เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 42
ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
2.อธิบายหลกั การถ่ายทอด ลักษณะ ทส่ี งั เคราะหข์ ึน้ ซง่ึ ส่งผลให้เกิดลกั ษณะทางพันธกุ รรมต่าง ๆ
ทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนท่ีอยูบ่ น • ลักษณะบางลักษณะมโี อกาสพบในเพศขายและเพศหญงิ ไม่
โครโมโซมเพศและมัลตเิ ปลิ แอล เทา่ กนั เชน่ ตาบอดสี และฮีโมฟีเลียซ่งึ ควบคุมโดยยีนบน
ลลี โครโมโซมเพศ บางลกั ษณะมีการควบคมุ โดยยีนแบบมัลติเปลิ
3.อธบิ ายผลท่ีเกดิ จากการ แอลลลี เชน่ หมู่เลือดระบบ ABO ซึ่งการถา่ ยทอด ลกั ษณะทาง
เปลี่ยนแปลงลำดบั นิวคลีโอไทด์ พันธุกรรมดงั กล่าวจดั เปน็ ส่วนขยายของ
ในดีเอ็นเอตอ่ การแสดงลกั ษณะ พนั ธุศาสตรเ์ มนเดล
ของสิ่งมีชวี ิต • มวิ เทชนั ทเ่ี ปลยี่ นแปลงลำดับนวิ คลโี อไทด์ หรอื
4.สบื ค้นขอ้ มลู และยกตัวอยา่ ง เปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งหรือจำนวนโครโมโซมอาจส่งผลทำให้
การนำมวิ เทชันไปใชป้ ระโยชน์ ลักษณะของสงิ่ มชี วี ิตเปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ ซง่ึ อาจมีผลดี
5.สบื คน้ ขอ้ มลู และอภปิ รายผล หรอื ผลเสีย
ของเทคโนโลยีทางดเี อ็นเอท่ี • มนษุ ย์ใชห้ ลักการของการเกดิ มิวเทชนั ในการชักนำ
มีตอ่ มนุษย์และสง่ิ แวดลอ้ ม ให้ไดส้ ง่ิ มชี ีวิตทม่ี ลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งจากเดิม โดยการใชร้ งั สีและ
6.สบื ค้นข้อมูล อธิบาย และ สารเคมีต่างๆ
ยกตวั อยา่ งความหลากหลายของ • มนุษยน์ ำความรเู้ ทคโนโลยที างดีเอน็ เอมาประยุกตใ์ ช้ ทางด้าน
สิง่ มชี ีวิต ซงึ่ เปน็ ผลมาจาก การแพทย์ และเภสัชกรรม เช่น การสร้างสิ่งมชี วี ิตดัดแปร
วิวฒั นาการ พันธกุ รรม เพือ่ ผลติ ยาและวคั ซีน ด้านการเกษตร เชน่ พชื ดัดแปร
พันธุกรรมที่ตา้ นทานโรคหรือแมลง สัตว์ดดั แปรพันธุกรรมท่มี ี
ลักษณะตามทตี่ ้องการ และด้านนิติวทิ ยาศาสตร์ เชน่
การตรวจลายพมิ พ์ดเี อ็นเอ เพือ่ หาความสมั พนั ธท์ างสายเลือด
หรอื เพอื่ หาผู้กระทำผดิ
• การใช้เทคโนโลยที างดเี อ็นเอในด้านตา่ ง ๆ ต้องคำนงึ ถงึ
ความปลอดภยั ทางชีวภาพ ชีวจริยธรรมและผลกระทบ
ทางด้านลังคม
• ส่ิงมีชีวติ ทมี ีอยู่ในปัจจบุ นั มลี กั ษณะที่ปรากฏให้เหน็
แตกต่างกันซึ่งเป็นผลมาจากความหลากหลายของลักษณะ ทาง
พันธกุ รรม ซึ่งเกิดจากมิวเทชันรว่ มกับการคัดเลอื กโดยธรรมชาติ
• ผลจากกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ทำใหส้ ิ่งมชี วี ติ ทม่ี ี
ลกั ษณะเหมาะสมในการดำรงชีวิตสามารถปรบั ตัวให้อยู่ รอดได้ใน
สง่ิ แวดล้อมนน้ั ๆ
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 43
ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
• กระบวนการคดั เลือกโดยธรรมชาติเป็นหลกั การทสี่ ำคญั อยำ่ ง
หนึ่งท่ที ำใหเ้ กิดวิวฒั นำกำรของ สง่ิ มชี ีวติ
ม.5 - -
- -
ม.6
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 44
สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบัติ ของสสารกับ
โครงสรา้ งและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติ ของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ
สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.1 1.อธบิ ายสมบัตทิ ส่ี งั เกตได้ของ วัสดุ • วัสดุท่ีใชท้ ำวตั ถุท่ีเป็นของเลน่ ของใชม้ ีหลายชนดิ เช่น ผา้
ทใ่ี ชท้ ำวตั ถุซ่ึงทำจากวสั ดชุ นิดเดยี ว แกว้ พลาสตกิ ยาง ไมอ้ ฐิ หิน กระดาษ โลหะ วสั ดุแตล่ ะชนดิ
หรือหลายชนิดประกอบกนั มีสมบตั ิท่ีสังเกตไดต้ า่ ง ๆ เช่น สีนุ่ม แข็ง ขรขุ ระ เรยี บ ใส
โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ ขุน่ ยืดหดได้ บดิ งอได้
2.ระบชุ นิดของวัสดแุ ละจดั กลุ่มวสั ดุ • สมบัตทิ ส่ี ังเกตได้ของวสั ดุแตล่ ะชนิดอาจเหมือนกัน ซ่งึ
ตามสมบัตทิ ส่ี ังเกตได้ สามารถนำมาใช้เปน็ เกณฑ์ในการจดั กลุม่ วสั ดไุ ด้
• วัสดุบางอย่างสามารถนำมาประกอบกนั เพอ่ื ทำเปน็ วตั ถุ
ตา่ ง ๆ เชน่ ผ้าและกระดุม ใช้ทำเสอ้ื ไมแ้ ละโลหะ ใชท้ ำ
กระทะ
ป.2 ๑. เปรยี บเทยี บสมบัตกิ ารดดู ซบั นำ้ • วัสดแุ ต่ละชนิดมีสมบตั กิ ารดดู ซับน้ำแตกต่างกัน จงึ นำไปทำ
ของวัสดโุ ดยใช้ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ วตั ถเุ พอื่ ใชป้ ระโยชน์ได้แตกต่างกนั เช่น ใช้ผา้ ทดี่ ดู ซบั นำ้ ได้
และระบุการนำสมบตั ิ การดดู ซบั นำ้ มากทำผา้ เชด็ ตัว ใช้พลาสตกิ ซง่ึ ไม่ดูดซบั นำ้ ทำร่ม
ของวัสดุไปประยุกตใ์ ชใ้ นการทำวตั ถุ • วัสดุบางอย่างสามารถนำมาผสมกนั ซง่ึ ทำใหไ้ ด้ สมบตั ทิ ่ี
ในชีวติ ประจำวนั เหมาะสม เพือ่ นำไปใช้ประโยชน์ตาม ตอ้ งการ เชน่ แปง้ ผสม
๒. อธิบายสมบัติทส่ี ังเกตได้ของวัสดุ นำ้ ตาลและกะทใิ ช้ทำ ขนมไทย ปนู ปลาสเตอร์ผสมเยื่อ
ท่เี กดิ จาก การนำวัสดุมาผสมกนั โดย กระดาษใช้ทำ กระปกุ ออมสิน ปนู ผสมหนิ ทราย และนำ้ ใชท้ ำ
ใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ คอนกรตี
๓. เปรยี บเทียบสมบัติทสี่ งั เกตได้ของ • การนำวสั ดมุ าทำเปน็ วัตถใุ นการใช้งานตาม วตั ถุประสงค์
ขน้ึ อยู่กับสมบตั ขิ องวสั ดุวสั ดุท่ีใช้ แลว้ อาจนำกลบั มาใชใ้ หมไ่ ด้
วสั ดุ เพ่อื นำ มาทำเปน็ วตั ถุในการใช้ เชน่ กระดาษใชแ้ ล้ว อาจนำมาทำเปน็ จรวดกระดาษ ดอกไม้
งานตามวัตถุประสงค์ และอธิบาย ประดิษฐ์ ถงุ ใส่ของ
การนำวัสดุทใี่ ช้แล้วกลบั มาใชใ้ หม่
โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ๔.
ตระหนักถึงประโยชนข์ องการนำวัสดุ
ทีใ่ ชแ้ ล้ว กลบั มาใช้ใหม่ โดยการนำ
วสั ดทุ ีใ่ ช้แลว้ กลับมา ใชใ้ หม่
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 45
ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
๑. อธบิ ายวา่ วตั ถุประกอบขน้ึ จาก • วัตถุอาจทำจากช้นิ ส่วนย่อย ๆ ซึ่งแต่ละชิ้น มลี กั ษณะเหมือนกันมา
ชิ้นส่วนยอ่ ย ๆ ซ่ึงสามารถแยกออก ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั เมือ่ แยกชิ้นสว่ นยอ่ ย ๆ แตล่ ะชน้ิ ของวัตถุออก
จากกนั ไดแ้ ละประกอบกนั เปน็ วตั ถุ จากกัน สามารถนำช้ินส่วนเหลา่ นัน้ มาประกอบเป็นวัตถุ ชิ้นใหม่ได้
ชน้ิ ใหม่ได้โดยใช้หลักฐานเชิง
ป.3 ประจกั ษ์ เช่น กำแพงบ้านมีก้อนอิฐหลาย ๆ ก้อนประกอบเข้าด้วยกัน และ
สามารถนำกอ้ นอฐิ จากกำแพงบ้านมาประกอบเปน็ พ้นื ทางเดนิ ได้
๒. อธิบายการเปล่ียนแปลงของวสั ดุ • เมอื่ ให้ความร้อนหรือทำให้วสั ดุรอ้ นข้นึ และเมื่อ ลดความร้อนหรือ
เม่อื ทำให้ รอ้ นขึน้ หรอื ทำใหเ้ ย็นลง ทำให้วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกิด การเปลี่ยนแปลงได้เช่น สีเปลี่ยน
โดยใช้หลกั ฐาน เชงิ ประจกั ษ์ รูปรา่ งเปล่ยี น
๑. เปรยี บเทยี บสมบัติทางกายภาพ • วัสดุแต่ละชนดิ มีสมบตั ิทางกายภาพแตกตา่ งกัน วสั ดทุ ม่ี คี วาม
ด้านความแข็ง สภาพยดื หยุน่ การนำ แขง็ จะทนตอ่ แรงขดู ขดี วัสดทุ ่ีมี สภาพยืดหยุ่นจะเปลยี่ นแปลง
ความรอ้ น และการนำไฟฟ้า ของวสั ดุ รปู รา่ งเมือ่ มีแรง มากระทำและกลบั สภาพเดิมได้วสั ดทุ ่ี นำความ
โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษจ์ าก การ ร้อนจะรอ้ นไดเ้ รว็ เม่ือไดร้ ับความรอ้ น และวัสดุท่นี ำไฟฟา้ ไดจ้ ะให้
ทดลองและระบกุ ารนำสมบตั เิ รื่อง กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ดังนนั้ จงึ อาจนำสมบตั ติ า่ ง ๆ มาพิจารณาเพื่อ
ความแข็ง สภาพยืดหยนุ่ การนำความ ใช้ใน กระบวนการออกแบบชนิ้ งานเพ่อื ใช้ประโยชน์ ใน
รอ้ น และการนำไฟฟา้ ของวัสดุไปใช้ ชีวติ ประจำวนั
ในชีวิตประจำวนั ผา่ นกระบวนการ • วสั ดเุ ปน็ สสารเพราะมีมวลและตอ้ งการทอ่ี ยู่ สสารมีสถานะเปน็
ป.4 ออกแบบชิน้ งาน ของแขง็ ของเหลว หรอื แกส๊ ของแข็ง มปี รมิ าตรและรูปรา่ งคงท่ี
๒. แลกเปลย่ี นความคิดกบั ผ้อู ่ืนโดย ของเหลวมี ปรมิ าตรคงท่แี ตม่ ีรูปรา่ งเปล่ียนไปตามภาชนะ เฉพาะ
การอภปิ ราย เก่ยี วกบั สมบัตทิ าง ส่วนท่ีบรรจุของเหลว ส่วนแกส๊ มปี รมิ าตร และรูปรา่ งเปล่ยี นไป
กายภาพของวัสดอุ ย่างมี เหตผุ ลจาก ตามภาชนะทบี่ รรจุ
การทดลอง
๓. เปรยี บเทยี บสมบตั ิของสสารทัง้ ๓
สถานะ จาก ข้อมูลทไ่ี ด้จากการสงั เกต
มวล การต้องการทอี่ ยู่ รปู ร่างและ
ปรมิ าตรของสสาร
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 |46
ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
4. ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวล และ
ปรมิ าตรของสสารทงั้ 3 สถานะ
ป.5 ๑. อธิบำยกำรเปลี่ยนสถำนะของ • กำรเปลยี่ นสถำนะของสสำรเป็นกำรเปลย่ี นแปลง ทำงกำยภำพ
สสำร เมอื่ ทำให้ สสำรรอ้ นขนึ้ หรือเย็นเมอ่ื เพ่ิมควำมรอ้ นใหก้ บั สสำรถึง ระดบั หนึ่งจะทำใหส้ สำรทเ่ี ป็น
ลง โดยใชห้ ลกั ฐำน เชงิ ประจกั ษ์ ของแขง็ เปลยี่ น สถำนะเป็นของเหลว เรียกวำ่ กำรหลอมเหลว
๒. อธิบำยกำรละลำยของสำรในนำ้ และเม่อื เพ่มิ ควำมรอ้ นต่อไปจนถึงอกี ระดบั หนงึ่ ของเหลวจะ
โดยใชห้ ลกั ฐำน เชงิ ประจกั ษ์
เปลี่ยนเป็นแก๊ส เรียกว่ำ กำรกลำยเป็นไอแต่เมอื่ ลดควำมรอ้ นลง
๓. วิเครำะหก์ ำรเปล่ยี นแปลงของสำร
เม่ือเกิดกำร เปล่ยี นแปลงทำงเคมีโดย ถึงระดบั หนึ่ง แกส๊ จะเปล่ยี นสถำนะเป็นของเหลว เรียกว่ำ กำร
ใชห้ ลกั ฐำน เชงิ ประจกั ษ์ ควบแน่น และถำ้ ลดควำมรอ้ นต่อไปอีกจนถึง ระดบั หนึง่ ของเหลว
๔. วเิ ครำะหแ์ ละระบกุ ำรเปล่ยี นแปลงจะเปลีย่ นสถำนะเป็นของแขง็ เรียกว่ำ กำรแขง็ ตวั สสำรบำงชนดิ
ที่ผันกลับได้ และกำรเปล่ียนแปลงท่ีสำมำรถ เปล่ียนสถำนะจำกของแข็งเป็นแกส๊ โดยไมผ่ ่ำน กำรเป็น
ผนั กลบั ไมไ่ ด้ ของเหลว เรียกวำ่ กำรระเหดิ สว่ นแก๊ส บำงชนิดสำมำรถเปลย่ี น
สถำนะเป็นของแขง็ โดยไม่ผ่ำนกำรเป็นของเหลวเรยี กว่ำกำร
ระเหิดกลบั
• เมอ่ื ใส่สำรลงในนำ้ แลว้ สำรนน้ั รวมเป็น เนอื้ เดียวกนั กบั นำ้ ท่วั ทกุ
สว่ น แสดงวำ่ สำรเกดิ กำรละลำย เรียกสำรผสมที่ไดว้ ำ่ สำรละลำย
• เมื่อผสมสำร ๒ ชนดิ ขนึ้ ไปแลว้ มีสำรใหมเ่ กิดขนึ้ ซ่งึ มสี มบตั ติ ำ่ ง
จำกสำรเดมิ หรือเมอ่ื สำรชนิดเดียว เกิดกำรเปลย่ี นแปลงแลว้ มีสำร
ใหมเ่ กดิ ขนึ้ กำรเปลยี่ นแปลงนีเ้ รยี กวำ่ กำรเปลีย่ นแปลง ทำงเคมี
ซึง่ สงั เกตไดจ้ ำกมีสีหรอื กลิ่นต่ำงจำก สำรเดมิ หรือมฟี องแก๊ส หรอื
มตี ะกอนเกดิ ขนึ้ หรือมีกำรเพ่ิมขนึ้ หรอื ลดลงของอุณหภมู ิ
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 47
ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• เมอ่ื สำรเกิดกำรเปล่ยี นแปลงแลว้ สำรสำมำรถ เปลย่ี นกลบั เป็น
สำรเดิมไดเ้ ป็นกำรเปลีย่ นแปลง ท่ีผนั กลับไดเ้ ชน่ กำรหลอมเหลว
กำรกลำยเป็นไอ กำรละลำย แต่สำรบำงอยำ่ งเกดิ กำร
เปล่ียนแปลง แลว้ ไม่สำมำรถเปล่ยี นกลบั เป็นสำรเดิมได้ เป็นกำร
เปลย่ี นแปลงท่ผี นั กลบั ไม่ไดเ้ ช่น กำรเผำไหมก้ ำรเกดิ สนมิ
ป.6 ๑. อธิบำยและเปรยี บเทียบกำรแยก • สำรผสมประกอบดว้ ยสำรตงั้ แต่ ๒ ชนดิ ขนึ้ ไปผสมกนั เช่น
สำรผสม โดยกำรหยบิ ออก กำรรอ่ น นำ้ มนั ผสมนำ้ ขำ้ วสำรปนกรวดทรำย วิธีกำร ท่ีเหมำะสมในกำร
กำรใชแ้ ม่เหล็กดึงดดู กำรรินออก แยกสำรผสมขนึ้ อย่กู บั ลกั ษณะ และสมบตั ิของสำรทผี่ สมกนั ถำ้
กำรกรอง และกำรตกตะกอน โดย องคป์ ระกอบของ สำรผสมเป็นของแขง็ กบั ของแข็งท่มี ขี นำด
ใชห้ ลกั ฐำนเชิงประจกั ษ์รวมทงั้ ระบุ แตกต่ำงกนั อย่ำงชดั เจน อำจใชว้ ิธีกำรหยบิ ออก หรอื กำรรอ่ นผ่ำน
วิธี แกป้ ัญหำในชีวติ ประจำวนั วสั ดทุ ่มี ีรูถำ้ มสี ำรใดสำรหนึง่ เป็นสำรแม่เหลก็ อำจใชว้ ิธีกำรใช้
เก่ยี วกบั กำรแยกสำร
แมเ่ หลก็ ดึงดูด ถำ้ องคป์ ระกอบเป็นของแข็งทไ่ี ม่ละลำยใน
ของเหลว อำจใชว้ ิธีกำรรินออกกำรกรอง หรือ กำรตกตะกอน ซง่ึ
วธิ ีกำรแยกสำรสำมำรถนำไปใช้ ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวนั ได้
ม.1 ๑. อธิบำยสมบตั ทิ ำงกำยภำพบำง • ธำตแุ ต่ละชนดิ มสี มบตั ิเฉพำะตวั และมีสมบตั ิ ทำงกำยภำพบำง
ประกำรของ ธำตโุ ลหะ อโลหะ และ
ก่งึ โลหะ โดยใชห้ ลกั ฐำน เชงิ ประจกั ษ์ ประกำรเหมอื นกนั และ บำงประกำรตำ่ งกนั ซง่ึ สำมำรถนำมำจดั
ท่ีไดจ้ ำกกำรสงั เกตและกำรทดสอบ กลมุ่ ธำตุ เป็นโลหะอโลหะและก่ึงโลหะธำตุโลหะมจี ดุ เดือด จดุ
และใชส้ ำรสนเทศทีไ่ ดจ้ ำก หลอมเหลวสงู มีผิวมนั วำว นำควำมรอ้ น นำไฟฟ้ำ ดึงเป็นเสน้ หรือ
แหล่งขอ้ มลู ต่ำง ๆ รวมทง้ั จดั กลมุ่ ธำตุ ตีเป็นแผ่นบำงๆไดแ้ ละ มีควำมหนำแนน่ ท้งั สงู และต่ำ ธำตอุ โลหะ
เป็นโลหะ อโลหะ และ กง่ึ โลหะ มีจดุ เดอื ด จดุ หลอมเหลวต่ำ มีผิวไมม่ นั วำว ไมน่ ำควำมรอ้ น ไมน่ ำ
๒. วิเครำะหผ์ ลจำกกำรใชธ้ ำตโุ ลหะ ไฟฟ้ำ เปรำะ แตกหกั ง่ำย และมีควำมหนำแนน่ ต่ำ
อโลหะ ก่ึงโลหะ และธำตกุ มั มนั ตรงั สี • ธำตกุ งึ่ โลหะมสี มบตั ิ บำงประกำรเหมอื นโลหะ และสมบตั บิ ำง
ทีม่ ตี ่อสง่ิ มชี วี ติ ส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกิจประกำร เหมอื นอโลหะธำตโุ ลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ ท่ีสำมำรถ
และสงั คม จำกขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ แผร่ งั สไี ด้ จดั เป็นธำตกุ มั มนั ตรงั สี
๓. ตระหนกั ถงึ คณุ ค่ำของกำรใชธ้ ำตุ • ธำตมุ ที งั้ ประโยชนแ์ ละโทษ กำรใชธ้ ำตโุ ลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ
โลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ ธำตุ ธำตกุ มั มนั ตรงั สีควรคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ส่ิงมีชวี ติ ส่งิ แวดลอ้ ม
กมั มนั ตรงั สโี ดยเสนอแนวทำง กำรใช้ เศรษฐกิจ และสงั คม
ธำตอุ ยำ่ งปลอดภยั คมุ้ คำ่
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 48
ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
๔. เปรยี บเทยี บจุดเดอื ดจดุ • สารบรสิ ทุ ธป์ิ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว ส่วนสารผสม
หลอมเหลวของสารบริสุทธิ์ และสาร ประกอบดว้ ยสารตั้งแต่ ๒ ชนิด ข้ึนไป สารบริสุทธ์แิ ต่ละชนดิ มี
ผสม โดยการวัดอณุ หภมู เิ ขยี นกราฟ สมบตั บิ างประการ ท่เี ป็นค่าเฉพาะตวั เช่น จุดเดอื ดและ จดุ
แปลความหมายขอ้ มลู จากกราฟ หลอมเหลวคงทแ่ี ต่สารผสมมีจดุ เดอื ด และจุดหลอมเหลวไมค่ งท่ี
หรอื สารสนเทศ ขึน้ อยกู่ บั ชนดิ และ สดั สว่ นของสารทผี่ สมอย่ดู ว้ ยกัน
๕. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บความ • สารบริสุทธ์ิแต่ละชนดิ มีความหนาแนน่ หรอื มวลต่อหนงึ่ หนว่ ย
หนาแนน่ ของ สารบรสิ ทุ ธ์แิ ละสาร ปริมาตรคงที่ เปน็ คา่ เฉพาะ ของสารนัน้ ณ สถานะและอุณหภูมิ
ผสม หนึ่ง แตส่ ารผสมมีความหนาแนน่ ไม่คงท่ขี น้ึ อยูก่ บั ชนดิ และ
๖. ใชเ้ ครอื่ งมือเพื่อวดั มวลและ สดั ส่วนของสารทผ่ี สมอย่ดู ้วยกนั ๗. อธบิ ายเกี่ยวกับความสัมพนั ธ์
ปริมาตรของ สารบริสุทธ์ิและสาร ระหว่างอะตอม ธาตแุ ละสารประกอบ โดยใช้แบบจำลอง และ
ผสมแบบจำลอง สารสนเทศ
๗. อธบิ ายเก่ยี วกับความสมั พันธ์ • สารบรสิ ทุ ธแิ์ บง่ ออกเปน็ ธาตแุ ละสารประกอบ ธาตุประกอบดว้ ย
ระหวา่ งอะตอม ธาตุและ อนุภาคที่เล็กทส่ี ุดทีย่ ังแสดง สมบตั ิของธาตนุ นั้ เรยี กว่า อะตอม
สารประกอบ โดยใชแ้ บบจำลอง ธาตแุ ตล่ ะชนดิ ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนดิ เดยี วและไม่
และสารสนเทศ สามารถแยกสลายเปน็ สารอืน่ ไดด้ ้วยวิธที างเคมี ธาตเุ ขยี นแทน
๘. อธิบายโครงสร้างอะตอมท่ี ด้วยสญั ลกั ษณ์ธาตสุ ารประกอบ เกดิ จากอะตอมของธาตตุ ้งั แต่ ๒
ประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอน ชนิดขึ้นไป รวมตัวกันทางเคมใี นอตั ราสว่ นคงที่ มีสมบัติ แตกตา่ ง
และอเิ ล็กตรอน โดยใช้ แบบจำลอง จากธาตทุ ่ีเปน็ องค์ประกอบ สามารถ แยกเปน็ ธาตุได้ดว้ ยวธิ ที าง
๙. อธิบายและเปรียบเทยี บการ เคมธี าตุและ สารประกอบสามารถเขียนแทนได้ด้วยสูตรเคมี
จดั เรยี งอนภุ าค แรงยึดเหนีย่ ว • อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน นวิ ตรอน และ อิเล็กตรอน โปรตอน
ระหวา่ งอนุภาค และการเคล่อื นที่ มปี ระจไุ ฟฟ้าบวก ธาตุ ชนิดเดียวกันมีจำนวนโปรตอนเทา่ กันและ
ของอนภุ าคของสสารชนิดเดียวกันใน เปน็ ค่าเฉพาะของธาตุนนั้ นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟ้า สว่ น
สถานะ ของแข็ง ของเหลว และแกส๊ อิเลก็ ตรอนมปี ระจไุ ฟฟา้ ลบ เม่อื อะตอม มีจำนวนโปรตอนเท่ากบั
โดยใชแ้ บบจำลอง จำนวนอิเลก็ ตรอน จะเปน็ กลางทางไฟฟา้ โปรตอนและนิวตรอน
๑๐. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง รวมกนั ตรงกลางอะตอมเรียกว่า นิวเคลยี ส ส่วนอเิ ลก็ ตรอน
พลงั งานความร้อนกับการเปล่ียน เคลือ่ นที่อยใู่ นทวี่ ่างรอบนิวเคลยี ส
สถานะ ของสสาร โดยใชห้ ลกั ฐาน
เชิงประจกั ษแ์ ละ แบบจำลอง
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 49
ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
• สสารทุกชนดิ ประกอบดว้ ยอนุภาค โดยสาร ชนิดเดียวกนั ทม่ี ี
สถานะของแขง็ ของเหลว แกส๊ จะมีการจดั เรยี งอนุภาค แรงยดึ
เหนย่ี วระหวา่ ง อนภุ าคการเคลือ่ นท่ีของอนภุ าคแตกต่างกัน ซ่ึงมี
ผลต่อรปู รา่ งและปรมิ าตรของสสาร
• อนภุ าคของของแขง็ เรียงชดิ กัน มีแรงยึดเหนยี่ ว ระหวา่ งอนุภาค
มากทสี่ ุด อนภุ าคสั่นอย่กู ับท่ี ทำใหม้ ีรูปรา่ งและปริมาตรคงท่ี
• อนภุ าคของของเหลวอยูใ่ กลก้ ัน มีแรงยึดเหน่ียว ระหว่างอนภุ าค
นอ้ ยกวา่ ของแข็งแตม่ ากกวา่ แก๊ส อนภุ าคเคล่ือนท่ไี ด้แต่ไม่เปน็
อสิ ระเทา่ แกส๊ ทำให้ มีรปู รา่ งไม่คงท่ีแต่ปริมาตรคงที่
• อนุภาคของแก๊สอยหู่ ่างกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหวา่ งอนุภาค
น้อยทสี่ ดุ อนภุ าคเคล่ือนที่ได้ อยา่ งอสิ ระทุกทิศทาง ทำให้มรี ูปร่าง
และปริมาตร ไมค่ งท่ี
• ความร้อนมผี ลต่อการเปล่ยี นสถานะของสสาร เมือ่ ใหค้ วามรอ้ น
แก่ของแขง็ อนภุ าคของของแขง็ จะมีพลงั งานและอณุ หภมู เิ พิม่ ขึ้น
จนถงึ ระดบั หนึ่ง ซง่ึ ของแข็งจะใช้ความรอ้ นในการเปลย่ี นสถานะ
เปน็ ของเหลว เรียกความรอ้ นที่ใชใ้ นการเปลี่ยน สถานะจาก
ของแขง็ เป็นของเหลวว่าความรอ้ นแฝง ของการหลอมเหลว และ
อุณหภูมขิ ณะ เปลี่ยนสถานะจะคงท่ี เรียกอุณหภูมนิ ว้ี า่ จดุ
หลอมเหลว
• เมื่อให้ความรอ้ นแก่ของเหลวอนุภาคของของเหลว จะมพี ลงั งาน
และอณุ หภมู ิเพ่มิ ข้นึ จนถึงระดับหน่งึ ซ่งึ ของเหลวจะใชค้ วามร้อน
ในการเปล่ียนสถานะ เป็นแก๊ส เรยี กความรอ้ นที่ใช้ในการเปลย่ี น
สถานะ จากของเหลวเปน็ แกส๊ ว่า ความร้อนแฝงของ การ
กลายเปน็ ไอ และอณุ หภูมิขณะเปล่ยี นสถานะ จะคงที่ เรียก
อณุ หภมู ินี้วา่ จุดเดือด
• เมื่อทำให้อุณหภูมขิ องแกส๊ ลดลงจนถงึ ระดบั หน่งึ แก๊สจะเปลีย่ น
สถานะเป็นของเหลว เรยี กอุณหภมู ิ นีว้ ่า จดุ ควบแน่น ซึ่งมี
อณุ หภูมเิ ดยี วกบั จุดเดือด ของของเหลวน้ัน
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 50
ชัน้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• เมื่อทำให้อณุ หภูมขิ องของเหลวลดลงจนถงึ ระดับหนึ่ง ของเหลวจะ
เปลี่ยนสถานะเปน็ ของแขง็ เรียกอณุ หภมู ินี้ว่า จดุ เยือกแขง็ ซง่ึ มี
อุณหภมู ิ เดยี วกบั จุดหลอมเหลวของของแข็งน้นั
ม.2 ๑. อธบิ ายการแยกสารผสมโดยการ • การแยกสารผสมให้เปน็ สารบริสทุ ธิท์ ำไดห้ ลายวธิ ี ข้ึนอยู่กบั สมบตั ิ
ระเหยแหง้ การตกผลึก การกล่นั อยา่ ง
ของสารนน้ั ๆ การระเหยแหง้ ใช้ แยกสารละลายซึง่ ประกอบด้วยตวั
ง่าย โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การ ละลายทีเ่ ป็น ของแข็งในตัวทำละลายทีเ่ ป็นของเหลว โดยใช้ ความ
สกัดด้วย ตัวทำละลาย โดยใช้ รอ้ นระเหยตัวทำละลายออกไปจนหมด เหลือแต่ตัวละลาย การตก
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ผลึกใช้แยกสารละลาย ท่ีประกอบด้วยตัวละลายทเี่ ปน็ ของแข็งใน ตัว
๒. แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตก ทำละลายท่เี ปน็ ของเหลวโดยทำใหส้ ารละลายอม่ิ ตัว แลว้ ปล่อยใหต้ ัว
ผลึก การกลนั่ อยา่ งง่าย โครมาโท ทำละลายระเหยออกไปบางส่วน ตัวละลายจะตกผลกึ แยกออกมา การ
กราฟแี บบกระดาษ การสกัดดว้ ยตัว กล่ันอยา่ งงา่ ย ใช้แยกสารละลายท่ีประกอบดว้ ยตวั ละลายและตัวทำ
ทำละลาย ละลายที่เปน็ ของเหลวที่มี จุดเดือดต่างกันมาก วธิ นี ้ีจะแยกของเหลว
๓. นำวิธกี ารแยกสารไปใชแ้ กป้ ญั หาใน บรสิ ทุ ธ์ิ ออกจากสารละลายโดยให้ความร้อนกบั สารละลาย ของเหลว
ชวี ติ ประจำวัน โดยบูรณาการ จะเดอื ดและกลายเปน็ ไอแยกจาก สารละลายแล้วควบแนน่ กลับเปน็
วทิ ยาศาสตร์คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ของเหลว อีกคร้งั ขณะท่ขี องเหลวเดือด อุณหภมู ิของไอจะ คงท่ี โคร
และวิศวกรรมศาสตร์
มาโทกราฟีแบบกระดาษเปน็ วธิ ีการแยก สารผสมท่มี ปี รมิ าณนอ้ ยโดย
๔. ออกแบบการทดลองและทดลองใน ใชแ้ ยกสารที่มสี มบัติ การละลายในตัวทำละลายและการถูกดูดซบั ดว้ ย
การอธิบาย ผลของชนิดตัวละลาย ตัวดดู ซับแตกต่างกัน ทำให้สารแต่ละชนิด เคลอ่ื นทีไ่ ปบนตวั ดดู ซบั ได้
ชนิดตัวทำละลาย อณุ หภมู ทิ ี่มตี ่อ ต่างกัน สารจึงแยก ออกจากกนั ได้อัตราส่วนระหว่างระยะทางทีส่ าร
สภาพละลายไดข้ องสาร รวมทัง้
องค์ประกอบแต่ละชนิดเคลอื่ นทไ่ี ดบ้ นตวั ดดู ซับ กับระยะทางทตี่ วั ทำ
อธบิ ายผลของความดันทมี่ ีตอ่ สภาพ ละลายเคล่อื นท่ีไดเ้ ป็น คา่ เฉพาะตวั ของสารแต่ละชนดิ ในตวั ทำละลาย
ละลายได้ ของสาร โดยใชส้ ารสนเทศ และตัวดูดซับหน่ึง ๆ การสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นวิธีการแยกสาร
๕. ระบปุ ริมาณตัวละลายในสารละลาย ผสมท่มี ีสมบัตกิ ารละลายใน ตวั ทำละลายทตี่ า่ งกนั โดยชนดิ ของตวั ทำ
ในหน่วย ความเขม้ ขน้ เป็นร้อยละ
ละลาย มีผลตอ่ ชนดิ และปริมาณของสารทส่ี กดั ได้ การสกัดโดยการ
ปรมิ าตรตอ่ ปรมิ าตร มวลตอ่ มวล และ กล่ันดว้ ยไอน้ำ ใชแ้ ยกสาร ทร่ี ะเหยงา่ ย ไม่ละลายน้ำ และไมท่ ำ
มวลตอ่ ปริมาตร ๖. ตระหนกั ถึง ปฏิกริ ยิ า กับนำ้ ออกจากสารท่รี ะเหยยาก โดยใช้ไอนำ้ เป็นตัวพา
ความสำคัญของการนำความร้เู รือ่ ง
ความเขม้ ข้นของสารไปใชโ้ ดย
ยกตัวอย่างการใช้ สารละลายใน
ชีวติ ประจำวันอยา่ งถูกตอ้ ง และ
ปลอดภัย
หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ช้นั ตวั ช้วี ัด เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 51
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• ความรูด้ ้านวิทยาศาสตร์เก่ยี วกับการแยกสาร บรู ณาการกบั
คณติ ศาสตรเ์ ทคโนโลยีโดยใช้ กระบวนการทางวิศวกรรม
สามารถนำไปใช้ แกป้ ญั หาในชีวิตประจำวนั หรือปญั หาท่พี บใน
ชมุ ชนหรือสรา้ งนวัตกรรม โดยมขี ั้นตอน ดังนี้
- ระบปุ ัญหาในชวี ติ ประจำวนั ทเ่ี กี่ยวกับการ แยกสารโดยใช้
สมบัติทางกายภาพ หรอื นวตั กรรม ทีต่ อ้ งการพัฒนา โดยใช้
หลกั การดังกลา่ ว
- รวบรวมขอ้ มลู และแนวคดิ เกี่ยวกบั การแยกสาร โดยใช้สมบตั ิ
ทางกายภาพทส่ี อดคล้องกับปญั หา ที่ระบุ หรอื นำไปส่กู าร
พฒั นานวัตกรรมนนั้
- ออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา หรอื พฒั นานวัตกรรม ที่เกยี่ วกับ
การแยกสารในสารผสม โดยใชส้ มบัติ ทางกายภาพ โดย
เช่อื มโยงความรดู้ ้าน วทิ ยาศาสตร์คณติ ศาสตรเ์ ทคโนโลยแี ละ
กระบวนการทางวิศวกรรม รวมทง้ั กำหนดและ ควบคุมตวั แปร
อยา่ งเหมาะสม ครอบคลุม
- วางแผนและดำเนนิ การแกป้ ญั หา หรอื พัฒนา นวัตกรรม
รวบรวมข้อมลู จดั กระทำขอ้ มลู และเลอื กวธิ กี ารสอื่ ความหมาย
ทเี่ หมาะสม ในการนำเสนอผล
- ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแกป้ ญั หา หรือนวัตกรรม
ทพ่ี ัฒนาขึ้น โดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ทรี่ วบรวมได้
- นำเสนอวิธกี ารแก้ปัญหา หรือผลของนวตั กรรม ทีพ่ ัฒนาข้ึน
และผลที่ไดโ้ ดยใช้วิธกี ารสอื่ สาร ท่ีเหมาะสมและน่าสนใจ
• สารละลายอาจมสี ถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว และแกส๊
สารละลายประกอบดว้ ยตวั ทำละลาย และตัวละลาย กรณี
สารละลายเกิดจากสารที่มี สถานะเดียวกนั สารทม่ี ปี รมิ าณมาก
ทสี่ ุดจัดเปน็ ตวั ทำละลาย กรณสี ารละลายเกิดจากสารที่มี
สถานะต่างกนั สารที่มสี ถานะเดยี วกนั กับ สารละลายจัดเปน็ ตวั
ทำละลาย
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 52
ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
• สารละลายทตี่ วั ละลายไม่สามารถละลายในตวั ทำละลายไดอ้ กี ท่ี
อุณหภูมิหนงึ่ ๆ เรยี กว่า สารละลายอ่ิมตัว
• สภาพละลายได้ของสารในตัวทำละลาย เป็นคา่ ท่ี บอกปริมาณ
ของสารทล่ี ะลายได้ในตัวทำละลาย ๑๐๐ กรมั จนไดส้ ารละลาย
อม่ิ ตัว ณ อุณหภมู ิ และความดันหน่ึง ๆ สภาพละลายไดข้ องสาร
บ่งบอกความสามารถในการละลายไดข้ องตัวละลาย ในตวั ทำ
ละลาย ซง่ึ ความสามารถในการละลาย ของสารขน้ึ อยกู่ ับชนิดของ
ตวั ทำละลายและ ตวั ละลาย อุณหภมู ิและความดนั
• สารชนดิ หน่ึงๆ มสี ภาพละลายได้แตกต่างกนั ใน ตวั ทำละลายท่ี
แตกตา่ งกนั และสารตา่ งชนิดกัน มสี ภาพละลายไดใ้ นตวั ทำ
ละลายหน่ึงๆไม่เทา่ กัน
• เมื่ออณุ หภมู สิ งู ข้นึ สารส่วนมาก สภาพละลายได้ ของสารจะ
เพิ่มข้นึ ยกเวน้ แก๊สเมื่ออุณหภูมิสงู ขึ้น สภาพการละลายไดจ้ ะ
ลดลง ส่วนความดนั มผี ล ตอ่ แก๊ส โดยเมือ่ ความดันเพม่ิ ขนึ้ สภาพ
ละลายได้ จะสูงขน้ึ
• ความรเู้ กี่ยวกบั สภาพละลายไดข้ องสาร เม่อื เปลี่ยนแปลงชนิด
ตัวละลาย ตัวทำละลาย และ อุณหภูมสิ ามารถนำไปใชป้ ระโยชน์
ในชีวิตประจำวนั เช่น การทำน้ำเช่อื มเข้มขน้ การสกดั สารออก
จาก สมนุ ไพรใหไ้ ดป้ ริมาณมากที่สุด
• ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย เป็นการระบุปริมาณ ตัวละลายใน
สารละลาย หน่วยความเข้มขน้ มหี ลายหน่วย ที่นยิ มระบเุ ปน็
หนว่ ยเป็นร้อยละ ปรมิ าตรต่อปรมิ าตร มวลตอ่ มวล และมวล ต่อ
ปรมิ าตร
• ร้อยละโดยปรมิ าตรต่อปรมิ าตร เปน็ การระบุ ปริมาตรตวั ละลาย
ในสารละลาย ๑๐๐ หนว่ ย ปริมาตรเดียวกนั นยิ มใชก้ บั
สารละลายทีเ่ ป็น ของเหลวหรือแกส๊
• รอ้ ยละโดยมวลต่อมวล เป็นการระบุมวล ตัวละลายใน
สารละลาย ๑๐๐ หนว่ ยมวลเดียวกนั นิยมใชก้ บั สารละลายที่มี
สถานะเปน็ ของแขง็
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ชัน้ ตัวชวี้ ัด เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 53
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร เป็นการระบมุ วล ตวั ละลายใน
สารละลาย ๑๐๐ หน่วยปริมาตร นยิ มใชก้ ับสารละลายท่มี ตี วั
ละลายเปน็ ของแขง็ ในตวั ทำละลายทเี่ ป็นของเหลว
• การใช้สารละลาย ในชวี ิตประจำวัน ควรพิจารณา จากความ
เขม้ ขน้ ของสารละลาย ขึน้ อยกู่ ับ จดุ ประสงคข์ องการใช้งาน
และผลกระทบต่อ ส่ิงชีวิตและสงิ่ แวดล้อม
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 54
ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.3 ๑. ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ • พอลิเมอรเ์ ซรามกิ และวสั ดุผสม เป็นวสั ดุที่ใช้ มากใน
ประโยชน์ วัสดุประเภทพอลเิ มอรเ์ ซรา
มิก และวัสดุผสม โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง ชวี ติ ประจำวนั
ประจกั ษแ์ ละสารสนเทศ • พอลิเมอร์เปน็ สารประกอบโมเลกลุ ใหญ่ ท่เี กดิ จากโมเลกลุ
๒. ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้วัสดุ จำนวนมากรวมตวั กันทางเคมี เช่น พลาสตกิ ยาง เสน้ ใยซง่ึ เปน็ พอ
ประเภท พอลิเมอรเ์ ซรามิก และวัสดุ
ผสม โดยเสนอแนะ แนวทางการใช้ ลิเมอร์ท่ีมี สมบัตแิ ตกต่างกัน โดยพลาสตกิ เปน็ พอลิเมอร์ท่ี ข้ึนรปู
วัสดอุ ยา่ งประหยดั และคมุ้ ค่า เปน็ รปู ทรงตา่ ง ๆ ได้ยางยดื หยนุ่ ได้ สว่ นเสน้ ใยเป็นพอลิเมอรท์ ่ี
๓. อธิบายการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมรี วมถงึ สามารถดงึ เป็นเสน้ ยาวได้ พอลิเมอร์จงึ ใช้ประโยชน์ไดแ้ ตกต่างกัน
การจัด เรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมเมื่อ
เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี โดยใช้แบบจำลอง • เซรามิกเปน็ วสั ดุท่ผี ลิตจาก ดนิ หิน ทราย และ แร่ธาตุต่าง ๆ
และสมการขอ้ ความ จากธรรมชาติและสว่ นมากจะผา่ น การเผาทอี่ ุณหภมู สิ งู เพอ่ื ให้ได้
๔. อธบิ ายกฎทรงมวล โดยใช้ เน้ือสารที่แขง็ แรง เซรามิกสามารถทำเปน็ รปู ทรงตา่ ง ๆ ได้สมบัติ
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ทวั่ ไปของเซรามิกจะแขง็ ทนตอ่ การสึกกร่อน และเปราะ สามารถ
๕. วเิ คราะหป์ ฏกิ ริ ยิ าดูดความรอ้ น นำไปใช้ประโยชน์ได้เช่น ภาชนะทเ่ี ปน็ เคร่ืองปนั้ ดินเผาชิ้นส่วน
และปฏกิ ริ ยิ า คายความรอ้ น จากการ
เปลี่ยนแปลงพลงั งาน ความรอ้ นของ อเิ ล็กทรอนกิ ส์
ปฏิกริ ิยา
๖. อธบิ ายปฏิกริ ยิ าการเกิดสนิมของ • วสั ดุผสมเปน็ วัสดทุ ่ีเกดิ จากวสั ดตุ งั้ แต่ ๒ ประเภท ท่ีมีสมบตั ิ
เหล็ก ปฏิกิรยิ า ของกรดกับโลหะ แตกต่างกนั มารวมตัวกนั เพอ่ื นำไปใช้ ประโยชน์ได้มากข้นึ เชน่
ปฏิกริ ยิ าของกรดกบั เบส และ เสอื้ กันฝนบางชนิด เป็นวัสดผุ สมระหวา่ งผา้ กบั ยางคอนกรตี เสรมิ
ปฏิกริ ิยาของเบสกับโลหะ โดยใช้ เหล็ก เป็นวสั ดผุ สมระหวา่ งคอนกรตี กบั เหล็ก
หลกั ฐานเชิง ประจักษ์และอธบิ าย • วัสดบุ างชนิดสลายตัวยาก เชน่ พลาสติก การใช้ วสั ดอุ ยา่ ง
ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด
การสงั เคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ ฟมุ่ เฟือยและไม่ระมัดระวงั อาจกอ่ ปัญหาตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม
สารสนเทศ รวมท้งั เขียนสมการ • การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปล่ยี นแปลงทาง เคมีของสาร เปน็
ขอ้ ความแสดง ปฏิกิริยาดังกลา่ ว การเปล่ยี นแปลงทที่ ำให้เกิด สารใหม่ โดยสารที่เขา้ ทำปฏิกริ ยิ า
๗. ระบปุ ระโยชนแ์ ละโทษของ
ปฏกิ ิรยิ าเคมี ท่มี ีตอ่ สิง่ มีชวี ติ และ เรียกวา่ สารตั้งต้น สารใหม่ที่เกดิ ขนึ้ จากปฏกิ ริ ยิ า เรยี กว่า
สิง่ แวดลอ้ ม และยกตัวอยา่ ง วิธกี าร
ปอ้ งกันและแก้ปญั หาที่เกิดจาก ผลิตภัณฑ์ การเกิดปฏิกิริยาเคมสี ามารถเขียนแทนได้ดว้ ย สมการ
ปฏิกริ ิยาเคมี ท่พี บในชวี ิตประจำวนั ข้อความ
จากการสืบคน้ ข้อมูล • การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีอะตอมของสารต้งั ต้นจะมี การจัดเรยี งตัว
๘. ออกแบบวธิ แี ก้ปญั หาใน ใหม่ ได้เปน็ ผลติ ภณั ฑซ์ ึ่งมีสมบตั ิ แตกต่างจากสารต้ังต้น โดย
ชวี ิตประจำวนั โดยใช้ ความรูเ้ ก่ยี วกบั อะตอมแต่ละชนิด ก่อนและหลังเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีมีจำนวนเทา่ กนั
ปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการ
วทิ ยาศาสตรค์ ณิตศาสตร์ เทคโนโลยี •เม่อื เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีมวลรวมของสารต้งั ต้น เทา่ กบั มวลรวมของ
และวศิ วกรรมศาสตร์
ผลิตภณั ฑซ์ งึ่ เปน็ ไปตาม กฎทรงมวล
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ชัน้ ตวั ชี้วัด เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 55
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• เมื่อเกิดปฏกิ ิริยาเคมีมกี ารถา่ ยโอนความร้อน ควบคู่ไปกบั การ
จัดเรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมของสาร ปฏกิ ริ ยิ าท่ีมกี ารถ่ายโอน
ความร้อนจากสิง่ แวดล้อม เข้าส่รู ะบบเปน็ ปฏกิ ริ ยิ าดดู ความร้อน
ปฏิกริ ิยา ที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออกสู่ สงิ่ แวดล้อม
เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน โดยใช้ เคร่อื งมือท่ีเหมาะสมในการ
วดั อุณหภมู เิ ช่น เทอรม์ อมเิ ตอร์หัววัดทีส่ ามารถตรวจสอบ การ
เปลี่ยนแปลงของอุณหภมู ิไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง
• ปฏิกิรยิ าเคมที พ่ี บในชีวติ ประจำวนั มีหลายชนดิ เชน่ ปฏิกิรยิ า
การเผาไหม้การเกดิ สนิมของเหลก็ ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับโลหะ
ปฏิกิรยิ าของกรดกับ เบส ปฏกิ ริ ิยาของเบสกับโลหะ การเกดิ ฝน
กรด การสงั เคราะห์ด้วยแสง ปฏกิ ิริยาเคมีสามารถ เขียนแทนได้
ด้วยสมการขอ้ ความ ซ่งึ แสดงช่ือของ สารต้ังต้นและผลิตภัณฑ์
เช่น เชื้อเพลิง + ออกซิเจน → คารบ์ อนไดออกไซด์+ น้ำ
ปฏิกริ ิยาการเผาไหม้เปน็ ปฏกิ ิริยาระหว่างสารกบั ออกซิเจน
สารที่เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ ส่วนใหญเ่ ปน็ สารประกอบทีม่ ี
คาร์บอนและ ไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ ซงึ่ ถา้ เกิดการเผาไหม้
อย่างสมบรู ณ์จะได้ผลติ ภณั ฑ์เปน็ คาร์บอนไดออกไซด์และนำ้
• การเกดิ สนิมของเหล็ก เกดิ จากปฏกิ ริ ิยาเคมี ระหว่างเหล็ก น้ำ
และออกซิเจน ไดผ้ ลติ ภัณฑ์ เปน็ สนมิ ของเหลก็
• ปฏิกริ ยิ าการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็ก เป็นปฏกิ ิริยา
ระหว่างสารต่าง ๆ กบั ออกซิเจน
• ปฏิกริ ิยาของกรดกบั โลหะกรดทำปฏิกริ ิยากับ โลหะไดห้ ลาย
ชนดิ ไดผ้ ลติ ภณั ฑเ์ ป็นเกลือของ โลหะและแกส๊ ไฮโดรเจน
• ปฏิกริ ิยาของกรดกบั สารประกอบคาร์บอเนต ไดผ้ ลิตภณั ฑ์เปน็
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และน้ำ
• ปฏกิ ริ ิยาของกรดกับเบส ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็นเกลือ ของโลหะและ
นำ้ หรอื อาจได้เพยี งเกลอื ของโลหะ
• ปฏกิ ริ ิยาของเบสกับโลหะบางชนดิ ได้ผลิตภัณฑ์ เป็นเกลอื ของ
เบสและแก๊สไฮโดรเจน
• การเกิดฝนกรด เป็นผลจากปฏกิ ริ ยิ าระหว่าง น้ำฝนกับ
ออกไซดข์ องไนโตรเจน หรือออกไซด์ ของซลั เฟอรท์ ำให้น้ำฝนมี
สมบตั ิเปน็ กรด
• การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช เป็นปฏกิ ิริยา ระหว่างแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซดก์ ับนำ้ โดยมี แสงช่วยในการเกิดปฏิกิริยา
ไดผ้ ลิตภัณฑ์เปน็ นำ้ ตาลกลโู คสและออกซิเจน
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 56
ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• ปฏกิ ิริยาเคมีท่ีพบในชีวติ ประจำวันมที ้งั ประโยชน์ และโทษต่อ
สิง่ มีชีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม จงึ ตอ้ ง ระมัดระวังผลจากปฏกิ ิรยิ าเคมี
ตลอดจนรจู้ ักวธิ ี ปอ้ งกนั และแกป้ ญั หาทเี่ กดิ จากปฏิกริ ิยาเคมีทีพ่ บ
ในชีวิตประจำวนั
• ความรูเ้ ก่ยี วกับปฏกิ ริ ิยาเคมีสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ใน
ชีวิตประจำวนั และสามารถบรู ณาการ กบั คณติ ศาสตรเ์ ทคโนโลยี
และวศิ วกรรมศาสตร์ เพ่ือใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑใ์ หม้ ีคณุ ภาพ ตาม
ต้องการหรืออาจสรา้ งนวตั กรรมเพอื่ ปอ้ งกนั และแกป้ ญั หาท่ี
เกดิ ข้ึนจากปฏกิ ิรยิ าเคมโี ดยใช้ ความรู้เกีย่ วกับปฏกิ ริ ิยาเคมเี ช่น
การเปลย่ี นแปลง พลงั งานความร้อนอนั เน่อื งมาจากปฏิกริ ิยาเคมี
การเพิม่ ปรมิ าณผลผลติ
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 57
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงทีก่ ระทำต่อวตั ถุ ลักษณะการเคลือ่ นที่
แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ชัน้ ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.1 - -
ป.2 - -
ป.3 ๑. ระบผุ ลของแรงทม่ี ีตอ่ การ • การดึงหรือการผลกั เป็นการออกแรงกระทำตอ่ วตั ถุ แรงมผี ลต่อ
เปลีย่ นแปลง การเคลือ่ นทขี่ องวัตถุ การเคล่ือนท่ีของวัตถุ แรงอาจทำใหว้ ัตถุเกดิ การเคลื่อนที่โดย
จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์
๒. เปรยี บเทียบและยกตวั อยา่ งแรง เปลี่ยนตำแหน่งจากทหนึ่งไปยังอกี ท่หี นึง่
สัมผสั และ แรงไมส่ ัมผัสที่มผี ลต่อการ • การเปลยี่ นแปลงการเคลื่อนทขี่ องวตั ถุ ได้แก่วตั ถุที่อยู่นงึ่
เคล่ือนที่ของวัตถุ โดยใช้หลกั ฐานเชิง เปลี่ยนเป็นเคลอื่ นท่ี วตั ถุที่กำลงั เคลื่อนที่เปล่ยี นเปน็ เคล่ือนทเ่ี ร็ว
ประจกั ษ์ ขนึ้ หรือช้าลงหรือหยดุ นง่ึ หรอื เปลีย่ นทิศทางการเคลื่อนที่
๓. จำแนกวตั ถโุ ดยใชก้ ารดึงดูดกับ
แมเ่ หลก็ เปน็ เกณฑจ์ ากหลักฐานเชงิ • การดึงหรอื การผลักเป็นการออกแรงทีเ่ กิดจากวตั ถุหนึ่งกระทำกับ
ประจกั ษ์ อีกวตั ถุหน่ึง โดยวัตถทุ ั้งสองอาจสัมผสั หรือไมต่ อ้ งสมั ผัสกนั เชน่
๔. ระบขุ ้ัวแม่เหลก็ และพยากรณ์ผลที่ การออกแรงโดยใช้มอื ดงึ หรือการผลกั โตะ๊ ใหเ้ คลือ่ นที่เป็นการออก
เกิดข้ึน ระหว่างขวั้ แมเ่ หล็กเมอื่ นำมา
เข้าใกล้กนั จาก หลกั ฐานเชิงประจักษ์ แรงที่วัตถตุ ้องสัมผัสกนั แรงนีจ้ งึ เปน็ แรงสมั ผสั สว่ นการทีแม่เหลก็
ดงึ ดูดหรือผลกั ระหว่างแมเ่ หลก็ เป็น แรงทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยแม่เหล็กไม่
จำเป็นต้องสมั ผสั กัน แรงแม่เหลก็ นี้ จึงเปน็ แรงไม่สัมผัส
• แม่เหลก็ สามารถดึงดูดสารแม่เหลก็ ได้
• แรงแมเ่ หล็กเป็นแรงทเี่ กิดข้ึนระหว่างแม่เหลก็ กบั สารแมเ่ หล็ก
หรือแมเ่ หลก็ กับแม่เหล็กแมเ่ หล็ก มี 2 ขัว้ คอื ขั้วเหนือและขั้ว
ใต้ ขว้ั แม่เหลก็ ชนิดเดยี วกนั จะผลักกัน ตา่ งชนิดกนั จะดึงดดู กนั
ป.4 1. ระบุผลของแรงโน้มถว่ งท่ีมตี อ่ วัตถุ • แรงโนม้ ถ่วงของโลกเป็นแรงดงึ ดูดทโ่ี ลกกระทำตอ่ วัตถุมีทิศ
จากหลักฐาน เชงิ ประจักษ์
2 ใชเ้ คร่ืองชงั่ สปริงในการวัด นํ้าหนัก ทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และเปน็ แรงไมส่ ัมผัส แรงดึงดดู ท่ีโลก
ของวัตถุ กระทำกับวัตถหุ น่ึงๆ ทำใหว้ ตั ถุตกลงสู่พ้ืนโลกและทำให้วัตถมุ ี
น้ำหนัก วดั นำ้ หนกั ของวัตถไุ ด้จากเครือ่ งชั่งสปริง นำ้ หนัก ของวัตถุ
ข้นึ กับมวลของวัตถุโดยวัตถุทมี่ ีมวลมาก จะมนี ้ำหนกั มากวตั ถุทีม่ ี
มวลน้อยจะมนี ำ้ หนกั น้อย
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 58
ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
3. บรรยายมวลของวตั ถุท่ีมีผลต่อ การ• มวล คอื ปริมาณเน้อื ของสสารท้งั หมดทป่ี ระกอบ กันเปน็ วัตถุซ่งึ มี
เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนท่ีของ วัตถุจาก ผลต่อความยากงา่ ยในการ เปลีย่ นแปลงการเคลื่อนทข่ี องวัตถุ
หลักฐานเชงิ ประจักษ์ วตั ถุทม่ี ี มวลมากจะเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนที่ได้ยากกว่า วตั ถุทม่ี ี
มวลนอ้ ย ดังนัน้ มวลของวัตถนุ อกจาก จะหมายถงึ เนอ้ื ท้งั หมด
ของวัตถนุ น้ั แล้ว ยงั หมายถึงการต้านการเปลย่ี นแปลง การ
เคลอื่ นทีข่ องวัตถนุ นั้ ด้วย
ป.5 1. อธิบายวิธีการหาแรงลพั ธ์ของแรง • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงที่กระทำตอ่ วตั ถุ โดย แรงลัพธข์ อง
หลายแรงในแนวเดียวกันที่กระทำตอ่ แรง 2 แรงทกี่ ระทำตอ่ วตั ถุเดียวกนั
วัตถุในกรณีทีว่ ตั ถอุ ยูน่ ิ่งจาก หลกั ฐาน จะมีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงท้ังสองเม่อื แรง
เชิงประจักษ์ ท้ังสองอยูใ่ นแนวเดียวกันและมีทศิ ทางเดียวกัน
2. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำ แตจ่ ะมขี นาดเทา่ กับผลตา่ งของแรงทั้งสอง เมอ่ื แรงทั้งสองอยู่
ต่อวัตถุที่อยู่ในแนวเดียวกันและแรง ในแนวเดยี วกนั แต่มที ศิ ทางตรงข้ามกัน สำหรับวัตถทุ ่ีอยนู่ ิ่ง
ลัพธท์ ีก่ ระทำต่อวัตถุ
3. ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัดแรงท่ี • แรงลัพธ์ท่กี ระทำต่อวตั ถมุ ีค่าเปน็ ศนู ย์ โดย
กระทำต่อวัตถุ การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำตอ่ วัตถุสามารถเขียนได้
4. ระบุผลของแรงเสยี ดทานท่มี ีตอ่ การใช้ลูกศร โดยหวั ลูกศรแสดงทิศทางของแรง และความยาว ของ
ลูกศรแสดงขนาดของแรงทีกระทำตอ่ วตั ถุ
เปล่ียนแปลงการเคลอื่ นท่ีของ วัตถุจาก • แรงเสียดทานเปน็ แรงท่ีเกดิ ขนึ้ ระหวา่ งผวิ สัมผสั ของวตั ถุ เพือ่ ตา้ น
หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ การเคล่อื นที่ของวัตถุน้นั โดยล้าออกแรงกระทำตอ่ วัตถุท่ี อยู่น่งิ บน
5. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียด ทาน พื้นผิวหน่ึงให้เคลื่อนท่ี แรงเสยี ดทานจากพนื้ ผวิ นน้ั ก็ จะตา้ นการ
และแรงทอ่ี ยใู่ นแนวเดยี วกนั ที่ กระทำ เคลื่อนทีข่ องวัตถุ แตล่ า้ วัตถุกำลังเคลอ่ื นท่ี
ต่อวตั ถุ
แรงเสียดทานก็จะทำให้วัตถนุ ้นั เคล่อื นทีช่ า้ ลง หรือหยุดนงิ่
ป.6 1. อธิบายการเกิดและผลของแรง • วตั ถุ 2 ชนิดที่ผา่ นการขัดถแู ลว้ เมื่อนำเขา้ ใกล้กนั อาจดึงดดู หรือ
ไฟฟ้าซ่ึงเกดิ จากวัตถทุ ผ่ี า่ นการขดั ถู ผลกั กนั แรงท่ีเกิดข้ึนน้ันเปน็ แรงไฟฟ้า ซ่ึงเปน็ แรงไม่สัมผสั
โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ เกดิ ขนึ้ ระหวา่ งวตั ถุท่มี ปี ระจไุ ฟฟ้า ซึง่ ประจุ ไฟฟา้ มี 2 ชนดิ คือ
ประจไุ ฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วตั ถทุ ่มี ีประจุไฟฟา้ ชนดิ
เดียวกันผลักกัน ชนดิ ตรงขา้ มกนั ดงึ ดูดกัน
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 59
ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.1 1. สรา้ งแบบจำลองท่ีอธบิ าย • เมอ่ื วตั ถอุ ยใู่ นอากาศจะมีแรงทอี่ ากาศกระทำตอ่ วัตถุในทุก
ความสัมพนั ธ์ระหว่าง ความดันอากาศ ทิศทาง แรงทอ่ี ากาศกระทำตอ่ วตั ถุ ข้ึนอย่กู บั ขนาดพนื้ ทีข่ องวตั ถุ
กับความสูงจาก พนื้ โลก นัน้ แรงท่ีอากาศ กระทำตงั้ ฉากกบั ผวิ วตั ถุต่อหน่งึ หนว่ ยพืน้ ท่ี
เรียกว่า ความดันอากาศ
• ความดนั อากาศมีความสัมพนั ธก์ บั ความสงู จากพนื้ โลก โดยบริเวณ
ทส่ี ูงจากพน้ื โลกขนึ้ ไป อากาศเบาบางลง มวลอากาศน้อยลง ความ
ดันอากาศก็จะลดลง
ม.2 ๑. พยากรณ์การเคล่ือนทข่ี องวัตถทุ ี่ • แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ เมือ่ มีแรงหลาย ๆ แรงกระทำต่อ วัตถุ
เป็นผลของแรงลพั ธท์ ่ีเกดิ จากแรง แล้วแรงลพั ธ์ที่กระทำต่อวัตถมุ คี ่าเป็นศนู ย์ วัตถจุ ะไม่
หลายแรงทกี่ ระทำตอ่ วัตถุ
เปลยี่ นแปลงการเคล่ือนทแ่ี ตถ่ า้ แรงลพั ธ์ท่ีกระทำต่อวัตถุมีคา่ ไม่เปน็
ในแนวเดียวกนั จากหลักฐานเชิง ศูนยว์ ัตถจุ ะเปลยี่ นแปลงการเคล่ือนท่ี
ประจักษ์
• เมอ่ื วัตถอุ ย่ใู นของเหลวจะมแี รงทขี่ องเหลว กระทำต่อวตั ถใุ นทกุ
๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรง ทิศทาง โดยแรงทข่ี องเหลวกระทำตงั้ ฉากกบั ผวิ วัตถตุ ่อหนงึ่ หนว่ ย
ลพั ธท์ ี่เกดิ จากแรงหลายแรงท่กี ระทำ พื้นที่ เรยี กว่าความดนั ของของเหลว
ตอ่ วตั ถุในแนวเดยี วกัน
• ความดนั ของของเหลวมคี วามสัมพันธก์ ับความลกึ จากระดับ
๓. ออกแบบการทดลองและทดลอง ผวิ หนา้ ของของเหลว โดยบรเิ วณท่ี ลกึ ลงไปจากระดบั ผิวหนา้ ของ
ด้วยวิธีทเ่ี หมาะสมในการอธบิ าย ของเหลวมากข้ึน ความดันของของเหลวจะเพ่ิมข้ึน เนอื่ งจาก
ปจั จยั ท่ีมผี ลต่อความดนั
ของเหลวทอ่ี ยลู่ ึกกว่า จะมีน้ำหนกั ของของเหลว ด้านบนกระทำ
ของของเหลว
มากกว่า
๔. วเิ คราะหแ์ รงพยงุ และการจม การ • เม่ือวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเนอ่ื งจาก ของเหลวกระทำ
ลอยของวัตถุในของเหลวจาก หลักฐาน ต่อวัตถุ โดยมีทศิ ขนึ้ ในแนวด่งิ การจมหรอื การลอยของวตั ถขุ น้ึ กับ
เชงิ ประจกั ษ์
น้ำหนักของวตั ถุและแรงพยุง ถ้าน้ำหนกั ของวัตถุและแรงพยงุ ของ
๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงทกี่ ระทำ ของเหลวมีคา่ เท่ากนั วตั ถุจะลอยนิ่งอยู่ในของเหลว แต่ถ้าน้ำหนกั
ต่อวัตถใุ นของเหลว
ของวตั ถมุ ีค่ามากกว่าแรงพยงุ ของของเหลววัตถจุ ะจม
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 60
ชัน้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
6. อธบิ ายแรงเสยี ดทานสถติ และ • แรงเสียดทานเปน็ แรงทเ่ี กิดขน้ึ ระหว่างผวิ สมั ผสั ของวัตถุ เพอื่
แรงเสียดทานจลนจ์ ากหลกั ฐานเชงิ ตา้ นการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุน้ัน โดยถ้าออกแรงกระทำต่อวัตถทุ ี่อยู่
ประจกั ษ์ นงิ่ บนพนื้ ผวิ ใหเ้ คลื่อนทีแ่ รงเสียดทานก็จะต้านการเคลอ่ื นท่ี ของ
7. ออกแบบการทดลองและทดลอง วตั ถุแรงเสียดทานทเ่ี กดิ ขน้ึ ในขณะท่วี ัตถุยงั ไม่เคล่ือนทีเ่ รียก แรง
ดว้ ยวิธที เี่ หมาะสมในการอธิบายปัจจยั เสยี ดทานสถิต แตถ่ า้ วตั ถุ กำลงั เคลือ่ นทีแ่ รงเสยี ดทานกจ็ ะทำให้
ท่ีมีผลต่อขนาดของแรงเสียดทาน วัตถนุ ัน้ เคลื่อนที่ช้าลงหรอื หยดุ นงิ่ เรยี กแรงเสยี ดทานจลน์
8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ด •ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผสั ของวัตถุ ขึ้นกบั ลักษณะ
ทานและแรงอื่น ๆ ทกี่ ระทำต่อวตั ถุ ผิวสมั ผสั และขนาดของ แรงปฏิกิริยาต้ังฉากระหว่างผิวสัมผสั
9. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของความรู้ • กิจกรรมในชีวติ ประจำวนั บางกิจกรรมตอ้ งการ แรงเสียดทาน
เรื่องแรงเสียดทานโดยวิเคราะห์ เช่น การเปิดฝาเกลยี วขวดน้ำ การใช้แผน่ กนั ลนื่ ในห้องน้ำ บาง
สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะ กิจกรรม ไม่ตอ้ งการแรงเสยี ดทาน เช่น การลากวัตถบุ นพ้ืน การ
วธิ กี ารลดหรือเพ่ิมแรงเสยี ดทานท่ี ใช้น้ำมนั หล่อลนื่ ในเครอื่ งยนต์
เปน็ ประโยชนต์ อ่ การทำกจิ กรรมใน • ความรู้เร่ืองแรงเสียดทานสามารถนำไปใช้ ประโยชนใ์ น
ขีวติ ประจำวนั ชวี ิตประจำวนั ได้
10. ออกแบบการทดลองและ • เม่อื มีแรงทีก่ ระทำตอ่ วตั ถโุ ดยไม่ผ่านศูนยก์ ลาง มวลของวัตถจุ ะ
ทดลองด้วยวิธที ่ีเหมาะสมในการอธบิ าย เกิดโมเมนตข์ องแรง ทำใหว้ ัตถุ หมุนรอบศนู ยก์ ลางมวลของวัตถุ
โมเมนต์ของแรง เม่อื วัตถุอย่ใู นสภาพ นัน้
สมดุลต่อการหมุน และคำนวณโดยใช้ • โมเมนตข์ องแรงเปน็ ผลคูณของแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถกุ ับ
สมการ M = Fl ระยะทางจากจดุ หมนุ ไปตงั้ ฉากกับ แนวแรง เม่ือผลรวมของ
โมเมนต์ของแรงมีค่าเปน็ ศนู ย์ วัตถจุ ะอยใู่ นสภาพสมดลุ ตอ่ การ
หมนุ โดย โมเมนตข์ องแรงในทศิ ทวนเข็มนาฬกิ าจะมขี นาด
เทา่ กบั โมเมนตข์ องแรงในทิศตามเขม็ นาฬิกา
• ของเลน่ หลายชนิดประกอบดว้ ยอปุ กรณ์หลาย สว่ นที่ใช้
หลกั การโมเมนต์ของแรง ความรเู้ ร่อื ง โมเมนต์ของแรงสามารถ
นำไปใชอ้ อกแบบและ ประดษิ ฐ์ของเลน่ ได้
M = Ft
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 61
ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
๑๑. เปรียบเทยี บแหล่งของ
• วตั ถทุ ี่มีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยโู่ ดยรอบ แรงโน้มถ่วงที่
สนามแมเ่ หล็ก สนามไฟฟา้ และสนาม กระทำต่อวตั ถทุ ีอ่ ยู่ในสนามโนม้ ถว่ ง จะมที ศิ พงุ่ เข้าหาวตั ถทุ ี่เป็น
โนม้ ถ่วง และทศิ ทาง ของแรงที่กระทำ แหล่งของสนามโน้มถ่วง
ตอ่ วตั ถทุ ีอ่ ยู่ในแตล่ ะสนาม จากข้อมูลที่ • วัตถุที่มีประจไุ ฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยโู่ ดยรอบ แรงไฟฟา้ ที่
รวบรวมได้ กระทำตอ่ วัตถุทีม่ ีประจจุ ะมีทิศพุ่ง เขา้ หาหรอื ออกจากวัตถทุ มี่ ี
๑๒. เขยี นแผนภาพแสดงแรงแมเ่ หลก็ ประจทุ ี่เปน็ แหล่งของ สนามไฟฟ้า
แรงไฟฟา้ และแรงโนม้ ถ่วงทก่ี ระทำตอ่ • วัตถุท่ีเป็นแมเ่ หลก็ จะมสี นามแมเ่ หล็กอย่โู ดยรอบ แรงแม่เหลก็
วตั ถุ ทกี่ ระทำตอ่ ขั้วแม่เหลก็ จะมที ศิ พุ่งเขา้ หาหรอื ออกจาก
๑๓. วเิ คราะหค์ วามสมั พันธร์ ะหวา่ ง ข้ัวแมเ่ หลก็ ที่เปน็ แหล่ง ของสนามแมเ่ หลก็
ขนาดของแรง แมเ่ หล็ก แรงไฟฟ้า และ • ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟา้ และแรงแม่เหล็ก ทกี่ ระทำตอ่
แรงโนม้ ถ่วงทก่ี ระทำ ตอ่ วตั ถทุ ี่อยูใ่ น วตั ถุทอี่ ยใู่ นสนามนน้ั ๆ จะมีคา่ ลดลง เม่อื วัตถอุ ย่หู ่างจากแหลง่
สนามน้ัน ๆ กับระยะหา่ งจาก แหลง่ ของสนามนน้ั ๆ มากข้ึน
ของสนามถงึ วตั ถจุ ากข้อมูลท่ีรวบรวม • การเคลือ่ นที่ของวัตถุเปน็ การเปลี่ยนตำแหน่ง ของวัตถุเทยี บกับ
ได้ ตำแหนง่ อ้างองิ โดยมีปรมิ าณ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การเคลอื่ นท่ีซ่ึงมที ้ัง
๑๔. อธบิ ายและคำนวณอัตราเร็วและ ปริมาณ สเกลาร์และปริมาณเวกเตอรเ์ ชน่ ระยะทาง อตั ราเรว็
ความเร็วของ การเคลื่อนท่ีของวัตถุโดย การกระจัด ความเรว็ ปรมิ าณสเกลาร์ เป็นปรมิ าณท่ีมขี นาด เช่น
ใชส้ มการ จากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ระยะทาง อตั ราเร็ว ปริมาณเวกเตอรเ์ ป็นปรมิ าณทมี่ ที ้ังขนาด
และทศิ ทาง เช่น การกระจัด ความเรว็
• เขยี นแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอรไ์ ด้ดว้ ยลกู ศร โดยความยาว
ของลกู ศรแสดงขนาดและหัวลกู ศร แสดงทิศทางของเวกเตอร์น้ัน
๑๕. เขียนแผนภาพแสดงการกระจดั ๆ
และความเรว็ • ระยะทางเปน็ ปริมาณสเกลารโ์ ดยระยะทาง เปน็ ความยาวของ
เส้นทางท่เี คลื่อนที่ได้
• การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์โดยการกระจัด มีทิศช้จี าก
ตำแหน่งเรม่ิ ตน้ ไปยงั ตำแหน่งสดุ ท้าย และมขี นาดเท่ากับระยะที่
สัน้ ทีส่ ดุ ระหวา่ งสอง ตำแหนง่ นั้น
• อตั ราเร็วเป็นปรมิ าณสเกลาร์โดยอัตราเรว็ เป็น อตั ราสว่ นของ
ระยะทางต่อเวลา
• ความเร็วปรมิ าณเวกเตอรม์ ีทิศเดียวกบั ทิศของ การกระจัด โดย
ความเรว็ เปน็ อัตราสว่ นของ การกระจดั ตอ่ เวลา
ชนั้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.๓
-
-
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 62
สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลยี่ นแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งาน ปฏิสมั พันธ์ ระหว่าง
สสารและพลงั งาน พลงั งานในชวี ิตประจำวนั ธรรมชาติ ของคลื่น ปรากฏการณท์ ีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคล่ืน
แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.1 1. บรรยายการเกดิ เสยี งและทศิ • เสียงเกดิ จากการสั่นของวตั ถุ วตั ถทุ ่ีทำให้เกิดเสยี ง เปน็ แหลง่ กำเนิด
ทางการเคลือ่ นท่ี ของเสยี งจาก เสยี ง ซ่ึงมที ัง้ แหลง่ กำเนิดเสยี ง ตามธรรมชาตแิ ละแหล่งกำเนิด
หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ เสียงท่ีมนุษย์สรา้ งขึน้ เสยี งเคลอ่ื นท่อี อกจากแหลง่ กำเนดิ เสียงทกุ
ทศิ ทาง
ป.2 ๑. บรรยายแนวการเคลื่อนทีข่ อง • แสงเคลือ่ นทจี่ ากแหล่งกำเนิดแสงทกุ ทิศทางเป็นแนวตรง เม่อื มีแสง
แสงจากแหล่งกำเนิดแสง และอธิบาย จากวัตถมุ าเข้าตาจะทำให้ มองเหน็ วตั ถุนน้ั การมองเหน็ วตั ถุท่ี
การมองเห็นวัตถจุ ากหลกั ฐานเชงิ เปน็ แหลง่ กำเนิดแสง แสงจากวัตถนุ น้ั จะเข้าสู่ตาโดยตรง ส่วนการ
ประจกั ษ์
มองเหน็ วตั ถทุ ่ีไม่ใชแ่ หล่งกำเนิดแสง ต้องมี แสงจากแหล่งกำเนิด
๒. ตระหนักในคณุ คา่ ของความรู้ ของ แสงไปกระทบวตั ถุแลว้ สะท้อนเขา้ ตา ถา้ มแี สงทสี่ ว่างมาก ๆ เข้า
การมองเห็นโดยเสนอแนะแนว
สู่ตา อาจเกิดอันตรายตอ่ ตาได้ จึงตอ้ งหลีกเลี่ยง การมองหรือไข้
ทางการปอ้ งกนั อันตรายจากการมอง แผน่ กรองแสงทม่ี คี ุณภาพ เม่ือจำเปน็ และตอ้ งจดั ความสว่างให้
วัตถุที่อย่ใู นบริเวณทมี่ ีแสงสวา่ งไม่ เหมาะสม กับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่านหนงั สอื การดู
เหมาะสม
จอโทรทัศน์ การใชโ้ ทรศพั ทเ์ คล่อื นที่ และแท็บเลต็
ป.3 1. ยกตัวอย่างการเปลีย่ นพลงั งาน • พลงั งานเป็นปริมาณทแี่ สดงถงึ ความสามารถในการทำงาน พลงั งาน
หนง่ึ ไปเปน็ อกี พลังงานหน่งึ จาก มหี ลายแบบ เชน่ พลังงานกล พลงั งานไฟฟา้ พลงั งานแสง
หลักฐานเชิงประจักษ์ พลงั งานเสยี ง และพลงั งานความรอ้ น โดยพลังงานสามารถเปล่ยี น
จากพลังงานหนงึ่ ไปเป็น อีกพลงั งานหน่งึ ได้ เชน่ การถมู ือจนรูส้ กึ
ร้อน เปน็ การเปลยี่ นพลงั งานกลเป็นพลังงานความรอ้ น แผงเซลล์
สุริยะเปล่ียนพลังงานแสงเปน็ พลังงานไฟฟ้า หรือเครือ่ งไชไ้ ฟฟ้า
เปลีย่ นพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลังงานอื่น
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 63
ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
๒.บรรยายการทำงานของเครอื่ ง •ไฟฟ้าผลติ จากเครื่องกำเนิดไฟฟา้ ซงึ่ ใชพ้ ลังงาน
กำเนดิ ไฟฟ้าและระบุแหลง่ พลังงาน จากแหล่งพลงั งานธรรมชาติหลายแหล่ง เชน่ พลงั งานจากลม
ในการผลิตไฟฟ้า จากขอ้ มูลที่ พลงั งานจากน้ำ พลงั งานจากแกส๊ ธรรมชาติ
รวบรวมได้ • พลังงานไฟฟา้ มีความสำคญั ต่อชีวิตประจำวัน การใช้ไฟฟา้ นอกจาก
๓.ตระหนักในประโยชน์และโทษ ตอ้ งใชอ้ ยา่ งถกู วิธี ประหยดั และคมุ้ ค่าแลว้ ยงั ต้องคำนงึ ถงึ ความ
ของไฟฟา้ โดยนำเสนอวิธกี ารใช้ ปลอดภัยดว้ ย
ไฟฟ้าอยา่ งประหยัด และปลอดภยั
ป.4 1. จำแนกวตั ถเุ ปน็ ตวั กลางโปรง่ ใส • เม่ือมองส่ิงตา่ ง ๆ โดยมีวัตถุตา่ งชนดิ กนั มากน้ั แสงจะทำให้ ลกั ษณะ
ตัวกลางโปรง่ แสง และวตั ถุทบึ แสง การมองเห็นส่งิ นนั้ ๆ ซัดเจนต่างกนั จงึ จำแนกวัตถทุ ม่ี ากน้ั ออกเปน็
จากลักษณะการมองเห็นสิ่งตา่ ง ๆ ตัวกลางโปรง่ ใส ซง่ึ ทำให้มองเหน็ ส่ิงต่าง ๆ ได้ซัดเจน ตวั กลางโปรง่
ผา่ นวัตถุนน้ั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้หลกั ฐานแสงทำให้มองเหน็ สิ่งตา่ ง ๆ ได้ไม่ซดั เจน และวัตถุทึบแสงทำให้มองไม่
เชงิ ประจักษ์ เหน็ ส่งิ ต่าง ๆ น้นั
ป.๕ 1.อธิบายการไดย้ นิ เสยี งผา่ นตัวกลาง • การได้ยินเสียงตอ้ งอาศัยตวั กลาง โดยอาจเปน็ ของแข็ง ของเหลว
จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ หรอื อากาศ เสียงจะสง่ ผา่ นตวั กลางมายังหู
2.ระบุตวั แปร ทดลอง และอธิบาย • เสยี งที่ไดย้ ินมีระดบั สงู ตำ่ ฃองเสียงต่างกันขึ้นกับความถ่ีของการสัน่
ลักษณะและการเกิดเสยี งสูงเสียงตาํ่ ของแหลง่ กำเนิดเสียง โดยเม่อื แหลง่ กำเนิดเสยี งสั่นดว้ ย ความถต่ี า่ํ จะ
3.ออกแบบการทดลองและอธบิ าย เกิดเสียงตํา่ แต่ถา้ สนั่ ด้วยความถ่ีสูงจะเกดิ เสยี งสูง ส่วนเสยี งดังคอ่ ยที่
ลักษณะและการเกิดเสียงดงั เสยี ง ไดย้ นิ ข้นึ กับพลังงานการสนั่ ของแหลง่ กำเนดิ เสียง โดยเมื่อ
คอ่ ย แหลง่ กำเนิดเสียงส่ันด้วยพลังงานมากจะเกดิ เสยี งดัง แต่ถา้
4.วัดระดบั เสยี งโดยใชเ้ คร่อื งมือวัด แหล่งกำเนิดเสยี งสัน่ ด้วยพลงั งานน้อยจะเกดิ เสยี งคอ่ ย
ระดับเสียง • เสยี งดังมาก ๆ เป็นอันตรายต่อการไดย้ ินและเสยี งทก่ี อ่ ให้เกดิ ความ
5.ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความรู้ เรอื่ ง รำคาญเป็นมลพิษทางเสียง เดซเิ บสเปน็ หน่วยทบ่ี อกถงึ ความดังของ
ระดับเสียงโดยเสนอแนะ แนวทางใน เสียง
การหลกี เล่ยี งและลดมลพษิ ทางเสยี ง
ป.6 1. ระบุสว่ นประกอบและบรรยาย • วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยประกอบดว้ ย แหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ สายไฟฟ้า และ
หนา้ ทขี่ องแต่ละสว่ นประกอบของ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าหรืออุปกรณไ์ ฟฟา้ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ เช่น ถา่ นไฟฉาย
วงจรไฟฟา้ อย่าง งา่ ยจากหลักฐานเชงิ หรอื แบตเตอร่ี ทำหน้าท่ใี หพ้ ลงั งานไฟฟ้า สายไฟฟา้ เป็นตัวนำไฟฟา้
ประจักษ์ ทำหนา้ ท่เี ชอื่ มตอ่ ระหว่างแหลง่ กำเนิดไฟฟ้าและ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าเข้า
2. เขียนแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟ้า ดว้ ยกันเครอ่ื งใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปลี่ยนพลังงาน ไฟฟา้ เป็นพลงั งานอน่ื
อยา่ งง่าย
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 64
ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
3. ออกแบบการทดลองและ • เมื่อนำเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกันโดยให้ข้ัวบวกของ
ทดลองดว้ ยวธิ ีท่ีเหมาะสมในการ เซลล์ไฟฟ้าเซลลห์ นึ่งต่อกับชั้วลบของอีกเซลล์หนึ่งเปน็ การต่อ แบบ
อธิบายวิธีการและผลของ การตอ่ อนกุ รมทำใหม้ ีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกบั เคร่อื งใช้ไฟฟ้า
ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน
เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม
4. ตระหนักถึงประโยชนข์ อง ความ ชีวติ ประจำวัน เชน่ การต่อเซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย
รูฃ้ องการต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบ อนุกรม • การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมเมอื่ ถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวง
หนึ่งออกทำให้หลอดไฟฟา้ ทีเ่ หลือดับท้งั หมด สว่ นการตอ่ หลอด
โดยบอกประโยชนแ์ ละ การ
ไฟฟา้ แบบขนาน เมื่อถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่งึ ออก หลอด
ประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจำวนั
5. ออกแบบการทดลองแลทดลอง ไฟฟ้าที่เหลอื กย็ งั สว่างได้ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแต่ละแบบ
ดว้ ยวิธีทีเ่ หมาะสมในการอธบิ าย การ สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้เชน่ การตอ่ หลอดไฟฟ้าหลายดวงใน
บ้านจึงตอ้ งตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพ่อื เลือกใช้หลอดไฟฟ้า ดวงใด
ตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม
ดวงหนึง่ ไดต้ ามตอ้ งการ
และแบบขนาน
6. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของ ความรู้ • เมื่อนำวัตถุทบึ แสงมากนั้ แสงจะเกดิ เงาบนฉากรับแสงท่ีอยู่
ของการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบ อนกุ รม ดา้ นหลังวตั ถุ โดยเงามีรูปรา่ งคล้ายวตั ถุที่ทำให้เกิดเงา เงามัว เปน็
และแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ บริเวณท่ีมีแสงบางสว่ นตกลงบนฉาก ส่วนเงามดื เป็นบริเวณ
ขอ้ จำกดั และการประยกุ ต์ใช้ใน ทไี่ มม่ แี สงตกลงบนฉากเลย
ชวี ิตประจำวนั
7. อธบิ ายการเกิดเงามดื เงามวั จาก
หลักฐานเชงิ ประจักษ์
8. เขียนแผนภาพรังสีของแสง
แสดงการเกดิ เงามดื เงามวั
ม.1 1. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล • เมื่อสสารได้รับหรือสูญเสียความร้อนอาจทำให้สสารเปลี่ยน
และคำนวณปริมาณความรอ้ นที่ทำ ให้อุณหภมู ิ เปลยี่ นสถานะ หรือเปล่ียนรูปรา่ ง
สสารเปลี่ยนอุณหภูมิและเปลี่ยน • ปริมาณความรอ้ นทที่ ำให้สสารเปลีย่ นอณุ หภมู ิขน้ึ กบั มวล ความ
สถานะโดยใชส้ มการ Q = mc∆t ร้อนจำเพาะ และอุณหภูมิท่เี ปล่ยี นไป
• ปริมาณความร้อนทที่ ำให้สสารเปลยี่ นสถานะขน้ึ กับมวลและ ความ
และ Q = mL
2. ใชเ้ ทอรม์ อมิเตอรใ์ นการวดั
อุณหภมู ขิ องสสาร รอ้ นแฝงจำเพาะ โดยขณะที่สสารเปล่ยี นสถานะ อณุ หภมู ิ จะไม่
เปลย่ี นแปลง
3. สรา้ งแบบจำลองทีอ่ ธบิ ายการ • ความรอ้ นทำให้สสารขยายตัวหรือหดตวั ได้เน่อื งจากเมื่อสสาร
ขยายตัวหรือหดตัวเนื่องจากไดร้ บั ได้รบั ความรอ้ นจะทำให้อนภุ าคเคลือ่ นท่ีเร็วขึ้น ทำให้เกดิ การ
หรอื สูญเสยี ความรอ้ น ขยายตวั
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 65
ชั้น ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
4. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ อง แต่เม่อื สสารคายความรอ้ นจะทำให้อนภุ าคเคลือ่ นทช่ี า้ ลง ทำ
ความรู้ฃองการหดและขยายตวั ของ ใหเ้ กิดการหดตัว
สสารเนือ่ งจากความร้อนโดย • ความรเู้ ร่ืองการหดและขยายตวั ของสสารเน่อื งจากความร้อน
วเิ คราะหส์ ถานการณ์ปัญหา และ นำไปใชป้ ระโยชน์ไดด้ ้านตา่ ง ๆ เชน่ การสร้างถนน การสรา้ ง
เสนอแนะวิธีการนำความรมู้ า รางรถไฟการทำเทอร์มอมเิ ตอร์
แกป้ ญั หาในชีวิตประจำวนั • ความรอ้ นถา่ ยโอนจากสสารท่มี อี ณุ หภมู ิสูงกวา่ ไปยงั สสารทม่ี ี
5. วเิ คราะหส์ ถานการณ์การถ่าย อณุ หภูมติ ํ่ากวา่ จนกระทัง่ อุณหภูมขิ องสสารทง้ั สองเท่ากนั
โอนความรอ้ นและคำนวณปริมาณ สภาพทีส่ สารทงั้ สองมีอุณหภูมเิ ทา่ กัน เรียกวา่ สมดุลความรอ้ น
ความรอ้ นท่ีถา่ ยโอนระหว่างสสาร • เมือ่ มีการถ่ายโอนความรอ้ นจากสสารที่มอี ุณหภูมิต่างกนั จน
จนเกิดสมดุลความร้อนโดยใช้ เกดิ สมดลุ ความร้อนความรอ้ นที่เพิ่มขนึ้ ของสสารหน่ึงจะเทา่ กบั
สมการ Qสญู เสีย = Qไดร้ บั ความรอ้ นทลี่ ดลงของอกี สสารหนงึ่ ซงึ่ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ กั ษ์
6. สรา้ งแบบจำลองที่อธบิ ายการ พลังงาน
ถ่ายโอนความร้อนโดยการนำความ • การถา่ ยโอนความร้อนมี 3 แบบ คือการนำความร้อน การพา
รอ้ น การพาความรอ้ นการแผ่รงั สี ความรอ้ น และการแผ่รงั สีความรอ้ น การนำความร้อนเป็นการถ่าย
ความรอ้ น โอนความรอ้ นทอี่ าศยั ตวั กลาง โดยทตี่ ัวกลางไม่เคลอื่ นที่ การพา
7. ออกแบบ เลือกใช้ และสรา้ ง ความร้อนเปน็ การถา่ ยโอนความรอ้ นทอี่ าศัยตัวกลาง โดยท่ี
อุปกรณ์ เพือ่ แก้ปัญหาใน ตวั กลางเคลอื่ นที่ไปด้วย ส่วนการแผร่ งั สีความร้อนเปน็ การถา่ ย
ชวี ติ ประจำวันโดยใชค้ วามรู้ โอนความรอ้ นทไ่ี มต่ ้องอาศัยตวั กลาง
เก่ียวกบั การถา่ ยโอนความร้อน • ความรเู้ กย่ี วกบั การถา่ ยโอนความรอ้ นสามารถนำไปใช้ ประโยชนใ์ น
ชวี ติ ประจำวันได้ เชน่ การเลอื กใชว้ สั ดุเพอื่ นำมาทำ ภาชนะบรรจุ
อาหารเพื่อเก็บความร้อน
ม.2 1. วิเคราะหส์ ถานการณ์และ • เมอื่ ออกแรงกระทำต่อวตั ถุ แลว้ ทำใหว้ ัตถุ
คำนวณเก่ียวกับงาน และ เคล่ือนที่ โดยแรงอย่ใู นแนวเดียวกับการเคลอื่ นท่ีจะเกดิ งาน
กำลงั ทเี่ กดิ จากแรงท่ีกระทำ งานจะมีค่ามากหรอื น้อยขึน้ กบั ขนาดของแรงและระยะทาง
ต่อวัตถุโดยใชส้ มการ W = Fs ในแนวเดยี วกับแรง
และ P = W/t • งานทีท่ ำในหน่ึงหน่วยเวลาเรียกว่า กำลงั หลกั การ
ของงานนำไปอธิบายการทำงานของ
จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้
2. วเิ คราะห์หลกั การทำงานของ
เครือ่ งกลอย่างง่าย จากขอ้ มูล
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 66
ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
3.ตระหนกั ถึงประโยชนข์ อง ความรู้ เครอ่ื งกลอย่างง่าย ไดแ้ ก่ คาน พื้นเอียง รอกเด่ียว ล่ิม สกรู ล้อ
ของเคร่ืองกลอยา่ งง่าย โดยบอก และเพลา ซง่ี นำไปใช้ประโยชน์ด้านตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจำวัน
ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน • พลงั งานจลนเ์ ป็นพลงั งานของวตั ถุทเี่ คลอื่ นท่ี พลังงานจลนจ์ ะมี
ชีวิตประจำวนั ค่ามากหรือนอ้ ยข้ึนกับมวลและอตั ราเรว็ สว่ นพลังงานศักยโ์ นม้
4.ออกแบบและทดลองด้วยวธิ ีท่ี ถ่วงเก่ยี วขอ้ ง กบั ตำแหนง่ ของวัตถุ จะมคี ่ามากหรอื น้อยข้ึน กบั
เหมาะสมในการอธิบายปจั จัยท่มี ีผล มวลและตำแหน่งของวตั ถุ เม่ือวตั ถุอยู่ใน สนามโนม้ ถว่ ง วัตถุจะมี
ต่อพลงั งานจลนแ์ ละพลังงานศักย์โนม้ พลงั งานศกั ย์โน้มถว่ ง พลงั งานจลนแ์ ละพลงั งานศักยโ์ นม้ ถ่วงเปน็
ถว่ ง พลงั งานกล
5.แปลความหมายขอ้ มูลและ อธิบาย • ผลรวมของพลังงานศักยโ์ น้มถว่ งและพลงั งานจลน์
การเปลีย่ นพลังงานระหวา่ งพลังงาน เป็นพลงั งานกล พลังงานศักยโ์ น้มถ่วงและ พลังงานจลน์ของวตั ถุ
ศกั ย์โนม้ ถ่วงและพลงั งานจลน์ของวตั ถุ หนึ่ง ๆ สามารถเปลยี่ นกลับไปมาได้โดยผลรวมของพลงั งานศักย์
โดยพลังงานกลของวัตถมุ ีคา่ คงตัวจาก โนม้ ถ่วง และพลังงานจลน์มีคา่ คงตัว นั่นคือพลังงานกล ของวตั ถุมี
ขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ ค่าคงตวั
6.วิเคราะหส์ ถานการณแ์ ละ • พลังงานรวมของระบบมคี ่าคงตวั ซึ่งอาจเปลย่ี น จากพลังงานหนึง่
อธบิ ายการเปลี่ยนและการถา่ ยโอน เป็นอกี พลงั งานหนึง่ เชน่ พลังงานกลเปลี่ยนเปน็ พลงั งานไฟฟา้
พลังงานโดยใช้ กฎการอนุรกั ษ์ พลังงานจลนเ์ ปล่ียนเปน็ พลังงานความรอ้ น พลงั งานเสยี ง พลังงาน
พลังงาน แสง เน่ืองมาจากแรงเสยี ดทาน พลังงานเคมใี นอาหารเปลี่ยนเป็น
พลงั งานทไ่ี ปใชใ้ นการทำงานของสง่ิ มชี ีวติ
• นอกจากนพ้ี ลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอกี ระบบหน่งึ หรือ
ได้รับพลงั งานจากระบบอน่ื ได้เช่น การถ่ายโอนความร้อนระหว่าง
สสารการถ่ายโอนพลงั งาน ของการสนั่ ของแหล่งกำเนิดเสียงไปยงั
ผู้ฟ้ง ท้ังการเปลี่ยนพลังงาน และการถา่ ยโอนพลังงาน พลังงาน
รวมท้งั หมดมคี า่ เท่าเดิม ตามกฎการอนรุ ักษพ์ ลังงาน
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 67
ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.3 ๑.วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง • เมอ่ื ต่อวงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมีกระแสไฟฟา้ ออกจากขัว้ บวก ผา่ น
ความต่างศักย์กระแสไฟฟ้า และความ วงจรไฟฟ้าไปยงั ขวั้ ลบของแหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ ซึง่ วดั ค่าได้
ต้านทาน และคำนวณปริมาณท่ี จากแอมมเิ ตอร์
เกยี่ วข้องโดยใช้สมการ v= IR • ค่าท่ีบอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟา้ ต่อหนว่ ยประจุ ระหว่าง
จากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ จดุ 2 จุด เรยี กวา่ ความต่างศักยซ์ ึง่ วัดคา่ ไตจ้ ากโวลต์ มิเตอร์
๒. เขยี นกราฟความสมั พนั ธ์ • ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีคา่ แปรผันตรงกบั ความตา่ งศักย์ ระหว่าง
ระหวา่ งกระแสไฟฟ้าและความต่าง ปลายทง้ั สองของตวั นำโดยอัตราส่วนระหวา่ งความตา่ งศกั ย์ และ
ศักย์ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ มีค่าคงที่ เรียกค่าคงทน่ี ี้วา่ ความตา้ นทาน
๓.ใช้โวลตม์ ิเตอร์ แอมมเิ ตอร์ใน •ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งกำเนิดไฟฟ้าสายไฟฟ้า และ
การวดั ปริมาณทางไฟฟ้า อุปกรณไ์ ฟฟ้า โดยอุปกรณ์ไฟฟา้ แต่ละชนิ้ มีความต้านทาน ในการต่อ
๔. วเิ คราะหค์ วามตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า ตัวต้านทานหลายตัว มีทง้ั ต่อแบบอนกุ รมและแบบขนาน
และกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าเมอ่ื ต่อ • การต่อตัวตา้ นทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟา้ ความตา่ ง
ตัวตา้ นทานหลายตัวแบบอนุกรมและ ศักยท์ คี่ ร่อมตัวต้านทานแตล่ ะตวั มีคา่ เทา่ กบั ผลรวมของความตา่ ง
แบบขนานจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ศักยท์ ีค่ รอ่ มตัวตา้ นทานแตล่ ะตัว โดยกระแสไฟฟ้า ท่ผี า่ นตวั ต้านทาน
๕. เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดง แตล่ ะตวั มีคา่ เท่ากัน
การตอ่ ตัวตา้ นทานแบบอนกุ รมและ • การต่อตวั ตา้ นทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟา้
ขนาน กระแสไฟฟ้าทีผ่ า่ นวงจรมีคา่ เท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟา้ ทผ่ี า่ น
๖. บรรยายการทำงานของชิน้ ส่วน ตัวตา้ นทานแตล่ ะตวั โดยความต่างศักยท์ ่ีคร่อมตวั ต้านทานแต่ละ
อเิ ล็กทรอนิกส์อย่างงา่ ยในวงจรจาก ตวั มีคา่ เท่ากัน
ข้อมูลที่ รวบรวมไต้ • ชิ้นสว่ นอิเลก็ ทรอนิกส์มหี ลายชนิด เชน่ ตวั ตา้ นทานไดโอด
๗. เขียนแผนภาพและตอ่ ช้ินสว่ น ทรานซิสเตอร์ ตวั เกบ็ ประจุ โดยชนิ้ ส่วนแตล่ ะชนดิ ทำหน้าที่ แตกต่าง
อเิ ลก็ ทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรไฟฟ้า กนั เพื่อใหว้ งจรทำงานไต้ตามต้องการ
• ตวั ต้านทานทำหน้าท่คี วบคุมปริมาณกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้
ไดโอดทำหนา้ ทีใ่ ห้กระแสไฟฟา้ ผา่ นทางเดียว ทรานซสิ เตอร์ทำ
หน้าทเ่ี ป็นสวิตช์ ปดิ หรือเปดิ วงจรไฟฟ้าและควบคุมปรมิ าณ
กระแสไฟฟ้า ตัวเกบ็ ประจทุ ำหนา้ ท่ีเกบ็ และ คายประจุไฟฟ้า
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 68
ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
8.อธิบายและคำนวณพลังงาน ไฟฟ้า • เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชิ้นส่วน
โดยใชส้ มการ W = Pt รวมท้ังคำนวณ อเิ ลก็ ทรอนิกสห์ ลายขนดั ท่ีทำงานรว่ มกัน การตอ่ วงจร
คา่ ไฟฟา้ ของเครอื่ งใช้ ไฟฟา้ ในบา้ น อเิ ล็กทรอนิกส์โดยเลือกใชช้ นิ้ สว่ นอเิ ล็กทรอนกิ สท์ เ่ี หมาะสมตาม
9.ตระหนกั ในคุณค่าของการ เลอื กใช้ หนา้ ท่ีของชน้ิ ส่วน นนั้ ๆ จะสามารถทำใหว้ งจรไฟฟา้ ทำงานได้
เครอื่ งใช้ไฟฟา้ โดยนำเสนอวธิ กี ารใช้ ตามต้องการ
เครื่องใช้ไฟฟา้ อยา่ งประหยดั และ
ปลอดภัย • เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าจะมีค่ากำลังไฟฟา้ และความตา่ งศักย์ กำกับไว้
10.สร้างแบบจำลองท่อี ธิบายการ กำลงั ไฟฟา้ มหี น่วยเป็นวตั ต์ ความตา่ งศักย์
มหี นว่ ยเปน็ โวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจาก พลังงานไฟฟา้ ที่ใช้
เกิดคลืน่ และบรรยายสว่ นประกอบ ทัง้ หมด ซ่งึ หาไดจ้ ากผลคณู ของกำลงั ไฟฟา้ ในหน่วยกิโลวัตต์ กับ
ของ คลน่ื เวลาใน หนว่ ยช่ัวโมง พลงั งานไฟฟา้ มหี นว่ ยเป็น กโิ ลวตั ต์ ชั่วโมง
11.อธบิ ายคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ และ หรือหนว่ ย
• วงจรไฟฟา้ ในบา้ นมกี ารต่อเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าแบบขนานเพ่ือใหค้ วาม
สเปกตรัมคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าจาก ต่างศักยเ์ ท่ากนั การใช้เคร่ืองใช้ ไฟฟา้ ในชวี ิตประจำวนั ต้อง
ข้อมูลที่รวบรวมได้ เลอื กใช้เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า ทม่ี คี วามตา่ งศักยแ์ ละกำลังไฟฟา้ ใหเ้ หมาะ
12.ตระหนกั ถงึ ประโยชน์และ กับการใชง้ าน และการใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟา้ และอุปกรณ์ ไฟฟา้ ต้องใช้
อันตรายจากคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าโดย อยา่ งถูกตอ้ ง ปลอดภยั และประหยดั
• คล่ืนเกดิ จากการส่งผา่ นพลงั งานโดยอาศัยตวั กลางและไมอ่ าศัย
นำเสนอการใช้ ประโยซนใ์ นด้าน
ตวั กลาง ในคลนื่ กล พลงั งานจะถูก ถ่ายโอนผา่ นตวั กลางโดย
ต่าง ๆ และ อนั ตรายจาก คล่ืน
อนุภาคของตัวกลาง ไมเ่ คลื่อนที่ไปกับคลื่น คลน่ื ที่แผอ่ อกมาจาก
แมเ่ หล็กไฟฟ้าในชวี ิตประจำวัน
แหลง่ กำเนดิ คล่ืนอยา่ งตอ่ เน่ืองและมรี ูปแบบ ท่ีซา้ํ กัน บรรยายได้
ดว้ ยความยาวคล่ืน ความถี่ แรมพลิจูด
• คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ เนน้ คลน่ื ที่ไมอ่ าศยั ตัวกลางในการเคล่ือนท่ี มี
ความถี่ต่อเน่ืองเปน็ ชว่ งกว้างมาก เคล่อื นท่ีใน
สญุ ญากาศดว้ ยอัตราเรว็ เท่ากนั แตจ่ ะเคล่อื นที่ด้วยอัตราเร็ว
ตา่ งกนั ในตวั กลางอนื่ คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แบ่งออกเนน้ ชว่ ง
ความถตี่ ่าง ๆ เรียกวา่ สเปกตรมั ของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า แตล่ ะ
ช่วงความถ่ีมซี ่อื เรยี กตา่ งกันได้แก่ คล่ืนวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด
แสงทม่ี องเหน็ อลั ตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรงั สีแกมมา ซ่งึ
สามารถนำไป ใช้ประโยชน์ได้
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 69
ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
13.ออกแบบการทดลองและ • เลเซอร์เป็นคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ทม่ี ีความยาวคลนื่ เดยี ว เป็น ลำแสง
ดำเนินการทดลองด้วยวธิ ที ี่ ขนานและมีความเขม้ สูง นำไปใช้ประโยซน์ในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ด้านการ
เหมาะสมในการอธบิ าย กฎการ ลอ่ื สารมีการใช้เลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศผา่ นเสน้ ใยนำแสง โดย
สะทอ้ นของแสง
อาศยั หลกั การการสะทอ้ นกลับหมดของแสง ด้านการแพทย์ใชใ้ นการ
14. เขียนแผนภาพการเคล่อื นท่ี ผา่ ตัด
ของแสง แสดงการเกดิ ภาพจาก • คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้านอกจากจะสามารถนำไปใช้ประโยชนแ์ ล้ว ยงั มี
กระจกเงา
โทษตอ่ มนษุ ย์ด้วย เชน่ ถา้ มนุษยไ์ ด้รับรังสอี ัลตราไวโอเลต มากเกินไป
15.อธิบายการหกั เหของแสงเม่อื ผา่ น อาจจะทำใหเ้ กิดมะเรง็ ผวิ หนงั หรอื ถา้ ได้รงั สแี กมมาซึง่ เปน็ คลนื่
ตวั กลางโปร่งใสที่แตกตา่ งกนั
แม่เหลก็ ไฟฟา้ ท่มี ีพลงั งานสูงและสามารถทะลุผา่ นเซลล์และ
และอธบิ ายการกระจาย
อวยั วะได้อาจทำลายเนือ้ เย่ือหรืออาจทำให้เสียชีวิตได้ เม่อื ได้รบั
แสงของแสงขาวเม่ือผา่ นปรซิ มึ จาก รงั สีแกมมาในปรมิ าณสูง
หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์
• เมอื่ แสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะทอ้ นซึง่ เป็น
16.เขียนแผนภาพการเคลือ่ นท่ี ไปตามกฎการสะทอ้ นของแสง โดยรังสตี กกระทบเสน้ แนวฉาก รังสี
ของแสงแสดงการเกดิ ภาพจาก สะท้อนอยู่ในระนาบเดยี วกนั และมมุ ตกกระทบเทา่ กบั มมุ สะท้อน
เลนสบ์ าง
ภาพจากกระจกเงาเกิดจากรังสสี ะทอ้ นตัดกันหรอื ต่อ
แนวรงั สสี ะทอ้ นใหต้ ดั กนั โดยถ้ารังสีสะท้อนตดั กันจริงจะเกดิ ภาพจรงิ
แตถ่ า้ ต่อแนวรังสีสะท้อนให้ไปตัดกัน จะเกิดภาพเสมอื น
• เมอื่ แสงเดนิ ทางผ่านตวั กลางโปรง่ ใสทแ่ี ตกต่างกัน เชน่ อากาศ และ
นำ้ อากาศและแกว้ จะเกดิ การหกั เห หรืออาจเกดิ การ สะทอ้ นกลับ
หมดในตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหกั เหของแสง ผ่านเลนส์ทำให้
เกดิ ภาพทมี่ ีชนดิ และขนาดตา่ ง ๆ
• แสงขาวประกอบด้วยแสงสีตา่ ง ๆ เมือ่ แสงขาวผ่านปรซิ มึ จะเกิด การ
กระจายแสงเป็นแสงสีตา่ ง ๆเรียกวา่ สเปกตรมั ของแสงขาว เมอ่ื
เคลื่อนทใี่ นตัวกลางใด ๆ ทไี่ ม่ใชอ่ ากาศ จะมีอัตราเรว็ ต่างกัน
จงึ มีการหักเหต่างกัน
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 70
ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
17. อธบิ ายปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวกบั • การสะท้อนและการหักเหของแสงนำไปใช้อธบิ ายปรากฏการณ์ ที่
แสง และการทำงานของทศั นอุปกรณ์ เกยี่ วกบั แสง เชน่ รุ้ง มริ าจ และอธบิ ายการทำงานของทัศน อปุ กรณ์
เช่น แว่นขยายกระจกโค้งจราจร กลอ้ งโทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์
จากขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้
18.เขียนแผนภาพการเคลอื่ นท่ี และแว่นสายตา
ของแสง แสดงการเกดิ ภาพของ ทัศน • ในการมองวตั ถุ เลนสต์ าจะถูกปรบั โฟกัส เพื่อให้เกิดภาพชดั ท่ี จอตา
ความบกพร่องทางสายตาเชน่ สายตาสั้น และสายตายาว เป็นเพราะ
อปุ กรณแ์ ละเลนสต์ า
19.อธิบายผลของความสวา่ งทมี่ ี ต่อ ตำแหน่งท่ีเกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตาพอดี จึงต้องใช้เลนส์ในการแก้ไข
ดวงตาจากข้อมลู ที่ได้จากการ สบื คน้ เพื่อช่วยให้มองเห็นเหมอื นคนสายตาปกติ โดยคน สายตาสั้นใช้เลนส์
20.วัดความสว่างของแสงโดยใช้ เว้า ส่วนคนสายตายาวใช้เลนส์นนู
• ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนุษย์ การใช้สายตาใน
อุปกรณ์วดั ความสวา่ งของแสง
21.ตระหนักในคณุ คา่ ของความรู้ สภาพแวดล้อมที่มีความสวา่ งไมเ่ หมาะสมจะเปน็ อนั ตรายต่อดวงตา
เรอื่ ง ความสวา่ งของแสงทมี่ ีต่อ เช่น การดูวตั ถุในทมี่ ีความสว่างมากหรือน้อยเกนิ ไป การจอ้ งดู
ดวงตา โดยวิเคราะห์สถานการณ์ หน้าจอภาพเป็นเวลานาน ความสวา่ งบนพื้นทร่ี บั แสงมหี นว่ ยเปน็ ลกั ซ์
ปญั หาและเสนอแนะการจดั ความ ความรเู้ กี่ยวกับความสว่างสามารถนำมาใชจ้ ดั ความสว่างให้ เหมาะสม
สว่างใหเ้ หมาะสมในการทำกจิ กรรม กับการทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ เชน่ การจัดความสวา่ ง ที่เหมาะสมสำหรบั
ตา่ ง ๆ การอ่านหนังสือ
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธศกั ราช 2563 I 71
สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี
ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั ปฏิสมั พันธภ์ ายในระบบสรุ ิยะ ทส่ี ง่ ผลต่อส่ิงมชี ีวิต และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยี
อวกาศ
ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.1 1. ระบุดาวทีป่ รากฏบนท้องฟา้ ใน • บนท้องฟ้ามีดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดาว
เวลากลางวนั และกลางคนื จากข้อมลู ซึง่ ในเวลากลางวนั จะมองเหน็ ดวงอาทติ ย์
ที่รวบรวมได้ และอาจมองเห็นดวงจนั ทร์บางเวลาในบางวนั
2. อเธดบิ ายสาเหตุที่มองไม่เหน็ ดาว แต่ไมส่ ามารถมองเหน็ ดาว
• ในเวลากลางวันมองไมเ่ หน็ ดาวส่วนใหญ่ เน่อื งจาก
สว่ นใหญ่ในเวลากลางวนั จาก แสงอาทติ ย์สว่างกว่าจึงกลบแสงของดาว สว่ นใน
หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ เวลากลางคนื จะมองเห็นดาวและมองเหน็
ดวงจนั ทรเ์ กือบทกุ คืน
ป.2 - -
ป.3 1. อธิบายแบบรูปเสน้ ทางการขึ้นและ • คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทิตยป์ รากฏข้นึ
ตก ของดวงอาทิตย์โดยใชห้ ลักฐาน ทางดา้ นหนง่ึ และตกทางอกี ด้านหนงึ่ ทุกวนั
เชงิ ประจักษ์ หมุนเวียนเป็นแบบรูปซา้ํ ๆ
• โลกกลมและหมนุ รอบตวั เองขณะโคจรรอบดวง
2. อธบิ ายสาเหตุการเกิด อาทิตย์ ทำใหบ้ ริเวณของโลกไดร้ บั แสงอาทิตย์
ปรากฏการณก์ ารขึ้นและตกของ ไม่พรอ้ มกนั โลกดา้ นทไี่ ดร้ ับแสงจากดวงอาทติ ย์
ดวงอาทติ ย์ การเกดิ กลางวนั กลางคืน จะเป็นกลางวันสว่ นด้านตรงข้ามทไี่ มไ่ ดร้ บั แสง
และการกำหนดทิศ โดยใช้แบบจำลอง จะเป็นกลางคนื นอกจากน้ีคนบนโลกจะมองเห็น
ดวงอาทติ ยป์ รากฏขึ้นทางดา้ นหนง่ึ ซึง่ กำหนดให้
3. ตระหนักถงึ ความสำคัญของดวง เป็นทศิ ตะวนั ออก และมองเหน็ ดวงอาทิตย์
อาทิตย์โดยบรรยายประโยชน์ ตกทางอีกดา้ นหนงึ่ ซึง่ กำหนดใหเ้ ป็นทศิ ตะวันตก
ของดวงอาทิตย์ต่อสง่ิ มีชวี ิต และเม่ือให้ดา้ นขวามอื อยูท่ างทิศตะวนั ออก
ด้านซ้ายมืออยทู่ างทิศตะวันตก ดา้ นหนา้ จะเป็น
ทิศเหนอื และดา้ นหลังจะเป็นทิศใต้
• ในเวลากลางวันโลกจะได้รบั พลงั งานแสงและ
พลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ ทำ,ให้ส่ิงมี'ชวี ิต
ดำรงชวี ติ อยไู่ ด้
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 72
ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.4 ๑. อธิบายแบบรปู เสน้ ทางการข้ึนและ • ดวงจันทรเ์ ปน็ บริวารของโลก โดยดวงจันทร์หมุนรอบ ตวั เอง
ตกของดวงจันทร์ โดยใช้หลักฐาน ขณะโคจรรอบโลก ขณะทโี่ ลกกห็ มนุ รอบตัวเองด้วย เช่นกนั การ
เชิง ประจกั ษ์ หมุนรอบตัวเองของโลกจากทิศตะวนั ตกไปทศิ ตะวันออกใน
2.สร้างแบบจำลองทีอ่ ธิบายแบบรูป ทิศทางทวนเขม็ นาฬิกาเมือ่ มองจากชว้ั โลก เหนอื ทำใหม้ องเห็น
การเปลยี่ นแปลงรูปร่างปรากฏ ของดวง ดวงจันทรป์ รากฏข้นึ ทางด้านทิศตะวันออกและตก
จันทรแ์ ละพยากรณร์ ปู รา่ ง ทางด้านทศิ ตะวันตกหมนุ เรยี นเปน็ แบบรูป ซ้าํ ๆ
ปรากฏของ ดวงจันทร์ • ดวงจนั ทรเ์ ป็นวตั ถุทเี่ ป็นทรงกลม แต่รูปร่างของดวงจันทร์ ที่
3.สร้างแบบจำลองแสดงองคป์ ระกอบ มองเหน็ หรือรปู รา่ งปรากฏของดวงจันทรบ์ นท้องฟา้
ของระบบ สุรยิ ะ และอธบิ าย แตกต่างกันไปในแต่ละวันโดยในแตล่ ะวันดวงจนั ทร์จะมี รปู รา่ ง
เปรยี บเทยี บ คาบการโคจร ปรากฏเปน็ เส้ียวท่มี ีขนาดเพิม่ ขน้ึ อยา่ งต่อเนือ่ งจนเต็ม ดวง
ของดาวเคราะห์ต่าง ๆ จากแบบจำลอง จากนน้ั รปู รา่ งปรากฏของดวงจันทรจ์ ะแหว่งและมีขนาด ลดลง
อย่างต่อเนอื่ งจนมองไม่เหน็ ดวงจนั ทร์ จากนน้ั รูปรา่ ง ปรากฏของ
ดวงจนั ทร์จะเป็นเสี้ยวใหญ่ขน้ึ จนเตม็ ดวงอีกครั้ง การเปล่ียนแปลง
เชน่ น้ีเปน็ แบบรปู ซา้ํ กนั ทกุ เดือน
• ระบบสรุ ิยะเป็นระบบทิมดี วงอาทติ ย์เปน็ ศนู ยก์ ลางและมี
บรวิ ารประกอบดว้ ย ดาวเคราะหแ์ ปดดวงและบรวิ าร ซึ่งดาว
เคราะห์แตล่ ะดวงมีขนาดและระยะหา่ งจากดวงอาทติ ย์
แตกต่างกนั และยังประกอบดว้ ย ดาวเคราะห์แคระ ดาว เคราะห์
น้อย ดาวหาง และวตั ถขุ นาดเลก็ อืน่ ๆ โคจรอยู่ รอบดวงอาทติ ย์
วัตถขุ นาดเลก็ อน่ื ๆ เม่ือเขา้ มาในชัน้ บรรยากาศเน่ืองจากแรง
โน้มถ่วงของโลกทำใหเ้ กิดเปน็ ดาวตก หรอื ผที ่งุ ไต้และอกุ กาบาต
ป.5 1. เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของ • ดาวทมี่ องเหน็ บนทอ้ งฟา้ อย่ใู นอวกาศซง่ึ เป็นบริเวณทอ่ี ยู่ นอก
ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์จากแบบ บรรยากาศของโลก มีทัง้ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ดาว ฤกษเ์ ป็น
จำลอง แหล่งกำเนิดแสงจงึ สามารถมองเหน็ ได้ ส่วนดาว เคราะห์ไม่ใช่
แหลง่ กำเนิดแสง แต่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากแสงจากดวง
อาทติ ยต์ กกระทบดาวเคราะหแ์ ล้ว สะทอ้ นเข้าสู่ตา
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 73
ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
2. ใชแ้ ผนท่ีดาวระบตุ ำแหน่งและ • การมองเห็นกลมุ่ ดาวฤกษ์มีรปู ร่างตา่ ง ๆ เกดิ จาก จนิ ตนาการ
เสน้ ทางการขึ้นและตกของกลุม่ ดาว ของผ้สู ังเกต กลุม่ ดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่ ปรากฏในท้องฟ้าแตล่ ะ
ฤกษ์บนทอ้ งฟา้ และอธิบายแบบรปู กลุ่มมดี าวฤกษ์แต่ละดวง เรียงกนั ทีต่ ำแหนง่ คงที่ และมีเสน้ ทาง
เส้นทางการขึ้นและตกของ กลุ่มดาว การขึน้ และตกตามเส้นทางเดมิ ทกุ คนื ซึ่งจะปรากฏ ตำแหนง่
ฤกษ์ บนท้องฟา้ ในรอบปี เดมิ การสังเกตตำแหนง่ และการข้นึ และตกของดาวฤกษ์ และ
กลุ่มดาวฤกษ์ สามารถ ทำได้โดยใช้แผนที่ดาว ซ่ึงระบมุ มุ ทิศ
และมุมเงย ที่กลมุ่ ดาวนั้นปรากฏ ผสู้ งั เกตสามารถใชม้ อื ในการ
ประมาณคา่ ของมุมเงยเมอื่ สังเกตดาว ในท้องฟ้า
ป.6 ๑. สร้างแบบจำลองทีอ่ ธิบายการเกิด •เม่ือโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเสน้ ตรง เดียวกันกบั ดวง
และเปรียบเทียบปรากฏการณ์
อาทิตยใ์ นระยะทางที่เหมาะสม ทำให้ดวงจันทรบ์ ังดวงอาทติ ย์ เงา
สรุ ิยปุ ราคาและจันทรปุ ราคา
ของดวงจนั ทรท์ อดมายงั โลก ผู้สังเกตท่อี ยบู่ ริเวณเงาจะมองเหน็
๒. อธบิ ายพัฒนาการของเทคโนโลยี ดวงอาทิตย์มดื ไป เกดิ ปรากฏการณส์ ุริยุปราคา
อวกาศ และยกตัวอย่างการนำ
ซ่ึงมที ั้งสรุ ยิ ปุ ราคาเต็มดวง สุริยปุ ราคาบางส่วนและสรุ ยิ ปุ ราคา
เทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชนใ์ น วงแหวน
ชีวติ ประจำวนั จากข้อมลู ท่ี รวบรวมได้ • หากดวงจนั ทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเสน้ ตรงเดยี วกัน กับ
ดวงอาทิตย์ แล้วดวงจนั ทรเ์ คลอื่ นที่ผา่ นเงาของโลก จะ มองเหน็
ดวงจันทร์มืดไปเกิดปรากฏการณจ์ ันทรปุ ราคา ซึ่งมี ทั้ง
จนั ทรุปราคาเต็มดวง และจันทรปุ ราคาบางส่วน
• เทคโนโลยีอวกาศเรม่ิ จากความตอ้ งการของมนษุ ย์ ในการสำรวจ
วัตถทุ ้องฟา้ โดยใช้ตาเปลา่ กลอ้ งโทรทรรศน์ และไดพ้ ัฒนาไปสู่
การขนสง่ เพ่อื สำรวจอวกาศดว้ ยจรวดและยานขนส่งอวกาศ
และยงั คงพฒั นาอยา่ งต่อเนื่อง ปัจจุบนั มกี ารนำ เทคโนโลยี
อวกาศบางประเภทมาประยกุ ต์ใช้ ในชวี ิตประจำวัน เช่น การ
ใช้ดาวเทียมเพื่อ การสอ่ื สาร การพยากรณ์อากาศ หรือการ
สำรวจ ทรพั ยากรธรรมชาติ การใชอ้ ุปกรณว์ ัดชพี จร และการ
เตน้ ของหัวใจ หมวกนริ ภัย ขุดกฬี า
หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 74
ช้นั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.1 - -
ม.2 - -
ม.3 1.อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์รอบ • ในระบบสรุ ยิ ะมีดวงอาทิตยเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลางโดยมี ดาว เคราะห์
ดวงอาทติ ย์ดว้ ยแรงโน้มถว่ งจาก และบรวิ าร ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะหน์ ้อย ดาว หาง และ
สมการ F = (Gm1 m2 )/r2 อ่ืนๆ เช่นวตั ถุคอยเปอร์ โคจรอยโู่ ดยรอบ ซง่ึ ดาว เคราะห์ และ
2.สร้างแบบจำลองทอี่ ธบิ าย การเกิดฤดู วตั ถุ เหลา่ นี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้ม ถ่วง แรงโน้ม
และ การ เคลื่อนท่ปี รากฏของดวง ถ่วงเปน็ แรงดึงดดู ระหวา่ งวัตถสุ องวัตถุ โดยเปน็ สดั ส่วนกบั ผล
อาทิตย์ คณู ของมวลทัง้ สอง และเปน็ สัดสว่ นผกผนั กบั กำลงั สองของ
3.สรา้ งแบบจำลองท่อี ธิบายการ เกิด ระยะทางระหว่าง วัตถทุ งั้ สอง แสดงได้โดย
ข้างข้นึ ขา้ งแรม การ เปลย่ี นแปลงเวลา สมการ F = (Gm1 m2 )/r2
การข้ึนและตก ของดวงจันทร์ และการ เมอื่ F แทนความโนม้ ถ่วงระหว่างมวลทั้งสอง
เกดิ น้ำขน้ึ น้าํ ลง G แทนคา่ นิจโน้มถ่วงสากล
m1แทนมวลของ วัตถุแรก
m2 แทนมวลของวตั ถุท่ีสอง และ
2 แทนระยะหา่ งระหว่างวตั ถุท้งั สอง
• การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลกั ษณะท่ี แกนโลกเอียง กับ
แนวตัง้ ฉากของระนาบทางโคจร ทำใหส้ ว่ นต่าง ๆ บน โลก
ได้รับปรมิ าณแสงจาก ดวงอาทติ ย์แตกต่างกันในรอบ ปี เกดิ
เป็นฤดู กลางวนั กลางคืนยาวไม่เทา่ กัน และ ตำแหน่ง การขน้ึ
และตกของดวงอาทิตย์ท่ีขอบฟา้ และ เส้นทางการขน้ึ และตก
ของดวงอาทติ ย์เปล่ียนไป ในรอบปี ซ่ึงสง่ ผลตอ่ การดำรงชีวติ
• ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจนั ทรโ์ คจร รอบดวง
อาทติ ย์ ดวงจันทร์รับแสงจากดวงอาทิตย์ ครึง่ ดวง ตลอดเวลา
เมื่อดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลก ไดห้ นั สว่ นสวา่ ง
มายังโลกแตกต่างกนั จึงทำให้คน บนโลกสังเกตสว่ นสว่าง
ของดวงจนั ทร์แตกต่างไป ในแต่ละวนั เกิดเป็นข้างขึ้น
ขา้ งแรม
• ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกในทิศทางเดียวกนั กับ ทโ่ี ลก หมนุ รอบ
ตวั เอง จึงทำใหเ้ หน็ ดวงจนั ทรข์ น้ึ ขา้ ไปประมาณ วันละ 50
นาที
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ชั้น ตวั ช้ีวดั เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 75
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
4. อธบิ ายการใช้ประโยชนข์ อง • แรงโน้มถ่วงทด่ี วงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์กระทำต่อ โลกทำใหเ้ กดิ
เทคโนโลยอี วกาศและยกตวั อยา่ ง ปรากฏการณ์นาํ้ ฃ้นึ นํ้าลง ซ่งึ ส่งผล ตอ่ สง่ิ แวดล้อมและสิ่งมชี วี ติ
ความก้าวหนา้ ของโครงการ บนโลก วนั ทนี่ ํ้ามี ระดบั การขึ้นสงู สุดและลงตา่ํ สุดเรียก วนั นํ้า
สำรวจอวกาศ จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ เกดิ ส่วนวนั ทีร่ ะดับน้าํ มีการขนึ้ และลงนอ้ ยเรียกวนั นา้ํ ตาย โดย
-
- วันนํา้ เกดิ นา้ํ ตายมคี วามสัมพันธ์กบั ข้างข้ึนข้างแรม
• เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ใน
ปจั จุบันมากมาย มนษุ ยไ์ ด้ใชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยอี วกาศ
เช่น ระบบนำทาง ด้วยดาวเทียม (GNSS) การตดิ ตามพายุ
สถานการณไ์ ฟป่า ดาวเทยี มชว่ ยภยั แลง้ การตรวจคราบน้าํ มนั
ในทะเล
• โครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆไดพ้ ัฒนาเพม่ิ พนู ความรู้ความ
เข้าใจต่อโลก ระบบสุรยิ ะและเอกภพ มากขน้ึ เป็นลำดับ
ตวั อย่างโครงการสำรวจอวกาศ เช่น การสำรวจสงิ่ มชี วี ิตนอก
โลก การสำรวจดาวเคราะหน์ อกระบบสุรยิ ะ การสำรวจดาว
อังคาร และบรวิ ารอืน่ ของดวงอาทิตย์
-
-
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 76
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เขา้ ใจองค์ประกอบและความสมั พันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลง ภายในโลก และบน
ผวิ โลก ธรณพี บิ ตั ภิ ยั กระบวนการเปลีย่ นแปลง ลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลตอ่ ส่ิงมชี วี ิต และสิง่ แวดล้อม
ชัน้ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.1 1. อธบิ ายลักษณะภายนอกของหนิ จาก • หนิ ที่อยใู่ นธรรมชาตมิ ีลักษณะภายนอกเฉพาะตวั ที่ สังเกตได้
ลกั ษณะเฉพาะตัวที่สังเกตได้ เช่น สี ลวดลาย นำ้ หนกั ความแขง็ และเน้ือหนิ
ป.2 ๑. ระบุส่วนประกอบของดิน และจำแนกชนิด• ดนิ ประกอบด้วยเศษหิน ซากพชื ซากสัตว์ผสมอยใู่ นเน้ือ ดนิ
ของดินโดยใช้ลักษณะเนื้อดินและการจับตัว มีอากาศและนำ้ แทรกอยูต่ ามซอ่ งว่างในเน้ือดนิ ดิน จำแนกเปน็
เป็นเกณฑ์ ดนิ รว่ น ดนิ เหนียวและดนิ ทราย ตามลกั ษณะ เนื้อดนิ และการ
๒. อธบิ ายการใชป้ ระโยชนจ์ ากดนิ จาก ข้อมลู ท่ี จับตัวของดนิ ซ่งึ มผี ลตอ่ การอุ้มน้ำทแ่ี ตกตา่ งกัน
รวบรวมได้ • ดนิ แตล่ ะชนิดนำไปไขป้ ระโยชน์ได้แตกตา่ งกนั ตาม
ลักษณะและสมบัตขิ องดนิ
ป.3 1.ระบสุ ว่ นประกอบของอากาศ บรรยาย • อากาศโดยท่วั ไปไมม่ สี ี ไม่มีกล่ิน ประกอบดว้ ยแก๊ส
ความสำคญั ของอากาศ และผลกระทบของ ไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์แกส๊ อืน่ ๆ
มลพิษทางอากาศต่อส่งิ มีชวี ิต จากข้อมลู ที่ รวมทงั้ ไอน้ำ และฝุ่นละออง อากาศมีความสำคญั ต่อ
รวบรวมได้ สง่ิ มีชีวติ หากส่วนประกอบของอากาศไม่เหมาะสม เนอื่ งจากมี
2.ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของอากาศ โดย แกส๊ บางชนดิ หรือฝนุ่ ละอองในปรมิ าณมาก อาจเป็นอนั ตราย
นำเสนอแนวทางการปฏิบตั ติ นในการลด การ ต่อสง่ิ มีชวี ติ ชนิดต่าง ๆ จัดเปน็ มลพษิ ทางอากาศ
เกิดมลพษิ ทางอากาศ • แนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดการปลอ่ ยมลพิษทาง อากาศ
3.อธิบายการเกิดลมจากหลักฐานเชงิ เช่น ใช้พาหนะรว่ มกนั หรอื เลอื กใช้เทคโนโลยีที่ลดมลพษิ ทาง
ประจักษ์ อากาศ
4.บรรยายประโยชน์และโทษของลม จาก• ลม คือ อากาศท่เี คลื่อนที่ เกิดจากความแตกต่างกัน ของ
ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ อุณหภูมิอากาศบริเวณทอี่ ยูใ่ กลก้ นั โดยอากาศ บริเวณท่ีมี
อณุ หภูมิสงู จะลอยตวั สงู ขึ้น และอากาศ บรเิ วณทมี่ ีอุณหภูมิต่าํ
กวา่ จะเคลือ่ นเข้าไปแทนท่ี
• ลมสามารถนำมาใช้เปน็ แหลง่ พลงั งานทดแทน
ในการผลติ ไฟฟ้า และนำไปใช้ประโยชน์ในการ ทำกิจกรรม
ตา่ ง ๆ ของมนุษย์
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ช้ัน ตัวช้ีวดั เอกสารประสกาอรบะหกลากั รสเตู รรยีโรนงเรรแู้ยี นกวนดั กกลลาางงคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 77
ป.4 - -
ป.5 1.เปรยี บเทยี บปริมาณน้ำในแต่ละแหล่ง และ • โลกมีท้งั นํา้ จืดและน้ําเคม็ ซง่ึ อยู่ในแหล่งนา้ํ ต่าง ๆ ท่มี ี,ทงั้
ระบปุ ริมาณนา้ํ ทม่ี นษุ ยส์ ามารถนำมาใช้ แหล่งนา้ํ ผวิ ดนิ เชน่ ทะเล มหาสมทุ ร บงึ แมน่ า และแหล่งน้ำ
ประโยชนไ์ ด้จากข้อมลู ทีร่ วบรวมได้
ใต้ดิน เช่น นํ้าในดนิ และ นํ้าบาดาล น้ําท้งั หมดของโลก
2.ตระหนกั ถึงคณุ ค่าของนํา้ โดยนำเสนอ แนว แบง่ เป็นนาเค็ม ประมาณร้อยละ 97.5 ซ่ึงอย่ใู นมหาสมทุ ร
ทางการใชน้ ํา้ อยา่ งประหยัดและการอนรุ กั ษน์ าํ้ และแหล่งน้ําอื่น ๆ และที่เหลืออีกประมาณ ร้อยละ 2.5 เป็น
3.สร้างแบบจำลองที่อธบิ ายการหมนุ เวยี น นํ้าจดื ถ้าเรยี งลำดับปรมิ าณ น้ําจดื จากมากไปน้อยจะอยูท่ ่ี ธาร
ของน้าํ ในวัฏจกั รนํา้
น้ำแข็ง และพืชน้ำแข็ง นํ้าใต้ดิน ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและน้าํ
4.เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าํ แข็ง ใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นใน บรรยากาศ
ดา้ งและน้ำคา้ งแข็ง จากแบบจำลอง
บึง แมน่ ํ้า และนํา้ ในสิง่ มีชีวติ
• น้าํ จืดท่ีมนษุ ยน์ ่ามาใชไ้ ดม้ ีปริมาณนอ้ ยมากจึงควรใชน้ ้ําอย่าง
ประหยดั และร่วมกันอนุรักษน์ ํา้
• วฏั จักรนา้ํ เปน็ การหมุนเวยี นของนา้ํ ที่มีแบบรูปซำ้ เดมิ และ
ตอ่ เน่อื งระหว่างนา้ํ ในบรรยากาศ นํา้ ผวิ ดนิ และนา้ํ ใต้ดนิ
โดยพฤตกิ รรมการดำรงชีวติ ของพืชและสัตวส์ ่งผลตอ่ วฏั
จกั รน้ำ
•ไอนาํ้ ในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองนํา้ เล็ก ๆ โดยมีละออง
ลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง ละออง เรณขู องดอกไม้ เป็น
อนภุ าคแกนกลาง เมอื่ ละอองนํ้าจำนวนมากเกาะกลมุ่
รวมกนั ลอยอย่สู ูง จากพนื้ ดนิ มาก เรยี กว่า เมฆ แตล่ ะอองนาํ้
ท่ีเกาะกล่มุ รวมกันอยู่ใกลพ้ ้นื ดิน เรยี กวา่ หมอก สว่ นไอนํ้าที่
ควบแนน่ เป็นละอองนาํ้ เกาะอยู่ บนพนื้ ผวิ วัตถใุ กล้พน้ื ดิน
เรียกว่า นา้ํ ดา้ ง ถ้าอณุ หภมู ใิ กล้พนื้ ดนิ ตาํ่ กวา่ จุดเยือกแข็ง
นา้ํ ค้างกจ็ ะกลายเป็น,นาค้างแข็ง
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 78
ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
5. เปรยี บเทียบกระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ และ • ฝน หิมะ ลกู เห็บ เป็นหยาดนํา้ ฟ้าซง่ึ เป็นนํา้ ท่ีมี สถานะต่าง ๆ
ลูกเหบ็ จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ทตี่ กจากฟา้ ถงึ พนื้ ดิน ฝนเกิดจากละออง นํา้ ในเมฆทีร่ วมตวั
กนั จนอากาศไม่สามารถพยุงไวไดจ้ ึง ตกลงมา หมิ ะเกดิ จาก
ไอน้ําในอากาศระเหดิ กลับเป็นผลกึ นำ้ แข็ง รวมตวั กันจน
มนี ้ําหนักมากขน้ึ จนเกินกว่าอากาศ จะพยงุ ไวจ้ งึ ตกลงมา
ลูกเหบ็ เกิดจากหยดน้าํ ทเ่ี ปลี่ยน สถานะเป็นนา้ํ แข็งแล้วถกู
พายพุ ัดวนซาํ้ ไปซ้าํ มาในเมฆฝน ฟา้ คะนองทีมีฃนาดใหญ่
และอยใู่ นระดบั สูงจนเป็นก้อน น้าํ แข็งขนาดใหญ่ข้ึนแล้วตก
ลงมา
ป.6 1. เปรียบเทยี บกระบวนการเกิดหินอคั นี หิน • หินเปน็ วัสดแุ ขง็ เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติประกอบดว้ ย แร่
ตะกอน และหินแปร และอธิบายวัฏ ตง้ั แตห่ นึ่งชนิดขึน้ ไป สามารถจำแนกหนิ ตาม กระบวนการเกิด
จักรหินจากแบบจำลอง ไดเ้ ปน็ 3 ประเภทไดแ้ ก่ หินอัคนี หนิ ตะกอน และหินแปร
• หินอัคนีเกดิ จากการเยน็ ตัวของแมกมา เน้ือหนิ มีลักษณะ เป็น
ผลกึ ท้งั ผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บางชนดิ อาจ เป็นเนอื้
แก้วหรอื มรี ูพรนุ
• หินตะกอน เกดิ จากการทบั ถมของตะกอนเม่ือถกู แรงกด ทบั
และมีสารเชือ่ มประสานจงึ เกดิ เปน็ หินเนอื้ หนิ กลมุ่ น้ี สว่ นใหญ่มี
ลักษณะเป็นเมด็ ตะกอนมีทั้งเนอื้ หยาบและเนอื้ ละเอยี ด บาง
ชนิดเป็นเน้ือผลึกที่ยึดเกาะกนั เกดิ จากการตก ผลึกหรอื
ตกตะกอนจากนำ้ โดยเฉพาะนำ้ ทะเล บางชนดิ
มีลกั ษณะเปน็ ชนั้ ๆ จงึ เรียกอกี ชือ่ วา่ หินชนั้
• หนิ แปร เกิดจากการแปรสภาพของหนิ เดิมซง่ึ อาจเปน็
หนิ อัคนี หนิ ตะกอน หรือหินแปรโดยการกระทำของความ รอ้ น
ความดัน และปฏกิ ริ ยิ าเคมี เน้อื หินของหนิ แปรบาง ชนดิ ผลกึ
ของแรเ่ รยี งตวั ขนานกนั เปน็ แถบ บางชนดิ แซะออกเปน็ แผ่นได้
บางชนดิ เปน็ เนื้อผลึกทีม่ ีความแข็ง
มาก
• หนิ ในธรรมชาติทัง้ 3 ประเภท มีการเปลีย่ นแปลง จาก
ประเภทหนึ่งไปเป็นอกี ประเภทหนงึ่ หรอื ประเภทเดิมได้
โดยตอ่ เนอ่ื งเป็นวฏั จกั ร
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 79
ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
2.บรรยายและยกตัวอยา่ งการใชป้ ระโยชน์ • หินและแร่แต่ละชนิดมลี กั ษณะและสมบตั ิ แตกต่างกนั มนษุ ย์
ของหนิ และแรใ่ นชวี ิตประจำวนั จากขอ้ มลู ท่ี ใชป้ ระโยชนจ์ ากแร่ในชีวิต ประจำวันในลักษณะต่าง ๆ เช่น
รวบรวมได้ นำแรม่ าทำ เครอื่ งสำอาง ยาสฟี นั เครือ่ งประดับ อุปกรณ์
3.สร้างแบบจำลองท่ีอธิบายการเกิดซากดึก ทางการแพทย์ และนำหนิ มาใชใ้ นงานกอ่ สรา้ ง ตา่ ง ๆ เปน็
ดำบรรพแ์ ละคาดคะเนสภาพแวดลอ้ มในอดีต ต้น
ของซากดึกดำบรรพ์ • ซากดกึ ดำบรรพเ์ กดิ จากการทบั ถมหรือการประทับรอยของ
4.เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล สง่ิ มีชีวิตในอดีต จนเกดิ เปน็ โครงสรา้ งของซากหรือร่องรอย
และมรสมุ รวมทง้ั อธบิ ายผลทม่ี ีต่อส่งิ มชี ีวติ และ ของส่ิงมีชวี ิต ท่ีปรากฎอยูใ่ นหิน ในประเทศไทยพบ ซากดึก
ส่งิ แวดล้อมจากแบบจำลอง ดำบรรพ์ที่หลากหลาย เชน่ พืช ปะการงั หอย ปลา เตา่
ไดโนเสาร์ และรอยตีนสตั ว์
• ซากดึกดำบรรพส์ ามารถใชเ้ ป็นหลักฐานหน่ึง ทช่ี ว่ ยอธบิ าย
สภาพแวดลอ้ มของพนื้ ท่ใี นอดตี ขณะเกิดสีงมชี วี ติ นั้น เชน่
หากพบซากดกึ ดำบรรพ์ ของหอยน้ำจืด สภาพแวดลอ้ ม
บรเิ วณน้นั อาจเคย เป็นแหลง่ น้ำจดื มาก่อน และหากพบ
ซากดึกดำบรรพ์ของพชื สภาพแวดล้อมบริเวณนนั้ อาจเคย
เป็นปามาก่อน นอกจากน้ีซากดึกดำบรรพ์ ยังสามารถใช้ระบุ
อายุของหนิ และเป็นข้อมลู ในการศกึ ษาวิวัฒนาการของ
ส่งิ มชี ีวิต
• ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพื้นดนิ และพนื้ น้ำรอ้ น
และเยน็ ไมเ่ ทา่ กนั ทำให้อุณหภมู อิ ากาศเหนือพนื้ ดนิ และพน้ื
น้ำแตกตา่ งกัน จึงเกิด การเคล่ือนทข่ี องอากาศจากบรเิ วณท่ี
มีอณุ หภูมติ ํา่ ไปยังบรเิ วณที่มีอณุ หภูมสิ งู
• ลมบกและลมทะเลเปน็ ลมประจำสิ่งทีพ่ บบริเวณ
ชายฝ่ัง โดยลมบกเกดิ ในเวลากลางคนื ทำใหม้ ี ลมพดั จาก
ชายฝ่ังไปสู่ทะเล สว่ นลมทะเลเกิดใน เวลากลางวนั ทำใหม้ ี
ลมพัดจากทะเลเขา้ สู่ชายฝ่ัง
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ชั้น ตัวช้ีวดั เอกสารปรสะากรอะบกหลากัรสเรูตียรโนรงรเแู้รยี กนนวกดั กลลาางงคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 80
5.อธิบายผลของมรสมุ ต่อการเกิดฤดขู อ • มรสมุ เปน็ ลมประจำฤดูเกิดบริเวณเขตรอ้ นของโลก ซึ่งเปน็
ประเทศไทยจากข้อมูลท่รี วบรวมได้ บริเวณกว้างระดับภูมภิ าค ประเทศไทยได้รับผลจากมรสุม
6.บรรยายลักษณะและผลกระทบของนาํ้ ทว่ ม ตะวันออกเฉียงเหนือ ในชว่ งประมาณกลางเดอื นตุลาคม
การกดั เซาะชายฝ่ัง ดนิ ถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ จนถงึ เดอื น กุมภาพนั ธ์ทำใหเ้ กิดฤดหู นาว และได้รบั ผลจาก
7.ตระหนักถึงผลกระทบของภยั ธรรมซาติ และ มรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ในชว่ งประมาณกลางเดอื น
ธรณพี บิ ตั ภิ ัย โดยนำเสนอแนวทางในการ เฝ้า พฤษภาคมจนถงึ กลางเดือนตลุ าคมทำใหเ้ กดิ ฤดูฝน ส่วน
ระวังและปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภยั จากภยั ช่วงประมาณกลางเดือนกมุ ภาพนั ธ์ จนถึงกลางเดือน
ธรรมชาติและธรณีพบิ ัติภัยทอี่ าจเกดิ ในท้องถ่นิ พฤษภาคมเปน็ ชว่ งเปลยี่ นมรสุม และประเทศไทยอยูใกล้
เส้นศูนย์สตู ร แสงอาทิตย์ เกือบต้งั ตรงและต้งั ตรงประเทศ
8.สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิด ไทยในเวลา เท่ยี งวนั ทำให้ได้รบั ความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์
ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก และผลขอ อยา่ งเตม็ ท่ี อากาศจงึ ร้อนอบอา้ วทำใหเ้ กดิ ฤดรู ้อน
ปรากฏการณ์เรือน กระจกตอ่ ส่ิงมชี ีวิต
9.ตระหนกั ถึงผลกระทบของปรากฏการณ์ • น้าํ ทว่ ม การกดั เซาะขายผิง ดนิ ถลม่ แผน่ ดนิ ไหว
เรือนกระจก โดยนำเสนอแนวทางการปฏิบตั ิ และสีนามิ มผี ลกระทบต่อชีวติ และสิง่ แวดล้อม แตกต่างกัน
ตนเพ่อื ลดกิจกรรมที่กอ่ ให้เกิดแกส๊ เรือนกระจก • มนษุ ย์ควรเรยี นร้วู ธิ ีปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภยั เชน่ ติดตาม
ข่าวสารอย่างสมาเสมอ เตรยี มถุงยงั ชพี ใหพ้ รอ้ มใช้
ตลอดเวลา และปฏบิ ัติตามคาสงั่ ของผปู้ กครองและ
เจา้ หน้าท่ีอย่างเคร่งครดั เมอื่ เกิด ภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบัติ
ภัย
• ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกเกิดจากแกส๊ เรือนกระจก
ในชั้นบรรยากาศของโลกกักเกบ็ ความร้อนแลว้ คายความ
รอ้ นบางสว่ นกลับสผู่ วิ โลก ทำให้อากาศ บนโลกมอี ณุ หภมู ิ
เหมาะสมต่อการดำรงชวี ิต
• หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรนุ แรงมากขนึ้ จะมผี ลต่อการ
เปลยี่ นแปลงภูมอิ ากาศโลก มนษุ ย์จึงควรร่วมกนั ลดกจิ กรรม
ทก่ี อ่ ให้เกดิ แกส๊ เรอื นกระจก
ม.1 1. สรา้ งแบบจำลองท่ีอธิบายการแบ่งชนั้ • โลกมบี รรยากาศห่อหุ้ม นักวิทยาศาสตร์ใชส้ มบตั ิ และ
บรรยากาศและเปรียบเทียบประโยชนข์ อง องคป์ ระกอบของบรรยากาศในการแบ่งบรรยากาศ ของโลก
บรรยากาศแตล่ ะขนั้ ออกเปน็ ช้ัน ซง่ึ แบง่ ได้หลายรูปแบบตามเกณฑ์ที่แตกตา่ งกนั
โดยทัว่ ไปนกั วทิ ยาศาสตร์ ใชเ้ กณฑก์ ารเปลยี่ นแปลง
อุณหภูมิตามความสูง แบ่งบรรยากาศไดเ้ ป็น 5 ขนั้ ไดแ้ ก่
ช้ันโทรโพสเฟียร์ ขนั้ สตราโตสเฟียร์ ช้ันมีโซสเฟียร์ ชน้ั เทอร์
โมสเฟยี ร์ และชน้ั เอกโซสเฟียร์
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
ชัน้ ตวั ชีว้ ัด เอกสารประสกาอรบะหกลากั รสเตู รรยีโรนงเรรแู้ียนกวนดั กกลลาางงคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 81
2.อธิบายปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการเปลย่ี นแปลง • บรรยากาศแตล่ ะช้ันมปี ระโยชน์ตอ่ ส่งิ มีชีวติ แตกตา่ งกนั โดย
องคป์ ระกอบของลมฟ้าอากาศ จาก ข้อมลู ที่ ช้ันโทรโพสเฟียรม์ ีปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศท่สี ำคญั ตอ่ การ
รวบรวมได้ ดำรงชวี ติ ของสงิ่ มชี วี ติ ช้ันสตราโตสเฟียรช์ ่วยดูดกลืนรงั สี
3.เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ พายุ ฝนฟา้ อัลตราไวโอเลต จากดวงอาทิตยไ์ ม่ให้มายังโลกมากเกนิ ไป
คะนองและพายุหมนุ เขตรอ้ น และผลที่มตี อ่ ชั้นมีโซสเฟียร์ช่วยชะลอวัตถนุ อกโลกทผี่ า่ นเขา้ มา ให้เกิด
สิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม รวมท้งั นำเสนอแนว การเผาไหมก้ ลายเป็นวตั ถขุ นาดเล็ก ลดโอกาสทจี่ ะทำความ
ทางการปฏบิ ตั ติ นให้เหมาะสมและปลอดภัย เสยี หายแกส่ ิ่งมีชวี ติ บนโลก ช้ันเทอรโ์ มสเฟียรส์ ามารถ
สะท้อนคลื่นวิทยุ และ ชนั้ เอกโซสเฟียร์เหมาะสำหรับการ
โคจรของ ดาวเทยี มรอบโลกในระดบั ต่าํ
• ลมฟา้ อากาศ เปน็ สภาวะของอากาศในเวลาหนง่ึ ของพื้นที่
หนง่ึ ทมี่ ีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา ข้นึ อย่กู ับองค์ประกอบ
ลมฟา้ อากาศ ไดแ้ ก่ อณุ หภูมอิ ากาศ ความกดอากาศ ลม
ความชืน้ เมฆ และหยาดน้ำฟ้า โดยหยาดนํา้ ฟ้าทพ่ี บบอ่ ย ใน
ประเทศไทยได้แก่ ฝน องค์ประกอบ ลมฟา้ อากาศ
เปล่ียนแปลงตลอดเวลาขึ้นอย่กู ับปัจจัย ตา่ ง ๆ เชน่ ปรมิ าณ
รงั สจี ากดวงอาทติ ยแ์ ละ ลกั ษณะพืน้ ผิวโลกส่งผลต่ออุณหภมู ิ
อากาศ อุณหภูมิอากาศและปรมิ าณไอนา้ํ สง่ ผลตอ่ ความชื้น
ความกดอากาศส่งผลตอ่ ลม ความชื้น และลมส่งผลตอ่ เมฆ
• พายฝุ นฟา้ คะนอง เกิดจากการท่อี ากาศที่มี อณุ หภูมแิ ละ
ความช้ืนสูงเคลอื่ นทข่ี ึ้นสู่ระดบั ความสงู ทม่ี อี ณุ หภมู ติ ํ่าลง
จนกระท่ังไอนาํ้ ในอากาศเกดิ การควบแน่นเป็นละอองนํา้
และเกิดต่อเนอ่ื งเป็นเมฆขนาดใหญ่ พายฝุ นฟ้าคะนอง ทำให้
เกดิ ฝนตกหนกั ลมกรรโชกแรง ฟา้ แลบ ฟา้ ผา่ ซึ่งอาจ
กอ่ ให้เกิดอนั ตรายตอ่ ชีวติ และทรพั ย์สนิ
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 82
ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
4.อธิบายการพยากรณ์อากาศ และ • พายุหมุนเขตรอ้ นเกดิ เหนอื มหาสมุทรหรอื ทะเล ทนี่ ้ำมี
พยากรณอ์ ากาศอยา่ งงา่ ยจากข้อมูลทร่ี วบรวม อุณหภูมิสูงตงั้ แต่ 26-27 องศาเซลเซยี ส ขน้ึ ไป ทำให้
ได้ อากาศท่ีมอี ุณหภูมแิ ละความชน้ื สูง บรเิ วณน้นั เคลอ่ื นทส่ี ูงขึ้น
5.ตระหนักถึงคณุ ค่าของการพยากรณ์ อยา่ งรวดเร็วเป็น บริเวณกว้าง อากาศจากบริเวณอื่นเคลอ่ื น
อากาศโดยน่าเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ติ นและ เข้ามา แทนท่แี ละพัดเวียนเขา้ หาศนู ยก์ ลางของพายุ
การใช้ประโยชน์จากคำพยากรณอ์ ากาศ ย่งิ ใกล้ศูนย์กลาง อากาศจะเคลื่อนทพี่ ดั เวยี น เกอื บเปน็
6.อธบิ ายสถานการณ์และผลกระทบการ วงกลมและมีอัตราเรว็ สงู ทส่ี ุด พายหุ มุน เขตร้อนทำให้เกิด
เปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศโลกจากขอ้ มลู ทรี่ วบรวม คลื่นพายซุ ัดฝั่ง ฝนตกหนกั ซงึ่ อาจก่อให้เกิดอนั ตรายตอ่ ชีวิต
ได้ และทรพั ย์สิน จึงควรปฏบิ ัตติ นให้ปลอดภัยโดยติดตาม
ข่าวสาร การพยากรณ์อากาศ และไมเ่ ขา้ ไปอย่ใู นพ้นื ท่ี ที่
เสย่ี งภัย
• การพยากรณอ์ ากาศเป็นการคาดการณล์ มฟา้ อากาศ ทจ่ี ะเกิด
ชืน้ ในอนาคต โดยมีการตรวจวดั องคป์ ระกอบลมฟ้าอากาศ
การส่อื สารแลกเปลยี่ น ข้อมูลองค์ประกอบลมฟ้าอากาศ
ระหว่างพน้ื ที่ การวเิ คราะหข์ ้อมลู และสร้างคำพยากรณ์
อากาศ
• การพยากรณ์อากาศสามารถนำมาใช้ประโยชน์
ดา้ นตา่ ง ๆ เช่น การใชช้ ีวติ ประจำวัน การคมนาคม
การเกษตร การฟอ้ งกัน และเฝ้าระวงั ภยั พบิ ัติ
ทางธรรมชาติ
• ภมู ิอากาศโลกเกดิ การเปลย่ี นแปลงอย่างตอ่ เนื่อง โดยปจั จัย
ทางธรรมชาติ แต่ปจั จุบันการเปลี่ยนแปลง ภมู ิอากาศเกิด
ช้ืนอย่างรวดเร็วเนอ่ื งจากกจิ กรรม ของมนุษยใ์ นการ
ปลดปล่อยแกส๊ เรอื นกระจกสู่ บรรยากาศ แกส๊ เรือนกระจก
ท่ีถกู ปลดปลอ่ ย มากท่ีสดุ ไดแ้ ก่ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
ซ่งึ หมนุ เวียนอยู่ในวัฏจกั รคารบ์ อน
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 83
ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
7. ตระหนักถึงผลกระทบของการ • การเปล่ยี นแปลงภูมิอากาศโลกกอ่ ให้เกิดผล กระทบต่อ
เปล่ยี นแปลงภูมิอากาศโลก โดยนำเสนอแนว ส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม เช่น การหลอมเหลวของนํ้าแข็งข้ัว
ทางการปฏิบัตติ นภายใต้การเปล่ียนแปลง โลก การเพิม่ ชน้ื ของระดบั ทะเล การเปลยี่ นแปลงวฏั จกั รนา้ํ
ภูมอิ ากาศโลก การเกิดโรคอุบตั ใิ หม่และอบุ ัตซิ ้ํา และการเกิด ภยั พบิ ัติทาง
ธรรมชาติที่รนุ แรงชื้น มนษุ ย์จึงควร เรยี นรแู้ นวทางการ
ปฏิบตั ติ นภายใต้สถานการณ์ ดังกลา่ ว ทัง้ แนวทางการปฏบิ ัติ
ตนใหเ้ หมาะสม และแนวทางการลดกิจกรรมที่ส่งผลต่อการ
เปลยี่ นแปลงภมู อิ ากาศโลก
ม.2 1.เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบตั ิ • เชือ้ เพลิงซากดึกดำบรรพ์ เกิดจากการเปลี่ยนแปลง สภาพ
และการใช้ประโยชน์ รวมท้งั อธิบายผลกระทบ ของซากสิง่ มชี วี ิตในอดีต โดยกระบวนการทางเคมี และ
จาก การใชเ้ ช้อื เพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์ จากข้อมลู ธรณวี ทิ ยา เชอื้ เพลิงซากดึกดำบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหิน หนิ นา้ํ
ทรี่ วบรวมได้ มัน และปีโตรเลียม ซ่งึ เกิดจากวตั ถุ ตน้ กำเนดิ และ
2.แสดงความตระหนกั ถึงผลจากการใช้ สภาพแวดล้อมการเกิดทแ่ี ตกต่างกัน ทำใหไ้ ด้ชนดิ ของ
เชือ้ เพลงิ ซากดกึ ดำบรรพ์ โดยนำเสนอแนว เช้อื เพลิงซากดึกดำบรรพ์ทม่ี ีลกั ษณะ สมบตั ิ และการ
ทางการใชเ้ ชอ้ื เพลิงซากดึกดำบรรพ์ นำไปใชป้ ระโยชน์แตกต่างกัน สำหรบั ปโิ ตรเลียมจะตอ้ งมี
การผา่ นการกลนั่ ลำดบั สว่ นก่อนการใช้งาน เพื่อให้ได้
ผลติ ภัณฑ์ท่ีเหมาะสมต่อการใชป้ ระโยชน์เช้ือเพลงิ ซากดกึ
ดำบรรพ์เปน็ ทรัพยากรทใี่ ชแ้ ลว้ หมดไป เนอื่ งจาก ตอ้ งใช้
เวลานานหลายลา้ นปจี ึงจะเกดิ ข้ึนใหมไ่ ด้
• การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงซากดึกดำบรรพใ์ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของ
มนษุ ย์จะทำใหเ้ กดิ มลพษิ ทางอากาศซงึ่ สง่ ผลกระทบ ตอ่
สง่ิ มชี ีวติ และสงิ่ แวดล้อมนอกจากน้ีแก๊สบางชนิดทเี่ กดิ จาก
การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงซากดึกดำบรรพ์ เช่น แก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ ยงั เปน็ แกส๊ เรอื น
กระจกซ่งึ สง่ ผลให้เกิดการเปลยี่ นแปลงภมู ิอากาศของโลก
รุนแรงขนึ้ ดังน้ันจงึ ควรใชเ้ ช้ือเพลงิ ซากดึกดำบรรพ์ โดย
คำนึงถงึ ผลทเี่ กิดขนึ้ ต่อสิง่ มชี ีวิตและสงิ่ แวดล้อม เชน่
เลือกใช้พลงั งานทดแทน หรอื เลอื กใช้เทคโนโลยีทล่ี ดการใช้
เชือ้ เพลิงซากดกึ ดำบรรพ์
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 84
ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
3.เปรียบเทยี บข้อดแี ละข้อจำกดั ของ • เช้ือเพลิงซากดึกดำบรรพเ์ ป็นแหลง่ พลังงาน
พลงั งานทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวม ที่สำคญั ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ เนือ่ งจาก เชอ้ื เพลงิ
ขอ้ มูลและนำเสนอแนวทางการใช้พลงั งาน ซากดึกดำบรรพม์ ีปรมิ าณจำกัดและ มกั เพมิ่ มลภาวะใน
ทดแทนท่ีเหมาะสมในทอ้ งถ่ิน บรรยากาศมากข้ึน จงึ มีการใช้ พลังงานทดแทนมากขน้ึ เช่น
4.สรา้ งแบบจำลองที่อธิบายโครงสร้าง พลังงานแสงอาทิตย์ พลงั งานลม พลังงานน้ํา พลังงาน
ภายในโลกตามองค์ประกอบทางเคมีจากขอ้ มลู ชีวมวลพลงั งานคลน่ื พลังงานความรอ้ นใต้พภิ พพลังงาน
ท่รี วบรวมได้ ไฮโดรเจน ซึง่ พลงั งาน ทดแทนแตล่ ะชนดิ จะมีข้อดีและ
5.อธบิ ายกระบวนการผพุ งั อยู่กับท่ี การ กรอ่ น ข้อจำกัดที่แตกตา่ งกัน
และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจำลอง •โครงสร้างภายในโลกแบง่ ออกเปน็ ชนั้ ตามองคป์ ระกอบ ทาง
รวมท้งั ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ ดังกลา่ ว เคมี ไดแ้ ก่ เปลอื กโลก ซ่งึ อยูน่ อกสดุ ประกอบด้วย
ทท่ี ำให้ผิวโลกเกดิ การเปล่ยี นแปลง สารประกอบของซลิ ิกอนและอะลูมเิ นียมเปน็ หลัก เนอื้ โลก
คือส่วนทีอ่ ยูใ่ ตเ้ ปลอื กโลกลงไปจนถงึ แกน่ โลก
มีองค์ประกอบหลกั เป็นสารประกอบของซลิ ิกอน
แมกนีเซยี มและเหล็ก และแกน่ โลกคอื ส่วนที่อยู่ใจกลาง ของ
โลก มอี งค์ประกอบหลกั เปน็ เหล็กและนกิ เกลิ ซ่งึ แตล่ ะชั้นมี
ลักษณะแตกตา่ งกนั
• การผพุ งั อยูก่ บั ที่ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน
เปน็ กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางธรณีวทิ ยา ทท่ี ำให้ผิวโลก
เกดิ การเปล่ียนแปลงเปน็ ภูมิลกั ษณแ์ บบตา่ ง ๆ โดยมีปจั จยั
สำคัญ คือนำ้ ลม ธารน้ำแข็ง แรงโน้มถ่วงของโลก สง่ิ มชี ีวติ
สภาพอากาศ และปฏกิ ิริยาเคมี
• การผุพังอยกู่ ับท่ี คือ การท่หี นิ ผุพังทำลายลง ดว้ ย
กระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟา้ อากาศกับ น้ำฝน และ
รวมทงั้ การกระทำของตน้ ไม้กับ แบคทีเรีย ตลอดจนการแตก
ตัวทางกลศาสตร์ ซ่ึงมีการเพมิ่ และลดอุณหภมู สิ ลับกนั เปน็
ต้น
• การกรอ่ น คอื กระบวนการหน่งึ หรือหลายกระบวนการทที่ ำ
ใหส้ ารเปลือกโลกหลดุ ไป ละลายไปหรอื กรอ่ นไปโดยมีตัวนำ
พาธรรมชาติ คอื ลม นำ้ และธารน้ำแข็ง รว่ มกับปจั จยั อน่ื ๆ
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
ชน้ั ตวั ชวี้ ัด เอกสารประสกาอรบะหกลากั รสเตู รรยีโรนงเรรแู้ียนกวนดั กกลลาางงคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 85
6.อธิบายลักษณะของชน้ั หนา้ ตัดดนิ และ ไดแ้ ก่ ลมฟา้ อากาศ สารละลาย การครดู ถู การนำพา ทั้งน้ี
กระบวนการเกิดดิน จากแบบจำลอง รวมทั้ง ไมร่ วมถงึ การพังทลายเปน็ กลมุ่ ก้อน เชน่ แผน่ ดนิ ถลม่ ภเู ขา
ระบุ ปัจจยั ท่ีทำให้ดนิ มลี ักษณะและสมบตั ิ ไฟระเบดิ
แตกตา่ งกัน • การสะสมตวั ของตะกอน คอื การสะสมตวั ของวตั ถุจากการน่
7.ตรวจวดั สมบตั ิบางประการของดิน นำพาของน้ำ ลม หรือธารนำ้ แข็ง
โดยใช้เครอ่ื งมือทีเ่ หมาะสมและนา่ เสนอแนว • ดินเกดิ จากหินท่ีผพุ งั ตามธรรมชาติผสมคลกุ เคล้า กับ
ทางการใช้ ประโยชนด์ นิ จากข้อมูลสมบัตขิ อง อนิ ทรยี วตั ถุทไ่ี ด้จากการเน่าเป่ือยของซากพชื ซากสตั ว์ทบั
ดนิ ถมเปน็ ชน้ั ๆ บนผิวโลก ชนั้ ดินแบ่งออกเปน็ หลายข้ัน ขนาน
หรือเกือบขนาน ไปกบั ผิวหน้าดิน แต่ละชนั้ มีลกั ษณะ
แตกต่างกนั เนอื่ งจากสมบตั ิทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และ
ลักษณะอนื่ ๆ เช่น สี โครงสร้าง เน้อดิน การยึดตวั ความ
เปน็ กรด-เบส สามารถสงั เกตไดจ้ ากการ สำรวจภาคสนาม
การเรียกช่ือชั้นดนิ หลกั จะใช้ อักษรภาษาองั กฤษตัวใหญ่
ได้แก่ O, A, E, B, C, R
• ชั้นหนา้ ตัดดนิ เป็นชั้นดนิ ท่มี ลี ักษณะปรากฏให้ เหน็
เรียงลำดับเปน็ ชน้ั จากชน้ั บนสดุ ถึงชั้นลา่ งสุด
• ปจั จัยที่ทำใหด้ ินแตล่ ะท้องถิ่นมีลกั ษณะและสมบัติ แตกต่าง
กันได้แก่วัตถตุ น้ กำเนดิ ดินภมู ิอากาศ สง่ิ มีชีวติ ในดิน สภาพ
ภูมิประเทศ และระยะเวลา ในการเกดิ ดิน
• สมบัติบางประการของดนิ เช่น เน้อื ดนิ ความชนื้ ดนิ ค่าความ
เปน็ กรด-เบส ธาตุอาหารในดนิ สามารถ นไไปใชใ้ นการ
ตดั สนิ ใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ทดี่ นิ โดยอาจนำไปใช้
ประโยชน์ ทางการเกษตรหรอื อ่นื ๆ ซ่งึ ดนิ ทไี่ มเ่ หมาะสม ตอ่
การทำการเกษตร เช่น ดนิ จืด ดินเปร้ยี ว ดนิ เค็มและดินดาน
อาจเกิดจากสภาพดนิ ตามธรรมชาติหรอื การใชป้ ระโยชน์
จะต้องปรับปรงุ ให้มี สภาพเหมาะสม เพอื่ นำไปใชป้ ระโยชน์
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 86
ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
8.อธบิ ายปัจจยั และกระบวนการเกิดแหลง่ • แหล่งน้ําผิวดินเกดิ จากนา้ํ ฝนทต่ี กลงบนพนื้ โลก ไหลจากท่ี
นา้ํ ผวิ ดนิ และแหลง่ นำ้ ใตด้ นิ จากแบบจำลอง สูงลงสู่ทีต่ า่ํ ด้วยแรงโน้มถ่วง การไหล ของนํา้ ทำให้พืน้ โลก
9.สรา้ งแบบจำลองท่อี ธบิ ายการใช้น้าํ และ เกิดการกดั เซาะเป็นรอ่ งนํ้า เช่น ลำธาร คลอง และแม่น้ำ ซ่งึ
นำเสนอแนวทางการใชน้ ํา้ อยา่ งย่งั ยนื ในท้องถิน่ รอ่ งนาํ้ จะมีขนาด และรูปร่างแตกต่างกนั ข้นึ อยูก่ ับปริมาณ
ของตนเอง นํา้ ฝน ระยะเวลาในการกัดเซาะ ชนิดดนิ และหิน และ
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ เชน่ ความลาดชนั ความสูง ต่ําของพ้นื ท่ี
เม่อื นาํ้ ไหลไปยงั บริเวณที่เปน็ แอ่ง จะเกิดการสะสมตวั เป็น
แหล่งน้ํา เชน่ บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมทุ ร
• แหลง่ นา้ํ ใต้ดินเกดิ จากการซึมของนา้ํ ผิวดนิ ลงไป สะสมตัว
ใตพ้ น้ื โลก ซึ่งแบง่ เป็นนา้ํ ในดินและน้าํ บาดาล
นํา้ ในดนิ เปน็ น้ําทีอ่ ยู่ร่วมกบั อากาศ ตามชอ่ งว่างระหวา่ งเม็ด
ดนิ ส่วนนาํ้ บาดาล เปน็ นํา้ ที่ไหลซมึ ลึกลงไปและถกู กกั เก็บไว้
ในชั้นหนิ หรือชนั้ ดิน จนอ่ิมตวั ไปดว้ ยน้าํ
• แหลง่ นา้ํ ผิวดินและแหล่งนาํ้ ใต้ดนิ ถกู นำมาใช้ในกิจกรรม
ต่าง ๆ ของมนษุ ย์ ส่งผลตอ่ การจดั การการใชป้ ระโยชน์นํ้า
และคุณภาพของแหล่งนา้ํ เน่อื งจากการเพิ่มขึน้ ของจำนวน
ประชากรการใช้ประโยชนพ์ ้ืนทีใ่ นด้านต่าง ๆ เชน่ ภาค
เกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลง
ภมู ิอากาศ ทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงปรมิ าณนาํ้ ฝนใน พ้ืนที่
ลุม่ นาํ้ และแหล่งน้าํ ผวิ ดินไมเ่ พียงพอสำหรบั กจิ กรรม ของ
มนษุ ย์ นา้ํ จากแหลง่ น้าํ ใต้ดินจงึ ถูกนำมาใช้ มากขนึ้ สง่ ผลให้
ปรมิ าณน้าํ ใตด้ ินลดลงมาก จงึ ตอ้ งมีการจัดการใชน้ ํ้าอย่าง
เหมาะสมและยงั่ ยืน ซึง่ อาจทำไดโ้ ดยการจัดหาแหล่งนํา้
เพ่ือให้มี แหล่งนํ้าเพยี งพอลำหรบั การดำรงชวี ติ การจดั สรร
และการใชน้ าํ้ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ การอนรุ ักษ์ และฟ้ืนฟู
แหลง่ น้าํ การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หา คุณภาพน้ํา
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 87
ชัน้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
10. สรา้ งแบบจำลองท่อี ธบิ ายกระบวนการ
เกดิ และผลกระทบของนาํ้ ท่วม การกัดเซาะ • นำ้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝ่ัง ดนิ ถล่ม หลุมยบุ แผ่นดนิ ทรุด มี
ชายฝ่ังดนิ ถล่ม หลมุ ยบุ แผ่นดนิ ทรดุ กระบวนการเกิดและผลกระทบ ที่แตกต่างกนั ซึ่งอาจสรา้ ง
ความเสียหายร้ายแรงแก่ชวี ติ และทรพั ยส์ ิน
ม.3 -
• นา้ํ ทว่ ม เกิดจากพนื้ ทห่ี นึง่ ได้รบั ปริมาณนา้ํ เกนิ กวา่
ทจ่ี ะกกั เก็บได้ ทำให้แผ่นดนิ จมอยใู่ ตน้ าํ้ โดยขึ้นอยู่ กับ
ปรมิ าณนา้ํ และสภาพทางธรณวี ทิ ยาของพื้นท่ี
• การกัดเซาะชายฝั่ง เปน็ กระบวนการเปลีย่ นแปลง ของชายฝั่ง
ทะเลท่เี กิดขน้ึ ตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคลน่ื หรอื ลม
ทำใหต้ ะกอนจากท่หี นึ่ง ไปตกทับถมในอกี บรเิ วณหนึ่ง แนว
ของชายฝั่งเดมิ จึงเปลย่ี นแปลงไป บรเิ วณท่มี ตี ะกอนเคล่อื น
เข้ามานอ้ ยกวา่ ปรมิ าณทต่ี ะกอนเคลือ่ นออกไป ถือว่าเปน็
บรเิ วณท่มี กี ารกดั เซาะชายฝ่ัง
• ดนิ ถลม่ เปน็ การเคลอื่ นทขี่ องมวลดินหรอื หิน จำนวนมากลง
ตามลาดเขา เน่อื งจากแรงโน้มถว่ ง ซองโลกเป็นหลกั ซึ่งเกดิ
จากปัจจัยสำคัญ ไดแ้ ก่ ความลาดขนั ของพื้นท่ี สภาพ
ธรณวี ทิ ยา ปริมาณ นาํ้ ฝน พืชปกคลุมดิน และการใช้
ประโยชนพ์ ื้นที่
• หลุมยบุ คือ แอ่งหรือหลุมบนแผน่ ดินขนาดตา่ ง ๆ ทอ่ี าจเกดิ
จากการถลม่ ของโพรงถํ้าหนิ ปูน เกลือหนิ ใต้ดิน หรอื เกิด
จากนาํ้ พัดพาตะกอน ลงไปในโพรงถาํ้ หรือธารนํ้าใต้ดิน
• แผ่นดินทรุดเกดิ จากการยบุ ตวั ของชั้นดนิ หรอื หินรว่ น เมื่อ
มวลของแขง็ หรอื ของเหลวปรมิ าณมากที่รองรบั อยใู่ ต้ชน้ั ดนิ
บรเิ วณนั้นถูกเคลือ่ นยา้ ยออก ไปโดยธรรมชาตหิ รือโดยการ
กระทำของมนุษย์
-
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรยี นวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรยี นวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 88
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยเี พอ่ื การดำรงชีวติ ในสังคมท่มี กี ารเปลย่ี นแปลง อยา่ ง รวดเร็ว ใช้ความรู้
และทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และ ศาสตรอ์ ืน่ ๆ เพอ่ื แก้ปัญหาหรอื พฒั นา งานอยา่ งมคี วามคดิ สร้างสรรค์
ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสม โดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สังคม และ
สิ่งแวดลอ้ ม
ชนั้ ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ป.1 - -
ป.2 - -
ป.3 - -
ป.4 - -
ป.5 - -
ป.6 - -
ม.1 1.อธิบายแนวคิดหลักของเทคโนโลยใี น • เทคโนโลยี เป็นส่ิงทมี่ นุษยส์ ร้างหรอื พัฒนาข้นึ
ชวี ิตประจำวันและวิเคราะหส์ าเหตหุ รอื ปจั จยั ซ่ึงอาจเปน็ ไดท้ งั้ ชนิ้ งานหรือวิธีการ เพ่ือใชแ้ ก้ปัญหา
ที่สง่ ผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สนองความต้องการ หรอื เพมิ่ ความสามารถ
ในการทำงานของมนษุ ย์
• ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลมุ่ ของสว่ นตา่ ง ๆ ตงั้ แต่สอง
สว่ นชนิ้ ไปประกอบเขา้ ด้วยกันและ ทำงานรว่ มกันเพอื่ ให้
บรรลุวัตถุประสงค์ โดยในการทำงานของระบบทาง
เทคโนโลยีจะประกอบไปดว้ ยตวั ปอ้ น (input)
กระบวนการ (process) และผลผลิต (output)
ท่ีสมั พันธก์ นั นอกจากน้ี ระบบทางเทคโนโลยีอาจมีขอ้ มลู
ยอ้ นกลับ (feedback) เพือ่ ใชป้ รบั ปรงุ การทำงานได้ตาม
วัตถปุ ระสงค์ ซงึ่ การวเิ คราะหร์ ะบบทาง เทคโนโลยีชว่ ยให้
เขา้ ใจองคป์ ระกอบและการทำงานของเทคโนโลยี
รวมถึงสามารถ ปรับปรงุ ให้เทคโนโลยีทำงานได้ตาม
ต้องการ เทคโนโลยมี ีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
• ตัง้ แต่อดีต จนถงึ ปจั จบุ นั ซึ่งมสี าเหตุหรอื ปัจจยั มาจาก
หลายด้าน เชน่ ปัญหา ความตอ้ งการ ความกา้ วหนา้ ของ
ศาสตร์ตา่ ง ๆ เศรษฐกจิ สังคม
หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สูตรโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 89
ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
2.ระบปุ ัญหาหรือความตอ้ งการใน ชวี ติ ประจำวัน • ปญั หาหรือความต้องการในชีวิตประจำวัน
รวบรวม วเิ คราะหข์ ้อมลู และแนวคิดท่ี เกย่ี วขอ้ ง พบไดจ้ ากหลายบริบทข้นึ กบั สถานการณท์ ่ีประสบ เชน่
กับปญั หา การเกษตร การอาหาร
3.ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หา โดยวิเคราะห์ • การแก้ปัญหาจำเป็นตอ้ งสบื คน้ รวบรวมขอ้ มูล ความรู้จาก
เปรียบเทียบ และตดั สนิ ใจเลอื กข้อมูลท่ี จำเป็น ศาสตรต์ า่ ง ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง เพือ่ นำไปสู่ การออกแบบแนว
ทางการแก้ปัญหา
นำเสนอแนวทางการแกป้ ัญหาให้ผู้อนื่ เขา้ ใจ
• การวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ และตัดสนิ ใจเลอื กขอ้ มูล
วางแผนและดำเนนิ การแกป้ ญั หา
ทีจ่ ำเปน็ โดยคำนึงถึงเง่ือนไข และทรพั ยากร ทมี่ อี ยู่ ช่วย
4.ทดสอบ ประ1เมนิ ผล และระบุขอ้ บกพรอ่ ง ใหไ้ ด้แนวทางการแก้ปญั หาทเี่ หมาะสม การออกแบบ
ทเี่ กดิ ข้นึ พร้อมทั้งหาแนวทางการปรับปรุง แก้ไข
แนวทางการแกป้ ัญหาทำไดห้ ลากหลายวิธี เชน่ การรา่ ง
และนำเสนอผลการแก้ปญั หา
ภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขียนผังงาน
5.ใช้ความรู้และทกั ษะเกีย่ วกับวสั ดุ อปุ กรณ์ • การกำหนดข้ันตอนและระยะเวลาในการทำงาน กอ่ น
เคร่ืองมอื กลไก ไฟฟ้า หรอื อเิ ล็กทรอนิกส์ เพ่อื ดำเนินการแก้ปญั หาจะช่วยให้ทำงานสำเรจ็ ได้ตาม
แกป้ ัญหาได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม และปลอดภัย เป้าหมายและลดขอ้ ผิดพลาดของการทำงานทอ่ี าจเกดิ ข้นึ
• การทดสอบ และประเมนิ ผลเปน็ การตรวจสอบ ขน้ึ งาน
หรอื วิธกี ารวา่ สามารถแก้ปญั หาไดต้ าม วตั ถุประสงค์
ภายใต้กรอบของปญั หา เพอื่ หาขอ้ บกพร่อง และ
ดำเนนิ การปรับปรุง โดยอาจทดสอบซํา้ เพอ่ื ให้สามารถ
แกป้ ัญหาได้
• การนำเสนอผลงานเป็นการถา่ ยทอดแนวคดิ เพ่อื ให้ผู้อน่ื
เขา้ ใจเกย่ี วกับกระบวนการทำงาน และข้นึ งานหรอื วิธกี าร
ทีไ่ ด้ ซึง่ สามารถทำได้ หลายวิธี เช่น การเขยี นรายงาน
การทำแผ่นนำเสนอ ผลงาน การจัดนทิ รรศการ การ
นำเสนอผ่านส่อื ออนไลน์
• วัสดุแตล่ ะประเภทมีสมบตั ิแตกตา่ งกัน เชน่ ไม้
โลหะ พลาสติก จึงต้องมืการวิเคราะห์สมบัติ เพ่ือเลอื กไข้
ใหเ้ หมาะสมกับลกั ษณะของงาน
• การสร้างขึน้ งานอาจใชค้ วามรู้ เรือ่ งกลไก ไฟฟา้
อิเลก็ ทรอนิกส์ เชน่ LED บซั เซอร์ มอเตอร์ วงจรไฟฟ้า
• อปุ กรณ์และเคร่อื งมือในการสรา้ งขึน้ งานหรอื พัฒนา
วธิ กี ารมหี ลายประเภท ต้องเลือกใช้ ให้ถูกต้อง เหมาะสม
และปลอดภัย รวมทง้ั รู้จกั เก็บรกั ษา
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563I 90
ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ม.2 ๑. คาดการณแ์ นวโน้มเทคโนโลยีท่ีจะ เกดิ ข้ึนโดย • สาเหตหุ รอื ปัจจัยต่าง ๆ เชน่ ความกา้ วหนา้ ของ ศาสตร์
พจิ ารณาจากสาเหตุหรอื ปัจจยั ทสี่ ่งผลตอ่ ต่าง ๆ การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม
การเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยี และ วฒั นธรรม ทำใหเ้ ทคโนโลยมี กี ารเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา
วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บ ตัดสนิ ใจเลอื กใช้ • เทคโนโลยแี ตล่ ะประเภทมีผลกระทบต่อชวี ิต
เทคโนโลยี โดยคำนงึ ถึงผลกระทบท่เี กดิ ขึ้นตอ่ สงั คม และสิง่ แวดลอ้ มท่แี ตกต่างกัน จึงตอ้ ง วิเคราะห์
ชีวิต สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ ม
เปรียบเทยี บข้อดี ขอ้ เสีย และตดั สินใจเลือกใชใ้ ห้
๒. ระบปุ ญั หาหรอื ความต้องการในขุมซนหรอื เหมาะสม
ทอ้ งถ่ิน สรุปกรอบของปัญหา รวบรวม • ปัญหาหรอื ความต้องการในชมุ ชนหรอื ท้องถ่นิ มีหลาย
วิเคราะหข์ อ้ มลู และแนวคดิ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง อย่าง ขึน้ กับบริบทหรอื สถานการณ์ที่ประสบ เชน่ ด้าน
กับปญั หา พลงั งาน ส่งิ แวดลอ้ มการเกษตร การอาหาร
๓. ออกแบบวธิ ีการแก้ปญหา โดยวเิ คราะห์ • การระบุปญั หาจำเปน็ ต้องมีการวิเคราะห์ สถานการณข์ อง
เปรยี บเทียบ และตัดสนิ ใจเลอื กขอ้ มูลที่ ปัญหาเพื่อสรุปกรอบของปัญหา แล้วดำเนนิ การสบื คน้
จำเป็นภายใตเ้ ง่ือนไขและทรพั ยากรท่ีมอี ยู่ รวบรวมขอ้ มูล ความรู้ จากศาสตร์ตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
นำเสนอแนวทางการแกป้ ัญหาใหผ้ อู้ นื่ เข้าใจ เพ่อื นนำไปส่กู ารออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา
วางแผนข้ันตอนการทำงานและดำเนนิ การ • การวิเคราะห์ เปรียบเทยี บ และตัดสนิ ใจ เลือกขอ้ มูลที่
จำเป็น โดยคำนงึ ถงึ เง่ือนไข และทรัพยากร เชน่
แก้ปญั หา อยา่ งเป็นขน้ั ตอน
งบประมาณ เวลา ข้อมูล และสารสนเทศ วสั ดุ เคร่อื งมอื
และอุปกรณ์ ชว่ ยใหไ้ ด้แนวทางการแก้ปัญหาทเ่ี หมาะสม
• การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทำได้หลากหลายวิธี
เชน่ การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขียนผังงาน
• การกำหนดขน้ั ตอนระยะเวลาในการทำงาน ก่อน
ดำเนนิ การแกป้ ัญหาจะช่วยให้การทำงาน สำเร็จได้ตาม
เป้าหมาย และลดข้อผิดพลาด ของการทำงานทอ่ี าจ
เกิดขึ้น
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม
เอกสารประกอบหลกั สตู รโรงเรียนวดั กลางคลองสาม พทุ ธคกั ราช 2563 I 91
ช้นั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
4. ทดสอบ ประเมินผล และอธิบายปญั หา • การทดสอบและประเมินผลเปน็ การตรวจสอบ
หรือขอ้ บกพรอ่ งท่เี กิดข้นึ ภายใต้กรอบเงอื่ นไข ชน้ิ งาน หรอื วิธกี ารวา่ สามารถแก้ปัญหาได้ ตาม
วตั ถปุ ระสงคภ์ ายใต้กรอบของปัญหา เพือ่ หาข้อบกพร่อง
พร้อมทง้ั หาแนวทางการปรับปรงุ แก้ไข และ และดำเนนิ การปรบั ปรุงใหส้ ามารถแกไ้ ขปัญหาได้
นำเสนอผลการแก้ปญั หา • การนำเสนอผลงานเปน็ การถา่ ยทอดแนวคิด เพ่ือใหผ้ ู้อนื่
5.ใช้ความรู้ และทักษะเกย่ี วกับวัสดุ อปุ กรณ์ เข้าใจเกี่ยวกบั กระบวนการทำงาน และชิ้นงานหรอื วธิ ีการ
ทีไ่ ด้ ซึ่งสามารถทำได้ หลายวธิ ี เช่น การเขียนรายงาน
เครอื่ งมือ กลไก ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนกิ ส์ การทำแผน่ นำเสนอผลงาน การจัดนิทรรศการ
เพื่อแก้ปัญหาหรอื พัฒนางานไดอ้ ย่าง ถูกต้อง
เหมาะสม และปลอดภัย
• วสั ดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกนั เชน่ ไม้
โลหะ พลาสติก จงึ ต้องมีการวเิ คราะห์สมบตั ิ เพอ่ื เลอื กใช้
ให้เหมาะสมกับลักษณะของงาน
• การสร้างชน้ิ งานอาจใชค้ วามรู้ เร่ืองกลไก ไฟฟา้
อิเล็กทรอนิกส์ เช่น LED มอเตอร์ บซั เซอร์ เฟือง รอก ล้อ
เพลา
• อปุ กรณ์และเคร่ืองมอื ในการสร้างชนิ้ งาน หรือพฒั นา
วธิ กี ารมหี ลายประเภท ต้องเลอื กใช้ ให้ถกู ตอ้ ง เหมาะสม
และปลอดภยั รวมทง้ั รูจ้ ัก เก็บรกั ษา
ม.3 1. วิเคราะห์สาเหตุ หรือปัจจัยท่ีสง่ ผลตอ่ การ • เทคโนโลยีมกี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลาตัง้ แต่อดตี
เปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี และ
ความสมั พันธ์ของเทคโนโลยกี ับศาสตร์อ่ืน จนถึงปจั จุบนั ซงึ่ มีสาเหตุหรอื ปัจจัยมาจาก
โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ หรือคณติ ศาสตร์ หลายด้าน เชน่ ปัญหาหรอื ความตอ้ งการของมนุษย์
เพื่อเปน็ แนวทางการแกป้ ญั หาหรอื พฒั นางาน ความกา้ วหน้าของศาสตรต์ ่าง ๆ การเปลยี่ นแปลง
ทางด้านเศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรม สง่ิ แวดล้อม
• เทคโนโลยีมคี วามสัมพนั ธ์กับศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะ
วิทยาศาสตรโ์ ดยวทิ ยาศาสตร์เปน็ พื้นฐานความรู้ ทนี่ ำไปสู่
การพัฒนาเทคโนโลยี และเทคโนโลยที ่ี ไดส้ ามารถเป็น
เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการศึกษา ค้นควา้ เพ่อื ให้ไดม้ าซึง่ องค์
ความรู้ใหม่
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ โรงเรียนวดั กลางคลองสาม