จะงอแงจะด้ือเราก็เฉย แต่กับแฟนเราสามีเราภรรยาเรา
ท�ำไมดูว่าเขาเป็นเด็กไม่ได้ ถ้าดูว่าเป็นเด็กก็จะปล่อยเขา
อยากจะท�ำอะไรก็ปล่อยใหท้ ำ� ไป ต้องหาอุบายเอง ของแต่
ละคนไม่เหมือนกัน
อุบายของปัญญาน้ีมีหลากหลาย แต่สมาธิไม่ค่อย
หลากหลาย ใหม้ สี ตอิ ยกู่ บั อารมณก์ รรมฐานเพอ่ื ดงึ จติ ใหร้ วม
ลงเปน็ สมาธิปญั ญามหี ลายขนั้ ขน้ั หยาบขนั้ กลางขนั้ ละเอยี ด
ขน้ั หยาบกเ็ กย่ี วกบั ภายนอก คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ
ข้ันกลางก็เก่ียวกับขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วญิ ญาณ ขัน้ ละเอยี ดกเ็ กี่ยวกับจติ ต้องตดั ภายนอกกอ่ น
ถงึ จะเขา้ สภู่ ายในได้ พวกนกั บวชตดั ภายนอกไดแ้ ลว้ ตดั รปู
เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ สละขา้ วของเงนิ ทองแลว้ กต็ รงมา
ทขี่ นั ธ์๕พจิ ารณารปู เวทนาสญั ญาสงั ขารวญิ ญาณจนปลอ่ ย
ไดแ้ ลว้ กจ็ ะถงึ ตวั จติ จะพบกบั กเิ ลสทลี่ ะเอยี ดทส่ี ดุ ถา้ เพงิ่ เรมิ่
ปฏบิ ตั แิ ลว้ จะดจู ติ เลยจะชำ� ระกเิ ลสในจติ ไมไ่ ด้ผทู้ เี่ รมิ่ ปฏบิ ตั ิ
ยงั ตดิ อยกู่ บั รปู เสยี ง กลนิ่ รส ดจู ติ จะไมไ่ ดผ้ ลอะไร จะโดน
กเิ ลสหลอกหลอกใหซ้ อื้ เปป๊ ซม่ี าดมื่ กท็ ำ� ตาม หลอกใหไ้ ปเทย่ี ว
ก็ไปเท่ยี ว ดจู ติ อยา่ งน้กี ิเลสชอบ กิเลสไมต่ าย จิตไมส่ งบ
50
ถา้ ดูจิตเพื่อพัฒนาสติ กใ็ หม้ สี ติดวู า่ จติ กำ� ลงั คดิ อะไร
คดิ ดหี รอื คดิ ไมด่ ี ถา้ คดิ ไมด่ กี ต็ อ้ งระงบั ถา้ ไมบ่ รกิ รรมพทุ โธ
แสดงวา่ เผลอสตแิ ลว้ ถา้ ใชพ้ ทุ โธเปน็ กรรมฐาน ถา้ มสี ตกิ ต็ อ้ ง
บรกิ รรมพทุ โธตง้ั แตต่ น่ื จนหลบั ถา้ ไมบ่ รกิ รรมพทุ โธแสดงวา่
เผลอสตแิ ลว้ ถา้ ใชอ้ าการ ๓๒ เปน็ กรรมฐาน กต็ อ้ งพจิ ารณา
อาการ ๓๒ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอ้ื เอน็ กระดกู ฯลฯ ตลอด
เวลา ตอนเรม่ิ ต้นปฏบิ ตั ิควรตัง้ สตทิ กี่ าย เพราะง่ายกวา่
ตง้ั ทจี่ ติ เพราะกายหยาบกวา่ จติ เหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เอาจติ
ผูกไว้กบั กาย กายอย่ตู รงไหนจิตก็อยู่ตรงน้ัน ไมใ่ หไ้ ปทอ่ี นื่
ไม่ใช่กายอยู่ตรงนี้แต่จิตไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้จิตอยู่ที่กาย
ตลอดเวลา กายก�ำลังเดิน จิตก็เดินไปกับกาย กายก�ำลัง
รับประทานอาหาร จิตก็รับประทานอาหารไปกับกาย
กายก�ำลังอาบน�้ำ จิตก็อาบน้�ำไปกับกาย ให้จิตอยู่กับกาย
ตลอดเวลา อยา่ งนี้ก็จะมสี ติ เพราะจิตไมไ่ ปท่อี ่ืน พอสง่ั ให้
จติ ดลู ม หรอื บรกิ รรมพทุ โธ กจ็ ะอยกู่ บั พทุ โธ อยกู่ บั ลม ถา้ อยู่
ได้อย่างตอ่ เนื่อง ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที จิตก็จะรวมลงสู่
ความสงบ เปน็ สมาธิ ถา้ ไมอ่ อกไปรบั รอู้ ะไรกจ็ ะดี ถา้ ออกไป
รับรู้ก็ควรดึงจิตกลับเข้ามา ตอนนี้ไม่ควรไปรับรู้เรื่องราว
51
ต่างๆ ควรท�ำสมาธิเพื่อสร้างฐานของความสงบให้แก่จิต
ถ้าจิตออกไปรับรู้จะไม่สงบ พอออกจากสมาธิจะเหมือน
ไม่ไดน้ ่งั สมาธิ จะไม่มกี ำ� ลังทจี่ ะตา้ นกิเลส พอเหน็ รปู เสียง
กลน่ิ รส กเิ ลสกจ็ ะทำ� งานทนั ที ถา้ จติ สงบนงิ่ ไมไ่ ปรบั รอู้ ะไร
เวลาออกมาจะมกี ำ� ลงั ตา้ นกเิ ลสได้ เวลาเห็นอะไรกิเลสจะ
ไม่ขึ้นมาทันที จะมีเวลาเอาจิตที่สงบท่ีไม่มีกิเลสรบกวน
มาพิจารณาธรรมได้ มาเจริญวิปัสสนาได้ พอเจริญไปได้
สกั ระยะหนงึ่ ความสงบกจ็ ะออ่ นกำ� ลงั ลง กเิ ลสกจ็ ะออกมา
รบกวน จะพิจารณาไมไ่ ดผ้ ล กต็ อ้ งกลบั เข้าไปในสมาธใิ หม่
สมาธิกบั ปญั ญาจะสลบั กันท�ำงาน จะสนบั สนุนกัน
สมาธิเป็นท่ีพักผ่อนหลับนอนของจิต ปัญญาเป็นท่ีท�ำงาน
เชน่ พวกเราเชา้ กอ็ อกจากบา้ นไปทำ� งาน เยน็ กก็ ลบั มาบา้ น
มาพักผ่อนกินข้าวหลับนอน พอเช้าต่ืนขึ้นมาก็ออกไป
ท�ำงานใหม่ การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน เวลาออกจาก
สมาธิก็ไปท�ำงาน พิจารณาไตรลักษณ์ พิจารณาขันธ์ ๕
พอพิจารณาไม่ได้ผลแล้วก็กลับมาพักในสมาธิ พอจิต
อม่ิ ตวั แล้วถอนออกมาเอง กไ็ ปพจิ ารณาใหม่ ท�ำอยา่ งนีไ้ ป
เรอ่ื ยๆ ปญั ญาจะไวขนึ้ ไปเรอ่ื ยๆ จะทนั กเิ ลสขน้ึ ไปเรอ่ื ยๆ
52
พอคิดอะไรไม่ตรงกับความจริงจะเห็นทันที ถ้าว่าสวย
ว่างามก็จะเห็นทันที คิดอยากจะอยู่ไปนานๆ ก็จะเห็น
ทนั ที อยากจะไมเ่ จบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยกจ็ ะเหน็ ทนั ที จะตดั ไดท้ นั ที
จิตจะปลอ่ ยวางทกุ ส่ิงทุกอย่าง
ถาม : ไปปฏิบัตธิ รรมคราวหนา้ กลางคืนจะไปน่งั ข้างนอก
จะได้ไหม
ตอบ : ต้องดูใจตวั เองวา่ มีก�ำลังพอหรือไม่ ไม่ตอ้ งรบี รอ้ น
ใจเย็นๆ ก้าวไปด้วยความมั่นใจ อย่ารีบร้อน อาจจะ
ผิดพลาดได้ ถ้ายังไม่ม่นั ใจก็อยา่ เพ่งิ ออกมานงั่ ขา้ งนอก
ถาม : ตอนท่ีท่านอาจารย์ไปอยู่ท่ีวัดป่าบ้านตาด ไม่ได้
พดู คยุ กบั ใครโดยไมจ่ ำ� เปน็ และไมไ่ ดอ้ อกไปไหนเลย ทา่ นมี
วิหารธรรมขอ้ ไหนเป็นเครือ่ งอยู่
ตอบ : มคี วามสงบเปน็ เครื่องอยู่
ถาม : ถา้ ยังไมม่ แี ล้วมันด้ินรน
ตอบ : ต้องส้กู ับมัน
53
ถาม : รสู้ กึ เหน่อื ยมาก
ตอบ : เป็นเหมือนปีนเขา พอถึงยอดเขาแล้วจะสบาย
ตอ้ งพยายาม
ถาม : บางครั้งมีกิเลสเกิดขึ้นในขณะที่เดินจงกรม แต่ไม่
สามารถเอาชนะมนั ได้ ไปเลา่ ใหอ้ าจารยฟ์ งั ทา่ นพดู นดิ เดยี ว
กว็ างได้ ถา้ ไมม่ ีอาจารยจ์ ะทำ� อย่างไร
ตอบ : หาอาจารย์
ถาม : ถา้ ไปอยู่กลางปา่ กลางเขาคนเดยี วจะสอู้ ย่างไร
ตอบ : ตอ้ งพรอ้ มกอ่ น ถา้ ยงั ไมพ่ รอ้ มตอ้ งอยกู่ บั อาจารยไ์ ปกอ่ น
ตอนตน้ ตอ้ งมอี าจารยค์ อยสอนคอยใหก้ ำ� ลงั ใจ ตอ้ งมี
ความสงบเปน็ ฐานกอ่ น ถงึ จะออกไปอยคู่ นเดยี วได้ เปน็ การ
เขา้ สนามสอบแลว้ ถา้ มสี ตุ ตมยปญั ญา มจี นิ ตามยปญั ญาแลว้
อยากจะไปทดสอบก�ำลังของภาวนามยปัญญาก็ต้องไป
อยคู่ นเดยี ว ไปเขา้ สนามสอบเปน็ การปฏบิ ตั ขิ นั้ สงู ตอ้ งมสี ติ
มีสมาธิมีปัญญาพอท่ีจะรักษาตนได้แล้ว ท่านถึงจะให้ไป
54
ถา้ ยงั ไมม่ อี ยา่ ไปอยคู่ นเดยี ว ยงั เปน็ เหมอื นเดก็ ทารก ตอ้ งมี
พ่อแม่คอยเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน พอโตเป็นที่พึ่งของตนได้
แลว้ คอ่ ยไป ประโยชนข์ องครอู าจารยเ์ ปน็ อยา่ งนี้ พอมปี ญั หา
ไปเล่าให้ท่านฟังปั๊บ ท่านจะแก้ให้เราทันที ใจของเรายัง
ไม่ดพี อ ไม่มปี ัญญา มแี ต่กเิ ลสคอยเหยยี บย่ำ� ท�ำลาย ทำ� ให้
ท้อแท้เบ่ือหน่าย หมดศรัทธา ไม่อยากปฏิบัติ ถ้าอยู่กับ
ครบู าอาจารย์ ทา่ นจะสอนอยเู่ รอื่ ยๆ
สมยั ทไี่ ปอยกู่ บั หลวงตา ไมค่ อ่ ยมคี นไป ทา่ นจะเรยี ก
ประชมุ สงฆท์ กุ ๔/๕ วนั อบรมธรรมะ พอฟงั แลว้ ไดก้ ำ� ลงั ใจ
พอออกจากที่ประชุมไปเดินจงกรมได้หลายชั่วโมง วันไหน
ไมไ่ ดฟ้ งั ธรรม เดนิ ชวั่ โมงเดยี วกเ็ หนอ่ื ยแลว้ ไมอ่ ยากจะเดนิ
มันตา่ งกนั เวลาไดฟ้ งั ธรรมจะได้กำ� ลงั ใจ แต่จะจางหายไป
หลงั จาก ๓/๔ วันผ่านไปแลว้ ท่านถึงตอ้ งเรยี กประชมุ อยู่
เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าจึงทรงก�ำหนดวันพระให้ญาติโยมเข้า
วัดกัน เพื่อจะได้เติมธรรมะเติมปัญญาเพ่ือหล่อเลี้ยงจิตใจ
ให้มีก�ำลังต่อสู้กับปัญหาต่างๆ วันพระเป็นวันธรรมสวนะ
วนั ฟงั ธรรม กาเลนะ ธมั มสั สวนงั เอตมั มงั คลมตุ ตมงั การฟงั
ธรรมตามกาลตามเวลาเปน็ มงคลอยา่ งยง่ิ
55
คราวท่ีแล้วบอกให้ฟังธรรมทกุ วัน ตอนเช้าตืน่ ขน้ึ มา
กอ่ นจะออกไปทำ� งาน เคยต่ืนตอนก่โี มงก็ต่นื ขน้ึ มากอ่ นสัก
ชั่วโมงหนง่ึ นอนหัวค�่ำกวา่ ปกตสิ ักช่ัวโมงหน่ึง จะไดม้ ีเวลา
นงั่ สมาธิ ฟงั เทศนฟ์ งั ธรรมสกั ชวั่ โมงหนง่ึ กอ่ นจะไปทำ� งาน
จะได้มีธรรมเตือนใจ จะต่างกันมากเลยถ้าได้ยินได้ฟัง
ธรรมทุกวัน เวลาไปท�ำงานจะมีธรรมคอยเตือนใจเสมอ
ถา้ ไมฟ่ งั ธรรมกจ็ ะฟงั แตก่ เิ ลส เพราะในใจมแี ตก่ เิ ลสจะยวั่ ยุ
ตา่ งๆ นานา ทำ� ใหใ้ จรมุ่ รอ้ นกระวนกระวาย กระสบั กระสา่ ย
กินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้ามีธรรมก็จะปลงได้ เป็นธรรมดา
ของโลก มเี กดิ มดี บั เปน็ ธรรมดา มคี วามสงบมคี วามวนุ่ วาย
เปน็ ธรรมดา สลับกันไป แต่ไมต่ อ้ งวุ่นวายไปกบั เขา แยกใจ
ออกจากสงิ่ ตา่ งๆ ดว้ ยธรรมะ ดว้ ยสติ สมาธิ ปัญญา
ควรท�ำทุกวัน คือรักษาใจให้เป็นปกติ ท�ำอะไรได้
กท็ ำ� ไป ทำ� บญุ ไดก้ ท็ ำ� ไป ใหท้ านไดก้ ใ็ หไ้ ป ชว่ ยเหลอื ใครได้
กช็ ว่ ยไป จะไมไ่ ปทบุ ตีไมด่ า่ ไมว่ ่าใคร ใครจะร้ายใครจะชัว่
กป็ ลอ่ ยเขาไป ไมต่ อ้ งไปวา่ เขา ไมเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไร จะทำ�
ใหเ้ ราชว่ั และรา้ ยเทา่ กบั เขา ตอ้ งวางเฉยเปน็ อเุ บกขา ตอ้ งมี
เมตตาเสมอ สัพเพ สัตตา ค�ำว่า สัพเพ หมายถึงสัตว์
56
ทง้ั หลายทงั้ ปวงทง้ั ทเ่ี ปน็ พวกเราและไมใ่ ชพ่ วกเราไมอ่ ยา่ งนน้ั
จะเป็นสัพเพ สัตตา ได้อย่างไร เสื้อแดงก็สัพเพ สัตตา
เสอื้ เหลอื งกส็ พั เพ สตั ตา เสอื้ หลากสกี ส็ พั เพ สตั ตา เปน็ พเี่ ปน็
นอ้ งกัน เปน็ เพอ่ื นเกดิ แกเ่ จ็บตาย ถา้ มีเมตตา ปญั หาตา่ งๆ
จะเบาลง ตบมอื ขา้ งเดยี วไมด่ งั หรอก เอาหลกั ธรรมไปใชเ้ ถดิ
จะลดปญั หาลดอณุ หภมู คิ วามรนุ แรงไดอ้ ยา่ งแนน่ อน แตถ่ า้
ต่างฝ่ายต่างพุ่งความเกลียดชังเข้าหากัน จะเพิ่มอุณหภูมิ
ของความรุนแรง
ถาม : ขณะพจิ ารณาดศู พทอี่ ยใู่ นโลง กก็ ำ� หนดใหต้ วั เองนอน
ทับศพนั้นไปเลย ซงึ่ ปกติไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ แตว่ ันน้ันนกึ
กลวั ขึ้นมาทนั ที ก็เลยถอนออกมา ควรจะกลับไปพจิ ารณา
อีกไหม
ตอบ : ควรพจิ ารณาจนไมก่ ลวั รา่ งกายของเรากเ็ ปน็ เหมอื น
รา่ งกายของเขา ดจู นรบั ความตายได้ ขน้ั ตอ่ ไปกไ็ ปพสิ จู นด์ ู
ถาม : ไปพิสจู น์ดูอยา่ งไรคะ
ตอบ : ต้องไปหาสถานท่ีหรือเหตุการณ์ที่ท้าทายต่อ
ความเป็นความตายดู เพราะยังอาจจะหลอกตัวเองอยู่
57
ความคิดอาจจะหลอกว่าไม่กลัวแล้ว แต่ยังไม่ได้เจอ
เหตกุ ารณ์จรงิ เหมือนที่ไปเจอลกู ระเบดิ
ถาม : ในฐานะทเ่ี ราทง้ั หลายเปน็ ลกู ศษิ ยห์ ลวงตา ถา้ ตา่ งคน
ตา่ งรว่ มใจฝกึ อบรมตนใหม้ สี มาธมิ ากขน้ึ ๆ ทกุ วนั มสี ตปิ ญั ญา
ที่ดีขึน้ เรอ่ื ยๆ เราสามารถน้อมถวายให้ธาตุขันธท์ า่ นอยูไ่ ป
นานๆ ได้ไหมคะ
ตอบ : ไม่ได้หรอก ธาตุขันธ์ของท่านต้องเป็นไปตามเหตุ
ปัจจยั
ถาม : แต่มีค�ำสอนที่ว่า ไม่มีอ�ำนาจใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า
อ�ำนาจของใจทฝ่ี กึ ไวด้ ีแลว้
ตอบ : ดีส�ำหรบั ผฝู้ ึก
ถาม : เพอ่ื นอ้ มถวายบชู าท่าน
ตอบ : บชู าได้ แตไ่ มม่ ผี ลตามความตอ้ งการของเรา การบชู า
เปน็ การแสดงความเคารพ
ถาม : แตไ่ ม่มผี ลต่อองคท์ ่านเลยหรอื คะ
58
ตอบ : ทา่ นไมต่ อ้ งการอะไรจากพวกเรา ทา่ นไมต่ อ้ งการอะไร
ทง้ั น้ัน ท่านพอของทา่ นอยแู่ ล้ว ธาตขุ นั ธไ์ มใ่ ช่ตวั ของทา่ น
ธาตุขันธ์เป็นเพยี งรถยนต์คนั หนึง่ ถา้ มนั ไม่วิ่งมันก็ไมว่ ิ่ง
เมอื่ มนั หมดสภาพมนั กไ็ ปไมไ่ ด้ รา่ งกายกเ็ หมอื นกบั รถยนต์
เมื่อมันจะหมดสภาพจะแตกสามัคคีจะแยกทางกัน ไม่มี
ใครจะหยุดมันได้ ไม่อย่างน้ันพระพุทธเจ้าก็ต้องอยู่ถึง
วนั นี้ ถา้ ทำ� บญุ ยืดชวี ติ ให้พระพุทธเจา้ ได้
ถาม : แตม่ กี ลา่ วไวว้ า่ ถา้ พระอานนทอ์ าราธนาจะอยตู่ อ่ ได้
ตอบ : คนละเรอ่ื งกนั ทา่ นหมายถงึ วา่ ในกรณที ธี่ าตขุ นั ธข์ อง
ทา่ นยังอยู่ได้ แต่ตอ้ งมกี ารบำ� รงุ เปน็ พเิ ศษ ดแู ลเป็นพเิ ศษ
ก็จะอยู่ได้นานขึ้น ถ้าไม่ดูแลพิเศษก็จะไปเร็วข้ึน ผู้ที่จะ
คอยดูแลก็คือพระอานนท์ พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสให้
พระอานนท์ทราบ แต่พระอานนท์ไม่เข้าใจ ก็เลยไม่ได้
อาราธนา ไม่ได้อาสาเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า
ถ้าไม่อาสาก็ไม่ทรงรับสั่ง? พระอานนท์ถึงถูกปรับอาบัติ
หลังจากท่ีพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ๓ เดือน มีการ
สงั คายนาพระธรรมค�ำสอน ทา่ มกลางพระสงฆ์ ๕๐๐ รปู
59
ซงึ่ เปน็ พระอรหนั ตท์ งั้ หมด มกี ารถามพระอานนทว์ า่ ทำ� ไม
ไม่อาราธนาให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อ พระอานนท์บอกว่า
ไม่เข้าใจความหมาย พระสงฆ์ท่านก็เลยปรับอาบัติ คือ
ตำ� หนิทไี่ ม่อาราธนาให้อยตู่ ่อ
ถาม : ทท่ี รงอยตู่ ่อได้ เพราะทรงมอี ิทธิบาท ๔ น้ลี ะเจา้ คะ
ตอบ : อทิ ธบิ าท ๔ ก็คือพลังจติ พลงั ธรรม จะสามารถ
ประคับประคองร่างกายให้อยู่ได้นานกว่าจิตที่ไม่มีพลัง
จิตท่ีไม่มีพลังไม่มีก�ำลังจิตก�ำลังใจจะอยู่ต่อ ถึงแม้ร่างกาย
ยังดีอย่กู ็อย่ไู มไ่ ด้ เพราะจะไม่ดแู ล ไม่กนิ ขา้ ว ไมห่ ลบั นอน
ไม่ออกก�ำลังกาย ไม่กินยา ร่างกายเมื่อไม่ได้รับการดูแล
กต็ อ้ งเสอื่ มไปอยา่ งรวดเรว็ ตา่ งกบั รา่ งกายทไี่ ดร้ บั การดแู ล
ร่างกายท่ีได้รับการดูแลเพราะมีก�ำลังใจ เพราะใจเป็น
ผู้ดูแลร่างกาย พระพุทธเจ้าทรงมีก�ำลังใจที่จะดูแลรักษา
รา่ งกาย แตต่ อ้ งมคี นอนื่ ชว่ ยดแู ล ตอ้ งมหี มอ มคี นคอยจดั ยา
ถวายท่าน คอยจัดอาหารถวายท่าน อะไรต่างๆ เหล่านี้
ถ้าไม่มีใครช่วย ร่างกายก็จะอยู่ต่อไปไม่ได้ ผู้ดูแลก็ต้อง
สละเวลาของตน พระอานนท์ตอนน้ันก็ยังไม่ได้บรรลุ
60
เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าไม่อยากดึงพระอานนท์ไว้
ถ้าพระอานนท์จะลาไปปฏิบัติ ก็จะทรงปล่อยให้ไป
ถ้าพระอานนท์จะอุปัฏฐากต่อ ก็ต้องเป็นไปตามความ
สมคั รใจ พอพระอานนทไ์ ม่ไดอ้ าราธนา ก็แสดงว่าไม่อาสา
เพราะพระอานนทไ์ มฉ่ ลาด ไมเ่ ขา้ ใจความหมายทพ่ี ระพทุ ธเจา้
ทรงตรสั ไว้ พอมาอาราธนาทีหลงั พระพทุ ธเจ้าทรงตรัสว่า
สายเสียแล้ว พอพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า จะไปแล้วนะ
อานนท์ ภายใน ๓ เดือนนี้ ก็ขออาราธนาให้อยู่ต่อ
พระพุทธเจ้าทรงตอบว่าสายไปเสยี แล้ว เพราะเคยตรสั มา
หลายคร้งั แล้ว แตไ่ ม่เคยอาราธนาเลย เวลาทพี่ ระพุทธเจา้
ได้ทรงตัดสนิ พระทัยลงไปแล้ว จะไม่ทรงกลบั พระทัย
ถาม : ท่ีว่าพระพุทธเจ้าทรงมีอิทธิบาท ๔ ในการรักษา
ธาตขุ ันธ์ คือฉันทะความพอใจทีจ่ ะดำ� รงชีวิต
ตอบ : จะอยตู่ อ่ ไปเพอื่ ทำ� ประโยชนใ์ หก้ บั โลก เพราะความ
สงสารความเมตตาต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้แต่
ขณะท่จี ะเสดจ็ ดบั ขันธ์ในคืนน้นั กย็ งั อุตส่าหโ์ ปรดคนทีม่ า
ถามปญั หาคนสดุ ทา้ ย ตอนนน้ั พระอานนทไ์ มย่ อมใหเ้ ขา้ เฝา้
61
เพราะเห็นว่าอาการหนักเต็มที่แล้ว พอพระพุทธเจ้าทรง
ทราบ กท็ รงอนญุ าตใหเ้ ขา้ เฝา้ เพราะความเมตตาทท่ี รงมตี อ่
สตั วโ์ ลกเสมอ
พอถึงเวลาก็ทรงตัดสินพระทัย พอตัดสินแล้วก็จะ
ไม่เปลี่ยนพระทัย ทรงเห็นว่ามีพระอรหันตสาวกไม่น้อย
กวา่ ๕๐๐ รปู ท่ีจะท�ำหนา้ ท่แี ทนพระองคไ์ ด้ ทรงมคี วาม
ม่ันพระทยั วา่ สตั วโ์ ลกจะไม่ขาดทีพ่ งึ่ ทรงตรสั วา่ พวกเธอ
จะไม่ปราศจากศาสดา เพราะธรรมวินัยที่ตถาคตได้ตรัส
ไวช้ อบแลว้ นแี้ ล จะเปน็ ศาสดาของพวกเธอตอ่ ไป ผทู้ จ่ี ะสอน
ธรรมวินัยก็คือพระอรหันตสาวก ซ่ึงมีจ�ำนวนไม่น้อยกว่า
๕๐๐ รูป จงึ อยา่ ถือการจากไปของครูบาอาจารยเ์ ปน็ เรอื่ ง
ใหญ่โต เพราะเป็นเรอื่ งของเวลา เป็นคติธรรมดาของโลก
ท่ีจะต้องเกิดขึ้น ค�ำสอนของท่านก็มีการบันทึกไว้แล้ว
มีประโยชน์เหมือนกับท่านมีชีวิตอยู่ ถ้าศึกษาปฏิบัติตาม
ค�ำสอนก็จะได้รับประโยชน์เหมือนกับตอนท่ีท่านมีชีวิตอยู่
เวลาไปหาทา่ นกไ็ มไ่ ดไ้ ปหารา่ งกายของทา่ น แตไ่ ปหาธรรมะ
จากทา่ น ไปฟงั ธรรมของทา่ นทีย่ งั อยู่ ทำ� ไมไม่ฟงั กนั
62
ธาตุรู้ และ ธาตุ ๔
โดย พระจุลนายก (พระอาจารยส์ ชุ าติ อภิชาโต)
วัดญาณสังวรารามวรมหาวหิ าร
ต.หว้ ยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
วนั ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓
ทกุ ส่ิงทกุ อยา่ ง
ท่มี ีอยใู่ นโลกนี้
ลว้ นทำ� มาจาก
ธาตุทงั้ ๔ ท้งั นน้ั
วันนเี้ ป็นวันอาทิตยท์ ่ี ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศกั ราช
๒๕๖๓ เปน็ วนั ทท่ี า่ นทง้ั หลายชาวพทุ ธบรษิ ทั ผมู้ จี ติ ศรทั ธา
มคี วามเช่อื มีปสาทะความเล่อื มใสในพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ไดต้ ง้ั ใจมาวดั เพอ่ื มาศกึ ษาพระธรรมคำ� สง่ั คำ� สอน
อนั ประเสรฐิ ของพระบรมศาสดาพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ คอื พระปญั ญาคณุ พระบรสิ ทุ ธคิ ณุ
และพระกรณุ าคณุ ที่มตี ่อสตั วโ์ ลกทง้ั ปวง ไดท้ รงประทาน
พระธรรมค�ำส่ังค�ำสอนอันประเสริฐที่จะน�ำให้ผู้ที่ได้ศึกษา
ไดป้ ฏิบตั ิ ได้หลดุ พ้นจากความทกุ ข์ท้งั ปวง ได้หลุดพน้ จาก
การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในสงั สารวฏั ไมต่ อ้ งมาเกดิ มาแกม่ าเจบ็
มาตายอยู่เรื่อยๆ อย่างท่ีเป็นกันอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่มี
พระพุทธเจ้าเป็นผู้มาตรัสรู้ มาพบทางสู่การออกจากกอง
ทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด สัตว์โลกท้ังหลายจะไม่มี
ความสามารถในตนเองที่จะพาตนเองให้ได้หลุดออกจาก
กองทุกข์แห่งการเกิดแก่เจ็บตายได้เลย จ�ำเป็นที่จะต้อง
อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งผู้สอน เป็นผู้น�ำทางไปสู่การ
สิ้นสุดแหง่ การเวยี นวา่ ยตายเกดิ
65
การได้มาเกิดในภพนี้ในยุคที่มีพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ อยใู่ นโลกน้ี จงึ ถอื วา่ เปน็ บญุ เปน็ กศุ ลเปน็ โชคลาภ
อยา่ งมหาศาลเพราะพระพทุ ธพระธรรมพระสงฆ์เปน็ รตั นะ
เป็นอัญมณีอันล�้ำค่า ล�้ำค่ายิ่งกว่าเพชรท่ีมีอยู่ในโลกน้ี
ทงั้ หลาย ตอ่ ใหเ้ อาเพชรมารวมกนั กองเทา่ ภเู ขา คณุ คา่ ของ
เพชรน้ีจะสู้คุณค่าของพระรัตนตรัยไม่ได้ พระพุทธรัตนะ
พระธมั มรตั นะ พระสงั ฆรตั นะ เปน็ อญั มณที มี่ คี ณุ คา่ ยงิ่ ใหญ่
มหาศาลกว่าเพชรนิลจินดาต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกน้ี เพราะ
เพชรนลิ จนิ ดาต่างๆ ไมส่ ามารถท่ีจะกำ� จัดความทกุ ขต์ ่างๆ
ท่ีมอี ยูใ่ นใจให้หมดส้นิ ไปได้ นอกจากไม่ก�ำจัดแลว้ ยงั กลบั
จะมาเพมิ่ ความทกุ ขภ์ ายในใจใหม้ มี ากขนึ้ เพราะเมอ่ื มอี ะไร
แลว้ กย็ อ่ มมคี วามรกั มคี วามผกู พนั มคี วามอยากใหส้ งิ่ ทต่ี น
รักท่ีตนผูกพันนั้นไม่จากไปน่ันเอง แต่ไม่ช้าก็เร็วไม่ว่าจะ
เปน็ ใครกต็ าม จะตอ้ งมกี ารพลดั พรากจากของรกั ของเจรญิ
ใจทั้งหลายท้ังปวงด้วยกันท้ังนั้น เมื่อถึงเวลาที่เกิดการ
พลัดพรากจากกัน ความทุกข์ก็จะปรากฏข้ึนมาภายในใจ
สร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ผู้ที่ต้องพลัดพรากจาก
ส่ิงที่รักที่ชอบไป แต่การมีพระรัตนตรัยอยู่ในใจน้ีจะไม่มี
66
วันพลัดพรากจากกัน พระรัตนตรัยน้ีเป็นทรัพย์ภายใน
เป็นทรัพย์ท่ีจะอยู่คู่ไปกับใจไปตลอด ไม่เหมือนกับทรัพย์
ภายนอก คอื เพชรนลิ จนิ ดาตา่ งๆ หรอื ทรพั ยส์ มบตั ขิ า้ วของ
เงินทองต่างๆ ลว้ นเปน็ ทรัพย์ภายนอกทใ่ี จไมส่ ามารถทีจ่ ะ
เอาตดิ ไปไดเ้ วลาทต่ี อ้ งจากโลกนไี้ ป เวลาทต่ี อ้ งจากโลกนไ้ี ป
ถา้ ไมม่ ที รพั ยภ์ ายใน กจ็ ะไปแบบขอทาน ไปแบบยากลำ� บาก
แตถ่ า้ มที รพั ยภ์ ายใน มพี ระรตั นะทง้ั ๓ ตดิ ไปกบั ใจ กจ็ ะไปสู่
ทสี่ คุ โต ไปสสู่ คุ ติ ไปสพู่ ระนพิ พาน ทเ่ี ปน็ จดุ หมายปลายทาง
อันสูงสุดของผู้ท่ีมีทรัพย์ภายในติดตัวไป น่ีแหละคือ
พระรัตนตรัยท่ีพวกเรามีโอกาสได้มาสัมผัส ได้มารับรู้
ได้มารู้จัก หน้าท่ีของพวกเราก็คือต้องขวนขวายตักตวง
พระรัตนตรัยที่ตอนน้ียังอยู่ภายนอกของใจของพวกเรา
ใหเ้ ขา้ มาสภู่ ายในใจ ใหเ้ ป็นสมบตั ิอยคู่ ่กู ับใจไปตลอด
พระรตั นตรยั นใ้ี นเบอ้ื งตน้ เปน็ ทรพั ยภ์ ายนอกคอื ยงั ไมไ่ ด้
เข้ามาในใจของพวกเรา เรารู้เราได้สัมผัสกับพระรัตนตรัย
ได้เรียนรู้เร่ืองของพระพุทธเจ้า วิถีชีวิตของพระพุทธเจ้าท่ี
พระองค์ได้ทรงด�ำเนิน ได้ทรงปฏิบัติ ได้ทรงหลุดพ้นจาก
กองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราได้สัมผัสกับพระ-
67
ธมั มรัตนะ ได้ยนิ ได้ฟังพระธรรมคำ� สั่งคำ� สอนอันประเสรฐิ
ท่ีจะท�ำให้ทรัพย์ภายนอกเข้ามาอยู่ในใจ คือท่ีจะน�ำเอา
พระรัตนตรัยที่ยังอยู่ภายนอกน้ีให้เข้ามาสู่ภายในใจ
ดว้ ยการศกึ ษา ดว้ ยการปฏบิ ตั วิ ธิ กี ารทจ่ี ะทำ� ใหม้ พี ระรตั นตรยั
ปรากฏขึ้นมาภายในใจ เราได้สัมผัสกับพระอริยสงฆส์ าวก
พระสังฆรัตนะ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่ได้น้อมน�ำเอา
พระธรรมค�ำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ
จนสามารถนำ� เอาพระรตั นตรัยท้งั ๓ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์เขา้ ไปสใู่ นใจของตนได้ทำ� ใหก้ ลายเปน็ พระสงั ฆรตั นะ
ข้ึนมา เป็นใจที่มีอัญมณีอันล้�ำค่าท่ีจะปกป้องรักษาจิตใจ
ไมใ่ หเ้ กิดความทุกขใ์ จต่างๆ ขึ้นมา
ตอนนเี้ รารจู้ กั พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆก์ นั แตส่ ง่ิ
ท่ีเรายังต้องท�ำต่อไปก็คือ เราต้องน้อมน�ำเอาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ นี้เข้ามาสู่ภายในใจของพวกเรา
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ นเ้ี ปรยี บกเ็ หมอื นกบั ยารกั ษา
โรคทางใจ ยาท่ีรักษาโรคภยั ไข้เจบ็ นถ้ี งึ แม้ว่าจะเป็นยาท่ีมี
ความวเิ ศษมปี ระสทิ ธภิ าพ แตถ่ า้ คนไขไ้ มไ่ ดร้ บั ประทานยา
ยานน้ั กจ็ ะไมส่ ามารถทำ� หนา้ ทใี่ นการรกั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ ใน
68
ร่างกายให้หายไปได้ ถ้าต้องการให้ยานั้นท�ำหน้าท่ีรักษา
โรคภยั ไขเ้ จบ็ ใหห้ ายไป คนไขก้ จ็ ำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งรบั ประทาน
ยานัน้ เมอื่ ได้รับประทานยาแล้ว ยาก็จะเขา้ ไปในรา่ งกาย
แลว้ กจ็ ะไปทำ� หนา้ ทรี่ กั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ ตา่ งๆ ใหห้ ายไปได้
พระรตั นตรยั อนั นกี้ เ็ หมอื นกนั เปน็ เหมอื นยาอนั วเิ ศษทเี่ รา
เรยี กว่าธรรมโอสถ ท่ีจะมารักษาโรคของใจ คอื ความทุกข์
ต่างๆ ท่ีมีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป แต่ถ้ายังไม่ได้น้อมเอา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขา้ มาสู่ภายในใจ พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ กย็ ังไมส่ ามารถที่จะท�ำหนา้ ทีด่ บั ความ
ทกุ ข์ใจต่างๆ ที่มีอยู่ในใจให้หายไปได้ให้หมดไปได้
ถา้ ต้องการใหค้ วามทกุ ขใ์ จตา่ งๆ นี้หมดส้ินไปจากใจ
จำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งนอ้ มเอาพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เขา้ มา
สใู่ จ เรียกวา่ โอปนยิโก พระธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้า
เปน็ โอปนยโิ ก เป็นธรรมท่ีผศู้ ึกษาผปู้ ฏิบตั จิ �ำเปน็ ท่จี ะตอ้ ง
นอ้ มเอาเข้ามาสูใ่ จใหไ้ ด้ เพราะถ้ายงั อยู่ภายนอกอยู่ ยงั ไม่
สามารถทจ่ี ะมาดบั ความทกุ ขใ์ จตา่ งๆ ได้ ตอ้ งนอ้ มธรรมอนั
ประเสรฐิ นเี้ ขา้ มาสภู่ ายในใจใหไ้ ด้ เมอื่ นอ้ มเขา้ มาในใจแลว้
กจ็ ะสามารถทำ� หน้าทดี่ บั ความทกุ ขใ์ จต่างๆ ใหห้ มดสน้ิ ไป
69
จากใจได้ ดงั นนั้ ผทู้ ไ่ี ดม้ าพบกบั พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
และมีความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทางใจ
จำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งนอ้ มเอาพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เขา้ มา
สใู่ จ
วธิ นี อ้ มเอาพระพทุ ธพระสงฆเ์ ขา้ มาสใู่ จ กค็ อื ดวู ธิ กี าร
ปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ดูวิธีการปฏิบัติของพระอริยสงฆ์-
สาวก ว่าท่านปฏิบัติกันอย่างไร ถ้าเราสวดบทสังฆคุณ
เรากจ็ ะเหน็ วา่ ทา่ นปฏบิ ตั ดิ ีสปุ ฏปิ นั โนปฏบิ ตั ติ รงอชุ ปุ ฏปิ นั โน
ปฏิบตั เิ พอ่ื กำ� จัดความทกุ ข์ต่างๆ ญายปฏปิ ันโน ปฏบิ ัตไิ ด้
อยา่ งถกู ตอ้ ง เรยี กวา่ สามจี ปิ ฏปิ นั โน ปฏบิ ตั ดิ คี อื ปฏบิ ตั เิ ตม็ ที่
นนั่ เอง ปฏบิ ตั เิ ตม็ รอ้ ยเรยี กวา่ ปฏบิ ตั ดิ ี ถา้ ปฏบิ ตั ไิ มเ่ ตม็ รอ้ ย
ก็ยังถือวา่ ยงั ปฏิบัตไิ มด่ พี อ ปฏิบัติเต็มรอ้ ยก็คอื ต้องปฏิบตั ิ
ทกุ เวลานาทตี ง้ั แตล่ มื ตาขน้ึ มาจนถงึ เวลาหลบั ถงึ จะเรยี กวา่
เปน็ สปุ ฏปิ นั โน ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี เพราะการปฏบิ ตั ดิ จี ะทำ� ใหไ้ ดผ้ ลดี
ให้ได้ผลเต็มร้อยน้ันเอง ถ้าปฏิบัติไม่เต็มร้อย ผลก็จะไม่
เตม็ รอ้ ย ดังน้นั จำ� เปน็ ที่จะต้องปฏบิ ตั ิดี ปฏิบตั ิใหเ้ ต็มร้อย
คอื ไมม่ เี วลาใดทไ่ี มป่ ฏบิ ตั พิ ดู งา่ ยๆ ตง้ั แตล่ มื ตาขน้ึ มาจนถงึ
เวลาหลับน่ีจ�ำเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารปฏิบัติตลอดเวลา
70
ธรรมท่ีต้องปฏิบัติตลอดเวลาในเบ้ืองต้นก็คือสติ
การเจริญสติ การระลึกถึงอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งของ
กรรมฐาน ๔๐ อารมณ์ ให้เลือกอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง
เป็นเคร่ืองเจริญสติ ถ้าจิตคอยก�ำหนดให้อยู่กับอารมณ์ใด
อารมณ์หนง่ึ ของ ๔๐ อารมณ์นี้ก็จะมีสติ มีกำ� ลังทจี่ ะคอย
ควบคมุ ความคดิ และควบคมุ กเิ ลสตณั หาโมหะอวชิ ชา ไมใ่ ห้
ท�ำการสร้างความทุกข์ต่างๆ ให้แก่จิตใจ จ�ำเป็นที่จะต้อง
มีสติเป็นผู้น�ำทางในการปฏิบัติ สนับสนุนด้วยวิริยะคือ
ความพากเพียร ความข้เี กียจนจ้ี ะไม่สามารถสนบั สนุนการ
เจริญสติได้ ต้องเป็นความขยันหม่ันเพียรถึงจะสามารถท่ี
จะสนบั สนนุ การเจริญสตใิ ห้มีกำ� ลงั ขนึ้ มา เพื่อทจี่ ะได้หยุด
ความโลภ ความโกรธ ความหลง หยดุ ความอยากตา่ งๆ ไว้
เปน็ พกั ๆ ไป แตย่ งั ไมเ่ ปน็ การหยดุ ไดอ้ ยา่ งถาวร แตเ่ ปน็ การ
เตรียมทางไว้ให้แก่ปัญญาท่ีจะเป็นผู้ที่จะมาก�ำจัดกิเลส
ตัณหาโมหะอวิชชาให้หมดสิ้นไปจากใจ ต้องมีสติก่อน
เพอื่ มกี ำ� ลงั ทจี่ ะควบคมุ กเิ ลสตณั หาโมหะอวชิ ชา แลว้ ถงึ จะ
มคี วามสามารถทจ่ี ะนำ� เอาปญั ญามาสอนใจใหห้ ยดุ กระทำ�
ตามความต้องการของกิเลสตัณหาโมหะอวิชชาได้
71
ถ้าไม่มีสติ ถึงแม้จะรู้ว่ากิเลสตัณหาโมหะอวิชชา
เปน็ ตน้ เหตขุ องความทกุ ข์ใจ แตใ่ จท่ไี มม่ ีสติทจ่ี ะหยุดกิเลส
ตัณหาโมหะอวิชชา กจ็ ะฝืนความตอ้ งการของกิเลสตณั หา
ของโมหะอวิชชาไม่ได้ ก็จะท�ำให้ไม่สามารถที่จะดับความ
ทกุ ขต์ า่ งๆ ได้ ถา้ มสี ตเิ พยี งอยา่ งเดยี ว กจ็ ะสามารถดบั ได้
เปน็ พกั ๆ ไป ชว่ งไหนทม่ี กี ารเจรญิ สติ ชว่ งนน้ั กจ็ ะสามารถ
ควบคุมความทุกข์ไว้ได้ แต่ช่วงไหนที่ไม่มีการเจริญสติ
ช่วงน้ันก็จะเป็นช่วงท่ีกิเลสตัณหาโมหะอวิชชายังสามารถ
ออกมาสรา้ งความทุกขต์ า่ งๆ ให้แก่จติ ใจได้ แตถ่ ้ามที ้ังสติ
และมีทัง้ ปญั ญา ปญั ญานจี้ ะคอยสอนใจใหร้ วู้ ่าผู้ทีส่ รา้ ง
ความทุกข์ให้แก่ใจก็คือกิเลสตัณหาโมหะอวิชชาน้ีเอง
ปัญญาก็จะคอยสอนใจไม่ให้หลงไปกับความคิดความเห็น
ของโมหะอวิชชา ทไี่ ปเห็นวา่ สิง่ ตา่ งๆ ทม่ี อี ยู่ในโลกนเ้ี ป็น
นจิ จงั สขุ งั อตั ตา เหน็ ลาภ ยศ สรรเสรญิ เหน็ รปู เสยี ง กลน่ิ
รส โผฏฐพั พะ กจ็ ะเกดิ ความเหน็ ว่าเปน็ นจิ จงั สขุ งั อตั ตา
คือจะคิดว่าส่ิงนั้นจะเป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปนานๆ จะให้
ความสุขกับเราเพียงอย่างเดียว จะเป็นของเราไปตลอด
แตต่ ามความเปน็ จรงิ แลว้ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งในโลกนไ้ี มไ่ ดเ้ ปน็
72
นจิ จัง สขุ งั อตั ตา แต่เปน็ อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา ทกุ ส่งิ
ทุกอย่างมีการเกิดแล้ว ก็ต้องมีการดับไปเป็นธรรมดา
เวลาสง่ิ ทเี่ รารกั เราชอบเกดิ การดบั ไป เกดิ การพลดั พรากไป
เวลานั้นความทุกข์ใจก็จะปรากฏขึ้นมาทันที เพราะว่า
ไมส่ ามารถทจ่ี ะไปสงั่ ใหส้ ง่ิ ทเ่ี รารกั เราชอบนนั้ อยกู่ บั เราเปน็
ของเราไปตลอดได้ ตอ้ งมวี นั ใดวนั หนง่ึ ตอ้ งมกี ารพลดั พราก
จากกนั อยา่ งแนน่ อน ไมช่ า้ กเ็ รว็ ถา้ ไมจ่ ากกนั ตอนเปน็ กต็ อ้ ง
จากกันตอนตาย อันน้ีคือสัจธรรมความจริงของส่ิงต่างๆ
ท่ีมีอยู่ในโลกน้ีท่ีผู้ที่ไม่มีปัญญาจะมองไม่เห็น ผู้ที่ไม่มี
ปญั ญานจี้ ะถกู โมหะความหลง อวชิ ชาความไมร่ คู้ วามจรงิ น้ี
มาหลอกลวงให้ไปคิดว่าเป็นสุข ให้ไปคิดว่าเป็นของถาวร
ให้ไปคิดว่าจะเป็นสมบัติของเราไปตลอด ผู้ที่คิดแบบนี้จึง
มกั จะตอ้ งพบกบั ความทกุ ขอ์ ยเู่ รอ่ื ยๆ เพราะเวลาเหน็ อะไร
ก็คิดว่าถ้าได้มาแล้วจะมีความสุข และจะได้เก็บสิ่งที่ให้
ความสุขนี้อยู่กับเราไปตลอด แต่ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเรา
ไปตลอด เดยี๋ วไมช่ า้ กเ็ รว็ กต็ อ้ งมกี ารจากกนั ไป พอเกดิ การ
จากกนั กเ็ กิดความทุกข์ เกิดความเศรา้ โศกเสียใจ
73
นี่คือความจริงท่ีเราจะต้องสอนใจ ความจริงของ
อนิจจัง ทกุ ขัง อนตั ตา นเี่ อง ของทั้งหลายที่มอี ยู่ในโลกน้ี
ไมเ่ ทยี่ งแทแ้ นน่ อน ไมถ่ าวร มเี กดิ แลว้ กต็ อ้ งมดี บั ไป มเี จรญิ
แลว้ กต็ อ้ งมเี สอ่ื มมกี ารสญู เสยี มกี ารเปลย่ี นแปลงไปเวลาเกดิ
การเปล่ียนแปลง เวลาเกิดการสูญเสีย ความทุกข์ก็จะ
ปรากฏขน้ึ มาในใจ เพราะใจจะยดึ กบั สงิ่ ทไี่ ดม้ า จะอยาก
ให้ส่ิงที่ได้มาน้ันไม่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เสื่อมไป
ไมห่ มดไปนนั่ เอง พอเวลาเกดิ การเปลยี่ นแปลง เกดิ การเสอื่ ม
เกิดการหมดไป ความทุกข์ใจก็ปรากฏขนึ้ มา เพราะใจมอง
ไม่เห็นอนิจจังและอนัตตา อนัตตาก็คือเป็นส่ิงท่ีไม่ได้
อยู่ภายใต้อ�ำนาจของเรา ท่ีจะคอยส่ังคอยบอกให้เขา
ไม่เปลย่ี นแปลงไมเ่ สอ่ื มไม่หมดได้ เขาจะตอ้ งเป็นไปตาม
ธรรมชาติของเขา จึงท�ำให้ทุกส่ิงทุกอย่างที่เราคิดว่าเป็น
ของเรานีม้ ันไม่ไดเ้ ป็นของเราอยา่ งแท้จริง ท่านถึงเรียกวา่
เปน็ อนตั ตา ไมใ่ ชข่ องเรา ถา้ เปน็ รา่ งกายกไ็ มใ่ ชต่ วั เรา ไมใ่ ช่
ของเรา เปน็ ของดิน น้�ำ ลม ไฟ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนท�ำมาจากธาตุ
ท้งั ๔ ทัง้ น้นั ทำ� มาจากดนิ น้�ำ ลม ไฟ ผสมกันแล้วกท็ ำ� ให้
74
เปน็ สงิ่ ตา่ งๆ ขน้ึ มา บางอยา่ งกเ็ ปน็ ธาตดุ นิ ลว้ นๆ บางอยา่ ง
กเ็ ปน็ ธาตนุ ำ�้ ลว้ นๆ บางอยา่ งกเ็ ปน็ ธาตลุ มลว้ นๆ บางอยา่ ง
ก็เป็นธาตุไฟล้วนๆ บางอย่างก็เป็นการรวมผสมกันเข้ามา
ท�ำให้มีส่ิงต่างๆ หลากหลายให้เราได้รู้ได้เห็นกัน ซ่ึงถ้า
พจิ ารณาเขา้ ไปลกึ ๆ แลว้ จะเหน็ วา่ สง่ิ ตา่ งๆ ทง้ั หลายเหลา่ น้ี
ลว้ นประกอบขน้ึ มาจากการรวมผสมปรงุ แตง่ ของธาตุ ๔ ของ
ธาตุดนิ ของธาตนุ ้ำ� ธาตลุ ม ธาตไุ ฟนีเ้ อง ธาตุนค้ี วามหมาย
กค็ อื วา่ ของทเี่ ปน็ ของแขง็ นท้ี า่ นกเ็ รยี กวา่ เปน็ ธาตดุ นิ เชน่
ดินทเี่ รานง่ั อยนู่ ้ี บนพนื้ เราเรยี กพน้ื ดิน อนั น้กี ็เป็นของแข็ง
เปน็ ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้� กเ็ ปน็ ของเหลว ของเหลวตา่ งๆ นี้ เราก็
เรยี กว่าเป็นธาตนุ ้�ำ นำ้� ในแม่นำ�้ ลำ� คลอง น�้ำในทะเล น�ำ้ ใน
รา่ งกายของเรา เช่น นำ�้ เลือด น้ำ� เหลือง น้�ำเหง่ือ น�้ำตา่ งๆ
ในรา่ งกายกเ็ ปน็ ธาตนุ ำ�้ ธาตไุ ฟกค็ อื ความรอ้ นทเ่ี กดิ จากไฟ
ท่ีไหม้ลุกไหม้ก็เป็นธาตุไฟขึ้นมา หรือเกิดจากความร้อน
ของแสงสว่างของดวงอาทิตย์ อันนี้ถ้าเป็นความร้อนนี้
เราก็เรียกวา่ ธาตไุ ฟ แล้วถา้ เป็นสิ่งที่พัดไปพัดมา สิง่ ท่เี รา
หายใจเขา้ ออกน้ี เรากเ็ รยี กวา่ ธาตลุ มนเ่ี อง ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง
น้ีเป็นอย่างใดอย่างหน่ึง หรือเป็นการผสมรวมตัวของธาตุ
75
ทงั้ ๔ หรอื ของธาตทุ งั้ ๒ หรอื ๓ แลว้ แตม่ หี ลากหลายดว้ ยกนั
แตส่ ่งิ ต่างๆ ทงั้ หลายเหลา่ นล้ี ้วนเปน็ ธาตุทงั้ นั้น ไมม่ ีอัตตา
ตัวตนในธาตุดิน ธาตุลม ธาตุน้�ำ ธาตุไฟ แล้วเม่ือมา
รวมตวั กนั มาเปน็ ตน้ ไม้ ตน้ ไมน้ ก้ี ไ็ มม่ ตี วั ตน มาเปน็ ตน้ หญา้
มาเปน็ ผกั เปน็ ตน้ ผลไม้ ตน้ อะไรตา่ งๆ นกี้ ไ็ มม่ ตี วั ตน เปน็ การ
รวมตวั ของธาตทุ งั้ ๔ คอื ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ การที่
เราจะปลกู ตน้ ไมไ้ ดน้ ้ีเราตอ้ งมธี าตดุ นิ ตอ้ งมธี าตนุ ำ�้ ตอ้ งมดี นิ
ไวป้ ลกู ตน้ ไม้ เมอ่ื ปลกู แลว้ กต็ อ้ งมนี ำ�้ รด แลว้ กต็ อ้ งมธี าตไุ ฟ
คอื อณุ หภมู ิ ความรอ้ นทเ่ี หมาะสม ถา้ รอ้ นมากเกนิ ไปกต็ ายได้
ถ้าขาดความร้อนท�ำให้เกิดความหนาวเย็น ต้นไม้ก็ตายได้
ต้นไม้น้ีก็ต้องหายใจ ต้องมีลมหายใจเหมือนร่างกายถึงจะ
อยไู่ ด้
ดงั นนั้ สรปุ ลงไปก็คอื ส่ิงตา่ งๆ ทีม่ ีชวี ติ เชน่ ต้นไม้นี้
เราเรียกวา่ มีชีวิต มกี ารเกิด มีการแก่ มีการเจบ็ มีการตาย
ท�ำมาจากธาตุท้ัง ๔ ท้ังน้ัน คือท�ำมาจากธาตุดิน ธาตุน้�ำ
ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ เมอ่ื มารวมตวั กนั แลว้ กเ็ ปน็ ตน้ ไมช้ นดิ ตา่ งๆ
เป็นต้นมะมว่ ง ต้นส้ม ตน้ ทุเรียน ต้นมงั คุด ต้นอะไรตา่ งๆ
เหลา่ น้ี ลว้ นเปน็ การรวมตวั ของธาตทุ งั้ ๔ ทงั้ นนั้ เชน่ เดยี วกบั
76
รา่ งกายของมนษุ ยแ์ ละสตั วเ์ ดรจั ฉาน กเ็ ปน็ การรวมตวั ของ
ธาตทุ งั้ ๔ เหมอื นกนั ตา่ งกนั ตรงทวี่ า่ นอกจากธาตทุ ง้ั ๔ แลว้
ร่างกายของมนุษย์และร่างกายของสัตว์เดรัจฉานน้ีมี
ธาตอุ กี ธาตหุ นง่ึ เรยี กวา่ ธาตรุ ู้ มาเกาะตดิ อยดู่ ว้ ย ไมไ่ ดม้ า
รวมกันในร่างกาย เพยี งแตม่ าเกาะติดกนั เปน็ เหมือนมา้
กบั คนขมี่ า้ คนขม่ี า้ ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นรา่ งกายของมา้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ สว่ น
ของม้า แต่เป็นสว่ นที่มาควบคมุ ม้าอีกทหี น่งึ คนข่มี ้านี้เป็น
ผสู้ ง่ั ใหม้ า้ วงิ่ ไปทางนน้ั วง่ิ มาทางน้ีใหเ้ ดนิ ใหย้ นื ใหน้ ง่ั ใหน้ อน
ใหท้ ำ� อะไรตา่ งๆ
รา่ งกายของมนษุ ยแ์ ละของสตั วเ์ ดรจั ฉานกเ็ หมอื นกนั
เปน็ รา่ งกายทม่ี ธี าตรุ มู้ าคอยควบคมุ บงั คบั จงึ ทำ� ใหม้ คี วาม
รู้สึกรับรอู้ ะไรตา่ งๆ ได้ ตา่ งจากพวกต้นไม้ท่ีไมม่ ธี าตุรมู้ า
คอยรบั รู้เชน่ ตน้ ไมน้ ถี้ า้ เราไปตดั กงิ่ ตดั กา้ น ตน้ ไมจ้ ะไมร่ สู้ กึ
ว่ามันมอี าการเจ็บ มีเวทนา แตถ่ า้ รา่ งกายนีเ้ วลาถกู อะไร
มาสมั ผัสมากระทบ เชน่ ของแข็งมาสัมผสั กับรา่ งกาย กจ็ ะ
เกดิ ทุกขเวทนาขนึ้ มา ความเจ็บข้นึ มาทางร่างกาย แลว้ ก็มี
ผู้รู้เป็นผู้รับรู้อีกทีหนึ่ง ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นผู้รับรู้ความเจ็บ
ของร่างกาย ผู้ท่ีรับรู้ก็คือธาตุรู้นี้หรือท่ีเราเรียกว่าใจนี้เอง
77
นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ กับ
มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน ต่างกันตรงท่ีมนุษย์และสัตว์
เดรัจฉานน้ีมีธาตุที่ ๕ คือธาตุรู้ มาร่วมกิจกรรมร่วมกัน
เป็นเหมือนกับม้าที่มีคนข่ีม้าเป็นผู้ท่ีมาเป็นเจ้านายของ
ร่างกายอีกทีหน่ึง ธาตุรู้นี้แหละเป็นผู้ที่สั่งให้ร่างกายไป
ท�ำอะไรต่างๆ ท่ีมาที่น่ีได้ในวันนี้ก็เพราะธาตุรู้เป็นผู้ส่ังให้
ร่างกายน้ีมาท่ีน่กี ัน
อันน้ีแหละคือเร่ืองของธาตุท้ังหลายท่ีไม่มีตัวตน
ไม่เป็นตัวตน ธาตุรู้นี้ก็ไม่ได้เป็นตัวตน เป็นเพียงธาตุรู้
ซง่ึ เราเรยี กวา่ ผรู้ ู้ ผรู้ ผู้ คู้ ดิ เพราะนอกจากธาตรุ นู้ จี้ ะรแู้ ลว้
ยังมคี วามรู้สึกนกึ คิดดว้ ย จึงทำ� ใหร้ ่างกาย ทำ� ใหม้ นษุ ย์
และสัตว์เดรัจฉานน้ี สามารถสัมผัสกับความรู้สึกต่างๆ
ท่มี ากระทบกับร่างกายได้ สัมผสั กับความสขุ ความทกุ ข์
ของทางรา่ งกายได้ เพราะมีผู้รบั ร้อู ยู่ ส่วนตน้ ไม้นี้ ถงึ แม้
เขาจะมีความสุขความทุกข์ แต่ก็ไม่มีการรับรู้ เขาก็เป็น
ตน้ ไมข้ องเขาไป เขากจ็ ะมผี ลตอบสนองจากความทกุ ขห์ รอื
ความสุข ถ้าสุขก็คอื ตน้ ไม้กจ็ ะเจรญิ เช่น ต้นไมไ้ ดอ้ าหาร
ได้น�้ำ ได้ลม ได้อากาศ ไมข่ าดแคลนอะไร ตน้ ไม้กจ็ ะแสดง
78
อาการเจริญรุ่งเรือง เจริญเติบโตขึ้นมา ออกดอกออกผล
ถา้ ชว่ งไหนทต่ี น้ ไมไ้ ปเจอกบั ทกุ ขเวทนา เชน่ เจออากาศแลง้
ขนึ้ มาอยา่ งนี้ ตน้ ไมก้ เ็ หย่ี วเฉา ใบกร็ ว่ ง และถา้ ขาดไปนานๆ
ต้นไม้ก็ล้มตายได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่มีใครไปรับรู้
ความสุขความเจริญ หรือความทุกข์หรือความเส่ือมของ
ตน้ ไม้ เพราะตน้ ไมน้ ไี้ มม่ ธี าตรุ ทู้ ต่ี อ้ งการจะไปเกยี่ วขอ้ งดว้ ย
แต่ท�ำไมธาตุรู้จึงมาเกี่ยวข้องกับร่างกายของมนุษย์และ
ร่างกายของสัตว์เดรัจฉาน ก็เพราะว่าร่างกายของสัตว์
เดรจั ฉานและรา่ งกายของมนษุ ยน์ มี้ สี งิ่ ทธี่ าตรุ ตู้ อ้ งการ สง่ิ ท่ี
ธาตรุ ตู้ อ้ งการคอื อะไร กค็ อื ตอ้ งการตา หู จมกู ลนิ้ กาย ทจี่ ะ
ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการทจี่ ะไดไ้ ปเสพไปสมั ผสั กบั รปู เสยี ง
กลน่ิ รส โผฏฐพั พะตา่ งๆ นเี้ อง ธาตรุ จู้ งึ ไมไ่ ปเกาะตดิ กบั ที่
ตน้ ไม้ต้นหญา้ เพราะตน้ ไม้ต้นหญา้ ไมม่ ีตา หู จมูก ล้นิ กาย
แต่จะไปเกาะติดกับร่างกายของมนุษย์และของสัตว์
เดรจั ฉาน ทม่ี ตี า หู จมกู ลนิ้ กาย เพราะสง่ิ ทที่ ำ� ใหธ้ าตรุ นู้ ต้ี อ้ ง
มาเกาะติดกับร่างกายของมนุษย์หรือของสัตว์เดรัจฉานนี้
กเ็ พราะในธาตรุ นู้ ม้ี ตี ณั หาความอยาก ความอยากเสพรปู
เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ความอยากดรู ูป อยากฟังเสียง
79
อยากลม้ิ รส อยากดมกลนิ่ เลยทำ� ใหธ้ าตรุ นู้ ตี้ อ้ งมาเกาะตดิ
กับร่างกายของมนุษย์หรือของสัตว์เดรัจฉาน การจะได้
ร่างกายต่างจากการท่ีจะได้ร่างกายของสัตว์เดรัจฉาน
การไดร้ า่ งกายของมนษุ ยน์ ตี้ อ้ งพน้ จากบาป จะตอ้ งไมม่ บี าป
มาดึงใจใหไ้ ปติดกับร่างกายของสัตวเ์ ดรจั ฉานนน่ั เอง
ถา้ ตราบใดใจยงั มบี าปทไี่ ดท้ ำ� เอาไวอ้ ยมู่ ากกวา่ บญุ ท่ี
ไดท้ ำ� เอาไว้ บาปนจ้ี ะเปน็ ผดู้ งึ ใจใหไ้ ปเกาะตดิ กบั รา่ งกาย
ของสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ใช้บาปไปจนกว่าบาปน้ันจะ
หมดก�ำลังลงที่จะดึงใจให้ไปเกาะติดกับร่างกายของ
สัตว์เดรัจฉาน แล้วถึงจะได้มาเกาะติดกับร่างกายของ
มนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของสัตว์เดรัจฉานหรือ
รา่ งกายของมนษุ ย์ กจ็ ะตอ้ งมปี ญั หาเหมอื นกนั ปญั หาของ
การมาเกาะติดกับร่างกายก็คือความไม่เท่ียงแท้แน่นอน
ของรา่ งกายนเี้ อง อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา รา่ งกายนกี้ อ็ นจิ จงั
ทุกขัง อนัตตา ร่างกายเกิดแล้วเด๋ียวก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ
ตอ้ งตายไป แลว้ เวลาทรี่ า่ งกายแก่ รา่ งกายเจบ็ รา่ งกายตาย
ร่างกายก็จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของ
ธาตรุ ไู้ ด้ ธาตรุ ตู้ อ้ งการดู ตอ้ งการฟงั ตอ้ งการลมิ้ รสดมกลนิ่
80
แต่พอร่างกายไม่สบายก็จะไม่มีก�ำลังวังชาที่จะไปหารูป
เสียง กลิน่ รสตา่ งๆ มาให้ธาตรุ ้ไู ด้เสพไดส้ มั ผัส ใหเ้ กดิ
ความสขุ ความสำ� ราญใจขนึ้ มาได้ เวลานนั้ ธาตรุ กู้ จ็ ะเตม็ ไป
ดว้ ยความทุกข์ใจ
อันน้ีแหละที่มาของความทุกข์ใจของพวกเราทุกคน
ค�ำว่าพวกเราน้ีก็คือธาตุรู้นี้เอง เรามาจากธาตุรู้ ธาตุรู้
สมมตุ ติ วั เองวา่ เปน็ เรา เพราะมคี วามคดิ ความคดิ นแ่ี หละ
เป็นผู้สร้างความสมมุติขึ้นมา สมมุติว่าธาตุรู้น้ีเป็นเรา
แลว้ ธาตรุ นู้ ต้ี อ้ งการอะไร ธาตรุ ตู้ อ้ งการความสขุ จากรปู เสยี ง
กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธาตรุ กู้ จ็ ะไปหารา่ งกายมาเปน็ เครอื่ งมอื
ในการทจี่ ะไปเสพรปู เสยี งกลน่ิ รสตา่ งๆแตก่ จ็ ะไดท้ ง้ั ๒อยา่ ง
เวลาทรี่ า่ งกายสมบรู ณแ์ ขง็ แรงสามารถตอบสนองความอยาก
ความต้องการของธาตุรู้ได้ของใจได้ เวลานั้นความสุขก็จะ
เกิดข้ึนมาภายในใจภายในธาตุรู้น้ัน แต่เวลาที่ร่างกาย
ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของธาตุรู้
ของใจได้ เวลานั้นธาตุรู้ก็จะมีแต่ความทุกข์ทรมานใจ
พวกเรานีแ่ หละคือธาตรุ ู้ แตเ่ ราไม่รู้วา่ เราเปน็ ธาตรุ ู้
81
เน่ืองจากเราไม่มีปัญญาท่ีจะวิเคราะห์ได้เหมือนกับ
พระพทุ ธเจา้ เรากเ็ ลยไปคดิ วา่ เราเปน็ รา่ งกายกนั เพราะวา่
ธาตรุ นู้ ไ้ี มม่ รี ปู รา่ งหนา้ ตา ไมม่ ตี วั ตน ไมส่ ามารถมองเหน็
ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เหน็ แตร่ า่ งกาย และเนอื่ งจากธาตรุ นู้ มี้ าเกาะ
ตดิ กบั รา่ งกาย แลว้ กใ็ ชร้ า่ งกายสงั่ ใหร้ า่ งกายทำ� อะไรตา่ งๆ
ต้ังแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ ธาตุรู้ก็เลยไปเหมาไปคิด
วา่ รา่ งกายนเ้ี ปน็ ธาตรุ ู้ เปน็ ตวั เราของเราขน้ึ มา แลว้ พออะไร
เป็นตัวเราของเรา เราก็อยากจะให้มันดี อยากจะให้มัน
สมบูรณ์ อยากจะให้มันท�ำหน้าท่ีตอบสนองความอยาก
ความต้องการของเราได้ พอรา่ งกายไม่สามารถตอบสนอง
ความอยากความต้องการของเราได้ เวลาน้ันความทุกข์
กป็ รากฏขนึ้ มาในใจทันที
นี่แหละคือท่ีมาของความทุกข์ใจของพวกเรา
มาจากความอยากความต้องการของพวกเราท่ีไม่ได้รับ
การตอบสนองน่ันเอง เวลาที่เราอยากได้อะไรแล้วได้รับ
การตอบสนองน้ี จะเกดิ ความสขุ ใจขนึ้ มา อยากดู อยากฟงั
อยากลมิ้ รส อยากดมกลนิ่ อยากสมั ผสั กบั อะไรตา่ งๆ พอได้
สัมผัสแล้วก็จะเกิดความสุขข้ึนมา แต่เวลาใดที่ไม่สามารถ
82
ได้เสพสัมผัสตามความอยากตามความต้องการ เวลาน้ัน
ก็จะเกิดความทุกข์ข้ึนมา นี่แหละคือปัญหาของธาตุรู้ท่ี
ไม่ต้องการความทุกข์ แต่ก็ต้องมาเจอความทุกข์ ธาตุรู้
คือใจของพวกเราทุกคนน้ีไม่มีใครต้องการความทุกข์กัน
พวกเราน้ีต้องการความสุขกัน แล้วเราก็เลยคิดว่าการมี
รา่ งกาย การไดเ้ สพไดส้ มั ผสั กบั รปู เสยี ง กลนิ่ รสตา่ งๆ นจี้ ะ
ทำ� ใหเ้ รามคี วามสขุ กนั อนั นเี้ ปน็ การมองภาพไมค่ รบสมบรู ณ์
มองเห็นเพยี งคร่งึ เดยี ว เห็นโลกธรรมทางด้านท่เี จรญิ คือ
เวลาเจรญิ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ น้ี กจ็ ะเกดิ ความสขุ ใจขน้ึ มา
แตไ่ มม่ องเหน็ อกี ดา้ นหนง่ึ ของลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ วา่ มนั ก็
เปน็ ของทไี่ มเ่ ทยี่ งนนั่ เอง มเี จรญิ กต็ อ้ งมกี ารเสอ่ื ม เวลาเจรญิ
ลาภกม็ คี วามสขุ แตไ่ มช่ า้ กเ็ รว็ จะตอ้ งมกี ารเสอื่ มลาภขนึ้ มา
จะตอ้ งมกี ารสญู เสยี เงนิ ทองทรพั ยส์ มบตั ติ า่ งๆ เวลาเกดิ การ
สูญเสยี เวลาน้นั ก็เกดิ ความทกุ ข์ใจข้นึ มา
นคี่ อื ปญั หาของธาตรุ ทู้ ง้ั หลายทมี่ าเกดิ เปน็ มนษุ ยก์ นั
มาหาความสขุ กนั แลว้ กต็ อ้ งมาเจอความทกุ ขก์ นั ทกุ รายไป
ไม่มีใครยกเว้น ยกเว้นคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้าและ
พระอริยสงฆ์สาวกเท่าน้ัน คือธาตุรู้ท่ีเป็นพระพุทธเจ้า
83
ธาตรุ ้ทู ่ีเป็นพระอรยิ สงฆส์ าวกน้ี ได้มีความรู้ความฉลาด
ที่ได้เห็นว่า ความทุกข์นี้เกิดจากการไปเสพสิ่งที่ไม่เที่ยง
นน่ั เอง ไปเสพสง่ิ ทเี่ ปน็ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ทไี่ มเ่ ทย่ี ง
ทม่ี ีการเกิดแล้วมีการดบั ไป กเ็ ลยหาวิธใี หม่ หาวธิ ที ่จี ะทำ�
ให้ใจไม่ตอ้ งทุกข์ กค็ ือต้องระงบั การเสพรปู เสียง กล่นิ รส
ตา่ งๆ น่ันเอง ระงบั ความอยากทจ่ี ะเสพรูป เสียง กล่ิน รส
ดว้ ยการเปลย่ี นวธิ เี สพความสขุ แบบใหมอ่ กี แบบหนง่ึ คอื
ความสุขที่เกิดจากการหยุดความอยากนั่นเอง ถ้าหยุด
ความอยากได้ จะปรากฏมคี วามสขุ ขน้ึ มาภายในใจ และเปน็
ความสขุ ทด่ี กี ว่าความสขุ ทไ่ี ด้จากการไปเสพรปู เสยี ง กล่นิ
รส โผฏฐัพพะชนิดต่างๆ ความสขุ แบบนี้มผี ู้ทไ่ี ดค้ น้ พบกนั
มาก่อนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ แต่เป็นความสุข
แบบชั่วคราว คือการท�ำใจให้สงบด้วยวิธีการเข้าสมาธิ
เข้าฌาน ดว้ ยการเจรญิ สติ
อันนี้มีการปฏิบัติมาก่อนท่ีพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้
แต่ยังไม่ได้เป็นวิธีที่สมบูรณ์ท่ีถาวร คือเป็นการได้ความ
สุขแบบช่ัวคราว เหมือนกับการได้ความสุขจากลาภ ยศ
สรรเสรญิ จากรปู เสยี ง กลนิ่ รสนน้ั เหมอื นกนั แตเ่ ปน็ ความ
84
สขุ ทล่ี ะเอยี ดกวา่ ทด่ี กี วา่ ทม่ี คี วามทกุ ขน์ อ้ ยกวา่ ทม่ี คี วาม
ยงุ่ ยากนอ้ ยกวา่ เพราะเปน็ การควบคมุ ความคดิ เทา่ นนั้ เอง
ด้วยการเจริญสติ ถา้ รจู้ กั วธิ เี จรญิ สติ รจู้ กั ควบคมุ ความคดิ
หยดุ ความคดิ ได้ ใจกจ็ ะสามารถเขา้ สคู่ วามสงบได้ และหยดุ
ความอยากตา่ งๆ ไวไ้ ดช้ ั่วคราว พอความอยากต่างๆ ทเ่ี คย
ทำ� งานอย่ตู ลอดเวลา ทค่ี อยกระต้นุ ใหใ้ จน้ีตอ้ งดนิ้ ไปหาสิ่ง
ตา่ งๆ อยตู่ ลอดเวลา พอสามารถหยดุ ความอยากเหลา่ นไ้ี ด้
ด้วยการเจรญิ สติ ก็จะเกดิ ความสงบขน้ึ มาภายในใจ ทเี่ ป็น
ความสุขท่ีเหนือกว่าความสุขที่ได้จากการไปเสพรูป เสียง
กล่นิ รสตา่ งๆ การเสพรูป เสียง กลิน่ รส นก้ี ็เป็นการหยุด
ความอยากช่ัวคราวเหมือนกัน เช่น เวลาอยากไปเท่ียว
พอไดไ้ ปเทย่ี วนี้ ความอยากไปเทยี่ วมนั กห็ ยดุ แลว้ พอความ
อยากเท่ียวหยุด ความทุกข์ที่เกิดจากการอยากไปเท่ียว
กห็ ายไป ความสขุ ทไี่ ด้ไปเที่ยวกป็ รากฏข้ึนมา แต่มันกเ็ ปน็
การหยดุ ความอยากไปเทยี่ วไดแ้ บบชวั่ คราว พอกลบั มาบา้ น
อยู่บ้านไปสักพักหน่ึง เดี๋ยวความอยากไปเท่ียวก็โผล่ขึ้น
มาอกี พอเกดิ ความอยากไปเทย่ี วขน้ึ มา ใจกเ็ รมิ่ มคี วามรสู้ กึ
หงดุ หงิดรำ� คาญใจ รูส้ กึ เศรา้ สรอ้ ยหงอยเหงาว้าเหวข่ ้นึ มา
85
แลว้ การทจี่ ะทำ� ใหค้ วามรสู้ กึ เหลา่ นห้ี ายไป กต็ อ้ งไปทำ� ตาม
ความอยาก อยากไปเที่ยวก็ต้องไป พอไปเที่ยวแล้วความ
อยากทม่ี าสรา้ งความหงดุ หงดิ สรา้ งความรำ� คาญใจ มนั กจ็ ะ
หยุดชั่วคราว เพราะมันได้สิ่งท่ีมันต้องการแล้ว ได้ท�ำตาม
ความอยากแลว้ แลว้ ความสขุ กจ็ ะปรากฏขน้ึ มา แตม่ นั กเ็ ปน็
ความสขุ เดย๋ี วเดยี ว พอหลงั จากทไ่ี มไ่ ดเ้ สพสง่ิ ไดไ้ ปเสพ ไมไ่ ด้
ไปเท่ียวสักพักหน่ึง ความสุขที่ได้จากการไปเที่ยวก็จะจาง
หายไปหมด พอมนั จางหายไป ความอยากไปเทย่ี วกโ็ ผลข่ น้ึ
มาใหม่อนั นเี้ ปน็ การเสพของผคู้ รองเรอื นของผทู้ เ่ี ปน็ ฆราวาส
ญาตโิ ยม ตอ้ งเสพรปู เสยี ง กลน่ิ รสกนั อยเู่ รอ่ื ยๆ เพอ่ื จะได้
หยุดความร้สู ึกหงุดหงิดรำ� คาญใจ
ท่านคงเห็นในช่วงที่ออกไปนอกบ้านไม่ได้ ช่วงท่ีมี
โรคระบาดนี้ จะรสู้ ึกหงุดหงดิ กนั ไมม่ คี วามสุขกัน เพราะ
ไมส่ ามารถหยุดความอยากท่ีจะออกไปเท่ยี วได้ อยากออก
ไปเที่ยวได้ แต่พอทางการเปิดอนุญาตให้ออกไปเที่ยวกัน
ความรู้สึกหงุดหงิดร�ำคาญใจท่ีมีอยู่ในขณะที่อยู่บ้านก็
หายไป เพราะได้ออกไประบาย ได้ไปท�ำตามความอยาก
พอไดท้ �ำตามความอยาก ความอยากน้นั กจ็ ะหยดุ ชัว่ คราว
86
ทำ� ใหใ้ จรสู้ กึ สขุ สบายขนึ้ มาทนั ที ไมใ่ ชร่ ปู เสยี ง กลน่ิ รส ทท่ี ำ�
ให้ใจสุขใจสบายหรอก ส่ิงท่ีท�ำให้ใจสบายก็คือการหยุด
ท�ำงานของความอยากช่ัวคราวเท่าน้ันเอง พอเราอยากได้
อะไร พอเราไดแ้ ลว้ ความอยากนนั้ มนั ก็จะหยดุ ไปช่ัวคราว
แต่เด๋ียวสักพักหนึ่งมันก็จะกลับมาใหม่ เพราะสิ่งที่เราได้
มันเหมือนกับมันจางหายไปแล้ว ความสุขท่ีเราได้จาก
ส่ิงท่ีเราอยากได้มันจะจางหายไป แล้วมันก็จะท�ำให้เกิด
ความอยากทจ่ี ะได้ใหม่ เราเลยต้องมคี วามอยากอยูเ่ รื่อยๆ
แลว้ เราตอ้ งคอยหยดุ ความอยากอยเู่ รอื่ ยๆ ดว้ ยการกระทำ�
ตามความอยากต่างๆ เราถึงจะมีความรู้สึกสบายใจกัน
แต่พอเราไม่สามารถท�ำได้ เวลาน้ันก็จะเกิดความทุกข์
ทรมานใจ เวลาท่ีเรามีอุปสรรคในการท่ีจะท�ำตาม
ความอยาก เช่น เครื่องสนับสนุนไม่พร้อม เช่นเงินทอง
ไม่พร้อม หรือส่ิงท่ีเราต้องการน้ีเราไม่สามารถท่ีจะเอามา
ได้ตามความอยาก เพราะของบางอย่างน้ีมันไม่ได้ขึ้นอยู่
กับเงินทอง ของบางอย่างน้ีมันเป็นสิ่งท่ีเราบางทีต้องขอ
หรือต้องทำ� ให้มันมาหาเราใหไ้ ด้ เช่นคนน้ี เราซ้อื เขาไมไ่ ด้
หรืออาจจะซ้ือได้ในทางอ้อม เอาใจเขา เอาอกเอาใจเขา
ให้เขาชอบเรา พอเขาชอบเรา เขาก็อาจจะมาอยู่กับเรา
87
แตถ่ า้ วนั ดคี นื ดเี ราเกดิ ไปพดู ไปทำ� อะไรทที่ ำ� ใหเ้ ขาไมพ่ อใจ
เขาก็อาจจะไม่อยกู่ ับเราต่อไปก็ได้
นคี่ อื การหาความสขุ ของผคู้ รองเรอื นทจ่ี ะตอ้ งเจอกบั
ความสุขความทุกข์สลับกันไปอย่างนี้ไปเร่ือยๆ จนวันตาย
แล้วก็จะไม่มีวันหมด ความอยากจะหาความสุขอย่างนี้
มันจะไม่มีวันหมด มันก็จะมีมาอยู่เรื่อยๆ พอร่างกายนี้
ตายไป ใจผยู้ งั มคี วามอยากหาความสขุ แบบนอ้ี ยกู่ จ็ ะไปหา
ร่างกายอันใหม่ต่อไป ไปเกิดใหม่ แล้วก็ไปหาความสุขกับ
ร่างกายอันใหม่ แล้วก็ไปทุกข์กับการผดิ หวงั ทกุ ขก์ บั การ
สญู เสยี ทกุ ขก์ บั ความแก่ ทกุ ขก์ บั ความเจบ็ ทกุ ขก์ บั ความตาย
ของรา่ งกาย นคี่ อื ปญั หาของธาตรุ ทู้ ข่ี าดปญั ญา ทถี่ กู โมหะ
อวิชชาเสี้ยมสอนหรือหลอกลวงให้ไปหาความสุข
ท่ไี ม่เทยี่ งแท้แน่นอนน่นั เอง
มอี กี พวกหนง่ึ คอื พวกนกั บวชนี้ เขาเหน็ โทษของการ
เสพกามเขาเหน็ ภยั ของการเสพรปู เสยี งกลน่ิ รสเสพลาภยศ
สรรเสริญ เขาก็เลยไปหาความสุขอีกแบบหน่ึง คือความ
สุขจากการเข้าสมาธิ เข้าฌาน ด้วยการเจริญสติ เขาก็
88
สามารถทำ� ใจของเขาใหม้ คี วามสขุ ไดเ้ หมือนกนั เขาก็หยดุ
ความอยากเหมอื นกนั แตก่ ารจะหยดุ ความอยากของเขานี้
ต่างจากการเป็นผู้ครองเรือนฆราวาส ผู้ครองเรือนหยุด
ความอยากด้วยการท�ำตามความอยาก แต่ผู้ท่ีเป็น
นักบวชน้ี เขาหยุดความอยากด้วยการหยุดความคิด
หยดุ สงั ขารความคดิ ปรงุ แตง่ ดว้ ยการเจรญิ สติ อารมณใ์ ด
อารมณ์หน่ึง เช่น พุทโธ หรืออานาปานสติ ดูลมหายใจ
เขา้ ออก ในขณะทเ่ี ขานง่ั สมาธิ ถา้ เขานงั่ สมาธแิ ลว้ เขามสี ติ
ควบคมุ ความคดิ ได้ หยดุ ความคดิ ได้ กจ็ ะสามารถหยดุ ความ
อยากได้ พอหยดุ ความอยากได้ ใจก็จะนง่ิ สงบขนึ้ มา แลว้ ก็
เกิดความสุขข้ึนมาที่เป็นความสุขท่ีวิเศษกว่า เหนือกว่า
ความสุขที่ได้รบั จากการเสพรปู เสยี ง กลน่ิ รสต่างๆ แตก่ ็
ยงั เปน็ ความสขุ แบบชว่ั คราว เหมอื นกบั ความสขุ ทไ่ี ดจ้ าก
การเสพรปู เสยี ง กล่นิ รสอยู่ เพราะว่าพอหลงั จากทอ่ี อก
จากสมาธมิ าแลว้ ความอยากทถี่ กู สตคิ อยกดเอาไว้ คอยหยดุ
เอาไว้ กจ็ ะออกมาทำ� งานตอ่ ไปได้ เพราะเมอ่ื ออกจากสมาธิ
แลว้ ตอ้ งมกี ารคดิ คดิ เรอื่ งนนั้ คดิ เรอ่ื งนไ้ี ป จะไมส่ ามารถทจ่ี ะ
หยดุ ความคดิ ไดต้ ลอดเวลา เพราะมเี รอ่ื งทจ่ี ะตอ้ งทำ� ใหค้ ดิ
89
เพราะวา่ ยงั มรี า่ งกายทย่ี งั ตอ้ งมาเลย้ี งดอู ยู่ ตอ้ งมงี านการท่ี
จะต้องทำ� อยู่ ต้องหาปจั จัย ๔ มาเล้ียงดูร่างกาย ก็ต้องใช้
ความคดิ แลว้ ถ้าไปสัมผัสกับรปู เสียง กลน่ิ รสต่างๆ ทเี่ คย
ชอบท่เี คยรักมาในอดตี ก็จะเกิดความอยากขึ้นมาไดอ้ ีก
ผทู้ ม่ี สี ตผิ ทู้ ฝ่ี กึ สมาธนิ ี้ ถงึ ตอ้ งระมดั ระวงั เวลาทอี่ อก
จากสมาธิมา จะคอยควบคุมใจไม่ให้คิดไปในทางความ
อยากตา่ งๆ ถา้ คดิ กต็ อ้ งใชส้ ตยิ บั ยงั้ เอาไว้ หยดุ เอาไว้ กลบั เขา้
ไปในสมาธใิ หม่ แตท่ ำ� อยา่ งนไ้ี ปเทา่ ไหรก่ ไ็ มม่ วี นั จบ กต็ อ้ ง
มีการใช้สติคอยกดความอยากเอาไว้ แต่ไม่สามารถท�ำให้
ความอยากนหี้ ายไปได้ พระพทุ ธเจา้ กไ็ ดป้ ฏบิ ตั ไิ ดศ้ กึ ษามา
ถงึ ขนั้ น้ี ไดไ้ ปศกึ ษากบั ครบู าอาจารยท์ ง้ั หลาย ทา่ นกส็ อนวธิ ี
หยดุ ความคดิ ดบั ความทกุ ข์ ดว้ ยการเขา้ ไปในสมาธิ เขา้ ไป
ในฌาน แตไ่ มส่ ามารถหยดุ ความคดิ หยดุ ความอยาก ในขณะ
ทอี่ อกจากสมาธอิ อกมาออกจากฌานได้ พระพทุ ธเจา้ กเ็ ลย
อยากจะให้ใจนไ้ี ม่ต้องมคี วามทุกขก์ ับสิ่งตา่ งๆ หลงั จาก
ทอ่ี อกจากสมาธมิ าแลว้ พระองคก์ เ็ ลยตอ้ งคดิ คน้ ควา้ ดว้ ย
พระองคเ์ อง หาสาเหตวุ า่ อะไรทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ความทกุ ขข์ นึ้ มา
ในขณะทอ่ี อกจากสมาธิ พระองคก์ ท็ รงเหน็ วา่ กค็ อื ความอยาก
90
นเ่ี อง เวลาทอี่ ยู่ในสมาธิ ความอยากก็ไมม่ ี แตพ่ อออกจาก
สมาธมิ า พอเหน็ รปู เสยี ง กลน่ิ รส กอ็ ยากได้ อยากเสพขนึ้ มา
ทนั ทีพอเกดิ ความอยากขนึ้ มากเ็ กดิ ความหงดุ หงดิ รำ� คาญใจ
เกดิ ความไมส่ บายใจขนึ้ มาทันที พระองค์ก็เลยทรงคน้ พบ
วา่ ความทกุ ขใ์ จนเ้ี กดิ จากความอยาก อยากเสพรปู เสยี ง
กลนิ่ รส หรอื อยากมอี ยากเปน็ หรอื อยากไมม่ อี ยากไมเ่ ปน็
หรอื ในทางการปฏบิ ตั ทิ ข่ี นั้ สงู ความอยากมกี ค็ อื ความอยาก
มีความสุขจากรูปฌาน ความอยากไม่มีก็คือความอยาก
ไมเ่ สยี ความสขุ จากสงิ่ ทง้ั หลายทงั้ ปวง อยากมคี วามสขุ จาก
อรูปฌาน
หลังจากได้ทรงพิจารณาแล้วก็หาวิธีท�ำยังไงถึงจะ
หยดุ ความอยากเหลา่ นไี้ ด้ กท็ รงเหน็ วา่ ตอ้ งเหน็ วา่ มนั เปน็
ไตรลกั ษณน์ น่ั เองเหน็ วา่ รปู เสยี งกลนิ่ รสนเี้ ปน็ ไตรลกั ษณ์
เหน็ วา่ รูปฌาน อรปู ฌาน น้ีเป็นไตรลกั ษณ์ เปน็ ความสุข
ชวั่ คราวเปน็ ความสขุ ทม่ี วี นั สนิ้ สดุ มเี กดิ แลว้ มดี บั ถา้ ตราบใด
ยังไม่เห็นความจริงอันน้ีอยู่ ก็ยังมีความอยากที่จะเสพ
กามอยู่ ยังอยากจะเสพรูป เสยี ง กลิน่ รส ยงั อยากจะเสพ
รปู ฌานอรปู ฌานอยู่แตถ่ า้ มปี ญั ญาสอนใจใหเ้ หน็ วา่ กามคณุ
91
ทงั้ ๕ คือรูป เสียง กล่นิ รส น้ีเปน็ อนิจจัง ไมเ่ ทย่ี ง บางทกี ็
เสพได้ บางทีก็ไม่ได้เสพ เวลาไม่ได้เสพก็จะทุกข์ข้ึนมา
รปู ฌานกบั อรปู ฌานกเ็ หมอื นกนั บางทมี เี วลากเ็ ขา้ รปู ฌาน
เขา้ อรปู ฌานได้ บางเวลากไ็ มว่ า่ งเขา้ ไมม่ เี วลา เพราะยงั ตอ้ ง
ออกมาดูแลร่างกายอยู่ ยังต้องเล้ียงร่างกาย ต้องท�ำอะไร
เกี่ยวกับร่างกายอยู่ เวลาน้ันก็เข้าไปในรูปฌาน อรูปฌาน
ไมไ่ ด้ เวลาน้นั กจ็ ะเกิดความทุกขข์ นึ้ มา เพราะความอยาก
เขา้ ไปในรปู ฌานไมส่ ามารถเขา้ ไปได้ ความอยากเข้าไปใน
อรปู ฌานกเ็ ข้าไปไมไ่ ด้ ดงั น้นั ถา้ ไม่อยากจะทุกข์ ก็ตอ้ งตัด
ความอยากหยดุ ความอยากดว้ ยการเหน็ วา่ สง่ิ ตา่ งๆทง้ั หลาย
ในโลกนี้เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา คือเป็นสิ่งที่เรา
ไม่สามารถสั่งให้มันให้ความสุขกับเราได้ตลอดเวลา
ไมส่ ามารถสง่ั ใหร้ ูป เสยี ง กล่นิ รสต่างๆ ให้ความสขุ กบั เรา
ไดต้ ลอดเวลา เพราะมันเปลี่ยนไปเปล่ยี นมา ไมส่ ามารถสั่ง
ให้รูปฌานและอรูปฌานให้ความสุขกับเราได้ตลอดเวลา
เพราะมันกเ็ ปล่ียนไปเปลี่ยนมาตามเหตุการณ์ต่างๆ แตถ่ ้า
เราไมม่ คี วามอยากในทง้ั ๓ สง่ิ นแี้ ลว้ ความทกุ ขก์ จ็ ะหายไป
แล้วพอความทุกข์หายไป ความสงบก็จะเกิดข้ึนมาในใจ
92
แล้วก็จะเกิดความสุขขึ้นมาอีกแบบหน่ึง ความสุขที่เกิด
จากการระงบั ความอยากต่างๆ อนั นแี้ หละเป็นความสขุ
ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เรยี กวา่ เปน็ “นพิ พาน” ไมใ่ ชเ่ ปน็ ความสขุ
ของรูปฌาน ไม่ใช่เป็นความสุขของอรูปฌาน ไม่ใช่เป็น
ความสขุ ของกามคุณทง้ั ๕ เพราะกามคุณทัง้ ๕ รปู ฌาน
อรูปฌานนี้ ล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งนั้น ล้วนเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา แต่การได้ความสุขจากการไม่ท�ำตาม
ความอยาก ดว้ ยการฝืน ดว้ ยการหยุดความอยากน่ี พอฝนื
ความอยากได้ ชนะความอยากได้ ความอยากมนั จะหยดุ ไป
ถ้าเราสู้กบั มันไป ตอนตน้ มนั ก็จะพยายามดันเราอย่เู ร่อื ยๆ
ดนั ใหเ้ ราไปทำ� สิ่งตา่ งๆ แต่ถ้าเรามกี ำ� ลงั มากกว่า มปี ัญญา
คอยเตือนใจว่า อย่าไปท�ำนะ ท�ำแล้วเด๋ียวก็จะต้องท�ำ
อยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่ท�ำเดี๋ยวมันก็จะหายไปเอง พอเราไม่ไป
ท�ำตามมัน ในท่ีสุดพอมันรู้ว่าเราไม่ท�ำจริงๆ มันก็จะหยุด
แลว้ มนั กจ็ ะไมม่ ารบกวนใจเราอกี ตอ่ ไป ใจทไี่ มม่ คี วามอยาก
ก็จะเปน็ ใจท่นี ิง่ ทส่ี งบตลอดเวลา ที่มีความสุขตลอดเวลา
อันนี้แหละเป็นวิธีแก้ปัญหาของพระพุทธเจ้าท่ี
ถกู ทาง เพราะเปน็ วธิ ที ก่ี ำ� จดั ความทกุ ขต์ า่ งๆ ไดอ้ ยา่ งถาวร
93
ถ้าไม่มีความอยากทั้ง ๓ น้ีแล้ว กามตัณหา ภวตัณหา
วิภวตัณหาแล้ว ในใจน้ีจะไม่มีอะไรมาสร้างความทุกข์
ใหก้ ับใจอกี ต่อไป แล้วก็ไมม่ อี ะไรท่ีจะดึงใจใหไ้ ปเกาะติด
กบั รา่ งกายอกี ตอ่ ไป เพราะใจไมต่ อ้ งใชร้ า่ งกาย เพราะใจ
เห็นโทษของความอยากท่ีจะเสพรูป เสียง กลิ่น รส ก็จะ
ไม่เสพรปู เสียง กลิน่ รส พอไมเ่ สพกไ็ ม่จ�ำเป็นที่จะต้องมี
ร่างกาย เหมือนคนท่ีเห็นโทษของการมีโทรศัพท์มือถือว่า
มันยุ่งยากวุ่นวาย ก็เลิกใช้มันเสีย พอเลิกใช้แล้วก็สบาย
ไม่ต้องมากังวลกับเร่ืองโทรศัพท์ ไม่ต้องคอยมาคอย
ชารจ์ แบต ต้องคอยรกั ษามัน ตอ้ งคอยเปลยี่ นรุน่ อยู่เรื่อยๆ
เดย๋ี วกม็ รี นุ่ ใหมอ่ อกมา เดยี๋ วกม็ กี ารพฒั นาระบบ ตอ้ งคอย
ตดิ ตามอยเู่ รอื่ ยๆ เหน็ วา่ มนั เปน็ เรอ่ื งรำ� คาญใจ กไ็ มไ่ ปยงุ่ กบั
มนั ดกี วา่ เลกิ ใช้โทรศัพท์ พอเลิกใช้แลว้ กส็ บาย ไม่ตอ้ งไป
ทุกข์กับโทรศพั ท์มอื ถืออีกตอ่ ไป
นี่แหละคือเร่ืองของธรรมะที่พระพุทธเจ้า คือ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่ีเป็นสรณะ ที่เป็น
พระรัตนตรัย เป็นผู้ได้ศึกษาได้ปฏิบัติกันมา จนท�ำให้
พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกน้ีได้เข้าถึงความสุข
94
ที่แท้จริง ความสุขที่ถาวร คือความสุขของพระนิพพาน
ซ่ึงมีคุณค่าราคาย่ิงกว่ามากกว่าราคาของเพชรนิลจินดา
ต่างๆ ความสขุ ท่ไี ดจ้ ากการมีเพชรนิลจนิ ดานเ้ี ป็นความสุข
ที่ยังคลุกเคล้าไปด้วยความทุกข์ แต่ความสุขที่ได้จาก
พระนพิ พานน้ี เปน็ ความสขุ ทปี่ ราศจากความทกุ ข์ จงึ ถอื วา่
เปน็ สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ยง่ิ กวา่ สงิ่ ตา่ งๆ ทมี่ อี ยใู่ นโลกนี้ เราถงึ เรยี ก
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ วา่ เปน็ พระรตั นะ เปน็ อญั มณี
อนั ลำ�้ คา่ เพราะทา่ นเปน็ ผทู้ จ่ี ะพาใหเ้ ราไปไดพ้ บกบั ความสขุ
อันล�้ำค่านี้เอง ก็คือความสุขของพระนิพพาน ถ้าพวกเรา
ต้องการความสุขของพระนิพพาน พวกเราก็ต้องน้อมเอา
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้ามาสู่ใจ น้อมเอาวธิ ขี อง
พระพทุ ธเจา้ และพระสงฆส์ าวกปฏบิ ตั ธิ รรมเขา้ มาสใู่ จของเรา
ปฏิบตั ิตามพระพทุ ธเจา้ พระสงฆท์ ่านปฏบิ ตั ิอย่างไร เราก็
ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนนั้ พระธรรมคำ� สอน สอนใหเ้ ราปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร
เราก็ปฏบิ ตั ิอย่างน้นั กนั แล้วเราท�ำไดแ้ ล้ว เดยี๋ วเราก็จะได้
อัญมณอี ันลำ้� ค่าเขา้ มาสู่ใจของพวกเราต่อไป
นค่ี อื เรอื่ งราวทเ่ี อามาฝากทา่ นในวนั น้ีกค็ ดิ วา่ พอสมควร
แก่เวลา จะขออนุโมทนาใหพ้ ร
95
ค�ำถาม-คำ� ตอบ จากธรรมะหนา้ กุฏิ
เม่อื วนั ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๓
ถาม : หลวงพอ่ เจา้ คะ ตอนนก้ี ส็ บื เนอื่ งมาจากอาทติ ยท์ แ่ี ลว้
คือว่าบางทีก็เพ่งผมตอนท่ีฝันเป็นผมเจ้าคะ อุคคหนิมิต
แตว่ า่ พอเพ่งผมไปแลว้ อยูไ่ ดไ้ มน่ านเจ้าคะ กเ็ ลยเพง่ ผมกบั
ลมไปพรอ้ มกัน มันจะตีกนั ไหมเจา้ คะ
พระอาจารย์ : กถ็ ้าเราทำ� ให้ใจเราน่ิงได้มนั กไ็ มต่ กี ัน
ถาม : เพราะถา้ เพง่ อยา่ งเดยี วปบุ๊ มนั เหมอื นกบั มนั ไมแ่ นน่
เจ้าคะ ก็เลยดูลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกับเพ่งด้วยเลย
เจ้าคะ
พระอาจารย์ : ได้ ได้ ถา้ มนั ไมข่ ัดกันกไ็ ด้
ถาม : และถา้ บางครงั้ ในวนั ถดั ไป เราไลว่ งจรผมแลว้ กใ็ หเ้ หน็
เปน็ สงิ่ ปฏกิ ลู แลว้ บางทกี ล็ งเปน็ ธาตุ ๔ แตว่ า่ กย็ งั ไมช่ ดั เจน
เจ้าคะ
พระอาจารย์ : ก็ตอ้ งทำ� ไปเร่ือยๆ พจิ ารณาไปเรื่อยๆ
96
ถาม:คอื ทำ� ไปเรอ่ื ยๆทำ� ซำ้� ๆหลายๆรอ้ ยรอบพนั รอบใชไ่ หม
เจ้าคะ
พระอาจารย์ : มนั กเ็ ปน็ ธาตดุ นิ นเ่ี องผม เดย๋ี วตกทงิ้ ไปในดนิ
เดยี๋ วมนั ก็ย่อยสลายกลายไปเปน็ ดนิ ไป ผมน้ไี มม่ ีตัวตน ขน
ไม่มตี วั ตน เลบ็ ไมม่ ตี ัวตน ฟนั ไมม่ ีตวั ตน ทง้ั ร่างกาย ๓๒ นี้
ไมม่ ตี วั ตนเลยเปน็ ธาตุ๔อยา่ งทเี่ คยไดเ้ ทศนเ์ มอื่ กอ่ น ดนิ นำ้�
ลม ไฟ สว่ นทเ่ี ปน็ ของแขง็ กเ็ ปน็ ธาตดุ นิ สว่ นทเี่ ปน็ ของเหลว
กเ็ ปน็ ธาตนุ ำ้� สว่ นทเ่ี ปน็ ความรอ้ นกเ็ ปน็ ธาตไุ ฟ สว่ นทเ่ี ปน็ ลม
กเ็ ปน็ ธาตลุ ม เนยี่ ทเ่ี ขา้ มาอยใู่ นรา่ งกายน้ี ไมม่ ตี วั ตน คน้ ไปดู
ในรา่ งกายในอาการ ๓๒ นี้ ไมม่ สี ว่ นไหนทว่ี า่ เปน็ เราเปน็ ของ
เราเลย เราไปตมู่ นั เอง เหมอื นคนโบราณทไ่ี ปตวู่ า่ โลกนแี้ บน
แต่มันไม่แบนหรอก มันกลม เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็น
มนั ใหญ่มากก็เลยคดิ วา่ มนั แบน ร่างกายนี้เราอย่กู ับมันมา
ตัง้ แตเ่ กดิ กเ็ ลยไปตูว่ า่ มันเปน็ เราเทา่ นน้ั เอง แตค่ วามจริง
เรามาเกาะรา่ งกายน้ี มพี อ่ แมเ่ ปน็ คนสรา้ งขน้ึ มา แลว้ เราคอื
ธาตุรกู้ ม็ าเกาะมัน แล้วกม็ าครอบครองมัน มาใช้มนั พาเรา
ไปไหนมาไหนอกี ที พออยกู่ บั มนั กเ็ ลยเปน็ เหมอื นแฝดสยาม
มนั กเ็ ลยคดิ วา่ เปน็ ตวั เดยี วกนั เราตอ้ งใชป้ ญั ญามาคอยเตอื น
97
มาคอยแยกแยะว่า เราเป็นผู้พิจารณาร่างกายนี้ ไม่ใช่
รา่ งกาย รา่ งกายนเี้ ปน็ เพยี งดนิ นำ�้ ลม ไฟ เปน็ อาการ ๓๒
โดยทวี่ นั หนงึ่ กจ็ ะตอ้ งแยกจากกนั เรากบั รา่ งกายนจ้ี ะตอ้ ง
แยกจากกนั เราเปน็ ธาตรุ ู้เรากต็ อ้ งอยเู่ ปน็ ธาตรุ ไู้ ปเพยี งแต่
ตอนนีเ้ รามีโอกาสได้มาเกาะติดกบั รา่ งกาย กค็ วรจะเอา
มาใช้ในทางที่จะท�ำให้เรานี้ไม่ต้องกลับมาเกาะติดกับ
ร่างกายอกี ต่อไป ก็คือมาตัดความอยากตา่ งๆ
ถาม : กค็ ือให้เราพจิ ารณาซำ�้ ๆ ไปใหม้ ากที่สดุ แลว้ ถึงรอบ
ของมัน
พระอาจารย์ : พอถงึ รอบของมนั แลว้ มนั จะไดป้ ลอ่ ยวางได้
มนั จะไดไ้ ม่กลวั ตาย
ถาม : ออ๋ วนั หนงึ่ มนั ก็จะปล่อยวางได้
พระอาจารย์ : เฮ้ย กายมนั ไมใ่ ชเ่ รานีห่ วา่ ไปกลวั มันท�ำไม
มันเหมือนกับร่างกายของคนอื่น ร่างกายของคนอื่นเรา
ไม่ถือว่าเป็นเราใช่ไหม เวลาเขาเป็นอะไรเราไม่เดือดร้อน
ใชไ่ หม แตพ่ อรา่ งกายของเรา เราไปถอื วา่ เปน็ ของเราขน้ึ มา
พอมนั เปน็ อะไรกเ็ ดอื ดรอ้ น แตจ่ รงิ ๆ รา่ งกายของคนอนื่ กบั
98
รา่ งกายของเรามนั กเ็ หมอื นกนั เปน็ ดนิ นำ�้ ลม ไฟ เหมอื นกนั
เหมือนกับรถยนตน์ ่ะ คนเรามีรา่ งกายกค็ อื มรี ถยนตค์ นละ
คนั กัน แล้วก็ไปหลงคดิ ว่าเปน็ ของเรา เปน็ ตัวเราข้ึนมา
ถาม : แล้วพิจารณาความทุกข์ท่ีเกิดจากผมก็คือให้
จินตนาการไปก่อนใชไ่ หมคะวา่ ผมร่วง ผมอะไร
พระอาจารย์ : ใหย้ นิ ยอมรบั ตามสภาพของมนั ไง อยา่ ไปฝนื
ความจริง มันจะรว่ งก็ปลอ่ ยมันร่วงไป มนั จะหงอกก็ปล่อย
มนั หงอกไป ถ้าทำ� อะไรไดก้ ็ทำ� ไปถา้ อยากจะทำ� อยากจะ
ยอ้ มผมกย็ อ้ มไป ไมว่ า่ กนั แตย่ อ้ มบอ่ ยๆ มนั อาจจะเบอื่ กไ็ ด้
ย้อมแล้วเดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมาใหม่ แต่วันหนึ่งมันก็อาจจะ
ยอมแพว้ ่า ข้เี กียจ ปล่อยมนั ไป มันจะขาวไปหงอกไปกไ็ ด้
ดซี ะอนื่ เขาจะไดร้ วู้ า่ เราเปน็ ผสู้ งู อายุ เปน็ ผอู้ าวโุ ส บางทเี ขา
มองเหน็ เราหนา้ ยงั เปน็ เดก็ ไมใ่ หค้ วามเคารพ พอเหน็ หวั หงอก
เขาใหค้ วามเคารพเลย
ถาม : แลว้ พระโสดาบันนท่ี ่านยอ้ มผมไหมเจ้าคะ
พระอาจารย์ : ออ๋ ทา่ นไมย่ ดึ ตดิ กบั รา่ งกายไง แตถ่ า้ ทา่ นยงั
อยู่ในสังคมท่ีอาจจะต้องย้อม ท่านอาจจะตอ้ งย้อมกไ็ ด้
99