40 1.9 อำนาจจำแนก (Discrimination Power) คือ ความสามารถในการวัดได้จริงแบบทดสอบที่สร้าง ควรจะคุ้มค่ากับเศรษฐกิจที่จะลงทุนไปทั้งด้านการเงินและเวลา นอกจากนี้ยังง่ายต่อการใช้ การตรวจและแปล ผลคะแนน จากการศึกษาลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดีดังข้างต้น ผู้วิจัยจะนำมาใช้ในการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบทดสอบท้ายวงจร โดยผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9.1 งานวิจัยในประเทศ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้SSCS ทิพย์ฤทัย ไกรศรีวรรธนะ (ม.ป.ป.) ได้ทำวิจัยเรื่องการศึกษาทักษะการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วย การจัดการเรียนร้โดยใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา(SSCS ) ผลวิจัยพบว่า 1) ทักษะการคิดแก้ปัญหาคิดเป็น คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 17.56 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.97 คิดเป็น ร้อยละ 87.84 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 91.89 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา (SSCS) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 24.11 คะแนน จาก คะแนนเต็ม 30 คะแนน มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.26 คิดเป็นร้อยละ 80.36 และมีนักเรียนที่ผ่าน เกณฑ์คิดเป็นร้อยละ78.38 นันทพร รอดผล (ม.ป.ป.) ได้ทำวิจัยเรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์เรื่อง สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ผลการวิจัย พบว่าผลการเรียนรู้เรื่อง สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลัง เรียนด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบ SSCS สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นวลจันทร์ผมอุดทา (2545 : 70) ที่ศึกษาผลของการสอนคณิตศาสตร์ที่จัดการเรียนรู้แบบ SSCS ที่มี ต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรี สมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความสามารถใน การแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบ SSCS และ 2. เปรียบเทียบ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการ สอนที่จัดการเรียนรู้แบบSSCS และกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบปกติกลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จังหวัดสมุทรปราการ นักเรียนกลุ่มทดลอง 42 คน และกลุ่มควบคุม 40 คน นักเรียนในกลุ่มทดลองได้รับการสอนที่จัดการเรียนรู้ แบบSSCS และนักเรียนกลุ่มควบคุมได้รับ การสอนแบบปกติภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2545 โดยใช้เทคนิค การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ผลการวิจัย พบว่า 1. ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ที่ได้รับการสอน ที่จัดการเรียนรู้แบบ SSCS สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ ร้อยละ 50 ที่กําหนดไว้2. ความสามารถ
41 ในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการสอนที่จัดการเรียนรู้แบบ SSCS สูงกว่านักเรียนที่ ได้รับการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นันทวัน คําสียา (2551 : 91-92) เรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และเจตคติต่อการเรียน คณิตศาสตร์เรื่อง อสมการ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการเรียนรูปแบบ LT การ เรียนรู้แบบ KWL และการเรียนรู้ แบบ SSCS โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการ คิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และเจตคติการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง อสมการ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบ LT การ เรียนรู้แบบ KWL และการเรียนรู้แบบ SSCS กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยบุรีรัมย์ ตําบลสตึก อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จํานวน 114 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบ LT วิธีการเรียนรู้ แบบ KWL และวิธีการ เรียนรู้แบบ SSCS มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์และเจตคติต่อการเรียนคณิตศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยวิธีการเรียนรู้แบบ LT การเรียนรู้แบบ KWL และการสำนัก หอสมุดกลาง 68 เรียนรู้แบบ SSCS มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และเจตคติต่อการเรียนคณิตศาสตร์แตกต่างกัน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการระดมสมอง สมประสงค์ชัยโฉม (2532) ไส้ศึกษาผลการใช้วิธีการระคมสมองที่มีต่อการคิดแก้ปัญหาเอนกนัยของ เด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่าง ประชากร เป็นนักเรียนชั้นอนุบาล 2 จำนวม 30 คน แผนการจัดประสบการณ์ จำนวน 24 แผน ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง โดยใช้ระยะเวลาในการทคลอง 6 สัปดาห์ ผลการทคลองปรากฏว่า กลุ่มที่ ได้รับการจัดประสบการณ์แบบเน้นการระคมสมองมีความสามารถในการแก้ปัญหาแบบเอนกนัยสูงกว่ากลุ่ม ควบคุม มีได้รับการจัดประสบการณ์แบบตามแผนการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผู้วิจัยอภิปรายว่า กลุ่มทคลองสามารถแก้ปัญหาแบบเอนกนัยได้มากกว่ากลุ่มควบคุม เนื่องจากการแก้ปัญหา แบบกลุ่มที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดอย่างอิสระ ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และสามารถเก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดี วิรัตน์ คุ้มคำ (2535) ได้ทำการศึกษาพัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาศิลปศึกษาด้วยกลวิธีระคมสมอง กลุ่มตัวอย่างประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสีสุก สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 32 คนเป็นนักเรียนชาย 14 คน นักเรียน หญิง 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ โดยอาศัยรูปภาพเป็นสื่อแบบ ก. ของ Tottance และแผนการสอนศิลปศึกษาด้วยกลวิธีระคมสมองจำนวน 8 แผน ผลจากการวิจัยพบว่า ความคิดสร้างสรรค์ทั้ง 3 ด้าน คือ ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดริเริ่ม ความคิดละเอียดลออ และผลรวมของ ความคิดสร้างสรรค์ทั้ง 3 ด้าน ก่อนและหลังการเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงสรุป
42 ได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์หลังการเรียนวิชาศิลปศึกษาด้วยกลวิธีระดมสมองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนการเรียน ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวเป็นไปตามสมมติฐานที่วางไว้ 9.2 งานวิจัยต่างประเทศ Luft and others. (1997 : 18-21 อ้างถึงใน กัญชนก กามะพร 2553 : 52) ได้ศึกษาวิธีการ แก้ปัญหา ในวิชาวิทยาศาสตร์ใช้รูปแบบการสอนแบบ SSCS มาบูรณาการใช้แก้ปัญหาในวิชา สำนักหอสมุดกลาง 71 คณิตศาสตร์พบว่า การใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ทําให้นักเรียนค้นหาคําตอบเกี่ยวกับสิ่งที่กำาหนดให้ สามารถอธิบาย วางแผนแก้ปัญหา วิเคราะห์ข้อมูลจัดทําข้อมูลเพื่อสื่อสารกับคนอื่น และร่วมกันสรุปผลการ คําตอบได้เป็นอย่างดีโดยจากการทําแบบทดสอบ Pizzini, Shepardson and Abell (1989) ได้ศึกษาการจัดการเรียนการสอนวิชา วิทยาศาสตร์โดยใช้ รูปแบบ SSCS กับการสอนแบบปกติที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของ นักเรียนในระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้ รูปแบบ SSCS ทั้งในระดับประถมศึกษาและระดับชั้นมัธยมศึกษามีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่า นักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติและนักเรียนในระดับมัธยมศึกษามีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่า นักเรียนในระดับประถมศึกษาอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 Anderson (1982.PP.4795-A อ้างถึงใน กาญจนา ดวงนาและคณะ 2551 : 67) ได้สร้างชุดการสอน ด้วยตนเองเพื่อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมในระดับ เตรียมอุดมศึกษา โดยใช้ชุดการสอนด้วยตนเองกับการสอนแบบบรรยาย ผลปรากฏว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิต
43 10. กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ มีกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังนี้ ภาพที่ 3 แผนภาพแสดงกรอบแนวคิดในการวิจัย การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการ ระดมสมอง โดยมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) Search (S) 2) Solve (S) 3) Create (C) 4) Share (S) ตามการสรุปของสำนักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา (2550) 1. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
44 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิด แก้ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับ เทคนิคการระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ใน ในรายวิชา ส 22101 สังคม ศึกษา ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการวิจัย ดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. ตัวแปรที่ทำการวิจัย 3. รูปแบบการวิจัย 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 8. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 2. ตัวแปรที่ทำการวิจัย 2.1 ตัวแปรต้น คือ รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง 2.2 ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. รูปแบบการวิจัย รูปแบบของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ตามแนวคิดของ Kemmis & MCTTaggart (1992 อ้างถึงใน กนกวรรณ ศรีนรจันทร์, 2555) ซึ่งมี การดำเนินการตามวงจรปฏิบัติการ PAOR ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การวางแผนหรือเตรียมการ (Plan) 2) การปฏิบัติการ (Act) 3) การสังเกต (Observe)
45 4) การสะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflect) โดยสามารถสรุปรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เป็นแผนภาพได้ ดังนี้ ภาพที่ 4 แผนภาพแสดงรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) จากรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ดังข้างต้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามวงจร ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผนหรือเตรียมการ การปฏิบัติการ การสังเกตและสะท้อน ผลการปฏิบัติ ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นการวางแผนหรือเตรียมการ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 1) สำรวจและวิเคราะห์สภาพปัญหาการเรียนการสอน ศึกษาสภาพปัญหาเพื่อหาแนวทางการ แก้ปัญหาในการวิจัย 2) ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านไผ่กำหนดเนื้อหาสาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์รายวิชาสังคมศึกษาที่ จะนำมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย 3) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวทางในการสร้างแบบทดสอบ วัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และรูปแบบการจัดกิจกรรมการ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ACTION RESEARCH มีขั้นตอน ด าเนินการ 4 ขั้นตอนดังนี้ PLAN OBSERV REFLECT ACT PLAN OBSERV REFLECT ACT PLAN OBSERV REFLECT ACT วงจรที่ 1 แผนฯ ที่ 1-2 วงจรที่ 3 แผนฯ ที่ 5-6 วงจรที่ 2 แผนฯ ที่ 3-4 วงจรที่ 1 แผนฯ ที่ 1-3 วงจรที่ 2 แผนฯ ที่ 4-6 วงจรที่ 3 แผนฯ ที่7-9
46 เรียนรู้โดยรูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง เพื่อนำมาใช้วางแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้และเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาในการวิจัย 4) ดำเนินการสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวิชาสังคมศึกษา เครื่องมือที่ใช้สะท้อนผลการปฏิบัติ คือ แบบบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูแบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูและ แบบทดสอบท้ายวงจร เครื่องมือในการประเมินผลการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5) นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมของเนื้อหา รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะที่ควรแก้ไข เพื่อพัฒนาปรับปรุงต่อไป 6) ผู้วิจัยนำเครื่องมือในการวิจัยที่ผ่านการพิจารณาตรวจสอบมาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ ยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ขั้นที่ 2 ดำเนินการวิจัยโดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ประกอบด้วย 3 วงจร วงจรละ 3 แผน ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) ขั้นปฏิบัติการวงจรที่ 1 (แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1-3) 1.1) ขั้นวางแผน (Planning) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1-3 มาจัดเตรียมสื่อการเรียนรู้ เครื่องมือใน การวัดผลและสะท้อนผลสำหรับนักเรียน และผู้วิจัย รวมทั้งทำความเข้าใจเรื่องการประเมิน แบบประเมิน และแบบสะท้อนผลการวิจัยต่าง ๆ 1.2) ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนใน ชั้นเรียนจำนวน 3 แผน 1.3) ขั้นสังเกต (Observation) ขณะที่ผู้วิจัยปฏิบัติการสอน ผู้วิจัยทำการสังเกตพฤติกรรมของ นักเรียน รวมทั้งสัมภาษณ์นักเรียนเรียนหลังสอนและสะท้อนผลการปฏิบัติพร้อมทั้งให้นักเรียนทำการทดสอบ ย่อยท้ายวงจรที่ 1 1.4) ขั้นสะท้อนผล (Reflection) ผู้วิจัยนำผลจากการบันทึกโดยผู้วิจัย และผู้ช่วยวิจัย รวมถึงผลจาก การสุ่มสัมภาษณ์นักเรียน มารวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลด้านปัญหา อุปสรรค ข้อดี และข้อบกพร่อง เพื่อนำผลจาก การสะท้อนผลการวิจัยในวงจรที่ 1 ไปปรับปรุงแก้ไขในวงจรที่ 2 2) ขั้นปฏิบัติการในวงจรที่ 2 (แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4-6) 2.1) ขั้นวางแผน (Planning) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4-6 ปรับปรุงแก้ไขจากข้อมูลที่ได้รับการ สะท้อนจากวงจรที่ 1 เพื่อจัดเตรียมสื่อการเรียนรู้ เครื่องมือในการวัดประเมินผล และสะท้อนผลสำหรับ นักเรียนและผู้วิจัย รวมทั้งแบบสะท้อนผลของผู้ช่วยวิจัย 2.2) ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปใช้ในการจัดการ เรียนรู้กับนักเรียนในชั้นเรียนจำนวน 3 แผน
47 2.3) ขั้นสังเกต (Observation) ขณะที่ผู้วิจัยปฏิบัติการสอน ผู้วิจัยทำการสังเกตพฤติกรรมของ นักเรียน รวมทั้งสัมภาษณ์นักเรียนหลังสอนพร้อมทั้งให้นักเรียนทำแบบทดสอบย่อยท้ายวงจรที่ 2 2.4) ขั้นสะท้อนผล (Reflection) ผู้วิจัยนำผลจากการบันทึกโดยผู้วิจัย และผู้ช่วยวิจัย รวมถึงผลจาก การสุ่มสัมภาษณ์นักเรียนมารวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลด้านปัญหา อุปสรรค ข้อดี และข้อบกพร่อง เพื่อนำผลจาก การสะท้อนผลการวิจัยในวงจรที่ 2 ไปปรับปรุงแก้ไขในวงจรที่ 3 3) ขั้นปฏิบัติการในวงจรที่ 3 (แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7-9) 3.1) ขั้นวางแผน (Planning) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7-9 มาปรับปรุงแก้ไขจากข้อมูลที่ได้รับการ สะท้อนจากวงจรที่ 2 มาจัดเตรียมสื่อการเรียนรู้ เครื่องมือในการวัดผล และสะท้อนผลสำหรับนักเรียนและ ผู้วิจัย และการประเมินแบบประเมินต่าง ๆ 3.2) ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปใช้ในการจัดการ เรียนรู้กับนักเรียนในชั้นเรียนจำนวน 3 แผน 3.3) ขั้นสังเกต (Observation) ขณะที่ผู้วิจัยปฏิบัติการสอน ผู้วิจัยทำการสังเกตพฤติกรรมของ นักเรียน รวมทั้งสัมภาษณ์นักเรียนหลังสอน และหลังการทำแบบทดสอบท้ายวงจรที่ 3 3.4) ขั้นสะท้อนผล (Reflection) ผู้วิจัยนำผลจากการบันทึกโดยผู้วิจัย รวมถึงผลจากการสุ่มสัมภาษณ์ นักเรียน เพื่อรวบรวมวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งปัญหาอุปสรรค ข้อดี ข้อบกพร่อง และการสะท้อนผลการวิจัยในวงจร ที่ 3 พร้อมทั้งให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบย่อยท้ายวงจรที่ ขั้นที่ 3 หลังจากการปฏิบัติการวิจัยสิ้นสุดทั้ง 3 วงจร ผู้วิจัยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัด ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และและแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ขั้นที่ 4 นำข้อมูลและผลจากการสะท้อนผลเชิงพฤติกรรมหลังสิ้นสุดแต่ละวงจรแบบทดสอบย่อยท้าย วงจรทั้ง 3 วงจรมาวิเคราะห์ข้อมูล เรียบเรียงเป็นผลที่เกิดขึ้นทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ขั้นที่ 5 เขียนรายงานการวิจัย จากขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลดังข้างต้น ผู้วิจัยสามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดังนี้
48 แผนการจัด การเรียนรู้ที่ วงจรที่ 1 (แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 3) เครื่องมือสะท้อนผลการปฏิบัติ ผู้ให้ข้อมูล ระยะเวลา 1 - 3 1. แบบบันทึกหลังการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ของครู ผู้วิจัย หลังการสอนแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ 2. แบบสังเกตพฤติกรรม การจัดการเรียนรู้ของครู ผู้ช่วยวิจัย ระหว่างดำเนินกิจกรรม การเรียนการสอน 3. แบบทดสอบย่อยท้ายวงจร นักเรียน หลังสิ้นสุดวงจรที่ 1 สะท้อนผลการปฏิบัติการ วงจรที่ 1 และปรับปรุงแผนการสอนในลำดับต่อไป แผนการจัด การเรียนรู้ที่ วงจรที่ 2 (แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 - 6) เครื่องมือสะท้อนผลการ ปฏิบัติ ผู้ให้ข้อมูล ระยะเวลา 4 - 6 1. แบบบันทึกหลังการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ของครู ผู้วิจัย หลังการสอนแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ 2. แบบสังเกตพฤติกรรม การจัดการเรียนรู้ของครู ผู้ช่วยวิจัย ระหว่างดำเนินกิจกรรม การเรียนการสอน 3. แบบทดสอบย่อยท้ายวงจร นักเรียน หลังสิ้นสุดวงจรที่ 2 สะท้อนผลการปฏิบัติการ วงจรที่ 2 และปรับปรุงแผนการสอนในลำดับต่อไป แผนการจัด การเรียนรู้ที่ วงจรที่ 3 (แผนการจัดการเรียนรู้ที่7 - 9) เครื่องมือสะท้อนผลการ ปฏิบัติ ผู้ให้ข้อมูล ระยะเวลา 7 - 9 1. แบบบันทึกหลังการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ของครู ผู้วิจัย หลังการสอนแต่ละ แผนการจัดการเรียนรู้ 2. แบบสังเกตพฤติกรรม การจัดการเรียนรู้ของครู ผู้ช่วยวิจัย ระหว่างดำเนินกิจกรรม การเรียนการสอน 3. แบบทดสอบย่อยท้ายวงจร นักเรียน หลังสิ้นสุดวงจรที่ 3 สะท้อนผลการปฏิบัติการวงจรที่ 3 ทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา / ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
49 สรุปผลการวิจัย แผนภาพที่ 5 แสดงขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลตามกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล โดยแบ่งอออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 4.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การออมและการลงทุน และหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ จำนวน 9 แผน 4.2 เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติได้แก่ 1) แบบบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู 2) แบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัย 3) แบบสัมภาษณ์นักเรียน 4.3 เครื่องมือในการประเมินผลการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เป็นปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ โดยใช้ ทดสอบจริงจำนวน 30 ข้อ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ โดยใช้ทดสอบจริง จำนวน 30 ข้อ 5. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยในครั้งนี้ มีขั้นตอนการสร้างและหาประสิทธิภาพ ของเครื่องมือ ดังนี้ 5.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง 1) แผนการจัดการเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การออมและการลงทุน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยมี ขั้นตอนการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ดังนี้ (1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อหาความสัมพันธ์ ระหว่างเนื้อหา สาระสำคัญ และมาตรฐานตัวชี้วัด
50 (2) ศึกษาหลักสูตรโรงเรียนบ้านไผ่ วิเคราะห์หลักสูตรโรงเรียน้านไผ่ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เนื้อหา เวลาเรียน กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดประเมิน และเครื่องมือวัดประเมินผลที่จะ นำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ (3) ศึกษาการวัดผลและประเมินผลตามสภาพจริง ทั้งในด้านความรู้ด้านทักษะ กระบวนการ และเจตคติ (4) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง จำนวน 9 แผน ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญของการผลิตสินค้าและบริการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัจจัยการผลิต แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ผู้ประกอบการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าและบริการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะการผลิตสินค้าและบริการของไทย (5) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและ ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ และทำการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา (6) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบพิจารณาความ สอดคล้องและความถูกต้องเหมาะสมเชิงเนื้อหา ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อ การเรียนรู้ การวัดและประเมินผล โดยใช้แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น (7) นำคะแนนการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินแล้วมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย เพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่มีคุณภาพและความเหมาะสมตามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ซึ่งมี5 ระดับ โดยใช้เกณฑ์ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความเหมาะสมน้อยที่สุด (8) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาและ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล
51 จากการสร้างและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบจัดการเรียนรู้โดย ใช้ รูปแบบการเรียนการสอน SSCSร่วมกับเทคนิคระดมสมองสามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ดังนี้ ภาพที่ 6 แผนภาพแสดงแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับ เทคนิคการระดมสมอง 5.2 เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการทดลอง 1) แบบบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการจัดการเรียนรู้ ใช้ ประเมินความเหมาะสมของการจัดการเรียนการสอนในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเป็นข้อมูลในการ ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรโรงเรียนบ้านไผ่และศึกษาการวัดผลและประเมินผลตาม สภาพจริง ทั้งในด้านความรู้ ด้านทักษะ กระบวนการ และเจตคติ สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองจำนวน 9 แผน นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา และทำการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบพิจารณาความ สอดคล้องและความถูกต้องเหมาะสมเชิงเนื้อหา และทำการปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล
52 สะท้อนผลการปฏิบัติเมื่อสิ้นสุดแต่ละวงจร ซึ่งเครื่องมือนี้ผู้ช่วยวิจัยเป็นผู้บันทึกข้อมูล โดยมีขั้นตอนในการ สร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ดังนี้ (1) กำหนดขอบข่ายเนื้อหาของสิ่งที่จะสังเกตการสอน (2) สร้างแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ตามขอบข่ายที่กำหนด (3) นำแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบพิจารณาให้ ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ (4) ปรับปรุงแก้ไขแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ให้ถูกต้องสมบูรณ์แล้วนำไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย ที่กำหนด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติต่อไป จากการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ สามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดังนี้ ภาพที่ 7 แผนภาพแสดงการสร้างและการหาประสิทธิภาพของแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ 2) แบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัย เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับด้านการสอนของ ครู ประกอบด้วย 1) ด้านขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) ด้านสภาพทั่วไปของชั้นเรียน 3) ด้านบุคลิกภาพ ของครู 4) ด้านการดำเนินการจัดการเรียนรู้ 5) การวัดและการประเมินผล เพื่อเป็นข้อมูลในการสะท้อนผลการ ปฏิบัติเมื่อสิ้นสุดแต่ละวงจร โดยผู้ช่วยวิจัยเป็นผู้ให้ข้อมูลกับผู้วิจัย ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างและหาประสิทธิภาพ ของเครื่องมือ ดังนี้ (1) กำหนดขอบข่ายคำถามที่ใช้ในการสังเกต (2) สร้างแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยของครูตามขอบข่ายที่กำหนด กำหนดขอบข่ายเนื้อหาของสิ่งที่จะสังเกตการสอน สร้างแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ตามขอบข่ายที่กำหนด นำแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบพิจารณาให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ให้ถูกต้องสมบูรณ์ แล้วนำไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด
53 (3) นำแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบพิจารณาให้ ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ (4) ปรับปรุงแก้ไขแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยให้ถูกต้องสมบูรณ์แล้วนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูล สำหรับใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติต่อไป จากการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยสามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดังนี้ ภาพที่ 8 แผนภาพแสดงการสร้างและการหาประสิทธิภาพของ แบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัย 3) แบบสัมภาษณ์นักเรียน เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับด้านการสอนของ ครู ประกอบด้วย 1) ด้านสภาพทั่วไปของชั้นเรียน 2) จุดเด่นของการจัดการเรียนรู้ 3) จุดด้อยของการจัดการ เรียนรู้ 4) ประโยชน์จากการจัดการเรียนรู้เพื่อเป็นข้อมูลในการสะท้อนผลการปฏิบัติเมื่อสิ้นสุดแต่ละวงจร โดยผู้ช่วยวิจัยเป็นผู้ให้ข้อมูลกับผู้วิจัย ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ดังนี้ (1) กำหนดขอบข่ายคำถามที่ใช้ในการสังเกต (2) สร้างแบบสัมภาษณ์นักเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยของครูตามขอบข่ายที่กำหนด (3) นำแบบสัมภาษณ์นักเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบพิจารณาให้ ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ (4) ปรับปรุงแก้ไขแบบสัมภาษณ์นักเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยให้ถูกต้องสมบูรณ์แล้วนำไปใช้เก็บรวบรวม ข้อมูลสำหรับใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติต่อไป กำหนดขอบข่ายคำถามที่ใช้ในการสังเกต สร้างแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยของครูตามขอบข่ายที่กำหนด นำแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบ พิจารณาให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขแบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูให้ถูกต้องสมบูรณ์ แล้วนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติต่อไป
54 จากการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบสัมภาษณ์นักเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยสามารถสรุปเป็นแผนภาพ ได้ดังนี้ ภาพที่ 9 แผนภาพแสดงการสร้างและการหาประสิทธิภาพของ แบบสัมภาษณ์นักเรียน 5.3 เครื่องมือในการประเมินผลการทดลอง 1) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การออมและการลงทุน หน่วย การเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ เป็นแบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ มีขั้นตอนการสร้างและหา ประสิทธิภาพเครื่องมือ ดังนี้ (1) ศึกษาทฤษฎีการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา จากทฤษฎีและเอกสารที่ เกี่ยวข้องกับความสามารถในการคิดแก้ปัญหา (2) วิเคราะห์หลักสูตร ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐานการเรียนรู้และจุดประสงค์การ เรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ที่1 การออมและการลงทุน และหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและ บริการ เพื่อใช้ในการเขียนข้อสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา กำหนดขอบข่ายคำถามที่ใช้ในการสัมภาษณ์ สร้างแบบสัมภาษณ์นักเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยของครูตามขอบข่ายที่กำหนด นำแบบสัมภาษณ์นักเรียนโดยผู้ช่วยวิจัยที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อ ตรวจสอบพิจารณาให้ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ปรับปรุงแก้ไขแบบสัมภาษณ์นักเรียนให้ถูกต้องสมบูรณ์ แล้วนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติต่อไป
55 (3) สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ตามขอบข่ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การออมและการลงทุน และหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้า และบริการ ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยประยุกต์ใช้ขั้นตอนของเวียร์ (Weir, 1974 อ้างถึงใน ปราณี หีบแก้ว, 2552) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การตั้งปัญหา เป็นความสามารถในการระบุขอบเขตของปัญหาตามสถานการณ์ที่กำหนดให้ ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์ปัญหา เป็นความสามารถในการพิจารณาวิเคราะห์แยกแยะสาเหตุของปัญหาได้ ขั้นที่ 3 การเสนอวิธีการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการคิดค้น และเสนอวิธีการแก้ปัญหาจาก สาเหตุของปัญหา ขั้นที่ 4 การตรวจสอบผลลัพธ์ เป็นความสามารถในการอธิบายผลที่เกิดขึ้นหลังจากการเสนอวิธี แก้ปัญหา (4) นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับขั้นตอนในการคิดแก้ปัญหา (IOC) แล้วนำความคิดเห็น ของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) โดย กำหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ +1 แน่ใจว่ารายการพิจารณาเกณฑ์การประเมินสอดคล้องกับเนื้อหา 0 ไม่แน่ใจว่ารายการพิจารณาเกณฑ์การประเมินสอดคล้องกับเนื้อหา -1 แน่ใจว่ารายการพิจารณาเกณฑ์การประเมินไม่สอดคล้องกับเนื้อหา (5) นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่าดัชนีความ สอดคล้อง แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ (6) แก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิด แก้ปัญหาไปใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย จากการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสามารถสรุป เป็นแผนภาพได้ดังนี้
56 ภาพที่ 10 แผนภาพแสดงการสร้างและการหาประสิทธิภาพของ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การออมและการลงทุน และหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ โดยใช้ทดสอบจริงจำนวน 30 ข้อ มี ขั้นตอนการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ดังนี้ ศึกษาทฤษฎีการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา จากทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการคิดแก้ปัญหา วิเคราะห์หลักสูตร ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง มาตรฐานการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้ สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เป็นแบบปรนัย จ านวน 30 ข้อ น าแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับขั้นตอนในการคิดแก้ปัญหา (IOC) น าข้อมูลที่รวบรวมได้จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาค านวณหาค่า IOC แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จ านวน 30 ข้อ แก้ไขปรับปรุงตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นน าแบบทดสอบที่วัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาไปใช้จริงกับ กลุ่มเป้าหมาย
57 (1) ศึกษาหลักสูตรเพื่อวิเคราะห์มาตรฐานและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาที่ 2 (2) สร้างตารางวิเคราะห์เนื้อหาและกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยยึดตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) (3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ เพื่อใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านเพื่อตรวจสอบ วิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item-Objective Congruence: IOC) ดังนี้ +1 หมายถึง ข้อสอบสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 1 หมายถึง ข้อสอบไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (5) บันทึกผลการพิจารณา ลงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่าน แล้วคำนวณหาค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่างข้อสอบรายข้อกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (6) นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objectives Congruence : IOC) แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้น ไป จำนวน 30 ข้อ และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ (7) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย จากการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดังนี้
58 ภาพที่ 11 แผนภาพแสดงการสร้างและการหาประสิทธิภาพของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน้านไผ่ ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36 คน โดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้ ศึกษาหลักสูตรเพื่อวิเคราะห์มาตรฐานและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สร้างตารางวิเคราะห์เนื้อหาและกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบวิเคราะห์ความ ตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC แล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ
59 1) ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ร่วมวิจัยเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูล และการดำเนิน กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการทำวิจัย เพื่อให้เข้าใจข้อตกลง และการปฏิบัติตนที่ เหมาะสมร่วมกันก่อนเริ่มการจัดการเรียนรู้ 2) ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานตาม แผนการจัดการเรียนรู้ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน บ้านไผ่ 3) หลังจากดำเนินการจัดการเรียนรู้ในวงจรปฏิบัติการที่ 1เสร็จสิ้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดสอบ ย่อยท้ายวงจรในเรื่องความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจร และมีการสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ร่วมกับผู้ช่วยวิจัย เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนานักเรียนในวงจรปฏิบัติการที่ 2 และ 3 ตามลำดับ โดยในวงจร ปฏิบัติการที่ 2 และ 3 มีลักษณะการเก็บรวบรวมข้อมูลดังเช่นในงจรปฏิบัติการที่ 1 4) เมื่อดำเนินการสอนจนครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏิบัติการแล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 5) นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ และสรุปผลการวิจัย 7. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำข้อมูลจากการเก็บรวบรวมข้อมูล มาวิเคราะห์ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ดังนี้ 7.1 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ 1) ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่าร้อยละเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด คือ ต้องผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และมีจำนวน นักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ เทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด คือ ต้องผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และมีจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ไม่ น้อยกว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด 7.2 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้ข้อมูลจากแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู ซึ่ง บันทึกข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาข้อบกพร่อง ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ นำไปสู่การหาแนวทางในการพิจารณาแก้ไขปัญหาและปรังปรุง พัฒนาการจัดการเรียนรู้ในการดำเนินการวงจรต่อไป
60 √ ∑ (x1 − x̅ N i=1 )2 N 8. สถิติที่ใช้ในการการวิเคราะห์ข้อมูล 8.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1) การหาค่าร้อยละ (Percentage) คำนวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ p = f n × 100 เมื่อ p หมายถึง ร้อยละ f หมายถึง ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n หมายถึง จำนวนความถี่ทั้งหมด 2) การหาค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) คำนวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ x̅ = ∑ x n เมื่อ x̅ หมายถึง ค่าเฉลี่ย ∑ x หมายถึง ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม n หมายถึง จำนวนคนในกลุ่ม 3) การหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) คำนวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ SD = เมื่อ SD หมายถึง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X หมายถึง คะแนนแต่ละคน หมายถึง ผลรวมของคะแนนแต่ละคนยกกำลังสอง หมายถึง ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง N หมายถึง จำนวนนักเรียนในกลุ่มเป้าหมาp
61 8.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ประกอบด้วยสถิติ ดังนี้ 1) การหาความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) คำนวณจากสูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ดังนี้ IOC = ∑ R N เมื่อ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ∑R หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N หมายถึง จำนวนผู้เชี่ยวชาญที่แสดงความคิดเห็น โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ +1 หมายถึง ข้อสอบสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ -1 หมายถึง ข้อสอบไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้
62 บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยผู้วิจัยได้แบ่งการ ดำเนินการวิจัยเป็น 3 วงจร และขอนำเสนอผลการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. การดำเนินการก่อนการวิจัย 2. การสะท้อนผลการปฏิบัติการในวงจรที่ 1 3. การสะท้อนผลการปฏิบัติการในวงจรที่ 2 4. การสะท้อนผลการปฏิบัติการในวงจรที่ 3 5. ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ 6. ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับ เทคนิคการระดมสมองรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ 1. การดำเนินการก่อนการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามรูปแบบและขั้นตอนที่กำหนดไว้ โดยมีการ เตรียมความพร้อมในด้านเครื่องมือในการวิจัย ด้านผู้ช่วยวิจัย ด้านผู้เชี่ยวชาญ และด้านกลุ่มเป้าหมาย ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1.1 ด้านเครื่องมือในการวิจัย ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานและบริบทของโรงเรียน นักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และได้เตรียมเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง หน่วยการเรียนรู้ที่1 การออมและการลงทุน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การ ผลิตสินค้าและบริการ จำนวน 9 แผน ใช้เวลาทั้งสิ้น 9 ชั่วโมง ได้แก่ -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญของการผลิตสินค้าและบริการ -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัจจัยการผลิต
63 -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ผู้ประกอบการ -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าและบริการ -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ -แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะการผลิตสินค้าและบริการของไทย 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่ แบบบันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัย และแบบสัมภาษณ์นักเรียน 3) เครื่องมือในการประเมินผลการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดเตรียมสื่อและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ สื่อที่ใช้ประกอบการสอน เช่น วิดีทัศน์ ใบงาน สถานการณ์ปัญหา สื่อทำมือ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ดินสอ สีไม้ เป็นต้น โดยจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับนักเรียนทุกกลุ่ม เพื่อให้การเก็บข้อมูลวิจัยดำเนินไป อย่างราบรื่น 1.2 ด้านผู้ช่วยวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีผู้ช่วยวิจัยจำนวน 1 ท่าน คือ นางสาวสุพิชชา วุฒิเสน นักศึกษาปฏิบัติการสอน ในสถานศึกษาโรงเรียนบ้านไผ่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยทำหน้าที่ในการสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของผู้วิจัย พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน สภาพการจัดการเรียนรู้ ให้คำแนะนำ ปรึกษาหารือข้อบกพร่อง และร่วมอภิปรายสะท้อนผลการปฏิบัติการเรียนรู้ในแต่ละวงจรร่วมกัน แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติ กิจกรรมการเรียนรู้ นอกจากนี้ในด้านการปฐมนิเทศผู้ช่วยวิจัย ผู้วิจัยได้อธิบายถึงขั้นตอนของกิจกรรมการ จัดการเรียนรู้ในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด วิธีการที่ได้มาซึ่งคำตอบของนักเรียน องค์ประกอบของวิธี แก้ปัญหา หลักการประเมินผลในแต่ละวงจรให้แก่ผู้ช่วยวิจัย อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ช่วยวิจัยซักถามข้อสงสัย เพื่อทำความเข้าใจและชี้แจงถึงบทบาทหน้าที่ของผู้ช่วยวิจัยในการดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ 1.3 ด้านผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยได้นำเครื่องมือที่ใช้ประกอบการวิจัย ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบความถูกต้อง และให้ ข้อเสนอแนะ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ 1) นางกัลยา คามวุฒิตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่ 2) นางสาวอัมพร ธรรมบุตร ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่ 3) นางลดาวัลย์ นนทเสน ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่ โดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน มีข้อเสนอแนะในการจัดทำเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยที่ตรงกัน กล่าวคือ ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ให้ความคิดเห็นว่า เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ทั้ง 9แผน มีการกำหนดจุดประสงค์ที่ชัดเจน สามารถ
64 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในส่วนของเครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติ และเครื่องมือในการประเมิน ผลการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญมีข้อเสนอแนะว่ามีการออกแบบเครื่องมือที่เหมาะสมต่อระดับวัยของผู้เรียน และมีการ กำหนดสถานการณ์ปัญหาที่ช่วยกระตุ้นความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี 1.4 ด้านกลุ่มเป้าหมาย 1.4.1 การวิเคราะห์นักเรียน กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยในครั้งนี้ คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/11 โรงเรียนบ้านไผ่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36 คน โดยผู้วิจัยได้ทำการสัมภาษณ์ครูประจำวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พร้อมทั้งสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในช่วงที่ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ก่อนทำ การวิจัย เพื่อรวบรวมข้อมูลก่อนจะนำมาวิเคราะห์ถึงลักษณะพฤติกรรมที่นักเรียนแสดงออก และความสามารถ ทางสติปัญญา พฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ในชั้นเรียน เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับบทเรียน การตอบคำถามที่แสดงถึงการคิดแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดหลากหลาย การให้เหตุผลประกอบใน การตอบคำถาม รวมถึงความสามารถในการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อที่ผู้วิจัยได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ นักเรียนกลุ่มเป้าหมาย และเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับนักเรียน 1.4.2 การปฐมนิเทศนักเรียน ผู้วิจัยได้ปฐมนิเทศนักเรียนกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยในครั้งนี้ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในหน่วยการ เรียนรู้อื่น ๆ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคม ศึกษา เพื่อชี้แจงแนวทางในการจัดการเรียนรู้และสร้างความคุ้นเคยกับรูปแบบการจัดกิจกรรมดังกล่าวนี้ให้แก่ นักเรียน โดยที่นักเรียนต้องสามารถทำความเข้าใจกับปัญหา ดำเนินการศึกษาค้นคว้า สังเคราะห์ความรู้ สรุปและประเมินค่าคำตอบ ตลอดจนนำเสนอและประเมินผลงาน และคาดการณ์ผลที่ตามมาเมื่อเลือก แนวทางแก้ปัญหาแล้ว โดยเน้นให้นักเรียนได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทางความคิดจากกระบวนการกลุ่ม เพื่อนักเรียนได้เข้าใจลักษณะกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวอย่างเต็มที่ และสามารถพัฒนาความสามารถในการ คิดแก้ปัญหา รวมทั้งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 2. การสะท้อนผลการปฏิบัติการในวงจรที่ 1 การปฏิบัติการในวงจรที่ 1 ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ โดยนำข้อมูลจากการจัดการเรียนรู้ การสังเกตจากผู้ช่วยวิจัย และจากแบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ซึ่งได้ใช้เนื้อหาของ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออมและการลงทุน ซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 - 2 จำนวน 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 3-9 จำนวน 7 ชั่วโมง ซึ่งรายละเอียดของผลการปฏิบัติในวงจรที่ 1 มีดังนี้
65 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม 2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน 2.3แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญของการผลิตสินค้าและบริการ 2.3 สภาพปัญหาที่พบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาวงจรที่ 1 2.4 ผลการสัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 1 2.5 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 2.6 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 โดยมีรายละเอียด ตามลำดับต่อไปนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถ บอกวิธีการออมเงิน สร้างคลิปวิดีโอเพื่อเสนอวิธีการออมเงินและ เห็นประโยชน์ของการออมเงิน ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม แล้วให้ร่วมกันระดมสมองถึงวิธีการออมเงินอย่างสร้างสรรค์ ให้ได้จำนวนข้อมากที่สุดลงบนสมุด หลังจากดูคลิปวิดีโอการออมเงินจากแอปพลิเคชัน Tiktok ซึ่งตัวอย่าง คำตอบของนักเรียนมีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : เก็บเฉพาะธนบัตรห้าสิบบาท นักเรียนคนที่ 2 : นำเงินไปฝากเพื่อนไว้ นักเรียนคนที่ 3 : ออกแบบกระปุกออมสินให้น่าเก็บเงิน ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า ในขั้น Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง นักเรียนแต่ละ กลุ่มสามารถระดมสมองได้วิธีการมากกว่า 10 วิธี เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า มีข้อจำกัดด้านการจัดโต๊ะเรียนเพราะห้องเรียนค่อนข้างแคบจึง ทำให้ปรับเปลี่ยนเป็นการนั่งใกล้กันอยู่กลุ่มเดียวกันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดี ขั้นที่ 2 Solve (S) ผู้วิจัยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกตัดสินใจเลือกวิธีการออมเงินที่สร้างสรรค์มากที่สุด เพื่อสร้างสรรค์ คลิปวีดีโอลงบนแอปพลิเคชัน Tiktok ซึ่งตัวอย่างวิธีการที่นักเรียนเลือกใช้มีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : เลือกเก็บเฉพาะเหรียญสิบ นักเรียนกลุ่มที่ 2: ออกแบบกระปุกออมสินที่แกะได้ยาก นักเรียนกลุ่มที่ 3 : นำไปซื้อหุ้นและลงทุนในสกุลเงินดิจิตอล ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มเลือกวิธีการออมเงินได้สร้างสรรค์ เช่น การฝากเพื่อน การนำไปหยอดในกระปุกที่ทำเองและแกะได้ยาก ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า มีนักเรียนหนึ่งกลุ่มคิดไม่ได้ว่าควรเลือกวิธีการใด ครูจึงเข้าไป ช่วยเหลือซึ่งทำให้การเรียนในขั้นนี้เลยเวลาที่ครูวางแผนไว้
66 ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างสรรค์คลิปวีดีโอออมเงินในแอปพลิเคชั่น Tiktok ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มสามารถใช้แอปพลิเคชันสร้างสรรค์ได้ดี ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ข้อจำกัดด้านพื้นที่ครูผู้สอนต้องนำนักเรียนมาถ่ายคลิปบริเวณชั้น ล่างของอาคารเรียน ขั้นที่ 4 (Share) นักเรียนโพสต์คลิปวิดีโอลงในแอปพลิเคชัน Tiktok และร่วมกันสรุปองค์ความรู้ประโยชน์การออมเงิน ในแอปพลิเคชัน Padlet ตัวอย่างคำตอบประโยชน์ของการออมเงินของนักเรียนมีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : มีเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน นักเรียนกลุ่มที่ 2: ซื้อของที่อยากได้ นักเรียนกลุ่มที่ 3 : ซื้อเพลของดาราและศิลปินที่ชอบ ภาพที่ 12 ตัวอย่างภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม ภาพที่ 13 ตัวอย่างผลงานนักเรียน 1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม
67 ภาพที่ 14 ตัวอย่างผลงานนักเรียน 2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มให้ความสนใจกับวิดีโอเพื่อน และสามารถสรุ องค์ความรู้ได้ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า มีการสอนเลยเวลาไป 5 นาที จากการรวมนักเรียนจากชั้นล่าง ขึ้นมาบนห้องเรียน 2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกแนวทางของการลงทุน ออกแบบธุรกิจเพื่อการลงทุนใน ครัวเรือนได้และเห็นประโยชน์ของการลงทุน ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยตั้งประเด็นคำถามว่า “นักเรียนจะนำเงินออมที่ได้ไปต่อยอดอย่างไร ให้เงินนั้นงอกเงยมาก ที่สุด” ลงบนสมุดรายวิชาสังคมศึกษา โดยกำหนดเวลา 3 นาทีตัวอย่าง ซึ่งคำตอบของนักเรียนมีดังต่อไปนี้ นักเรียนคนที่ 1 : ฝากธนาคาร นักเรียนคนที่ 2 : นำไปประกอบธุรกิจ นักเรียนคนที่ 3 : นำไปเล่นบาคาร่า ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มสามารถคิดวิธีการได้อย่างสร้างสร้างสรรค์ใน การนำเงินไปต่อยอด เช่น นำไปทำธุรกิจ นำไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า มีนักเรียนบางกลุ่มคิดนำเงินไปลงทุนในการพนันครูต้องมีการ สอนแง่คิดคุณธรรมประกอบการจัดการเรียนรู้ ขั้นที่ 2 Solve (S) นักเรียนแต่ละกลุ่มตัดสินใจเลือกวิธีการลงทุนที่ดีที่สุด ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจขนาดเล็กใน ครัวเรือน และวางแผนการนำเสนอในรูปแบบกระดาษเอสี่ ซึ่งตัวอย่างธุรกิจที่นักเรียนตัดสินใจเลือกมีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ร้านขายของชำ นักเรียนกลุ่มที่ 2: ร้านขายเห็ดย่าง นักเรียนกลุ่มที่ 3 : โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถตัดสินใจเลือกธุรกิจได้ทุกกลุ่มในเวลาที่กำหนด
68 ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ทุกคนตั้งใจและให้ความร่วมมือกับเพื่อนในการทำกิจกรรม ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันออกแบบธุรกิจขนาดเล็ก ลงบนกระดาษเอสี่ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีการสร้างสรรค์ผลงานและวาดภาพประกอบได้ น่าสนใจและทันเวลาที่กำหนด ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสุขกับการทำงาน, เสียงดัง และมีการพูดคุยกัน ภายในกลุ่ม ขั้นที่ 4 (Share) นักเรียนแต่ละกลุ่มติดผลงานรอบห้องเรียน และให้เพื่อนวาดหัวใจลงบนกลุ่มที่ผลงานมีความน่าสนใจ และเกิดขึ้นได้จริง ภาพที่ 15 ตัวอย่างภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน ภาพที่ 16 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน
69 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า ห้องเรียนมีความวุ่นวายและนักเรียนส่งเสียงดัง ครูต้องใช้กริ่ง ช่วยในการควบคุมชั้นเรียน ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ห้องเรียนเสียงดังมากอาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอของ แต่ละกลุ่ม 2.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญ ของการผลิตสินค้าและบริการ มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกชื่อสินค้าในท้องถิ่น ออกแบบการผลิตสินค้าและบริการ ในขั้นการผลิตปฐมภูมิ และทุติยภูมิได้และเห็นประโยชน์ของการผลิตสินค้าและบริการซึ่งมีผลการจัดการ เรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมสมอง ว่า “สินค้าในท้องถิ่นของตนเองมีอะไรบ้าง” ลงบนสมุดรายวิชาสังคมศึกษา โดยกำหนดเวลา 3 นาที แล้ว นักเรียนฟังบรรยายเรื่อง การผลิตสินค้าและบริการโดยใช้สื่อ Canva ตัวอย่างคำตอบของนักเรียนมีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : กล้วย นักเรียนกลุ่มที่ 2 : ขนมปัง นักเรียนกลุ่มที่ 3 : ปลาทู ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนระดมสมองได้ไม่เกินกลุ่มละ 10 ข้อเนื่องจากไม่ค่อยมี สินค้าในท้องถิ่น ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ครูต้องช่วยคิดและขยายความว่าสินค้าในท้องถิ่นมีอะไรบ้าง เพื่อให้นักเรียนคิดได้จำนวนข้อที่มาก ขั้นที่ 2 Solve (S) ผู้วิจัยถามนักเรียนแต่ละคนว่า “จะนำสินค้าในท้องถิ่นไปต่อยอดอย่างไรได้บ้าง โดยเลือกเอาสินค้า 1 ชนิด นักเรียนคนที่ 1 : นำกล้วยไปทำกล้วยทอด นักเรียนคนที่ 2: นำขนมปังไปให้อาหารปลา นักเรียนคนที่ 3 : นำปลาไปตากแห้ง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถตัดสินใจเลือกธุรกิจได้ทุกกลุ่มในเวลาที่กำหนด ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ทุกคนตั้งใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนแต่คนรับใบงานเรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์และแปรรูปผลิตภัณฑ์ ในท้องถิ่นในขั้นปฐมภูมิและขั้นทุติยภูมิ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีการสร้างสรรค์ผลงานและวาดภาพประกอบได้ น่าสนใจและทันเวลาที่กำหนด
70 ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสุขกับการทำงาน เสียงดัง มีการพูดคุยกันภายใน กลุ่ม ขั้นที่ 4 (Share) นักเรียนแต่ละคนนำใบงานเรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ มาติดที่หน้าห้องเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างกัน ภาพที่ 17 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญ ของการผลิตสินค้าและบริการ ภาพที่ 18 ตัวอย่างภาพการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญ ของการผลิตสินค้าและบริการ
71 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความกระตือรือร้นในการนำเสนอ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอมีสองถึงสามคนหยิบ โทรศัพท์มาเล่น ครูต้องเข้าไปยืนใกล้ ๆ 2.4 ผลการสัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 1 จากการปฏิบัติการในวงจรที่ 1 ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 1 โดยสามารถ สรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ บรรยากาศโดยทั่วไปของชั้นเรียนห้องเรียนมีขยะบ้าง แต่ครูได้มีการให้นักเรียนเก็บขยะก่อนทำการ สอน ในด้านการจัดการเรียนรู้มีการทำกิจกรรมกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนความคิดระหว่างครูและผู้เรียนอยู่เสมอ แต่ครูควรรับฟังความคิดเห็นของเด็กที่นั่งหลังห้องบ้าง ซึ่งนักเรียนได้เรียนรู้ในประเด็นต่อไปนี้ คือ 1) ประโยชน์ ของการออมเงิน 2) การวางแผนการเงิน 3) การสร้างผลงานบนโลกออนไลน์ 2.5 สภาพปัญหาที่พบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาวงจรที่ 1 จากการปฏิบัติการในวงจรที่ 1 ผู้วิจัยได้พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการวิจัยและแนวทาง ในการแก้ไขปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้ โดยสามารถสรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง มีข้อจำกัดด้านการจัดโต๊ะเรียนเพราะห้องเรียนค่อนข้างแคบจึงทำให้ปรับเปลี่ยนเป็นการนั่งใกล้กันอยู่ กลุ่มเดียวกันเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดี ขั้นที่ 2 Solve (S) มีนักเรียนหนึ่งกลุ่มคิดไม่ได้ว่าควรเลือกวิธีการใด ครูจึงเข้าไปช่วยเหลือซึ่งทำให้การเรียนในขั้นนี้เลย เวลาที่ครูวางแผนไว้ ขั้นที่ 3 (Create) ไม่พบปัญหา ขั้นที่ 4 Share (S) มีการสอนเลยเวลาไปห้านาที จากการรวมนักเรียนจากชั้นล่างขึ้นมาบนห้องเรียน ครูใช้วิธีการนับถอย หลัง และใครขึ้นห้องเรียนช้าครูจะหักคะแนน 2.6 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 หลังจากดำเนินการวิจัยในวงจรที่ 1 เสร็จสิ้นตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้ ทำการทดสอบท้ายวงจร โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 10 คะแนน เพื่อวัดประเมินผลที่เกิดขึ้นจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง และกำหนด เกณฑ์การผ่านตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป ซึ่งผลการทดสอบท้ายวงจรที่ 1 ปรากฏดังตารางที่ 4 ดังนี้
72 ตารางที่ 3 แสดงผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 จำนวน นักเรียน ทั้งหมด นักเรียนผ่าน เกณฑ์ นักเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เต็ม คะแนน ที่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เฉลี่ย ร้อยละของ คะแนน เฉลี่ย จำนวน (คน) ร้อยละ จำนวน (คน) ร้อยละ 36 25 69.40 11 30.6 10 7 6.70 6.70 จากตารางที่ 3 พบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา มีนักเรียนจำนวน 25 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 69.40 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่ กำหนด 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 6.70 คิดเป็นร้อยละ 67.00 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3. การสะท้อนผลการปฏิบัติการในวงจรที่ 2 การปฏิบัติการในวงจรที่ 2 ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ โดยนำข้อมูลจากการจัดการเรียนรู้ การสังเกตจากผู้ช่วยวิจัย และจากแบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ซึ่งได้ใช้เนื้อห าของ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 - 6 จำนวน 3 ชั่วโมง ซึ่งรายละเอียดของผลการปฏิบัติในวงจรที่ 1 มีดังนี้ 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัจจัยการผลิต 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ผู้ประกอบการ 3.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ 2.3 สภาพปัญหาที่พบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาวงจรที่ 2 2.4 ผลการสัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 2 2.5 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 2.6 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 โดยมีรายละเอียด ตามลำดับต่อไปนี้ 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัจจัยการผลิต มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถ ยกตัวอย่างปัจจัยการผลิต ออกแบบธุรกิจได้สอดคล้องกับปัจจัย การผลิตได้และเห็นประโยชน์ของการวางแผนใช้ปัจจัยการผลิต ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
73 ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยบรรยายเรื่องปัจจัยการผลิตโดยใช้สื่อ CANVA แล้วแบ่งนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่มละ 4 คน แต่ ละกลุ่มร่วมกันระดมสมองว่า “ธุรกิจในท้องถิ่นของนักเรียนมีอะไรบ้าง” ตัวอย่างคำตอบของนักเรียนมีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ร้านเสริมสวย นักเรียนกลุ่มที่ 2 : ร้านอาหารตามสั่ง นักเรียนกลุ่มที่ 3 : ร้านขายของชำ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนระดมสมองได้ไม่เกินกลุ่มละ 10 ข้อเนื่องจากไม่ค่อยมี สินค้าในท้องถิ่น ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ครูต้องช่วยคิดและขยายความว่าสินค้าในท้องถิ่นมีอะไรบ้าง เพื่อให้นักเรียนคิดได้จำนวนข้อที่มาก ขั้นที่ 2 Solve (S) นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกธุรกิจในท้องถิ่นที่ได้ระดมสมองมา 1 ธุรกิจ แล้วจำแนกปัจจัยการผลิต ประเภทต่าง ๆ ลงบนสมุด ตัวอย่างคำตอบของนักเรียนมีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ร้านขายของชำ ทุนคือ ขนมในร้าน แรงงานคือ คนทำงาน ที่ดินคือ ที่ตั้งร้าน และ ผู้ประกอบการคือ เจ้าของร้าน นักเรียนกลุ่มที่ 2 : ร้านขายไก่ทอด ทุนคือ ไก่ แรงงานคือ ผมเอง ที่ดินคือ ร้าน และผู้ประกอบการคือ ผมเอง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนเข้าใจและสามารถจำแนกประเภทธุรกิจได้ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจในงาน และรับผิดชอบหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนแต่ละคนออกแบบธุรกิจของตนเอง โดยออกแบบปัจจัยการผลิตด้วยตนเอง ได้แก่ 1) ที่ดิน 2) แรงงาน 3) ทุน 4) ผู้ประกอบการ ลงบนใบงานเรื่อง ปัจจัยการผลิต ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกคนสามารถออกแบบธุรกิจได้ แต่บางคนไม่สามารถ แยกแยะได้ว่าปัจจัยการผลิตด้านทุนและที่ดินต่างกันอย่างไร ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ผู้เรียนให้ความสนใจและตั้งใจทำใบงาน ขั้นที่ 4 (Share) สุ่มนักเรียนออกมานำเสนอจำนวน 3 คน โดยใช้วงล้อ
74 ภาพที่ 19 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัจจัยการผลิต ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า ทำการสุ่มไม่ทัน ต้องใช้การสมัครใจในการสุ่ม ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ทำการสอนไม่ทันเวลา จากการที่ผู้เรียนระบายสีและตกแต่งนาน 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ผู้ประกอบการ มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถยกตัวอย่างหน้าที่ของผู้ประกอบการ วางแผนการดำเนินธุรกิจใน ฐานะผู้ประกอบการได้และเห็นความสำคัญของบทบาทของผู้ประกอบการต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีผล การจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วให้นักเรียนร่วมกันระดมสมองว่าหน้าที่ ของผู้ประกอบการมีอะไรบ้างให้ได้มากที่สุด ลงบนกระดาษเอสี่ โดยกำหนดเวลา 3 นาทีตัวอย่างคำตอบของ นักเรียนมีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : จ่ายเงินเดือน นักเรียนกลุ่มที่ 2 : บริหารธุรกิจ นักเรียนกลุ่มที่ 3 : ออกคำสั่ง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนบางคนไม่เข้าใจว่าผู้ประกบการณ์แปลว่าอะไร ครูต้อง อธิบายขยายความ
75 ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนสามารถระดมสมองได้ไม่เกิน 10 อย่าง เพราะไม่เข้าใจ ว่าผู้ประกอบการมีความหมายว่าอย่างไร ขั้นที่ 2 Solve (S) นักเรียนแต่ละคนศึกษาสื่อCANVA เรื่องผู้ประกอบการ และคิดวางแผนว่าจะมีการวางแผนทำธุรกิจ อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ สุ่มนำเสนอโดยใช้วงล้อ ตัวอย่างคำตอบของนักเรียนมีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : วางแผนการใช้ปัจจัยการผลิต นักเรียนคนที่ 2 : ศึกษาตลาดว่าในอนาคตผู้บริโภคต้องการสิ่งใด ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถคิดวางแผนได้เป็นอย่างดี ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนที่ถูกสุ่มออกมานำเสนอมีความพร้อมและสามารถ นำเสนอได้ดี ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนทำใบงานเรื่องผู้ประกอบการ โดยนักเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการโฆษณาอย่างสร้างสรรค์ โดยใช้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์มาออกแบบผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) What 2) How 3) For Whom ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีการสร้างสรรค์ผลงานและวาดภาพประกอบได้ น่าสนใจและทันเวลาที่กำหนด ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสุขกับการทำงาน ครูเปิดเพลงเบา ๆ กระตุ้น ความคิด ขั้นที่ 4 (Share) ผู้วิจัยสุ่มนักเรียนออกมานำเสนอใบงานเริ่มผู้ประกอบการ จำนวน 3 คนโดยโดยการหมุนวงล้อ ใน ประเด็นต่อไปนี้ 1) “สินค้าที่นักเรียนผลิตคืออะไร” ตัวอย่างคำตอบของนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : หม้อเอนกประสงค์ นักเรียนคนที่ 2 : พัดลมยักษ์ 2) “สินค้าที่นักเรียนผลิตมีความโดดเด่น และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างไรบ้าง” ตัวอย่าง คำตอบของนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : พัดลมยักษ์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ช่วยให้ประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อน นักเรียนคนที่ 2 : หม้อเอนกประสงค์ใช้ทำอาหารอะไรก็ได้บนโลก
76 ภาพที่ 20 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ผู้ประกอบการ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบนวัตกรรม และ บางนวัตกรรมสามารถนำไปต่อยอดใช้ได้จริง ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า หากมีเวลามากกว่านี้ จะสามารถรับฟังความคิดของนักเรียน และเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดในห้องเรียนมากขึ้น 3.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถยกตัวอย่างหลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ เล่าเรื่องราวคุณธรรมเกี่ยวกับการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพได้และเห็นความสำคัญของ หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพได้ ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมสมอง ว่า “หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพมีอะไรบ้าง”ให้ได้มากที่สุดลงบนกระดาษเอสี่ โดย กำหนดเวลา 3 นาที ตัวอย่างคำตอบนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ใช้วัสดุที่มีคุณภาพ นักเรียนกลุ่มที่ 2 : วางแผนก่อนการผลิตสินค้า
77 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนระดมสมองได้ไม่เกินกลุ่มละ 10 ข้อเนื่องจากไม่ค่อยมี สินค้าในท้องถิ่น ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ครูต้องช่วยคิดและขยายความว่าหลักการผลิตสินค้าและบริการ อย่างมีประสิทธิภาพคืออะไร เพื่อให้นักเรียนคิดได้จำนวนข้อที่มากที่สุด ขั้นที่ 2 Solve (S) นักเรียนดูคลิปสะท้อนธุรกิจต่าง ๆ แล้วตอบว่า “จากคลิปดังกล่าวผู้ผลิตขาดคุณธรรมข้อใดบ้าง“ นักเรียนคนที่ 1 : ความซื่อสัตย์ นักเรียนคนที่ 2 : การแบ่งปัน ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถคำตอบได้ถูกต้องและหลากหลาย ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ทุกคนตั้งใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนทำใบงานเรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้นักเรียนเล่าถึง เหตุการณ์ที่นักเรียนประทับใจเกี่ยวกับผู้ผลิตสินค้าและบริการ พร้อมบอกว่าผู้ผลิตสินค้าและบริการดังกล่าวมี คุณธรรมในเรื่องใด ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนบางคนไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ประทับใจครูจึงให้แต่งเรื่อง ตามจินตนาการ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสุขกับการทำงาน เสียงดัง มีการพูดคุยกันภายใน กลุ่ม ขั้นที่ 4 (Share) ผู้วิจัยสุ่มนักเรียนออกมานำเสนอใบงานเรื่องหลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 3 คนโดยใช้วงล้อ
78 ภาพที่ 21 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการ อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการนำเสนอ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอมี2-3 คนหยิบโทรศัพท์ มาเล่น ครูต้องเข้าไปยืนใกล้ 3.4 ผลการสัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 2 จากการปฏิบัติการในวงจรที่ 1 ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 2 โดยสามารถ สรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ บรรยากาศโดยทั่วไปในชั้นเรียนห้องเรียนเป็นระเบียบเรียบร้อย ถังขยะถูกวางไว้นอกห้อง ครูมีการ กระตุ้นให้คิดตลอดเวลา เป้นชั่วโมงเรียนทมี่ใช้สมองเยอะมาก แต่ครูให้เขียนมากเกินไป ไม่อยากเขียนแต่ให้ เปลี่ยนเป้นรูปแบบการพิมพ์ตอบแทน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิดและวิธีการทำธุรกิจ
79 3.5 สภาพปัญหาที่พบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาวงจรที่ 2 จากการปฏิบัติการในวงจรที่ 2 ผู้วิจัยได้พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการวิจัย และ แนวทางในการแก้ไขปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้ โดยสามารถสรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง นักเรียนไม่เข้าใจความหมายของคำที่ยาก ครูต้องอธิบายขยายความ เช่น ประสิทธิภาพการผลิต ผู้ประกอบการ ขั้นที่ 2 Solve (S) ไม่พบปัญหา ขั้นที่ 3 (Create) นักเรียนใช้เวลานานในการวาดภาพระบายสีครูจึงต้องพูดกระตุ้นและใช้เวลาการนับถอยหลัง ขั้นที่ 4 Share (S) ครูทำการสอนไม่ทัน จึงไม่สามารถนำเสนอครบสามกลุ่มหรือสามคนตามที่วางแผนไว้ จึงจำเป้นต้องใช้ วงล้อในการสุ่มนำเสนอ 3.6 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 หลังจากดำเนินการวิจัยในวงจรที่ 1 เสร็จสิ้นตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้ ทำการทดสอบท้ายวงจร โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 10 คะแนน เพื่อวัดประเมินผลที่เกิดขึ้นจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง และกำหนด เกณฑ์การผ่านตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป ซึ่งผลการทดสอบท้ายวงจรที่ 1 ปรากฏดังตารางที่ 5 ดังนี้ ตารางที่ 4 แสดงผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 จำนวน นักเรียน ทั้งหมด นักเรียนผ่าน เกณฑ์ นักเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เต็ม คะแนน ที่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เฉลี่ย ร้อยละของ คะแนน เฉลี่ย จำนวน (คน) ร้อยละ จำนวน (คน) ร้อยละ 36 24 66.70 12 33.30 10 7 7.00 70.00 จากตารางที่ 4 พบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา มีนักเรียนจำนวน 24 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 66.70 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่ กำหนด 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.00 คิดเป็นร้อยละ 70.00 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้
80 4. การสะท้อนผลการปฏิบัติการในวงจรที่ 3 การปฏิบัติการในวงจรที่ 3 ผู้วิจัยได้นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ โดยนำข้อมูลจากการจัดการเรียนรู้ การสังเกตจากผู้ช่วยวิจัย และจากแบบทดสอบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ซึ่งได้ใช้เนื้อหาของหน่วยการ เรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 - 9 จำนวน 3 ชั่วโมง ซึ่ง รายละเอียดของผลการปฏิบัติในวงจรที่ 1 มีดังนี้ 4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าและบริการ 4.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ 4.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย 4.4 สภาพปัญหาที่พบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาวงจรที่ 2 4.5 ผลการสัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 2 4.6 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 4.7 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 โดยมีรายละเอียด ตามลำดับต่อไปนี้ 4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าและบริการ มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถยกตัวอย่างปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าและบริการ ออกแบบสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้และเห็นความสำคัญของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ ผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วนักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมสมองว่า “มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการ” ให้ได้จำนวนมากที่สุด ลงบนกระดาษสมุดรายวิชา สังคมศึกษา โดยกำหนดเวลา 3 นาทีตัวอย่างคำตอบของนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ราคาสินค้า นักเรียนกลุ่มที่ 2 : คุณภาพสินค้า นักเรียนกลุ่มที่ 3 : โปรโมชั่น ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถระดมสมองได้มากกว่าสิบข้อทุกกลุ่มเพราะเป็น เรื่องใกล้ตัว ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนไม่กล้าตัดสินใจในกรณีลืมเอาสมุดมาชอบถามย้ำว่าใช้ กระดาษอื่น ๆ ได้หรือไม่ ขั้นที่ 2 Solve (S)
81 ผู้วิจัยถามคำถามว่า “ถ้าหากมีสินค้าชนิดเดียวกัน ราคาเท่ากัน ตั้งอยู่ข้างกัน นักเรียนมีวิธีการเลือก ซื้อสินค้าหรือมีหลักในการเลือกสินค้าอย่างไร” นักเรียนคนที่ 1 : ชื่อเสียง นักเรียนคนที่ที่ 2 : คุณภาพ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนบางคนสามารถให้เหตุผลได้ บางคนไม่สามารถให้เหตุ ผลได้ ครูต้องคอยกระตุ้นหรือให้เพื่อนช่วย ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพยายามที่จะตอบถึงแม้ว่าจะไม่รู้คำตอบ ขั้นที่ 3 Create (C) ผู้วิจัยกำหนดสถานการณ์ว่า “หากนักเรียนเป็นผู้ผลิต รองเท้ายี่ห้อหนึ่ง นักเรียนจะออกแบบสินค้า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคอย่างไร” โดยให้นักเรียนทั้ง 9 กลุ่ม ออกแบบลงบนใบงานเรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ตัวอย่างคำตอบของนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ศึกษาความต้องการ นักเรียนกลุ่มที่ 2 : หาวัสดุที่ดีที่สุดมาผลิตสินค้า นักเรียนกลุ่มที่ 3 : ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกคนออกแบบได้อย่างสร้างสรรค์และสามารถบริหาร จัดการเวลาได้ดี ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ผู้สอนสามารถกระตุ้นและสามารถควบคุมเวลาได้ดีขึ้น ขั้นที่ 4 (Share) นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอ เรียงลำดับการนำเสนอโดยใช้วิธีการโอน้อยออก กำหนดเวลากลุ่ม ละ 2 นาที และให้เพื่อนลงคะแนนว่าจะซื้อสินค้าของกลุ่มใด กลุ่มที่ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุดออกมาตราปั๊ม คะแนนเพิ่มจากครู ภาพที่22 ตัวอย่างภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อการผลิตสินค้าและบริการ
82 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า เกิดความขัดแย้งเพราะการแข่งขัน เนื่องจากสภาพผู้เรียนชอบ แข่งขัน ครูต้องเข้าไปแก้ปัญหาโดยให้คะแนนเท่ากันทุกกลุ่ม ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ผู้สอนสามารถแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งในห้องเรียนได้ ค่อนข้างดี 4.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการได้ ออกแบบเครื่องมือหรือนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้ผลิตสินค้าและบริการ และเห็นประโยชน์ของการนำเทคโนโลยี มาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วนักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมสมองว่า “ปัญหาการใช้สินค้าที่พบในชีวิตประจำวันในด้านการใช้ชีวิต มีอะไรบ้าง” ลงบนกระดาษเอสี่ให้ได้มากที่สุด โดยกำหนดเวลา 3 นาทีตัวอย่างคำตอบของนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : พัดลมไม่เย็น นักเรียนกลุ่มที่ 2 : ปากกาเขียนไม่ออก ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มเขียนได้มากกว่า 15 วิธี ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ผู้สอนใช้คำถามกระตุ้นการเรียนรู้ง่ายและใกล้ตัว ขั้นที่ 2 Solve (S) นักเรียนตอบคำถามว่า “มีปัญหาในชีวิตประจำวันใดบ้างที่นักเรียนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง และต้องพึ่งสิ่งของเครื่องมือ และเครื่องใช้ ต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว” , นักเรียนคนที่ 1 : การเดินทางไกล ต้องใช้รถยนต์ นักเรียนคนที่ 2 : การติดต่อทางไกลต้องใช้โทรศัพท์ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนคิดได้หลายวิธีและเป็นคำตอบที่ผู้สอนไม่คาดคิด เช่น ว่ายน้ำไม่เป็นใช้ห่วงยาง ทำการบ้านไม่ได้ต้องใช้เพื่อนช่วย ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ผู้สอนใช้คำถามกระตุ้นการคิดได้ดี ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกปัญหามา 1 ปัญหาในชีวิตประจำวัน และออกแบบเครื่องมือหรือนวัตกรรมใน การแก้ไขปัญหาดังกล่าว ลงบนใบงานเรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถเลือกปัญหาได้ และคิดหาทางแก้ไขได้ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนทุกคนสามารถแก้ไขได้ ขั้นที่ 4 (Share) นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอ โดยกำหนดเวลากลุ่มละ 2 นาที และให้เพื่อนลงคะแนนว่าจะซื้อ เครื่องมือหรือนวัตกรรมของกลุ่มใด
83 ภาพที่23 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนให้ความสนใจกับผลงานเพื่อน ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
84 4.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนสามารถบอกชื่อสินค้าและบริการของไทยในแต่ละท้องถิ่น นำเสนอสินค้า และบริการของไทยได้ของแต่ละท้องถิ่นได้และเห็นประโยชน์การผลิตสินค้าและบริการของไทย(A) ซึ่งมีผลการจัดการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ผู้วิจัยเเบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน แล้วดูคลิปแผ่นดินทองของไทย แล้วนักเรียนตอบคำถามว่าจากคลิปดังกล่าวสินค้าและบริการของไทยมีอะไรบ้าง ตัวอย่างคำตอบนักเรียน มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : ร่ม นักเรียนคนที่ 2 : ข้าว ต่อมานักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมสมองว่า สินค้าที่ผลิตในแต่ละท้องถิ่นของไทยมีอะไรบ้าง โดย แยกย่อยออกเป็น 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ลงบนกระดาษเอสี่ ตัวอย่างคำตอบนักเรียนภาคเหนือ มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : ไส้อั่ว นักเรียนคนที่ 2 : ข้าวซอย ตัวอย่างคำตอบนักเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : หม่ำ นักเรียนคนที่ 2 : ข้าว ตัวอย่างคำตอบนักเรียนภาคกลาง มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : โรงงาน นักเรียนคนที่ 2 : ห้าง ตัวอย่างคำตอบนักเรียนภาคใต้ มีดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 : ทะเล นักเรียนคนที่ 2 : สตอ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารคิดได้มากกว่า 20 คำตอบ แต่ไม่สามารถจำแนก ได้ว่าสินค้าบางชนิดอยู่ภาคใด ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า คลิปวิดีโอน่าสนใจเป็นการสรุปรวมสินค้าไทยทุกภาค ขั้นที่ 2 Solve (S) นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดทัวร์พาครูไปท่องเที่ยวชมสินค้าและบริการของภาคต่าง ๆ ในภูมิภาคที่นักเรียน จับสลากได้ โดยประกอบไปด้วย 1) สถานที่ท่องเที่ยวที่นักเรียนพาครูไปเที่ยวชม 2) สินค้าและบริการที่ครู พลาดไม่ได้ ลงบนใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย ตัวอย่างคำตอบสถานที่ ท่องเที่ยวที่นักเรียนพาครูไปเที่ยวชมสินค้าและบริการที่ครูพลาดไม่ได้มีดังนี้ นักเรียนกลุ่มที่ 1 : ปราสาทหินพนมรุ้ง ไปดูพระอาทิตย์ลอดช่องประตู
85 นักเรียนกลุ่มที่ 2 : ภูเก็ต พาไปแหลมพรหมเทพดูพระอาทิตย์ตก ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนวางแผนการจัดกิจกรรมได้ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า ทุกคนตั้งใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม ขั้นที่ 3 Create (C) นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบการนำเสนอการจัดทัวร์ท่องเที่ยวส่งสินค้าและบริการ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า แต่ละกลุ่มออกแบบและวางแผนได้น่าสนใจ ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสุขกับการทำงาน เสียงดัง มีการพูดคุยกัน ภายในกลุ่ม ขั้นที่ 4 (Share) ผู้วิจัยสุ่มนักเรียนออกมานำเสนอ 2 กลุ่มหน้าชั้นเรียนโดยใช้วิธีการจับสลาก แล้วนักเรียนร่วมกันสรุป องค์ความรู้เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย โดยใช้สื่อ CANVA ภาพที่24 ตัวอย่างผลงานนักเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่า นักเรียนสามารถนำเสนอได้ในเวลาที่จำกัด จัดการบริหาร เวลาได้ดี ผลการสังเกตจากผู้ช่วยวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอมี 2-3 คนหยิบโทรศัพท์ มาเล่น ครูต้องเข้าไปยืนใกล้ ๆ 4.4 ผลการสัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 3 จากการปฏิบัติการในวงจรที่ 3 ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์นักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้วงจรที่ 3 โดยสามารถ สรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ บรรยากาศในชั้นเรียนมีความเหมาะสมโต๊ะเป็นระเบียบ มีการสืบค้นข้อมูลแต่อยากให้อินเทอร์เน็ตมี ความเร็วมากกว่านี้ อีกทั้งครูควรให้เวลาในการทำงานมากกว่า 1 ชั่วโมง เพราะทำไม่ทัน และได้ความรู้เกี่ยวกับ สถานที่ท่องเที่ยว และวัฒนธรรมของภาคต่าง ๆ
86 4.5 สภาพปัญหาที่พบ และแนวทางการแก้ไขปัญหาวงจรที่ 3 จากการปฏิบัติการในวงจรที่ 1 ผู้วิจัยได้พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการวิจัย และ แนวทางในการแก้ไขปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้ โดยสามารถสรุปรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 Search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง นักเรียนไม่สามารถจำแนกประเภทสินค้าของแต่ละภาคได้ ครูต้องอธิบายขยายความและยกตัวอย่าง เช่น ข้าวและอ้อยที่มีการปลูกหลายภาคซึ่งสามารถเป็นสินค้าของภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ ขั้นที่ 2 Solve (S) ไม่พบปัญหา ขั้นที่ 3 (Create) นักเรียนใช้เวลานานในการวาดภาพระบายสีครูจึงต้องพูดกระตุ้นและใช้เวลาการนับถอยหลัง ขั้นที่ 4 Share (S) ในบางคาบเรียนสายต่อโปรเจคเตอร์มีปัญหาครูต้องใช้สายสำรองของครู เพื่อให้นักเรียนสามารถนำ ภาพและวิดีโอขึ้นนำเสนอได้ 4.6 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 3 หลังจากดำเนินการวิจัยในวงจรที่ 1 เสร็จสิ้นตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้ ทำการทดสอบท้ายวงจร โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 10 คะแนน เพื่อวัดประเมินผลที่เกิดขึ้นจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง และ กำหนดเกณฑ์การผ่านตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป ซึ่งผลการทดสอบท้ายวงจรที่ 3 ปรากฏดังตารางที่ 6 ดังนี้ ตารางที่ 5 แสดงผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 3 จำนวน นักเรียน ทั้งหมด นักเรียนผ่าน เกณฑ์ นักเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เต็ม คะแนน ที่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เฉลี่ย ร้อยละของ คะแนน เฉลี่ย จำนวน (คน) ร้อยละ จำนวน (คน) ร้อยละ 36 30 83.30 6 17.70 10 7 7.97 79.70 จากตารางที่ 5 พบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 3 รายวิชา ส 22102 สังคมศึกษา มีนักเรียนจำนวน 30 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 83.30 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.97 คิด เป็นร้อยละ 79.70 ของคะแนนเต็ม ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจากการทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรปฏิบัติการที่ 1-3 สามารถแสดงผลเป็นตารางได้ ดังนี้
87 ตารางที่ 6 แสดงคะแนนแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาวงจรปฏิบัติการที่ 1 - 3 ด้วยการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วงจร ที่ นักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 คะแนนเฉลี่ย ร้อยละของ คะแนนเฉลี่ย จำนวน คิดเป็นร้อยละ 1 25 69.40 6.68 68.80 2 24 66.70 7.00 70.00 3 30 83.30 7.97 79.70 จากตารางที่ 6 พบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 มีนักเรียนจำนวน 25 คน ผ่าน เกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 69.40 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 โดยมี คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 69.40 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ความสามารถในการคิด แก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 มีนักเรียนจำนวน 26 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 66.70 มีนักเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ที่กำหนด 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 โดยมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 70.00 ของคะแนนเต็ม และ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 3 มีนักเรียนจำนวน 30 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 83.33 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 6 คน คิดเป็นร้อยละ 16.70 โดยมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 79.97 ของคะแนนเต็ม ซึ่งในวงจรปฏิบัติการที่ 3 มีผลคะแนนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 5. ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา แบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ โดยได้มี การวัดและประเมินผลหลังจากการจัดการเรียนรู้ครบตามวงจรปฏิบัติการที่ 1-3 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
88 ตารางที่ 7 แสดงคะแนนผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน นักเรียน ทั้งหมด นักเรียนผ่าน เกณฑ์ นักเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เต็ม คะแนน ที่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เฉลี่ย ร้อยละของ คะแนน เฉลี่ย จำนวน (คน) ร้อยละ จำนวน (คน) ร้อยละ 36 22 61.12 14 38.88 10 7 7.21 72.10 จากตารางที่ 7 พบว่า ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา มีนักเรียน จำนวน 22 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 61.12 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 14 คน คิดเป็น ร้อยละ 38.88 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.21 คิดเป็นร้อยละ 72.10 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 6. ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยจำนวน 30 ข้อ โดยได้มีการวัดและ ประเมินผลหลังจากการจัดการเรียนรู้ครบตามวงจรปฏิบัติการที่ 1-3 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ตารางที่ 8 แสดงคะแนนผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา จำนวน นักเรียน ทั้งหมด นักเรียนผ่าน เกณฑ์ นักเรียนไม่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เต็ม คะแนน ที่ผ่าน เกณฑ์ คะแนน เฉลี่ย ร้อยละของ คะแนน เฉลี่ย จำนวน (คน) ร้อยละ จำนวน (คน) ร้อยละ 36 25 69.44 11 30.56 10 7 7.27 72.70 จากตารางที่ 8 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา มีนักเรียนจำนวน 25 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 69.44 มีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.56 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.27 คิดเป็นร้อยละ 72.70 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่ กำหนดไว้
89 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยอภิปรายผล และเสนอข้อเสนอแนะตามลำดับ ดังหัวข้อต่อไปนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. วิธีดำเนินการวิจัย 3. สรุปผลการวิจัย 4. อภิปรายผลการวิจัย 5. ข้อเสนอแนะ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1.1 พัฒนาความสามารถในคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ส 22101 สังคม ศึกษา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ให้นักเรียนมีความสามารถในการ คิดแก้ปัญหาไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีคะแนนความสามารถในการคิดแก้ปัญหาเฉลี่ยร้อยละ 70 ขึ้นไป 1.2 พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนSSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่ น้อยกว่าร้อยละ 70 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 70 ขึ้นไป 2. วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้ 2.1 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/11 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านไผ่ โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) 2.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 2.2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิค การระดมสมอง 2.2.2 ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน