“ธาตุรู้”
ความจริงแหง่ ธรรมชาตทิ ีพ่ ระพุทธองค์ทรงคน้ พบ
คำ� นำ�
องคห์ ลวงพอ่ สชุ าตเิ ทศนไ์ วอ้ ยา่ งชดั เจนในหลายวาระ
วา่
“ธาตุรู้คือใจ ไม่มีวันแตกดับหรือเสื่อมสลาย และ
ตัวเราท่แี ท้น่คี อื ธาตุรู้”
“ธาตรุ สู้ ง่ กระแสไปเชอ่ื มกับธาตุ ๔ คอื รา่ งกายของ
คนและสัตว์ เพื่อจะรับรู้กระแสโลกผ่านทางตาหูจมูกล้ิน
และกายสัมผสั ”
“ธาตรุ มู้ อี วชิ ชา จงึ กลบั เขา้ ใจผดิ วา่ ตนเองคอื รา่ งกาย
จึงเกดิ ความทกุ ขเ์ มอ่ื รา่ งกายเกิดความแปรปรวน”
สัจธรรมเก่ียวกับ “ธาตุรู้” นี้เป็นสัมมาทิฏฐิ คือ
ความเขา้ ใจท่ถี กู ตอ้ งอนั สำ� คญั ยิ่งสำ� หรับผู้ปฏบิ ัติ จงึ นำ� มา
สู่การรวบรวมค�ำสอนอันเข้มข้นทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั “แก่นแท”้
อันส�ำคัญย่ิงน้ี ตลอดจนข้อถามตอบท่ีองค์ท่านเมตตา
ตอบทุกค�ำถามจนกระจ่างแก่ใจลูกศิษย์ผู้ยังใช้ตรรกะทาง
วิทยาศาสตร์วา่
“ธาตรุ ู้ ความจรงิ แหง่ ธรรมชาตทิ พ่ี ระพทุ ธองคท์ รง
ค้นพบ” นี้ เป็นวิทยาการขั้นสูงสุด ที่แม้แต่ความรู้ระดับ
ควอนตมั ในปัจจุบนั ยังไมม่ ที างตามทนั
ขอกราบนอบนอ้ มดว้ ยเศยี รเกลา้ แดอ่ งคพ์ ระอรหนั ต-
สมั มาสมั พทุ ธเจา้ องคพ์ ระอรหนั ตสาวกทกุ ๆ พระองค์ และ
องค์หลวงพอ่ สชุ าติ อภิชาโต
ผรู้ ู้ แจง้ แหง่ ธรรมชาติทงั้ ปวง
ผูต้ ื่น จากมายาแหง่ คลนื่ ความคิด
ผ้เู บิกบาน ดว้ ยธรรมชาตอิ ันบรสิ ทุ ธแิ์ ห่งธาตรุ ู้
ศษิ ยานศุ ษิ ย์
สารบญั
บทท่ี ๑ ธาตุ ๖ ๑๓
บทที่ ๒ ธาตุรู้ และ ธาตุ ๔ ๖๓
บทที่ ๓ นพิ พานัง ปรมัง สญุ ญงั
ผปู้ ฏบิ ัตไิ ม่สญู ไปกับการชำ� ระใจของผปู้ ฏิบัต ิ ๑๐๕
บทที่ ๔ ถ้าไม่เห็นความตายกจ็ ะไม่รบี ขวนขวาย ๑๑๑
บทที่ ๕ คำ� ถาม-ค�ำตอบจากซมู ๑๑๗
มโนปพุ ฺพงฺคมา ธมมฺ า
มโนเสฏฐฺ า มโนมยา
ธรรมทง้ั หลายมใี จเป็นหัวหน้า
มใี จเป็นใหญ่
สำ� เรจ็ แลว้ ด้วยใจ
(มโน หรอื ใจ คอื ธาตรุ นู้ ีเ่ อง)
6
ใจไมด่ ับ
ร่างกายจะดับก็ดับไป แต่ใจยังเป็นอกาลิโกอยู่
เปน็ อยา่ งไรกเ็ ปน็ อยา่ งนน้ั เปน็ ธาตรุ ู้ เปน็ ผรู้ ู้ แตข่ าดปญั ญา
ไม่สามารถแยกแยะตนเองออกจากสิ่งที่คลุกเคล้าอยู่ด้วย
เมื่อไปคลุกเคล้าอย่กู บั สง่ิ ท่ีมีการเกิดดบั ก็เลยคิดว่าตนเอง
เกดิ ดบั ไปดว้ ย
ทุกข์เกิดขน้ึ เพราะใจหลง ใจไมย่ อมรับความจริง
7
“เรา” คอื ใคร?
คำ� ถามของศษิ ยม์ าจากคำ� สอนทว่ี า่ “เมอ่ื รปู เวทนา สญั ญา
สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวเรา” แล้ว “เรา” ท่ีแท้จริงคือ
ใครกนั แน่
ถาม: จรงิ ๆ “เรา” ทแ่ี ทจ้ รงิ นคี่ อื “ธาตรุ ”ู้ นะครบั หลวงพอ่
พระอาจารย:์ คอื ผ้รู ู้ เรากใ็ ช้ชอ่ื หลายอย่าง ใช้เรยี กมันว่า
เป็นจิตใจบ้าง เป็นดวงวิญญาณบ้าง กายทิพย์บ้าง คือ
ธาตุร้ทู ้งั น้ัน
8
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ธรรม = อสงั ขาร + สังขาร
อสงั ขาร = ธาตุ ๔ (ดิน น�้ำ ลม ไฟ) อากาศธาตุ
และธาตุรู้
ธาตุ ๔ นรี้ วมกนั แยกกนั ตามเหตปุ จั จยั แตไ่ มเ่ สอ่ื ม
จากความเปน็ ธาตุ จึงไมเ่ ป็นอนิจจัง แตเ่ ปน็ อนัตตา
สังขาร = ส่ิงท่ีเกิดจากการรวมตัวของธาตุ ๔
และอากาศธาตุ
สังขารถ้ามี “ธาตุรู้” ไปครอบครอง ก็คือคน
และสัตว์ สงั ขารนี้ไม่เทย่ี ง (อนจิ จงั ) ท�ำให้เกดิ ทุกขใ์ นธาตรุ ู้
(ทกุ ขงั ) และแตกสลายกลบั กลายเปน็ ธาตุ ๔ (อนตั ตา)
เมือ่ ธรรม = อสงั ขาร + สงั ขาร ธรรมะทั้งปวง
จึงเป็นอนัตตา
9
ทกุ ข์ของ “ธาตรุ ้”ู
เมื่อมี “ธาตุรู้” ไปครอบครองสังขาร ก็คือคน
และสตั ว์
“ธาตุรู”้ ทีม่ อี วชิ ชาครอบงำ� กม็ ี “ความอยาก”
ให้สังขารน้ีเป็น นิจจงั สขุ ัง อตั ตา
“ธาตุร”ู้ ท่ีไมม่ ีอวิชชา คือมปี ญั ญา กจ็ ะไม่อยาก
ให้เปน็ นิจจงั สุขงั อัตตา เพราะรู้วา่ เปน็ ไปไมไ่ ด้ อยากแล้ว
ก็จะทุกข์
10
ธาตุรู้คอื นิพพานธาตุ
ธาตรุ คู้ อื ใจ ใจผูร้ ู้ผูค้ ิดน้กี แ็ ยกออกจากธาตุ ๔ เวลาท่ี
ร่างกายตายไป ธาตุรู้น้ีก็ไปตามอ�ำนาจของบุญของบาป
ท่ีได้ท�ำไว้ ธาตุรู้ถ้าท�ำบุญก็จะไปสู่สุคติ ถ้าท�ำบาปก็จะไป
สู่อบาย แล้วพอพ้นจากสุคติ พ้นจากอบาย ก็จะกลับมา
ได้ร่างกายอันใหม่ ได้ธาตุ ๔ อันใหม่ เพ่ือที่จะได้มาท�ำ
สิ่งที่อยากท�ำต่อไป แต่ถ้าได้มาพบกับพระพุทธศาสนา
ไดม้ าปฏบิ ตั ธิ รรมตามคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ถา้ ไดด้ วงตา
เหน็ ธรรม เหน็ วา่ การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ของธาตรุ นู้ เ้ี กดิ จาก
ตณั หาความอยาก กม็ าฝกึ วปิ สั สนา มาตดั ความอยากตา่ งๆ
ให้หมดไปจากใจ ด้วยการเห็นไตรลักษณ์ ด้วยการเห็น
ธาตุ๔ดนิ นำ้� ลมไฟดว้ ยการเหน็ อนจิ จงั ไมเ่ ทย่ี งเกดิ แก่เจบ็
ตาย ดว้ ยการเหน็ ความทกุ ขท์ เ่ี กดิ จากความไมเ่ ทย่ี ง มนั กจ็ ะ
ทำ� ให้หยุดความอยากต่างๆ ที่มอี ยู่ในใจได้ พอหยุดความ
อยากตา่ งๆ ทอ่ี ยใู่ นใจหมดไป ธาตรุ นู้ ก้ี จ็ ะเปน็ ธาตทุ ส่ี ะอาด
บรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ธาตรุ นู้ เ้ี รากจ็ ะเรยี กวา่ นพิ พาน นพิ พานธาตุ
11
กไ็ ด้ จะเรยี กวา่ นพิ พานธาตกุ ไ็ ด้ เปน็ ธาตทุ จ่ี ะไมไ่ ปมรี า่ งกาย
ใหมอ่ กี ตอ่ ไป จะไมไ่ ปประกอบกบั ธาตุ ๔ คอื รา่ งกายอนั ใหม่
เพราะการมรี า่ งกายทไี ร มนั กต็ อ้ งมกี ารแก่ การเจบ็ การตาย
ของร่างกายทุกคร้ังไป เวลามีแก่ เจ็บ ตาย ก็มีแต่ความ
ทกุ ข์กัน มีการพลดั พรากจากกัน กเ็ ลยไมม่ าเกิดดกี ว่า ไมม่ ี
ธาตุ ๔ ดกี ว่า อย่ธู าตเุ ดยี วดกี ว่า อย่ธู าตุรู้ตามลำ� พงั
นี่คือธาตุของพระพุทธเจ้า ธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า
ธาตรุ ขู้ องพระอรหนั ตสาวก ทา่ นอยตู่ ามลำ� พงั ทา่ นไมต่ อ้ ง
มีร่างกาย ไม่ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส ไม่ต้องมีลาภ ยศ
สรรเสริญ มาให้ความสุขกับธาตุรู้ เพราะธาตุรู้ท่ีสะอาด
บริสุทธ์ิน้ีเต็มเปี่ยมไปด้วยบรมสุขนั่นเอง ที่เราเรียกว่า
นิพพานงั ปรมัง สุขงั ความสขุ อันสูงสุดน้ีคือความสุขของ
พระนิพพาน ไม่มีความสุขอันใดในโลกน้ีที่จะสามารถมา
เปรยี บเทยี บไดก้ ับความสขุ ของพระนพิ พาน
12
ธาตุ ๖
โดย พระจลุ นายก (พระอาจารย์สุชาติ อภชิ าโต)
วดั ญาณสงั วรารามวรมหาวิหาร
ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
วันท่ี ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓
เรือ่ งธาตุ ๖ น้ี
ถา้ ไมเ่ คยได้ยนิ ไม่เคยศึกษามาก่อน
ฟงั คร้งั แรกกจ็ ะตอ้ งงงทนั ทเี ลย
ถ้าไม่ปฏบิ ัตจิ ะไม่รู้
ถา้ ปฏิบัตแิ ลว้ จะเข้าใจทันที
สอนอยู่เสมอว่า เกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา
แต่ใจไม่ตาย ไปกลัวท�ำไม ใจไม่เคยตาย กลับไปกลัวตาย
เสียเอง สิ่งที่ตายกลับไม่กลัวก็คือร่างกาย หนังเน้ือเอ็น
กระดูกไมก่ ลวั ผ้ทู ่กี ลัวไม่ตาย ใหค้ น้ ความจริงนีใ้ ห้พบเถิด
แล้วจะอยู่อย่างสบาย ให้พบผู้ที่ไม่ตาย ก็คือเราน่ีเอง
แต่ท�ำไมเรามองไม่เห็นตัวเรา เพราะไม่มีกระจกเงาดู
กระจกเงาทจ่ี ะดใู จไดก้ ค็ อื ธรรมะ การภาวนาเปน็ การสรา้ ง
กระจกเงาดใู จ ถ้าสร้างส�ำเรจ็ แลว้ ก็จะมดี วงตาเหน็ ธรรม
เหน็ ความจรงิ เหน็ วา่ ใจกบั กายเปน็ คนละสว่ นกนั กายเปน็
ดนิ น�้ำลมไฟ ใจเป็นธาตุรู้ มาอย่รู ว่ มกนั ตามอำ� นาจของ
ตัณหาความอยากของบุญและบาป ถ้าเป็นอ�ำนาจบุญ
กไ็ ดร้ า่ งมนษุ ย์ ถา้ เป็นอำ� นาจบาปกไ็ ดร้ า่ งเดรจั ฉาน อยไู่ ป
ระยะหนง่ึ แลว้ กแ็ ยกออกจากกนั แลว้ กก็ ลบั มารวมกนั ใหม่
กลบั มาไดร้ า่ งใหม่ กลบั ไปกลบั มาอยอู่ ยา่ งนมี้ านบั ไมถ่ ว้ นแลว้
แต่ผทู้ ไ่ี ด้ร่างนไี้ ม่เคยศึกษาความจรงิ น้ี ทุกครงั้ ทไ่ี ด้ร่างกาย
ก็คิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา พอร่างกายเป็นอะไรไปก็เกิด
ความหวาดกลัวเกดิ ความทุกข์ข้นึ มา ถา้ มกี ระจกเงาไว้ดใู จ
เหมือนมีกระจกเงาดูหน้าตา ก็จะรู้ว่าเราไม่ใช่ร่างกาย
รา่ งกายไมใ่ ชเ่ รา ทา่ นถงึ ไดแ้ สดงไวว้ า่ รา่ งกายเปน็ อนตั ตา
15
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอนิจจัง ไม่เท่ียง เกิดแก่
เจบ็ ตาย เปน็ ทกุ ข์ ไมใ่ หไ้ ปยดึ ไปตดิ ไปหลงคดิ วา่ เปน็ ตวั เรา
ของเรา นค่ี อื อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา
ถา้ เหน็ ธรรมนี้ กจ็ ะมกี ระจกเงาเหน็ ตนเอง จะไมก่ ลวั
ความตาย เชน่ พระอัญญาโกณฑัญญะ ทา่ นกเ็ ปลง่ วาจาว่า
สิ่งใดท่ีมีการเกิดข้ึนเป็นธรรมดา ส่ิงน้ันย่อมมีการดับไป
เปน็ ธรรมดา ทา่ นเหน็ อยา่ งชดั เจนวา่ ผเู้ หน็ กบั สง่ิ ทถี่ กู เหน็
เป็นคนละส่วนกัน ส่ิงท่ีถูกเห็นก็คือร่างกาย ท่ีประกอบ
จากดินนำ�้ ลมไฟ คือธาตุ ๔ ไม่ไดเ้ ป็นผูเ้ ห็น ผเู้ ห็นเพยี งมา
ครอบครองเปน็ สมบตั ชิ วั่ คราว เมอื่ ถงึ เวลาสมบตั นิ ก้ี จ็ ะตอ้ ง
เส่ือมหมดสภาพไป ก็จะแยกกลับคืนสู่สภาพเดิม กลับไป
สนู่ ำ้� กลบั ไปสดู่ นิ กลบั ไปสลู่ ม กลบั ไปสไู่ ฟ เวลาคนตาย ไฟก็
จะออกจากร่างไป ร่างกายก็จะเย็น น�้ำก็จะไหลออกไป
ลมก็จะระเหยออกไป ในท่ีสุดก็จะเหลือแต่ส่วนท่ีเป็นดิน
เหน็ กนั ชดั ๆ ตวั เราอยตู่ รงไหน ตวั เขาอยตู่ รงไหน ไมม่ หี รอก
ผู้ท่ีเป็นเจ้าของร่างกายก็ไปแล้ว ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย
เปน็ เหมอื นกนั ทกุ คน ใจของทกุ คนเปน็ ธรรมชาตเิ ดยี วกนั
เปน็ ธาตรุ เู้ หมอื นกนั ตา่ งกนั ทรี่ ไู้ มจ่ รงิ กบั รจู้ รงิ เทา่ นน้ั เอง
16
ถ้ารู้จริงก็ไม่ทุกข์ ปล่อยวางไม่ยึดไม่ติด ไม่อยากจะได้
รา่ งกายใหม่ เพราะไดม้ าทไี รกต็ อ้ งเปน็ ภาระ เปน็ ภารา หเว
ปญั จกั ขนั ธา ขนั ธ์ ๕ เปน็ ภาระทต่ี อ้ งแบก เชน่ พระพทุ ธเจา้
พระอรหันตสาวก หลังจากท่ีตรัสรู้บรรลุธรรมแล้วก็ยัง
ตอ้ งแบกภาระของรา่ งกายอยู่ ยังต้องดแู ลรกั ษา ใหอ้ าหาร
อาบน้�ำอาบท่า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องให้ยา เป็นภาระ
อยา่ งหนงึ่ ถา้ ไมม่ รี า่ งกายกจ็ ะไมม่ ภี าระ ถา้ ไมม่ ลี กู กจ็ ะไมม่ ี
ภาระทต่ี อ้ งเลยี้ งดลู กู ถา้ มลี กู กจ็ ะมภี าระตอ้ งเลย้ี งดลู กู ตงั้ แต่
ออกมาจากท้องจนกว่าจะเจริญเติบโตจนเลี้ยงตัวเองได้
ถงึ จะหมดภาระ นค่ี อื กระจกสอ่ งใจ แวน่ ดวงใจ แวน่ สอ่ งใจ
คอื ปญั ญา หรอื แสงสวา่ งแหง่ ธรรม ทจ่ี ะทำ� ใหเ้ หน็ ความจรงิ น้ี
มีพระพุทธเจ้าเพยี งองค์เดยี วที่ทรงเห็นใจได้ด้วย
พระองคเ์ อง ทท่ี รงตรสั รู้ก็ตรัสร้เู รื่องของใจนเี่ อง ตรสั รวู้ ่า
ใจทุกข์เพราะอะไร ใจสุขเพราะอะไร ใจทุกข์เพราะหลง
ไปยึดไปติดขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเราของเรา ทรงแสดงไว้ใน
ทกุ ขสจั อปุ าทานในขนั ธ์๕เปน็ ทกุ ข์ถา้ ไมม่ อี ปุ าทานกจ็ ะไมม่ ี
ความทกุ ข์ ถงึ แมจ้ ะมขี นั ธ์ ๕ แตถ่ า้ ไมม่ อี ปุ าทานกจ็ ะไมท่ กุ ข์
เชน่ พระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์ ไมท่ กุ ขก์ บั รา่ งกาย จะเปน็
17
จะตายอยา่ งไรไมเ่ ดอื ดรอ้ น ตายในอริ ยิ าบถใดทไ่ี หนเวลาใด
ไดอ้ ย่างสบาย เพราะไม่มอี ุปาทานในขนั ธ์ ๕ ในร่างกาย
ว่าเป็นตัวเราของเรา เห็นชัดอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นเพียง
ดินนำ�้ ลมไฟ พระอรยิ สจั ๔ ก็คอื ทกุ ข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค
ทุกข์ ได้แก่การเกิดแก่เจบ็ ตาย การพลัดพรากจากสงิ่ ท่รี ัก
ท่ีชอบ การประสบกับสิ่งท่ีไม่รักไม่ชอบ โดยสรุปก็คือ
อุปาทานในขันธ์ ๕ ทั้งของเราและของผู้อ่ืน อุปาทาน
ในขนั ธ์ ๕ ของเราก็คือร่างกายเรา ของผอู้ น่ื ก็คอื ของสามี
ของภรรยา ของบุตร ของธิดา ของพ่อของแม่ ของเพ่ือน
พอมอี ปุ าทานวา่ เปน็ เพอ่ื นเรา เปน็ ญาตเิ รา กเ็ กดิ ความอยาก
ให้เขาอยู่อย่างปลอดภัย อยู่ไปนานๆ พอมีเหตุการณ์มา
กระทบกบั ความปลอดภยั กส็ รา้ งความหวนั่ ไหว สรา้ งความ
ทุกข์ความเดือดร้อนใจข้ึนมา ทั้งหมดน้ีก็เกิดจากอวิชชา
ปจั จยา สงั ขารา ความเหน็ ผดิ เปน็ ชอบ ไมเ่ หน็ วา่ ไมม่ อี ะไร
เปน็ ตวั เราของเรา สพั เพ ธมั มา อนตั ตา สรรพสง่ิ ทงั้ หลาย
ในโลกนีเ้ ปน็ เพยี งธาตุ
ธาตุทเี่ หน็ กนั กค็ อื ธาตุ ๔ ดินน�้ำลมไฟ ธาตุทไ่ี มเ่ ห็นมี
อยู่ ๒ คอื อากาศธาตุ และธาตุรู้คอื ใจ สรรพสัตวท์ ัง้ หลายมี
ธาตุ ๖ มาผสมกนั สงิ่ อนื่ ๆ มเี พยี ง ๕ ธาตุ มนษุ ยก์ บั เดรจั ฉาน
18
มี ๖ ธาตุ คือ ธาตุ ๔ ดินน้ำ� ลมไฟ ธาตรุ ูค้ อื ใจ แล้วก็มี
อากาศธาตคุ ือความว่าง ท่อี ยูร่ อบรา่ งกาย และอยู่ข้างใน
รา่ งกายดว้ ย ตรงไหนเปน็ ชอ่ งวา่ ง ตรงนน้ั กเ็ ปน็ อากาศธาตุ
เช่น ท่ีรูจมูก ส่วนท่ีว่างในร่างกายก็จะเป็นอากาศธาตุ
ส่วนท่ีอยู่รอบร่างกายก็เป็นอากาศธาตุ ส่วนธาตุรู้ก็คือใจ
ทเี่ ป็นเจ้านายของรา่ งกาย ใจเป็นนาย กายเปน็ บา่ ว ธาตุรู้
เป็นผู้ส่ังให้ร่างกายท�ำงาน ให้ไปน่ันมานี่ ให้พูดอย่างนั้น
พดู อย่างนี้ ธาตุรเู้ ป็นทง้ั ผสู้ ่งั และผู้รบั รู้ ส่งิ ตา่ งๆ ทเ่ี ข้ามา
ทางทวารท้งั ๕ คือตาหจู มูกลน้ิ กาย ส่วนอวิชชาปัจจยา
สังขารา กค็ ือไมร่ ู้ว่ารา่ งกายเป็นเพียงธาตุ กลบั ไปคดิ วา่
เปน็ ตวั เราของเรา เวลารา่ งกายสขุ กด็ ใี จ เวลารา่ งกายเจบ็
ก็ทุกข์ใจ จึงเกิดตัณหาขึ้นมา เกิดกามตัณหา ภวตัณหา
วภิ วตณั หาขนึ้ มาตณั หาเปน็ สมทุ ยั เหตทุ ท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์
เพราะอวชิ ชา จงึ เกดิ อปุ าทาน ตณั หา เกดิ ความทกุ ขต์ ามมา
ที่พวกเราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ก็ทุกข์ทางใจ เพราะตัณหา
ท้ัง ๓ น้ี อากาศร้อนก็ทุกข์ เพราะไม่ชอบเวทนาที่ร้อน
อยากจะใหเ้ ยน็ กท็ กุ ข์ ถา้ ยอมรบั ความรอ้ นได้ รอ้ นกร็ อ้ นไป
กจ็ ะไมท่ กุ ข์ ไมต่ อ้ งใชเ้ ครอ่ื งปรบั อากาศ ไมต่ อ้ งหาวธิ ตี า่ งๆ
มาดับความร้อน อยไู่ ดก้ อ็ ยู่ไป อยไู่ ม่ได้กต็ าย กจ็ ะไมท่ กุ ข์
19
เพราะไม่มีอุปาทาน ไม่ได้คิดว่าตัวเราร้อน ไม่ได้คิดว่า
ร่างกายเป็นตัวเรา ตัวเราไม่ร้อน ตัวเราเพียงแต่รู้ว่า
รา่ งกายร้อน ตวั เราคอื ผูร้ ู้ไมไ่ ด้รอ้ นไปกับร่างกาย เราเยน็
ดว้ ยความสงบ ดว้ ยการปลอ่ ยวาง เปน็ อเุ บกขา ไมม่ ตี ณั หา
ทง้ั ๓ กามตัณหากไ็ มม่ ี ภวตณั หาก็ไม่มี วิภวตณั หากไ็ มม่ ี
ยินดีตามมตี ามเกิด
น่ีคือเป้าหมายของการปฏิบัติ เพื่อสอนใจให้
ปล่อยวาง ไม่ให้ยึดไม่ให้ติดในส่ิงต่างๆ ท่ีเป็นเพียง
ธาตุ ๖ ธาตดุ ินน้�ำลมไฟ ธาตอุ ากาศและธาตุรู้ ถา้ เห็นได้
อย่างชัดเจนในทุกสิ่งทุกอย่างก็จะปล่อยวางได้ จะไม่ทุกข์
กบั อะไร เพราะทกุ สิ่งทกุ อยา่ งมาจากธาตุ ๖ นเี้ อง ร่างกาย
และใจของเรากม็ าจากธาตุ ๖ ของคนอื่นกธ็ าตุ ๖ บา้ นก็
เป็นธาตุ สมบัติต่างๆ ก็เป็นธาตุ เพชรก้อนโตเท่าก�ำมือ
ก็เป็นธาตุ เป็นก้อนหินก้อนหน่ึงท่ีเราสมมุติว่ามีราคา
แลว้ กห็ ลงตามสมมตุ ิ แตค่ วามจรงิ ไมม่ รี าคาอะไร เปน็ เพยี ง
ก้อนหินก้อนหน่ึง กระดาษที่พิมพ์ตัวเลข ๑๐๐๐ เลข
๕๐๐ เลข ๑๐๐ ก็เป็นเพยี งกระดาษ ถกู สมมตุ ใิ หม้ ีราคา
เท่าน้ันเท่านี้ สมัยเป็นเด็กๆ เคยเล่นไพ่ใช้เงินปลอม
20
ไม่มีใครเชื่อกันว่าเป็นเงินจริง แต่เงินปลอมของผู้ใหญ่
กลับเชื่อกัน เงินปลอมของเด็กไม่เชื่อ เป็นเงินปลอม
เหมือนกัน เป็นกระดาษเหมือนกนั พอมีคนเชือ่ ก็เลยมีค่า
ขน้ึ มา เอากระดาษนไี้ ปแลกขา้ วปลาอาหารได้ เพราะเชอื่ กนั
เงินของฝรั่งพิมพ์ค�ำว่าเราเชื่อในพระเจ้าไว้ จึงมีคุณค่า
ความจริงเป็นเพียงกระดาษ แต่ทุกคนเช่ือกันหลงกันว่า
มรี าคา จงึ เปน็ ของมรี าคาขน้ึ มา แตค่ วามจรงิ ไมม่ รี าคาอะไร
ถ้าหลงอยู่ในป่า ไปเจอเพชรกองเท่าภูเขาก็จะไม่ได้
ประโยชนอ์ ะไร ไปเจอกลว้ ยสกั หวหี นง่ึ จะดกี วา่ แตเ่ ราไมใ่ ช้
ปัญญาแยกแยะกัน เกิดมาถูกสอนให้เช่ือก็เชื่อตามกันมา
สอนวา่ รา่ งกายคนนเี้ ปน็ พอ่ รา่ งกายคนนเี้ ปน็ แม่ กเ็ ชอื่ กนั มา
คนนีเ้ ปน็ พี่ คนน้เี ปน็ น้อง คนนเ้ี ปน็ เจา้ คนนี้เป็นบา่ ว กค็ น
เหมอื นกนั หนา้ ตาเจา้ กบั หนา้ ตาบา่ วตา่ งกนั ตรงไหน ถา้ เจา้
มเี ขากน็ า่ จะวเิ ศษกวา่ บา่ ว เจา้ กไ็ มม่ เี ขา บา่ วกไ็ มม่ เี ขา มแี ขน
มขี าเหมอื นกนั มอี าการ ๓๒ เหมอื นกนั จะไปตน่ื เตน้ กบั อะไร
เพราะไม่ใช้ปัญญา หลงตามสมมุติกัน สมมุติว่าคนนั้น
มรี าคา คนนไ้ี มม่ รี าคา แตค่ วามจรงิ กเ็ ปน็ รา่ งกายเหมอื นกนั
เปน็ ธาตุ ๔ เหมอื นกนั เปน็ ดนิ นำ้� ลมไฟเหมอื นกนั นเี้ รยี กวา่
ปัญญา
21
จะรู้ทันกิเลสก็ต้องรู้แบบนี้ ต้องพิจารณาแบบน้ี
ตอ้ งมองอยา่ งนี้ จะไดห้ ลดุ พน้ จากสมมตุ ิ เราตดิ อยกู่ บั สมมตุ ิ
จึงต้องศึกษาอยู่เร่ือยๆ พิจารณาอยู่เร่ือยๆ เป็นการบ้าน
สำ� หรบั วนั น้ี ไปพจิ ารณาดู เหน็ อะไรกพ็ จิ ารณาวา่ เปน็ ธาตุ
แยกแยะดวู า่ เปน็ ธาตหุ รอื ไม่ มอี ะไรบา้ งทไี่ มเ่ ปน็ ธาตุ ดนิ นำ้�
ลมไฟ ธาตดุ นิ กเ็ ปน็ สว่ นแขง็ ธาตนุ ำ้� เปน็ สว่ นเหลว บางสงิ่
ก็มีท้ังธาตุดินธาตุน้�ำผสมกัน ก็ข้นหน่อย ถ้าใสก็จะไม่มี
ธาตุดินเลย หรือมีน้อยมาก เช่นน้�ำแร่ มีธาตุดินอยู่ด้วย
แตม่ จี ำ� นวนนอ้ ยมาก ไมอ่ ยา่ งนนั้ จะเรยี กวา่ นำ�้ แรไ่ ดอ้ ยา่ งไร
ต้องเรียกว่าน�้ำกลั่น เพราะน้�ำกล่ันแทบจะไม่มีธาตุดิน
ผสมอยเู่ ลย เพราะกลนั่ เอาแต่น้ำ� ออกมา ทกุ สง่ิ ทุกอย่างมี
สว่ นผสมของธาตุ ๔ รวมกนั ทง้ั นน้ั ไมเ่ ทย่ี ง รวมตวั แลว้ กแ็ ยก
ออกจากกนั ธรรมชาตขิ องธาตจุ ะกลบั คนื สธู่ าตเุ ดมิ เสมอ
น้�ำจะกลับไปรวมกับน�้ำ ดินจะกลับไปรวมกับดิน แต่ถูก
ปัจจัยอื่นบังคับให้มารวมกัน พอรวมกันแล้วก็จะแยกกัน
เชน่ ตน้ ไม้ที่โผล่ขน้ึ มาจากดนิ เพราะมเี มล็ดอยใู่ นดิน พอมี
นำ้� มาผสม ตน้ กเ็ ลยงอกออกมา ถา้ ไม่มนี ้ำ� ตน้ ไมก้ ต็ อ้ งแห้ง
ตายไป ถา้ ไมม่ อี ากาศ ตน้ ไมก้ ต็ อ้ งตาย ไมม่ คี วามรอ้ น ตน้ ไม้
22
ก็ต้องตาย ต้องมีธาตุทั้ง ๔ ถึงจะเจริญเติบโตและอยู่ได้
ถา้ ธาตสุ ว่ นใดสว่ นหนง่ึ หมดไปกจ็ ะอยไู่ มไ่ ด้ ถา้ พลงั แยกท่ี
จะทำ� ใหแ้ ยกออกจากกนั มกี ำ� ลงั มากกวา่ กจ็ ะตอ้ งตายไป
รา่ งกายของเราตายเพราะธาตุ ๔ ไมย่ อมอยรู่ ว่ มกนั จะแยก
ทางกัน ตอนต้นพลังที่ดึงไว้ให้อยู่ร่วมกันมีก�ำลังมากกว่า
ท�ำให้ร่างกายเจริญเติบโต พออ่อนก�ำลังลง สู้ปัจจัยที่จะ
แยกให้ออกจากกันไม่ได้ ร่างกายก็จะค่อยๆ เส่ือมลงไป
เรม่ิ แกล่ งไป แลว้ ในทสี่ ดุ กแ็ ยกจากกนั ไปคนละทศิ คนละทาง
นำ�้ กไ็ ปทางหนงึ่ ไฟกไ็ ปทางหนง่ึ ลมกไ็ ปทางหนงึ่ ดนิ กไ็ ป
ทางหนง่ึ ไมม่ ตี วั ตน ไมใ่ ชต่ วั เรา ไมใ่ ชข่ องเรา ใหพ้ จิ ารณา
อย่างนี้ไปเร่ือยๆ จะปล่อยวางได้ พอพร้อมที่จะปล่อยก็
เอาไปปล่อยดู ไปทดสอบดูว่าปลอ่ ยไดจ้ ริงหรอื ไม่ ทไ่ี หนท่ี
น่ากลวั ๆ ที่นา่ จะมอี นั ตรายต่อร่างกาย กล็ องไปดู
นักปฏิบัติตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันน้ี
ต้องทดสอบกันทั้งน้ัน ต้องอยู่ป่าอยู่เขากันท้ังน้ัน ต้องอยู่
ตามลำ� พงั ถงึ จะเกดิ ความกลวั สดุ ขดี พอเกดิ ความกลวั สดุ ขดี
ถา้ มปี ญั ญากจ็ ะดบั ความกลวั ได้ ดบั ดว้ ยการเหน็ วา่ รา่ งกาย
ไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นธาตุ ๔ เช่ืออย่างเต็มที่ว่าเป็น
23
อย่างน้ันจริงๆ ถึงเวลาก็ยอมให้ไปเลย เวลากลัวสุดขีด
ก็ยอมปล่อยให้ไป ตายเป็นตาย พอปล่อยได้ปั๊บ จิตจะ
หยุดกลวั จะแยกออกจากรา่ งกายให้เหน็ เลย จะรวมเข้า
สู่สมาธิ เปน็ เอกคั คตารมณ์ รา่ งกายอย่สู ่วนหนึ่ง จิตอยู่
สว่ นหนึ่ง หลงั จากน้ันจะไมม่ คี วามกลวั อีกต่อไป เพราะ
รู้ว่าใจไม่เป็นอะไร ร่างกายเป็น แต่ใจกลับสบาย จะไป
กลวั ตายทำ� ไม พอสลดั รา่ งกายทง้ิ ไปไดแ้ ลว้ จะสบายใจมาก
แลกกันระหว่างร่างกายกับจิตท่ีรวมลงเป็นหนึ่งเป็น
เอกัคคตารมณ์ เราจะเอาอะไร ท่านถึงสอนว่า นพิ พานอยู่
ฟากตาย ถ้าไม่ยอมตาย จิตจะไม่ดิ่งลงสู่พระนิพพาน
ไม่ด่ิงลงสู่ความสงบ แต่ก่อนที่จะไปถึงข้ันน้ันได้ ต้องท�ำ
การบ้านกอ่ น ต้องเตรียมต้องซ้อมไวก้ อ่ น ถา้ ไม่ทำ� จะไม่มี
ก�ำลัง พอไปแล้วจะท�ำไม่ได้ จะสติแตก แทนท่ีจะดิ่งลงสู่
ความสงบ จะดิ่งสู่ความเป็นบ้า เพราะควบคุมกิเลสไม่ได้
กเิ ลสจะทำ� ใหส้ ตแิ ตก จะทำ� ใหเ้ ปน็ บา้ ไปเลย ผทู้ ปี่ ฏบิ ตั แิ ลว้
เป็นบ้ากัน เพราะไม่รู้ก�ำลังของตนเอง ท่านถึงบังคับให้
ผู้ท่ีบวชใหม่อยู่กับพระอาจารย์อย่างน้อย ๕ พรรษาก่อน
ให้ศกึ ษาวทิ ยายุทธ์ ใหม้ ีอาวุธคุ้มครองจิตใจกอ่ น แล้วค่อย
ออกไปตอ่ สกู้ บั กเิ ลสในสนามรบ
24
ตอนต้นก็ซ้อมกับอาจารย์ไปก่อน ให้อาจารย์ยุแหย่
ใหเ้ กดิ กเิ ลสขนึ้ มา ทำ� ใหเ้ รากลวั แลว้ ดซู วิ า่ จะปลงไดห้ รอื ไม่
ถา้ ปลงไดไ้ มก่ ลวั ทา่ นกอ็ อกวเิ วกได้ ถา้ ยงั กลวั ทา่ นอยู่ ทา่ นก็
จะไมใ่ หไ้ ป ถา้ บวชใหมไ่ ปอยวู่ เิ วกสว่ นใหญม่ กั จะเสยี หาย
ไมค่ อ่ ยได้ประโยชน์ นอกจากเกง่ จริงๆ เชน่ พระพุทธเจา้
เป็นต้น จะว่าไม่มีอาจารย์ก็ไม่เชิง ท่านก็ทรงศึกษากับ
พระอาจารย์ ไมไ่ ดไ้ ปอยตู่ ามลำ� พงั ทรงศกึ ษาตามสำ� นกั ตา่ งๆ
การอยู่ศึกษากับอาจารย์จึงเป็นเรื่องส�ำคัญ ไม่เช่นน้ัน
พระพทุ ธเจา้ คงไมท่ รงบงั คบั ใหอ้ ยกู่ บั อาจารยถ์ งึ ๕ พรรษา
พระทบี่ วชใหมจ่ ะตอ้ งไมอ่ ยปู่ ราศจากอาจารย์ ตอ้ งถอื นสิ ยั
ในอาจารยห์ รอื พระอุปชั ฌาย์ ถ้าพระอปุ ชั ฌาย์ไม่สามารถ
ทจ่ี ะสอนได้ ท่านกจ็ ะฝากให้ไปศกึ ษากบั พระอาจารยร์ ูปท่ี
สอนได้ กต็ อ้ งไปถอื นิสยั กับพระอาจารยร์ ปู นน้ั จะไปไหน
มาไหนต้องขออนุญาตท่านก่อน ถ้าท่านให้ไปถึงจะไปได้
ถา้ ทา่ นไมใ่ หไ้ ปกไ็ ปไมไ่ ด้ ถา้ ดอ้ื ทา่ นกจ็ ะไมร่ บั กลบั มา ไปแลว้
กไ็ ปเลย ไมต่ อ้ งกลบั มา ถอื วา่ ขาดจากการเปน็ อาจารยเ์ ปน็
ลูกศิษย์แล้ว ถ้าอาจารย์สอนแล้วลูกศิษย์ไม่เช่ือฟังก็จะ
ไมม่ ปี ระโยชน์ สอนไปกเ็ สยี เวลา การศกึ ษาเปน็ เรอื่ งสำ� คญั
อยา่ งมากส�ำหรบั ผู้บวชใหม่ ผเู้ ร่มิ ปฏิบตั ิ พระพุทธเจ้าทรง
25
กำ� หนดไวเ้ ลยวา่ ตอ้ งศกึ ษากอ่ น ปรยิ ตั คิ อื การศกึ ษาคำ� สอน
ของผรู้ ู้ ถา้ ยงั ไมร่ กู้ ต็ อ้ งหาผรู้ ใู้ หส้ ง่ั สอน ทา่ นสอนใหท้ ำ� อะไร
ก็ปฏิบัติตาม จนกว่าจะบรรลุผลข้ึนมาเป็นปฏิเวธ ปริยัติ
นำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั นิ ำ� ไปสปู่ ฏเิ วธ พอบรรลธุ รรมแลว้
ค่อยเผยแผ่ส่งั สอนผอู้ นื่ ตอ่ ไป จะสอนก็ได้ ไมส่ อนกไ็ ด้ ไม่มี
กฎบังคบั ตายตัว ขนึ้ อยูก่ บั ปจั จัยของแต่ละท่าน บางท่าน
ไมม่ ีความสามารถท่จี ะสง่ั สอนได้อยา่ งกว้างขวาง ก็อาจจะ
ไมส่ อน หรอื อาจจะไมม่ ผี ศู้ รทั ธามาศกึ ษากบั ทา่ น บางทา่ นมี
ความสามารถและมผี สู้ นใจศกึ ษากบั ทา่ นมาก ทา่ นกส็ อนไป
สงิ่ ทส่ี ำ� คญั ทสี่ ดุ ของผปู้ ฏบิ ตั ิ กค็ อื ปฏเิ วธ การบรรลผุ ล
ทเ่ี กดิ จากการปฏบิ ตั ิ จะเกดิ ไดก้ ็ตอ้ งมกี ารปฏบิ ัติที่ถกู ตอ้ ง
คอื สุปฏปิ นั โน อุชปุ ฏิปนั โน ญายปฏิปันโน สามีจปิ ฏปิ นั โน
จะปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบไดก้ ต็ อ้ งมปี รยิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ ง มคี ำ� สงั่ สอน
ที่ถกู ตอ้ งคอื สวากขาโต ภควตา ธัมโม จะศกึ ษากับใครถึง
จะได้ สวากขาโต ภควตา ธมั โม กต็ อ้ งศกึ ษาจากพระไตรปฎิ ก
เชอื่ กนั วา่ เปน็ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทไ่ี ดร้ บั การถา่ ยทอด
มาทกุ ยคุ ทกุ สมัยจนถึงปัจจบุ ัน หรือไม่เช่นนน้ั ก็ตอ้ งศึกษา
จากพระอรยิ สงฆ์ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ ครบู าอาจารยผ์ บู้ รรลุ
26
มรรคผลนพิ พานแลว้ ถงึ จะได้ สวากขาโต ภควตา ธมั โม
ธรรมทต่ี ถาคตตรสั ไวช้ อบแลว้ นคี่ อื ขนั้ ตอนของการบำ� เพญ็
ของพุทธศาสนิกชน ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
เหมือนกัน ไม่ต่างกัน ต่างกันตรงท่ีเวลาท่ีจะมีให้ต่อการ
บำ� เพญ็ กจิ ของพระศาสนา ถา้ เปน็ บรรพชติ กจ็ ะมเี วลาเตม็ ที่
ตงั้ แตต่ น่ื จนหลบั เลย ไมม่ ภี ารกจิ อยา่ งอน่ื มาดงึ ไป แตถ่ า้ เปน็
ฆราวาสผู้ครองเรือน จะมีเวลาน้อยมากต่อการปฏิบัติกิจ
ของพระศาสนา วนั หนง่ึ แทบจะไมม่ เี วลาเลย ถา้ ไมต่ งั้ ใจจรงิ ๆ
ถา้ ไมก่ ำ� หนดตารางไวจ้ รงิ ๆ แทบจะไมม่ เี วลาบำ� เพญ็ กนั เลย
ตื่นเช้าขึ้นมาก็ตาลีตาลานรีบไปท�ำงาน ท�ำมาหากินกัน
พอเยน็ กร็ บี ตาลตี าลานกลบั บา้ น เพอ่ื จะไดก้ นิ ขา้ ว พกั ผอ่ น
หลับนอน หาความสขุ เลก็ ๆ น้อยๆ จากการดหู นังฟงั เพลง
พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ เพอื่ จะไดม้ กี ำ� ลงั ออกไปทำ� งานในวนั รงุ่ ขน้ึ
ฆราวาสจงึ ไมค่ ่อยมเี วลาที่จะปฏิบตั กิ ิจของพระศาสนา
ถามว่าฆราวาสกับบรรพชิตนี้ต่างกันไหม ไม่ต่างกัน
มีขนั ธ์ ๕ เหมอื นกัน มกี ายมใี จเหมือนกนั ต่างกันตรงท่ีมี
ความใฝ่ธรรมมากน้อยต่างกัน ถ้าใฝ่ธรรมมากก็จะมีก�ำลัง
มากพอที่จะสละเพศของฆราวาสได้ ออกไปปฏิบัติได้
27
ออกไปบวชเปน็ บรรพชติ เปน็ นกั บวช เพอื่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งเตม็ ที่
แตถ่ ้าบวชแลว้ ไมไ่ ด้ปฏบิ ัติ กลับมาท�ำกจิ ของฆราวาส ก็ไม่
ต่างกัน เช่น บวชแล้วไม่เคยน่งั สมาธิ ไม่เคยเดนิ จงกรมเลย
ทำ� แต่บุญบงั สงั สวด บญุ ก็คอื งานบุญ เช่น ญาตโิ ยมนิมนต์
ไปท�ำบุญที่บ้าน ถือตาลปัตรไปน่ังสวดให้ญาติโยมฟัง
เสรจ็ แลว้ กฉ็ นั ฉนั เสรจ็ แลว้ กร็ บั จตปุ จั จยั ไทยทาน แลว้ กก็ ลบั
วดั มาพกั ผอ่ นบา่ ยๆกด็ ม่ื นำ้� ชากาแฟตอนกลางคนื กเ็ ขา้ นอน
เช้าก็ไปรับกิจนิมนต์ใหม่ รับสังฆทานบ้าง งานบุญบ้าง
บงั สุกลุ บา้ ง เวลาคนตายกไ็ ปบังสุกลุ ถ้ามีพธิ ีสวดก็สวดกนั
ถ้าท�ำกิจอย่างนี้ก็ไม่ต่างกับฆราวาส เพราะนี่ไม่ใช่กิจของ
พระศาสนา ไม่ใช่กิจท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ
ในอดีตนั้นท่านไม่ได้ถือกิจเหล่าน้ีเป็นกิจส�ำคัญ การสวด
การทอ่ งนท้ี ำ� เพอ่ื สบื ทอดพระธรรมคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้
เปน็ อบุ าย ๓ ประการดว้ ยกนั คอื ๑. เปน็ การสอนผสู้ วดเอง
ใหร้ พู้ ระธรรมคำ� สง่ั สอนใหเ้ กดิ ปญั ญา๒.ใหม้ สี มาธิเวลาสวด
พระธรรมค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า หรือท่องไปในใจ
เป็นการท�ำสมาธิภาวนา ๓. เป็นการอนุรักษ์ค�ำสอนของ
พระพทุ ธเจา้ ไว้
28
ธรรมท่ีออกมาจากใจกับธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรง
สั่งสอนน้ีจะตรงกัน จะไม่มีปัญหาไม่สงสัย ถ้าศึกษา
อย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่มีปฏิเวธ จะสงสัย ไม่แน่ใจว่า
ธรรมทไี่ ดย้ นิ นถี้ กู ตอ้ งหรอื ไม่ เปน็ อยา่ งนนั้ จรงิ หรอื ไม่ ถา้ จะ
อนุรักษ์พระศาสนาด้วยการท่องสวดอย่างเดียวจะไม่พอ
พระศาสนาจะต้องหมดไปอยา่ งแน่นอน ถา้ ไมม่ ีการปฏิบตั ิ
พระศาสนากจ็ ะหมดไป ตอ่ ใหม้ กี ารจารกึ พระไตรปฎิ กไวใ้ น
ระบบขอ้ มลู สอ่ื สารตา่ งๆ กจ็ ะเปน็ เพยี งตวั หนงั สอื เทา่ นน้ั เอง
อ่านแล้วจะไม่เข้าใจ จะลังเลสงสัย เช่นเรื่องธาตุ ๖ น้ี
ถา้ ไมเ่ คยไดย้ นิ ไมเ่ คยศกึ ษามากอ่ น ฟงั ครง้ั แรกกจ็ ะตอ้ งงง
ทนั ทเี ลย ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั จิ ะไมร่ ู้ ถา้ ปฏบิ ตั แิ ลว้ จะเขา้ ใจทนั ที
พออ่านปั๊บจะรู้ทันทีเลยว่าพูดถึงเร่ืองอะไร เพราะมีอยู่ใน
ตวั เรา ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ไี่ หน ธาตุ ๖ นอี้ ยใู่ นตวั เรา ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งที่
พระพทุ ธเจา้ ทรงสง่ั สอนนี้ มงุ่ มาทก่ี ายและใจของเราเทา่ นนั้
อรยิ สัจ ๔ ก็อยู่ท่ีใจของเรา อย่ทู ่รี า่ งกายของเรา ทกุ ขสัจ
คอื การเกดิ แกเ่ จบ็ ตาย อะไรละ่ ทเ่ี กดิ แกเ่ จบ็ ตาย กร็ า่ งกายนี้
อะไรทีท่ ุกข์ กใ็ จนท้ี ่ีทุกข์ เพราะไปยดึ ไปตดิ กบั รา่ งกายวา่
เปน็ ตวั เราของเรา นคี่ อื การอนรุ กั ษพ์ ระศาสนาใหม้ อี ายยุ นื
29
ยาวนานตอ้ งอนรุ กั ษด์ ว้ ยปรยิ ตั ิปฏบิ ตั ิปฏเิ วธในสมยั โบราณ
ท่านสวดกันเพื่อเหตุนี้ แต่ในสมัยปัจจุบันไม่ได้สวดเพ่ือ
เหตนุ ี้สวดเพอื่ กระดาษทพ่ี มิ พต์ วั เลขเปน็ พธิ กี รรมไดอ้ ยา่ งมาก
ก็ทาน ถ้าเอาเงินท่ีได้มาไปท�ำทาน แต่การท�ำทานไม่ใช่
หน้าทขี่ องนกั บวช ท่ีไดส้ ละหมดแลว้ ทรพั ย์สมบัติข้าวของ
เงินทอง ถ้าบวชเพ่ือมาหาเงินก็แสดงว่าไมไ่ ดม้ าบวชจริง
ผทู้ บี่ วชจรงิ ๆ ไดส้ ละหมดแลว้ ไมไ่ ดม้ าบวชเพอื่ สะสม
ทรพั ยส์ มบตั ขิ า้ วของเงนิ ทอง บวชเพอื่ ปฏบิ ตั ธิ รรม ไมย่ งุ่ กบั
เรอ่ื งเงนิ ทอง นอกจากวา่ มนั มายงุ่ กบั ทา่ นเอง อยา่ งนกี้ ช็ ว่ ย
ไมไ่ ด้ เชน่ ครบู าอาจารยท์ ม่ี ศี รทั ธาถวายเงนิ ทองใหก้ บั ทา่ น
แต่จติ ใจท่านไม่ไดม้ ุง่ หาเงนิ หาทอง มันมาเอง ท่านกใ็ ช้ให้
เกิดประโยชนแ์ กโ่ ลก ถ้าท่านยังไมบ่ รรลกุ ็จะเป็นปญั หาได้
เพราะจะมีกิเลสที่ท�ำให้เกิดความโลภ เกิดความอยาก
เกดิ ความหวงขน้ึ มาได้ ถา้ ไปเกยี่ วขอ้ งกบั เงนิ ทองกจ็ ะเสยี ได้
แตถ่ า้ บรรลธุ รรมแลว้ เสรจ็ กจิ ของทา่ นแลว้ วสุ ติ งั พรหั มจรยิ งั
กิจในพรหมจรรย์ได้ส้ินสุดลงแล้ว ต่อให้เก่ียวข้องกับ
เงินทองกองเท่าภูเขาก็จะไม่เป็นปัญหาอย่างไร เพราะ
ทา่ นรวู้ า่ มนั เปน็ เพยี งธาตุ เปน็ กระดาษเทา่ นน้ั เอง แตเ่ ปน็
30
ประโยชน์กับผู้ท่ีเดือดร้อน ไม่มีข้าวกิน ไม่มีบ้านอยู่
ไม่มีเส้ือผ้าใส่ ก็จะเป็นประโยชน์ แต่กับตัวท่านมันไม่มี
ประโยชน์อะไร ทง้ั กายและใจ กายท่านก็ปลอ่ ย ใจท่านก็
ไม่ทุกข์กับอะไร ไม่มคี วามอยาก ต่อใหไ้ ดเ้ งินทองกองเทา่
ภูเขา ก็จะไม่มปี ระโยชนอ์ ะไรกับท่าน กลบั เป็นภาระที่จะ
ต้องจัดการดูแลแจกจ่ายให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ถ้าผู้
บวชใหม่เห็นครูบาอาจารย์มีเงินมีทองมาก ก็อยากจะมี
เหมือนกับท่าน ก็แสดงว่าหลงทางแล้ว เพราะไม่ได้บวช
เพอ่ื มาหาเงนิ หาทอง บวชเพอื่ หาธรรม หาการหลดุ พน้ จาก
ความทุกข์ เป็นงานของนกั บวช งานของพุทธศาสนิกชน
เปา้ หมายของพวกเราทกุ คนอยทู่ กี่ ารดบั ทกุ ขภ์ ายในใจ
ถา้ ปฏบิ ตั มิ ากละไดม้ ากกจ็ ะดบั ไดม้ าก เพราะทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง
ทเ่ี รามีอยนู่ ี้เปน็ เหมือนไฟ เงนิ ทองน้เี ปน็ เหมือนไฟ จะคอย
เผาใจเราอยเู่ รอื่ ยๆ ความสขุ ทมี่ นั ใหก้ บั เรานม้ี เี พยี งเลก็ นอ้ ย
แตค่ วามทกุ ขท์ เี่ ผาใจเรานม้ี มี ากกวา่ หลายเทา่ แตเ่ ราไมร่ กู้ นั
พอเห็นเงินเห็นทองกต็ าลกุ วาว คิดว่าจะให้ความสุขกบั เรา
แตห่ าร้ไู ม่ว่าถ้าไปยึดตดิ กับเงนิ ไปพงึ่ เงนิ แล้ว เวลาไม่มเี งนิ
จะทำ� อยา่ งไร จะอยเู่ ฉยๆ ไดไ้ หม ถา้ ไมย่ ดึ ไมต่ ดิ กบั เงนิ ทอง
31
จะอยู่ตามมีตามเกิดได้ คนรวยถึงทุกข์มากกว่าคนจน
ทุกข์เพราะกลัวจะจน แต่คนจนไม่กลัวความจน เพราะ
อยู่กับความจนตลอดเวลา คนจนทุกข์ตรงท่ีอยากจะรวย
แตค่ นรวยกลบั ทกุ ขเ์ พราะไมอ่ ยากจะจน แลว้ กท็ กุ ขเ์ พราะ
อยากจะรวยกว่าเก่าอีก ทุกข์ทั้ง ๒ ด้านเลย ทุกข์ทั้งขึ้น
ทุกขท์ ้ังลง รวยแลว้ ยังอยากจะรวยกวา่ น้อี ีก แลว้ กก็ ลัวจะ
จนอีก จึงอย่าไปอยากรวย อย่าไปกลัวจน พอมีพอกินไป
วันๆ หนง่ึ ก็พอแลว้ อยา่ ไปเสียเวลากับการหาเงนิ หาทอง
หรอื รกั ษาเงนิ ทองมากจนเกนิ เหตุ ใหม้ ารกั ษาใจจะดกี วา่
ด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติ ด้วยปฏิเวธ พอได้ปฏิเวธ
แล้วใจจะปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง ทุกข์ภัยต่างๆ ที่เกิด
จากกิเลสตัณหาจะไม่มี เพราะไม่มีกิเลสตัณหาหลงเหลือ
อยู่ในใจ ความส�ำคัญอยู่ตรงนี้ อยู่ท่ีใจที่สะอาดบริสุทธ์ิ
ท่ีได้ช�ำระความโลภความโกรธความหลงจนหมดส้ินไป
ภารกจิ อนื่ ไมส่ ำ� คญั เพราะไมส่ ามารถชำ� ระจติ ใจใหส้ ะอาด
บรสิ ุทธิไ์ ด้ ตอ้ งปฏบิ ตั กิ จิ ของพระศาสนา คือปรยิ ัติ ปฏิบตั ิ
ปฏเิ วธ เทา่ นั้นทจี่ ะทำ� ได้
32
ถ้าพอมีพอกินแล้ว ก็ควรหันมาปฏิบัติกิจของ
พระศาสนาให้มากข้นึ จะดีกวา่ จะได้ไม่เสยี ชาติเกิด เพราะ
มนุษย์น้ีเป็นชาติเดียวเท่าน้ันท่ีจะปฏิบัติกิจของ
พระศาสนาได้ แล้วก็ต้องเป็นในขณะท่ีมีค�ำสอนของ
พระพทุ ธเจ้าอยู่ด้วย ตอ้ งมสี วากขาโต ภควตา ธมั โม เป็น
ปรยิ ตั ธิ รรมนำ� ทาง ถ้าไมม่ กี ็จะปฏิบตั ิแบบผดิ ๆ ถกู ๆ จะไม่
สามารถบรรลุผลท่ีถูกต้องได้ พวกเราถือว่าโชคดีมีบุญ
วาสนาทไี่ ดเ้ กดิ เปน็ มนษุ ยใ์ นขณะทย่ี งั มสี วากขาโต ภควตา
ธมั โมอยู่ถา้ ไมร่ บี ตกั ตวงกจ็ ะเสยี โอกาสทด่ี นี ไ้ี ปตอ้ งพจิ ารณา
และตัดสนิ ใจเอง โอกาสอย่างน้มี ไี มบ่ ่อย การจะได้กลบั มา
เกดิ เปน็ มนษุ ยอ์ กี แลว้ มาเจอพระพทุ ธศาสนาพรอ้ มๆ กนั น้ี
เป็นส่ิงที่ยากมาก ดังที่ทรงแสดงไว้ว่า มีสิ่งท่ียากอยู่
๔ ประการดว้ ยกนั คอื ๑. การปรากฏของพระพทุ ธเจา้
๒. การได้เกิดเป็นมนุษย์ ๓. การได้ศึกษาปฏิบัติธรรม
๔. การด�ำรงชีวิต ตอนน้ีพวกเรามีครบทั้ง ๔ ส่วนแล้ว
เปน็ มนษุ ย์ ไดพ้ บพระธรรมค�ำสอน ได้ศกึ ษาได้ปฏิบัติ ยังมี
ชวี ติ อยู่ สงิ่ ทข่ี าดตอนนก้ี ค็ อื การปฏบิ ตั ิ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หม้ ากขน้ึ
ศึกษาให้มากข้ึน ตอนน้ีศึกษาปฏิบัติเดือนละครั้งรู้สึกว่า
33
น้อยมาก ถ้ากินข้าวเดือนละคร้ังจะเป็นอย่างไร ท�ำไม
ไมศ่ กึ ษาปฏบิ ตั เิ หมอื นกบั กนิ ขา้ ว กนิ ขา้ ววนั ละ ๓ มอ้ื นา่ จะ
ศึกษาปฏบิ ตั วิ ันละ ๓ รอบ รอบเชา้ รอบกลางวัน รอบเย็น
รอบละชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ร่างกายอยู่ได้เพราะเราเล้ียงดู
อย่างดี แต่ใจเราไม่สะอาดเพราะเราไม่ช�ำระเหมือนกับ
เลยี้ งดรู า่ งกาย ถา้ ชำ� ระใจเหมอื นเลยี้ งดรู า่ งกาย จะสะอาด
มากกว่าน้ี จะมีความสุขมากกว่าน้ี ขอให้เอาส่ิงที่ได้ยินได้
ฟังนีไ้ ปพินิจพจิ ารณาและปฏบิ ัติตามแต่จะเหน็ สมควร
ถาม : เผอิญอยู่ในเหตุการณ์รถไฟฟ้าบีทีเอสจอดท่ีสถานี
ศาลาแดงสลี ม ถูกยิงดว้ ยลกู ระเบดิ
ตอบ : ถอื เปน็ การสะเดาะเคราะหไ์ ปกแ็ ลว้ กนั หรอื เปน็ การ
ทดสอบจติ ใจก็ได้ สติปัญญาตอนน้ันเปน็ อยา่ งไร
ถาม : ตอนหมอบก็พทุ โธ กค็ ิดว่า เอะ๊ จะตายแลว้ เหรอ
ตอบ : ไมป่ ลงวา่ ตายเปน็ ตาย เพยี งแตพ่ ทุ โธ ยงั อยแู่ คข่ น้ั
สมาธิเท่านั้น
ถาม : พอพ้นออกมาได้ เสยี งยงั ส่ันอยู่เลย
34
ตอบ : เจอของจริงก็จะเป็นอย่างน้ี ตอนท่ีเราฟังธรรม
ตอนทเ่ี ราพจิ ารณาธรรม เป็นการทำ� การบา้ น เวลาไปเจอ
ของจรงิ ถงึ จะรวู้ า่ ใจเปน็ อยา่ งไร ผา่ นหรอื ไมผ่ า่ น ถา้ ผา่ นตอ้ ง
เปน็ เหมอื นน้�ำนิ่ง ไมก่ ระเพ่ือมเลย
ถาม : พระอาจารยบ์ อกวา่ ไดแ้ คส่ มาธิควรจะปฏบิ ตั อิ ยา่ งไรคะ
ตอบ : ถา้ พจิ ารณาอยเู่ รอ่ื ยๆ วา่ ไมใ่ ชต่ วั เราของเรา เปน็ เพยี ง
ธาตุ ๔ กจ็ ะปลงไปเลยวา่ จะพงั ก็พงั ไป จะตายก็ตายไป
ถาม : โดยปกตถิ า้ เจอวกิ ฤติแบบน้จี ะพทุ โธตลอด
ตอบ : ถ้าพทุ โธก็เปน็ เพยี งสมาธิ ขม่ ใจไม่ให้คิดกลวั ไม่ใช่
ปัญญา ถ้าเป็นปัญญาจะคิดว่าร่างกายไม่ใช่เป็นตัวเรา
ของเรา ตายเป็นตาย ต้องตายแน่ๆ สกั วันหนึ่ง ถึงเวลา
แลว้ หรือ จะไปก็ไป ถ้าไมเ่ ตรยี มไวก้ อ่ นจะไมค่ ิดอย่างนี้
ถาม : ถา้ คิดวา่ ตายเปน็ ตาย แตว่ งิ่ หนสี ดุ ชวี ิต
ตอบ : ความคดิ กบั ความจรงิ มันค้านกนั
ถาม : ถา้ จะว่ารหู้ ลบเปน็ ปีกร้หู ลีกเปน็ หางละเจ้าคะ
35
ตอบ : อยทู่ ใ่ี จเปน็ หลกั ถา้ ใจไมเ่ ดอื ดรอ้ น การหลบเพอ่ื เปน็
การรกั ษาชวี ติ ไว้ แตไ่ มไ่ ดร้ กั ษาเพราะกลวั หรอื อยากจะอยู่
ตอ่ ไป ก็ใชไ้ ด้ ถ้าหลบเพราะกลัวกแ็ สดงวา่ ยังใช้ไมไ่ ด้
ถาม : ถ้าหลบเพื่อรักษาชีวิตไวภ้ าวนา
ตอบ : แสดงวา่ ยงั ไมป่ ลง การภาวนากเ็ พอื่ ใหก้ า้ วมาถงึ จดุ นี้
เมอื่ มาถงึ จดุ นแี้ ลว้ จะหนที ำ� ไม จะเขา้ หอ้ งสอบอยแู่ ลว้ ถา้ หนี
กแ็ สดงวา่ ยงั ไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะเขา้ หอ้ งสอบ จงึ ตอ้ งอา้ งรหู้ ลบเปน็
ปกี รูห้ ลกี เป็นหาง ขอผลัดไว้กอ่ น ขอเลื่อนไปก่อน ขอเข้า
หอ้ งสอบวันหลงั ถา้ พรอ้ มจะเขา้ ห้องสอบกต็ อ้ งไม่หนี
ถาม : ถา้ คิดว่ารอดกร็ อด ไม่รอดก็ไมเ่ ป็นไรละเจ้าคะ
ตอบ : ถ้าปล่อยได้แล้วจะท�ำอย่างไรก็ได้ จะรักษาก็ได้
ไม่รักษาก็ได้ ถ้ายังไม่ปล่อยก็จะรักษาอย่างเดียว ไม่มี
ทางเลอื ก ตอ้ งหลบอยา่ งเดยี ว ถา้ ปลอ่ ยไดแ้ ลว้ กจ็ ะเลอื กได้
จะรกั ษากไ็ ด้ ไมร่ ักษากไ็ ด้ แล้วแตเ่ หตุการณ์
อยา่ งครบู าอาจารย์ จะหาหมอก็ได้ ไมห่ าหมอกไ็ ด้
ทา่ นไมม่ อี ะไรกบั รา่ งกายแลว้ แตถ่ า้ ยงั มอี ยกู่ จ็ ะตอ้ งรกั ษา
36
อยู่ท่ีว่าเราผ่านหรือยัง ถ้ายังไม่ผ่านก็จะมีข้อแม้ต้องดูแล
รกั ษา ถา้ ผา่ นแลว้ จะรกั ษากไ็ ด้ ไมร่ กั ษากไ็ ด้ ไมต่ อ้ งอธบิ าย
ใหค้ นอ่ืนฟงั คนอ่ืนจะว่าเราอยา่ งไรจะไมส่ นใจ เราร้วู ่าเรา
รักษาหรือไม่รักษาเพ่ืออะไร คนอ่ืนจะว่ายังยึดยังติดอยู่
ก็ปล่อยให้เขาว่าไป แต่เรารู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องอธิบายว่าท�ำ
เพราะเหตุน้ันเพราะเหตุนี้ เราจะท�ำอะไรกับร่างกายเป็น
เรื่องของเรา ข้อส�ำคัญขอให้ปล่อยให้ได้ก่อน พอปล่อย
ไดแ้ ลว้ จะไมเ่ ปน็ ปญั หา ถา้ ยงั ปลอ่ ยไมไ่ ด้ เวลาเกดิ เหตกุ ารณ์
ปญั ญาจะไม่ทัน เปน็ เหมือนนักว่งิ ๒ คนว่ิงแขง่ กนั กิเลส
กับธรรมวิ่งแข่งกัน ใครจะเร็วกว่ากัน ถ้าธรรมเร็วกว่า
ใจจะนงิ่ ถา้ กเิ ลสเรว็ กวา่ ใจจะสนั่ ตอ้ งฝกึ ปญั ญาใหเ้ รว็ ขนึ้
เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านคอยจ้ีคอยเร่งอยู่เรื่อยๆ
ให้ปัญญาหมุนต้ิวเลย ให้เร็วขึ้น ปัญญาจะเฉ่ือยชามาก
ตอนเริ่มปฏิบัติ ต้องอาศัยการกระตุ้นของครูบาอาจารย์
ถา้ ทา่ นเกง่ ทางปญั ญา ทา่ นจะกระตนุ้ ลกู ศษิ ย์ คอยขม่ คอยขู่
คอยจ้ีตลอดเวลา ใหม่ๆ อยู่กับท่านก็ใจส่ันไปหมดเลย
พอปญั ญาเรม่ิ เรว็ ขนึ้ กจ็ ะส่นั นอ้ ยลงไป จนนง่ิ เลยกไ็ ด้ คนท่ี
ประสาทออ่ นจะอยู่ไม่ได้ ทนไม่ไหว รับไมไ่ ด้
37
ถาม : ถ้ากิเลสมนั ด้ือจะทำ� อยา่ งไรดี
ตอบ : ตอ้ งสกู้ บั มนั ตอ้ งทรมานมนั ตอ้ งอดขา้ ว พระพทุ ธเจา้
ทรงอดถงึ ๔๙วนั มนั ถงึ ไมด่ อื้ การอดขา้ วทำ� ใหก้ เิ ลสออ่ นแรง
ลงไปมากกามตณั หาภวตณั หาวภิ วตณั หาจะออ่ นลงไปมาก
จะไม่แข็งกร้าวเหมือนกับเวลาท่ีกินข้าว เวลากินข้าวอ่ิมๆ
มนั จะดื้อ ไม่ยอมเขา้ ทางจงกรมนี้ ขอนอนกอ่ น
ถาม : ดืม่ นำ้� อย่างเดียวใช่ไหมคะ
ตอบ : อยทู่ รี่ ะดบั ของการอด อยทู่ สี่ ถานทดี่ ว้ ย ถา้ ธดุ งคใ์ นปา่
คนเดยี ว กจ็ ะมแี ตน่ ำ้� ดมื่ อยา่ งเดยี ว ถา้ อยใู่ นวดั กอ็ าจจะมนี ม
ด่ืมบา้ ง ตอนบ่ายก็จะมนี �ำ้ ชา กาแฟ น�ำ้ ตาล น�้ำออ้ ย ขึน้ อยู่
กบั ผอู้ ดจะมีความเขม้ งวดมากนอ้ ยเพยี งไร
การอดหมายถึงไม่ฉันอาหาร ไม่ออกบิณฑบาต
ถา้ สหธรรมมกิ สงสารเอาของมาฝากเชน่ นมกลอ่ ง จะฉนั กไ็ ด้
ตอนบา่ ยถา้ มนี ำ้� ผงึ้ นำ�้ ผลไมด้ มื่ จะดมื่ กไ็ ด้ ไมด่ ม่ื กไ็ ด้ ขน้ึ อยู่
วา่ จะอดหนกั ขนาดไหน การอดอาหารชว่ ยทำ� ใหก้ ารภาวนา
ง่ายขึ้น เดินจงกรมง่ายขึ้น นั่งสมาธิไม่ง่วงเหงาหาวนอน
38
ความเพยี รมมี ากขน้ึ ความเกยี จครา้ นมนี อ้ ยลง ความเหน็ ภยั
มมี ากขนึ้ สตดิ ขี น้ึ เพราะตอ้ งคอยควบคมุ ใจ เวลาอดอาหาร
ใจจะปรงุ แตง่ เรอ่ื งอาหารอยเู่ รอื่ ย ตอ้ งคอยดงึ ใหอ้ ยกู่ บั พทุ โธ
ถา้ ยงั พจิ ารณาไมเ่ ปน็ ถา้ พจิ ารณาเปน็ กจ็ ะพจิ ารณาอาหาเร-
ปฏกิ ลู สญั ญา พิจารณาอาหารที่อยใู่ นปากอยใู่ นทอ้ ง กจ็ ะ
หายอยาก ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีสติไม่มีสมาธิก็จะอดไม่ได้
เพราะจะเหน็ อาหารลอยอยใู่ นใจตลอดเวลา ถา้ มสี ตคิ วบคมุ
ใจได้ ก็จะบังคับให้ภาวนา ถ้าไม่พุทโธก็ต้องพิจารณา
อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ถา้ พจิ ารณาไดแ้ ลว้ จะไมม่ ปี ญั หาเรอ่ื ง
อยากอาหารอีกต่อไป จะกินตามความจำ� เป็นของร่างกาย
จะใช้การอดอาหารเป็นแนวทางของการปฏิบัติ จะไม่ฉัน
ตามปกติ เพราะเวลาฉนั จะขเ้ี กยี จ จะเหน็ ความแตกตา่ งกนั
ถ้าอยู่ในวัดการอดอาหารก็จะได้ปลีกวิเวก ไม่ต้องท�ำกิจ
รว่ มกบั หมคู่ ณะทต่ี อ้ งออกไปบณิ ฑบาต ทำ� กจิ ทศี่ าลา กวา่ จะ
เสรจ็ ก็หมดไป ๓ – ๔ ชัว่ โมง ตอนนน้ั ก็สามารถเดนิ จงกรม
นั่งสมาธิ อยตู่ ามล�ำพังในที่พัก
การอดอาหารน้ีถ้าถูกจริตก็จะเป็นเครื่องมือที่ดี
เป็นอาวุธคู่ใจ ใช้ไปจนกว่าไม่มีความจ�ำเป็นท่ีจะต้องใช้
39
อีกต่อไป ถา้ ไมถ่ ูกจริตก็จะอดไมไ่ ด้ อดแลว้ เครยี ดฟุ้งซา่ น
คิดปรุงแต่งแต่เรื่องอาหารตลอดเวลา ไม่ภาวนา เวลาอด
อาหารแล้วไม่ภาวนา พอจิตเผลอก็จะคิดแต่เรื่องอาหาร
กจ็ ะหวิ จะทกุ ข์ ตอ้ งขยนั ภาวนา พอออกจากสมาธกิ จ็ ะเดนิ
จงกรมต่อ คอยควบคุมจิตไม่ให้คิดถึงเร่ืองอาหาร จะใช้
บริกรรมพุทโธก็ได้ จะใช้สติให้อยู่กับการเดินก็ได้ หรือจะ
พิจารณาธรรมก็ได้ พิจารณาธาตุ ๔ ดินน�้ำลมไฟ เกิดแก่
เจบ็ ตายอนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาพจิ ารณาอาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา
เปล่ียนไปตามอัธยาศัย ถ้าใจอยู่กับธรรมก็จะเจริญข้ึนไป
เร่อื ยๆ พอพิจารณาจนจิตเร่มิ ไมส่ งบแล้วกห็ ยุด กลับไปน่ัง
สมาธใิ หม่ พทุ โธๆ ไป หรอื ดลู มหายใจไป พกั จติ พอจติ สงบ
ความหิวความเหน่ือยทางร่างกายก็หายไป พอจิตออก
มาจากสมาธิก็จะกระปรี้กระเปร่า มีก�ำลังวังชา ออกเดิน
จงกรมต่อ ก็จะได้ปฏิบัติอย่างต่อเน่ือง ไม่ต้องไปท�ำกิจ
อยา่ งอน่ื แตก่ จิ ทต่ี อ้ งทำ� คอื ปดั กวาด ปดั กวาดไปกภ็ าวนาไป
เหมือนเดินจงกรมไป พุทโธๆ ไป หรือพิจารณาธรรมไป
ถ้าไปคลุกคลีกับหมู่คณะจะคุยกัน พูดเร่ืองน้ันพูดเรื่องนี้
จิตจะฟุ้ง พอกลับมาอยู่คนเดียวจิตยังฟุ้งอยู่ ภาวนาไม่ลง
40
ถา้ เผลอสตทิ นไมไ่ หว กจ็ ะไปหาของกนิ อกี ถา้ มสี ตคิ มุ จติ อยู่
ตลอดเวลา ก็จะภาวนาตลอดเวลา จะลมื เรื่องกินไป
พอใจไดอ้ าหารแลว้ ใจจะอมิ่ ความหวิ ของรา่ งกายจะ
ไมก่ ระทบกับความอ่มิ ของใจ ถา้ ใจหวิ ถงึ แม้รา่ งกายจะอม่ิ
ก็ยังอยากจะกินอีก ทั้งๆ ท่ีร่างกายเพ่ิงกินเสร็จไปใหม่ๆ
กย็ งั อยากจะดื่มนน้ั ดมื่ นี่ต่อ เพราะใจไมอ่ ิม่ ไม่ได้รับอาหาร
คือธรรมะ จึงไม่เป็นเร่ืองแปลกส�ำหรับผู้ปฏิบัติท่ีจะอด
อาหารครงั้ ละหลายๆ วนั ถา้ ไมเ่ คยอดจะคดิ วา่ อยไู่ ดอ้ ยา่ งไร
ถ้าอดไปหลายวันก็อาจจะมีของบางอย่างด่ืมบ้าง เช่น
น้ำ� ปานะ น�้ำตาล เพื่อใหม้ กี �ำลงั บ้าง ครบู าอาจารย์ที่ไปอยู่
ในปา่ ไปธดุ งคป์ ลกี วเิ วกไปอยอู่ งคเ์ ดยี ว เวลาทา่ นอดอาหาร
หลายวนั ชาวบา้ นคดิ วา่ ทา่ นตาย ไมไ่ ดไ้ ปบณิ ฑบาต ตอ้ งมา
ทพ่ี กั ดวู า่ เปน็ อยา่ งไร ทา่ นกไ็ มม่ อี ะไรตดิ ตวั ไป ทา่ นกด็ มื่ แต่
นำ้� อยา่ งเดยี ว ตอนนน้ั จติ ของทา่ นไมไ่ ดส้ นใจกบั เรอื่ งอาหาร
จิตของท่านอยู่กับธรรมตลอดเวลา เดินจงกรม น่ังสมาธิ
ถา้ ไมพ่ จิ ารณากเ็ ขา้ สคู่ วามสงบ จติ กจ็ ะเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ ง
ตอ่ เนอื่ ง
41
การปลกี วิเวกจึงเป็นเรอื่ งส�ำคัญมากส�ำหรับผปู้ ฏิบตั ิ
เพอ่ื การหลดุ พ้น ถ้าไปคลกุ คลจี ะเสียเวลา เพราะจิตจะคิด
ทางดา้ นอืน่ จะคุยเรอ่ื งโลก เรอื่ งรูปเสียงกลิน่ รสกนั จิตก็
จะฟุ้ง จะสงบยาก ถ้าอยคู่ นเดียวจะไม่มีเรื่องอื่นมาดงึ ไป
จะอยกู่ บั ธรรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง จะเหน็ ธรรมชดั ขนึ้ ไปเรอื่ ยๆ
ดินนำ�้ ลมไฟกจ็ ะเหน็ ชัดขึน้ อสภุ ะก็จะเหน็ ชดั ข้ึน คอื เหน็
อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เหน็ อยเู่ รอ่ื ยๆ เวลามองรา่ งกายกจ็ ะเหน็ อสภุ ะ
จนตดิ ตาติดใจ พอจติ จะเห็นว่าสวยว่างาม กจ็ ะถูกธรรมท่ี
เหน็ ชดั อยนู่ ลี้ บออกไปทนั ที กามราคะจงึ อยใู่ นใจไมไ่ ด้ ทอี่ ยู่
ไดเ้ พราะเราเลยี้ งมนั ชอบคดิ แตค่ วามสวยความงาม ถา้ คดิ
ว่าร่างกายเป็นตัวเราของเรา ก็เท่ากับเราก�ำลังเลี้ยงโมหะ
อวิชชา เล้ียงความมืดบอด เล้ียงความหลง ถ้าคิดว่าเป็น
อนตั ตา ไมใ่ ช่ตวั เราของเรา เป็นธาตุ ๔ ดินนำ้� ลมไฟ เปน็
ความจรงิ ทจ่ี ะทำ� ลายความหลง ความมดื บอดทอ่ี ยใู่ นใจให้
หมดไป ไมม่ ที างอนื่ มที างนท้ี างเดยี วเทา่ นน้ั คอื วปิ สั สนา
หรอื ปญั ญา แตต่ อ้ งมสี มาธดิ ว้ ยถงึ จะสามารถทำ� ไดอ้ ยา่ ง
ต่อเน่ือง ต้องมีสติก่อน ถ้าไม่มีสติก็จะไม่สงบ ถ้าไม่สงบ
กเิ ลสจะมกี �ำลังมากกว่า จะฉุดใหไ้ ปคดิ เรอ่ื งโลก คิดถงึ ลูก
คิดถึงสามี คิดถึงภรรยา คดิ ถึงสมบตั ิขา้ วของเงนิ ทอง ก็จะ
42
ติดอยู่กับเร่ืองเหล่านี้ เป็นการเล้ียงกิเลสโมหะความหลง
ใหม้ อี ายยุ นื ยาวนานข้ึนเพื่อครอบครองจติ ใจของเราตอ่ ไป
ถ้าคิดในทางปัญญา ก็จะตัดอายุของกิเลสโมหะ
ความหลงใหส้ น้ั ลงไปเรอื่ ยๆ จนหมดไปในทสี่ ดุ สติ ปญั ญา
สมาธิเปน็ ธรรมทเี่ กยี่ วเนอื่ งกนั มศี รทั ธากบั วริ ยิ ะสนบั สนนุ
ต้องมีศรัทธาในค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาแล้วก็
ปฏิบัติตามด้วยวริ ิยะอตุ สาหะความพากเพยี ร ปฏิบัตอิ ะไร
กป็ ฏบิ ตั สิ ตสิ มาธแิ ละปญั ญา ถา้ มธี รรมทง้ั ๓ นก้ี จ็ ะมวี มิ ตุ ติ
การหลุดพ้นตามมา เป็นสตู รตายตัวตั้งแตส่ มัยพุทธกาล
ใครปฏิบัติตามสูตรนี้ได้ก็จะได้ผลอย่างน้ีอย่างแน่นอน
ไมอ่ ยา่ งนน้ั จะไมป่ รากฏมพี ระอรยิ สงฆส์ าวกมาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
ทกุ ยคุ ทกุ สมยั จนถงึ ยคุ ปจั จบุ นั นี้ เพราะธรรมะเปน็ อกาลโิ ก
ไมเ่ สอ่ื มไปตามกาลตามเวลา สมยั พทุ ธกาลปฏบิ ตั กิ นั อยา่ งไร
สมยั นถี้ า้ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนนั้ กจ็ ะไดผ้ ลเหมอื นกนั ไมแ่ ตกตา่ งกนั
อยู่ที่ไม่ปฏิบัติกัน หรือปฏิบัติเพียงเดือนละครั้ง แล้วก็มา
บ่นว่าปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเลย ปฏิบัติมาต้ังนานแล้ว ปฏิบัติ
เดอื นละครง้ั มาตง้ั ๕ ปแี ลว้ ตอ่ ใหป้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งนอี้ กี ๑๐๐ ปี
ก็จะไมก่ า้ วหน้า
43
ถาม : อยากจะทำ� อยากปฏบิ ตั ติ ามอยา่ งทท่ี า่ นอาจารยส์ อน
และก็อยากเป็นอย่างท่ีทา่ นอาจารยเ์ ปน็ แต่กท็ �ำไม่ไดส้ กั ที
ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีแรงบนั ดาลใจอะไร
ตอบ : ไมม่ ี มแี ตค่ วามขยนั ตอ้ งกำ� หนดตาราง บงั คบั ตวั เราให้
ทำ� ตามตาราง กำ� หนดจากนอ้ ยไปหามาก เชา้ เยน็ เอาวนั ละ
ชัว่ โมงก่อน ตอ่ มากเ็ พม่ิ เป็น ๒ ชวั่ โมง เพ่ิมจาก ๒ รอบเปน็
๓ รอบ ถา้ ปลอ่ ยวางไดม้ ากกจ็ ะเพม่ิ ไดม้ าก ตอ้ งลดภารกจิ อน่ื
อย่ารักพ่ีเสยี ดายน้อง ตอ้ งเอาธรรม อย่าเอาโลก
ถาม : ลูกหมายความว่าท่านอาจารยม์ แี รงบนั ดาลใจอะไร
ตอบ : ความเชอ่ื และความขยัน ถ้าปฏบิ ตั ิมากก็ไดผ้ ลมาก
ถา้ ปฏบิ ตั นิ อ้ ยกไ็ ดผ้ ลนอ้ ย เชอื่ วา่ สง่ิ ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงสง่ั สอน
มจี รงิ อยใู่ นความสามารถของพวกเราของทกุ คน ไมเ่ ชน่ นนั้
พระพทุ ธเจา้ จะไมท่ รงเสยี เวลามาสอนพวกเรา แตพ่ วกเรา
ไม่มีความเชื่อมั่นในค�ำสอน ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเรา
เราประมาทตัวเรา เราประมาทค�ำสอนของพระพุทธเจ้า
จงึ ไมอ่ ตุ สาหะพากเพยี รทจี่ ะปฏบิ ตั ติ าม ยงั ถกู กเิ ลสหลอกวา่
ไมม่ ปี ญั ญา ไมม่ บี ารมี หลอกเราไปเรอื่ ยๆ ถา้ ยงั คดิ อยา่ งนอ้ี ยู่
44
อกี ๑๐ ชาตกิ จ็ ะเปน็ อยา่ งน้ี ถา้ คดิ วา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงสอน
ความจรงิ เราสามารถปฏิบัติตามได้ ขอใหท้ ำ� จริงๆ เถดิ
ถาม : เวลาทำ� สมาธจิ นรสู้ กึ วา่ นงิ่ กจ็ ะพจิ ารณาอาการ ๓๒
ของร่างกาย หรือธาตุ ๔ พอพิจารณาแล้วจะรู้สึกสลด
สังเวช แล้วก็ร้องไห้เกือบทุกครั้ง แบบนี้จิตเศร้าหมอง
หรอื เปลา่
ตอบ : ไมเ่ ศรา้ หมอง เปน็ ธรรมสงั เวช ผลทตี่ อ้ งการคอื การ
ปลอ่ ยวางรา่ งกาย เวลารสู้ กึ สลดสงั เวชแลว้ ตอ้ งปลอ่ ยวาง
ร่างกาย พิจารณาเพ่ือให้จิตปล่อยวาง ไม่ให้ยึดติดกับ
ร่างกาย
ถาม : ต้องทำ� อยา่ งไรตอ่ ไป
ตอบ : พิจารณาไปเรอ่ื ยๆ พอพร้อมแล้วกไ็ ปหาทพ่ี สิ จู น์ดู
วา่ ยงั ยดึ ตดิ อยหู่ รอื เปลา่ ปลอ่ ยไดห้ รอื เปลา่ ตอนนเ้ี ปน็ เพยี ง
ทำ� การบ้าน เป็นการซ้อมอยู่ ยังไม่ไดข้ ้นึ เวทจี รงิ ถา้ คดิ วา่
พรอ้ มแลว้ เหมอื นนกั มวยทซ่ี อ้ มมาอยา่ งเตม็ ทแ่ี ลว้ พรอ้ มที่
จะขึน้ ไปชงิ เข็มขัดแล้ว กข็ นึ้ ไปบนเวทไี ปหาคตู่ ่อสู้ คู่ตอ่ สกู้ ็
45
คอื ความกลวั ตาย ไปหาสถานทๆ่ี จะทำ� ใหเ้ กดิ ความกลวั ตาย
ขนึ้ มาสูก้ ับมนั ดู ดูว่ามนั จะดับหรอื เราจะดับ
ถาม : ถ้าเราดบั กค็ ือเราสตแิ ตก
ตอบ : อาจจะไมส่ ตแิ ตก แตอ่ าจจะใจสน่ั ขวญั หาย แสดงวา่
ยงั ดบั เขาไม่ได้ ถ้าดบั ไดแ้ ลว้ จะเฉยจะย้ิมจะมีความสขุ
ถาม : เวลาจติ นงิ่ จะมแี บบอารมณเ์ ศรา้ หมองเขา้ มา กเ็ หน็ วา่
อารมณก์ บั จติ ไมไ่ ดเ้ ปน็ สง่ิ เดยี วกนั เหน็ วา่ มนั เกดิ ดบั ถา้ สมมตุ ิ
เราตายตอนท่ีเราดคู วามเศรา้ หมองน่ี จติ จะไปไหนคะ
ตอบ : ตอนนน้ั จติ ยงั ไมส่ งบ ยงั ไมไ่ ดเ้ ปน็ สมาธิ ไมส่ งบเตม็ ท่ี
ถา้ ยงั มอี ารมณอ์ ยยู่ งั ไมเ่ ปน็ สมาธิ จติ ยงั ไมส่ งบ ถา้ เศรา้ หมอง
กไ็ ปแบบเศรา้ หมอง ถ้าผ่องใสกไ็ ปแบบผ่องใส อารมณจ์ ะ
เป็นตวั พาไป จะไปดหี รอื ไม่ดีกอ็ ยทู่ ี่อารมณน์ ี้
ถาม : ถา้ จะดเู กิดดับ เราตอ้ งตามดูใช่ไหม
ตอบ : เวลาทำ� สมาธไิ มต่ อ้ งการตามดอู ารมณ์ ควรบรกิ รรม
พทุ โธหรอื ดลู มหายใจเขา้ ออก อย่าไปดอู ะไร ถ้าดจู ะไม่ได้
46
สมาธิ เวลาไม่ได้ท�ำสมาธิแล้วมีอารมณ์ไม่สบายใจข้ึนมา
ถา้ มสี ตปิ ญั ญากค็ วรพจิ ารณาเพอื่ ใหม้ นั ดบั ไป เชน่ พจิ ารณา
ว่า ทำ� ไมต้องมีอารมณก์ ับสง่ิ ทีเ่ ราเห็น พิจารณาหาตน้ เหตุ
คอื การไมเ่ หน็ ไตรลกั ษณ์ จงึ มีความรักความหวงความห่วง
พอเห็นก็อดท่ีจะหวงไม่ได้ เกิดอารมณ์เศร้าหมองขึ้นมา
ถ้ามีปัญญารู้ทันก็จะไม่หวงไม่ห่วง เพราะเดี๋ยวก็จะต้อง
ตายจากกัน ก็จะหายเศร้าหมอง ต้องพิจารณาให้เห็นว่า
เปน็ ไตรลกั ษณ์ ไมเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ชต่ วั เราของเรา เปน็ สภาวธรรม
เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ถ้าไปยึดไปติดก็จะเกิดความ
เศรา้ หมองเกดิ ความดใี จเสยี ใจตอ้ งปลอ่ ยวางอารมณเ์ ปน็ ผล
เราตอ้ งพิจารณาเหตุ อะไรทำ� ใหเ้ กดิ อารมณ์ ถา้ ดับเหตไุ ด้
อารมณจ์ ะไมเ่ กดิ ความไมส่ บายใจจะไมเ่ กดิ เชน่ เราไมส่ บายใจ
เพราะไปคิดว่าเขาเป็นสามี เป็นภรรยา เป็นลูกเรา
ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาก็จะเห็นว่าเป็นเพียงดินน้�ำลมไฟ
ตอ้ งแกเ่ จบ็ ตายเปน็ ธรรมดา ทเี่ ปน็ ลกู เปน็ สามเี ปน็ ภรรยาน้ี
เป็นเพียงสมมุติ ไม่ได้เป็นความจริง ความจริงเป็นเพียง
ธาตุ ๔ ดนิ น�้ำลมไฟ ทจี่ ะต้องแยกสลายดับไป
47
ตอ้ งเหน็ ความจรงิ ทเ่ี หนอื สมมตุ ิ เราเหน็ แตค่ วามจรงิ
ของสมมตุ ิ ไมเ่ หน็ ความจรงิ ของวมิ ตุ ติ ตอ้ งเหน็ ความจรงิ ของ
วมิ ตุ ติ จติ ถงึ จะวมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ ได้ ความจรงิ ของวมิ ตุ ติ กค็ อื
เหน็ วา่ เปน็ เพยี งธาตุ ๔ ดนิ นำ�้ ลมไฟ เปน็ ความจรงิ ทเี่ หนอื
สมมุติ แตเ่ ราเหน็ ความจริงของสมมุติ เหน็ เป็นพ่เี ปน็ น้อง
เปน็ พ่อเป็นแม่ เปน็ ลกู ศิษยเ์ ปน็ อาจารย์ เปน็ ลูก เปน็ สามี
เปน็ ภรรยา ไมเ่ หน็ เปน็ ดนิ นำ�้ ลมไฟ ไมเ่ หน็ เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั
อนตั ตาพอคดิ ถงึ เขาหรอื เหน็ เขา กจ็ ะเกดิ อารมณข์ นึ้ มาทนั ที
ไมร่ กั กช็ งั ไมด่ ใี จกเ็ สยี ใจ บางทกี เ็ ฉยๆ แตไ่ มไ่ ดเ้ ฉยๆ เพราะ
อเุ บกขา เพราะไมไ่ ดร้ กั ไมไ่ ดช้ งั กเ็ ลยรสู้ กึ เฉยๆ อยา่ งนไี้ มใ่ ช่
อเุ บกขา ไมไ่ ดป้ ลอ่ ยวาง ถา้ อเุ บกขาปลอ่ ยวาง ตอ้ งเหน็ เปน็
เพยี งดินนำ้� ลมไฟ เกิดแกเ่ จ็บตาย อนิจจัง ทกุ ขัง อนตั ตา
ใจก็จะนง่ิ เห็นอะไรกจ็ ะเฉยๆ
ถาม : ถ้าอย่างนั้นเราพิจารณาได้ตลอดเวลาในทุกเร่ืองที่
เขา้ มา แต่ตอนทีเ่ ราน่ังสมาธิ เราพิจารณาเฉพาะเรอื่ งนั้น
ตอบ : เปน็ การท�ำการบ้าน ซ้อมเอาไว้กอ่ น ถา้ เขา้ สนาม
สอบจรงิ เวลาใครดา่ เรายม้ิ ได้หรอื ไม่ พิจารณาได้หรอื ไม่
48
ว่าเปน็ สกั แตว่ า่ เสยี ง เปน็ สภาวธรรมท่เี กิดแลว้ ดับ เปน็
อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา
ปญั ญามอี ยู่ ๓ ขนั้ คอื ๑. สตุ ตมยปญั ญา ปญั ญาทเี่ กดิ
จากการฟงั ตอนนเ้ี รากำ� ลงั ฟงั ธรรมกนั กไ็ ดป้ ญั ญาระดบั หนงึ่
๒. จินตามยปัญญา เอาธรรมที่ได้ยินไปท�ำการบ้าน เอาไป
พิจารณาใคร่ครวญอยู่เรื่อยๆ ซ้อมด่าเรา ด่าจนรู้สึกเฉยๆ
ตอ่ ไปเวลาใครดา่ จะไมท่ กุ ข์ ๓. ภาวนามยปญั ญา ปญั ญาที่
ใช้ในเหตุการณ์จริง พอถูกด่าก็ยิ้มได้ ก็จะผ่านไปได้
ตอ้ งทนั กบั เหตกุ ารณ์ พอเกดิ ปบ๊ั กร็ บั ไดท้ นั ที กเิ ลสโผลม่ าปบ๊ั
ดับได้ทันที อย่างนี้ถึงเป็นภาวนามยปัญญา ถ้าเป็น
จินตามยปัญญา พอเจอของจรงิ ก็สตแิ ตก ใจกก็ ระเพอ่ื ม
ลมื หมดเลย อตุ สา่ หซ์ อ้ มมา เวลาโกรธกโ็ กรธอยา่ งเตม็ ทเ่ี ลย
เปน็ การทดสอบปญั ญาวา่ อยขู่ น้ั ไหน อยขู่ น้ั จนิ ตามยปญั ญา
หรืออยู่ขั้นภาวนามยปัญญา ถ้าอยู่ข้ันภาวนามยปัญญา
กจ็ ะรบั ไดท้ กุ รปู แบบ จะรวู้ า่ เปน็ ไตรลกั ษณท์ นั ที เปน็ สง่ิ ที่
ตอ้ งปลอ่ ยวางไมย่ ดึ ไมต่ ดิ อบุ ายทจี่ ะทำ� ใหเ้ หน็ อยา่ งน้ีตอ้ งไป
คิดค้นเอาเอง เช่นมองว่าเป็นเหมือนเด็ก ไปถือสาท�ำไม
จะทำ� อะไรกป็ ลอ่ ยใหท้ ำ� ไป เวลาเดก็ ทำ� อะไรเราไมเ่ ดอื ดรอ้ น
49