The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Mix Present การวัดประเมินผล (ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

Mix การวัดผลประเมินผล (ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน)

Mix Present การวัดประเมินผล (ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน)

www.themegallery.com LOGO เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัย รศ.ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


Activities เล่า ตัวอย่าง ฝึกปฏิบัติ ซักถาม & อภิปราย


GIGO "Garbage In, Garbage Out”


www.themegallery.com LOGO OLE Model


OLE Model O : Objectives L : Learning E : Evaluation


การออกข้อสอบ การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน รศ.ดร.ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม http://www.free-powerpoint-templates-design.com


Overview 01 ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา 02 หลักการวัดผลการศึกษา 03 ข้อควรค านึงเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลการศึกษา 04 การจ าแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษา 05 เครื่องมือ/วิธีการที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา สมนึก ภัททิยธนี. (2556).การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 9. กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์.


Nature of Educational Measurement ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา


ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา 01 02 03 04 05 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete) เป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) มีความคลาดเคลื่อน (Error) ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนจากผู้ถูกวัด (ผู้เรียน) และ ความคลาดเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพห้อง, เสียงรบกวน, ข้อสอบ, วิธีวัด, กรรมการคุมสอบ, ผู้ตรวจให้คะแนน ผลการวัดแสดงในรูปของความสัมพันธ์ (Relation) เทียบกับคะแนนเต็ม, เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม, เทียบกับเกณฑ์ ไม่มีศูนย์แท้ (Absolute Zero)


ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา 01 02 03 04 05 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete) เป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) มีความคลาดเคลื่อน (Error) ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนจากผู้ถูกวัด (ผู้เรียน) และ ความคลาดเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพห้อง, เสียงรบกวน, ข้อสอบ, วิธีวัด, กรรมการคุมสอบ, ผู้ตรวจให้คะแนน ผลการวัดแสดงในรูปของความสัมพันธ์ (Relation) เทียบกับคะแนนเต็ม, เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม, เทียบกับเกณฑ์ ไม่มีศูนย์แท้ (Absolute Zero)


ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา 01 02 03 04 05 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete) เป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) มีความคลาดเคลื่อน (Error) ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนจากผู้ถูกวัด (ผู้เรียน) และ ความคลาดเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพห้อง, เสียงรบกวน, ข้อสอบ, วิธีวัด, กรรมการคุมสอบ, ผู้ตรวจให้คะแนน ผลการวัดแสดงในรูปของความสัมพันธ์ (Relation) เทียบกับคะแนนเต็ม, เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม, เทียบกับเกณฑ์ ไม่มีศูนย์แท้ (Absolute Zero)


ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา 01 02 03 04 05 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete) เป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) มีความคลาดเคลื่อน (Error) ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนจากผู้ถูกวัด (ผู้เรียน) และ ความคลาดเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพห้อง, เสียงรบกวน, ข้อสอบ, วิธีวัด, กรรมการคุมสอบ, ผู้ตรวจให้คะแนน ผลการวัดแสดงในรูปของความสัมพันธ์ (Relation) เทียบกับคะแนนเต็ม, เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม, เทียบกับเกณฑ์ ไม่มีศูนย์แท้ (Absolute Zero)


ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา 01 02 03 04 05 เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete) เป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) มีความคลาดเคลื่อน (Error) ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนจากผู้ถูกวัด (ผู้เรียน) และ ความคลาดเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพห้อง, เสียงรบกวน, ข้อสอบ, วิธีวัด, กรรมการคุมสอบ, ผู้ตรวจให้คะแนน ผลการวัดแสดงในรูปของความสัมพันธ์ (Relation) เทียบกับคะแนนเต็ม, เทียบกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม, เทียบกับเกณฑ์ ไม่มีศูนย์แท้ (Absolute Zero)


วัดให้ตรงกับ จุดมุ่งหมาย ของการเรียน การสอน เลือกใช้เครื่องมือ วัดที่ดีและ เหมาะสม ป้องกันความ คลาดเคลื่อน ที่จะเกิดขึ้น ประเมินผล การวัด ให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัด ให้คุ้มค่า หลักการวัดผลการศึกษา 1 2 3 4 5


วัดให้ตรงกับ จุดมุ่งหมาย ของการเรียน การสอน เลือกใช้เครื่องมือ วัดที่ดีและ เหมาะสม ป้องกันความ คลาดเคลื่อน ที่จะเกิดขึ้น ประเมินผล การวัด ให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัด ให้คุ้มค่า หลักการวัดผลการศึกษา 1 2 3 4 5


วัดให้ตรงกับ จุดมุ่งหมาย ของการเรียน การสอน เลือกใช้เครื่องมือ วัดที่ดีและ เหมาะสม ป้องกันความ คลาดเคลื่อน ที่จะเกิดขึ้น ประเมินผล การวัด ให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัด ให้คุ้มค่า หลักการวัดผลการศึกษา 1 2 3 4 5


วัดให้ตรงกับ จุดมุ่งหมาย ของการเรียน การสอน เลือกใช้เครื่องมือ วัดที่ดีและ เหมาะสม ป้องกันความ คลาดเคลื่อน ที่จะเกิดขึ้น ประเมินผล การวัด ให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัด ให้คุ้มค่า หลักการวัดผลการศึกษา 1 2 3 4 5


วัดให้ตรงกับ จุดมุ่งหมาย ของการเรียน การสอน เลือกใช้เครื่องมือ วัดที่ดีและ เหมาะสม ป้องกันความ คลาดเคลื่อน ที่จะเกิดขึ้น ประเมินผล การวัด ให้ถูกต้อง ใช้ผลการวัด ให้คุ้มค่า หลักการวัดผลการศึกษา 1 2 3 4 5


ข้อควรค านึง เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลการศึกษา การสอบ การวัดและ ประเมินผล ไม่ควร ทดสอบเฉพาะกลาง ภาคหรือปลายภาค เพื่อตัดสินการเรียน ได้-ตก, ผ่าน-ไม่ผ่าน ควรใช้ในการปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ ไม่ควรสอนเพื่อสอบ ใช้การวัดผลเพื่อกระตุ้นให้ ผู้เรียนใช้ความคิดหรือ สติปัญญา การวัดผล เป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการจัดการ เรียนการสอน


ข้อควรค านึง เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลการศึกษา การสอบ การวัดและ ประเมินผล ไม่ควร ทดสอบเฉพาะกลาง ภาคหรือปลายภาค เพื่อตัดสินการเรียน ได้-ตก, ผ่าน-ไม่ผ่าน ควรใช้ในการปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ ไม่ควรสอนเพื่อสอบ ใช้การวัดผลเพื่อกระตุ้นให้ ผู้เรียนใช้ความคิดหรือ สติปัญญา การวัดผล เป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการจัดการ เรียนการสอน


ข้อควรค านึง เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลการศึกษา การสอบ การวัดและ ประเมินผล ไม่ควร ทดสอบเฉพาะกลาง ภาคหรือปลายภาค เพื่อตัดสินการเรียน ได้-ตก, ผ่าน-ไม่ผ่าน ควรใช้ในการปรับปรุง การจัดการเรียนรู้ ไม่ควรสอนเพื่อสอบ ใช้การวัดผลเพื่อกระตุ้นให้ ผู้เรียนใช้ความคิดหรือ สติปัญญา การวัดผล เป็นส่วนหนึ่ง ของกระบวนการจัดการ เรียนการสอน


การจ าแนกจุดมุ่งหมาย ทางการศึกษา Taxonomy of Education พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)


การจ าแนกจุดมุ่งหมาย ทางการศึกษา Taxonomy of Education พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain)


การจ าแนกจุดมุ่งหมาย ทางการศึกษา Taxonomy of Education พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)


พฤติกรรมด้านความรู้ (Knowledge) หรือพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถใน การคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง เป็นความสามารถทางสติปัญญา


กระบวนการและค าศัพท์เดิม กระบวนการและค าศัพท์ใหม่ 1. ความรู้(Knowledge) 1. จ า (Remember) 2. ความเข้าใจ(Comprehension) 2. เข้าใจ (Understand) 3. การน าไปใช้(Application) 3. ประยุกต์ใช้(Apply) 4. การวิเคราะห์(Analysis) 4. วิเคราะห์(Analyze) 5. การสังเคราะห์(Synthesis) 5. ประเมินค่า(Evaluate) 6. การประเมินค่า(Evaluation) 6. สร้างสรรค์(Create) พฤติกรรมการเรียนรู้แบบพุทธพิสัย (Cognitive Domain) ตามลา ดับข้ันทางปัญญาของบลูม(Revised Bloom’s Tax onomy)Anderson & Krathwolhและคณะ (2000) ได้ท า การปรับปรุงลา ดับข้ันทางสติปัญญาของบลูม ที่เสนอไว้ในปี 1956โดยมีการปรับเปลี่ยนสาระต่างๆ พฤติกรรมด้านความรู้ (Knowledge) หรือพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)


การสร้างสรรค์ (Creating) การประเมิน (Evaluating) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประยุกต์ใช้ (Applying) การเข้าใจ (Understanding) การจ า (Remembering) แผนภาพ ล าดับขั้นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้หรือพุทธิพิสัยฉบับปรับปรุง ของ Bloom (Revised Bloom’s Taxonomy, 2000)


จ า (Remembering) เป็นความสามารถของสมองในการระลึกหรือจ าความรู้หรือสารสนเทศที่เก็บไว้ในสมอง ซึ่งเป็นความจ าระยะยาว เข้าใจ (Understanding) เป็นความสามารถทางสมองของบุคคลในการสร้างความหมายหรือความรู้จากสื่อหรือเครื่องมือทางการศึกษาด้วยตนเอง เช่น จากการ อ่าน การอธิบายของครู ทักษะย่อยของความสามารถในขั้นนี้ไก้แก่ การแปลความหมาย interpreting การให้ตัวอย่าง (exemplifyin g) การจักจ าแนก (classifying) การสรุป (summarizing) การสรุปอ้างอิง (inferring) การเปรียบเทียบ (comparing) และการ อธิบาย (explaining) ประยุกต์ใช้ (Applying) จัดเป็นกระบวนการทางสมองในการใช้กระบวนการที่ได้เรียนรู้มาในสถานการณ์ใหม่หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน วิเคราะห์ (Analyzing) กระบวนการทางปัญญาในชั้นนี้ เป็นการแยกความรู้ออกเป็นส่วนๆ โดยสามารถให้เหตุผลว่าความรู้ส่วนย่อยที่แยกแต่ละส่วนมีความ เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของความรู้ทั้งหมดอย่างไร นักเรียนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์จะต้องสามารถจ าแยกความแตกต่างได้ จัดระบบความรู้ได้และบอกที่มาของความรู้หรือองค์ประกอบแต่ละส่วนได้ ประเมินค่า (Evaluating) เดิมความสามารถด้านการประเมินจัดเป็นความรู้ขั้นสูงสุด เป็นความสามารถของสติปัญญาเกี่ยวกับการตรวจสอบและการวิพากษ์ต่างๆ สร้างสรรค์ (Create) เป็นความสามารถของสติปัญญาในการสร้างสิ่งใหม่จากสิ่งที่เคยเรียนรู้มาหรือสิ่งที่พบเห็นในบริบทต่างๆ นักเรียนที่มีความสามารถใน การสร้างสรรค์จะต้องสามารถสร้างสรรค์งาน แผนงานหรือผลิตภัณฑ์หรือชิ้นงานที่แปลกใหม่


เครื่องมือ/วิธีการที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา 03 04 05 02 เลือกเครื่องมือ/วิธีการ 01 การสังเกต ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับสิ่งที่จะวัด เครื่องมือ/วิธีการ 06 07 การสัมภาษณ์ การจัดอันดับ แบบสอบถาม การวัดผลตามสภาพจริง การวัดผลภาคปฏิบัติ แบบทดสอบ


เครื่องมือ/วิธีการที่ใช้ในการวัดผลการศึกษา 03 04 05 02 เลือกเครื่องมือ/วิธีการ 01 การสังเกต ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับสิ่งที่จะวัด เครื่องมือ/วิธีการ 06 07 การสัมภาษณ์ การจัดอันดับ แบบสอบถาม การวัดผลตามสภาพจริง การวัดผลภาคปฏิบัติ แบบทดสอบ


แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน Achievement Test แบบตอบสั้น (Short Answer Test) แบบจับคู่ (Matching Test) แบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) แบบกาถูก – ผิด (True or False Test) แบบเติมค า (Completion Test)


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความยาก ไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความยาก ไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความยาก ไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความยาก ไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความยาก ไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความ ยากไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


แบบอัตนัยหรือความเรียง (Essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะค าถาม แล้วให้ผู้สอบเขียนตอบอย่างเสรี 1) เขียนค าชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการตอบให้ ชัดเจน ระบุจ านวนข้อค าถาม เวลาที่ใช้ สอบ และคะแนนเต็มของแต่ละข้อ 2) เขียนประเด็นค าถามให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ไขว้เขวในการตอบ 3) ไม่ควรใช้วัดความรู้ความจ า ควรถามให้คิดขั้นสูง มักขึ้นต้นด้วยค าว่า จงอธิบาย, จงอภิปราย, จงเปรียบเทียบ, จงวิเคราะห์, จงวิจารณ์, จงสังเคราะห์, จงระบุความสัมพันธ์, จงประเมินค่า 4) เลือกถามเฉพาะจุดที่ส าคัญของเรื่อง 5) ก าหนดเวลาให้นานพอสมควร (ค านึงถึงประเด็นที่ต้องตอบและระดับ ความลุ่มลึกของการตอบที่คาดหวัง) 6) ไม่ควรให้เลือกท าข้อสอบเป็น บางข้อ เพราะค าถามแต่ละข้อมีความยาก ไม่เท่ากัน ไม่ยุติธรรม 7) การตรวจให้คะแนน 7.1) ก าหนดแนวค าเฉลยไว้ก่อน และระบุว่า ประเด็นใด ตอนใด ควรได้กี่คะแนน 7.2) ควรตรวจเฉพาะข้อเดียวจนครบทุกคน แล้วตรวจข้อต่อไป 7.3) ไม่ควรดูชื่อผู้สอบ เพื่อป้องกันการเกิด อคติในการให้คะแนน หลักในการสร้าง


ข้อดี ข้อจ ากัด แบบอัตนัย ข้อดี 1) สามารถวัดระดับการคิดขั้นสูงได้ดี 2) ผู้ตอบมีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ 3) ป้องกันโอกาสในการเดาได้ดี ข้อจ ากัด 1) ออกข้อสอบได้น้อยข้อ เพราะแต่ละข้อต้องใช้เวลานาน อาจไม่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการวัด 2) การตรวจให้คะแนนอาจไม่ยุติธรรม 3) ไม่เหมาะสมที่ใช้กับการทดสอบกรณี ผู้สอบมีจ านวนมาก 4) ลายมือส่งผลต่อการตรวจให้คะแนน


ข้อดี ข้อจ ากัด แบบอัตนัย ข้อดี 1) สามารถวัดระดับการคิดขั้นสูงได้ดี 2) ผู้ตอบมีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ 3) ป้องกันโอกาสในการเดาได้ดี ข้อจ ากัด 1) ออกข้อสอบได้น้อยข้อ เพราะแต่ละข้อต้องใช้เวลานาน อาจไม่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการวัด 2) การตรวจให้คะแนนอาจไม่ยุติธรรม 3) ไม่เหมาะสมที่ใช้กับการทดสอบกรณี ผู้สอบมีจ านวนมาก 4) ลายมือส่งผลต่อการตรวจให้คะแนน


ตัวอย่างข้อสอบอัตนัย 1) จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ประชากร, ตัวอย่าง, พารามิเตอร์ และสถิติ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ ? 2) เหตุใดขุนแผนจึงมีภรรยาหลายคน ท่านคิดว่าเป็นการกระท าที่ดีหรือไม่ เพราะเหตุใด ? 3) จงเปรียบเทียบความเหมือน และความต่างระหว่างความเที่ยงตรง กับความเชื่อมั่น พร้อมยกตัวอย่างประกอบ ?


แบบทดสอบแบบถูก – ผิด ลักษณะทั่วไป ถือว่าเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แบบคงที่ มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ถูก –ผิด, ใช่ – ไม่ใช่, จริง – ไม่จริง เป็นต้น 04 02 03 01 หลักในการสร้าง เขียนค าถามให้รัดกุม แต่มีข้อมูลเพียงพอ ที่จะตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด ใช้ภาษาง่ายๆ สื่อความหมายตรง ไม่ควรเขียนในรูปปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้ค าว่า เสมอๆ , ไม่คอยจะ, บางครั้ง, บ่อยๆ ฯลฯ เพราะอาจตีความหมาย ต่างกัน ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับผิดจ านวนใกล้เคียง กัน และควรสลับข้อถูก – ผิด อย่างไม่มีระบบ


แบบทดสอบแบบถูก – ผิด ลักษณะทั่วไป ถือว่าเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แบบคงที่ มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ถูก –ผิด, ใช่ – ไม่ใช่, จริง – ไม่จริง เป็นต้น 04 02 03 01 หลักในการสร้าง เขียนค าถามให้รัดกุม แต่มีข้อมูลเพียงพอ ที่จะตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด ใช้ภาษาง่ายๆ สื่อความหมายตรง ไม่ควรเขียนในรูปปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้ค าว่า เสมอๆ , ไม่คอยจะ, บางครั้ง, บ่อยๆ ฯลฯ เพราะอาจตีความหมาย ต่างกัน ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับผิดจ านวนใกล้เคียง กัน และควรสลับข้อถูก – ผิด อย่างไม่มีระบบ


แบบทดสอบแบบถูก – ผิด ลักษณะทั่วไป ถือว่าเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แบบคงที่ มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ถูก –ผิด, ใช่ – ไม่ใช่, จริง – ไม่จริง เป็นต้น 04 02 03 01 หลักในการสร้าง เขียนค าถามให้รัดกุม แต่มีข้อมูลเพียงพอ ที่จะตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด ใช้ภาษาง่ายๆ สื่อความหมายตรง ไม่ควรเขียนในรูปปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้ค าว่า เสมอๆ , ไม่คอยจะ, บางครั้ง, บ่อยๆ ฯลฯ เพราะอาจตีความหมาย ต่างกัน ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับผิดจ านวนใกล้เคียง กัน และควรสลับข้อถูก – ผิด อย่างไม่มีระบบ


แบบทดสอบแบบถูก – ผิด ลักษณะทั่วไป ถือว่าเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แบบคงที่ มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ถูก –ผิด, ใช่ – ไม่ใช่, จริง – ไม่จริง เป็นต้น 04 02 03 01 หลักในการสร้าง เขียนค าถามให้รัดกุม แต่มีข้อมูลเพียงพอ ที่จะตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด ใช้ภาษาง่ายๆ สื่อความหมายตรง ไม่ควรเขียนในรูปปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้ค าว่า เสมอๆ , ไม่คอยจะ, บางครั้ง, บ่อยๆ ฯลฯ เพราะอาจ ตีความหมายต่างกัน ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับผิดจ านวนใกล้เคียง กัน และควรสลับข้อถูก – ผิด อย่างไม่มีระบบ


แบบทดสอบแบบถูก – ผิด ลักษณะทั่วไป ถือว่าเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แบบคงที่ มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ถูก –ผิด, ใช่ – ไม่ใช่, จริง – ไม่จริง เป็นต้น 04 02 03 01 หลักในการสร้าง เขียนค าถามให้รัดกุม แต่มีข้อมูลเพียงพอ ที่จะตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด ใช้ภาษาง่ายๆ สื่อความหมายตรง ไม่ควรเขียนในรูปปฏิเสธซ้อน ไม่ควรใช้ค าว่า เสมอๆ , ไม่คอยจะ, บางครั้ง, บ่อยๆ ฯลฯ เพราะอาจตีความหมาย ต่างกัน ควรออกข้อสอบให้มีข้อถูกกับผิดจ านวนใกล้เคียง กัน และควรสลับข้อถูก – ผิด อย่างไม่มีระบบ


ข้อดี ข้อจ ากัด แบบถูก - ผิด ข้อดี 1) สร้างได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว 2) ถามได้จ านวนมากข้อ, คลอบคลุมเนื้อหา 3) ใช้เวลาในการสอบน้อย 4) ตรวจให้คะแนนได้ง่าย ยุติธรรม ข้อจ ากัด 1) ในบางประเด็นเป็นการยากที่จะสร้างข้อความที่เป็นจริง หรือเท็จโดยสมบูรณ์ 2) มักวัดได้เฉพาะความรู้ความจ า 3) ยากในการวินิจฉัยจุดอ่อนของผู้เรียน 4) โอกาสในการเดาสูงมาก (50 %)


ข้อดี ข้อจ ากัด แบบถูก - ผิด ข้อดี 1) สร้างได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว 2) ถามได้จ านวนมากข้อ, คลอบคลุมเนื้อหา 3) ใช้เวลาในการสอบน้อย 4) ตรวจให้คะแนนได้ง่าย ยุติธรรม ข้อจ ากัด 1) ในบางประเด็นเป็นการยากที่จะสร้างข้อความที่เป็นจริง หรือเท็จโดยสมบูรณ์ 2) มักวัดได้เฉพาะความรู้ความจ า 3) ยากในการวินิจฉัยจุดอ่อนของผู้เรียน 4) โอกาสในการเดาสูงมาก (50 %)


ตัวอย่างข้อสอบแบบถูกผิด ..............1) ปัญหาวิจัยคือจุดเริ่มต้นของกระบวนการวิจัย ..............2) การน าเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องควรน าเสนอในเชิงสังเคราะห์ ..............3) ความวิตกกังวล เป็น Extraneous Variable ..............4) การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นตัวแปรตาม ..............5) การเลือกวิธีการสุ่มตัวอย่างขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของประชากรเป็นส าคัญ


แบบทดสอบแบบเติมค า ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบเติมค า หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 1) ไม่ควรใช้ข้อความหรือประโยคจาก หนังสือแล้วตัดค าบางค า หรือบาง ข้อความออกมาใช้เป็นค าถาม ควรใช้ข้อความของผู้ออกข้อสอบเอง 2) ค าตอบที่ต้องการให้เติม จะต้องเป็นค าตอบ ที่เฉพาะเจาะจง ไม่ตีความได้หลายนัย เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นใน...................... สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นใน พ.ศ. ............ 3) ต าแหน่งที่ให้เติมต้องเป็นจุดที่ส าคัญ และตรงตามสิ่งที่ต้องการวัด หลักในการสร้าง


Click to View FlipBook Version