือจ าคุก 50 ปี ไม่ได้เช่นกัน การเพิ่มโทษมี ค าศัพท์อยู่ 2 ค า คือ การเพิ่มมาตราส่วนโทษ เช่น กฎหมายก าหนดให้ระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติ ไว้กึ่งหนึ่ง หรือหนักขึ้น 2 เท่า เป็นเรื่องการเพิ่มมาตราส่วนโทษ กล่าวคือเป็นการระวางโทษที่กฎหมาย ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้น กรณีหนึ่งและการเพิ่มโทษที่จะลงอีกกรณี การเพิ่มโทษที่จะลง หมายถึง โทษที่ก าหนดไว้ในค าพิพากษา เช่น จ าเลยกระท าความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลพิพากษาลงโทษจ าคุก 2 ปี ปรากฏว่าจ าเลยเคยรับโทษจ าคุกในคดีท าร้ายร่างกายและพ้นโทษมาแล้ว ศาลจึงเพิ่มโทษส าหรับ คดีลักทรัพย์อีกกึ่งหนึ่ง อย่างนี้จ าเลยต้องรับโทษจ าคุก 3 ปี ซึ่งเป็นการเพิ่มโทษที่จะลง หลักการเพิ่มโทษจ าคุกทุกกรณีศาลจะเพิ่มขึ้นเป็นให้ประหารชีวิต จ าคุกตลอดชีวิต หรือ จ าคุกเกินกว่า 50 ปี ไม่ได้นั้น กรณีผู้กระท าความผิดต้องโทษจ าคุกตลอดชีวิต หากมีการเพิ่มโทษจะ 7 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 96.