1
2
ผลงานวิจยั การพัฒนาทกั ษะการใหเ้ หตุผลอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
ผวู้ จิ ัย ผ่านการจัดการเรยี นรู้โดยใชป้ ระเดน็ ทางสังคมทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับวิทยาศาสตรเ์ ป็นฐาน
ปีทว่ี ิจัย นายอศั วนิ ธะนะปดั
2562
บทคดั ย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพือ่ 1) ระบุแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้อง
กับวิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) เพื่อ
พัฒนาทกั ษะการให้เหตผุ ลอยา่ งไม่เป็นทางการของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ผ่านการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้ประเด็นทาง
สงั คมทเ่ี ก่ยี วข้องกบั วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นฐาน ในหน่วยการเรียนรู้ เรอ่ื ง ระบบร่างกายมนุษย์และหน่วยการเรยี นร้เู รอื่ งเชือ้ เพลิง
ซากดึกดำบรรพ์กลุ่มที่ศึกษาในงานวิจัยนี้คือนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ห้องเรียนที่พิเศษวิทยาศาสตร์ –
คณิตศาสตร์ จำนวน 1 ห้องเรยี น มจี ำนวนนักเรียนท้ังสนิ้ 40 คน ประกอบไปด้วยนกั เรยี นชาย 15 คน และนักเรียนหญงิ 25
คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยนี้ได้แก่ แบบวัดการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ อนุทินของนักเรียน แบบบันทึกการ
สัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ และใบกจิ กรรมของนักเรยี น วิเคราะห์ขอ้ มูลดว้ ยการวิเคราะห์
เชิงคณุ ภาพดว้ ยการวิเคราะหเ์ นื้อหา และการวิเคราะหเ์ ชิงปริมาณดว้ ยการหาค่าร้อยละ
ผลการวิจัยพบว่า แนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้ด้วยประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เพื่อ
พัฒนาการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการของนักเรยี นได้แก่ 1) ให้นักเรียนระบุประเด็นปัญหาหรือวิเคราะห์ปัญหาผ่านการ
ใช้คำถามกระตุ้นการเรียนรู้ 2) นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านการอภิปรายกลุ่มใหญ่ร่วมกับ
การอภิปรายกลุ่มย่อย 3) การอธิบายความสัมพันธ์ผ่านการสรุปประเด็นจากการอภิปรายภายในกลุ่มย่อย และสรุปองค์
ความรขู้ องตนเอง 4) การแสดงบทบาทสมมตผิ า่ นการจัดรายการโทรทัศน์และการโต้วาที ร่วมกับการใช้แอพลิเคชัน Flipgrid
และ Minecraft Education Edition 5) การสะท้อนความคิดผ่านการใช้ใบกิจกรรมแบบมีโครงสร้างคำถาม นอกจากน้ี
นักเรียนมีการพัฒนารปู แบบของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการจากก่อนการจัดการเรียนรู้นกั เรียนมีรูปแบบของการให้
เหตุผลแบบไม่เป็นทางการเป็นการบนความเป็นเหตุเป็นผลร่วมกับอารมณ์เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบความเป็นเหตุเป็นผลทาง
วิทยาศาสตร์มากขึ้นเมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู้ ซึ่งนักเรียน 40 คน (ร้อยละ 100) มีคุณภาพของการให้เหตุผลแบบไม่
เปน็ ทางการในระดบั ดีมาก
คำสำคัญ: ทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการ, การจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับ
วิทยาศาสตร์
ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหาการวจิ ัย
การจัดการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมากในสังคมปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายสำคัญ
เพื่อให้พลเมืองมีความรอบรู้วิทยาศาสตร์ (scientific literacy) ซึ่งการรอบรู้วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้และความเข้าใจ
มโนทัศน์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่การตัดสินใจ การปฏิบัติ การดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล
และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับวิทยาศาสตร์ (National Research Council, 2007) จากผลการประเมิน
การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ของนักเรียนผ่านโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมนานาชาติ (Programmed for International
Student Assessment หรือ PISA) พบว่า นักเรียนไทยมีสัดส่วนการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ต่ำกว่าระดับพื้นฐานที่องค์กรเพ่ือ
ความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจตั้งไว้ (สสวท, 2561) แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการอธิบายความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์และสรุปความรู้จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนไทยยังอยู่ในระดบั ต่ำ นักเรียนควรได้รับการฝกึ ฝน
และพัฒนาทกั ษะต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น การให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ การสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ การสื่อสารทาง
วทิ ยาศาสตร์เป็นต้น
3
จากปญั หาดังกลา่ วสอดคลอ้ งกับสภาพปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นในช้นั เรยี นของผ้วู ิจัย เมื่อนำเหตกุ ารณ์หรอื สถานการณ์ตา่ ง
ๆ มาใช้ในการจัดการเรยี นรูร้ ว่ มกับการตั้งคำถาม พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่จะตอบคำถามสั้น ๆ โดยไม่มีคำอธิบายและการ
ใหเ้ หตุผลประกอบ ไม่มีการแสดงขอ้ มลู หรือหลักฐานอน่ื ๆ มาช่วยทำให้คำตอบของตนเองนา่ เชอ่ื ถือ ในบางครง้ั นักเรียนมัก
ตอบคำถามหรอื แสดงเหตุผลโดยใชอ้ ารมณ์ หรือตอบคำถามจากสัญชาตญาณของตนเอง จากปัญหาที่เกดิ ข้ึนเป็นผลมาจาก
นักเรียนยังขาดทักษะการให้เหตุผล โดยเฉพาะทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งการให้เหตุผลประกอบเพื่อการ
อธบิ ายปรากฏการณห์ รอื สถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความรทู้ างวิทยาศาสตรเ์ ป็นสิ่งท่ีชว่ ยยืนยันหรือบ่งบอกได้ว่านักเรียนเป็น
ผูท้ ่รี อบรู้วทิ ยาศาสตร์
วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั
1. เพื่อระบุแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถในการใหเ้ หตผุ ลอย่างไม่เป็นทางการของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2
2. เพอื่ พัฒนาทักษะการใหเ้ หตผุ ลอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2 ผา่ นการจัดการเรยี นร้โู ดย
ใช้ประเดน็ ทางสังคมทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับวทิ ยาศาสตร์เปน็ ฐาน
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
ทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการ (Informal reasoning skills) หมายถึง กระบวนการในการอธิบาย
เกี่ยวกบั สาเหตุและผลท่ีเกิดขึน้ ในประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์ โดยรวมทัศนคติและความคิดเห็นของผูใ้ ห้
เหตผุ ลเข้าไป โดยคำนึงถงึ ผลดี ผลเสยี ท่ีเกิดขึน้ และการสรา้ งทางเลือกข้นึ มาเพื่อตัดสนิ ใจโดยสามารถให้หลักฐานสนับสนุน
การตัดสินใจในทางเลือกทส่ี ร้างข้นึ มาได้
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้วิทยาศาสตร์ ( SSI – based
teaching) หมายถึง การจดั การเรียนร้ทู ี่นำประเด็นหรือเร่ืองราวทางสงั คมทีเ่ ก่ียวข้องกับวทิ ยาศาสตร์มาออกแบบ
และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยแบ่ง 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นวิเคราะห์ปัญหา 2) ขั้นทำให้เกิดความชัดเจนด้วย
วทิ ยาศาสตร์ 3) ขั้นสรา้ งความสมั พันธ์ 4) ข้ันการแสดงบทบาทสมมติ 5) ขั้นการสะทอ้ นความคดิ
แนวคดิ /ทฤษฎีทีเ่ กี่ยวข้อง
1. ความหมายของการให้เหตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการ
การใหเ้ หตผุ ลแบบไม่เป็นทางการเปน็ กระบวนการทางความคิดและจติ ใจ การเจรจาและหาทางแก้ปัญหา
ในสถานการณห์ รือประเด็นที่มีความซบั ซ้อนเป็นการเลือกทจี่ ะยอมรบั หรอื ไมย่ อมรบั ในทางเลอื กต่าง ๆ การให้เหตุผลแบบ
ไมเ่ ปน็ ทางการเป็นการใหเ้ หตุผลทเี่ ก่ียวข้องกบั สถานการณ์หรือประเดน็ ที่มีความซับซ้อน ไมม่ ีคำตอบ ไมม่ ีข้อสรุปหรือไม่มี
ทางออกของปัญหาที่ชัดเจน (Sadler and Zeidler, 2005) การให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการจึงมีความแตกต่างกับการให้
เหตุผลอย่างเป็นทางการ โดยศศิเทพ ปิติพรเทพิน (2558) ได้สรุปความแตกต่างของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการและ
การใหเ้ หตุผลแบบเปน็ ทางการไว้ดงั ตารางที่ 1
ตารางท่ี 1 ความแตกต่างของการให้เหตผุ ลแบบไม่เป็นทางการและการให้เหตผุ ลแบบเปน็ ทางการ
การใหเ้ หตุผลแบบเปน็ ทางการ การให้เหตุผลแบบไมเ่ ปน็ ทางการ
การให้เหตุผลแบบเป็นทางการมักมีการให้ข้อสันนิษฐาน การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการการให้ข้อสันนิษฐานของบุคคล
หรือเงื่อนไขเบ้อื งตน้ ไวอ้ ยา่ งแน่นอน หนึ่งอาจจะเปล่ยี นแปลงได้โดยการเพ่ิมหรอื ลดขอ้ สนั นิษฐานได้และ
มกี ารใช้ความคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ
การให้เหตุผลแบบเป็นทางการมีการใช้รูปแบบที่ถูกต้อง การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสองด้าน
(Well-Formed Arguments) ของการโต้แย้งและการ ของสิ่งที่เปน็ ประเด็นในการโต้แยง้ และมีลักษณะพื้นฐานเป็นอปุ นัย
โตแ้ ย้งมลี กั ษณะพื้นฐานเปน็ นริ นยั (Deductive) (Inductive)
4
การให้เหตุผลแบบเป็นทางการ การใหเ้ หตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการ
การให้เหตุผลแบบเป็นทางการมีลักษณะเป็นขั้นตอน การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ มีลักษณะคล้ายพุ่มไม้ ที่แตก
ของนิรนัยที่เกี่ยวเนื่องกันยาว ดังที่พบในการพิสูจน์ทาง กิ่งก้านสาขาสั้น ๆ ไม่ได้เป็นก้านเดี่ยวที่ยาวแบบการให้เหตุผลแบบเปน็
คณิตศาสตร์ ทางการ
2. รปู แบบโดยท่วั ไปของการใหเ้ หตุผลแบบไมเ่ ปน็ ทางการ
Sadler and Zeidler (2005) ได้กำหนดรูปแบบของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการตามลักษณะของการให้
เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ ประกอบไปด้วย 7 รูปแบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการบน
พื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ (Rationalistic Informal Reasoning) 2) การให้เหตุผลแบบไม่เป็น
ทางการบนพื้นฐานของอารมณ์ (Emotive Informal Reasoning) 3) การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการบนพื้นฐานของ
สัญชาตญาณ (Intuitive Informal Reasoning) 4) การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการบนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผล
และอารมณ์ 5) การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการบนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลและสัญชาตญาณ 6) การให้เหตุผล
แบบไม่เป็นทางการบนพืน้ ฐานของอารมณ์และสัญชาตญาณ 7) การให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการบนพื้นฐานของความเป็น
เหตุเปน็ ผล อารมณ์ และสัญชาตญาณ
3. คุณภาพของการใหเ้ หตผุ ลแบบไมเ่ ปน็ ทางการ
การประเมินคุณภาพการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการของนกั เรียนโดยระบุว่าเหตุผลนัน้ มีคุณภาพมากนอ้ ย
เพยี งใด ตอ้ งใช้เกณฑใ์ นการกำหนดและตัดสินการให้เหตผุ ลนั้น ๆ ซึ่งจากงานวิจัยทีผ่ า่ นมา Topçu (2008) ได้กำหนดเกณฑ์
การประเมินคุณภาพของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการไว้ดังน้ี 1) ข้อกล่าวอ้าง 2) การให้เหตุผลเพื่อสนับสนุนข้อกล่าว
อ้างของตน 3) การสร้างจุดยนื ทต่ี ่างออกไปจากข้อกล่าวอ้างของตน 4) Rebuttal สร้างข้อโตแ้ ยง้ เพ่ือสนับสนุนจุดยืนที่ต่าง
ออกไปของตน นอกจากนี้ หทยั ชนก ชนะชัย และคณะ (2559) ไดก้ ำหนดเกณฑ์การประเมินคุณภาพของการให้เหตุผลแบบ
ไม่เป็นทางการออกเป็น 4 ระดับ คือ ดีมาก ดี พอใช้ และปรับปรุง ซึ่งพิจารณาจากการมีองค์ประกอบของการให้เหตุผล
แบบไมเ่ ปน็ ทางการ ดังแสดงรายละเอียดใน ตารางที่ 2
ตารางที่ 2 เกณฑก์ ารประเมินคุณภาพการใหเ้ หตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการ
คณุ ภาพของการใหเ้ หตผุ ล ลักษณะที่ปรากฏ
แบบไมเ่ ปน็ ทางการ
นักเรียนสามารถให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการโดยระบุได้ครบทั้ง 4 องค์ประกอบ คือ
ดมี าก ขอ้ กล่าวอา้ ง เหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง ข้อโตแ้ ยง้ ทตี่ า่ งออกไป และข้อโตแ้ ย้งกลับ
ดี นักเรียนสามารถให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการโดยระบุได้ไม่ครบ
4 องค์ประกอบ โดยทข่ี าดองค์ประกอบอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ไป 1 องค์ประกอบ
นักเรียนสามารถให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการโดยระบุได้ไม่ครบ
พอใช้ 4 องค์ประกอบ โดยทข่ี าดองค์ประกอบไป 2 องค์ประกอบ
ปรบั ปรุง นักเรียนสามารถให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการโดยระบุได้ไม่ครบ
4 องคป์ ระกอบ โดยทขี่ าดองคป์ ระกอบไป 3 องคป์ ระกอบ
4. การจดั การเรยี นรู้ดว้ ยประเด็นทางสงั คมทีเ่ กีย่ วข้องกบั วิทยาศาสตร์เป็นฐาน
จากการศึกษาเอกสารผู้วิจัยพบว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้ด้วยประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้อง
กับวิทยาศาสตร์ของ Eilks (2010) มีความเหมาะสมต่อบริบทในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการให้เหตุผล
อยา่ งไม่เปน็ ทางการของนักเรียนไดโ้ ดยมีขน้ั ตอนในการจัดการเรียนรดู้ ังนี้
1. วเิ คราะห์ปญั หา ในขน้ั ตอนนนี้ กั เรียนจะไดร้ ับการนำเสนอประเด็นทนี่ า่ สนใจด้วยส่ือการเรียนรู้
ตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเป็นหนังสือพิมพ์ วดิ ีทัศน์ หรอื สอ่ื อนื่ ๆ ท่ีนำเสนอขอ้ เทจ็ จริงเก่ยี วกบั ประเดน็ ปญั หาทีเ่ กิดขนึ้
2. ทำให้เกิดความชัดเจนด้วยวิทยาศาสตร์ ในขั้นนี้ครูจะทำการช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจใน
ประเดน็ ของวิทยาศาสตร์ท่ีอยภู่ ายในประเดน็ สังคมนนั้ ๆ
5
3. สร้างความสัมพันธ์ หลังจากที่นักเรียนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวทิ ยาศาสตร์ท่ีอยู่ในประเด็นน้นั แลว้
นกั เรยี นจะต้องกลบั มาทำความเขา้ ใจประเด็นทางสังคมท่ีครอบคลุมวทิ ยาศาสตรอ์ ยูแ่ ล้วหาความสมั พันธข์ องทงั้ สองสิ่ง
4. การแสดงบทบาทสมมติ โดยมอบหมายงานให้นักเรียนแสดงบทบาทสมมติในการมีส่วนร่วมใน
การเจรจาเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวทิ ยาศาสตร์ บทบาทเหล่านี้อาจอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น การ
แสดงละคร การโต้วาที หรือการสรา้ งสอ่ื เพ่ือการนำเสนอเกย่ี วกบั ประเดน็ ปัญหาดงั กล่าว
5. การสะท้อนความคิด ภายหลังจากการจัดกิจกรรมให้นักเรียนสะท้อนความคิดเกี่ยวกับ
ประสบการณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างการตัดสินใจภายใต้
หลักของเหตุผลและคณุ ธรรมจริยธรรม
กรอบแนวคดิ การวิจัย
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ และการ
จัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยได้กำหนด รูปแบบการให้เหตุผลอย่างไม่
เป็นทางการออกเป็น 7 รูปแบบตามแนวทางของ Sadler and Zeilder (2005) และรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้
ประเด็นทางสังคมที่เก่ยี วข้องกบั วทิ ยาศาสตร์ในการจัดการเรยี นรู้ตามแนวทางของ Eilks (2010) แสดงดงั ภาพที่ 1
ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวิจัย
วิธีดำเนนิ การวจิ ัย
แบบแผนการวิจยั
ผู้วิจัยใช้รูปแบบงานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom action research) ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิง
คุณภาพ โดยใช้กระบวนการวิจัยที่เป็นวงจรตามรูปแบบของ Kemmis and Mctaggart (1998) มีขั้นตอน
ดำเนนิ งานทงั้ หมด 4 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) ข้นั วางแผน (Plan) 2) ขนั้ ลงมือปฏิบตั ิ (Act) 3) ข้นั สังเกต (Observe) และ
4) ขัน้ สะท้อนผลการปฏิบัตงิ าน (Reflect) ดงั ภาพที่ 2
ภาพท่ี 2 แบบแผนการวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ ารในช้นั เรยี น (Classroom action research)
6
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ผู้วิจัยทำการวิจัยกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์
จำนวน 1 ห้องเรียน ที่เรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ในภาคเรียนที่ 1 และ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2562 ซ่งึ ผู้วิจัยการเลือกกลมุ่ วิจยั นี้อย่างเฉพาะเจาะจง โดยลกั ษณะของกลุ่มที่ศึกษาเป็นนักเรียนรวมทัง้ สิ้น 40 คน
เป็นนกั เรียนชาย 15 คน นักเรียนหญงิ 25 คน
เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ในงานวจิ ยั นผ้ี ู้วจิ ยั ได้เลือกใช้เครอื่ งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลแบง่ ออกตามวตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย คอื
1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อระบุแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้โดยใช้
ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ท่ีส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของ
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วย อนุทนิ ของนักเรยี น บนั ทกึ หลงั การจัดการเรยี นรู้ และใบกิจกรรม
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการพัฒนาทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย
แบบวัดทักษะการให้เหตผุ ลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ แบบบนั ทกึ การสมั ภาษณอ์ ยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ และใบกจิ กรรม
การเก็บรวบรวมข้อมูล
งานวิจัยนี้ ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1) ขออนุญาตผู้อำนวยการ
โรงเรียนเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลและทำงานวิจัย 2) ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้นักเรียนทราบ เช่น มีการ
บันทึกการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ข้อมูลจากการทำกิจกรรมในช้ันเรียนเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ในการทำวิจัย 3)
ก่อนการจัดการเรียนรู้นักเรียนทุกคนทำแบบวัดทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการ 4) ทำการจัดการเรียนรู้
ตามแผนการจัดการเรยี นรู้ทง้ั 3 แผนการจัดการเรียนรู้ 5) ผวู้ ิจัยมอบหมายให้นักเรยี นทำใบกิจกรรม ระหว่างการ
จัดการเรียนรู้ในแต่ละคาบ 6) บันทึกข้อมูลหลงั การจัดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้โดยระบุ
จุดแข็งและจุดอ่อน ปัญหาหรืออุปสรรค และแนวทางการแก้ไขในประเด็นต่าง ๆ 7) หลังการจัดการเรียนรู้ครบทุก
หัวข้อ นักเรียนทุกคนทำแบบวัดทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการ 8) หลังจากนักเรียนทำแบบวัดเสร็จสิ้น
แล้ว ผู้วิจัยทำการตรวจคำตอบของนักเรียนหากนักเรียนคนใดตอบคำถามไม่ชัดเจน ผู้วิจัยจะนัดนักเรียนมาทำการ
สมั ภาษณพ์ ร้อมบันทึกผลการสัมภาษณ์นั้น ๆ
การวเิ คราะหข์ ้อมูล
1. การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับ
วิทยาศาสตร์ท่ีส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ผู้วิจัยทำการ
วิเคราะห์ข้อมูลจาก 1) อนุทินของนักเรียน 2) บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ และ 3) ใบกิจกรรม ซึ่งวิเคราะห์ด้วยวิธีการ
แบบอุปนัย (Inductive analysis) เป็นการรวบรวมข้อมลู ยอ่ ยหลาย ๆ ส่วน และนำมาสรุปเปน็ ลกั ษณะกล่มุ ใหญ่เพ่ือสรุป
หาแนวทางทเ่ี หมาะสมในการปฏิบัติระหวา่ งการจดั การเรียนรโู้ ดยใชป้ ระเด็นทางสงั คมที่เกยี่ วขอ้ งกับวทิ ยาศาสตร์เปน็ ฐาน
2. การวิเคราะหข์ ้อมลู การพัฒนาทักษะการให้เหตผุ ลอยา่ งไม่เป็นทางการของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี
2 ผ่านการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวข้องกับวทิ ยาศาสตร์ฐาน ผู้วิจัยทำการวเิ คราะห์ข้อมูลจาก
คำตอบการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการของนกั เรียนโดยทำการเปรียบเทียบกับการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ
ของนักเรียนก่อนและหลังเรยี น โดยทำการวิเคราะห์ผลออกเป็น 2 ลักษณะ คือ รูปแบบของการให้เหตุผลแบบไม่
เป็นทางการโดยใชเ้ กณฑ์ของ Sadler and Zeilder (2005) และลักษณะที่สองที่ทำการวิเคราะหค์ ุณภาพของการ
ให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ โดยผู้วิจัยได้ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาคุณภาพการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการของ
หทัยชนก ชนะชัย และคณะ (2559) จากนั้นคำนวณค่าทางสถิติของนักเรียนที่มีการใหเ้ หตุผลแบบไม่เป็นทางการ
ในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้การวิเคราะห์ทางสถิติอย่างง่าย ได้แก่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต จากที่กล่าวมา
7
ทั้งหมดสามารถสรุปวิธีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบคำถามวิจัยทั้ง 2 ข้อ ซึ่งแสดงความสัมพันธ์กับวงจร
ปฏบิ ัติการได้ดงั ภาพ 3
ภาพท่ี 3 แสดงความสัมพนั ธ์และการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
สรปุ ผลการวจิ ัย
1. แนวปฏิบตั ทิ ีด่ ใี นการจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้ประเดน็ ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เพ่ือส่งเสริม
ความสามารถในการใหเ้ หตผุ ลอย่างไมเ่ ป็นทางการของนักเรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 มดี งั นี้
1) ขั้นวิเคราะห์ปัญหา ให้นักเรียนระบุประเด็นปญั หาหรือวิเคราะห์ปัญหาผ่านการใช้คำถาม
กระตุ้นการเรียนรู้ การใช้สือ่ วดิ ีทัศน์ ภาพข่าว หรือสถานการณ์ ร่วมกับการใช้คำถามแบบไล่เรียงสามารถช่วยให้นักเรยี น
เขา้ ใจสภาพปญั หา สามารถระบไุ ด้วา่ ปัญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ ได้ โดยตัวอย่างคำถามท่ดี ที ีช่ ่วยให้นกั เรียนระบปุ ระเดน็ ปัญหาได้ คอื
“จากสถานการณท์ ก่ี ำหนดให้นกั เรยี นคดิ วา่ ปัญหาน้นั คอื อะไร”
“นักเรียนคดิ ว่าปัญหาดงั กล่าวเกี่ยวขอ้ งกบั เรอ่ื งใดบ้างในชวี ติ ประจำวัน”
จากคำถามดังกล่าวมีการชี้ชัดว่าคำถามมุ่งให้นักเรียนตอบคำถามอย่างไร ข้อคำถามถามด้วย
ประโยคงา่ ย กระชบั และตรงประเด็นทำให้นักเรียนมสี ว่ นรว่ มในการตอบคำถามมากขน้ึ คำถามทีไ่ ด้จากข้อค้นพบ
นี้ถูกนำไปใช้ทั้ง 3 แผนการจัดการเรียนรู้ และพบว่าคำถามนี้สามารถทำให้นักเรียนระบุปัญหาได้ถูกต้องและตรง
ประเด็น นอกจากนี้การถามคำถามโดยให้นักเรียนสนใจและมีสว่ นร่วมมากข้ึนครมู ีบทบาทที่สำคญั คือ การบันทึก
คำตอบของนักเรียนบนกระดานเพ่ือใหน้ ักเรยี นไดเ้ หน็ คำตอบทห่ี ลากหลายสามารถสรุปได้ดงั ภาพท่ี
ภาพท่ี 4 กระบวนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชค้ ำถามเพื่อใหน้ กั เรยี นวเิ คราะห์ปญั หา
2) ขั้นทำให้เกิดความชัดเจนด้วยวิทยาศาสตร์ เน้นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้
อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านการอภิปรายกลุ่มใหญ่ร่วมกับการอภิปรายกลุ่มย่อย โดยประเด็นที่ใช้ในการจัดการ
เรยี นรู้และคำถามท่กี ระตุ้นให้เกิดการอภปิ รายแสดงดังภาพที่ 5
8
ภาพที่ 5 สรุปคำถามกระตนุ้ ทำให้เกิดการอภปิ รายในชัน้ เรียน
3) ขั้นสร้างความสัมพันธ์ นักเรียนการอธิบายความสัมพันธ์ผ่านการสรุปประเด็นจากการ
อภิปรายภายในกลุ่มย่อยและสรุปองค์ความรู้ของตนเอง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เน้นให้นักเรียนอภิปราย
ร่วมกันกลุ่มย่อยและหาข้อสรุปร่วมกัน นำเสนอข้อสรุปของกลุ่มด้วยการจัดทำโปสเตอร์ จัดนิทรรศการผลงานใน
ห้องเรียน นักเรียนแต่ละคนศึกษาข้อมูลจากนิทรรศการ สรุปความสัมพันธ์ของประเด็นที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้และ
แนวคดิ ทางวทิ ยาศาสตร์ที่เก่ียวข้อง ดังภาพที่ 6
ภาพที่ 6 การอภิปรายกลุม่ ย่อยและการสรา้ งข้อสรุปรายบุคลคล
4) ขั้นการแสดงบทบาทสมมติ เน้นการมีส่วนร่วมของนักเรียน นักเรียนแสดงบทบาทจากสถานการณ์ที่
กำหนดให้ เช่น การจัดรายการโทรทัศน์ การโต้แย้งในประเด็นที่กำหนด และการโต้วาที ร่วมกับการใช้
แอปพลิเคชัน Flipgrid และ Minecraft Education Edition กิจกรรมดังกล่าวสามารถส่งเสริมให้นักเรียนเกิด
ทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการได้โดยเฉพาะกิจกรรมการโต้วาที เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมที่สุดในการ
พฒั นาองคป์ ระกอบของการใหเ้ หตุผลอยา่ งไม่เป็นทางการ
5) ขั้นการสะท้อนความคิด เน้นการสะท้อนความคิดผ่านการใช้ใบกิจกรรมแบบมีโครงสร้างคำถาม
โดยแนวทางทีเ่ หมาะสมทสี่ ามารถให้นกั เรียนสรปุ แนวทางในการจัดการเรียนรู้ได้ คอื การใชใ้ บงานแบบมขี อ้ คำถาม
ซึ่งข้อคำถามน้ันต้องสอดคลอ้ งกับกิจกรรมการเรียนรู้ในขั้นทำให้เกิดความชดั เจนด้วยวิทยาศาสตร์ เมื่อใช้ใบงานที่
เป็นข้อคำถามนักเรียนสามารถประมวลความรู้จากกิจกรรมได้ดีนักเรียนสามารถสรุปแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่
เก่ยี วข้อง และแนวทางการแกไ้ ขปญั หาต่อประเด็นปญั หาน้ันได้อย่างเหมาะสม
2. การพัฒนาทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผ่านการ
จัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ฐาน พบว่า นักเรียนมีทักษะการให้เหตุผล
อย่างไม่เป็นทางการสูงกว่ากอ่ นเรียนทัง้ ดา้ นรูปแบบของการให้เหตุผลอยา่ งไม่เป็นทางการและคุณภาพของการให้
เหตผุ ลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการโดยมีรายละเอยี ดดังน้ี
1) ด้านรูปแบบการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการภายหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็น
ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เป็นฐาน พบว่า นักเรียนมีรูปแบบการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ 4
รูปแบบจากทั้งหมด 7 รูปแบบ คือ การให้เหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ การ
ใหเ้ หตผุ ลท่ีอยบู่ นพน้ื ฐานของอารมณ์ การใหเ้ หตผุ ลทอี่ ย่บู นพืน้ ฐานของสัญชาตญาณ และการใหเ้ หตผุ ลบนพื้นฐาน
9
ของความเป็นเหตุเป็นผลร่วมกับอารมณ์ และเม่ือนกั เรียนเรยี นรู้ครบทกุ หวั ข้อนักเรียนร้อยละ 100 สามารถพัฒนา
รปู แบบการให้อย่บู นพื้นฐานของความเปน็ เหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยรายละเอยี ดแสดงดงั ตารางที่ 3
ตารางท่ี 3 จำนวนและรอ้ ยละของรูปแบบการใหเ้ หตผุ ลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการของนักเรยี น
รูปแบบการให้เหตผุ ลอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ ประเดน็ การฉดี ละอองนำ้ จำนวนนักเรยี น (คา่ รอ้ ยละ) การสรา้ งโรงไฟฟ้าพลังงาน
ลดปญั หา PM 2.5 ประเดน็ ลงิ โคลนนิง่ กา้ วสู่ นวิ เคลียรใ์ นประเทศไทย
มนุษย์โคลนนิง่
กอ่ นเรยี น หลงั เรยี น ก่อนเรยี น หลังเรยี น ก่อนเรยี น หลังเรยี น
1. การใหเ้ หตุผลที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็น 5 (12.50) 37 (92.50) 27 (67.50) 38 (95.00) 32 (80.00) 40 (100.00)
เหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์
2. การให้เหตุผลทีอ่ ยบู่ นพื้นฐานของอารมณ์ 6 (15.00) - 3 (7.50) - 1 (2.50) -
3. การให้เหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานของ 3 (7.50) - - - - -
สญั ชาตญาณ
4. การให้เหตุผลบนพื้นฐานของความเป็นเหตุ
เป็นผลรว่ มกับอารมณ์ 26 (65.00) 3 (7.50) 10 (25.00) 2 (5.00) 7 (17.50) -
2. ดา้ นคุณภาพการให้เหตุผลอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการภายหลงั การจัดการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ระเด็นทางสงั คมที่
เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์เป็นฐาน นักเรียนสามารถพัฒนาระดับคุณภาพการให้เหตผุ ลแบบไม่เป็นทางการสูงขึน้
กว่าก่อนเรียนและสูงขึ้นเมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ในประเด็นใหม่ เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ครบทุกหัวข้อนักเรียนร้อยละ
100 สามารถให้เหตุผลอยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการอยู่ในระดบั ดมี าก โดยรายละเอียดแสดงดังตารางท่ี 4
ตารางที่ 4 จำนวนและรอ้ ยละของคุณภาพของการให้เหตุผลอย่างไม่เปน็ ทางการของนกั เรียน
จำนวนนักเรยี น (ค่ารอ้ ยละ)
ระดบั คุณภาพของการใหเ้ หตผุ ล ประเดน็ การฉดี ละอองน้ำลด ประเด็นลงิ โคลนนิง่ กา้ วสู่ การสรา้ งโรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลยี รใ์ นประเทศ
อย่างไมเ่ ป็นทางการ ปัญหา PM 2.5 มนษุ ยโ์ คลนน่งิ ไทย
กอ่ นเรยี น หลังเรยี น กอ่ นเรยี น หลังเรยี น กอ่ นเรยี น หลงั เรยี น
ระดบั ดมี าก 4 (10.00) 33 (82.50) 31 (77.50) 38 (95.00) 36 (90.00) 40 (100.00)
ระดบั ดี 21 (52.50) 6 (15.00) 9 (22.50) 2 (5.00) 4 (10.00) -
ระดับพอใช้ 15 (37.50) 1 (2.50) - - - -
ระดับประปรุง -- - - - -
อภิปรายผลการวจิ ัย
จากผลการวิจัยพบว่าแนวปฏิบัติท่ีดใี นการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเดน็ ทางสังคมท่ีเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตรเ์ พื่อ
ส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ควรมีรูปแบบ คือ 1) ขั้นวิเคราะห์ปญั หา ให้นักเรียนระบุประเด็นปญั หาหรือวเิ คราะห์ปัญหาผ่านการใชค้ ำถามกระต้นุ การ
เรียนรู้ 2) ขั้นทำให้เกิดความชดั เจนด้วยวิทยาศาสตร์ เน้นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นผ่าน
การอภิปรายกลุ่มใหญ่ร่วมกับการอภิปรายกลุ่มย่อยโดยใช้คำถามแบบชัดแจ้งและเป็นคำถามปลายเปิดมาช่วยให้การ
อภปิ รายอยบู่ นหลักของขอ้ มูลทางวทิ ยาศาสตร์มากย่งิ ขน้ึ 3) การอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเด็นทางสงั คมทเี่ ก่ียวข้อง
กับวิทยาศาสตร์ และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ควรใช้การสรุปประเด็นลงกระดาษแผ่นใหญ่ภายในกลุ่มย่อย และสรุปความ
องค์ความรู้ของตนเอง 4) ขั้นแสดงบทบาทสมมติ การแสดงบทบาทสมมติผ่านการจัดรายการโทรทัศน์และการโต้วาที
ร่วมกับการใช้แอปพลิเคชัน Flipgrid และ Minecraft Education Edition สามารถช่วยใหน้ ักเรียนแสดงบทบาทสมมติได้ดี
และสามารถพัฒนาองค์ประกอบการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการได้ อีกทั้งการชี้นำในการสืบค้นข้อมูลออนไลน์ให้แก่
นักเรียนเพอื่ เป็นข้อมลู ในการแสดงบทบาทสมมตนิ น้ั จะช่วยให้นกั เรยี นสามารถเขา้ ถงึ ข้อมูลและเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ได้
อย่างตรงจุด และส่งเสริมการรู้คิดของตนในการสืบค้นข้อมูลแบบออนไลน์มากขึ้น นักเรียนสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมา
ประกอบการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการได้ ทำให้นักเรียนสามารถให้เหตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการบนพืน้ ฐานของความเป็น
เหตเุ ป็นผลทางวิทยาศาสตร์มากยิ่งข้ึน สอดคล้องกับ Wu and Tsai (2011) ที่พบวา่ การช้นี ำการสืบเสาะแบบออนไลน์ช่วย
10
พัฒนาการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการของนักเรียนให้ดีขึ้นได้ โดยนักเรียนได้นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการ
ประกอบการให้เหตุผลของตนมากขึ้น การชี้นำการสืบเสาะออนไลน์จะช่วยให้นักเรียนมีเวลาในการอ่านข้อมูลข่าวสารใน
เว็บไซต์ได้มากขึ้น 5) ขั้นสะท้อนความคิด โดยการสะท้อนความคิดผ่านการใช้ใบกิจกรรมช่วยให้นักเรียนประมวลองค์
ความรูท้ น่ี ักเรียนเรยี นรจู้ ากกิจกรรมไดด้ ี
นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าในทุกขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้จะเน้นการใช้คำถามแบบซักไซ้ไล่เรียง (เพราะเหตุใด
ทำไม? อย่างไร?) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของคำถามปลายเปิด สามารถล้วงความคิด ความรู้เดิมของนักเรียนได้ในเชิงลึก
สามารถถามหาองค์ประกอบอื่น ๆ ของการใหเ้ หตผุ ลแบบไม่เป็นทางการของนักเรียน และสามารถตรวจสอบความเข้าใจใน
เนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนได้เรียนรู้ไปได้ สอดคล้องกับ Roger and Abell (2008) ที่กล่าวว่าคำถามปลายเปิด
สามารถชว่ ยใหน้ ักเรยี นเกิดกระบวนการอภิปรายและส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นขยายความข้อกล่าวอา้ งของตนไดอ้ ยา่ งชดั เจนขนึ้
การจดั การเรยี นรู้ด้วยประเดน็ ทางสังคมทีเ่ กย่ี วข้องกบั วิทยาศาสตร์สามารถพฒั นานักเรยี นใหม้ ีการใหเ้ หตุผลแบบ
ไม่เป็นทางการในรูปแบบของความเปน็ เหตุเปน็ ผลทางวิทยาศาสตร์มากยิ่งข้ึน โดยพบว่าก่อนเรียนนักเรียนมีการใหเ้ หตุผล
แบบไม่เป็นทางการในรูปแบบที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นเหตุผลร่วมกบั อารมณ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นปกติของการให้เหตุผล
แบบไม่เป็นทางการที่มักมีการรวมเอามุมมอง ทัศนคติ และอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในการให้เหตุผลและภายหลังจาก
การจัดการเรียนรู้ด้วยประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์พบว่านักเรียนพัฒนาตนเองให้มีการให้เหตุผลแบบไม่
เป็นทางการโดยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุรเดช ศรีทา
และศศิเทพ ปิติพรเทพิน (2559) ที่พบว่าภายหลังจากการจัดการเรียนรู้ด้วยประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์
นักเรียนมีรูปแบบของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์มากข้ึน
ซึ่งการพัฒนารูปแบบของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการของนักเรียนดังกล่าวมาจากการที่มีการแสดงบทบาทสมมติ
จำลองสถานการณใ์ นสังคมขนึ้ มา นักเรยี นไดท้ ำการสวมบทบาทและแสดงจดุ ยนื ของตนต่อประเดน็ ตา่ ง ๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
การศึกษาคุณภาพของการให้เหตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการไมเ่ พียงแต่จะศึกษาเฉพาะรูปแบบของการให้เหตุผลแบบ
ไม่เป็นทางการ แต่ยังคงต้องศึกษาถึงองค์ประกอบของการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการด้วย (Topçu, 2008) จาก
ผลการวิจยั พบวา่ นักเรียนสว่ นใหญ่มีระดับคณุ ภาพของการให้เหตุผลแบบไมเ่ ป็นทางการพิจารณาตามองคป์ ระกอบของการ
ให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ 4 องค์ประกอบคือ 1) ข้อกล่าวอ้าง 2) เหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง 3) ข้อโต้แย้งที่ต่าง
ออกไป และ 4) ข้อโต้แย้งกลับ อยู่ในระดับดีมาก (ให้เหตุผลได้ครบทั้ง 4 องค์ประกอบ) เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีความ
เกี่ยวข้องกับมนุษย์ นักเรียนจะมีการใช้อารมณ์เป็นหักล้าง แต่ภายหลังจากการจัดการเรียนรู้ด้วยประเด็นทางสังคมท่ี
เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์พบว่าเหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของนักเรียนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลทาง
วิทยาศาสตร์มากขน้ึ
ข้อเสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวจิ ยั ไปใช้
1. การศึกษานักเรียนเชิงลึกในรูปแบบกลุ่มย่อย (focus group) จะทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ของ
นักเรียนที่มีต่อเพื่อนสมาชิกกลุ่ม ทำให้เห็นถึงทักษะการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการ ทั้งการสร้างข้อกล่าวอ้าง
การให้เหตุผลสนับสนนุ ข้อกล่าวอ้าง การสร้างข้อโต้แย้งที่ต่างออกไป และการสร้างข้อโต้แย้งกลับของนักเรียนแต่
ละคนในกลมุ่ ได้อย่างชดั เจน และเหน็ ถึงการคล้อยตามของสมาชิกในกลมุ่ เพื่อใหไ้ ด้มติเอกฉนั ท์ของกลุ่ม
ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยครงั้ ตอ่ ไป
1. การจัดการเรียนรู้ด้วยประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ มีความเกี่ยวข้องกับประเด็น
ข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นในสังคมโดยมีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์ คุณธรรมจริยธรรม ในการ
จัดการเรียนรู้ครูควรมีการส่งเสริมทั้งทางด้านของความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับ
วทิ ยาศาสตรท์ ใี่ ช้ในการจัดการเรียนรู้และสง่ เสริมในด้านคุณธรรมจริยธรรมใหแ้ ก่นักเรยี น เพ่ือใหน้ ักเรยี นเกิดความ
ตระหนกั ในการใช้ความรใู้ นการตัดสนิ ใจภายใต้หลักของคุณธรรมจริยธรรมท่เี หมาะสมในสงั คม
11
2. การพัฒนาการให้เหตุผลแบบไม่เป็นทางการด้วยการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ประเด็นทางสังคมทีเ่ กีย่ วข้อง
กับวิทยาศาสตร์เป็นฐานนี้ ครูควรมีการศึกษาเบื้องหลังของนักเรียนที่เป็นกลุ่มที่ศึกษาก่อนว่านักเรียนมีความ
เกย่ี วขอ้ งกบั ประเด็นใดเป็นพเิ ศษ สถานภาพทางสังคม ครอบครัว หรือบรบิ ทท่นี กั เรยี นใช้ชีวิตอยมู่ ีความสอดคล้อง
หรอื ใกล้เคยี งกับประเดน็ ทางสงั คมประเด็นใดเปน็
รายการอ้างองิ
ศศิเทพ ปิติพรเทพิน. 2558. วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมสู่การจัดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์.
กรงุ เทพมหานคร: วิสตา้ อนิ เตอร์ปริน้ จำกดั .
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.). 2561. สรุปผลการวิจัย PISA 2015 วิทยาศาสตร์
การอ่าน และคณิตศาสตร์ ความเป็นเลิศและความเท่าเที่ยมทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร:
บรษิ ัทซัคเซสพับลเิ คช่ัน จำกดั
สุรเดช ศรีทา และ ศศิเทพ ปิติพรเทพิน. 2559. “การพัฒนาทักษะการให้เหตุผลอย่างไม่เป็นทางการของนักเรียน
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในหน่วยการเรียนรู้เรื่องอาณาจักรโพรทิสตาผ่านการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้ประเด็น
ท า ง ส ั ง ค ม ท ี ่ เ ก ี ่ ย ว เ น ื ่ อ ง ก ั บ ว ิ ท ย า ศ า ส ต ร ์ เ ป ็ น ฐ า น ”. ว า ร ส า ร ศ ึ ก ษ า ศ า ส ต ร์
มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. 9 (2): 214-229.
หทัยชนก ชนะชยั , ศศิเทพ ปติ พิ รเทพิน และ กันทมิ าณี ประเดิมวงศ์. 2559. การพฒั นาการให้เหตผุ ลอย่างไม่เป็น
ทางการของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 5 ห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับระบบประสาทและ
อวัยวะรับความรู้สึก ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้วิทยาศาสตร์
เป็นฐาน. การประชุมวชิ าการระดับชาติ มหาวิทยาลยั รังสติ 2559. (29 เมษายน 2559): 1348-1356.
Eilks, I. 2010. Making Chemistry Teaching Relevant and Promoting Scientific Literacy by Focusing
on Authentic and Controversial Socio-Scientific Issues. Presentation at The Annual
Meeting of The Society for Didactics in Chemistry and Physics, Potsdam, Germany.
Kemmis, S. and R. McTaggart. 1998. The Action Research Planner. Victoria: Deakin University
Press.
McNeill, K. L., Lizotte, D. J., Krajcik, J., and Marx, R. W. (2006). Supporting student’s construction
of scientific explanations by fading scaffolds in instructional materials.
National Research Council (NRC). 2007. Taking Science to School: Learning and Teaching
Science in Grades K-8. Washington, DC: The National Academic Press.
Rogers, M. A. P. and S. K., Abell. 2008. The Art (and Science) of Asking Questions. Science and
Children 46 (2): 54-55
Sadler, T. D. and D. L. Zeidler. 2005. Informal Reasoning Regarding Socioscientific Issues: A Critical
Review of Research. Journal of Research in Science Teaching 41 (5): 513-536.
Topcu, S. M. 2008. Preservice science teachers’ informal reasoning regarding socioscientific
issues and the factors influencing their informal reasoning. Doctor of Philosophy
Thesis in elementary education, Middle East Technical University.
Wu, Y.-T. and C.-C. Tsai. 2010. “The Effects of Different On-line Searching Activities on High
School Students’ Cognitive Structures and Informal Reasoning Regarding a Socio-
scientific Issue.” Research in Science Education 41 (5): 771-785
12
13
ผลงานวจิ ยั การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้คณติ ศาสตรต์ ามแนวสะเตม็ ศึกษา ด้วยบทเรยี นการต์ นู
เทคนิค KWDL เพอื่ ส่งเสรมิ ทักษะการแกป้ ญั หา สำหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์
ผู้วจิ ยั นางรชั ฎาภรณ์ ปญั ญานวล
ปีที่วิจยั พ.ศ. 2562
............................................................................................................................. .................................................
บทคดั ย่อ
การศกึ ษาครงั้ น้ีมวี ตั ถุประสงค์ เพอื่ สร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรยี นการต์ นู
คณติ ศาสตรเ์ ทคนิค KWDL ตามแนวสะเต็มศกึ ษา เพื่อศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นคณิตศาสตร์ตามแนว
สะเตม็ ศึกษา โดยใช้บทเรียนการ์ตนู เทคนคิ KWDL และเพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรยี นทีม่ ตี อ่ การเรียน
คณิตศาสตรต์ ามแนวสะเตม็ ศึกษา โดยใช้บทเรยี นการ์ตนู เทคนิค KWDL สำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2
โรงเรยี นดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ จงั หวดั เชียงราย หลังจากทผ่ี ู้ศกึ ษาปรบั ปรงุ แกไ้ ขบทเรียนการ์ตนู และ
แผนการจัดการเรยี นรูแ้ ล้ว จึงไดน้ ำไปทดลองกับกลุม่ ตัวอย่าง ซงึ่ เป็นนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี น
ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ปกี ารศึกษา 2561 จำนวน 40 คน มีวธิ ดี ำเนนิ การศกึ ษาคือ ทำการทดสอบก่อน
เรียนดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ขอ้ ดำเนนิ การ
สอนตามแผนการจดั การเรยี นรู้ และบทเรียนการ์ตนู เรอ่ื ง โจทย์ปญั หาทฤษฎบี ทปีทาโกรัส 2 เรือ่ ง โจทย์
ปญั หารากทส่ี องและรากทสี่ าม 3 เรื่อง โจทย์ปัญหาการประยกุ ต์ของสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียว 4 เรื่อง โดย
เมื่อสอนจบแตล่ ะเร่ืองจะทำการทดสอบโดยใช้แบบทดสอบยอ่ ยของแตล่ ะเรื่อง เมื่อสอนจนครบ 9 แผน จึงทำ
การทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ซ่งึ เปน็ ชดุ เดียวกัน และให้นกั เรียนตอบ
แบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรยี นโดยใช้บทเรยี นการ์ตูนคณติ ศาสตร์ เทคนิค KWDL ตามแนวสะเต็ม
ศกึ ษา สำหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ จังหวดั เชยี งราย
เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการศกึ ษาประกอบดว้ ย แผนการจัดการเรียนรกู้ ลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี 2 เรือ่ งโจทย์ปญั หาทฤษฎบี ทปีทาโกรัส โจทยป์ ญั หารากทส่ี องและรากทส่ี าม โจทย์ปัญหา
การประยุกต์ของสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว จำนวน 9 แผนการจดั การเรยี นรู้ บทเรยี นการต์ ูนเร่ืองโจทย์
ปัญหาทฤษฎีบทปีทาโกรัส โจทยป์ ญั หารากทส่ี องและรากทสี่ าม โจทยป์ ัญหาการประยุกต์ของสมการเชงิ เสน้
ตัวแปรเดียว จำนวน 9 เร่ือง แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกลมุ่ สาระคณิตศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี
ท่ี 2 เรื่องโจทย์ปญั หาทฤษฎีบทปที าโกรัส โจทย์ปัญหารากทีส่ องและรากท่ีสาม โจทย์ปญั หาการประยกุ ต์
ของสมการ เชิงเส้นตัวแปรเดียว เปน็ แบบปรนยั ชนดิ ตัวเลอื ก 4 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ข้อ นำไปหาความยาก
(p) ค่าอำนาจจำแนก (r) และ มีคา่ ความเช่ือมั่นของแบบทดสอบเท่ากับ 0.8477 แบบสอบถามความพงึ
พอใจของนกั เรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้ โดยใช้บทเรียนการต์ ูนคณติ ศาสตร์เทคนิค KWDL ตาม
แนวสะเต็มศึกษา ซ่ึงมีค่าความเชอ่ื มน่ั ของแบบสอบถามเท่ากบั 0.8521
ผลการศึกษาพบวา่
1. ผลการหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนการ์ตนู คณิตศาสตร์เทคนิค KWDL แนวสะเต็มศึกษา สำหรับ
นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชยี งรายจำนวน 9 เลม่ มปี ระสิทธิภาพสูง
กว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด 80/80 คือไดเ้ ท่ากับ 84.50/86.65
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียน
การ์ตูน เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัด
14
เชียงรายหลงั เรียนของนักเรียน คะแนนเฉลยี่ หลงั เรียนเทา่ กับ 25.54 คะแนน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 84.27 ซงึ่ สูง
กวา่ เกณฑ์ รอ้ ยละ 70 ที่ทางโรงเรยี นกำหนด
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้บทเรียนการ์ตูนคณิตศาสตร์เทคนิค KWDL ตาม
แนวสะเต็มศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย อยู่
ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.57 แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจ
เชงิ บวกต่อการเรียนกล่มุ สาระคณิตศาสตร์
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หาการวจิ ยั
ประเทศทมี่ คี วามเข้มแขง็ ด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี ป็นรากฐานสำคญั ลว้ นเปน็ ประเทศท่ีมี
ความกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ ในขณะทป่ี ระเทศกำลังพฒั นาพยายามพฒั นาสมรรถภาพดา้ นน้ี เช่นเดยี วกับ
ประเทศไทยทีก่ ำลังตื่นตวั ในการสรา้ งความตระหนักถึงความสำคญั ของวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยใี นการชว่ ย
ผลกั ดนั การเปลย่ี นแปลงที่สำคัญของประเทศ (กำจัด มงคลกลุ , 2549 : 290) ดังนัน้ การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์จึงมี
บทบาทในการพัฒนาบคุ คลในด้านกระบวนการคดิ กระบวนการแก้ปัญหา ความสามารถในการตัดสินใจ ทกั ษะ
ในการคน้ ควา้ หาความรู้ ทักษะในการสือ่ สารและท่สี ำคัญคือการพัฒนาคนในสงั คมให้มีความรคู้ วามเข้าใจทาง
วิทยาศาสตรเ์ พ่ือไปใชพ้ ัฒนาคณุ ภาพชีวติ ท้งั ในด้านการดำเนนิ ชวี ติ การประกอบอาชีพและนำความรู้ไปใชใ้ ห้
เกดิ ประโยชน์ในสังคม (อลิศรา ชชู าติ, 2549 : 185 - 186)
เป้าหมายของการสง่ เสรมิ พฒั นาดา้ นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยจี ะต้องอาศัยการวางรากฐาน ทาง
การศึกษาท่ีมีคณุ ภาพ การยกระดบั การพฒั นาทางด้านวิทยาศาสตรศ์ กึ ษาจึงมีความจำเป็นทีต่ ้องใหค้ วามสำคัญ
เพ่ือทำใหค้ นไทยทุกคนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำไปสกู่ ารพัฒนาคนอย่างมี
คณุ ภาพ และจากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนของชาตเิ ขา้ สู่ยุคศตวรรษท่ี21 ท่ีมุ่ง
ส่งเสริมผเู้ รยี นให้มีคุณธรรม ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์ มที กั ษะดา้ นเทคโนโลยี สามารถทำงาน
ร่วมกับผู้อน่ื ได้(กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551: 1-2) สะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นการจดั การเรียนรูท้ ่ีมี
การบรู ณาการระหวา่ งสาขาวชิ า ใหม้ ีความเช่ือมโยงกบั ชีวิตจรงิ ในการดำรงชีวติ หรอื การประกอบอาชีพเพื่อให้
ผ้เู รยี นเห็นความสำคัญของการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และเทคโนโลยีในชนั้ เรียนกบั บรบิ ทโลกของ
ความเป็นจริง เกดิ ทักษะสำคัญเพือ่ การดำรงชวี ิตในสังคมและการนำมาซงึ่ การพฒั นาส่งิ ใหม่ ๆ หรอื นวตั กรรม
เพอ่ื การพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ อภสิ ิทธิ์ ธงไชย (2556: 35) นอกจากนี้ การจัดการศกึ ษาแบบ
STEM Education ยังเป็นรปู แบบการจดั การศกึ ษาท่ีตอบสนองต่อการเตรียมคนไทยรนุ่ ใหม่ในศตวรรษท่ี 21
สามารถพฒั นาให้ผู้เรียนนำความรทู้ ุกแขนงทั้งดา้ นความรู้ ทักษะการคิด และทักษะอืน่ ๆ มาใชใ้ นการแก้ปญั หา
คน้ ควา้ สรา้ ง และพฒั นาคิดค้นสง่ิ ตา่ งๆ ได้อย่างแทจ้ ริง
การแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ (Mathematical problem solving) เปน็ ความสามารถหนึง่ ในทกั ษะ
กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ท่ีนักเรียนควรจะเรยี นรู้ ฝึกฝนและพัฒนาให้เกิดขึน้ ในตวั นักเรยี น เพราะการเรียน
การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์จะช่วยใหน้ กั เรยี นมีแนวทางการคิดที่หลากหลาย มีนสิ ยั กระตอื รือร้น ไม่ย่อท้อ
และมคี วามมัน่ ใจในการแก้ปัญหาทเี่ ผชิญอยู่ท้ังภายในและภายนอกหอ้ งเรยี น ตลอดจนเป็นทักษะพนื้ ฐานท่ี
นักเรียนสามารถนำตดิ ตวั ไปใช้แกป้ ัญหาในชวี ิตประจำวันไดน้ านตลอดชวี ติ สสวท. (2551 : 6 ) การจดั
15
กระบวนการทางคณติ ศาสตร์ท่ีผ่านมา ครูมุง่ เน้นทีเ่ น้ือหาคณติ ศาสตรม์ ากกวา่ ทกั ษะและกระบวนการทาง
คณติ ศาสตร์ ทำให้ครูไมค่ ุน้ เคยกับการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ทำให้
นักเรยี นไมส่ ามารถนำความรู้คณติ ศาสตร์ไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั และการศึกษาตอ่ ได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ และเมื่อพจิ ารณาปญั หาทที่ ำให้ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ค่อนขา้ งตำ่ ไดแ้ ก่
ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา จะเห็นได้วา่ การสอนเนื้อหาเกี่ยวกับโจทยป์ ัญหาเป็นเร่ืองทสี่ อนให้
นักเรยี นเข้าใจยาก ดงั น้นั การจัดการเรยี นการสอนคณิตศาสตรจ์ งึ ตอ้ งเน้นใหน้ ักเรยี นได้พฒั นาความสามารถใน
การแกโ้ จทยป์ ญั หาคณิตศาสตรเ์ พ่อื จะได้นำทักษะต่างๆไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจำวนั (พรพรรษา
เชอื้ วรี ะชน, 2553 : 2 ) เทคนิคการสอนรูปแบบหนง่ึ ที่ครูสามารถนำมาใช้จดั การเรยี นการสอน คอื การสอน
โดยใชเ้ ทคนคิ K-W-D-L ซง่ึ เทคนคิ K-W-D-L น้จี ะฝกึ ใหน้ กั เรยี นคดิ วเิ คราะหโ์ จทย์ปัญหาอยา่ งเปน็ ขัน้ ตอน
ละเอยี ดถถ่ี ว้ น และทำใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจกับโจทย์ปัญหาได้อยา่ งชดั เจน อยา่ งไรกต็ ามกจิ กรรมการเรยี นการสอน
ในช้นั เรียนควรมีส่อื ท่นี า่ สนใจท่จี ะนำพาเทคนิค K-W-D-L ให้นักเรยี นได้เรียนอยา่ งเต็มศักยภาพ บทเรียน
การ์ตนู จงึ เป็นสือ่ การสอนทส่ี ามารถจะดงึ ดูดความสนใจของผู้เรียน ทำใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นร้เู น้ือหาในบทเรยี นด้วย
ความสนกุ สนาน ทีใ่ กล้เคียงกับวฒุ ภิ าวะและความต้องการของผเู้ รียนให้มากทสี่ ุด จากงานวิจัยหลายๆ เร่อื ง ท่ีได้
นำการต์ ูนมาใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนในวชิ าคณิตศาสตร์ แล้วสามารถทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชา
คณิตศาสตร์ของผู้เรียนสูงขน้ึ
วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั
1. เพ่อื สร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนการต์ ูนคณิตศาสตรแ์ นวสะเตม็ ศึกษา เทคนิค KWDL สำหรับ
นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ จงั หวดั เชียงราย
2. เพอื่ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้บทเรยี นการ์ตนู คณติ ศาสตร์แนวสะเต็มศึกษา เทคนคิ KWDL
สำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จงั หวัดเชียงราย
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้บทเรียนการ์ตูน
คณิตศาสตร์แนวสะเต็มศึกษา เทคนิค KWDL สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนดำรงราษฎร์
สงเคราะห์ จงั หวดั เชียงราย
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
การจัดการเรยี นรูต้ ามแนวคดิ สะเต็มศึกษา (STEM Education) หมายถงึ วธิ ีการจัดการเรยี นร้ทู ่ี
ผศู้ กึ ษาให้ผเู้ รียนใช้สถานการณ์ปัญหาทเี่ กดิ ขนึ้ ในชวี ิตประจำวนั หรือปญั หาทนี่ กั เรยี นสนใจเปน็ ตัวกระตนุ้
ผู้เรียนใหเ้ กิดการเรยี นรูซ้ ่ึงผเู้ รยี นต้องคิดหาทางแก้ปัญหาจากสถานการณป์ ัญหาท่ีเกิดข้ึนนน้ั โดยการบรู ณาการ
ศาสตร์เนื้อหาความรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และคณติ ศาสตร์ผา่ นกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์เน้นให้
ผู้เรียนสรา้ งสรรค์ชน้ิ งานโดยนำความร้ใู นภาคทฤษฎีมาใช้แก้ปญั หาในชวี ติ จรงิ
การจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้บทเรียนการต์ ูนคณติ ศาสตร์ เทคนคิ KWDL หมายถงึ การเรยี น
ของนักเรยี นโดยใชบ้ ทเรยี นการต์ ูนท่ีผศู้ ึกษาสรา้ งขึน้ ให้มีความสอดคล้องกับเน้ือหาวชิ าเพื่อใหน้ ักเรียนเรียน
เปน็ กลมุ่ หรือรายบุคคลประกอบดว้ ย โดยจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยแบง่
ออกเป็นบทเรยี นการ์ตนู 9 เลม่
16
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน หมายถึง คะแนนทีน่ กั เรียนทำไว้ภายหลงั จากการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ตามแนวสะเตม็ ศกึ ษาโดยใช้ บทเรยี นการ์ตนู คณิตศาสตร์ เทคนิค KWDL วดั โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนที่ผูศ้ ึกษาสร้างข้ึน
ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สกึ ของนกั เรยี นท่ีมีต่อการจัดกจิ กรรมการเรยี นตามแนวสะเต็ม
ศึกษาโดยใช้ บทเรยี นการต์ ูนคณิตศาสตร์ เทคนิค KWDL ใน 3 ด้าน คือ ดา้ นความกระตอื รือร้นต่อการเรียน
ดา้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ และด้านเนอื้ หา ซึง่ เป็นแบบสอบถามทม่ี ีลักษณะเป็นแบบมาตราประมาณค่า
(Rating scale) ชนิด 5 ตัวเลอื ก คือ มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย และน้อยที่สดุ
แนวคิด/ทฤษฎีทีเ่ กีย่ วข้อง
ไดศ้ ึกษาเอกสารงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง คอื การจดั การเรยี นรู้ตามแนวคิดสะเตม็ ศึกษา (STEM
Education) , บทเรียนการต์ นู , เทคนคิ KWDL , ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ และความพึงพอใจ
กรอบแนวคิดการวิจยั
แผนภูมทิ ่ี 1 กรอบแนวคดิ ของการศกึ ษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
การจดั กจิ กรรมเรยี นรตู้ ามแนวสะเตม็ ความพงึ พอใจของนักเรยี น
ศกึ ษาโดยใช้บทเรยี นการ์ตูน
คณติ ศาสตร์ เทคนคิ KWDL
วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย
แบบแผนการวิจยั การศึกษาคร้งั นเ้ี ป็นการวจิ ยั กง่ึ ทดลอง โดยใชแ้ ผนแบบการทดลอง One Group
Pretest –Posttest Design (กาญจนา วฒั ายุ,2544, น.84-86) โดยการจัดให้มีการทดสอบก่อนเรยี น และ
ทดสอบหลงั เรยี น
ประชากรคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 12 ห้องเรียน
จำนวนนักเรียน 470 คน โรงเรียนดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ สำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 36
กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2.1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 1 ห้องเรียน
จำนวนนักเรียน 40 คน โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ โดยใช้การสุม่ อยา่ งง่าย (Simple Sampling) โดย
ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม โดยฝ่ายวิชาการ งานวัดผลของโรงเรียนได้จัดนักเรียนแต่ละห้องแบบคละ
ความสามารถ คอื จัดนกั เรยี นออกเป็น เก่ง ปานกลาง ออ่ น ในอัตราสว่ นท่เี ทา่ กัน
เครื่องมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษาครง้ั น้ี เปน็ เคร่อื งมือท่ผี ู้วิจยั สร้างข้ึนจำนวน 4 ชนดิ คอื แบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน แผนการจดั การเรียนรู้คณิตศาสตร์แนวสะเตม็ ศกึ ษา จำนวน 9 แผนการจดั การเรยี นรู้
17
บทเรียนการ์ตูนเทคนิค KWDL จำนวน 9 เลม่ และแบบสอบถามความพึงพอใจทีม่ ีต่อการเรียนการสอน
คณติ ศาสตร์แนวสะเตม็ ศึกษาโดยใชบ้ ทเรียนการต์ ูนเทคนิค KWDL ชนิดคำถามปลายปดิ เป็นแบบวดั ชนิด
มาตราวัดระดบั (Interval Scale) จำนวน 15 ขอ้
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผศู้ ึกษาดำเนินการ ดังน้ี
1. นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นที่ผู้ศึกษาสร้างขน้ึ จำนวน 20 ข้อ ไปทดสอบนกั เรยี น
กลุ่มทดลอง บันทกึ คะแนนท่ีไดจ้ ากการทดสอบครัง้ น้ี เปน็ การทดสอบก่อนเรยี น
2. ดำเนินการทดลองตามข้ันตอนในแผนการจดั การเรียนรู้การแกโ้ จทย์ปญั หาคณิตศาสตร์ ในเรอ่ื ง
ทฤษฎีบทปีทาโกรัส ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกบั จำนวนจริง(รากทส่ี อง รากท่สี าม) และการประยุกต์ของสมการ
เชิงเสน้ ตวั แปรเดยี ว จำนวน 9 แผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้เวลาในการสอน 9 ชัว่ โมง
3. หลงั จากทดลองครบท้ัง 9 แผนการจดั การเรยี นรู้แล้ว ผู้สอนดำเนินการทดสอบหลงั การทดลอง
โดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซง่ึ เป็นชดุ เดียวกนั กับการทดสอบกอ่ นเรียน
4. นักเรยี นตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรยี นโดยใชบ้ ทเรียนการต์ นู การแก้โจทย์ปญั หา
คณิตศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 ดำเนินการภายหลังจากทำการทดสอบหลังเรียน
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
1. วิเคราะห์หาประสทิ ธภิ าพของ บทเรยี นการต์ นู เรอ่ื งโจทย์ปญั หาทฤษฎบี ทปีทาโกรสั โจทย์
ปญั หารากท่สี องรากที่สาม โจทย์ปัญหาการประยกุ ตส์ มการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ตาม
เกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2
2. ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้จากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นนำมาวิเคราะหห์ าคา่ เฉลี่ยและส่วน
เบย่ี งเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมตุ ิฐานด้วยค่าที (t – test dependent )
3. ข้อมลู ที่รวบรวมได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรยี นนำมาวิเคราะห์หา
ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน เพือ่ เปรยี บเทียบกบั เกณฑม์ าตรฐานของทางโรงเรียนกำหนดคือ รอ้ ยละ
70 และทดสอบสมมุตฐิ านด้วยค่าสถิติ one sample t – test
4. วเิ คราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ท่ีมีต่อบทเรยี นการต์ ูน เร่ืองโจทย์
ปญั หาทฤษฎีบทปที าโกรสั โจทย์ปญั หารากทส่ี องรากท่ีสาม โจทย์ปญั หาการประยกุ ต์สมการเชิงเสน้ ตัวแปร
เดยี ว โดยหาค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและนำเสนอในรปู แบบตารางประกอบความเรียงแล้วสรปุ ผล
โดยการบรรยาย
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรยี นการ์ตูนคณิตศาสตร์เทคนิค KWDL แนวสะเต็มศึกษา จำนวน
9 เล่มมีประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 คอื ได้เทา่ กับ 84.50/86.65
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียน
การ์ตูน เทคนิค KWDL หลังเรียนของนักเรียน คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 25.54 คะแนน คิดเป็นร้อย
ละ 84.27 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์ รอ้ ยละ 70 ทีท่ างโรงเรียนกำหนด
18
3. ความพงึ พอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการเรียนโดยใชบ้ ทเรียนการต์ ูนคณิตศาสตร์เทคนคิ KWDL ตาม
แนวสะเตม็ ศึกษา อยู่ในระดับมาก มีคา่ เฉลยี่ เทา่ กับ 4.45 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากบั 0.57
อภปิ รายผลการวิจัย
ในการศึกษาครัง้ นี้ มุ่งศกึ ษาผลการศกึ ษา 3 ประการ คือ
1. บทเรียนการ์ตูนคณิตศาสตร์แนวสะเต็มศึกษา เทคนิค KWDL ทั้ง 9 เล่ม มีประสิทธิภาพสูง
กว่าเกณฑท์ ก่ี ำหนด 80/80 คอื ได้เทา่ กบั 84.50/86.65 ทง้ั นอี้ าจเป็นเพราะวา่ บทเรยี นการ์ตูนคณิตศาสตร์แนว
สะเตม็ ศกึ ษา เทคนคิ KWDL ท่สี รา้ งข้ึนได้ผ่านขน้ั ตอนการสร้างอยา่ งเปน็ ระบบและมีวิธกี ารทเ่ี หมาะสม
2. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นทเ่ี รยี นโดยใช้บทเรยี น
การ์ตนู คณิตศาสตร์แนวสะเต็มศึกษา เทคนิค KWDL คะแนนเฉล่ยี หลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนและคะแนนเฉล่ีย
หลังเรยี นของนกั เรยี นสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 ทีท่ างโรงเรียน ท้ังน้อี าจเน่ืองมาจาก บทเรียนการ์ตนู
คณติ ศาสตร์ ทีผ่ วู้ ิจัยสรา้ งขึน้ โดยศกึ ษารปู แบบการสร้างบทเรียนการต์ ูนและได้กำหนดกิจกรรมการเรียนการ
สอน ใหส้ อดคล้องกับผลการเรยี นรูข้ องโรงเรียน ความต้องการของผู้เรียน โดยกำหนดกิจกรรมขณะเรียน ใบ
งานปฏิบัติหลงั เรียน เพ่ือใหผ้ ้เู รียนไดเ้ ปลย่ี นแปลงพฤติกรรมการเรียนรูอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
3. ความพึงพอใจของนกั เรียนท่มี ตี อ่ การจัดกิจกรรมการเรียนโดยใชบ้ ทเรียนการต์ นู คณติ ศาสตร์แนว
สะเต็มศึกษา เทคนิค KWDL พบว่าความพึงพอใจโดยรวมระดับมาก แสดงวา่ นักเรยี นมคี วามรู้สึกหรือเจตคติ
ในเชงิ บวกท้งั ในด้านบทบาทผู้เรียน กิจกรรมการสอน และบทบาทของครูผ้สู อน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ การเรยี น
ดว้ ยบทเรยี นการ์ตนู คณติ ศาสตร์ ไดน้ ำเสนอเน้ือหาพร้อมภาพประกอบ ที่มสี สี นั สวยงาม ทำให้ผเู้ รยี นเกิดความ
ตื่นตาต่นื ใจ มีอารมณ์ร่วมท่จี ะติดตามเน้ือหา ซึ่งเด็กในวัยน้ีจะชอบอ่านการ์ตูน ภาพการ์ตูนจะชว่ ยกระตนุ้ ความ
สนใจของผ้เู รียน(สมหญิง กลั่นศิริ. 2521:74) บทเรียนการ์ตนู คณติ ศาสตร์ไดน้ ำเสนอเน้ือหาอย่างเป็นลำดบั
ข้ันตอนจากเนอื้ หาง่ายๆไปสู่เนือ้ หาที่มีความยากมากยิ่งขนึ้ ซึ่งผู้เรียนสามารถทจ่ี ะเลือกเรียนไดต้ าม
ความสามารถตนเอง ทำให้ผู้เรยี นเรยี นไดต้ ามลำพัง เกดิ การพึ่งตนเอง มีความเช่ือมั่นในตนเองมากขน้ึ และลด
ความเบอ่ื หน่ายให้กับนักเรยี นบางคนทีต่ ้องเรยี นรว่ มกบั คนอื่น (ธีระชัย ปรู ณโชติ. 2539 : 27)
ขอ้ เสนอแนะ
จากการศึกษาในครั้งน้ผี ู้ศึกษามขี ้อเสนอแนะบางประการที่อาจเปน็ ประโยชนต์ ่อการนำไปใช้ในการจัด
กจิ กรรมการเรียนร้คู ณิตศาสตร์และการศึกษาครัง้ ต่อไป ดงั น้ี
1. ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรูส้ ะเต็มศกึ ษา หากนำบทเรยี นการต์ นู ไป
ใชก้ บั นกั เรยี น ควรปรบั ปัญหาใหส้ อดคล้องกับบรบิ ทของโรงเรียนและท้องถ่ิน แม้วา่ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยใช้บทเรียนการ์ตนู คณติ ศาสตรแ์ นวสะเตม็ ศึกษา เทคนิค KWDL ทำให้นักเรยี นมีความสามารถใน
การแกป้ ัญหาทางคณติ ศาสตร์สงู ขน้ึ แต่เพื่อไมใ่ ห้เกดิ ปญั หาเกยี่ วกบั การคำนวณ ครูควรทบทวนเรอื่ ง การ
บวก การลบ การคูณ และการหาร จำนวนเต็มเสยี ก่อน และจากผลการศึกษาบทเรยี นการ์ตูนคณิตศาสตรแ์ นว
สะเตม็ ศึกษา เทคนคิ KWDL บางเลม่ ใชเ้ วลาในการจดั กจิ กรรมนาน เพราะนักเรียนแต่ละคนมีความสามารถใน
การคิดคำนวณและทำความเข้าใจโจทย์แตกต่างกนั ครคู วรยดื หย่นุ เรอื่ งเวลา และคอยให้กำลงั ใจ ให้คำแนะนำ
19
อยา่ งใกลช้ ิด กระตนุ้ ใหน้ ักเรยี นทำจนสำเรจ็ โดยการเสริมแรงในลักษณะต่างๆ เพื่อใหน้ ักเรียนประสบผลสำเร็จ
ในการเรยี น
2 .ข้อเสนอแนะในการวิจยั ครั้งตอ่ ไป
ควรมีการศึกษาการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้บทเรียนการ์ตนู คณติ ศาสตร์แนวสะเต็มศึกษา เทคนคิ
KWDLในระดับช้นั อ่นื ๆ ควรมกี ารศึกษาต่อไปว่า นักเรียนทไ่ี ด้รบั การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้บทเรียน
การ์ตนู คณิตศาสตรแ์ นวสะเต็มศึกษา เทคนิค KWDLจะสามารถนำความรู้ไปประยกุ ต์ใช้กับการแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ในระดับสงู ข้นึ หรือไม่ และควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรยี น
การต์ ูนคณิตศาสตร์แนวสะเต็มศกึ ษา เทคนิค KWDL เพื่อส่งเสรมิ ความสามารถของผเู้ รยี นตามมาตรฐานการ
เรยี นร้คู ณิตศาสตร์ทางด้านทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ใหค้ รบทกุ ขอ้ ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551
รายการอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธกิ าร.(2551) หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช 2551.
กรงุ เทพมหานคร : กระทรงศึกษาธิการ
กาญจนา วัฒายุ การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ธนพรการพิมพ์, 2544
กำจัด มงคลกุล.(2545). ยทุ ธศาสตรช์ าตใิ นการสร้างความตระหนกั ดา้ นวิทยาศาสตร์ สถานภาพและ
เขม็ ทศิ สำหรบั ประเทศไทย.วารสารวทิ ยาศาสตร์.60(4):290-292
ธีระชยั ปรู ณโชติ. (2539). การสรา้ งบทเรียนสำเรจ็ รปู เส้นทางสู่อาจารย์3. พมิ พ์ครั้งที่3. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
พรพรรษา เช้อื วรี ะชน. (2553). การพฒั นาแบบฝกึ ทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เร่อื ง โจทย์ปญั หา เศษส่วน
สำหรบั นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธก์ ารศึกษามหาบณั ฑิต, สาขาวจิ ยั และ
ประเมินผลการศึกษา (วิจัยและพัฒนาการศึกษา), บัณฑติ วิทยาลัย, มหาวทิ ยาลัยนเรศวร.
สมหญงิ กลนั่ ศิริ. (2521). โสตทัศนศึกษาเบ้อื งต้น.นครปฐม : มหาวิทยาลยั ศิลปากร
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2551). ตวั อยา่ งการประเมินผลวิทยาศาสตร์
นานาชาต:ิ PISA และ TIMSS. กรงุ เทพฯ: อรณุ การพิมพ.์
อภิสิทธ์ิ ธงไชย.( 2556). สะเตม็ ศกึ ษากับการพัฒนาการศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วศิ วกรรมศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตรใ์ นประเทศสหรฐั อเมรกิ า. สมาคมครู วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
และเทคโนโลยีแหง่ ประเทศไทย, 19(มกราคม– ธนั วาคม 2556), 15 – 18.
อลิศรา ชูชาติ.(2549). นวัตกรรมการจดั การเรยี นรู้ตาม แนวปฏิรปู การศกึ ษา. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
20
21
ช่อื งานวจิ ัย : การจัดการเรยี นรูด้ ้วยโมเดล CIPPA ร่วมกบั แนวคิดการสร้างแรงจงู ใจ เพอื่ พัฒนา
ผลสมั ฤทธแิ์ ละแรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธ์ิต่อวิชาภาษาฝรั่งเศส ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5
ผวู้ จิ ยั : ชวี นั สนั ธิ
บทคัดยอ่
การศกึ ษาในครั้งน้มี วี ตั ถุประสงค์ เพือ่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส ก่อนและหลัง
การจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ เพ่ือเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อวชิ า
ภาษาฝร่ังเศส ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ และเพ่ือศึกษา
ความพึงพอใจของนักเรยี นต่อการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ ประชากรท่ีใช้
ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย จำนวน 36
คน เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการศึกษา ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรยี นรู้วิชาภาษาฝรั่งเศส ด้วยโมเดล CIPPA รว่ มกบั แนวคิดการ
สร้างแรงจูงใจ จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์รายวิชาภาษาฝรั่งเศสพ้ืนฐาน 4 แบบวัดแรงจูงใจใฝ่
สมั ฤทธ์ติ ่อวิชาภาษาฝรั่งเศสพ้ืนฐาน 4 และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นการสอน วิเคราะห์ขอ้ มูล
โดยการหารอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษา พบวา่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวิชาภาษาฝร่ังเศสของนักเรยี น หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น โดย
ก่อนเรียนมีคะแนนในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 47.33 และหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 70.50 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อ
วิชาภาษาฝรั่งเศส หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียน โดยกอ่ นเรยี นมีคะแนนเฉลี่ย 3.75 และหลังเรียนมคี ะแนนเฉล่ีย 4.12
อยใู่ นระดบั มาก ความพงึ พอใจของนกั เรยี นตอ่ การจัดการเรยี นรู้ มีคา่ เฉลีย่ 4.28 อยู่ในระดับมาก
คำสำคญั : โมเดล CIPPA ;แรงจูงใจ; ภาษาฝรง่ั เศส
บทนำ
การเรียนภาษาต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนท่ีควรได้รับการส่งเสริม เนื่องจากเป็นเคร่ืองมือสำคัญใน
การติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพ และก้าวสู่การเป็นพลเมืองโลก (กรมวชิ าการ,
2545) ภาษาฝรั่งเศสถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้เรียนและสามารถส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศได้
เช่นกัน เน่ืองจากภาษาฝรั่งเศสเป็นอีกหน่ึงภาษาที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกทวีป เป็นภาษาทางการเมืองและการ
ทูตของโลก จึงทำให้ภาษาฝร่ังเศสได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ดังที่ชิณภัทร ภูมิรัตน (2556) อดีตเลขาธิการ
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้กล่าวถึงนโยบายการสอนภาษาตะวันตกและบทบาทของภาษาฝร่ังเศสใน
ระบบการศึกษาไทยไว้ว่า ความสำคัญของภาษาฝรั่งเศสมีแต่จะเพ่ิมมากข้ึน เพราะว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษา
22
ราชการของประเทศต่าง ๆ ทว่ั โลก จำนวน 29 ประเทศ เปน็ ภาษาที่มีคนพูดมากทสี่ ุดเป็นอันดบั 3 แสดงให้เหน็ ว่า
มแี นวโนม้ ทค่ี นจะพูดภาษาฝรั่งเศสมากขน้ึ
อย่างไรก็ตามจากกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้ภาษาฝร่ังเศสถูกมองข้าม จำนวนโรงเรยี นท่ีเปิด
สอนวิชาภาษาฝร่ังเศส จำนวน 293 โรงเรียน เหลือเพียง 213 โรงเรียน ส่วนจำนวนนักเรียนจากที่เคยมีกว่า
40,000 คน เหลือเพยี ง 26,782 คน (จงกล สุภเวชย์, 2560) สบื เนื่องจากความหลากหลายในการจดั การเรยี นการ
สอนวิชาภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อประเทศไทย อาทิ ภาษาจีน ภาษาญ่ีปุ่น ภาษาเกาหลี ฯลฯ
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ได้ส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาฝร่ังเศสอย่างแท้จริง โดยทุ่มเม็ดเงินสนับสนุนการสอน
ภาษาองั กฤษ ภาษาจีนและการสอนวิชาวิทยาศาสตรแ์ ทน (ธีรเกยี รติ เจริญเศรษฐศิลป์, 2560) ด้วยมองวา่ เป็นวิชา
ทส่ี ำคัญและมคี วามหมายตอ่ อนาคตของประเทศไทย ทำใหภ้ าษาฝรงั่ เศสถกู ลดทอนความสำคัญลงไป
จากสถานการณ์การเรียนการสอนภาษาฝร่ังเศสปัจจุบันส่งผลต่อผู้เรียนโดยตรง โดยผลสัมฤทธ์ิทางการ
สอบวัดระดับความรู้ภาษาฝรั่งเศสของนักเรียนโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์จังหวัดเชียงราย มีค่าคะแนนเฉล่ีย
อย่ทู ่ี 68.47 คะแนน ซงึ่ ต่ำกว่าเป้าหมายท่ีตั้งเอาไว้คือ 70.00 คะแนน (กล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศท่ี 2
โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์, 2560) และผลการสำรวจนักเรียนแผนการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ-ฝร่ังเศส ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ฝร่ังเศส พบว่านักเรียนกว่าร้อยละ 50 ในเบื้องต้นไม่ได้
เลือกเรียนวิชาภาษาฝร่ังเศสเป็นอันดับแรก และกว่าร้อยละ 20 ไม่ได้เลือกเรียนวิชาภาษาฝร่ังเศส เนื่องจากไม่
สามารถสอบได้ในแผนการเรยี นท่ีตนต้องการจึงจำใจตอ้ งเรยี นวิชาภาษาฝรั่งเศส ทำให้ผู้เรียนกลมุ่ นี้ขาดแรงจูงใจใน
การเรียน ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และจากบันทึกหลังการสอนของผู้วิจัย ได้พบว่าผู้เรียน
มกั จะแสดงออกถึงท่าทีเบื่อหน่ายในการเรียน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ซ่ึงวัดได้จาก
แบบผลการเรียนของนักเรียน จากปัญหาท่ีพบในเบื้องต้นนำไปสู่ความยากลำบากในการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน
แนวทางหนึ่งทจ่ี ะสามารถนำมาแก้ปัญหาดังกล่าวได้ คอื แนวคิดการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลางด้วยโมเดล CIPPA ท่ีเสนอโดย ทิศนา แขมมณี (2556: 282) ซ่ึงเป็นการจัดการเรียนการสอนด้วย
กิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆหรือบุคคล
อืน่ ๆ รวมทั้งอาศัยกระบวนการตา่ งๆมากมาย เป็นเครื่องมอื ในการสรา้ งความรู้ เป็นการจัดการเรยี นการสอนในเชิง
รุกไม่ให้ผู้เรียนเกิดอาการเฉ่ือยชา เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construction of knowledge) ซึ่งครู
สามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์เพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะ
กระบวนการต่าง ๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละข้ันตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำ
กจิ กรรมหลากหลายท่ีมีลักษณะให้ผู้เรียนได้มกี ารเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม
อย่างเหมาะสมอันช่วยให้ผู้เรียนต่ืนตัว (active) สามารถรับรู้และเรียนรู้ได้อย่างดี โดยนำกิจกรรมที่มีการ
เคลอื่ นไหวทางร่างกายเขา้ มาชว่ ยอยา่ งเหมาะสม ถือเป็นกิจกรรมการสอนทช่ี ว่ ยให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี เรียนรู้
23
อย่างมีความหมาย มีความลึกซึ้งและคงทนมากยิ่งขึ้นหากได้มีการนำเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
เช่นเดียวกับ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2551) ยังได้กล่าวอีกว่า การสอนโดยเน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ จะช่วยพัฒนาผู้เรียน
ในทุกดา้ น ท้ังด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ท้งั ด้านความรู้ทักษะ และเจตคติ (ลกั ษณะนิสัย) และท้ังด้าน
IQ (Intelligence Quotient) และด้าน EQ (Emotional Quotient) ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็น คนเก่ง คนดีและมี
ความสขุ ตามเปา้ หมายการจดั การศึกษาในปัจจุบนั
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เรียนขาดแรงจูงใจทางการเรียน ขาดความกระตือรือร้นในการเรียนภาษาฝร่ังเศส ครู
จึงควรเพิ่มเติมกิจกรรมท่ีเน้นการเสริมสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสตามทฤษฎีความ
ต้องการของ Maslow (1962) นักคิดกลุ่มมนุษยนิยม ท่ีให้ความสำคัญของการเป็นมนุษย์ โดยมนุษย์จะพยายาม
พัฒนาตนเองไปสูค่ วามเปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ์ ตามต้องการพ้นื ฐานตามธรรมชาติเป็นลำดับขัน้ คอื ขั้นความต้องการ
ทางร่างกาย (physical need) ข้ันความต้องการความมั่นคงปลอดภัย(safety need) ข้ันความต้องการความรัก
(love need) ขน้ั ความตอ้ งการยอมรับของตนอย่างเต็มที่ (self-actualization) หากความต้องการขั้นพ้ืนฐานดีรับ
การตอบสนองอยา่ งพอเพียงสำหรับตนในแตล่ ะขนั้ มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนไปสขู่ ้นั ท่ีสงู ข้ึน สอดคลอ้ งกับ ปรยี า
พร วงค์อนุตรโรจน์ (2551 : 236) ท่ีได้สรุปแนวทางการจัดการเรียนรู้ของแมคเคลแลนด์มาใช้ในการพัฒนา
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิให้กับผู้เรียน โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เห็นผลดีของการมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง จัดให้ผู้เรียน
เข้าใจถึงวิธีคิด พูด และทำ โดยการสัมภาษณ์พบปะพูดคุยกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จัดให้
ผู้เรียนสังเกตวิธีการทำงานโดยเปรียบเทียบกับตนเอง โดยมีครูให้กำลังใจ ให้การเสริมแรง เช่นเดียวกับ Roger
(1969, อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี, 2556) ซึ่งได้กล่าวว่า มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้ดีหากอยู่ในสภาพการณ์
ท่ีผ่อนคลายและเป็นอิสระ การจัดบรรยากาศการเรียนท่ีผ่อนคลายและเอ้ือต่อการเรียนรู้ (supportive
atmosphere) และเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (student-centered teaching)โดยครูใช้วิธีการสอนแบบชี้แนะ
(non-directive )และทำหน้าท่ีอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน (facilitator) เน้นกระบวนการ
(process learning) เป็นหลักในการจัดการเรียนการสอนเพื่อผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยครูทำหน้าท่ีคอยกระตุ้นและ
อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ ดังนั้นแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ หรือแรงผลักดันให้บุคคลนำพาตนเองไปสู่
ความสำเร็จหรือบรรลุเป้าหมายไว้ จึงเป็นส่ิงท่ีครูผู้สอนควรคำนึงถึง เพ่ือเสริมสร้างแรงจูงใจในตัวผู้เรียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันให้ผู้เรยี นเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ ซึ่งเป็นแรงจูงใจในตนเองที่จะทำให้บุคคลประสบ
ความสำเรจ็ ได้ในที่สุด นอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์ิแลว้ ยังทำให้ผู้เรียนมีความสุข เกดิ ความพึง
พอใจต่อการเรียน สอดคล้องกับ พัทธรพี โสดาจันทร์ (2555) ที่ได้ทำการศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่าน
ภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยใช้ CIPPA MODEL ผ่านกระบวนการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการ ผลปรากฏว่า . นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึนตาม
รูปแบบ CIPPA อยใู่ นระดับมาก ( = 4.08, S.D. = 0.14)
24
เพื่อเป็นการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาฝร่ังเศส รายวิชาวิชาภาษาฝร่ังเศสพ้ืนฐาน 4 ให้
สูงขึ้นแล้ว รวมถึงให้ผู้เรียนเกดิ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธติ์ ่อวิชาภาษาฝรั่งเศส ผู้วิจัยจึงได้จัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA
ซ่ึงพัฒนาโดยอาจารย์ทิศนา แขมมณี ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจอีก 5 แนวคิดซ่ึงผู้วิจัยได้วิเคราะห์และ
นำเอาแนวคิดเหล่าน้ีเพิ่มเติมในแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมและน่าสนใจ โดยผู้เรียนคือนักเรียน
ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้องท่ี 9 แผนการเรียนภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัด
เชียงราย จำนวน 36 คน ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2561 เพื่อในนักเรียนกลุ่มดังกล่าวมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ที่สูงขึ้นและมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อวิชาภาษาฝรั่งเศสมากย่ิงข้ึน ตลอดจนเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ให้กับคณะครูผู้สอนวิชาภาษาฝรั่งเศส หรือวิชาอ่ืนๆที่สนใจ สามารถนำรูปแบบการสอนดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อ
พฒั นาผเู้ รียนต่อไป
วตั ถุประสงค์การวิจัย
1. เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาภาษาฝรัง่ เศส ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนร้ดู ้วย
โมเดล CIPPA
ร่วมกับแนวคดิ การสร้างแรงจูงใจ
2. เพ่อื เปรยี บเทียบแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อวชิ าภาษาฝรง่ั เศสท้ัง 4 ทักษะ (ฟงั พูด อา่ น เขียน) ก่อนและหลงั
การจดั กจิ กรรม
การเรียนรู้ดว้ ยโมเดล CIPPA ร่วมกบั แนวคดิ การสร้างแรงจูงใจ
3. เพอื่ ศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรียนต่อการจดั การเรียนรดู้ ว้ ยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคดิ การสร้าง
แรงจูงใจ
ขอบเขตการวิจัย
ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ห้องท่ี 9 แผนการเรียน
ภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย จำนวน 36 คน โดยมีตัวแปรท่ีศึกษา
ได้แก่ ตัวแปรอิสระ คือ การจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ตัวแปร
ตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์ิในวชิ าภาษาฝร่ังเศส และ ความพึงพอใจต่อ
การจัดการเรียนรดู้ ว้ ยโมเดล CIPPA รว่ มกับแนวคดิ การสรา้ งแรงจงู ใจ
เนื้อหาในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ เน้ือหาวิชาภาษาฝรั่งเศสพื้นฐาน 3 รหัสวิชา ฝ31233 ตามหลักสูตร
สถานศึกษาโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เร่ือง le sport le vêtement, les
25
couses และ les vacances โดยมี ระยะเวลาในการวิจัยครงั้ น้ี คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 มีแผนการ
จดั การเรยี นรู้ 8 แผน ใชเ้ วลาในการทดลองสอน จำนวน 20 ชวั่ โมง
วิธดี ำเนินการวิจยั
การวิจัยคร้งั น้ีเป็นการวิจัยเพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาภาษาฝรั่งเศสและแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธิ์ต่อ
การเรียนวิชาภาษาฝร่ังเศส ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับ
แนวคิดการสรา้ งแรงจูงใจ โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวดั เชียงราย การวิจัยครั้งน้ีเปน็ การทดลองแบบกลุ่ม
เดี่ยว เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ใช้แผนแบบ One Group Pretest-Posttest Design (นพพร ธนะชัยขันธ์, 2549 :
14) ซงึ่ สามารถเขยี นเป็นแผนภาพการวิจยั ดงั นี้
o1 X o2
x แทน การจดั การเรยี นรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกบั แนวคดิ การสรา้ งแรงจูงใจ
o1 แทน การทดสอบกอ่ นเรยี น (pretest)
o2 แทน การทดสอบหลงั เรียน (posttest)
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวจิ ัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 แผนการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ-ฝร่ังเศส
โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ หอ้ ง ม.5.9 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2561 จำนวน 36 คน
เครอื่ งมือวจิ ยั
ในการดำเนินการวจิ ยั คร้งั น้ผี ู้วิจยั ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากร โดยใชเ้ คร่อื งมือท่ผี ู้วจิ ัยสร้างขน้ึ ดงั นี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาฝรั่งเศส ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ
เพือ่ พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิและแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธ์ิต่อวชิ าภาษาฝรง่ั เศส จำนวน 8 แผน โดยผู้วิจยั เป็นผูส้ ร้าง โดยศึกษา
กรอบเน้อื หาความรู้ตามตัวช้ีวัดของการวดั ผลสัมฤทธ์ิความรูแ้ ละทักษะภาษาฝรั่งเศสของมาตรฐานยุโรป การสรา้ ง
การจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ ท่ีสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม บริบทของ
ท้องถิ่น และความพร้อมของโรงเรียน ตลอดจนความต้องการและความสนใจของผู้เรียน ศึกษาและวิเคราะห์
แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจจากนักจิตวิทยาการศึกษาและนักทฤษฏีการศึกษา เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา
26
วทิ ยานิพนธ์และผูเ้ ช่ียวชาญดา้ นการสอนภาษาฝรั่งเศสจำนวน 3 ทา่ น พิจารณาความถูกต้องและเหมาะสม แล้วจึง
ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำจนมคี วามสมบูรณ์
2. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นรายวิชาวิชาภาษาฝรัง่ เศสพื้นฐาน 4 ชนั้ มธั ยมศึกษาปี
ที่ 5 ที่ผ้วู ิจัยได้สร้างข้นึ โดยผู้วิจัยได้ศกึ ษาเน้อื หาทีใ่ ชส้ ร้างแบบทดสอบจากเน้ือหาจากหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน สาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ (ภาษาฝร่ังเศส) พร้อมท้ังศึกษากรอบมาตรฐานความรู้
ตามกรอบสภามาตรฐานยโุ รป (CECRL) แลว้ เสนอให้อาจารย์ทีป่ รึกษาวทิ ยานิพนธ์พจิ ารณาให้ข้อเสนอแนะและ
ปรบั ปรงุ แก้ไขแลว้ จึงนำไปให้ผเู้ ช่ยี วชาญดา้ นการสอนภาษาฝรง่ั เศสจำนวน 3 ทา่ นพจิ ารณาความถูกต้องเหมาะสม
แล้วจึงปรบั ปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำของผเู้ ช่ียวชาญจนแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นรายวิชาวิชาภาษา
ฝรง่ั เศสพ้ืนฐาน 4 ก่อนเรยี นและหลงั เรียน มคี วามสมบรู ณ์ โดยแบบทดสอบฉบับนี้มีจำนวน มจี ำนวน 4 ตอน
ได้แก่
ตอนท่ี 1 เป็นข้อสอบแบบปรนยั (เลือกตอบแบบ 4 ตวั เลือก) จำนวน 30 ขอ้ จำนวน 30
คะแนน
ตอนที่ 2 เปน็ ข้อสอบแบบปรนยั (เติมคำ) จำนวน 10 ข้อ จำนวน 10 คะแนน
ตอนท่ี 3 เป็นข้อสอบอัตนัย (แตง่ ประโยค 5 ข้อ) จำนวน 5 คะแนน
ตอนท่ี 4 เปน็ ข้อสอบอัตนัย (เขยี นโปสการด์ 1 ขอ้ ) จำนวน 5 คะแนน
3. แบบวดั แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อวชิ าภาษาฝรง่ั เศสพ้นื ฐาน 4 ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีผู้วจิ ยั
สรา้ งขน้ึ แลว้ เสนอให้อาจารย์ทป่ี รึกษาวทิ ยานพิ นธ์พิจารณาให้ข้อเสนอแนะและปรับปรุงแก้ไขแล้ว โดยใชเ้ กณฑ์
การประเมินความเที่ยงตรงเชิง
เนอื้ หา (IOC) โดยใชแ้ บบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 15 ข้อ ตามรปู แบบของ Likert 5 ระดับ
ดงั นี้
5 คะแนน หมายถงึ ระดบั แรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์มิ ากท่สี ุด
4 คะแนน หมายถึง ระดบั แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธมิ์ าก
3 คะแนน หมายถึง ระดบั แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธปิ์ านกลาง
2 คะแนน หมายถงึ ระดับแรงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธนิ์ ้อย
1 คะแนน หมายถึง ระดับแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์นิ ้อยท่ีสดุ
4. แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนการสอนดว้ ยโมเดล CIPPA รว่ มกับแนวคิดการ
สรา้ งแรงจูงใจ
สำหรบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ทผี่ วู้ จิ ยั สร้างข้นึ แลว้ เสนอใหอ้ าจารย์ทป่ี รึกษาวิทยานพิ นธ์พิจารณาให้
ข้อเสนอแนะและปรับปรงุ แก้ไขแล้ว โดยใช้เกณฑ์การประเมินความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (IOC) โดยใชแ้ บบมาตรา
สว่ นประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 15 ขอ้ ตามรปู แบบของ Likert 5 ระดับ ดงั น้ี
27
5 คะแนน หมายถึง มรี ะดับความพงึ พอใจมากท่ีสุด
4 คะแนน หมายถงึ มีระดับความพึงพอใจมาก
3 คะแนน หมายถึง มรี ะดบั ความพงึ พอใจปานกลาง
2 คะแนน หมายถึง มรี ะดับความพึงพอใจนอ้ ย
1 คะแนน หมายถงึ มรี ะดบั ความพงึ พอใจนอ้ ยท่สี ุด
การเก็บรวบรวมข้อมลู
การวจิ ัยครัง้ นผ้ี ู้วิจยั ไดด้ ำเนนิ การทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู ตามข้นั ตอนดงั นี้
1. ทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศสของนักเรียนก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วย
โมเดล CIPPA รว่ มกับแนวคิดการสรา้ งแรงจูงใจ เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ติ ่อวิชาภาษาฝรงั่ เศส
ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาภาษาฝรง่ั เศสพื้นฐาน 4
2. ทดสอบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อวิชาภาษาฝร่ังเศสของนักเรียน กอ่ นการจัดการเรียนร้ดู ้วยโมเดล
CIPPA ร่วมกับแนวคดิ การสร้างแรงจงู ใจ เพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธแ์ิ ละแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธ์ติ ่อวชิ าภาษาฝรงั่ เศส
3. ดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับร่วมกับแนวคิดการสร้าง
แรงจูงใจ เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อวิชาภาษาฝรั่งเศส ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561
จำนวน 8 แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเวลา 20 ชั่วโมง
4. ทดสอบผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาฝรั่งเศสของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA
รว่ มกบั แนวคิดการสรา้ งแรงจงู ใจ เพอ่ื พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิและแรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธติ์ อ่ วิชาภาษาฝรง่ั เศส
5. ศึกษาแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อวิชาภาษาฝร่ังเศสของนักเรียน หลังการใช้โมเดล CIPPA ร่วมกับ
แนวคดิ การสร้างแรงจงู ใจ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์แิ ละแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธิ์ตอ่ วิชาภาษาฝรง่ั เศส
6. ศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับร่วมกับแนวคิดการสร้าง
แรงจูงใจ เพ่อื พฒั นาผลสัมฤทธแิ์ ละแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์ติ อ่ วชิ าภาษาฝรงั่ เศส ภายหลังการจดั การเรยี นรู้
7. นำขอ้ มูลที่ได้มาวิเคราะหด์ ว้ ยวธิ กี ารทางสถิติ
การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสถติ ิทีใ่ ช้
การวจิ ยั ครง้ั น้ี ผวู้ จิ ยั ได้นำข้อมลู ตา่ งๆ มาวิเคราะห์และดำเนนิ การ โดยใช้โปรแกรม Exel โดยมรี ายละเอียด
ดงั น้ี
1. วเิ คราะห์ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นโดยนำผลต่างระหวา่ งคะแนนจากการทดสอบ
ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจดั การเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA รว่ มกับแนวคดิ การสร้างแรงจงู ใจ เพื่อพฒั นา
28
ผลสมั ฤทธิ์และแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธิ์ต่อวชิ าภาษาฝร่งั เศส สำหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 โดยหาคา่ รอ้ ยละ
คา่ เฉลี่ย และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
2. วเิ คราะหผ์ ลการเปรยี บเทียบของแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธ์โิ ดยนำผลต่างระหวา่ งคะแนนจากการวดั แรงจงู ใจ
ใฝ่สมั ฤทธ์ติ ่อวิชาภาษาฝรั่งเศส ก่อนและหลงั จากการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสรา้ ง
แรงจงู ใจ เพ่ือพัฒนาผลสมั ฤทธิแ์ ละแรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิต์ อ่ วิชาภาษาฝรั่งเศส สำหรบั นักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5
โดยหาคา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
3. วิเคราะห์ผลความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ
สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โดยหาคา่ เฉล่ยี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย
ผลของการวิจัย เร่ือง การจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ เพ่ือพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์และแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธต์ิ ่อวชิ าภาษาฝรั่งเศส สำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 มีข้อสรุปผลดงั น้ี
1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาภาษาฝร่ังเศส ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
โมเดล CIPPA รว่ มกบั แนวคิดการสร้างแรงจงู ใจ พบวา่ ค่าเฉล่ียของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาฝรง่ั เศสก่อน
เรยี นเทา่ กับ 23.67 หลังเรยี นมีค่าเฉล่ียเท่ากบั 35.25 จึงสรปุ ได้ว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ าภาษาฝรง่ั เศสหลัง
การจัดกิจกรรมการเรียนรดู้ ้วยโมเดล CIPPA รว่ มกับแนวคดิ การสรา้ งแรงจูงใจ สงู กว่าก่อนเรียน
ตาราง 1: การเปรยี บเทียบคะแนนผลสมั ฤทธว์ิ ิชาภาษาฝร่ังเศส 4 ก่อนและหลังเรียนของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี
ที่ 5
จากการจัดการเรียนรู้ ดว้ ยโมเดล CIPPA ร่วมกบั แนวคิดการสร้างแรงจงู ใจต่อวชิ าภาษาฝรง่ั เศส
ประชากร N
กอ่ นเรียน 36 23.67 8.02
หลังเรียน 36 35.25 6.31
จากตาราง 1 พบวา่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าภาษาฝรง่ั เศส หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี น โดยกอ่ นเรียน
มีคา่ เฉลี่ย รอ้ ยละ 47.33 หลงั เรยี นมีคา่ เฉล่ีย ร้อยละ 70.50 โดยกอ่ นเรยี นมีนกั เรียนที่ได้คะแนนต่ำกวา่ รอ้ ยละ
50 จำนวน 22 คน และหลังเรียนพบว่าไม่มีนกั เรียนท่ีได้คะแนนตำ่ กว่ารอ้ ยละ 50
29
2. ผลการเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อวิชาภาษาฝรั่งเศส ก่อนเรียนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ดว้ ยโมเดล CIPPA ร่วมกบั แนวคดิ การสร้างแรงจูงใจ พบว่าแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธติ์ ่อวชิ าภาษาฝร่ังเศสของนักเรยี นช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.75 อยู่ในระดับมาก และหลัง
เรยี นมคี ะแนนเฉลยี่ อยทู่ ี่ 4.12 อยูใ่ นระดบั มาก
ตาราง 2: เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธติ์ อ่ วิชาภาษาฝรง่ั เศส
กอ่ นและหลังการจัดการเรยี นรู้
รวม ก่อนเรยี น หลังเรียน
คะแนน 74.94 82.44
3.75 4.12
0.82 0.69
ระดบั มาก มาก
จากตาราง 2 คา่ เฉลี่ยของแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธติ์ ่อวชิ าภาษาฝรั่งเศสกอ่ นการจัดการเรยี นรู้ มีค่าเฉล่ีย 3.75
อยู่ในระดบั มาก และมีค่าเฉล่ียส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานอย่ทู ่ี 0.82 และค่าเฉล่ียของแรงจูงใจใฝส่ ัมฤทธติ์ ่อวิชาภาษา
ฝรงั่ เศสหลังการจดั การเรยี นรู้ มคี า่ เฉลี่ย 4.12 อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.69
3. ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่
4 .1 6
อยู่ในระดบั มาก
ตาราง 3: คา่ เฉล่ียและสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานความพึงพอใจของนักเรยี นต่อการจัดการเรียนรูด้ ว้ ยโมเดล CIPPA
รว่ มกับแนวคดิ การสร้างแรงจงู ใจ เพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธ์แิ ละแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธิต์ อ่ วิชาภาษาฝรั่งเศส
รายการประเมิน ระดบั ความพึงพอใจ
ด้านกจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.23 0.67 พงึ พอใจมาก
ดา้ นครู 4.45 0.61 พึงพอใจมาก
ผลท่นี ักเรยี นได้รับ 4.16 0.64 พงึ พอใจมาก
รวมคะแนนประเมนิ 4.28 0.64 พึงพอใจมาก
จากตาราง 3 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนตอ่ การจัดการเรยี นรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคดิ การ
สร้างแรงจูงใจเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อวิชาภาษาฝรั่งเศส มีค่าเฉล่ีย 4.28 มีความพึงพอใจ
อยู่ในระดับมาก ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านครู มีค่าเฉลี่ย 4.45 และด้านท่ีมีค่าเฉล่ียน้อยท่ีสุดคือด้านผลที่
นกั เรยี นได้รบั มคี ่าเฉล่ีย 4.16
30
สรุปผลและอภิปรายผลการวิจัย
ผลของการวิจัย เร่ืองการจัดการเรียนรู้ด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ เพ่ือพัฒนา
ผลสัมฤทธิ์และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ตอ่ วชิ าภาษาฝร่ังเศส สำหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ได้ผลการวิจัยเป็นไป
ตามสมมุติฐานท่ตี ัง้ ไว้ ผวู้ ิจยั เสนอการอภปิ รายผลดังต่อไปน้ี
1. นักเรียนแผนการเรียนภาษาฝรง่ั เศสที่ไดร้ ับการสอนด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ มี
ค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาฝร่ังเศสสูงกว่าก่อนเรียน เนื่องด้วยการสอนด้วยโมเดล CIPPA เป็น
การจัดการเรียนการสอนในลักษณะท่ีให้ผู้เรยี นเป็นผู้สร้างความรดู้ ้วยตนเอง ประกอบด้วยการประสาน 5 แนวคิด
ได้แก่ 1) แนวคิดการสร้างความรู้ 2)แนวคิดเก่ียวกับกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3) แนวคิด
เกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ 4) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้และกระบวนการ 5) แนวคิดเก่ียวกับการถ่ายโอน
การเรียนรู้ ประกอบด้วยข้ันตอนการดำเนินการ 7 ข้ันตอนโดยเร่ิมจากข้ันที่ 1) การทบทวนความรู้เดิม : เป็น
การดึงความรูเ้ ดิมของผู้เรียนในเร่อื งที่จะเรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชอ่ื มโยงความร้ใู หม่กับความรู้
เดิมของตนซ่ึงผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ขั้นท่ี 2) การแสวงหาความรู้ใหม่ : เป็นการ
แสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซ่ึงครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือ
คำแนะนำเก่ียวกับแหล่งข้อมูลต่างๆเพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาได้ ข้ันที่ 3) การศึกษาความเข้าใจข้อมูลใหม่และ
เช่ือมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม : เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล หรือความรู้ท่ีหามา
ได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล รวมถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง
เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเก่ียวกับข้อมูลนั้น ๆ ซ่ึง
จ ำ เป็ น ต้ อ ง อ า ศั ย ก า ร เชื่ อ ม โ ย ง กั บ ค ว า ม รู้ เดิ ม ขั้ น ที่ 4 ) ก า ร แ ล ก เป ล่ี ย น ค ว า ม รู้
ความเข้าใจกับกลุ่ม : เป็นข้ันท่ีผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนรวมท้ัง
ขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความร้คู วามเขา้ ใจของตนแก่ผู้อื่น และ
ได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน ขั้นที่ 5) การสรุปและจัดระเบียบความรู้ : เป็น
ขั้นของการสรุปที่ได้รับทั้งหมด ท้ังความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และจัดส่ิงท่ีเรียนให้เป็นระบบระเบียบเพ่ือช่วยให้
ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ข้ันท่ี 6) การปฏิบัติหรือการแสดงผลงาน : เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาส
แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนใหผ้ ู้อืน่ รบั รู้ เป็นการชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้ตอกย้ำหรอื ตรวจสอบความเขา้ ใจของตน
แล ะช่ วย ส่ งเส ริม ให้ ผู้ เรีย น ใช้ ค วาม คิ ด ส ร้างส รรค์ แ ต่ ห าก ต้ อ งมี ก ารป ฏิ บั ติ ต าม ข้ อ ค วาม รู้ที่ ได้
ข้ันน้ีจะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ข้ันท่ี 7) การประยุกต์ใช้ความรู้ : เป็นข้ันของการ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีหลากหลายเพื่อเพิ่มความ
ชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเร่อื งน้ัน ๆ
31
จากการจัดการเรียนรู้ดว้ ย โมเดล CIPPA ทั้ง 5 แนวคิดผ่าน 7 ข้นั ตอนการสอน จะทำให้ผเู้ รียนเกิดการพฒั นา
อย่างครบวงจร สอดคลอ้ งกบั ทิศนา แขมณี (2556: 284) ที่กล่าววา่ ผลที่ผู้เรียนจะได้รบั จากการเรียนตามรปู แบบ
ผเู้ รียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งท่ีเรียน สามารถอธิบาย ช้ีแจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากน้ันยงั ไดพ้ ัฒนาทักษะในการ
คดิ วิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทัง้ เกดิ ความใฝร่ ู้ด้วย ซ่ึงสอดคล้องกับงานวจิ ัย
ของ พัทธรพี โสดาจันทร์ (2555) ท่ีได้ทำการวิจัยในหัวข้อการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ CIPPA MODEL ผ่านกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ จากการทดลอง
พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5หลังเรียนตาม
รปู แบบ CIPPA สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .01 ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ดว้ ย โมเดล CIPPA
จงึ เป็นการจัดการเรียนรเู้ พ่อื ไปสกู่ ารเรยี นรเู้ ชิงรุก (Active Learning) ท่เี น้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ เป็นแนวคิดท่ีเน้นให้
ผู้เรียนเกิดการตื่นตัวในการเรียนรู้ ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์หรือเรียนรู้ในกิจกรรมอย่างหลากหลาย ซึ่งเน้น
การมีส่วนร่วมและเปิดโอกาสให้ได้ปฏิสัมพันธ์กับส่ิงรอบข้างหรือภายในตัวเอง ซ่ึงสามารถนำไปพัฒนาผู้เรียนได้
หลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้แบบคู่ แบบกลุ่ม หรือเป็นรายบุคคล ผู้สอนสามารถออกแบบจัดทำแผนการจัดการ
เรียนรู้เป็นรายหน่วยหรือรายชั่วโมง ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีตั้งไว้ โดยผู้สอนสามารถยืดหยุ่น ได้ตามความ
เหมาะสม เพื่อเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การจัดการเรียนการสอนด้วยโมเดล CIPPA จึงเป็นรูปแบบการสอนท่ียึด
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมีครูผู้สอนเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ ทำให้ผู้เรียนสามารถ
เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปแบบการสอนทค่ี รบวงจรตง้ั แต่กิจกรรมการทบทวนความรเู้ ดมิ ในข้นั แรกท่ีทำ
ให้นักเรียนได้เช่ือมโยงความรู้เก่าก่อนที่จะเริ่มการรับรู้ข้อมูลใหม่พร้อมกับทำให้นักเรียนตื่นตัว ไปจนถึงขั้นการ
แสดงผลงานหรือการประยุกต์ใช้ความรู้ ที่ทำให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้ในรูปแบบต่างๆอย่างสร้างสรรค์ ซ่ึง
แตกต่างจากการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบเก่าๆ ท่ีนักเรียนต้องเรียนรู้จากการอธิบายกฎไวยากรณ์ของครู จน
นักเรียนไม่สามารถโต้ตอบได้ ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ต่าง ๆ จนเกิดความเบ่ือหน่ายและ
ล้มเลิกความต้ังใจในการเรียนไปในที่สุด สว่ นการสอนด้วยโมเดล CIPPA น้ันเป็นการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทำ
ให้นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือซงึ่ กันและกัน นักเรยี นเก่งสามารถช่วยเหลอื นักเรียนท่ีอ่อน นักเรียนอ่อนกล้าท่ีจะถาม
เพ่ือนๆด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรมากข้ึนจากเพื่อนในกลุ่ม ทำให้นักเรียนทุกคนในช้ันเรียนสามารถเรียนรู้ทักษะท่ี
ครูสอนพร้อมๆกับการเรียนรู้การเข้าสังคม ผ่านสังคมจำลองท่ีครูได้จัดรูปแบบออกมาในแต่ละคร้ัง สอดคล้องกับ
ทิศนา แขมมณี (2556) ท่ีกล่าวว่า รูปแบบน้ีมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริง
โดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม เช่นเดียวกับ ดารนิ ทร์ ตนะทิพย์ (2545)
ท่ีได้ทำการศึกษา ผลของการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนซิปปา ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ทางภาษา ท่ีมี
ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและเจตคติ ต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ผลปรากฏว่า
คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน ท่ีได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนซิปปา ที่เน้น
กระบวนการเรียนรู้ทางภาษา สูงกว่านักเรียนท่ีได้รับการสอนตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
32
เช่นเดียวกับ เกรียงไกร ราวิชัย (2557) ที่ได้จัดกิจกรรมตามรูปแบบซิปปา (CIPPA Model) โดยใช้แบบฝึกทักษะ
การอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษเรื่อง Farm World สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ผลการวิจัยพบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมด้วยรูปแบบซิปปา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ
นักเรียนมคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดบั มาก
2. นักเรียนแผนการเรียนภาษาฝร่งั เศสท่ีไดร้ ับการสอนด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ มี
ค่าเฉล่ียของแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิต่อวิชาภาษาฝรั่งเศสสูงกว่าก่อนเรียน แม้ว่าการจัดการเรียนการสอนด้วยโมเดล
CIPPA เดิมจะสามารถส่งเสริมแรงจูงใจทางการเรียนของนักเรียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เน่ืองจากมีการเตรียมความ
พร้อมก่อนการเรียน มีการใช้กระบวนการกลุ่มและการเรียนแบบร่วมมือที่สามารถเสริมสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
ตามแนวคิดของทิศนา แขมณี (2556: 101) ที่กล่าวถึงผลดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือของ Johnson, Johnson
and Holubec ไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยให้ผ้เู รียนมีความพยายามที่จะเรียนรใู้ หบ้ รรลุเป้าหมาย เป็นผลทำ
ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน มีแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิ มีการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้
เหตผุ ลดขี ึ้น และคิดอย่างมวี ิจารณญาณมากข้ึน แนวคดิ การสร้างแรงจูงใจดงั กล่าวมกี ารเปดิ ทางใหค้ รูเสรมิ แรงบวก
นักเรียน แต่จะดีขึ้นหากมีการสอดแทรกแนวคิดการสร้างแรงจูงใจอย่างเป็นระบบในทุกๆข้ันตอนของการสอน
เช่น การกำหนดวัตถุประสงค์ทางการเรียนล่วงหน้า การคำนึงถึงความต้องการพื้นฐานของนักเรยี น การใชบ้ ทบาท
ของครูผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน การเสริมแรงบวก ตลอดจนการกำหนดภาระงานที่
เหมาะสม ท้าทายสำหรับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจทางการเรียน ช่วยผลักดันให้นักเรียนเกิดความพร้อม
สมาธิ ความสนใจ ตลอดจนสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ นำมาสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสูงขึ้นและมี
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิท่ีสูงตามไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับ เกียรติยศ จิตรโกศล (2559) ที่ได้ทำการศึกษาการเสริมสร้าง
แรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธ์ิในการเรียนวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี น
กาฬสินธ์พุ ิทยาสรรพ์ โดยการจัดการเรยี นร้แู บบรว่ มมอื ร่วมกับเครอื ข่ายสังคมออนไลน์ โดยแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิและ
คะแนนทดสอบความรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ท่ีได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยการจัดการเรียนรู้
แบบร่วมมือร่วมกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
เช่นเดียวกับ ณัฐติยา บุญวิรัตน์ (2555) ที่ได้ทำการศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือเพ่ือเสริมสร้าง
แรงจูงใจในการเรียนภาษาอังกฤษของนักศึกษามหาวิทยาลัย ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาที่ได้รับการสอนด้วย
กิจกรรมการเรยี นแบบร่วมมอื มแี รงจงู ใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี นโดยเปล่ยี นจากระดบั ปานกลางเปน็ ระดบั ดี
3. นักเรียนแผนการเรียนภาษาฝร่ังเศสท่ีไดร้ ับการสอนด้วยโมเดล CIPPA ร่วมกับแนวคิดการสร้างแรงจูงใจ มี
ค่าเฉล่ียของความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอน ในระดับมาก เป็นไปตามสมมุติฐานท่ีต้ังไว้ เน่ืองจาก
รปู แบบการสอนด้วยโมเดล CIPPA ตง้ั แตข่ ้ันท่ี 1-7 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ ซ่ึงครูสามารถจัดกจิ กรรม
ใหผ้ ู้เรียนมโี อกาสปฏิสมั พนั ธ์แลกเปลยี่ นเรียนรู้กัน และฝึกฝนทักษะกระบวนการตา่ งๆอย่างต่อเนอ่ื ง ช่วยให้ผูเ้ รียน
ได้มีการเคล่ือนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์และทางสังคมอย่างเหมาะสม อันช่วยให้ผู้เรียนตื่นตัวและ
33
เรียนรู้ได้เร็ว ดังน้ันการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CIPPA ร่วมกับการสร้างแรงจูงใจจึงทำให้นักเรียนมีความพึง
พอใจมากยิ่งขึ้น ดังงานวิจัยของ เทพประทาน มระกรณ์ (2554) ได้ทำการศึกษารายงานการใช้ชุดกิจกรรมการ
เรียนรู้ เพ่ือพัฒนาทักษะคําศัพท์และประโยคภาษาอังกฤษ ตามกระบวนการเรยี นการสอนรปู แบบ CIPPA สาํ หรับ
นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โดย ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยโมเดลดังกล่าว
สูงขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ วรินทร จันทรชิต (2557) ท่ีได้ทำการวิจัยในหัวข้อ
ผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปาพัฒนาทกั ษะการพดู ภาษาอังกฤษเพ่ือการสอ่ื สารของนักเรยี น
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ จากการทดลองพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการ
จัดการเรียนการสอนด้วยโมเดล CIPPA โดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉลี่ย 4.58 นอกจากน้ันผู้เรียนที่ได้รับ
การสอนด้วยโมเดล CIPPA ยังได้รับการเสริมแรงจากการทำกิจกรรมต่างๆในช้ันเรียน ทำให้เกิดความพึงพอใจต่อ
การจัดการเรียนรู้มากย่ิงข้ึน เน่ืองจากการเสริมแรงทางบวกเปน็ การเสรมิ แรงโดยให้สิ่งเร้าทีท่ ำให้เกิดความพึงพอใจ
ทำให้แนวโน้มในการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมมากข้ึน ตัวอย่างเช่น การกดคานของหนูขาว แล้วตามมาด้วย
อาหาร จะทำให้เกิดพฤติกรรมการกดคานข้ึนบอ่ ยคร้ัง อาหารจึงเป็นตัวเสริมแรงทางบวก (positive reinfocer) ท่ี
ทำให้มีพฤตกิ รรมเพิ่มข้ึน อกี ทั้งได้สอดแทรกเทคนิคการต้ังเป้าหมายทางการเรยี นล่วงหนา้ และมอบหมายชิ้นงานที่
ท้าทายความสามารถของผู้เรียน ทำให้นักเรียนเกิดแรงกระตุ้นและเม่ือสามารถทำสำเร็จได้ตามคาดก็จะเกิดความ
พึงพอใจตอ่ การเรียนมากข้นึ
ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะท่ัวไป
1. ในขั้นการทบทวนความรู้เดิม ครูผู้สอนควรเพ่ิมกิจกรรมท่ีทำให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย มาปรับใช้
เพ่ิมเติม เช่น กิจกรรมเกมที่หลากหลาย กิจกรรมกลุ่ม เป็นต้น เพ่ือเป็นการกระตุ้นกระบวนการเรียนรู้ท่ีดีให้แก่
นกั เรยี น
2. ควรนำผลการวิจัยไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิวิชาภาษาฝร่ังเศสและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
ต่อวชิ าภาษาฝรัง่ เศสใหไ้ ด้ผลมากย่ิงขนึ้
3. จากผลการวิจัยควรผลักดันกระบวนการต่างๆมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เช่น กระบวนการคิดอย่าง
สร้างสรรค์ กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิดเพ่ือแก้ปัญหา ฯลฯ มาออกแบบการจัดการเรยี นรู้ให้มาก
ขน้ึ
4. ควรสอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับคุณธรรมและจริยธรรมในแผนการจัดการเรียนรเู้ พ่ือให้ผู้เรียนไดเ้ กิดทกั ษะการ
เรียนรปู้ ระกอบกับไดข้ ้อคดิ และแนวทางในการดำเนนิ ชีวติ ท่ดี ี
34
ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครั้งตอ่ ไป
1. ควรมกี ารศกึ ษาผลการจัดการเรียนรดู้ ้วยโมเดล CIPPA เพ่ือพัฒนาทักษะทางการเขียนเชิงสร้างสรรค์
2. ควรมีการศึกษาผลการจดั การเรียนร้ดู ว้ ยโมเดล CIPPA เพอ่ื พฒั นาทักษะการอ่านภาษาฝรั่งเศสเพ่ือความ
เข้าใจ
3. ควรมีการศกึ ษาเทคนิคการสรา้ งแรงจูงใจทางการเรียนภาษาฝรง่ั เศสดว้ ยการจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมือ
เอกสารอา้ งอิง
กรมวชิ าการ. (2545). พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545.
กรุงเทพมหานคร : องคก์ ารรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พช์ มุ นุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
เกรยี งไกร ราวชิ ยั . (2557). การจดั กจิ กรรมตามรูปแบบซิปปา (CIPPA Model) โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะการอ่าน
คำศัพท์ ภาษาองั กฤษเร่ือง Farm World สำหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3. สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2560,
จาก http://www.kroobannok.com/board_view.php?b_id=129359&bcat_id=16
เกยี รตยิ ศ จติ รโกศล. (2559). การเสริมสรา้ งแรงจูงใจใฝ่สมั ฤทธใ์ิ นการเรยี นวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการ
ส่อื สาร ของนักเรียน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โรงเรยี นกาฬสินธ์พุ ิทยาสรรพ์ โดยการจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมือ
ร่วมกับเครือขา่ ยสังคมออนไลน์. (วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑติ ). มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั มหาสารคาม.
ครรชิต มนูญผล และคณะ. (2560). Active Learning สรา้ งคนดีแก่แผน่ ดิน วชิ าภาษาต่างประเทศ.
กรงุ เทพมหานคร :
อมรินทร์ บุ๊ค เซน็ เตอร์ จำกัด.
จงกล สุภเวชย.์ (2560). สรปุ จำนวนโรงเรยี นและนักเรยี นทเี่ รียนภาษาฝรั่งเศส ปี 2560.
ชณิ ภทั ร ภมู ิรัตน. (2556). นโยบายการสอนภาษาตะวันตกและบทบาทของภาษาฝรั่งเศสในบรบิ ทการศกึ ษาไทย.
สบื ค้นเมือ่ 21 กันยายน 2560, จาก http://www.atpf-
th.org/transcription_seminaire_2013_ATPF.pdf
ณัฐติยา บญุ วิรัตน.์ (2555-2556, ธันวาคม – พฤษภาคม). การใชก้ ิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือเพื่อเสริมสร้าง
แรงจูงใจทางการเรยี นภาษาอังกฤษของนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลัย. Feu Academic Review
เทพประทาน มระกรณ.์ (2555). รายงานการใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือพฒั นาทักษะคําศัพท์และประโยค
ภาษาอังกฤษ ตาม กระบวนการเรียนการสอนรปู แบบซิปปา (CIPPA MODEL) สาํ หรบั นักเรยี นชน้ั
ประถมศกึ ษาปี6 โรงเรียนบา้ นคลองพลู ประชาสรรค์. จังหวัดกำแพงเพชร. สืบค้นเมือ่ 5 ตลุ าคม 2560, จาก
www.kpp2.go.th
35
ทศิ นา แขมมณ.ี (2556). ศาสตร์การสอน. กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ธรี เกยี รติ เจริญเศรษฐศิลป์. (2560). แผนปฏบิ ตั กิ ารการขับเคลอ่ื นจดุ เนน้ เชงิ นโยบายรัฐมนตรวี ่าการ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.
สบื คน้ เม่ือ 4 กนั ยายน 2560, จาก
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=49146&Key=news20
นพพร ธนะชยั ขนั ธ์. (2557). สถติ ิเบอ้ื ตน้ สำหรับการวจิ ัย ฉบบั เสรมิ การวิเคราะหข์ ้อมลู ด้วยโปรแกรม Excel.
(พมิ พซ์ ำ้ ครั้งท่ี 4). กรุงเทพมหานคร : บริษทั วิทยพัฒน์ จำกัด.
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน.์ (2551). จติ วิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : ศนู ยส์ ่ือเสริมกรุงเทพฯ
พัทธรพี โสดาจนั ทร์. (2558). การพัฒนาทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษเพื่อความเขา้ ใจของ นกั เรยี นชนั้
มัธยมศึกษาปที ่ี 5 โดยใช้ CIPPA MODEL ผ่านกระบวนการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการ. วารสารการบรหิ ารและพัฒนา
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, ปีที่ 7 (ฉบับที่ 1), 162-173.
วรนิ ทร จันทรชติ และคณะ. (2557). ผลการใช้รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนแบบซปิ ปาพัฒนา ทักษะการพดู
ภาษาองั กฤษ
เพอ่ื การสื่อสารของนักเรยี นระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ. วารสารศึกษาศาสตร.์
มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
.สรุ พล เอีย่ มอ่ทู รัพย์. การออกแบบและการวางแผนการจดั การเรียนร้ทู ีเ่ น้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั .
สบื ค้นเมื่อ 24 กันยายน 2560, จาก https://technology.kku.ac.th/wp-
content/ITFilesD/IT001D.pdf.
อาภรณ์ ใจเท่ยี ง. (2550). หลกั การสอน (ฉบับปรบั ปรุง). พิมพค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์.
Maslow A.H. (1962). Quoted in Ernest R. Hilgard, Introduction to Psychology. 3rd.
NewYork : Harcourt Brace & World.
36
วิจยั ในชนั้ เรยี น
เรอ่ื ง
การศกึ ษาพฤตกิ รรมของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาศึกษาปที ่ี 5.11
โรงเรียนดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ในเรื่องการไมส่ ง่ งาน / การบา้ น
รายวชิ าภาษาญ่ปี ่นุ 3 รหสั วิชา 32261
ผู้วิจัย
นางสาวศรญั ญา รตั นทวีชยั พร
ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ชำนาญการ
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศที่ 2
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2563
โรงเรียนดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ อ.เมือง จ.เชียงราย
สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 36
37
2
ชอ่ื งานวิจยั การศึกษาพฤตกิ รรมของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5.11
โรงเรยี นดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ ในเร่ืองการไมส่ ่งงาน / การบา้ น
ชอื่ ผู้วจิ ยั รายวิชาภาษาญี่ปนุ่ 3 รหัสวิชา 32261
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ นางสาวศรญั ญา รัตนทวีชัยพร
ปที ่ที ำวิจัย ภาษาตา่ งประเทศท่ี 2
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2563
บทคดั ยอ่
การศึกษาวิจัยคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.11
โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ในเร่ืองการไม่ส่งงาน / การบ้าน รายวิชาภาษาญี่ปุ่น 3 รหัสวิชา
32261 ผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามเพื่อศึกษาสาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบ้านของนักเรียนจำนวน
15 ข้อ โดยให้นักเรียนเรียงลำดับสาเหตุการไม่ส่งงาน / การบ้านตามลำดับที่มากที่สุดจนถึงน้อยท่ีสุด
จากลำดับ 1 – 15 และได้ทำการนำผลของแตล่ ะสาเหตุ มาหาค่า รอ้ ยละ แลว้ นำข้อมูลมาวิเคราะห์และ
หาข้อสรุปพร้อมท้ังนำเสนอในรูปของตารางประกอบคำบรรยาย เพื่อศึกษาพฤติกรรมชองนักเรียนใน
เร่ืองการไมส่ ่งงาน / การบ้าน
ผลการศึกษาปรากฏวา่ จากการศึกษาและวิเคราะห์แบบสอบถามเพื่อศึกษาพฤตกิ รรมของ
นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5.11 โรงเรยี นดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ ในเรอ่ื งการไมส่ ่งงาน / การบ้าน
รายวชิ าภาษาญีป่ ุ่น 3 รหสั วิชา 32261 แสดงให้เห็นว่า สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบา้ น ลำดับท่ี 1
คือ การบ้านวชิ าต่างๆมากเกินไป (หลายวชิ า) โดยคดิ จากนักเรียน 39 คน ทเี่ ลือกเปน็ สาเหตุอันดับที่ 1
จำนวน 25 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 64.10
38
3
การศึกษาพฤติกรรมของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5.11
โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ในเร่อื งการไมส่ ่งงาน / การบา้ น
รายวชิ าภาษาญ่ปี นุ่ 3 รหัสวชิ า 32261
ความสำคัญและท่ีมา
จากการสงั เกตนกั เรียนในระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5.11 พบวา่ นักเรยี นสว่ นใหญ่มกั จะส่งงาน /
การบา้ นในรายวิชาภาษาญปี่ ่นุ 3 รหัสวชิ า 32261 ไมต่ รงเวลาท่คี รผู ู้สอนกำหนด หรอื บางคนก็ไมส่ ่งงาน
/ หรอื การบ้านเลย ซึ่งทำให้ครผู ู้สอนไมส่ ามารถวัดความรู้ หรือตดิ ตามความก้าวหน้าของนกั เรยี นได้ ซ่งึ
อาจมผี ลตอ่ คะแนนเกบ็ ของนกั เรียนด้วย ดงั นน้ั ผู้วิจัยซึ่งในฐานะที่เปน็ ทั้งครูประจำชนั้ และครปู ระจำวิชา
เห็นความสำคญั ของปญั หาดังกล่าว จึงได้ ทำการวจิ ยั เพือ่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมของนักเรียนในระดบั ชน้ั
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5.11 เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการแกป้ ัญหาของนักเรียนในเร่ืองการไม่สง่ งาน / การบ้าน
ตอ่ ไป
ทางเลอื กท่คี าดว่าจะแก้ปัญหา
จดั ทำแบบสอบถามเพอ่ื ศกึ ษาพฤตกิ รรมของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5.11 โรงเรยี นดำรง
ราษฎร์สงเคราะห์ ในเรอื่ งการไมส่ ง่ งาน / การบา้ น รายวชิ าภาษาญปี่ ุ่น 3 รหสั วิชา 32261 เพือ่ นำผล
จากการวิจัยมาเกบ็ เปน็ ข้อมูลเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาในการไม่สง่ งาน / การบา้ น แก้ปญั หาการเรยี นการ
สอน รวมทง้ั เพื่อให้นักเรียนเหน็ ความสำคัญของการส่งงาน / การบ้าน
จุดมุ่งหมาย
1. เพ่ือศึกษาสาเหตุของการไม่สง่ งาน / การบ้าน รายวิชาภาษาญีป่ ่นุ 3 รหสั วชิ า 32261
ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5.11
2. เพ่ือรวบรวมข้อมลู สำหรับการแกป้ ญั หาการไม่ส่งงาน / การบา้ นของนกั เรยี น
ตัวแปรทีศ่ กึ ษา
1. แบบสอบถามเพื่อศึกษาพฤติกรรมชองนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 โรงเรียนดำรง
ราษฎรส์ งเคราะห์ ในเรื่องการไมส่ ่งงาน / การบา้ น รายวิชาภาษาญป่ี ุ่น 3 รหัสวิชา 32261
2. ระดับคะแนนเฉลยี่ ของแบบสอบถาม
กรอบแนวคิดในการวิจยั
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5.11 โรงเรียน
ดำรงราษฎร์สงเคราะห์ผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามเพื่อศึกษาสาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบ้าน
รายวิชาภาษาญี่ปุ่น 3 รหัสวิชา 32261 จำนวน 15 ข้อ โดยให้นักเรียนเรียงลำดับสาเหตุการไมส่ ่งงาน /
39
4
การบ้านตามลำดับที่มากที่สุดจนถึงน้อยท่ีสุดจากลำดับ 1 – 15 และได้ทำการนำผลของแต่ละสาเหตุ
มาหาคา่ ร้อยละ แล้วนำขอ้ มูลมาวิเคราะห์และหาข้อสรปุ พร้อมท้ังนำเสนอในรปู ของตารางประกอบคำ
บรรยาย เพื่อศกึ ษาพฤตกิ รรมชองนักเรยี นในเรอื่ งการไม่ส่งงาน / การบา้ น
ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รับ
1. ทราบถึงพฤติกรรมและสาเหตุของการไมส่ ่งงาน / การบา้ นของนกั เรียน
2. ไดแ้ นวทางในการแกป้ ญั หาการเรียนการสอน
ขอบเขตของการวิจยั
ในการศึกษาวจิ ยั คร้ังน้เี ป็นการสร้างแบบสอบถามเพอื่ ศึกษาพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการไมส่ ่ง
งาน / การบ้านรายวิชาภาษาญี่ปุ่น 3 รหัสวิชา 32261 ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 โดยใช้
ข้อความที่คาดว่าจะเปน็ สาเหตุของการไมส่ ง่ งาน / การบา้ น จำนวน 15 ขอ้ และไดก้ ำหนดขอบเขตของ
การวจิ ัยไวด้ ังนี้
1.ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์
กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 ในภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2563 จำนวน
ห้องเรยี นจำนวน 39 คน
2. แบบสอบถามที่ใช้ในการศกึ ษา เป็นเป็นแบบสอบถามเพ่อื ศึกษาพฤติกรรมชองนกั เรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ในเรื่องการไม่ส่งงาน / การบ้าน รายวิชา
ภาษาญ่ปี ุ่น 3 รหัสวชิ า 32261 จำนวน 15 ขอ้
วธิ ดี ำเนนิ การวจิ ัย
ระยะเวลาในการดำเนนิ งาน
15 กรกฎาคม 2563 - 12 ตุลาคม 2563
วัน เดอื น ปี กิจกรรม หมายเหตุ
15 ก.ค. - 15 ส.ค. 2563 - ศกึ ษาสภาพปัญหาและวิเคราะหป์ ญั หา ผ้วู จิ ยั บนั ทกึ ขอ้ มลู
ผวู้ ิจยั บันทกึ ข้อมลู
16 สงิ หาคม – 14 - เขยี นเค้าโครงงานวิจยั ในชัน้ เรียน
กันยายน 2563 - ศกึ ษาเทคนคิ การสรา้ งแบบสอบถาม
-ออกแบบและสร้างแบบสอบถามท่ีจะใช้ใน
งานวิจยั
15 กนั ยายน 2563 - นักเรยี นทำแบบสอบถาม
16-30 กนั ยายน 2563 - เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและวิเคราะหข์ ้อมูล
1 – 12 ตุลาคม 2563 - สรุปและอภปิ รายผล
- จดั ทำรูปเล่ม
40
5
เครื่องมอื ท่ีใช้ในการวจิ ยั
1. แบบสอบถาม
ขน้ั ตอนการดำเนนิ การ
ในการดำเนินการศกึ ษาวิจยั ครั้งน้มี วี ัตถปุ ระสงค์เพื่อศึกษาพฤตกิ รรมของนกั เรียนในเรื่องการไม่
ส่งงาน / การบ้าน โดยใช้แบบสอบถามเพื่อหาสาเหตขุ องการไม่สง่ งาน / การบ้าน ผูว้ จิ ัยไดว้ างแผนการ
ดำเนินการศึกษา สร้างแบบสอบถาม โดยใช้ข้อความที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของการมาส่งง าน /
การบา้ น และได้ดำเนนิ การซงึ่ มรี ายละเอยี ดเปน็ ขั้นตอนดงั นี้
1. ข้นั วเิ คราะห์ ( Analysis)
1.1 วเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้นื ฐานของผ้เู รยี น การวิเคราะห์ผ้เู รียนได้กำหนดไวด้ ังน้ี
ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563
โรงเรียนดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ จำนวน 39 คน
1.2 วิเคราะห์สาเหตุของการไมส่ ่งงาน / การบ้าน ของนักเรยี น โดยการหาคา่ รอ้ ยละ
2. ขน้ั ออกแบบ (Design)
ผวู้ จิ ัยดำเนนิ การสรา้ งแบบสอบถามเพือ่ วดั พฤติกรรมของนักเรียนในการไมส่ ง่ งาน/ การบ้าน
โดยมีลำดับข้นั ตอนการสร้างดงั นี้
1.1 ศกึ ษาเทคนคิ การสร้างแบบสอบถามจากเอกสารต่างๆ
1.2 สรา้ งแบบสอบถามเพ่อื วดั พฤตกิ รรมของนกั เรยี นเพ่อื หาสาเหตุในการไม่สง่ งาน/
การบา้ นของนกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5.11 จำนวน 15 ข้อ โดยใหน้ ักเรียนใส่หมายเลขลำดับสาเหตุ
ของการไมส่ ง่ งานจากลำดับมากท่ีสุด ( 1 ) ไปจนถึงลำดับนอ้ ยท่สี ุด ( 15 )
1.3 นำแบบวดั เจตคติทส่ี รา้ งขนึ้ เสนอตอ่ ทปี่ รึกษางานวิจัย เพ่ือตรวจสอบแก้ไข
1.4 นำแบบวัดเจตคตมิ าปรบั ปรุงแก้ไขกอ่ นนำไปใช้จรงิ
3. ขั้นดำเนนิ การ
ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ จิ ัยได้มีการดำเนินการดงั น้ี
3.1 นำแบบสอบถามเพอ่ื ศึกษาพฤตกิ รรม ในเรื่องการไม่สง่ งาน / การบ้าน ของนกั เรียนช้นั
มธั ยมศึกษาปีที่ 5.11 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จำนวน 39 คน
เพื่อหาสาเหตขุ องการไม่ส่งงาน และทำการบันทึกคะแนน
3.2 ดำเนินการหาค่ารอ้ ยละของแตล่ ะขอ้ สาเหตุ
4. ข้ันวเิ คราะหข์ อ้ มลู
4.1 วเิ คราะห์ขอ้ มูล
- วเิ คราะหผ์ ลจากคะแนนท่ีได้จากการทำแบบสอบถามเพ่ือศึกษาพฤตกิ รรม
41
6
4.2 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู
4.2.1 การหาคา่ ร้อยละ
ค่าร้อยละ = X x 100
N
เมอื่ X = คะแนนทีไ่ ด้
N = จำนวนนักเรียนทั้งหมด
5. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
จากการศึกษาวิจัยในช้ันเรียนคร้งั นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนในการไม่
ส่งงาน / การบ้านรายวิชาภาษาญ่ีปุ่น 3 รหัสวิชา 32261 ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 เพ่ือนำ
ผลการวิจัยมาเก็บเป็นข้อมูลเพื่อหาสาเหตุ และนำไปแก้ไขปัญหาในการเรียนการสอนและเพ่ือให้
นักเรียนเห็นความสำคัญของการส่งงานและการบ้าน โดยใช้แบบสอบถามเพ่ือศึกษาพฤติกรรมจำนวน
15 ข้อ โดยกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
โรงเรยี นดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ จำนวน 39 คน โดยสามารถวเิ คราะห์ผลได้ดงั น้ี
5.1 ผลการประเมนิ แบบสอบถามของนกั เรียนในเรือ่ งการไม่สง่ งาน / การบา้ น เก่ียวกับการหา
สาเหตุทไี่ มส่ ่งงาน การบ้านรายวิชาภาษาญป่ี นุ่ 3 รหัสวิชา 32261 ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5.11
ตาราง 1 ผลการประเมินแบบสอบของนกั เรียนถงึ สาเหตทุ ่ีผ้เู รยี นไมส่ ง่ งาน / การบา้ น
รายวิชาภาษาญป่ี ุ่น 3 รหสั วิชา 32261
สาเหตขุ องการไม่สง่ งาน / การบ้าน ลำดบั ท่ี รอ้ ยละ
1. การบ้านมากเกินไป (หลายวิชา) 1 64.10
2. การบา้ นมากเกินไป (ภาษาญปี่ นุ่ ) 11 25.64
3. แบบฝึกหัดยากทำไม่ได้ 3 33.33
4. เวลาน้อย 2 33.33
5. ครูอธิบายเรว็ 7 28.21
6. ไมเ่ ขา้ ใจคำสงั่ 6 30.77
7. ไม่ไดน้ ำสมุดมา 12 25.64
8. เบ่ือหน่ายมาอยากทำ 13 23.08
9. ชว่ ยเหลอื งานผ้ปู กครอง 9 20.51
10. หนังสอื หาย 15 23.08
11. ลมื ทำ 4 35.90
12. ไมม่ คี นคอยให้คำปรึกษา 8 17.95
42
สาเหตขุ องการไม่สง่ งาน / การบ้าน ลำดับท่ี 7
13. เตรียมตวั สอบเก็บคะแนนวชิ าอน่ื 5
14. ออกงานกบั ผปู้ กครอง ร้อยละ
15. ทำกจิ กรรมของโรงเรียน 14 30.77
33.33
10 20.51
จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นวา่ การตอบแบบสอบถามของนักเรียนในเรื่องสาเหตุของการไมส่ ง่
งาน / การบ้าน โดยทำการเรียงลำดับจากสาเหตทุ นี่ ักเรียนท่นี ักเรยี นคิดวา่ เป็นสำเหตทุ ่ีสำคัญทีส่ ุด
จนถึงสาเหตุที่นอ้ ยที่สดุ ตามลำดบั 1 – 15 ดังตอ่ ไปนี้
การบ้านมากเกนิ ไป (หลายวิชา) อยู่ในลำดบั ท่ี 1 คดิ เป็นร้อยละ 64.10 ( 25 คน )
มีเวลานอ้ ย อยู่ในลำดับที่ 2 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.33 ( 13 คน )
แบบฝึกหัดยากทำไม่ได้ อยู่ในลำดบั ท่ี 3 คิดเป็นร้อยละ 33.33 ( 13 คน )
ลืมทำ อยู่ในลำดบั ที่ 4 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 35.90 ( 14 คน )
เตรยี มตัวสอบเก็บคะแนนวชิ าอนื่ อยใู่ นลำดบั ที่ 5 คิดเปน็ รอ้ ยละ 30.77 ( 12 คน )
ไมเ่ ข้าใจคำสั่ง อยู่ในลำดบั ที่ 6 คดิ เป็นรอ้ ยละ 30.77 ( 12 คน )
ครอู ธิบายเร็ว อยู่ในลำดบั ที่ 7 คิดเปน็ ร้อยละ 28.21 ( 11 คน )
ไมม่ คี นคอยใหค้ ำปรึกษา อยใู่ นลำดบั ที่ 8 คิดเปน็ รอ้ ยละ 17.95 ( 7คน )
ช่วยเหลอื งานผปู้ กครอง อยู่ในลำดับท่ี 9 คิดเปน็ ร้อยละ 20.51 ( 8 คน )
ทำกิจกรรมของโรงเรียน อยู่ในลำดับท่ี 10 คดิ เปน็ ร้อยละ 20.51 ( 8 คน )
การบ้านมากเกนิ ไป (ภาษาญ่ีป่นุ ) อยใู่ นลำดับที่ 11 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 25.64 ( 10 คน )
ไม่ไดน้ ำสมุดมา อยใู่ นลำดบั ที่ 12 คดิ เป็นร้อยละ 25.64 ( 10 คน )
เบือ่ หน่ายมาอยากทำ อยูใ่ นลำดบั ที่ 13 คิดเปน็ ร้อยละ 23.08 ( 9 คน )
ออกงานกับผู้ปกครอง อย่ใู นลำดับที่ 14 คดิ เปน็ ร้อยละ 33.33 ( 13 คน )
หนังสือหาย อยู่ในลำดับท่ี 15 คิดเป็นร้อยละ 23.08 ( 9 คน )
6. สรุปผลการศึกษาวจิ ัย
จากการศึกษาและวิเคราะห์แบบสอบถามเพ่ือศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนในการไม่ส่งงาน /
การบ้านรายวชิ าภาษาญ่ีปนุ่ 3 รหัสวิชา 32261 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5.11 แสดงให้เห็นว่า
สาเหตุของการไม่ส่งงาน / การบ้าน ลำดับท่ี 1 คือ การบ้านวิชาต่างๆมากเกินไป (หลายวิชา) โดยคิด
จากนักเรียน 39 คน ท่เี ลอื กเป็นสาเหตอุ นั ดับท่ี 1 จำนวน 25 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 64.10
43
8
7. อภปิ รายผลการศึกษา
จากการสร้างแบบสอบถามเพ่ือเพ่ือศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนในการไม่ส่งงาน / การบ้าน
รายวชิ าภาษาญปี่ ุ่น 3 รหัสวิชา 32261 ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 ในครง้ั นี้สามารถอภิปราย
ผลไดด้ งั นี้
พบวา่ แบบสอบถามเพอ่ื เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนกั เรียนในการไม่ส่งงาน / การบ้านรายวิชา
ภาษาญป่ี นุ่ 3 รหัสวิชา 32261 ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5.11 ได้ทำใหท้ ราบถงึ สาเหตทุ ี่สำคญั
มากท่สี ดุ จนถึงสาเหตุที่น้อยทสี่ ดุ ในการไม่ส่งงาน / การบ้านคอื การบ้านมากเกนิ ไป (หลายวชิ า) มี
เวลาน้อย แบบฝึกหัดยากทำไมไ่ ด้ ลืมทำ เตรยี มตัวสอบเก็บคะแนนวิชาอ่ืน ไม่เขา้ ใจคำส่ัง ครูอธิบาย
เรว็ ไมม่ ีคนคอยใหค้ ำปรึกษา ชว่ ยเหลืองานผปู้ กครอง ทำกิจกรรมของโรงเรยี น การบา้ นมากเกินไป
(ภาษาญป่ี ุน่ ) ไมไ่ ด้นำสมดุ มา เบอ่ื หน่ายมาอยากทำ ออกงานกบั ผปู้ กครอง หนงั สอื หาย
8. ขอ้ เสนอแนะ
1. ในการสร้างแบบสอบถามเพื่อศึกษาพฤตกิ รรมของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5.11 ในเร่อื ง
การไม่ส่งงาน / การบ้านในรายวิชาภาษาญป่ี ุ่น 3 รหสั วิชา 32261 อาจจัดทำกับนักเรยี นแผนการเรียน
ภาษาญ่ีปนุ่ ในระดบั ชัน้ อืน่ ๆ เพ่อื เปน็ การศกึ ษาในภาพรวม เพราะการวจิ ัยคร้ังนี้ กลุ่มตวั อยา่ งเป็นเพียง
นักเรียนในระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5.11 เทา่ น้นั ซึ่งอาจจะไดผ้ ลการวจิ ยั ทแี่ ตกตา่ งกันกไ็ ด้
44
9
แบบฟอร์มรายงานการวิจัยช้ันเรียน ปกี ารศึกษา 2563
ชื่องานวิจยั การศกึ ษาพฤตกิ รรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5.11
โรงเรียนดำรงราษฎรส์ งเคราะห์ ในเร่ืองการไมส่ ง่ งาน / การบา้ น
ชื่อผู้วิจยั รายวชิ าภาษาญป่ี นุ่ 3 รหสั วิชา 32261
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ นางสาวศรญั ญา รัตนทวีชัยพร
ภาษาตา่ งประเทศท่ี 2
เค้าโครงการทำวจิ ยั ในชัน้ เรียน มี ไม่มี
ทมี่ าความสำคญั ของการวจิ ัย มี ไม่มี
ออกแบบเก็บขอ้ มลู เสร็จ ไม่เสร็จ
เกบ็ ขอ้ มลู เรียบร้อย เสรจ็ ไม่เสร็จ
แปลผลและอภิปรายผล เสรจ็ ไม่เสร็จ
สรุปเป็นรูปเล่ม เสรจ็ ไม่เสรจ็
นางสาวศรญั ญา รัตนทวชี ยั พร
ผวู้ ิจยั
45
10
ตารางการทำวิจัยในชั้นเรยี น
วัน เดือน ปี กิจกรรม หมายเหตุ
15 ก.ค. - 15 ส.ค. 2563 - ศกึ ษาสภาพปญั หาและวเิ คราะห์ปญั หา
16 สงิ หาคม – 14 ผู้วิจัยบันทกึ ข้อมลู
กนั ยายน 2563 - เขยี นเค้าโครงงานวิจยั ในชนั้ เรยี น ผูว้ ิจยั บันทกึ ข้อมลู
- ศึกษาเทคนคิ การสร้างแบบสอบถาม
15 กันยายน 2563 -ออกแบบและสร้างแบบสอบถามท่ีจะใชใ้ น
16-30 กันยายน 2563 งานวิจยั
1 – 12 ตุลาคม 2563 - นกั เรียนทำแบบสอบถาม
- เกบ็ รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะหข์ อ้ มูล
- สรุปและอภปิ รายผล
- จดั ทำรูปเล่ม
46
11
ภาคผนวก
47
12
แบบสอบถามเพือ่ ศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5.11 โรงเรยี นดำรงราษฎรส์ งเคราะห์
ในเร่ืองการไมส่ ่งงาน / การบา้ นในรายวชิ าภาษาญปี่ ุ่น 3 รหสั วชิ า 32261
คำช้ีแจง :
1. แบบสอบถามฉบับนีส้ รา้ งขึน้ เพอื่ ให้ทราบถงึ สาเหตุท่ีผเู้ รียนไม่สง่ งาน / การบา้ น
2. แบบสอบถามฉบับน้ี มี 2 ตอน
ตอนที่ 1 ข้อมูลเกยี่ วกับผตู้ อบ
ตอนท่ี 2 ข้อมลู เกยี่ วกบั สาเหตุท่ีไมส่ ่งงาน / การบ้านของผู้เรียน
ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของผตู้ อบ
เพศ …………… อายุ ………….ปี ผลการเรยี นรายวิชาภาษาญ่ีปุ่น 2 …………………….
ตอนท่ี 2: ความคิดเห็นของผตู้ อบท่มี ีต่อการไมส่ ่งงาน / การบา้ น
คำชี้แจง : แบบสอบถามนี้ จัดทำขึ้นเพอื่ สอบถามสาเหตขุ องการไมส่ ง่ งาน / การบ้านของผเู้ รยี น
โปรดอ่านข้อความด้วยความรอบคอบและใสห่ มายเลขตามหวั ขอ้ ที่นกั เรียนคิดว่าเป็นสาเหตุของการไม่ส่ง
งานการบา้ น โดยเรียงลำดับจากสาเหตทุ ส่ี ำคญั ทสี่ ุดจนถึงสาเหตทุ ีน่ อ้ ยมีส่ ดุ ตามลำดับ 1 - 15
สาเหตุของการไม่สง่ งาน / การบ้าน ลำดับที่
1. การบา้ นมากเกินไป (หลายวิชา)
2. การบา้ นมากเกินไป (ภาษาญ่ปี ุ่น)
3. แบบฝึกหัดยากทำไมไ่ ด้
4. เวลานอ้ ย
5. ครอู ธิบายเร็ว
6. ไมเ่ ข้าใจคำสัง่
7. ไม่ได้นำสมุดมา
8. เบอื่ หน่ายมาอยากทำ
9. ชว่ ยเหลอื งานผู้ปกครอง
10. หนงั สอื หาย
11. ลืมทำ
12. ไม่มีคนคอยใหค้ ำปรึกษา
13. เตรียมตัวสอบเก็บคะแนนวิชาอ่ืน
14. ออกงานกบั ผู้ปกครอง
15. ทำกิจกรรมของโรงเรยี น
ข้อเสนอแนะ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอบคุณทใ่ี ห้ความร่วมมือ