90 2.3 รูปแบบการวิจัย รูปแบบของการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ( Action Research) ตามแนวคิดของ Kemmis & MCTTaggart (1992 อ้างถึงใน กนกวรรณ ศรีนรจันทร์, 2555) ซึ่งมี การดำเนินการตามวงจรปฏิบัติการ PAOR ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 2.3.1 การวางแผนหรือเตรียมการ (Plan) 2.3.2 การปฏิบัติการ (Act) 2.3.3 การสังเกต (Observe) 2.3.4 การสะท้อนผลการปฏิบัติ (Reflect) 2.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล โดยแบ่งอออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 2.4.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การออมและการลงทุน และหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการจำนวน 9 แผน ใช้เวลาทั้งสิ้น 9 ชั่วโมง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การออม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การลงทุน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ความหมาย ความสำคัญของการผลิตสินค้าและบริการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัจจัยการผลิต แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ผู้ประกอบการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง หลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้าและบริการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะการผลิตสินค้าและบริการของไทย 2.4.2 เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติได้แก่ 1) แบบบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู 3) แบบทดสอบท้ายวงจร เป็นแบบปรนัย 4ตัวเลือก รวมทั้งหมด 3ชุด ชุดละ 10ข้อ 2.4.3 เครื่องมือในการประเมินผลการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา เป็นปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30ข้อ
91 2.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36 คน โดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1) ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักเรียนและผู้ร่วมวิจัยเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลและการดำเนิน กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการทำวิจัย เพื่อให้เข้าใจข้อตกลงและการปฏิบัติตนที่เหมาะสม ร่วมกันก่อนเริ่มการจัดการเรียนรู้ 2) ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ 3) หลังจากดำเนินการจัดการเรียนรู้ในวงจรปฏิบัติการที่ 1เสร็จสิ้น ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดสอบย่อย ท้ายวงจรในเรื่องความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และมีการสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ร่วมกับผู้ช่วยวิจัย เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนานักเรียนในวงจรปฏิบัติการที่ 2 และ 3 ตามลำดับ โดยในวงจรปฏิบัติการที่ 2 และ 3 มีลักษณะการเก็บรวบรวมข้อมูลดังเช่นในการวงจรปฏิบัติการที่ 1 4) เมื่อดำเนินการสอนจนครบทุกแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏิบัติการแล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 5) นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ และสรุปผลการวิจัย 2.6 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำข้อมูลจากการเก็บรวบรวมข้อมูล มาวิเคราะห์ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ดังนี้ 2.6.1 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ซึ่งวิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละเพื่อ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ โดยเกณฑ์ที่กำหนด คือ นักเรียนได้คะแนนร้อยละ 70 ของคะแนนทั้งหมด และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด 2.6.2 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้ข้อมูลจากแบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของ ครู ซึ่งบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หา ข้อบกพร่อง ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ นำไปสู่การหาแนวทางในการพิจารณาแก้ไขปัญหาและ ปรังปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในการดำเนินการวงจรต่อไป
92 3. สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่สามารถสรุปผลการวิจัยได้ตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ 3.1 ผลการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ในรายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ โดยนักเรียนร้อยละ 70 มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาร้อยละ 70 ขึ้นไป ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 61.12 ของ นักเรียนทั้งหมด ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 3.2 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่ ใน รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา โดยใช้การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง โดยนักเรียนร้อยละ 70 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนร้อยละ 70 ขึ้นไป ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 69.44 ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 4. อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านไผ่สามารถอภิปรายผลการวิจัยได้ตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ 4.1 ผลการพัฒนาความสามารถในคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ผลการวิจัยพบว่า ผลการพัฒนาความสามารถในคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง มีนักเรียนผ่านเกณ์ร้อยละ 70 จำนวน 22 คน จากนักเรียนทั้งหมด 36 คน คิดเป็นร้อยละ 61.12 ของนักเรียน ทั้งหมด โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.20 คิดเป็นร้อยละ 72.10 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือนักเรียนร้อยละ 70 มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาร้อยละ 70 ขึ้นไป เพราะแม้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ได้ผ่านขั้นตอน กระบวนการสร้างที่มีประสิทธิภาพผ่านการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 บริบทและหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านไผ่การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง แนวคิดเกี่ยวกับความสามารถในการแก้ปัญหา
93 และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนำข้อมูลที่ได้มาดำเนินการจัดทำเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ตามโครงสร้างรายวิชา และผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แต่ในการนำไปใช้จริงกับ กลุ่มเป้าหมายนี้มีข้อจำกัด และอุปสรรคหลายด้าน เช่น ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการระดมสมอง พื้นที่ ในการจัดการเรียนรู้คับแคบ ในบางครั้งไม่สามารถจัดกิจกรรมกลุ่มได้สะดวก ซึ่งส่งผลต่อการแลกเปลี่ยน เรียบนรู้ของผู้เรียน ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ให้กลุ่มเป้าหมายปฏิบัติตามแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง จำนวน 9 แผน เวลา 9 ชั่วโมง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบ่งออกเป็น 3 วงจร และได้นำผลสะท้อนจากเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแต่ ละวงจรมาปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมตามลำดับ โดยมีการทดสอบวัดความสามารถในการ แก้ปัญหาเมื่อสิ้นสุดในแต่ละวงจรรวมทั้งหมด 3 ครั้ง และมีการทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา เมื่อ สิ้นสุดทั้ง 3 วงจรอีก 1 ครั้ง ซึ่งผลการทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาแต่ละวงจรมีดังนี้ ความสามารถ ในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 1 มีนักเรียนจำนวน 25 คน ไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 69.40 โดยมี คะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 66.80 ของคะแนนเต็ม ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 2 มีนักเรียน จำนวน 24 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 66.70 โดยมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 70.00 ของ คะแนนเต็ม และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาท้ายวงจรที่ 3 มีนักเรียนจำนวน 30 คน ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คิดเป็นร้อยละ 83.33 โดยมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 79.70 ของคะแนนเต็ม จะเห็นได้ว่าในวงจรปฏิบัติการ ที่ 1 นักเรียนมีผลคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เนื่องจากนักเรียนยังไม่คุ้นชินกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ขาดความเข้าใจในความหมายของคำว่า การ ระดมสมอง การคิดแก้ปัญหา การตัดสินใจเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการ แก้ปัญหาของ Weir (1974 อ้างถึงใน ปราณี หีบแก้ว, 2552) ที่ผู้วิจัยได้นำมาประยุกต์ใช้ นักเรียนจึงยังไม่ สามารถเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเหมาะสมกับประเด็นปัญหาที่กำหนด นอกจากนี้นักเรียนยังไม่คุ้นชินกับ การระดมสมองมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไม่ครบทุกคนภายในกลุ่ม ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถนำเสนอวิธีการ แก้ไขปัญหาได้หลากหลายเท่าที่ควร ในวงจรปฏิบัติการที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยและจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ลดลง อันเนื่องมาจากบทเรียนและเนื้อหาสาระในแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการสร้างสิ่งใหม่ การวางแผนและ คิดค้น ทดลองในด้านการวางแผนการทำธุรกิจซึ่งมีความยากและซับซ้อนมากขึ้น และในวงจรปฏิบัติการที่ 3 พบว่า คะแนนเฉลี่ยและจำนวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์มีจำนวนมากขึ้นจากวงจรปฏิบัติการที่ 3 เนื่องจาก นักเรียนเริ่มคุ้นชินกับการจัดการเรียนรู้ และสามารถบริหารจัดการกระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม จน สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนตั้งไว้ อย่างไรก็ตามเมื่อทดสอบวัดความสามารถในแก้ปัญหาหลังเสร็จสิ้นทั้ง 3 วงจรแล้ว ผลกลับปรากฏว่า มีนักเรียนผ่านเกณ์ร้อยละ 70 จำนวน 22 คน จากนักเรียนทั้งหมด 36 คน คิดเป็นร้อยละ 61.12 ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งนี้สามารถอภิปรายถึงปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถ พัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาให้ผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดได้ว่าเกิดจากปัจจัย 2 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้สอน และด้านผู้เรียน กล่าวคือ ในด้านผู้สอน การสอนขาดการเน้นย้ำ และขาดการอธิบายขยายความใน ศัพท์ที่มีความยาก เช่น ประสิทธิภาพในการผลิต ผลตอบแทนของการออม ผู้ประกอบการ ซึ่งทำให้ผู้เรียนไม่
94 สามารถระดมสมองเพื่อคิดหาแนวทางแก้ปัญหาได้หลากหลาย ผู้สอนขาดความเด็ดขาดในการจัดกระบวนการ กลุ่มโดยไม่ยอมสับเปลี่ยนกลุ่มของผู้เรียนในการระดมสมอง ทำให้ความคิดเห็นของผู้เรียนไม่เกิดการ แลกเปลี่ยนสิ่งใหม่ ๆ ระหว่างกัน นอกจากนี้ในด้านผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนไม่เข้าใจขั้นตอนของการระดมสมองมี เพียงผู้เรียนบางคนเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหา ส่วนผู้เรียนคนอื่น ๆ มีหน้าที่เขียนลง กระดาษแต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา และผู้เรียนบางส่วนไม่ตอบสนองและสื่อสารกับครูว่า เข้าใจในสิ่งที่ครูให้ทำหรือไม่ อย่างไร เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ประกอบด้วยวิธีการ ดังนี้1) ขั้นที่ Search (S) นำเสนอ การค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับปัญหาและการแยกแยะประเด็นปัญหาการแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับปัญหาซึ่งประกอบไปด้วย การ ระดมสมอง เพื่อให้เกิดการแยกแยะปัญหาต่าง ๆ ช่วยให้ผู้เรียนในการมองเห็นความสัมพันธ์ของมโนมติต่าง ๆ ที่อยู่ในปัญหานั้น ๆ 2) ขั้นที่ 2 Solve (S) การวางแผนและการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆหรือ การหาคำตอบของปัญหาที่เราต้องการ ในขั้นนี้ผู้เรียนต้องวางแผนการแก้ไขปัญหารวมถึงการวางแผนการใช้ เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง 3) ขั้นที่ 3 Create (C) การนำผลที่ได้มาจัด กระทำเป็นขั้นตอนเพื่อให้ ง่ายต่อความเข้าใจและเพื่อสื่อสารกับคนอื่นได้การนำข้อมูลที่ได้จากการแก้ปัญหาหรือวิธีการที่ได้จากการ แก้ปัญหามาจัดกระทำให้อยู่ในรูปแบบของคำตอบหรือวิธีการที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย 4) ขั้นที่ 4 Share (S) การแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับข้อมูลและวิธีการแก้ปัญหาการที่ให้ผู้เรียนแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนหรือวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา ทั้งของตนเองและผู้อื่น แต่ในการจัดการเรียนรู้ใน สภาพจริงพบว่า นักเรียนไม่สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวได้ดีเท่าที่ควร เนื่องจาก นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ยังขาดทักษะการระดมความคิด อีกทั้งไม่ตอบสนองหรือสื่อสารว่าเข้าใจใน สิ่งที่ครูให้ทำหรือไม่ และขาดความร่วมมือในการทำงานในขั้นที่ 1 Search (S) ซึ่งส่งผลให้การคิดและการ สร้างสรรค์ผลงานในขั้นตอนถัดไปเกิดปัญหา ผลการวิจัยในครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยทิพย์ฤทัย ไกรศรี วรรธนะ (ม.ป.ป.) ได้ทำวิจัยเรื่องการศึกษาทักษะการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการคิดแก้ปัญหา (SSCS ) ผลวิจัยพบว่า มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 91.89 และไม่ สอดคล้องกับผลการวิจัยของ Luft and others. (1997 : 18-21 อ้างถึงใน กัญชนก กามะพร 2553 : 52) ได้ศึกษาวิธีการ แก้ปัญหาในวิชาวิทยาศาสตร์ใช้รูปแบบการสอนแบบ SSCS มาบูรณาการใช้แก้ปัญหาในวิชา สำนักหอสมุดกลาง 71 คณิตศาสตร์พบว่า การใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ทำให้นักเรียนค้นหาคําตอบ เกี่ยวกับสิ่งที่กำาหนดให้สามารถอธิบาย วางแผนแก้ปัญหา วิเคราะห์ข้อมูลจัดทําข้อมูลเพื่อสื่อสารกับคนอื่น และร่วมกันสรุปผลการคําตอบได้เป็นอย่างดีโดยจากการทำแบบทดสอบ ผลการวิจัยในครั้งนี้ไม่ผ่านเกณฑ์ ทั้งนี้เนื่องจากการวิจัยในครั้งนี้มีข้อจำกัดเกี่ยวกับด้านผู้สอนการจาก การขาดการเน้นย้ำ และอธิบายคำศัพท์ที่ยากต่อการคิด และการระดมสมองในขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน การจัดการเรียนรู้ในขั้นต่อไป ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า หากมีการกระตุ้นผู้เรียนมากขึ้นและจัดสภาพแวดล้อมในการ เรียนรู้โดยการสลับกลุ่มผู้เรียนเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ ๆ ระหว่างกัน อีกทั้งอธิบายในคำศัพท์ที่ยากจะสามารถ พัฒนาสู่กระบวนการแก้ปัญหาในขั้นต่อไปได้
95 4.2 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชา ส 22101 สังคมศึกษา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 จำนวน 25 คน จากนักเรียนทั้งหมด 36 คน คิดเป็นร้อยละ 69.44 โดยมีคะแนนเฉลี่ย 7.20 คิดเป็น ร้อยละ 72.00 ของคะแนนเต็ม ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง จำนวน 9 แผน เวลา 9 ชั่วโมง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 3 วงจร และได้นำผลสะท้อนจากเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแต่ละวงจรมาปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสม ตามลำดับ โดยมีการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเมื่อสิ้นสุดทั้ง 3 วงจร 1 ครั้ง และผลปรากฏว่า มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์เพียง 25 คน จากนักเรียนทั้งหมดจำนวน 36 คน ดังที่กล่าวในข้างต้น เพราะถึงแม้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิค การระดมสมอง จะได้ผ่านขั้นตอนกระบวนการสร้างที่มีประสิทธิภาพ จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง และผ่านการตรวจสอบโดยอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยและผู้เชี่ยวชาญแล้ว แต่ในขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่มีส่วนช่วยเรื่องผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของวิธีการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง คือ ในขั้นที่ 1 search (S) ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ซึ่งเป็นขั้นที่ผู้เรียนระดม ความคิดให้ได้มากที่สุดในกลุ่มย่อย พบว่าผู้เรียนบางกลุ่มไม่ได้เสนอความคิดที่อยู่ภายใน หรือบอกเล่าออกมา ผ่านคำพูดและการกระทำ ทำให้ไม่ได้ไอเดียความคิดที่หลากหลาย และในขั้นที่ 4 share (S) ที่เป็นขั้นที่ผู้เรียน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้และผลงานพบว่า ผู้เรียนบางส่วนไม่มีบทบาทในการนำเสนอและไม่ได้นำเสนอ ความคิดหรือผลงานของทุกกลุ่มเนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา ซึ่งไม่สอดคล้องกับยงยุทธ ทองจำรูญ (2553) กล่าวว่า วิธีการสอนแบบ SSCS เป็นการสอนการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นการฝึกทักษะให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิด และหาเหตุผลสำหรับคำตอบของปัญหาโดยนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา นอกจากนี้ผู้เรียนเรียนกลุ่มเป้าหมายยังขาดทักษะการนำเสนอทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ ตกผลึกจากการเรียนรู้และการทำกิจกรรมตลอดทั้งชั่วโมงการจัดการเรียนรู้จึงทำให้ผู้เรียนเรียนส่วนใหญ่ไม่ สามารถได้ประเด็นความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งผลการวิจัยในครั้งนี้ไม่สอดคล้องกับการศึกษาของ ทิพย์ฤทัย ไกรศรีวรรธนะ (ม.ป.ป.) ได้ทำวิจัยเรื่องการศึกษาทักษะการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ด้วยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา (SSCS ) ผลวิจัยพบว่า 1) ทักษะการคิดแก้ปัญหาคิดเป็นคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 17.56 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.97 คิดเป็นร้อยละ 87.84 และมี นักเรียนที่ผ่านเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 91.89 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนพบว่าการจัดการเรียนรู้โดย ใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา (SSCS) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 24.11 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.26 คิดเป็นร้อยละ 80.36 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์คิดเป็น ร้อย
96 ละ78.38 และไม่สอดคล้องกับ นวกานต์ วิภาสชีวิน (2564) ที่ทำวิจัยเรื่องผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) เรื่อง สถิติที่มีต่อการพัฒนาความสามารถในการ แก้ปัญหาและความสามารถในการทำงานเป็นทีมของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ผลการวิจัยพบว่านักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องสถิติหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ0.05 แสดงให้เห็นว่าการที่ นักเรียนขาดการแลกเปลี่ยนความคิดในกลุ่มย่อย และขาดทักษะการนำเสนอความรู้ผ่าน ตามขั้นตอนการ จัดการเรียนรู้ส่งผลต่อการสรุปองค์ความรู้ในขั้นสุดท้ายคือ ขั้นShare (S) ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ไม่ เป้นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 70 ขึ้นไป 4.3 การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ส่งผลต่อการการจัดการเรียนรู้อย่างไร การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) คือวิธีการแสวงหาความรู้ใหม่โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่ออธิบายทำนายและควบคุมปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์และ สังคมศาสตร์ เพื่อมุ่งเน้นนำผลที่ได้จากการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงผลการปฏิบัติงานขององค์กรให้ มีประสิทธิภาพสูงสุด เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้เทคโนโลยีที่ได้ศึกษามาใช้ปฏิบัติจริง มากกว่าการมุ่งสร้างและ พัฒนาองค์ความรู้(วงพงศ์ ผูกภู่ม,2562) ซึ่งการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ช่วยส่งเสริมและ พัฒนาศักยภาพทางสมองของผู้เรียน เนื่องจากได้ฝึกกระบวนการคิดแก้ไขปัญหาและนำความรู้นั้นไป ประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานในขั้น Create (C) นอกจากนี้ยังเป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้จากการระดมสมองและการเปิดโอกาสทางความคิดให้ผู้เรียนสามารถแสดง ความคิดเห็นได้โดยอิสระจนผู้เรียนสามารถองค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง อีกทั้งผู้เรียนยัง สามารถฝึกทักษะการอ่าน ทักษะการพูด ทักษะการฟัง และทักษะการคิดอย่างลุ่มลึกจากกระบวนการเรียนรู้ 4 ขั้นตอนของรูปแบบการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง ซึ่งก่อนที่จะสร้างสรรค์ผลงานต้องใช้ทักษะ การฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่าน และทักษะการเขียนจึงจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้และในด้านจิต พิสัย รูปแบบการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคระดมสมองช่วยทำให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบมีวินัยในการทำงาน และแบ่งหน้าที่ความรับผิดร่วมกัน เนื่องจากการระดมสมองต้องใช้ตามคิดของสมาชิกในกลุ่มทุกคน อีกทั้ง ผู้เรียนทุกคนยังต้องช่วยกันนำเสนอ และถ่ายทอดองค์ความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้นั้นในรูปแบบผลงาน กลุ่ม
97 5. ข้อเสนอแนะ 5.1 ข้อเสนอแนะด้านการวิจัย 1) การจัดการเรียนรู้โดยโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง เพื่อ พัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา การการระดมสมองในขั้นที่ 1 Search (S) ที่จะนำนักเรียนไปสู่การ เรียนรู้ในขั้นถัดไปจนสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพได้ ดังนั้นควรกระตุ้นผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดในกลุ่มย่อย และมีการสลับกลุ่มในแผนการจัดการเรียนรู้ในวงจรต่อไป โดย ภายในกลุ่มต้องมีสมาชิกไม่ซ้ำ 2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง ในขั้นที่ 4 Share นักเรียนบางคนขาดทักษะการนำเสนอ ดังนั้นผู้สอนจึงเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องอธิบายขยายความ และ ทำความเข้าใจกับประเด็นที่นักเรียนนำเสนอเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้นักเรียนคนอื่น ๆ ในห้องเรียนเข้าใจ 3) การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง มีข้อจำกัด ที่นักเรียนทุกกลุ่มต้องนำเสนอความคิดซึ่งทำให้เวลาในคาบเรียนไม่เพียงพอ ครูควรจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ นิทรรศการ หรือให้นักเรียนอัปโหลดลงแพลทฟอร์มออนไลน์ เช่น line Padlet เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหว่างกันได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 5.2 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1) ควรมีการศึกษาผลที่เกิดจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับ เทคนิคการระดมสมอง ในสาระการเรียนรู้อื่น ๆ นอกเหนือจากสาระการเรียนรู้เศรษฐศาสตร์เช่น สาระการ เรียนรู้ภูมิศาสตร์ สาระการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ 2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมองควรใช้ แพลทฟอร์มหรือเทคโนโลยีในการนำเสนอ เช่น Padlet line เนื่องจากผู้เรียนจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ ง่ายและรวดเร็วในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 3) ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง กับนักเรียนในระดับชั้นอื่น ๆ หรือเปรียบเทียบการใช้ กับรูปแบบการจัดการเรียนรู้อื่น ๆ เช่น การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ การจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) เป็นต้น หรือเปรียบเทียบกับเทคนิคอื่น ๆ เช่น เทคนิคเพื่อนคู่คิด เทคนิคจิ๊กซอร์
98 บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2542). กระบวนการเรียนรู้และยุทธศาสตร์การเรียนรู้. กรุงเทพฯ: เดอะมาสเตอร์ กรุ้ป แมนเนจเม้นท จํากัด. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: กระทรงศึกษาธิการ. กัญญา วิทยศรีโพธิ์. (2557) ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการศึกษาชั้นเรียน ทีมีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์, 12(3). จีรนันท์ ยาวิสิทธิ์. (ม.ป.ป.). การศึกษาเพื่อศตวรรษที่21. สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2565, จาก https://kku.world/kkjj9 ทิศนา แขมมณี. (2547). ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ประภัสสร โคตะขุน. (ม.ป.ป.). การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ SSCS. สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2565, จาก https://kku.world/biqt9 พรชัย เจดามาน และคณะ. (2564). การพัฒนาการบริหารจัดการศึกษา4.0 ภายใต้พลวัตรแห่งศตวรรษที่ 21 สู่การเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนอย่างยั่งยืนของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไทย. สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2565, จาก https://kku.world/kxv2l พรรณพร นามโนรินทร์. (2553). การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน (PROBLEM–BASED LEARNING) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน หนองโก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2549). การสร้างและพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ : สำนักทดสอบทาง การศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พิตะวัน ศรีเจริฐ. (2552). ผลของการระดมสมองที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 โรงเรียนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นรินทร์ เจริญพันธุ์. (2559). การจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning. สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2565, จาก https://km.buu.ac.th/article/frontend/article_detail/141 นันทพร รอดผล. (2557). การพัฒนาผลการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์เรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ SSCS. มหาวิทยาลัยศิลปากร บุญชม ศรีสะอาด. (2545). วิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ปราณี กองจินดา. (2550). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และทักษะการคิดเลขในใจ ของนักเรียนที่ได้รับการสอนตามรูปแบบซิปปา โดยใช้แบบฝึกหัดที่เน้นทักษะการคิดเลขในใจ กับ
99 นักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้คู่มือครู. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา. เปลว ปุริสาร. (2553). การศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ 7 ได้รับการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. วงพงศ์ ผูกภู่. (2562). อะไรคือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ. สืบค้นเมื่อ 16 ธันวาคม 2565, จาก https://www.randdcreation.com/content/3481/อะไรคือ-การวิจัยเชิงปฏิบัติการ วัชรา เล่าเรียนดี. (2552). เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้สำหรับครูมืออาชีพ. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วันดี ต่อเพ็ง. (2553). ผลของการจดัการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลกัที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิตสาขาวิชาการมัธยมศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วารสารโรงเรียนบ้านไผ่. (2565). อัตรากำลังบุคลากรโรงเรียนบ้านไผ่ ปี 2565, 23. ศิริชัย กาญจนวาสี. (2544). การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ:บุญศิริการพิมพ์. สาโรช บัวศรี. (2549). การศึกษาและจริยธรรม. กรุงเทพฯ: กริดส์ ดีไซน์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น. สุกัญญา ยุติธรรมนนท์. (2550). ผลของการใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอแรนซ์ที่ มีต่อความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ปริญญ มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุกัญญา ศรีสาคร. (2550). การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการคิดแก้ปัญหาอนาคต. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุคนธ์ สินธพานนท์. (2558). การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุพล วังสินธุ์. (2543). การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ. วารสารวิชาการ, 3(9). สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2550). รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถของเด็กใน การอ่าน คิด วิเคราะห์ เขียน และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ. กรุงเทพฯ: สำนักงานฯ. อรติยา เทียบพระ. (2563). การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning: PBL) ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลขอนแก่นในรายวิชา ส 11101 สังคมศึกษา. มหาวิทยาลัยขอนแก่น
100 อาภรณ์ แสงรัศมี. (2550). ผลการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นหลักต่อลักษณะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
101 ภาคผนวก
102 ภาคผนวก ก -รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ -รายชื่อที่ปรึกษาร่วม -หนังสือแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ
103 1. รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ที่ ชื่อ-สกุล ตำแหน่ง 1 นายสุปัน ไชยหาเทพ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่ 2 นางสาวพรเทวี บุญมาตย์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่ 3 นางลดาวัลย์ นนทะเสน ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่ 2. รายชื่อที่ปรึกษาร่วม ที่ ชื่อ-สกุล ตำแหน่ง 1 นางสาวสุพรรษา แถวโนนงิ้ว ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านไผ่
104 3. หนังสือแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ
105
106
107
108 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ - ตัวอย่างแบบบันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู - ตัวอย่างแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัย - แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ท้ายวงจรที่ 1 - แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ท้ายวงจรที่ 2 - แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ท้ายวงจรที่ 3 - แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน -ตัวอย่างแบบสัมภาษณ์นักเรียน
109 ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบSSCS ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง รายวิชา สังคมศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รหัสวิชา:ส 22101 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การผลิตสินค้าและบริการ เวลา 7 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย เวลา 1 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 วันที่สอนวัน..................... ที่....... เดือน..................... พ.ศ. ............. ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 วันที่สอนวัน..................... ที่....... เดือน..................... พ.ศ. ............. ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/11 วันที่สอนวัน..................... ที่....... เดือน..................... พ.ศ. ............. โรงเรียนบ้านไผ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ผู้สอน นายหัตธชัย ประเสริฐสุข รหัสนักศึกษา 613050179-4 นักศึกษาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การผลิตสินค้าและบริการของไทยในแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันออกไปตามลักษณะ ทรัพยากรธรรมชาติ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของท้องถิ่น ซึ่ง การผลิตสินค้าและบริการในท้องถิ่นปัจจุบันมี 2 ลักษณะ ได้แก่การผลิตแบบดั้งเดิม และการผลิตสมัยใหม่ ซึ่ง การผลิตสินค้าและบริการน้ำป่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ม.2/1 วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนและการออม 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกชื่อสินค้าและบริการของไทยในแต่ละท้องถิ่นได้(K) 2. นำเสนอสินค้าและบริการของไทยได้ของแต่ละท้องถิ่นได้(P) 3. เห็นประโยชน์การผลิตสินค้าและบริการของไทย(A) ใช้สอนได้ ควรปรับปรุง ลงชื่อ…………………………..……...ครูพี่เลี้ยง (………………………………………………….)
110 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. ความหมาย ความสำคัญ และหลักการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพ 2. สำรวจการผลิตสินค้าในท้องถิ่นว่ามีการผลิตอะไรบ้าง ใช้วิธีการผลิตอย่างไร มีปัญหาด้าน ใดบ้าง 3. มีการนำเทคโนโลยีอะไรมาใช้ที่มีผลต่อการผลิตสินค้าและบริการ 4. นำหลักการผลิตมาวิเคราะห์การผลิตสินค้าและบริการในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 3.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น - จุดเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ทักษะศตวรรษที่ (ใช้เฉพาะแกนหลัก 4Cs) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการสื่อสาร สนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information, and Media Literacy) ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว การริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง ทักษะสังคม และสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ คุณลักษณะสำหรับศตวรรษที่ 21 คุณลักษณะด้านการทำงาน ได้แก่ การปรับตัว ความเป็นผู้นำ คุณลักษณะด้านการเรียนรู้ ได้แก่ การชี้นำตนเอง การตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเอง คุณลักษณะด้านศีลธรรม ได้แก่ เคารพผู้อื่น ความซื่อสัตย์ สำนึกพลเมือง 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด - ทักษะการคิดวิเคราะห์ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต - กระบวนการปฏิบัติ - กระบวนการทำงานกลุ่ม
111 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบSSCS ร่วมกับเทคนิคระดมสมอง) ขั้นที่ 1 Search (S) (10 นาที) 1. เเบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน โดยนับ 1-4 คนที่นับได้เลขเดียวกันอยู่ด้วยกัน 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มดูคลิปแผ่นดินทองของไทย เวลา 6 นาที จาก : https://www.youtube.com/watch?v=h_ztDa-Mdk0 แล้วนักเรียนตอบคำถามว่าจากคลิป ดังกล่าวสินค้าและบริการของไทยมีอะไรบ้าง แนวคำตอบ ร่ม , ข้าว 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมสมองว่า สินค้าที่ผลิตในแต่ละท้องถิ่นของไทยมีอะไรบ้าง โดยแยก ย่อยออกเป็น 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ลงบนกระดาษเอสี่ โดย กำหนดเวลา 4 นาทีโดยแบ่งย่อยเป็นภาคละ 1 นาที ขั้นที่2 Solve (S) (20 นาที) 4. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม 4 ภาค โดยกลุ่ม ที่ 1-2 ภาคเหนือ, กลุ่ม 3-4 ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ, กลุ่ม 5-6 ภาคกลาง, กลุ่ม 7-9 ภาคใต้ 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดทัวร์พาครูไปท่องเที่ยวชมสินค้าและบริการของภาคต่าง ๆ ในภูมิภาคที่ นักเรียนจับสลากได้ โดยประกอบไปด้วย 1) สถานที่ท่องเที่ยวที่นักเรียนพาครูไปเที่ยวชม 2) สินค้าและบริการ ที่ครูพลาดไม่ได้ ลงบนใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย ขั้นที่3 Create (C) (5 นาที) 6. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบการนำเสนอการจัดทัวร์ท่องเที่ยวส่งสินค้าและบริการ ขั้นที่4 Share (S) (10 นาที) 7. สุ่มนักเรียนออกมานำเสนอ 2 กลุ่มหน้าชั้นเรียนโดยใช้วิธีการจับสลากหมายเลข 8. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปองค์ความรู้เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย โดยใช้ สื่อ CANVA โดยมีประเด็นคำถามดังต่อไปนี้ 8.1. สาเหตุใดทำให้สินค้าและบริการของแต่ละภูมิภาคแตกต่างกัน แนวคำตอบ สภาพอากาศ สภาพภูมิศาสตร์ 8.2. สินค้าและบริการของแต่ละภาคมีอะไรบ้าง แนวคำตอบ ภาคเหนือ คือ ร่มบ่อสร้าง ไส้อั่ว, ภาคกลาง คือ เกษตรกรรมและแหล่งอุตสาหกรรม
112 7. การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดผล เครื่องมือที่ใช้ใน การวัดผล เกณฑ์การ ประเมินผล ความรู้ความเข้าใจ (K) 1. บอกชื่อสินค้าและบริการ ของไทยในแต่ละท้องถิ่นได้(K) การระดมสมอง คำถาม นักเรียนร้อยละ 70 สามารถ ระดมสมองได้ มากกว่า 20 ข้อขึ้นไป ทักษะปฏิบัติ (P) 2. นำเสนอสินค้าและบริการ ของไทยได้ของแต่ละท้องถิ่น ได้(P) ใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะ ของการผลิตสินค้าและ บริการของไทย แบบประเมินใบกิจกรรม เรื่อง ลักษณะของการ ผลิตสินค้าและบริการ ของไทย นักเรียนร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป คุณลักษณะนิสัย (A) 3. เห็นประโยชน์การผลิต สินค้าและบริการของไทย(A) ใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะ ของการผลิตสินค้าและ บริการของไทย แบบประเมินใบกิจกรรม เรื่อง ลักษณะของการ ผลิตสินค้าและบริการ ของไทย นักเรียนร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 2. คลิปแผ่นดินทองของไทย จาก : https://youtu.be/h_ztDa-Mdk0 3. ใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย 4. สื่อ CANVA เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย
113 ผลการจัดการเรียนรู้ นักเรียนจำนวน คน ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้โดยรวม คน คิดเป็นร้อยละ ไม่ผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้โดยรวม คน คิดเป็นร้อยละ ได้แก่ 1) ..................................................................................................... 2) ………………………………………………………………………………………… นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ/นักเรียนเด็กพิเศษ ได้แก่ 1) …………………………………………………………………………………………… 2) …………………………………………………………………………………………… นักเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินจุดประสงค์ด้านความรู้ (K) จำนวน..........................................คน ได้แก่ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ นักเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินจุดประสงค์ด้านทักษะ (P) จำนวน...........................................คน ได้แก่ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ นักเรียนที่ไม่ผ่านการประเมินจุดประสงค์ด้านเจตคติ (A) จำนวน..........................................คน ได้แก่ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ปัญหา/อุปสรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. แนวทางแก้ไข/ข้อเสนอแนะ (จากปัญหาอุปสรรค) .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ ...................................................................... ครูผู้สอน (นายหัตธชัย ประเสริฐสุข)
114 ความคิดเห็นของกรรมการนิเทศภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้ทำการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ข้างต้นแล้ว มีความคิดเห็นดังนี้ 1. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจัดกิจกรรมได้นำกระบวนการเรียนรู้ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ควรปรับปรุงพัฒนาต่อไป 3. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ นำไปใช้ได้จริง ควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ 4. ข้อเสนอแนะอื่นๆ................................................................................................................. ลงชื่อ........................................................ (นางสาวพรเทวี บุญมาตย์) กรรมการนิเทศภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ความเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้/ผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากการตรวจสอบแผนการจัดการเรียนรู้ข้างต้นแล้ว เห็นควรให้นำไปใช้สอนจริง เห็นควรควรปรับปรุงก่อนนำไปใช้ โดยปรับปรุง ในประเด็น ............................................. ....................................................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ........................................................................................................................................ ....................................................................................................................................................................... ลงชื่อ........................................................ (นางวนิดา โพนงาม) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
115 ภาคผนวก
116 คลิปแผ่นดินทองของไทย จาก : https://youtu.be/h_ztDa-Mdk0
117 สื่อ CANVA เรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย
118 เลขที่…………………………………………… ใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย คำชี้แจง : ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดทัวร์พาครูไปท่องเที่ยวชมสินค้าและบริการของภาคต่าง ๆ ในภูมิภาคที่ นักเรียนจับสลากได้ โดยประกอบไปด้วย 1) สถานที่ท่องเที่ยวที่นักเรียนสภาครูไปเที่ยวชม 2) สินค้าและบริการ ที่ครูพลาดไม่ได้ สถานที่ท่องเที่ยว สินค้าและบริการ
119 แบบประเมินใบกิจกรรมเรื่อง ลักษณะของการผลิตสินค้าและบริการของไทย คำชี้แจง ให้ผู้ประเมินเขียนเครื่องหมาย✓ตามเกณฑ์การประเมินที่กำหนดให้ กลุ่มที่ รายการประเมิน รวม คะแนน ระดับคะแนน เนื้อหา ความคิดสร้างสรรค์ ความตรงต่อเวลา 1 2 3 1 2 3 1 2 3 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 เกณฑ์ระดับคุณภาพ คะแนน 8-9 หมายถึง ดีมาก คะแนน 6-7 หมายถึง ดี คะแนน 4-5 หมายถึง พอใช้ คะแนนต่ำกว่า 3 หมายถึง ปรับปรุง *ต้องได้ 7 คะแนนขึ้นไปถึงจะผ่านเกณฑ์การประเมิน ลงชื่อ หัตธชัย (นายหัตธชัย ประเสริฐสุข) ผู้ประเมิน
120
121 ตัวอย่างแบบบนัทึกหลงัการจดักิจกรรมการเรียนร้ขูองครู
122 ตัวอย่างแบบสังเกตชั้นเรียนโดยผู้ช่วยวิจัย
123
124 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ท้ายวงจรที่ 1 สถานการณ์ที่1 ให้ตอบคำถามข้อ 1-5 กลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มที่ระดับทักษะการเงินค่อนข้างน้อยและมีคะแนนด้านพฤติกรรมและทัศนคติ ทางการเงินน้อยกว่าทุกกลุ่ม แต่คะแนนโดยรวมดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 61 แต่ควรพัฒนาพฤติกรรมทาง การเงินในภาพรวมต่อเนื่อง กลุ่ม Gen Baby Boomer ขึ้นไป มีระดับทักษะทางการเงินน้อยที่สุดในทุกหัวข้อ แต่มีทัศนคติทางการเงินค่อนข้างดี เป็นวัยที่ประสบปัญหาเงินไม่พอใช้น้อยกว่ากลุ่มอื่น รู้จักกู้เงินเมื่อจำเป็น ออมเพื่อเกษียณมากกว่าทุกกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้ตามแผน ขณะที่มีความน่าเป็นห่วงเรื่องการถูก หลอกลวงทางการเงินมากที่สุด ทั้งการลงทุนปกติและในโลกออนไลน์ 1. ปัญหาใดไม่ได้เป็นปัญหาของธุรกิจSMEs จากบทความดังกล่าว ก. สินค้าไม่มีคุณภาพ ข. สินค้าขาดความโดดเด่น ค. สินค้าขาดการส่งเสริมจากรัฐบาล ง. ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ไม่หลากหลาย 2. จากบทความดังกล่าว หน่วยงานหรือบุคคลใดไม่ใช่สาเหตุของปัญหา ของธุรกิจ SMEs ก. บุคคลที่เชี่ยวชาญในการผลิตเฉพาะด้าน ข. เจ้าของปัจจัยการผลิต ค. เจ้าของธุรกิจ ง. รัฐบาล 3. ข้อใดไม่ใช่วิธีการปัญหาในการส่งเสริม ด้านการตลาดของธุรกิจSMEs ก. การโปรโมทและประชาสัมพันธ์ทางแอพพลิเคชั่น ข. การจัดจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ ค. การจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ง. การลดต้นทุนในการผลิต 4. ข้อใดไม่เป็นเป็นการส่งเสริมการขาย ก. การรับประกัน ข. การออกโปรโมชั่น ค. การกำจัดคู่แข่งทางการค้า ง. การลดราคาสินค้าราคาพิเศษ 5. ข้อใดไม่ใช่ผลลัพธ์หากสินค้าใดเข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ก. สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ข. สินค้าได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ค. สินค้าขายดีและได้กำไร อย่างแน่นอน ง. เป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้าให้สูงขึ้น
125 สถานการณ์ที่ 2 ให้ตอบคำถามข้อ 6-10 "หากฉันบิน บินไปได้ดั่งนก ฉันจะบิน บินไปในนภา…" เสียงเพลงที่เปิดให้ได้ยินท่ามกลางบรรยากาศโหวงเหวง ในห้องอาหาร "อร่อยล้นฟ้า" ชวนให้นึกถึงอดีตอันรุ่งเรืองของบริษัทการบินไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน จากสายการบินที่เคยได้ชื่อเป็นหนึ่งในสายการบินที่ดีที่สุดในโลก เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย วันนี้ ต้องเผชิญเสียงตำหนิจากปัญหาขาดทุนจนต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการซึ่งศาลล้มละลายกลางมีคำสั่ง เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อกลางปี 2564 ทำให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างองค์กร ลดต้นทุนดำเนินงาน ปรับ สัญญาเช่า-เช่าซื้อเครื่องบิน และอีกหลายอย่าง รวมทั้งการเพิ่มทุนและลดจำนวนพนักงานและผู้บริหารลงถึง ครึ่งหนึ่ง ให้เหลือแค่ราว 15,000 คน ที่มา : https://www.bbc.com/thai/thailand-60775781 6. จากสถานการณ์ ปัญหาใดไม่ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับธุรกิจการบินไทย ก. ปัญหาการขาดทุน ข. ปัญหาการล้มละลาย ค. การลดจำนวนพนักงาน ง. ปัญหาการปรับลดเงินเดือน 7. จากสถานการณ์ ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้การบินไทยต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ก. สัญญาเช่าซื้อเครื่องบิน ข. ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ค. ปัญหาด้านโครงสร้างบริษัท ง. การตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหาร 8. ข้อใดเป็นไม่ใช่วิธีการที่การบินไทยเลือกใช้ในการแก้ปัญหาการฟื้นฟูกิจการ ก. การลดจำนวนพนักงาน ข. การปรับโครงสร้างองค์กร ค. การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูของศาล ง. การขายเครื่องบินและให้เช่าสถานที่ภายในสนามบิน 9. "หากฉันบิน บินไปได้ดั่งนก ฉันจะบิน บินไปในนภา…" เสียงเพลงที่เปิดให้ได้ยินท่ามกลางบรรยากาศโหวง เหวงในห้องอาหาร "อร่อยล้นฟ้า" ชวนให้นึกถึงอดีตอันรุ่งเรืองของบริษัทการบินไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน จากข้อความดังกล่าว สามารถดึงจุดเด่นของธุรกิจมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบของธุรกิจได้ ก. การทำที่พักและโรงแรม ข. การรับฝากของ และส่งสินค้า ค. การขายอาหาร และทำภัตตาคาร ง. การส่งออกสินค้าและบริการ ไปยังต่างประเทศ
126 10. จากสถานการณ์ ข้อใดเป็นผลลัพธ์ที่ เป็นไปได้มากที่สุด หากเพิ่มช่องทางการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับข้อที่ 9 ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ก. การบินไทยสามารถกลับมาประกอบอาชีพธุรกิจการบินได้อีกครั้ง ข. การบินไทยมีอีกหนึ่งช่องทาง ในการหารายได้เสริม ค. การบินไทยกลับมารุ่งเรือง เหมือนดังอดีตอีกครั้งหนึ่ง ง. การบินไทยสามารถล้างหนี้ทั้งหมดได้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ท้ายวงจรที่ 2 สถานการณ์ที่ 1 ให้ตอบคำถามข้อ 1-5 SMEs มักมีปัญหาด้านการตลาด ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ ด้าน เช่น ปัญหาสินค้าที่ผลิตไม่เป็นที่ ต้องการของตลาด คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน บรรจุภัณฑ์ไม่สวยงาม ตราสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก เป็นต้น ทำให้การทำ ตลาดทำได้ด้วยความยากลำบาก นอกจากนี้ SMEs ยังมีปัญหาขาดบุคลากรด้านการตลาด ถ้าโชคดี เจ้าของเป็นผู้ที่มีความรู้หรือ ประสบการณ์ด้านการขายหรือการตลาดมาก่อนก็จะ ช่วยแก้ปัญหานี้ไปได้ แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์มาก่อน และไม่สามารถหาบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการขายและการตลาด ก็จะต้องลองถูกลองผิดไปอีกนาน ยกเว้นได้ สะสมประสบการณ์หรือมีพรสวรรค์ด้านการพูดและมีบุคลิกที่เหมาะสมกับ ด้านการขาย ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้ ในระดับหนึ่ง ปัญหาด้านการตลาดของ SMEs ยังมีผลมาจากมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่จำกัด เนื่องจากสินค้ายังไม่ เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ไม่มีงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ ร้านค้าต่าง ๆ จึงไม่ให้ความสนใจจำหน่ายสินค้าให้ ยกเว้นสินค้ามีคุณภาพสูง ก็อาจได้โอกาสเข้าไปขายในห้างฯ ดัง ๆ หรือร้านสะดวกซื้อ แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่มี ความโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งแล้วโอกาสที่จะได้ช่องทางจัดจำหน่ายที่ดีก็ยากพอสมควร 1. ปัญหาใดไม่ได้เป็นปัญหาของธุรกิจSMEs จากบทความดังกล่าว ก. สินค้าไม่มีคุณภาพ ข. สินค้าขาดความโดดเด่น ค. สินค้าขาดการส่งเสริมจากรัฐบาล ง. ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ไม่หลากหลาย 2. จากบทความดังกล่าว หน่วยงานหรือบุคคลใดไม่ใช่สาเหตุของปัญหา ของธุรกิจ SMEs ก. บุคคลที่เชี่ยวชาญในการผลิตเฉพาะด้าน ข. เจ้าของปัจจัยการผลิต ค. เจ้าของธุรกิจ ง. รัฐบาล 3. ข้อใดไม่ใช่วิธีการปัญหาในการส่งเสริม ด้านการตลาดของธุรกิจSMEs ก. การโปรโมทและประชาสัมพันธ์ทางแอพพลิเคชั่น
127 ข. การจัดจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ ค. การจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ง. การลดต้นทุนในการผลิต 4. ข้อใดไม่เป็นเป็นการส่งเสริมการขาย ก. การรับประกัน ข. การออกโปรโมชั่น ค. การกำจัดคู่แข่งทางการค้า ง. การลดราคาสินค้าราคาพิเศษ 5. ข้อใดไม่ใช่ผลลัพธ์หากสินค้าใดเข้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ก. สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ข. สินค้าได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ค. สินค้าขายดีและได้กำไร อย่างแน่นอน ง. เป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้าให้สูงขึ้น สถานการณ์ที่ 2 ให้ตอบคำถามข้อ 6-10 กลุ่ม "ข้าวคุณค่า ชาวนาคุณธรรม" หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "กลุ่มข้าวคุณธรรม" เกิดขึ้นในปี 2549 พระ พรมมา สุภัทโท เล่าถึงความเป็นมาว่า เห็นปัญหาของชาวบ้านว่า เวลาทำนาใช้สารเคมีมาก ใช้ปุ๋ยเคมี เมื่อเก็บ ข้าวเสร็จก็เผาฟาง จึงคุยและรวบกลุ่มทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้เห็นว่า การที่กลุ่มนี้ทำอย่างนี้ก็อยู่ได้ ทำไมต้อง ซื้อปุ๋ย ซื้อยาใส่นา ทำให้กบและเขียดตาย พระอาจารย์เล่าว่า ช่วงแรกก็ยากหน่อย ใช้เวลารวบรวมและทำงานเชิงความคิด 2-3 ปี แต่โชคดีที่ ชาวบ้านศรัทธาในพุทธศาสนา ทำให้คุยกันง่ายขึ้น เมื่อคนฟังศรัทธาและอยากทำ หน้าที่ของแกนนำคือ ต้องจัด กระบวนการ หมายถึง สมาชิกชี้ว่าคนไหนมีความสนใจ ท่านก็ไปคุยให้ฟัง ให้เห็นว่า สิ่งที่ทำจะเกิดประโยชน์ อย่างไร ถ้าเขาเห็นประโยชน์ก็จะมาที่วัด รวมทั้งมีสวัสดิการคือจำหน่ายปุ๋ยราคาถูกให้แก่สมาชิก ช่องทางหลักคือ การสื่อสารผ่านวิทยุ โดยชักชวนให้คนทำเกษตรอินทรีย์ หลังจากนั้นจึงขายความคิด ต่อว่า หากรักษาศีล 5 ด้วยจะดีไหม เพราะเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว "ส่วนหนึ่งเห็นว่า ชาวบ้านมีอบายมุข แม้เรามีอาชีพ ทำงานหาเงินได้ขนาดไหน ถ้ามีอบายมุข ไม่ใช้ ธรรมะหรือความดีงามนำวิถีชีวิตก็ไม่รอด" จุดเด่นของกลุ่มนี้คือ ผู้ผลิตข้าวเป็นผู้ปฏิบัติศีล ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/197639 6. จากสถานการณ์ ปัญหาของชาวนากลุ่มนี้คือปัญหาใด ก. ความยากจน ข. ความแห้งแล้ง ค. ความยากลำบาก ง. การใช้ปุ๋ยเคมีในการทำการเกษตร
128 7. จากสถานการณ์ เหตุผลหลักที่ทำให้พระถมมาสุภัทโท เข้ามาจัดตั้ง “กลุ่มข้าวคุณค่าชาวนาคุณธรรม” คือ ข้อใด ก. ไม่อยากให้ชาวนาสร้างบาป ข. ต้องการให้ชาวนาหันมารักษาศีลภาวนา ค. ต้องการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ให้กับกลุ่มชาวบ้าน ง. ต้องการส่งเสริมให้ชาวนาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการทำการเกษตร 8. จากสถานการณ์ พระถมมาสุภัทโท ใช้วิธีการใดอย่างต่อเนื่องให้ชาวบ้าน ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในการทำการเกษตร ก. การใช้พระพุทธศาสนาในการเทศนา ข. ร่วมกับชาวบ้านในการทำปุ๋ยอินทรีย์ ค. ชี้ให้ถึงผลดีผลเสียการใช้ปุ๋ยเคมี ง. จัดอบรมผ่านกรรมการหมู่บ้าน 9. จากสถานการณ์ ข้อใดไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่พระถมมาสุภัทโท เลือกใช้ชาวบ้านเลิกใช้ปุ๋ยเคมีในการทำ การเกษตร ก. จัดอบรมผ่านสื่อวิทยุ ข. ชี้ให้เห็นผลดีผลเสียของการใช้ปุ๋ยเคมี ค. จัดตั้งกลุ่มชาวบ้าน คือกลุ่มข้าวคุณธรรม ง. เชิญวิทยากรจากภายนอกมาให้ความรู้เรื่องการใช้ปุ๋ยเคมี 10. ข้อใดเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเด่นชัดที่สุด จากการจัดตั้งกลุ่มข้าวคุณธรรม ก. ชาวนามีสุขภาพแข็งแรง ปลอดโรค ข. ชาวนามีฐานะทางการเงินมั่งคั่งร่ำรวย ค. ชาวนามีช่องทางการจัดจำหน่ายข้าวที่หลากหลาย ง. ชาวนามีความสุขดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทและไม่เบียดเบียนผู้อื่น
129 แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ท้ายวงจรที่ 3 สถานการณ์ที่ 1 ให้ตอบคำถามข้อ 1-5 “ผู้บริโภคยึดติดกับพฤติกรรมเดิม ๆ น้อยลง” PwC พบว่า 50% ของผู้บริโภคชาวไทย เปลี่ยนมาซื้อ สินค้าออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ 24% เปลี่ยนไปซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกรายใหม่ ๆ ที่ไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังไม่ยึดติดกับการจับจ่ายสินค้ากับร้านค้าหรือช่องทางเดิม ๆ โดยมากกว่า 80% ของ ผู้บริโภคชาวไทย จะซื้อสินค้าจากอย่างน้อย 3 ช่องทาง ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ 47% ใช้เว็บไซต์ เปรียบเทียบเพื่อดูว่า มีสินค้าที่พวกเขาต้องการหรือไม่ และ 30% ซื้อสินค้าจากหลายแหล่งเพื่อให้ได้ของที่ ต้องการ ในยุคผู้บริโภคหลายใจเช่นนี้ การทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างประสบการณ์แบบไร้ รอยต่อ จะเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ขณะที่การลงทุนด้าน Data เพื่อทำความเข้าใจถึง ความ ต้องการของลูกค้าในเชิงลึก จะช่วยให้แบรนด์ส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่าง และเพิ่มความจงรัก ภักดี ที่มีต่อแบรนด์ ที่มา: https://www.pwc.com/th/en/pwc-thailand-blogs/blog-20220725.html 1. จากสถานการณ์ ข้อใดไม่ใช่พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ก. ไม่ยึดติดกับสินค้าร้านเดิม ๆ ข. ซื้อสินค้าจากหลากหลายช่องทาง ค. วัยรุ่นมีแนวโน้มซื้อสินค้าช่องทางออนไลน์มากขึ้น ง. การซื้อสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการซื้อสินค้า 2. จากสถานการณ์ดังกล่าว ข้อใดอาจเป็นปัญหาในอนาคตสำหรับร้านค้าปลีกท้องถิ่นที่ไม่มีการจัดจำหน่าย ช่องทางออนไลน์ ก. ขาดลูกค้าประจำเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ข. ผู้บริโภคเปลี่ยนไปซื้อร้านที่ขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น ค. ลูกค้าไม่ตัดสินใจซื้อเนื่องจากเข้าถึงข้อมูลสินค้าได้ยาก ง. ลูกค้าไม่เลือกซื้อสินค้าที่ไม่มีช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ 3. จากสถานการณ์ ร้านค้าในปัจจุบันควรปรับตัวอย่างไรให้สามารถอยู่รอดได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ เปลี่ยนไป ก. การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งทางหน้าร้านและออนไลน์ ข. การโปรโมทและประชาสัมพันธ์ทางแอพพลิเคชั่น ค. การจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ง. การลดต้นทุนในการผลิต
130 4. ข้อใดไม่เป็นเป็นการส่งเสริมการขาย ก. การรับประกัน ข. การออกโปรโมชั่น ค. การกำจัดคู่แข่งทางการค้า ง. การลดราคาสินค้าราคาพิเศษ 5. จากสถานการณ์ดังกล่าว ข้อใดเป้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำการตลาดทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ก. สินค้าได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ข. สินค้าขายดีและได้กำไร อย่างแน่นอน ค. เข้าถึงกลุ่มลูกค้า และได้จำนวนลูกค้ามากขึ้น ง. เป็นการยกระดับมาตรฐานของสินค้าให้สูงขึ้น จากภาพ ให้ตอบคำถามข้อ 6-10 ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/995663 6. จากภาพ ข้อใดไม่ใช่ปัญหาภาคเกษตรของไทย ก. รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ข. การขนส่งที่มีต้นทุนสูงขึ้น ค. ผลกระทบจากต่างประเทศ ง. อุปกรณ์การเกษตรมีราคาสูงขึ้น
131 7. จากภาพ สาเหตุในข้อใดที่ไม่ได้ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลงคือข้อใด คือข้อใด ก. ค่าเงินบาทผันผวน ข. ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น ค. ความขัดแย้งจากต่างชาติ ง. การชุมนุมประท้วงภายในประเทศ 8. ใครแก้ไขปัญหาต้นทุนวัตถุดิบการเกษตรได้อย่างเหมาะสมที่สุด ก. นายเอไม่ใส่ปุ๋ยในการทำการเกษตร ข. นายบีเลี้ยงไก่และนำมูลไก่ไปทำปุ๋ย ค. นายซีปั่นจักรยานระยะทาง 10 กิโลเมตรทุกวันเพื่อไปซื้อปุ๋ย ง. นายดีแอบขโมยปุ๋ยเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาใส่สวนตนเอง 9. ข้อใดเป็นการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเริ่มแก้ไขปัญหาจากตนเอง ก. การทำการเกษตรผสมผสาน ข. การชุมนุมประท้วง หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ค. การเชิญวิทยากรจากภายนอกมาให้ความรู้เรื่องการใช้ปุ๋ยเคมี ง. การขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหา 10. กลุ่มบุคคลใดได้รับระโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ก. รัฐบาล ข. ผู้บริโภค ค. เกษตรกร ง. ผู้ขายปุ๋ยเคมี
132 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของการออมไม่ถูกต้อง ก. มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย ข. เงินออมสามารถนำไปต่อยอดในการทำธุรกิจได้ ค. เป้าหมายของการออมมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว ง. การฝากเงินที่ธนาคารเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูง 2. ข้อใดกล่าวถึงปัญหาการออมในสังคมไทยไม่ถูกต้อง ก. ประชากรไทยมีรายได้ต่ำ ข. ประชาชนขาดความรู้ในเรื่องการออม ค. ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำประชาชนจะไม่มีการออมเงินกับรัฐบาล ง. รัฐบาลขาดการประชาสัมพันธ์ข้อมูลในการเข้าถึงการออมหลากหลายรูปแบบ 3. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนและการออม ก. การออมให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุน ข. การลงทุนและการออมล้วนมีโอกาสขาดทุน ค. การลงทุนมีความเสี่ยงมากน้อยตามแต่ชนิดของการลงทุน ง. การออมและการลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การฝากเงินกับธนาคาร การซื้อสลากออมสิน 4. สินค้าใดเป็นการผลิตขั้นปฐมภูมิ ก. ขนมเลย์ ข. การทำประมง ค.โรงงานปลากระป๋อง ง. แจ่วบองพระบิดา 5. สินค้าข้อใดไม่เป็นการผลิตขั้นทุติยภูมิ ก. กล้วยทอดป้าแขก ข. ก๋วยเตี๋ยวน้องนิด ค. โรงงานอิชิตัน ง. การบินไทย 6. สินค้าใดเป็นการผลิตขั้นตติยภูมิ ก. ธนาคารอิสลาม ข. ร้านอาบน้ำสุนัข ค. ร้านนวดแผนไทย ง. โรงงานปลากระป๋อง
133 7. ข้อใดไม่ใช่เหตุผลที่ต้องมีการผลิตสินค้าและบริการ ก. การแข่งขันการผลิตในโลกทุนนิยม ข. ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ค. ทรัพยากรมีมากเกินไป จึงต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ง. เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่สามารถผลิตสินค้าทุกชนิดเองได้ 8. การผลิตสินค้าและบริการไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการใด ก. การวางแผน ข. การตัดสินใจ ค. การเสี่ยงทาย ง. การแปรสภาพ 9. ข้อใดไม่ใช่การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ก. การฝากประจำ ข. การซื้อสลากออมสิน ค. การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ง. การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 10. การฝากเงินในธนาคารให้ผลตอบแทนในรูปแบบใด ก. เงินต้น ข เงินออม ค. ดอกเบี้ย ง. เงินปันผล 11. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยการผลิต ก. ที่ดิน ข. เงินทุน ค. แรงงาน ง. ผู้ประกอบการ 12. ปัจจัยการผลิตใดมีความสำคัญมากที่สุด ก. ที่ดิน ข. เงินทุน ค. แรงงาน ง. ผู้ประกอบการ
134 13. ข้อใดไม่ใช่แรงงานมีฝีมือ ก. แพทย์ ข. ข้าราชการ ค. คนรับจ้างทั่วไป ง. ครูและบุคลากรทางการศึกษา 14. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยการผลิตประเภทที่ดิน ก. น้ำตก ข. ป่าไม้ ค. แร่ธาตุ ง. โรงงาน 15. ข้อใดคือผลตอบแทนของปัจจัยการผลิตประเภทที่ดิน ก. กำไร ข. ค่าเช่า ค. ค่าจ้าง ง. ผลตอบแทน 16. ข้อใดกล่าวถึงหน้าที่ของผู้ประกอบการได้ถูกต้องที่สุด ก. แสวงหาผลกำไรสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงผู้บริโภค ข. ผลิตสินค้าให้ได้จำนวนสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ค. พัฒนาและบริหารองค์กร พร้อมจัดหาสวัสดิการที่ดีให้ลูกจ้าง ง. ติดตามข่าวสาร วิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อกำจัดคู่แข่งและผูกขาดการค้า 17. ข้อใดไม่ใช่หลักคุณธรรมของผู้ผลิต ก. ความซื่อสัตย์ ข. ความขยันหมั่นเพียร ค. การแสวงหาผลกำไรสูงสุด 18. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของปัจจัยการผลิตได้ถูกต้องและครอบคลุมที่สุด ก. ทรัพยากรที่นำมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ ข. การวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อนำมาผลิตและแปรรูปสินค้าต่าง ๆ ค. ทรัพยากรที่นำมาใช้ในการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานในการผลิตสินค้าและบริการ ง. การวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อนำผลิตและแปรรูปสินค้าต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภค
135 19. ข้อใดไม่ใช่บริการหลังการขาย ก. การออกโปรโมชั่น ซื้อ 1แถม 1 ข. การทดลองใช้ ไม่พอใจยินดีคืนเงิน ค. การรับประกันซ่อมฟรีภายใน 1 ปี ง. บริการล้างและทำความสะอาดหลังซื้อสินค้า 1 เดือน 20. ข้อใดไม่ใช่การเพิ่มมูลค่าสินค้า ก. การแปรรูป ข การลด แลก แจก แถม ค. การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ง. การเปลี่ยนสถานที่ในการจัดจำหน่าย ง. ความกลัวและละอายในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 21. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะการผลิตสินค้าและบริการของภาคเหนือ ก. สินค้าเกษตรกรรม ข. การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ค. แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ง. แหล่งประมงที่สำคัญและการส่งออกปลาน้ำจืด 22. ข้อใดเป็นลักษณะสำคัญของสินค้าและบริการภาคกลาง ก. การผลิตภาคเกษตรกรรมมีลุ่มน้ำสำคัญ ข. การผลิตในภาคอุตสาหกรรมในทุกเขตภูมิภาค ค. การทำประมงน้ำจืด และแหล่งน้ำสำหรับการทำประมง ง. ธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ ย่านการค้าทุกชานเมือง ที่เอกลักษณ์เฉพาะตัว 23. ข้อใดไม่เป็นสินค้าของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก. ผ้าไหมแพรวา ข. ผ้าไหมมัดหมี่ ค. เครื่องถมนคร ง. ข้าวทุ่งกุลาร้องไห้ 24. ข้อใดไม่ใช่พืชเศรษฐกิจในภาคใต้ ก. ลำไย ข. ยางพารา ค. เมล็ดกาแฟ ง. ปาล์มน้ำมัน
136 25. จุดเด่นสินค้าของไทยที่ทุกภูมิภาคมีร่วมกันคือข้อใด ก. สินค้าเป็นสินค้าเกษตรกรรม ข. สินค้าเป็นสินค้าอุตสาหกรรม ค. ใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าเป็นหลัก ง. มีนวัตกรรมที่ทันสมัยในการผลิตสินค้าและบริการ 26. ข้อใดไม่ใช่การสำรวจความต้องการของผู้บริโภค ก. การสัมภาษณ์ ข. การคาดคะเน ค. การสำรวจตลาด ง. การทำแบบสอบถาม 27. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ต่อผู้บริโภคจากการควบคุมคุณภาพสินค้า ก. สร้างความเชื่อมั่น ข. สร้างความพึงพอใจ ค. ได้ใช้สินค้าที่มีมาตรฐาน ง. สามารถแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 28. เจ้าของธุรกิจคนใดไม่ได้สร้างคุณค่าของสินค้าให้สูงขึ้น ก. ไก่ใช้หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร และใช้เครื่องจักรผลิตสินค้าในร้านอาหารอีสาน ข. น้อยทำธุรกิจนวดสปาโดยใช้เครื่องนวดไฟฟ้าร่วมกับสินค้าท้องถิ่น ค. เป็ดใช้เครื่องประคบร้อนจากธรรมชาติ และใช้สมุนไพรในท้องถิ่นเปิดร้านนวดแผนโบราณ ง. นิดออกแบบน้ำมันมวยโดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบในแอพพลิเคชั่นโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ 29. เครื่องมือใดเป็นการผลิตแบบดั้งเดิม ก. ขวาน ข. เลื้อยไฟฟ้า ค. เครื่องสีข้าว ง. รางป้อนอัตโนมัติ 30. ข้อใดกล่าวถึงสินค้าOTOP ได้ถูกต้องที่สุด ก. สินค้าที่ส่งเสริมเอกลักษณ์ท้องถิ่น ข สินค้าที่จำหน่ายที่ร้านธงฟ้า ประชารัฐ ค. สินค้าที่จำหน่าย และกำหนดราคาโดยรัฐบาล ง. สินค้าที่มีราคาถูกและมีคุณภาพที่จัดจำหน่ายทางออนไลน์โดยรัฐบาล
137 ตัวอย่างแบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบสัมภาษณ์นักเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมการสอน วงจรปฏิบัติที่ 1 คำชี้แจง: ให้ผู้วิจัยสัมภาษณ์นักเรียน ตามประเด็นดังต่อไปนี้ พร้อมบันทึกคำตอบของนักเรียนลงในช่องว่าง ข้อมูลผู้ถูกสัมภาษณ์: เพศ ชาย หญิง ประเด็นในการถาม สิ่งที่พบ ข้อเสนอแนะ บรรยากาศโดยทั่วไปของชั้นเรียน บรรยากาศในห้องเรียนไม่เหมาะสม พื้นที่คับ แคบ ไม่ค่อยเหมาะในการทำกิจกรรมกลุ่ม ย้ายการเรียนการสอนไปในห้องที่ กว้างกว่า จุดเด่นของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ได้ลงมือปฏิบัติ และสนุก - จุดด้อยของการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ พื้นที่ในห้องเรียนมีความคับแคบ - ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ สามารถออกแบบธุรกิจได้ ได้ฝึกนำเสนอ และมี ส่วนร่วมกับการทำกิจกรรมกับครูและเพื่อน ๆ - ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ หัตธชัย ผู้สัมภาษณ์ (นายหัตธชัย ประเสริฐสุข) วันที่ 14./กรกฎาคม/2565
138 ภาคผนวก ค ผลการหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง - ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบท้ายวงจรที่ 1 - ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบท้ายวงจรที่ 2 - ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบท้ายวงจรที่ 3 - ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา - ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
139 ตารางที่ 9 ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอน SSCS ร่วมกับเทคนิคการระดมสมอง รายการประเมิน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ วงจรที่ 1 วงจรที่ 2 วงจรที่ 3 1 2 3 4 5 6 1. แผนการจัดการเรียนรู้มี องค์ประกอบสำคัญครบถ้วน และสอดคล้องสัมพันธ์กัน 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 2. การเขียนสาระสำคัญใน แผนการจัดการเรียนรู้มีความ ชัดเจน และถูกต้อง 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 3. จุดประสงค์การเรียนรู้มี ความชัดเจนครอบคลุมเนื้อหา สาระการเรียนรู้ 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ พัฒนานักเรียนด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ และ คุณลักษณะหรือเจตคติ 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5. กำหนดเนื้อหาสาระเหมาะสม กับเวลา 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 6 . ก ิ จ ก ร ร ม ก าร เ ร ี ย น รู้ สอดคล้องกับจุดประสงค์และ เนื้อหาสาระการเรียนรู้ 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 7 . ก ิ จ ก ร ร ม ก าร เ ร ี ย น รู้ สอดคล้องกับขั้นตอนการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การจัดกาเรียนรู้แบบใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem Based Learning) 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 8. กิจกรรมการเรียนรู้เป็น กิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถ ในการค ิ ดแก ้ ป ั ญหาและ 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00