The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระอาจารย์ตั๋น ถิรจิตโต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-02-22 20:11:09

พระอาจารย์ตั๋น ถิรจิตโต

พระอาจารย์ตั๋น ถิรจิตโต

ชีวประวัติและพระธรรมเทศนา

พระถริ จิตฺโต หลวงพอ่ อคั รเดช

วดั บญุ ญาวาส อำ� เภอบอ่ ทอง จงั หวัดชลบุรี

อนสุ รณพ์ ิพธิ ภณั ฑฉ์ นั ทกรานสุ รณ์
วดั ป่าอัมพโรปัญญาวนาราม ในพระสงั ฆราชปู ถัมภ์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมพฺ รมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก

ชวี ประวัตแิ ละพระธรรมเทศนา

พระถริ จิตโฺ ต หลวงพ่ออคั รเดช

เลขมาตรฐานหนงั สอื : ๙๗๘-๖๑๖-๔๔๕-๕๕๐-๔
พมิ พ์ครั้งท่ี ๒ : ธนั วาคม ๒๕๖๐
จ�ำนวนพิมพ์ : ๕,๐๐๐ เลม่
จัดพิมพ์โดย : คณะศษิ ยานุศษิ ย์ วัดบญุ ญาวาส จังหวัดชลบุรี


สงวนลขิ สทิ ธ์ิ : ห้ามคดั ลอก ตดั ตอน เปลีย่ นแปลง แกไ้ ข ปรับปรงุ
ข้อความใดๆ ท้งั สิ้น หรือน�ำไปพมิ พจ์ ำ� หนา่ ย
หากทา่ นใดประสงค์จะพมิ พเ์ พ่อื ใหเ้ ป็นธรรมทาน
โปรดติดตอ่ ขออนญุ าตจากทางวัดบญุ ญาวาส
ต�ำบลบ่อทอง อำ� เภอบ่อทอง จงั หวดั ชลบรุ ี

พิมพท์ ่ี : บรษิ ทั ศิลปส์ ยามบรรจภุ ณั ฑแ์ ละการพิมพ์ จ�ำกัด
๖๑ ถนนเลียบคลองภาษีเจรญิ ฝ่ังเหนอื ซ.เพชรเกษม​๖๙
แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรงุ เทพมหานคร
โทรศพั ท์ ๐­-­­๒๔๔๔-๓๓๕๑-๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected] www.silpasiam.com

ค�ำปรารภ

เร่ืองการจัดท�ำหนังสือมรดกธรรมยอดโอวาทค�ำสอนของสมณะนักปราชญ์
วสิ ทุ ธเิ ทวา (พระปา่ ) จดั ทำ� ขน้ึ ๓๔ องค์ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช
๒๔๖๐-๒๕๕๔ โอวาทธรรมยอดแห่งค�ำสอนของวิสุทธิบุคคล ท่านแสดงบริสุทธิ์
สมบรู ณไ์ มว่ า่ ยคุ ใดสมยั ใด นำ� ผสู้ นใจพยายามตง้ั ใจปฏบิ ตั ติ าม ยอ่ มกา้ วลว่ งทกุ ขไ์ ปได้
สมความปรารถนา คณะปสาทะศรทั ธาเห็นควรจัดทำ� ข้ึนสงวนรกั ษาไว้ เพ่อื กุลบตุ ร
สุดท้ายภายหลังที่ พิพิธภัณฑ์ฉันทกรานุสรณ์ วัดป่าอัมพโรปัญญาวนาราม บ้าน
หนองกลางดอน ต�ำบลคลองกว่ิ อ�ำเภอบา้ นบึง จังหวดั ชลบุรี ผสู้ นใจกรณุ าเขา้ ไป
ศกึ ษาได้ตามโอกาส เวลาพอดี

ผฉู้ ลาดยึดหลักนักปราชญ์เปน็ แบบฉบับพาดำ� เนนิ ปกครองรกั ษาตน
คณะปสาทะศรทั ธา

ห้ามพิมพเ์ พือ่ จ�ำหนา่ ย สงวนลขิ สทิ ธ์ิ

สารบัญ ๑

พระถริ จติ ฺโต หลวงพอ่ อคั รเดช ๕

ชีวประวตั ิและพระธรรมเทศนา พระถิรจติ โฺ ต หลวงพ่ออคั รเดช ๓๐
ค�ำนำ� ๓๒
ชวี ประวัติ พระถิรจิตฺโต หลวงพอ่ อัครเดช ๑๒๘
- ชีวิตฆราวาส ๑๓๐
- “บนั ทกึ การปฏบิ ัตใิ นชีวติ สมณะ” ๑๓๗
- ชีวิตใต้ร่มผา้ กาสาวพัสตร ์ ๑๓๘
- ระลึกถงึ บญุ คณุ ของบิดา ๑๕๙
- สรา้ งวัดบญุ ญาวาส ๑๗๓
พระธรรมเทศนา พระถริ จติ โฺ ต หลวงพอ่ อัครเดช ๑๘๓
- มรรควถิ ี ๒๐๒
- ไมแ่ ซงซ้ายไมแ่ ซงขวา ๒๒๒
- น่ีคอื หนทาง
- ส่งิ ทเ่ี กดิ ขึน้ ได้ยาก
- รอ่ งรอยค�ำสอนของพระพทุ ธองค ์
- ก�ำลงั แห่งศีล สมาธิ ปัญญา

พระถริ จติ โฺ ต หลวงพ่ออคั รเดช

วัดบุญญาวาส อ�ำ เภอบ่อทอง จงั หวัดชลบุรี



ชวี ประวัติและพระธรรมเทศนา

พระถริ จติ โฺ ต หลวงพ่ออัครเดช

1

คำ� นำ�

มีเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเราหลายอย่าง ทั้งท่ีเป็นเรื่องภายในและ
ภายนอก จากสง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นที้ ำ� ใหเ้ ราพจิ ารณาเหน็ ประโยชนข์ องการเขยี นบนั ทกึ ทง้ั ๆ ท่ี
เมอ่ื กอ่ นเราเคยตกลงใจแลว้ วา่ จะไมม่ กี ารเขยี นบนั ทกึ เรอ่ื งเกยี่ วกบั ตวั เราเองเดด็ ขาด
แตพ่ อพรรษา ๓ เราจ�ำพรรษาที่ อ.บา้ นหมี่ จ.ลพบุรี ท่สี �ำนกั วปิ สั สนาชวนพว่ งพุทธ
เรารู้สึกวา่ มีจติ เมตตาต่อสตั วท์ งั้ หลายมากอยา่ งบอกไมถ่ ูก

กอ่ นออกพรรษาในปีนนั้ นอ้ งชายมาเยี่ยมและโยมพ่อฝากหนงั สือธรรมะมาให้
ด้วยความเป็นห่วงลูกกลัวว่าจะไม่มีความรู้ทางธรรม อยากให้เราได้รู้ในสิ่งที่ท่าน
อ่านพบ ส่วนเรากลับคิดว่าเราปฏิบัติมาน้ีก็พอจะมีความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็อยากจะแนะน�ำโยมพ่อบ้างเท่าท่ีจะท�ำได้ ท่านไม่รู้หรอกว่าการศึกษาความรู้จาก
หนังสือน้ัน แม้จะศึกษาหนังสือทุกเล่มในโลกน้ี เราคิดว่าคงไม่มีวันจบสิ้นแน่นอน
การศึกษาเพอ่ื ความพ้นทุกขน์ ั้น ถา้ ไม่ค้นควา้ ลงในกายกบั จติ แล้ว เห็นทีจะไม่จบสน้ิ
การศึกษาหนังสือก็เป็นเพียงแตแ่ นวทางเทา่ นน้ั เปน็ แตเ่ พียงความจำ� ทีน่ ำ� มาอวดอา้ ง
เท่าน้นั เองวา่ “เรารมู้ าก” เปน็ การอวดกเิ ลสกนั เปลา่ ๆ

การศึกษาจากหนังสือมิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยทีเดียวก็หาไม่ บางครั้งก็เป็น
การอ่านให้ได้รับความคิดความเห็นท่ีดีได้ บางครั้งอ่านแล้วท�ำให้เกิดศรัทธาในการ
ประพฤติปฏิบัติก็เป็นได้ แต่การอ่านหนังสือต้องรู้จักอ่าน อ่านแล้วอย่าติดต�ำรา
พระพทุ ธองคท์ า่ นตรสั วา่ “อยา่ เชอื่ ตามตำ� รา” ทา่ นใหพ้ จิ ารณาหาเหตหุ าผลจงึ คอ่ ยเชอ่ื
ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ ทำ� ใหเ้ รารสู้ กึ วา่ โยมพอ่ ญาตพิ น่ี อ้ ง และคนอน่ื ๆ ทร่ี จู้ กั เรา เขาเคยเหน็ เรา
ตงั้ แตเ่ ด็กเลก็ ๆ จนเติบโตขน้ึ มานี้ เขาย่อมคดิ อยู่เสมอวา่ เราเปน็ ลกู เราเป็นหลาน
เพราะว่าทกุ คนย่อมมีอุปาทานความยดึ มัน่ เป็นธรรมดา

2

อีกสาเหตุหน่ึงท่ีท�ำให้เราเขียนบันทึกนี้ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อ
นอ้ งชายเรา เพราะเมอ่ื ไดส้ นทนากนั เรอ่ื งการปฏบิ ตั ิ เรารสู้ กึ วา่ เขาปฏบิ ตั ไิ ดด้ พี อสมควร
เพราะเหตนุ เี้ ราจึงคิดว่าถา้ บนั ทกึ นไ้ี ม่มปี ระโยชนส์ ำ� หรบั คนอืน่ ๆ แล้ว ถา้ จะมี
ประโยชนต์ อ่ บดิ าเราหรอื ญาตพิ น่ี อ้ งเรา กอ็ าจจะไมเ่ ปน็ การเสยี เวลาไปโดยเปลา่ ประโยชน์
หรอื ถ้าจะมีประโยชนส์ ำ� หรับคนอื่นๆ บา้ ง เราก็ยนิ ดี การที่ผูใ้ ดได้ประโยชน์จากการ
อ่านบนั ทึกนแ้ี ม้เพยี งเล็กนอ้ ยก็ยงั ถอื ว่าคมุ้ คา่ ในการเขียนอย่ทู ีเดียว
การท่ีจะเขียนบันทึกต่อไปน้ี ถ้าไม่กล่าวถึงตอนมีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาสบ้าง
กอ็ าจจะไมร่ ู้เรื่อง จงึ ขอกล่าวถงึ บ้างในบางส่วนของชวี ติ ทม่ี ีสว่ นเก่ียวพนั กนั
บนั ทกึ นี้ เขยี นเมอื่ วนั ศกุ รท์ ่ี ๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๓ ทสี่ ำ� นกั สงฆจ์ ติ ตภาวนาราม
สาขาวดั หนองปา่ พง ล�ำลูกกา จ.ปทมุ ธานี เขยี นในขณะที่เรามาอย่เู ฝา้ วัด ภาวนาอยู่
รูปเดียว สบายพอดี

“ถิรจติ โฺ ต ภิกขุ”

3



ชวี ประวตั ิ

พระถริ จติ โฺ ต หลวงพ่ออัครเดช

ชีวติ ฆราวาส

เราเกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๑๑ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ณ บา้ นเลขท่ี ๕๐๖ โรงงานทา่ หลวง
ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา พยาบาลผดุงครรภ์ สมนกึ ศรสี ขุ
ทำ� คลอด
บิดาชอ่ื นายเทยี บ ถริ วฒั น์ มารดาช่อื นางจ�ำเนยี รพนั ธ์ ถริ วัฒน์ (เฟอ่ื งทอง)
เราเป็นบตุ รคนท่ี ๓ มีพีน่ อ้ งเปน็ ชายทงั้ หมดรวม ๕ คน เสยี ชวี ติ ๑ คน
การศึกษา เศรษฐศาสตร์บณั ทติ จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โยมพอ่ และโยมแมเ่ ปน็ ชาวอบุ ลราชธานี โยมพอ่ เลา่ วา่ กอ่ นทโ่ี ยมแมจ่ ะตงั้ ทอ้ งเรา
โยมแม่ฝันว่าเห็นดวงดาวตกจากทอ้ งฟา้ ลงมาทลี่ านบา้ น โยมแม่กเ็ ลยไปหยิบขึน้ มา
แลว้ กใ็ สผ่ า้ ขาว กลายเปน็ เพชรทสี่ วา่ งไสวมาก กเ็ ลยนำ� ไปไวท้ ี่ห้ิงบชู า เกดิ ปตี ิใจมาก
ตน่ื ขนึ้ มาตอนเชา้ หลังจากนั้นไม่นานโยมแมก่ ็ตงั้ ครรภ์

5

โยมพอ่ ทำ� งานบรษิ ทั เหลก็ สยาม จำ� กดั ในเครอื บรษิ ทั ปนู ซเิ มนตไ์ ทย ทท่ี า่ ลาน
จ.อยุธยา ส่วนโยมแม่ท�ำงานธนาคารออมสิน สาขาอุบลราชธานี ต่อมาเม่ือมีบุตร
โยมแมไ่ ดล้ าออกจากงานเปน็ แมบ่ า้ นดแู ลลกู ๆ โดยตดิ ตามโยมพอ่ มาอยทู่ ี่ ต.ทา่ หลวง
อ.ทา่ เรือ จ.พระนครศรีอยธุ ยา เม่อื คลอดบุตรคนท่ี ๕ โยมแมป่ ่วยเปน็ ไข้มาลาเรยี
มีไข้ไทฟอยด์แทรก มารกั ษาตัวที่ ร.พ.ศิรริ าช และเสยี ชวี ิตลงเมอื่ วันท่ี ๑๓ เม.ย.
พ.ศ. ๒๕๐๑ อายุ ๓๓ ปี หลงั จากโยมแมเ่ สียชีวิต แพทย์ตรวจพบโรคไทฟอยด์
จากลกู ทง้ั ๕ คน บตุ รชายคนที่ ๕ อายุ ๓ เดอื น จงึ เสยี ชวี ติ ตามไป แพทยส์ งั่ เผาผา้ หม่
หมอน ทนี่ อน เสอ้ื ผา้ ทงั้ หมด ตอ้ งเปลย่ี นขา้ วของเครอ่ื งใชใ้ หมห่ มด ผา้ เชด็ ตวั ของใช้
ทกุ อยา่ งต้องซกั ดว้ ยนำ้� รอ้ น ลูกทั้ง ๔ คนท่ีเหลือ นอนปว่ ยเรยี งกัน นอนไมไ่ ดส้ ติ
เหมือนคนตาย หมอฉดี ยาใหท้ ุกวัน ๓-๔ วัน จึงฟ้นื กระดกุ กระดกิ ได้ หน่งึ เดือน
ผ่านไปยังนอนอุจจาระปัสสาวะอยู่กับท่ี สองเดือนจึงลุกนั่งได้พูดได้ รักษาตัวอยู่
๓ เดอื น ลกู ๆ ทงั้ ๔ จงึ รอดชีวิตมาได้ ระหว่างเด็กๆ ป่วยนนั้ มีคณุ ยายผาย คณุ ป้า
จติ วเิ ชยี ร คณุ นา้ สรุ ณี ชว่ ยกนั เปน็ พยาบาล อดหลบั อดนอนตลอด ๓ เดอื น เดก็ ทง้ั ๔
ป่วยไม่ได้สติ นอนอุจจาระไหลเหม็นคลุ้งไปทั่วบ้าน คุณน้าสุรณีต้องอุ้มคนน้ันที
คนน้ีที อุ้มอาบน้�ำอุ่น ซักผ้าอ้อม อดหลับอดนอน กางมุ้งเฝ้าหลานท้ัง ๔ คน
คณุ ยายผายเล่าว่า บางครง้ั คุณน้าสุรณเี อาผ้าไปซกั ไปตม้ ในครวั ทำ� ไปนงั่ ร้องไห้ไป
เปน็ ทกุ ขท์ พ่ี ส่ี าวตาย และหลานอกี ๔ คน นอนไมไ่ ดส้ ตเิ หมอื นคนตาย ตอนนนั้ เรามี
อายุได้เพียง ๒ ปี ๑๐ เดือน เท่าน้ัน จากนั้นโยมพ่อและญาตๆิ จงึ เป็นผ้ดู แู ลเด็ก
ทงั้ ๔ คน ตลอดมา ตอนนนั้ ทกุ เยน็ วนั ศกุ ร์ โยมพอ่ ตอ้ งนงั่ รถไฟดว่ นมาทอ่ี บุ ลราชธานี
เพื่อเยี่ยมลูกชายทั้ง ๔ ท่ียังป่วยอยู่ พอเย็นวันอาทิตย์ก็น่ังรถไฟกลับมาที่ท่าลาน
เพอ่ื ทำ� งานในเชา้ วนั รงุ่ ขน้ึ เปน็ เชน่ นต้ี ลอดจนถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จงึ รบั เดก็ ๆ ทงั้ ๔ กลบั มา
อย่ดู ้วยกนั ท่ที ่าลาน มพี ีเ่ ลีย้ ง ๒ คน และมีคณุ ยายผายคอยดูแล

อายุ ๔ ปี โยมพอ่ กพ็ าลกู ๆ มาเรยี นอนบุ าลทโี่ รงเรยี นแสงโกสทิ ธน์ิ สุ รณ์ ต.ทา่ หลวง
อ.ทา่ เรอื จ.พระนครศรอี ยธุ ยา เรยี นจบอนบุ าล โยมพอ่ จงึ ตดั สนิ ใจพาลกู ๆ ไปอยปู่ ระจำ�
ท่ีโรงเรยี นอำ� นวยวิทยา บางกระบือ เขตดุสิต กรงุ เทพฯ ในระหวา่ งทอี่ ยปู่ ระจำ� ท่ี
โรงเรยี นอำ� นวยวทิ ยา โยมพอ่ ไดซ้ อ้ื บา้ นอยใู่ กลๆ้ โรงเรยี นทบี่ างกระบอื เดก็ ๆ จงึ ออก

6

จากโรงเรยี นประจำ� มาอยู่บ้านทโี่ ยมพอ่ ซ้อื ไว้ โดยมีคณุ อาเทียม-อาบวั รตั น์ ถิรวัฒน์
เปน็ ผดู้ แู ลหลานๆ ทั้ง ๔ คน ส่วนคุณพอ่ จะกลบั บ้านทุกเย็นวันศกุ ร์ เยน็ วันอาทติ ย์
จึงกลับไปทท่ี ำ� งาน เปน็ เชน่ นป้ี ระจ�ำ

ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ลกู ๆ ทงั้ ๔ คน ยา้ ยไปเรยี นทโี่ รงเรยี นเซนตจ์ อหน์ ลาดพรา้ ว
เรียนอย่ทู ่นี ี่รวม ๑๒ ปี จนจบพาณิชยการเซนต์จอห์นรนุ่ แรกของโรงเรยี น

เนื่องจากโยมพ่อเป็นศิษย์หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล (ลูกศิษย์อาวุโสของ
หลวงป่มู ัน่ ภูริทตโฺ ต) จึงอบรมสัง่ สอนบตุ รใหอ้ ยู่ในศีลในธรรมตลอดมา เราเปน็ คน
ไม่ชอบโกหก มีเมตตาต่อผู้อ่ืนเสมอ เรามีความคิดและจิตใจที่ไม่เหมือนเด็กใน
วยั เดียวกนั ส่ิงท่ีจำ� ข้ึนใจ คือตอนเด็กๆ พอ่ สอนว่า “ถา้ ไปเลน่ บา้ นเพือ่ น แมแ้ ตเ่ ขม็
เล่มเดยี วกห็ า้ มหยิบของเขามา” ตอนเปน็ เด็กชอบเอาเครอ่ื งมือช่างของพ่อมาเล่นกัน
แลว้ วางไมเ่ ปน็ ระเบยี บ พอ่ สอนวา่ “ถา้ หยบิ ของมาจากทไี่ หน ใหไ้ ปวางไวท้ เ่ี ดมิ คนท่ี
จะใชข้ องนัน้ จะไดม้ าหยิบไปใช้ได”้ นเ่ี ปน็ ส่ิงทเี่ ราจ�ำขน้ึ ใจตั้งแตเ่ ด็ก ส่งิ ท่ีเราจำ� ข้ึนใจ
อกี อยา่ งคอื ปสู่ อนวา่ “ถา้ คดิ จะเอาเปรยี บคนอนื่ ใหย้ อมเสยี เปรยี บเขาจะดกี วา่ ” นกึ ได้
ดงั น้ี เราขอกลา่ วถงึ คณุ ปเู่ ดช คณุ พอ่ เทยี บ และคณุ แมจ่ ำ� เนยี รพนั ธ์ ถริ วฒั น์ โดยถา่ ยทอด
มาจากบนั ทกึ ของคุณพ่อเทยี บเพ่ือเป็นอนสุ รณด์ ังน้ี

คณุ ปเู่ ดช ถริ วฒั น์ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๒๗ เปน็ ชาวอบุ ลราชธานี
สมรสกับคุณย่าผาย ธานี มีบุตร ๕ คน วัยเด็ก เด็กชายเดชเรียนหนังสือกับ
พระเสมาธรรมรกั ขติ “สงิ ห”์ เจา้ อาวาสวดั ปทมุ มาลยั องคแ์ รก อดตี เจา้ คณะแขวงอตุ รู
(แขวงอดุ ร) มณฑลอบุ ลราชธานี สมยั การปกครองยคุ เกา่ การเรยี นสมยั นนั้ เรยี นจาก
หนังสือมูลบทบรรพกิจ หัดอ่านและเขียนลงในใบลาน บวชเรียนได้ ๔ พรรษา
ที่วัดปทุมมาลัย รับราชการในแผนกอัยการมณฑลอุบลราชธานี เมื่ออายุ ๒๕ ปี
พ.ศ. ๒๔๕๒ เงนิ เดือน ๓๐ บาท เปน็ เลขานุการพระยาอรรถวริ ัชวาทเศรณี (ปล่ัง
จนิ ตกานนท์) ท�ำงานดี ไมม่ ีความบกพร่องทั้งราชการและงานสว่ นตัว จงึ เป็นทน่ี ิยม
รักใคร่ของข้าราชการในศาลยุติธรรมทุกๆ คน ลาออกจากราชการเนื่องจากมีโรค
ประจ�ำตัวคือปวดท้องบ่อยๆ เม่ือลาออกจากราชการ จึงท�ำอาชีพรับขนส่งสินค้าไป

7

ต่างอำ� เภอโดยทางเกวียน เช่น ไปอำ� เภอเข่อื งใน อำ� เภอม่วงสามสบิ โดยพาบตุ รชาย
เดก็ ชายเทยี บ ถริ วัฒน์ ขณะน้นั อายุ ๘-๑๒ ปี ไปด้วย เมื่อรวบรวมเงนิ ไดม้ ากพอ
ปเู่ ดช ถริ วฒั น์ จงึ ซอื้ ทน่ี า ๘๐ ไร่ ราคา ๔๐๐ บาท (ปจั จบุ นั คอื บรเิ วณตลาดเทศบาล ๖,
ปทมุ รตั น,์ โรงเรียนนารนี ุกูล) และฝกึ สอนเดก็ ชายเทยี บใหร้ ูจ้ กั ท�ำนา ทำ� ไร่ ฝกึ ลูก
ใหข้ ยนั อดทน ทำ� ไร่ ทำ� นาและคา้ ขายเปน็ ลกู ๆ ลว้ นผา่ นความลำ� บาก อดทน ในการ
ท�ำมาหากินทุกๆ ดา้ น โดยสอนลูกๆ ว่า ความขยนั อดทนเม่อื เดก็ โตขึ้นจะสบายใน
ภายหลงั

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ บรจิ าคทีด่ ิน ๓๗ ไรเ่ ศษ ใหก้ ระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพือ่ สรา้ ง
โรงเรียนสตรีประจ�ำจังหวัด “โรงเรียนนารีนุกูล” ตลอดชีวิตปู่เดชได้สร้างกุศลไว้
มากมาย รวมถงึ การทำ� นบุ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนา ปู่เดช ถิรวฒั น์ ได้รับพระราชทาน
เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณจ์ ตั รุ ถาภรณช์ า้ งเผอื ก ชน้ั ท่ี ๔ ชอ่ื จตั รถุ าภรณ์ ปเู่ ดช ถริ วฒั น์
เสยี ชวี ติ เมอ่ื อายุ ๙๒ ปี เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ในขณะนอนพนมมอื ฟงั สวดโพชฌงค์ ๗

คติธรรมที่ปเู่ ดช ถิรวัฒน์ สอนบุตรหลานคอื

๑. ถา้ คิดจะเอาเปรยี บคนอนื่ ใหย้ อมเสียเปรยี บเขาดกี ว่า

๒. ถา้ ใครมายกมือไหว้ขอเงนิ จะต้องให้ไมม่ ากก็นอ้ ย

๓. ในการดำ� รงชีวติ และการทำ� งาน ให้ยึดถือคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ให้ม่ันคง
การด�ำรงชีวิตจะเปน็ ไปดว้ ยดตี ลอด

๔. ถ้าอยากเป็นเจ้าคนนายคน ตอ้ งท�ำตนให้เปน็ ตัวอยา่ งแกค่ นอนื่ ท้ังการงาน
และความประพฤติ

ส่วนโยมพ่อ นายเทียบ ถริ วัฒน์ เกิดวันท่ี ๒๙ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๖๖ เรยี น
จบมัธยม ๖ จากโรงเรยี นเบญ็ จะมะมหาราช ตอนเรยี นมธั ยม ๔-๕-๖ ได้รับการ
ยกเวน้ คา่ เลา่ เรยี น ม.๔ ไดร้ บั เหรยี ญหมน่ั เรยี น จารกึ ชอ่ื นามสกลุ และใบเชดิ ชเู กยี รติ
จากกระทรวงศึกษาธิการ ม.๕ ได้เหรียญเงนิ ม.๖ ไดเ้ หรียญทองคำ�

8

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ สอบเขา้ ศกึ ษาตอ่ อาชวี ะชน้ั สงู ชา่ งกลปทมุ วนั ผทู้ สี่ อบไดค้ ะแนน
๑-๑๐ จะได้รับทุนเรียนจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นายเทียบ
ถริ วฒั น์ เปน็ ผหู้ นง่ึ ทไ่ี ดร้ บั ทนุ นี้ ไดท้ นุ เรยี นจนจบปที ี่ ๓ ระหวา่ งเรยี นทช่ี า่ งกลปทมุ วนั
นายเดช ถริ วฒั น์ ผพู้ อ่ ไดน้ ำ� บตุ รชายไปฝากทา่ นเจา้ คณุ พระเทพเวที ป.๙ รองเจา้ อาวาส
วัดปทุมวนาราม ท่านเจ้าคุณได้กวดขันให้สวดมนต์ น่ังสมาธิ จึงมีจิตน้อมน�ำใน
พระธรรมคำ� สงั่ สอนตงั้ แตน่ ้ันมา

ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เมอ่ื จบอาชีวะ ได้สอบเทยี บปรญิ ญาวิศวกรรมอุตสาหการ
จึงสมคั รเขา้ ทำ� งานที่โรงงานฟอกหนงั ท่ี ๑๑ คลองเตย สงั กดั กรมพลาธกิ ารทหารบก
ต�ำแหน่งหัวหน้าควบคุมการติดต้ังเครอื่ งจกั ร ลาออกเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๐

ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ เขา้ ทำ� งานเปน็ หวั หนา้ หนว่ ยซอ่ มยานยนตพ์ เิ ศษ กรมการขนสง่
ทหารบก ท่ีทำ� งานอย่ใู นกรมช่างแสงทหารบก สะพานแดง บางซ่อื

ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ไดร้ บั คำ� สงั่ ไปซอ่ มรถลากปนื ป.ต.อ. ในกรมปอ้ งกนั ตอ่ สอู้ ากาศยาน
๒๕ คัน ได้ท�ำเป็นผลส�ำเร็จ ได้รับเล่ือนข้ันและเงินเดือนรวม ๕ ข้ันในปีเดียว
และได้รับการเปลี่ยนจากข้าราชการพลเรือนชั้นตรีเป็นนายร้อยตรีเป็นคนแรกของ
กองทัพบก

ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เพอื่ นมาตดิ ตอ่ ใหไ้ ปทำ� งานโรงงานปนู ซเี มนตท์ า่ หลวง อ.ทา่ เรอื
จ.พระนครศรอี ยุธยา จงึ ได้ไปท�ำงานทบี่ ริษทั เหล็กสยาม จ�ำกดั ต้ังแตน่ นั้ มา

ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ สมรสกับนางสาวจำ� เนียรพันธ์ เฟือ่ งทอง มบี ตุ รด้วยกันเปน็
ชาย ๕ คน บตุ รคนเลก็ ถงึ แกก่ รรมเมอื่ ยงั เดก็ นางจำ� เนยี รพนั ธ์ ถริ วฒั น์ ถงึ แกก่ รรม
ด้วยโรคมาลาเรยี และโรคไขร้ ากสาดน้อย (ไข้ไทฟอยด)์ เม่อื วันท่ี ๑๓ เมษายน
๒๕๐๑ ทโี่ รงพยาบาลศิริราช

ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ บรษิ ทั ปนู ซเี มนตไ์ ทย จ�ำกัด โรงงานทา่ หลวง ได้สง่ ไปศึกษา
วิชาโลหะวิทยาและวิชาหล่อหลอมโลหะ (METALLURGY & FOUNDRY)

9

ในยโุ รป ๖ ประเทศ เพอ่ื สรา้ งโรงงานอตุ สาหกรรมหลอ่ เหลก็ รปู พรรณขน้ึ ใหมท่ โ่ี รงงาน
ทา่ หลวง อยธุ ยา ศกึ ษาเรยี นรกู้ ารหลอ่ ชนิ้ สว่ นอปุ กรณร์ ถยนตแ์ บบตา่ งๆ ดว้ ยแบบหลอ่
เปน็ ทรายผสมนำ�้ มนั ลนิ สดิ linseed เปน็ นำ�้ มนั บบี จากเมลด็ ฝา้ ย ศกึ ษาทบ่ี รษิ ทั สรา้ ง
และประกอบรถยนต์เฟียต ประเทศอิตาลี

ศึกษาอยู่ตงั้ แต่ ๔ ก.ค. ๒๕๐๔ ถึง ๒๖ พ.ค. ๒๕๐๕ บรษิ ทั ฯ ให้เชค็ เดนิ ทาง
ไปใชใ้ น ๖ ประเทศ คดิ เปน็ เงนิ ไทยสามแสนบาท เรยี นจบเหลอื กลบั มาหกหมนื่ บาท
จงึ น�ำเงนิ ที่เหลือไปคืนให้ มสิ เตอร์ลาสมนุ เชน่ สมุห์บัญชีใหญ่ ในขณะนนั้ มสิ เตอร์
วี เอฟ เจสเปอรเ์ ชน่ ผจู้ ดั การใหญ่ นงั่ อยใู่ นทน่ี น้ั ดว้ ย จงึ ถามวา่ คณุ คดิ ยงั ไงจงึ เอาเงนิ
ท่เี หลอื มาคืนใหบ้ รษิ ทั

นายเทยี บตอบวา่ ...ผมคดิ วา่ บรษิ ทั ฯ เปน็ พอ่ แมผ่ ม พอ่ แมส่ ง่ ลกู ไปเรยี น ใหเ้ งนิ
ไปใชด้ ้วย เมือ่ เรียนจบแลว้ มีเงนิ เหลือ จึงเอามาคืนใหพ้ ่อแม่.....

ผจู้ ดั การใหญจ่ งึ พดู วา่ ....ในบรษิ ทั ปนู ซเี มนตน์ ้ี มแี ตค่ ณุ คนเดยี วเทา่ นน้ั ทเ่ี อาเงนิ
มาคืน คณุ เป็นผูม้ ีคณุ ธรรมสงู

สมหุ บ์ ัญชีใหญ่......บรษิ ทั ฯ ไม่มบี ญั ชรี ับเงนิ คนื หรอก ให้ไปแล้วก็เป็นของคณุ
คณุ เอาไปซื้อหุ้นบรษิ ัทในเครอื ปูนซีเมนต์ ๖ บริษทั ฯ ก็แล้วกนั

วา่ แลว้ กย็ กหโู ทรศพั ทพ์ ดู กบั หมอ่ มเจา้ ชมุ ปกบตุ ร์ ชมุ พล ณ อยธุ ยา ผอู้ ำ� นวยการ
แผนกหนุ้ ใหจ้ ดั การขายหนุ้ ๖ บรษิ ทั ฯ ให้ นายเทยี บ ถริ วฒั น์ จงึ ซอ้ื หนุ้ ไว้ ๖๐,๐๐๐ บาท
ราคาหนุ้ ละ ๑๐๐ บาท ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ราคาหนุ้ เพมิ่ ขน้ึ เปน็ หนุ้ ละ ๑,๐๐๐ บาท
จึงขายใหท้ รพั ย์สินส่วนพระมหากษัตริยไ์ ป ไดเ้ งินมา ๖๐๐,๐๐๐ บาท

วันท่ี ๑๖ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑ อายุ ๖๕ ปี นายเทยี บ ถิรวัฒน์ ไดอ้ ุปสมบท
ทวี่ ัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี พระมงคลกติ ตธิ าดา เป็นพระอุปชั ฌาย์ พระเลีย่ ม
€ติ ธมโฺ ม เป็นพระอนสุ าวนาจารย์ พระครูบรรพตวรกจิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

10

หลวงพ่อเทียบ ถริ ธมโฺ ม มรณภาพเมื่อวันท่ี ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖
พรรษา ๑๖ ท่ีโรงพยาบาลชลบุรี

สว่ นโยมแม่.....จากบนั ทกึ ของโยมพ่อไดก้ ล่าวไว้วา่ นางจ�ำเนียรพนั ธ์ ถริ วัฒน์
(เฟอ่ื งทอง) เกดิ วนั ที่ ๑๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เปน็ บตุ รสาวของนายสาย-นางผาย
เฟ่อื งทอง มพี นี่ ้องเป็นหญิงทง้ั หมด ๓ คน เดก็ หญงิ จำ� เนยี รพนั ธเ์ รยี นหนงั สอื ชั้น
ประถมปที ี่ ๑ ทโี่ รงเรยี นเทศบาล จนจบประถมปที ี่ ๔ เมอ่ื อายุ ๘ ขวบ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐
จากนั้นเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีนารีนุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมประจ�ำจังหวัด
น.ส.จ�ำเนยี รพนั ธเ์ ป็นคนเรียนหนังสอื เกง่ มาก สมองดี ปัญญาดี สอบได้คะแนนเป็น
ที่ ๑ ตลอด เปน็ นกั เรยี นคนแรกและคนเดยี วในยคุ นนั้ ทเี่ รยี นหลกั สตู ร ๖ ปี สามารถ
เลอ่ื นชนั้ และเรียนจบไดใ้ น ๔ ปี

หลงั จากเรยี นจบมธั ยมปที ี่ ๖ ไดเ้ ขา้ ทำ� งานทส่ี ำ� นกั งานออมสนิ จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ต�ำแหน่งผชู้ ว่ ยหวั หน้าส�ำนักงานออมสนิ ทอ่ี ายนุ อ้ ยท่สี ดุ ในประเทศ คอื อายุ ๑๖ ปี

เรอ่ื งการทำ� บญุ สนุ ทานนนั้ น.ส.จำ� เนยี รพนั ธแ์ ละคณุ ยายผายผเู้ ปน็ แม่ ไดอ้ ปุ ฏั ฐาก
ดูแลพระเณรท่ีวัดเลียบ (เป็นวัดท่ีหลวงปู่เสาร์เคยเป็นเจ้าอาวาส) ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน
เป็นประจ�ำ จะต้มน�้ำมะตูมและน�ำน้�ำปานะไปถวายแด่พระเณรที่วัดเลียบทุกวัน
ถ้าพระเณรขาดเหลอื ส่ิงใด กจ็ ะจดั หาน�ำไปถวายด้วยความศรัทธามิได้ขาด มีจิตใจ
ออ่ นโยนใฝ่ในบญุ กุศล

น.ส.จำ� เนยี รพนั ธ์ ไดส้ มรสกบั นายเทยี บ ถริ วฒั น์ เมอื่ วนั ท่ี ๑๔ มนี าคม ๒๔๙๕
แต่งงานแล้วจึงได้ลาออกจากงานไปอยู่กับสามีท่ีโรงงานปูนซิเมนต์ไทย ท่าหลวง
จ.สระบรุ ี เม่อื มาอยูท่ ี่นไี่ ด้ชวนสามไี ปทำ� บุญถวายอาหาร ถวายสงั ฆทาน ทว่ี ดั สะตอื
พุทธไสยาสน์ ท่อี ยู่ใกลโ้ รงงานเปน็ ประจ�ำ และมกั จะเหมาซอื้ ปลาดกุ ปลาช่อน เต่า
ปลาไหล ไปปลอ่ ยทา่ นำ้� หนา้ วดั เปน็ คลองแควปา่ สกั เวลาแมค่ า้ หาบปลาไปปลอ่ ย จะมี
เดก็ ๆ ในตลาดทา่ ลานตามไปดเู ปน็ แถว เนอื่ งจากไมเ่ คยพบไมเ่ คยเหน็ คนใจบญุ ซอ้ื ปลา
ไปปล่อยเป็นหาบๆ เมื่อเธออธิษฐานปล่อยปลาลงในน�้ำแล้ว เม่ือควักให้เงินแม่ค้า

11

แมค่ า้ รบั เงนิ แลว้ จะกราบลงทปี่ ลายเทา้ ของเธอ แลว้ รำ� พงึ วา่ คณุ นายใจบญุ เหลอื เกนิ
ตอ่ ไปอฉิ นั ไมข่ ายปลาอกี แลว้ อฉิ นั จะขายผกั ขายขงิ ขายถวั่ ฝกั ยาวฯ เธอจะบอกแมค่ า้ วา่
ดีแล้ว ขายผกั ไม่ต้องฆา่ ปลา ไมบ่ าป เดก็ จะยืนฟงั กนั เงยี บกริบ

เม่ือยา้ ยลงมาอยู่กบั สามี เธอจะใหน้ ้องสาวพาแมล่ งมาเที่ยวบ้าง พาไปท�ำบุญ
ไหวพ้ ระพทุ ธบาทสระบรุ ี บางครง้ั กพ็ าไปทำ� บญุ ไหวพ้ ระทอี่ ยธุ ยา หรอื ลพบรุ ี ทกุ ครง้ั
เธอจะบอกสามลี ว่ งหนา้ ๑ อาทติ ย์ เพอื่ เตรยี มการ เธอเปน็ คนใจบญุ ใจกศุ ล ยม้ิ เสมอ
ไมเ่ คยหนา้ บ้ึงขึ้งโกรธใคร หน้าตาเบกิ บานอยเู่ สมอ ไมเ่ คยอารมณ์เสยี มีแต่ความ
เมตตากรณุ าตอ่ ลกู ๆ เสมอ สีหนา้ จะไมแ่ สดงความไม่พอใจในเรื่องใดๆ นีเ่ ป็นกริ ยิ า
ของเธอ เธอเปน็ ทร่ี จู้ กั ของชาวตลาดทา่ ลานดี ชาวตลาดและพนกั งานโรงงานทา่ หลวง
นยิ มนบั ถอื ในตวั เธอเปน็ อยา่ งดี เพราะเธอมมี ารยาทอนั งดงามแปลกกวา่ คนอน่ื เธอมี
ผิวพรรณดี รปู รา่ งสงา่ งาม เดนิ ชา้ ๆ รอยยิม้ บนใบหนา้ ของเธอเป็นเสนห่ ์แกค่ นท่วั ไป
เธอมีจติ ใจดี มีเมตตาต่อเพ่ือนบา้ น เปน็ ทีร่ กั และนับถือของคนงานลูกน้องของสามี
คนงานมกั จะกลา่ ววา่ คณุ นายใจดใี จบญุ เหลอื เกนิ ไมเ่ คยเหน็ นายผชู้ ายและนายผหู้ ญงิ
คงจะเปน็ เทวดามาเกดิ ใจบญุ เหลอื เกนิ เธอจะยม้ิ เรยี บๆ ดว้ ยความเมตตาและกลา่ ว
เป็นเชิงแนะน�ำว่า ใครรักษาศีล ๕ ได้ คนน้ันก็เป็นเทวดามาเกิดทุกคนน่ันแหละ
ครอบครัวไหนมีศลี ๕ ครอบครัวนนั้ กเ็ ปน็ ครอบครวั เทวดา

คณุ แมจ่ ำ� เนยี รพนั ธ์ ถงึ แกก่ รรมเมอ่ื อายุ ๓๓ ปี ในวนั ที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๑
ท่โี รงพยาบาลศริ ิราช เวลากลางคืนค่อนรุ่ง ดว้ ยโรคมาลาเรยี และโรคไทฟอยด์ แต่
แพทยร์ กั ษาเฉพาะไขม้ าลาเรยี จงึ ถงึ แกก่ รรมดว้ ยโรคไทฟอยด์ ในเวลา ๗ วนั เทา่ นน้ั

นี้คือประวัติบางส่วนบางตอนของชีวิตคุณปู่เดช คุณพ่อเทียบ และคุณแม่
จำ� เนยี รพนั ธ์ ถริ วฒั น์ จากบนั ทกึ ของคณุ พอ่ เทยี บ ถริ วฒั น์ เราจงึ ขอนำ� มาลง ณ ทนี่ ี่
เพ่ือร�ำลึกถงึ บุญคุณของทา่ น

ส่วนชีวิตในวัยเด็กของเรา ตอนเรียนชั้น ป.๓-๔ ปกติไปโรงเรียนกับพี่ชาย
เปน็ ประจ�ำ ตอนกลบั บ้านเดนิ คยุ กนั หยอกล้อกนั คยุ ไปคยุ มา ถามอะไรกันเรือ่ งน้ัน

12

เรอ่ื งนี้ พกี่ โ็ กหกไปเรอื่ ยๆ แบบหลอกเลน่ เรากร็ สู้ กึ ไมช่ อบใจ ถามอะไรกไ็ มไ่ ดค้ วามจรงิ
พูดเลี่ยงไปเรื่อยๆ เมื่อพ่ีชายถาม เราก็แกล้งตอบไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่า
เวลาถามอะไรแล้วไมพ่ ูดความจรงิ เราก็ไม่ค่อยพอใจ ไมช่ อบใจ ก็เลยบอกพช่ี ายวา่
ตัวกับเขามาสาบานกันไหมว่า ต่อไปน้ีเราจะไม่โกหกกัน ถ้าถามอะไรต้องตอบตาม
ความเปน็ จรงิ หา้ มโกหกกนั เพราะวา่ โกหกแลว้ พดู อะไรกไ็ มร่ เู้ รอ่ื ง พช่ี ายและเรากเ็ ลย
ตกลงกันว่าต่อไปน้ีจะไมโ่ กหกกนั ถามอะไรจะตอบตามความเปน็ จรงิ

เรยี นหนงั สอื จบประถม ๗ เราอายุ ๑๒ ปี ชว่ งปดิ ภาคเรยี น คณุ พอ่ ถามวา่ ใครจะ
บวชเณรอทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหค้ ณุ แมบ่ า้ ง เราและพช่ี ายคนโตจงึ บวชเปน็ สามเณรทวี่ ดั เลยี บ
อ.เมอื ง จ.อบุ ลราชธานี นาน ๑ เดือน คณุ ยายผายต้มนำ�้ มะตูมสดไปถวายพระเณร
ทกุ วันตอนเย็น

ตอนเรยี นอยู่พาณิชยการเซนต์จอหน์ ปี ๑ เหน็ เพือ่ นผูช้ าย ๒ คนทะเลาะกัน
คนหนง่ึ เปน็ เพอื่ นสนทิ เรียนหนังสอื มาดว้ ยกัน ๙ ปีแลว้ อกี คนเปน็ เพอื่ นใหม่ทีเ่ พ่ิง
รจู้ กั กนั เราอยใู่ นเหตกุ ารณจ์ งึ เขา้ ไปหา้ มทงั้ คใู่ หเ้ ลกิ ทะเลาะกนั ทงั้ สองกห็ ยดุ ทะเลาะกนั
แตเ่ ราเหน็ ความขนุ่ มวั ในจติ ใจของทงั้ คู่ เรารสู้ กึ เกลยี ดความโกรธทมี่ อี ยใู่ นจติ ใจของ
เพอ่ื น แตเ่ ราไมส่ ามารถทจ่ี ะชว่ ยอะไรได้ เราจงึ พดู กบั ตนเองวา่ “เราจะทำ� ความโกรธนี้
ใหม้ นั ส้ินไปจากจติ ใจเรา”

วันหน่ึงหลังเลิกเรียน ขณะรอรถประจ�ำทางกลับบ้านที่หมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย
คลองประปา ประชาชนื่ รถประจำ� ทางแนน่ มาก ขนึ้ ไมไ่ ด้ ระหวา่ งคนลงจากรถและทยอย
ขนึ้ รถ สายตาเรามองเหน็ คณุ ปา้ คนหนงึ่ นงั่ อยรู่ มิ หนา้ ตา่ งรถ หนั ไปมองเหน็ เดก็ นกั เรยี น
ชายหญงิ เราไดย้ นิ คณุ ปา้ บน่ ในใจวา่ “เดก็ สองคนนไ้ี มร่ จู้ กั ตงั้ ใจเรยี น มวั มาจบี กนั อยไู่ ด้
ถา้ พอ่ แมร่ คู้ งจะเสยี ใจแย”่ เราไดย้ นิ ดงั นนั้ กน็ กึ ในใจวา่ โชคดที ไ่ี มเ่ ปน็ เรา ถา้ เปน็ เรา
คงอายปา้ คนนแ้ี นๆ่ เลย เราจงึ สญั ญากบั ใจตนเองวา่ “เราจะไมม่ แี ฟน เราจะมแี ตเ่ พอื่ น
ถ้าเราเรียนจบและทำ� งานช่วยเหลือตวั เองได้แลว้ จึงคิดจะมีแฟน”

หลังจากนั้นไม่นานประมาณเดอื นหนง่ึ กเิ ลสก็เกิดขึ้น เรามองเห็นผู้หญิงสวย
เกดิ นกึ ชอบขน้ึ มา แลว้ รสู้ กึ อดึ อดั ใจ พอกลบั บา้ นกป็ รกึ ษาพชี่ าย ถามพว่ี า่ เราชอบผหู้ ญงิ

13

จะท�ำอย่างไรดี พีช่ ายแนะน�ำวา่ “ให้ท�ำความรจู้ ัก และชวนคยุ ” พอไปเรียนหนังสอื
กลับมา พช่ี ายถามวา่ “ไดท้ ำ� ความร้จู ักผู้หญงิ คนนัน้ หรอื ยงั ” เราตอบว่า “ยงั ไม่กล้า”
พ่ีชายแนะน�ำต่อว่า “พรุ่งน้ีชวนเขาไปทานข้าว และก็ไปส่งบ้าน” เราเป็นเด็กขี้อาย
ไม่กล้าท�ำ พี่แนะน�ำต่อไปว่า “พรุ่งนี้ให้ชวนเขาไปดูหนังวันหยุด” พอกลับมาบ้าน
พก่ี ถ็ ามอกี วา่ “ทำ� ตามคำ� แนะนำ� หรอื ยงั ” เราตอบวา่ “เราไมก่ ลา้ คยุ ดว้ ย” พชี่ ายจงึ หยดุ
แนะน�ำ ตอ่ มาเรากร็ ู้สึกอึดอดั ใจมากจากการแอบชอบผู้หญิงคนน้ี เวลานกึ ถึงกร็ ู้สกึ
อึดอัดใจ คืนหน่ึงความจ�ำผุดข้ึนมาว่า “ไหนเราสัญญากับใจตนเองมิใช่หรือว่าจะ
ไมม่ แี ฟน จะมแี ตเ่ พอื่ น จะเรยี นหนงั สอื ใหจ้ บกอ่ น ทำ� งาน จงึ คอ่ ยมแี ฟน” เรากถ็ ามใจ
เราวา่ “กเ็ ราชอบเขาน่ี จะใหท้ ำ� อยา่ งไร” กม็ คี ำ� ตอบผดุ ขนึ้ มาวา่ “ถา้ อยา่ งนนั้ กไ็ มต่ อ้ ง
ชอบเขา” พอไดค้ ำ� ตอบนขี้ นึ้ มา ความรสู้ กึ ทว่ี า่ ชอบผหู้ ญงิ คนนมี้ นั ละลายออกไปจากใจ
จติ รสู้ กึ โลง่ ไมอ่ ดึ อดั ความชอบหายไป เชา้ รงุ่ ขน้ึ ไปเรยี นหนงั สอื ตามปกติ เมอื่ เหน็ ผหู้ ญงิ
คนนก้ี ร็ สู้ กึ เฉยๆ ความรสู้ กึ ชอบหายไป ในกาลตอ่ มากม็ โี อกาสพดู คยุ กนั และเปน็ เพอ่ื น
กันเท่าน้นั เรายงั ไมค่ ดิ เรื่องอ่ืน เรายงั เปน็ เดก็ ยงั เรียนไม่จบ ไม่มีงานทำ� ตอ้ งอาศัย
เงนิ พอ่ เรยี นหนงั สอื เราจงึ คดิ วา่ ยงั ไมส่ มควรจะมแี ฟนในวยั เรยี น เราคดิ วา่ ควรเรยี น
จบก่อน และมงี านทำ� เป็นผ้ใู หญพ่ อสมควรจงึ คิดเรือ่ งมีคคู่ รอง

เมอ่ื เราอายุ ๑๖-๑๘ ปี เราเรยี นอยู่ ร.ร.พาณชิ ยการเซนตจ์ อหน์ วนั หนงึ่ โยมพอ่
นำ� หนงั สอื พทุ ธธรรมมาใหอ้ า่ น ปกตถิ า้ ทา่ นพบเรอื่ งไหนสำ� คญั ๆ ทา่ นจะทำ� เครอ่ื งหมาย
ไว้ให้ลกู ๆ ไดอ้ า่ นเสมอ เผอญิ วนั นน้ั หยิบหนงั สือพุทธธรรมขน้ึ มาอา่ น เหน็ คำ� ๓ ค�ำ
มีค�ำอธบิ ายเสร็จในแตล่ ะบรรทัด

คำ� ทว่ี า่ นน้ั คอื คำ� วา่ “ความโลภ ความโกรธ ความหลง” เมอื่ อา่ นความหมายจบแลว้
เรามคี วามรสู้ กึ ขนึ้ มาในใจเลยทเี ดยี ววา่ “ความโลภ ความโกรธ ความหลง” นี้ มนั เปน็
อารมณท์ ไ่ี มด่ ี เปน็ สง่ิ ทท่ี ำ� ใหเ้ ราเกดิ ความทกุ ขใ์ จขนึ้ มาได้ อยา่ กระนนั้ เลย ตง้ั แตบ่ ดั น้ี
เราจะพยายามเลกิ พยายามละอารมณท์ งั้ หลายเหลา่ นใี้ หน้ อ้ ยลงไป ใหเ้ หลอื นอ้ ยทส่ี ดุ
เท่าท่เี ราจะท�ำได้ เรายงั จ�ำคำ� ๓ ค�ำน้ีไดต้ ิดตาเลยในหนา้ กระดาษนั้นจนกระทัง่ บัดนี้

ความโลภ เราคิดในใจตอนนัน้ วา่ เราจะพงึ พอใจในสง่ิ ทเ่ี รามอี ยเู่ ทา่ น้ัน

14

ความโกรธ เราจะเปน็ คนมเี มตตา มแี ตค่ วามกรณุ า จะอดกลนั้ ตอ่ อารมณท์ เ่ี กดิ ขนึ้
ใหไ้ ด้ เพราะเราคดิ วา่ อารมณเ์ ปน็ สงิ่ ไมด่ ี ตง้ั แตน่ นั้ มาเรากพ็ ยายามละเวน้ ในสง่ิ ตา่ งๆ
เรอื่ ยมา

ระหว่างท่ีเราก�ำลังศึกษาอยู่พาณิชยการนั้น เราเคยได้ยินพวกชาวบ้านพูดถึง
พระบ่อยๆ วา่ พระบวช ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา แล้วมักจะสึกออกมา โยมกเ็ ลย
เสอื่ มศรทั ธาลงไปบา้ ง บางทา่ นเปน็ มหากส็ กึ ทำ� ใหเ้ รามคี วามรสู้ กึ คดิ วา่ ถา้ เราบวชละก็
เราจะไมส่ กึ เหมอื นพระพวกนนั้ ถา้ เราบวชจะไมส่ กึ แน่ เราจะไมท่ ำ� ใหค้ นทงั้ หลายมอง
พระพทุ ธศาสนาในทางไมด่ ี อนั นเี้ ปน็ ความคดิ ของเราเทา่ นน้ั แตต่ อนนน้ั เรายงั ไมค่ ดิ
จะบวช

พอเรียนจบพาณิชยการ เราก็เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยหอการค้าไทย คณะ
เศรษฐศาสตร์ ตอนจบพาณชิ ยการใหมๆ่ เราไดไ้ ปเทยี่ วภเู กต็ กบั นอ้ งชายและเพอ่ื นๆ
วนั หนงึ่ ไดไ้ ปเทย่ี วทห่ี าดทรายขาว ใกลส้ ะพานสารสนิ เพอ่ื ไปชมเตา่ ขน้ึ มาวางไข่ ไดม้ ี
เหตกุ ารณท์ ท่ี ำ� ใหเ้ ราไดพ้ บกบั แสงสวา่ ง และเรมิ่ ทจี่ ะตงั้ ใจทำ� ความดี เราไดพ้ บกบั ทา่ น
ทอี่ ย่ใู นอกี มิติหนึ่ง ทา่ นเรยี กตัวเองวา่ “จา้ วทะเล” ทา่ นมาอบรมแนะน�ำส่งั สอนเรา
หลายๆ อย่าง ทา่ นชแี้ นะใหเ้ หน็ โทษของการเบียดเบียนชีวติ สตั ว์ จนกระทงั่ ท�ำใหเ้ รา
เลกิ โดยเด็ดขาดต้ังแตน่ น้ั มา ท่านทำ� ให้เราทราบว่า ในโลกนม้ี ีภพมชี าติจรงิ เราเชอ่ื
เชน่ น้นั ท่านกลา่ วถงึ ธรรมทเ่ี ป็นของคกู่ ัน ท่านวา่ “มนี ำ้� กม็ ีปลา มรี ถก็มีถนน มชี าย
กม็ หี ญงิ มมี ดื กม็ สี วา่ ง” หลงั จากเหตกุ ารณน์ นั้ ผา่ นไปแลว้ เรากพ็ จิ ารณาเหน็ วา่ “มบี าป
กม็ บี ญุ ” ทา่ นสอนใหเ้ รามจี ติ ใจเมตตาตอ่ สตั ว์ ทา่ นเปดิ โอกาสใหเ้ ราถามขอ้ ขอ้ งใจตา่ งๆ
กบั ทา่ นได้ ตงั้ แตว่ นั นน้ั มา เรากเ็ ลยพยายามทำ� แตค่ วามดี ละเวน้ ความชว่ั มคี ราวหนงึ่ กม็ ี
ความคดิ ผดุ ขน้ึ มาภายในจติ วา่ “ความดใี ดทมี่ อี ยใู่ นโลกนี้ เราปรารถนา” เราเลยพยายาม
ท�ำแต่ความดี ละเว้นส่ิงทีไ่ มด่ ี จนบัดน้เี รายังระลึกถงึ บุญคณุ ของทา่ นเสมอมา

“จติ ใจของเรามกั จะคอยเตอื นเราอยเู่ สมอใหท้ ำ� ความดี สงิ่ ใดไมด่ ใี หเ้ ลกิ ใหล้ ะเวน้
เราพจิ ารณาเห็นโทษ เรากถ็ ือศีล ๕ ไดค้ รบทุกขอ้ จติ ใจเรายนิ ดใี นการรักษาศีลโดย
ไมต่ ้องบังคับต้งั แตน่ ัน้ มา มีแตค่ วามสบายใจ”

15

เรามกั จะนึกถึงคนยากคนจนตลอดเวลา เวลาฤดหู นาว เราอย่อู ุ่นสบาย คิดถงึ
คนที่ล�ำบากตามชนบท ไม่มีผ้าห่มนอน ฤดูฝน ถ้าบ้านหลังคารั่วคงนอนกันไม่ได้
รสู้ กึ สงสารมาก ถา้ เรามฐี านะดี เราจะชว่ ยเหลอื เขา เราคดิ แบบนบ้ี อ่ ยๆ เราสงสารคนมาก
แตเ่ ราไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือทุกๆ คนได้ เราเลยต้องวางเฉย

วันหน่ึงขณะท่ีเรานั่งรถประจ�ำทางกลับจากวิทยาลัยหอการค้า ผ่านสามแยก
เตาปนู ไปทางถนนประชาชน่ื เลยี บคลองประปา เมอ่ื รถวง่ิ ไปถงึ ปา้ ยรถเมลเ์ พอ่ื จอดสง่
ผโู้ ดยสาร ขณะนนั้ มวี ยั รนุ่ กลมุ่ หนงึ่ นงั่ จบั กลมุ่ อยทู่ ปี่ ากซอยเขา้ หมบู่ า้ น เมอื่ เหน็ รถคนั นี้
เข้ามาจอดสง่ ผโู้ ดยสาร คนกลุ่มนกี้ ว็ ง่ิ กรเู ขา้ มาทร่ี ถประจำ� ทาง กระเปา๋ รถเมลต์ ะโกน
บอกใหค้ นขบั รบี ออกรถ คนขบั รถรบี เรง่ เคร่ืองออกหนวี ัยรนุ่ กลุม่ น้ี คนกลุ่มนี้เห็น
รถเรง่ เคร่อื งหนี จึงใช้ก้อนหินขนาดเท่าก�ำปั้นขวา้ งเขา้ มาในรถสวนกับรถทวี่ ิ่งออกไป
หนิ กอ้ นนน้ั เขา้ มาทางหนา้ ตา่ งรถพงุ่ ตรงมาทนี่ งั่ ทา้ ยรถทเ่ี รานงั่ อยู่ หนิ ถกู ขวา้ งเขา้ มาดว้ ย
ความแรง บวกความเรว็ ของรถทีว่ ิง่ สวนไป หินก้อนนัน้ ถูกหนา้ ผากของเราอย่างแรง
กระเดน็ ตกไปทบ่ี นั ไดรถ เรารสู้ กึ ถงึ ความแรงของหนิ ทว่ี ง่ิ เขา้ กระแทกหนา้ ผากของเรา
แตเ่ หมอื นมแี ผน่ ฟลิ ม์ ทก่ี นั้ อยรู่ ะหวา่ งหนา้ ผากของเรากบั กอ้ นหนิ จงึ ไมร่ สู้ กึ ระคายผวิ
แมแ้ ตน่ อ้ ย กไ็ มท่ ราบวา่ เปน็ เพราะเหตใุ ด เพยี งแตต่ อนนนั้ เราแขวนพระหลวงพอ่ กบ
วดั เขาถำ�้ สารกิ า อยเู่ พยี งองคเ์ ดยี ว ภายหลงั เราทราบวา่ วยั รนุ่ กลมุ่ นมี้ ปี ญั หาทะเลาะกบั
กระเป๋ารถเมล์คนั น้ี

ตอนเรยี นอยมู่ หาวทิ ยาลยั ถา้ จำ� ไมผ่ ดิ คงจะเปน็ ปี ๒ เรานง่ั รถเมลไ์ ปไหนตามถนน
ถ้าแถวน้ันมีคนมาก เรามักจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ระยะน้ันมองดูคนรู้สึก
แปลกๆ ไป ความรสู้ กึ เกดิ ขน้ึ ในจติ วา่ คนทกุ ๆ คนกด็ เู หมอื นสตั วช์ นดิ หนงึ่ นนั่ แหละ
แต่โลกเขาสมมุติใหเ้ ป็นคนเท่าน้ัน ไมต่ ่างอะไรเลยกับพวกหมู วัว ควาย เมื่อตายไป
กเ็ หลอื แตร่ ่างกายท่เี นา่ เปอ่ื ยผุพัง คนกเ็ ช่นเดียวกัน

มองเห็นคนแล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีจิตวิญญาณมาอยู่ในร่างของคน
เหลา่ นนั้ รา่ งกายของคนเรากเ็ หมอื นกบั สตั วห์ รอื หนุ่ ยนต์ เมอื่ จติ ของแตล่ ะคนสง่ั งาน

16

กายของเขาเหลา่ นน้ั ก็เคล่อื นไหวไปมาตามแตจ่ ิตจะบังคับเรอ่ื ยๆ ไป แตถ่ ้าตายแล้ว
ก็คงเหลือแต่รา่ งกาย เหมอื นสตั วอ์ ยา่ งไรกอ็ ย่างน้นั

ระยะนนั้ มหี ลายๆ ครง้ั ทเ่ี รามองดคู นทงั้ หลายผดิ แปลกออกไป ไมเ่ หมอื นเมอ่ื กอ่ น
เรามองดูคนตามป้ายรถเมล์ เหน็ คนยนื บ้าง เดนิ บา้ ง คยุ กนั อยบู่ า้ ง ทำ� ทา่ ทางตา่ งๆ
หวีผมบ้าง ยิ้มบ้าง หวั เราะบ้าง หน้าบ้งึ ตงึ บ้าง เหน็ แล้วคดิ วา่ คนเหลา่ นีไ้ มต่ ่างอะไร
กบั สตั วเ์ ลย แตม่ จี ติ ใจประเสรฐิ และฉลาดกวา่ สตั วท์ งั้ หลายเทา่ นน้ั เอง ลกั ษณะอาการ
เคลอ่ื นไหวนนั้ แตล่ ะคนกท็ ำ� ตามอำ� นาจจติ ของแตล่ ะดวงทจี่ ะสง่ั งานทำ� เทา่ นนั้ มคี วาม
รู้สึกเบอ่ื ๆ คนขึ้นมาบา้ งในขณะนน้ั

ตอนทเี่ ราศกึ ษาอยปู่ ี ๓ เวลาเราเจบ็ ปว่ ยอะไรขน้ึ มา เชน่ ปวดทอ้ ง ทอ้ งเสยี หรอื
ปวดปสั สาวะ เรามกั จะคดิ ในขณะทเ่ี ปน็ เสมอเลยวา่ เอะ๊ .....นม่ี นั อะไรกนั น่ี เราเจบ็ ปวด
ตวั เรา เราบอกให้หายปวดท้อง ปวดศรี ษะ ไม่ได้เลยหรอื น่ี ไหนว่าเปน็ ร่างกายของ
เราไงละ ท�ำไมไม่อยูใ่ นความควบคมุ ของเรา แสดงว่ารา่ งกายนต้ี ้องไม่ใชข่ องเราแน่
เราพิจารณาสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่เป็นประจ�ำเสมอมาในระยะน้ัน ไม่ว่าจะปวดศีรษะ
ปวดท้อง ท้องเสยี ปวดปสั สาวะ เรามกั จะพิจารณาวา่ ถา้ เปน็ ตัวเราจริงแล้ว เราต้อง
สามารถทจี่ ะบงั คบั ใหร้ า่ งกายหายเจบ็ ปว่ ย หรอื หายปวดทอ้ ง ปวดปสั สาวะ ในระหวา่ ง
เดนิ ทางไดซ้ ิ เอาไวป้ วดเมอ่ื ไปถงึ บา้ นกอ่ นซิ ทำ� ไมเราบงั คบั ไมไ่ ดเ้ ลย สง่ิ เหลา่ นที้ ำ� ใหเ้ รา
รคู้ วามจรงิ ขน้ึ มาบา้ งแลว้ วา่ นไี่ มใ่ ชร่ า่ งกายของเรา เพราะไมอ่ ยใู่ นอำ� นาจบงั คบั บญั ชา
ของใจเราไดเ้ ลย

เรากำ� ลงั ศกึ ษาอยนู่ นั้ วนั หนงึ่ ขณะทน่ี งั่ คยุ อยกู่ บั เพอ่ื น เหน็ รถของวทิ ยาลยั มาสง่
นกั ศกึ ษา มนี กั ศกึ ษาหญงิ เดนิ ผา่ นมา ตามองไปเหน็ ผหู้ ญงิ คนหนงึ่ รสู้ กึ ชอบวา่ ผหู้ ญงิ
คนนส้ี วย คดิ อยใู่ นใจวา่ ถา้ ผหู้ ญงิ คนนสี้ วยเกนิ สามเดอื น เราจะทำ� ความรจู้ กั วนั หนงึ่
เหน็ ผหู้ ญงิ คนนเี้ ดนิ ผา่ นมาอกี วนั นม้ี องดไู มเ่ หมอื นวนั กอ่ น วนั นไี้ มส่ วย เพราะทรงผม
เปลี่ยนไปเลยไม่สวย เราเลยไม่ได้ท�ำความรู้จัก....อีกครั้งได้เจอผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
ใจกช็ อบวา่ เขาสวย เลยคดิ ในใจอกี วา่ ถา้ สวยเกนิ สามเดอื นจะทำ� ความรจู้ กั วนั หลงั มา
เหน็ ผหู้ ญงิ คนนอี้ กี เอะ๊ ...วนั นไี้ มส่ วยแลว้ เพราะเขาเปลย่ี นชดุ ใหมเ่ ลยไมส่ วย ปรากฏวา่

17

ทงั้ วทิ ยาลยั หอการคา้ ไมม่ ผี หู้ ญงิ คนไหนสวยเกนิ สามเดอื น เราเลยไมไ่ ดท้ ำ� ความรจู้ กั
กบั ใคร มคี วามคดิ วา่ เราจะมเี พอ่ื นเทา่ นน้ั เรยี นจบทำ� งานแลว้ จงึ คอ่ ยมแี ฟน บางครงั้
เรามองผหู้ ญงิ เหน็ วา่ สวย พอมองดตู อ่ ไปหลายๆ วนั กเ็ หน็ วา่ ไมส่ วยแลว้ ทกุ ๆ คนทเ่ี รา
เหน็ วา่ สวย มองดไู มก่ ค่ี รงั้ กเ็ หน็ ความไมส่ วย เราเลยไมส่ นใจผหู้ ญงิ .......พอมาบวชแลว้
จงึ รวู้ า่ อารมณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในสมยั เรยี นนน้ั เปน็ อารมณว์ ปิ สั สนา คอื พจิ ารณาความไมเ่ ทย่ี ง
ของรปู หรือคน

หลงั จากนน้ั ไมน่ าน เหน็ เพอื่ นผชู้ ายทะเลาะกบั แฟน เวลาทะเลาะกนั ผหู้ ญงิ กด็ ู
หนา้ ตาไมส่ วย เราจงึ ถามใจตนเองวา่ เราจะชอบผหู้ ญงิ ทตี่ รงไหน กม็ คี ำ� ตอบผดุ ขนึ้ มาวา่
“ใหช้ อบท่ีจิตใจ”

บางคราวไปเทย่ี ว เราเหน็ สง่ิ กอ่ สรา้ ง โบสถ์ ศาลา หรอื สถานทส่ี วยงาม จติ ใจเรา
มกั พจิ ารณาความเสอื่ มอยเู่ สมอ คอื เหน็ สถานทน่ี น้ั ๆ เสอื่ มลง พงั ลง หรอื เหน็ สถานที่
เกา่ แกพ่ งั แลว้ กลบั มาพจิ ารณาเปน็ สถานทท่ี ท่ี รงสภาพสมบรู ณข์ นึ้ เหน็ ความเสอื่ ม ความ
แตกสลายไปในท่ีสุด เห็นความเกดิ ขึ้น ตง้ั อยู่ ดับไป อย่เู สมอๆ จนจติ ใจเปลีย่ นไป

ขณะเรยี นอยปู่ ที ่ี ๔ บางวนั รสู้ กึ วา่ ในจติ ใจในหวั เราเตม็ ไปดว้ ยความคดิ ไมย่ อม
หยดุ คิดจนถงึ ๔-๕ ทุม่ และในขณะท่มี คี วามคิดไมห่ ยุดนั้น มีความร้สู กึ อกี อยา่ ง
เกิดข้ึนมาในจิตวา่ ...เอ๊ะ จิตของเราท�ำไมเราหา้ มใหห้ ยดุ คดิ ไม่ได้ นกี่ แ็ สดงวา่ จติ ใจ
ไม่ใช่ของเรา เราไม่ไดเ้ ปน็ เจา้ ของจติ ใจ เผอิญเรานกึ ไดว้ ่าเคยอา่ นประวตั ิหลวงปมู่ ่ัน
บางตอน ทา่ นเคยสอนชาวเขาใหต้ ามหาพทุ -โธ ใหน้ ง่ั สมาธิ วนั ละ ๕-๑๐ นาที วนั นนั้
เลยคดิ อยากนง่ั สมาธขิ นึ้ มา ตกดกึ จงึ ขนึ้ ไปนง่ั สมาธใิ นหอ้ งพระ นง่ั สมาธไิ ปไดส้ กั ครู่
ความคิดกห็ ยดุ จติ ใจก็สบาย เมอ่ื เรากำ� หนดสตอิ ยูท่ ล่ี มหายใจ เขา้ -พุท, ออก-โธ
จติ ใจกเ็ ลกิ คดิ มาจบั อยทู่ ล่ี มหายใจเขา้ ออก จนจติ ใจสบาย ตอ่ แตน่ นั้ มา เราจะขน้ึ ไป
น่งั สมาธทิ กุ ครั้งเมอื่ มีความคิดไม่หยุด...

มอี ยคู่ รง้ั หนง่ึ นง่ั ภาวนาแลว้ ปวดขา ขาชา เราเลยพจิ ารณาวา่ กายนไ้ี มใ่ ชข่ องเรา
เปน็ แตเ่ พยี งธาตุ ๔ เทา่ นนั้ วนั นน้ั พจิ ารณาสกั ครหู่ นง่ึ จติ ใจยอมรบั เหน็ ตามการพจิ ารณา

18

......เกดิ อาการรวมลง วูบลง ๓ คร้ัง รูส้ กึ วา่ ลมหายใจหายไป รา่ งกายไมม่ ี ค�ำภาวนา
หยดุ ภาวนา แตจ่ ติ ใจขณะนน้ั เปน็ สขุ มากทสี่ ดุ คดิ วา่ ขอใหเ้ ราอยอู่ ยา่ งนโ้ี ดยทไี่ มต่ อ้ ง
กลับมาเป็นคนอีกก็ยอม เพราะว่าจิตใจสุขมากจริงๆ สุขอย่างบอกไม่ถูกเลยละ
สขุ จนกระทงั่ คดิ วา่ ความสขุ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งในโลกนไี้ มส่ ามารถสคู้ วามสขุ ในขณะทจ่ี ติ
เปน็ เชน่ นไี้ ดเ้ ลย พอคดิ ไดด้ งั นกี้ ม็ คี วามรถู้ ามตวั เองขนึ้ มาวา่ รา่ งกายเราหายไปไหน?
ลมหายใจเราหายไปไหน? พทุ โธหายไปไหน? เราพยายามขยบั ตวั ขยบั รา่ งกาย เพราะ
เหน็ วา่ รา่ งกายหายไป ลมหายใจหายไป จนรสู้ กึ วา่ ลมหายใจคอ่ ยๆ หยาบขน้ึ มาเรอื่ ยๆ
จนเป็นปกติ ครง้ั นน้ั เราร้สู ึกแปลกใจมาก

เรยี นอยปู่ ี ๔ เทอมสดุ ทา้ ย มเี หตกุ ารณอ์ ยา่ งหนง่ึ เกดิ ขนึ้ ขณะทยี่ นื อยบู่ นรถประจำ� ทาง
ไปวทิ ยาลยั จะมภี าพพระพทุ ธชนิ ราชปรากฏอยขู่ า้ งหนา้ บรเิ วณหนา้ ผากของเรา ประมาณ
๕ นาที พระพทุ ธชนิ ราชเปน็ สที อง ขา้ งๆ ทคี่ รอบเปน็ สเี งนิ เหน็ อยหู่ ลายวนั เราคดิ วา่
เราจะบา้ หรืออยา่ งไร อยดู่ ีๆ กม็ องเหน็ พระพทุ ธชินราช แต่เราก็ต้ังสตดิ ูอยู่

ในระยะต่อมา เวลาเราเดินทางไปเรยี น เรามกั จะเห็นคนบนรถอยู่สามลกั ษณะ
อย่เู สมอ มีเดก็ เลก็ ๆ คนแก่ และคนเจบ็ ทกุ ครั้งที่เหน็ จิตกจ็ ะพิจารณาไปเองเลย
ในขณะนั้น เมื่อเห็นสภาพภายนอกก็น้อมมาดูตัวเรา เห็นเด็กเล็กๆ จิตก็คิดไปว่า
ความเกดิ ขน้ึ มาน้เี ป็นทุกข์เหลือเกนิ กวา่ จะโตข้ึนมาเท่าเรา ผ่านความสขุ และทกุ ขม์ า
เทา่ ไหร่ จติ กน็ อ้ มมาดตู วั เอง แตก่ อ่ นเรากเ็ คยเปน็ เดก็ เลก็ ๆ อยา่ งน้ี กวา่ จะเตบิ โตมาจน
ถึงขณะน้ี มีทั้งสุขและทุกขส์ ลับกันไป มนั นา่ เบอ่ื หนา่ ยเสยี จรงิ พอคดิ จบ กม็ องดู
คนเจบ็ ทีน่ งั่ มาในรถ สังเกตดสู ีหนา้ และแววตาเขามคี วามทกุ ข์มาก เพราะมโี รคภยั
เบยี ดเบยี น พอจิตพิจารณาเสร็จ ก็ย้อนกลบั มาพจิ ารณาดูรา่ งกายตัวเอง แลว้ คดิ วา่
ตวั เรากย็ อ่ มมคี วามเจบ็ ปว่ ยเหมอื นกนั ถา้ เราเจบ็ ปว่ ย เรากท็ กุ ขเ์ ชน่ กนั ....เหน็ ความเจบ็
เปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื จติ พจิ ารณาเสรจ็ กห็ นั ไปเหน็ คนแกค่ นหนงึ่ อายุ ๖๐-๗๐ ปี มองดแู ลว้
จติ กพ็ จิ ารณาวา่ คนเราเกดิ มาแลว้ กต็ อ้ งแกเ่ ชน่ นท้ี กุ คน ตอ้ งแกเ่ ชน่ นท้ี กุ คนแน่ ในกาล
ขา้ งหนา้ ผมตอ้ งหงอก หนงั ตอ้ งเหยี่ ว ฟนั ตอ้ งเสยี มองดแู ลว้ ไมส่ วยเลย เรากต็ อ้ งเปน็
เชน่ น้นั เหมอื นกัน...เหน็ ความแกเ่ ปน็ ทุกข์

19

จติ นึกตอ่ ไปวา่ อกี ไม่นานคนทกุ ๆ คนในรถน้ตี อ้ งตายหมด ไม่มีใครเหลือ....
เหน็ ความตายเปน็ ทุกข์

เมื่อจิตพิจารณาไปอย่างน้ีแล้วก็นึกขึ้นว่า ร่างกายที่เราอาศัยอยู่น้ีไม่ใช่ของเรา
เพราะว่าเมื่อคราวเจบ็ ป่วย หรือแก่ หรอื ตาย เราไมม่ อี ำ� นาจจะบงั คับหรือห้ามไม่ให้
ร่างกายเปลี่ยนแปลงได้ พอจิตพิจารณาเสร็จ ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายมากที่สุด
เกดิ ความรวู้ า่ กค็ วามเกดิ นไี่ งเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ในขณะนนั้ ทำ� ใหค้ ดิ อยคู่ นเดยี ววา่
เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว...เราจะหาทางท�ำไม่ให้มีการเกิดอีกให้พบ ระยะน้ันจิตใจเรา
คดิ อยเู่ ชน่ นแี้ ทบทกุ วนั ทกุ ครงั้ ทไี่ ปวทิ ยาลยั เราตอ้ งพบกบั เดก็ เลก็ ๆ คนเจบ็ ปว่ ย คนแก่
อยบู่ นรถคนั เดยี วกนั เสมอ จติ ใจเราคดิ พจิ ารณาไปเองประมาณ ๑๐-๒๐ นาทเี สมอๆ
จนเกิดความเบื่อหนา่ ย สลดใจ ไมอ่ ยากเกิดอีก.....

ตั้งแตน่ ้นั มาเรากค็ ิดอย่เู สมอวา่ ถ้าเราพร้อมเมื่อไร เราจะบวชไม่สกึ เราคิดว่า
ไมเ่ กนิ ๕ ปี เราจะบวช จะไปเรยี นตอ่ ปรญิ ญาโท ๒ ปี แลว้ ทำ� งานเลย้ี งดโู ยมพอ่ อกี ๓ ปี
ระหวา่ งนน้ั กจ็ ะพยายามปฏบิ ตั ติ วั เปน็ คนดไี ปดว้ ย เราจะพยายามพจิ ารณาคอ่ ยๆ ละ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปเรือ่ ยๆ ถงึ เวลานนั้ คงพรอ้ มท่จี ะบวชโดยไมส่ กึ

เราถอื ศีล ๕ แล้ว เวลาไปเท่ียวทไี่ หน ถา้ เหน็ พระพุทธรปู ในโบสถ์ หรอื รอย
พระพุทธบาท จิตใจเราแปลกไปจากเดิม คือเมื่อเราเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปใน
สถานท่ตี า่ งๆ นน้ั เสร็จแลว้ เราจะพนมมือข้ึนเหนืออก อธิษฐานวา่ “ถ้าพระสทั ธรรม
คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ มจี รงิ แลว้ เปน็ คำ� สง่ั สอนทวี่ เิ ศษทสี่ ดุ แลว้ เปน็ ไปเพอื่ ความ
พน้ ทกุ ข์ ลกู ขอใหไ้ ดพ้ บทางสายนดี้ ว้ ยเถดิ และขอใหล้ กู ไดเ้ ดนิ ทางถกู และตรงทสี่ ดุ ดว้ ย”
เราไดอ้ ธิษฐานเช่นนเ้ี สมอทกุ ๆ ครั้ง โดยไม่มใี ครบอก ไม่มีใครแนะน�ำ จติ ใจอยาก
อธษิ ฐานเอง

ระยะท่ียงั ศึกษาอยู่ เราพยายามคิดแต่ส่ิงท่ดี ี ส่ิงที่เปน็ ประโยชน์ ถา้ สง่ิ ใดไม่ดี
ไมเ่ กิดประโยชน์ จะพยายามไม่ให้จิตคดิ ถงึ เมือ่ จิตคิดถงึ สิง่ ทไ่ี ม่ดขี นึ้ มา กพ็ ยายาม
เอาสตมิ าดทู ลี่ มหายใจ หรอื บางครง้ั กภ็ าวนาพทุ -โธไปดว้ ย การทำ� เชน่ นท้ี ำ� ใหค้ วามคดิ
ไม่ดีหายไป

20

คราวทจ่ี ติ ใจเราเหน็ ความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย เปน็ ทกุ ขแ์ ลว้ จติ ใจ
ก็ไม่อยากเกดิ เป็นอะไรทงั้ นนั้ ท�ำให้เรานึกไปถึงองค์สมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้าว่า
พระองคก์ ท็ รงเหน็ สภาพ ๔ อยา่ งน้ี คอื ความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย มากอ่ น
เราแลว้ พระองคเ์ หน็ วา่ สง่ิ เหลา่ นเี้ ปน็ ทกุ ข์ พระองคจ์ งึ สละราชสมบตั อิ อกบวช จนได้
ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ เราจงึ เขา้ ใจวา่ ทำ� ไมพระพทุ ธองคจ์ งึ ออกบวช เราคดิ วา่ “เรากค็ ง
พอมบี ุญอยู่บ้างที่ได้มาเหน็ ในจติ ใจวา่ ความเกดิ แก่ เจ็บ ตาย นค้ี อื ความทุกข”์

คดิ ดแู ลว้ คนทกุ ๆ คนนา่ จะเหน็ ตามพระพทุ ธเจา้ แตไ่ มม่ ใี ครเหน็ ดว้ ย เพยี งแตร่ บั รู้
เท่านั้นว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย แต่คนท้ังหลายไม่เห็นเข้าไปในจิตใจของเขา
ซึ่งน่าจะเห็นกันง่ายๆ แต่กไ็ มค่ ่อยมีใครเหน็ ตามความเปน็ จริง

พ.ศ. ๒๕๒๐ เรากำ� ลงั เรยี นอยปู่ ที ี่ ๔ ไมค่ อ่ ยไดไ้ ปเทยี่ วทไ่ี หนนกั เพราะเราถอื ศลี ๕
บางครง้ั เวลาไปหอ้ งสมดุ ทวี่ ิทยาลัย พบหนงั สือธรรมะก็อา่ นบ้างเล็กน้อย ๒-๓ เล่ม
ระยะนนั้ รสู้ กึ วา่ จติ ใจเรม่ิ หนั เหมาทางธรรมะ เวลาเรามจี ติ วา่ งๆ สบายๆ มคี วามรผู้ ดุ ขนึ้
มาในจิตว่า “ถ้าเราได้บวชในชาติน้ี ชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายของเรา” แต่ตอนน้ัน
เรากย็ งั ไม่พร้อมทจ่ี ะออกบวช แตร่ สู้ กึ แปลกใจท่มี คี �ำพูดนผี้ ุดขึน้ มาในจติ

เราคดิ อยเู่ สมอวา่ “เราจะสรา้ งแตค่ วามดจี นกวา่ จะตาย ถา้ พรอ้ มทจี่ ะบวชกจ็ ะบวช
ถ้ายังไมพ่ รอ้ มก็จะปฏบิ ัตไิ ปเรือ่ ยๆ”

บางครงั้ เดนิ ทางไปวทิ ยาลยั มองดผู คู้ นรสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยมากทเี ดยี ว “ครง้ั หนงึ่ เรา
เดนิ ทางไปเทยี่ วตา่ งจงั หวดั เรานอนหลบั ไปบนรถ พอตนื่ ขน้ึ มา เรามองเหน็ ภาพอสภุ ะ
ภาพคนตายหมดท้ังคันรถนั้น เหน็ ทุกคนในรถล้วนแตเ่ น่าเปน็ ซากศพด้วยกันทงั้ นน้ั
คนขบั รถกเ็ นา่ เปอ่ื ย รถกผ็ พุ งั มคี วามรสู้ กึ วา่ คนในรถลว้ นแตต่ ายกนั ทง้ั หมด ทกุ คน
กำ� ลังนั่งอยบู่ นรถ แลว้ รถคนั น้จี ะพาเราไปถงึ ทีไ่ หนกันก็ไมอ่ าจทราบได้ ในตอนนนั้
เราคดิ ไมอ่ อกวา่ เราจะไปไหนกนั นี่ คดิ วา่ ไมม่ สี ง่ิ มชี วี ติ อยบู่ นรถเลยนอกจากเรา คดิ แต่
เพยี งวา่ รถคนั นกี้ ำ� ลงั จะพาทกุ คนไปสคู่ วามตายเปน็ เบอ้ื งหนา้ นกึ มองเหน็ ภาพวา่ รถจะ
พาทกุ ๆ คนวง่ิ ไปสปู่ ากเหวแลว้ กจ็ ะตอ้ งตายกนั หมด ในขณะนนั้ รสู้ กึ สลดใจวา่ ตอ่ ไปนี้

21

ทกุ คนกจ็ ะตอ้ งตายกนั หมด ไมม่ ใี ครสามารถจะพน้ ความตายไปไดเ้ ลย พอนกึ ไดด้ งั นน้ั
จิตกเ็ ป็นปกติ พจิ ารณาถึงความคิดที่เกิดขน้ึ ท่ผี า่ นมาท�ำใหค้ ดิ อยเู่ สมอว่า เราจะไม่
ประมาท จะสรา้ งแตค่ วามดี สง่ิ ใดไมด่ ี เราจะเวน้ เสยี ....” จติ ใจเหน็ ขนาดนแ้ี ลว้ กย็ งั บวช
ไมไ่ ด้อีก กิเลสของมนุษยน์ ี้ชา่ งหนาแนน่ จรงิ ๆ

ต่อมาประมาณเดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราเรม่ิ รักษาศลี ๘ พอเราทำ� มาได้
๓ สัปดาห์ เราก็พิจารณาถึงเหตุท่ีท�ำให้เราบวชไม่ได้ในตอนน้ีว่าเราติดขัดอะไรอยู่
เราเห็นเหตุ ๒ อย่างคอื

๑. เราหว่ งพ่อและพีน่ ้อง

๒. เรายงั มีความต้องการตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย์....

นสิ ยั ของเรา เราชอบทำ� อะไรตอ่ เมอื่ ใจพรอ้ ม มเี หตผุ ลใหใ้ จเชอื่ ไมบ่ งั คบั จติ ใจ
ถา้ ใจพร้อมจงึ ค่อยทำ� อะไรตามทต่ี อ้ งการ ถา้ ใจเราไมพ่ รอ้ ม ก็ต้องใหเ้ วลาจิตใจบ้าง
พอสมควร ในตอนนน้ั เราคดิ วา่ ๒ ขอ้ นี้ เราละไดเ้ มอื่ ไหร่ เรากจ็ ะบวช อยา่ งมากทส่ี ดุ
ไมเ่ กิน ๕ ปี คงพร้อมที่จะบวช ตอ่ มาไม่นานนกั เราไดพ้ ิจารณาถงึ

ขอ้ ที่ ๑. ความหว่ งพอ่ และพนี่ อ้ ง เราพจิ ารณาวา่ สตั วท์ งั้ หลายมกี รรมเปน็ ของๆ ตน
มกี รรมเปน็ ผใู้ หผ้ ล มกี รรมเปน็ แดนเกดิ มกี รรมเปน็ ผตู้ ดิ ตาม มกี รรมเปน็ ทพี่ ง่ึ อาศยั
ใครท�ำกรรมใดไว้ ดีกต็ าม ชว่ั กต็ าม ยอ่ มได้รบั กรรมนั้น เรามวั แตไ่ ปห่วงคนอื่น
เขาก็ตอ้ งมีความสามารถชว่ ยเหลอื ตัวเองได้ เราได้น�ำมาพจิ ารณาเกิดปญั ญาเห็นจรงิ
ตามนนั้ วา่ เราจะชว่ ยคนอ่นื ได้อย่างไร ทกุ ๆ คนกโ็ ตๆ กนั แลว้ มคี วามคดิ ดว้ ยกัน
ทกุ คน มคี วามรบั ผดิ ชอบแลว้ ทกุ ๆ คนยอ่ มเปน็ ไปตามกรรม เราพจิ ารณาแลว้ เหน็ จรงิ
ตามนั้นเลยตดั ใจได้

ขอ้ ที่ ๒. ประมาณกลางเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราลองนึกถงึ ผหู้ ญิงท่ี
หนา้ ตาดๆี หรอื สวยงาม ๒-๓ คน พอเรานกึ ภาพคนหนง่ึ ขน้ึ มา กเ็ หน็ หนงั ตรงใบหนา้
ลอกออก จิตใจก็เห็นเป็นสภาพไม่สวยไม่งาม เห็นผู้หญิงท่ีนึกถึงในขณะน้ันมีแต่
น�้ำเลอื ดน้ำ� หนองไหลเยม้ิ นองใบหน้า เหน็ เปน็ ภาพในจิต กน็ ึกถงึ คนที่ ๒ พอนึกถึง

22

ใบหนา้ แคข่ ณะจติ เดยี วหนงั กล็ อกออก นำ�้ เลอื ดนำ�้ เหลอื งไหลอาบหนา้ จติ สลดสงั เวชลง
นึกถึงคนท่ี ๓ หนงั ใบหนา้ ก็ลอกออก น้ำ� เลือดนำ้� เหลืองไหลนอง จิตสลดสังเวชมาก
เหน็ เปน็ ภาพในจติ จติ ใจกเ็ กดิ เปลยี่ น เกดิ ความเบอ่ื หนา่ ยมากทสี่ ดุ ถา้ คนเปน็ เชน่ น้ี
เราไมต่ อ้ งการครองเรอื น ตงั้ แตน่ น้ั มาเหน็ ผหู้ ญงิ กไ็ มม่ คี วามตอ้ งการ เพราะจติ ใจทรง
อารมณเ์ บอ่ื หนา่ ยมาตลอด ถา้ เหน็ ผหู้ ญงิ มองดสู กั แตว่ า่ เหน็ ยงั งนั้ เมอื่ จติ ใจเหน็ ผหู้ ญงิ
ไม่สวย กค็ ิดวา่ ในชาติน้ีเราจะไมแ่ ตง่ งาน จะขอปฏบิ ตั ิไปเร่อื ยๆ จนกว่าจะบวช

ปลายเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เย็นวันหนง่ึ คุณนา้ ผหู้ ญงิ ขา้ งบ้านบอกว่า
มีพระมาพักอยู่ท่ีบ้าน ถ้าอยากสนทนาธรรมก็ให้ไปที่บ้านคุณน้า เย็นวันนั้นเราไป
สนทนาธรรมกบั พระ พอสมควรกก็ ลบั บา้ น เราขน้ึ ไปบนหอ้ งพระทบ่ี า้ น หยบิ หนงั สอื
ธรรมะเลม่ หนง่ึ มาอา่ น พอเปดิ ขน้ึ มา เรากพ็ บกบั ประโยคหนงึ่ ซง่ึ เขยี นไวว้ า่ ปจั ฉมิ โอวาท
ขององคส์ มเดจ็ พระศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคไ์ ดต้ รสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย
สังขารท้งั หลายมีความเสอื่ มไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายพงึ ถงึ พร้อมดว้ ยความ
ไม่ประมาทเถิด”

เราอา่ นประโยคน้พี ร้อมกบั พจิ ารณาตาม รสู้ ึกเหน็ จริงตามทีพ่ ระพุทธองคต์ รัส
เราเลยคดิ วา่ การทเ่ี ราตงั้ ใจไวว้ า่ อกี ๕ ปจี ะบวชนน้ั ทำ� ไมตอ้ งรอ ถา้ ตายกอ่ นละ ถา้ ตาย
ตอนนี้ก็คงไม่ได้บวชแน่ ความดีก็ยงั ไม่ได้สรา้ งไวม้ าก ถ้าตายไปก็ไมไ่ ด้อะไรขึน้ มา
ถา้ เราคดิ จะบวชแนน่ อนแลว้ จะรอตอ่ ไปทำ� ไม ตอนนจ้ี ติ ใจเรากพ็ รอ้ มแลว้ ไมฝ่ นื ใจใน
การบวช ไมต่ อ้ งบงั คบั ใจตนเอง เป็นไปด้วยการพจิ ารณาของสติ ปญั ญา และความ
พรอ้ มทใ่ี จดว้ ยความพอดี เราไดพ้ จิ ารณาธรรมบทนอ้ี ยสู่ กั ระยะหนง่ึ ขณะนน้ั เปน็ เวลา
ประมาณ ๒๓.๐๐ น. ในคนื วนั น้นั เราเหน็ ชัดข้ึนมาในจิตดังนี้ ซ่งึ มีความหมายอัน
ลึกซง้ึ และเข้าใจในโอวาทของพระพุทธองค์ ยากที่จะอธบิ ายใหใ้ ครฟงั ได้

ปัจฉิมโอวาทบทน้ี ท�ำให้เราแน่ใจม่ันใจในการบวช ก่อนนอนคืนนั้น เราได้
ตัดสินใจเด็ดขาดและบอกตนเองว่า “แต่นี้ต่อไปอีกไม่เกินสองเดือน เราจะขอบวช
ไม่สกึ ”

23

ท่เี ราให้เวลาตวั เองอกี สองเดอื น เพราะตอ้ งจัดการธุระต่างๆ ให้เสรจ็ เสียก่อน
ตอนนนั้ คดิ วา่ ไมเ่ กนิ ปลายเดอื นมถิ นุ ายนคงจะบวชได้ แตต่ อนนน้ั ยงั ไมค่ ดิ วา่ จะบวช
ท่ีไหน มคี วามตั้งใจไวว้ า่

๑. จะบวชไม่สกึ

๒. ต้องบวชแบบง่ายๆ ไม่มีแห่นาค ไมม่ ีดมื่ เหลา้ ไมม่ ีมหรสพเด็ดขาด

๓. จะบวชวดั ทไ่ี มม่ กี ารปลกุ เสกพระ เชอ่ื ในเรอ่ื งกรรมมากกวา่ เครอื่ งรางของขลงั

๔. ตอ้ งบวชต่างจงั หวัด ตามปา่ ตามเขา ตามชนบท

เราคดิ คนเดยี วในใจวา่ ถา้ บวชแลว้ จะเขา้ ไปปฏบิ ตั อิ ยใู่ นปา่ ในถำ�้ องคเ์ ดยี วจนกวา่
จะตาย ถา้ ไมพ่ น้ ทกุ ขก์ จ็ ะขอตายอยใู่ นปา่ ขณะนน้ั จติ ใจเรามงุ่ มนั่ เดด็ เดย่ี วมาก อยากจะ
ทำ� อยา่ งนจ้ี รงิ ๆ ประกอบกบั วา่ เรายงั ไมม่ คี วามรใู้ นเรอ่ื งราวตา่ งๆ ดพี อ เขา้ ใจวา่ บวชแลว้
จะทำ� อะไรกไ็ ด้ จะไปไหนกไ็ ดต้ ามใจเรา ภายหลงั มาทราบวา่ บวชแลว้ ตอ้ งอยวู่ ดั จนครบ
๕ พรรษากอ่ น จึงจะไปไหนไดต้ ามล�ำพงั

เราลองถามคณุ นา้ ผหู้ ญงิ ดวู า่ ถา้ จะบวช อยากใหบ้ วชทไ่ี หน คณุ นา้ แนะนำ� ครบู า-
อาจารยข์ น้ึ มา ๒ รปู คอื หลวงตามหาบวั และหลวงพอ่ ชา เราถามวา่ วดั หลวงตามหาบวั
อยู่ทีไ่ หน? วดั หลวงพ่อชาอยู่ท่ไี หน? คณุ นา้ กน็ ำ� รูปท้ังสองท่านมาให้ดู เรากค็ ิดว่า
ครบู าอาจารยท์ งั้ สองทา่ นเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ คณุ นา้ อยากใหบ้ วชทวี่ ดั หนองปา่ พง
เพราะมีหลานชายบวชอยู่ทีน่ น่ั เราไดถ้ ามต่อว่า ท่ีวัดหนองปา่ พงบวชง่ายหรอื เปลา่ ?
อยู่ต่างจังหวดั ไหม? มกี ารปลกุ เสกพระไหม? คณุ น้าบอกว่า บวชงา่ ยๆ ไมม่ ีการ
ปลกุ เสกพระ เรากเ็ ลยคดิ วา่ ไหนๆ จะบวชไมส่ กึ อยแู่ ลว้ กค็ วรบวชทว่ี ดั หนองปา่ พงนี้
เพราะโยมพอ่ กอ็ ย่จู ังหวดั อบุ ลราชธานี ถ้าไปบวชท่วี ัดปา่ บา้ นตาด อดุ รธานี เกรงว่า
โยมพ่อจะเดินทางไปเย่ยี มลำ� บาก และเปน็ หว่ ง เพราะชว่ งนน้ั โยมพอ่ ท�ำธรุ กิจอยูท่ ่ี
อุบลราชธานี จึงตดั สนิ ใจบวชทวี่ ดั หนองปา่ พง

24

เมอื่ คดิ จะบวชไมส่ กึ เพราะไมต่ อ้ งการเกดิ อกี แตเ่ รากไ็ มส่ ามารถจะรไู้ ดว้ า่ ทางที่
ถกู ตอ้ งทสี่ ดุ ในการแสวงหาความไมเ่ กดิ อกี นี้ คอื การบวชนห่ี รอื ? เปน็ วธิ ที ถ่ี กู ตอ้ งทส่ี ดุ
แลว้ หรอื ? ท�ำยังไงจึงจะรไู้ ดห้ นอ?

เหตุท่คี ิดเช่นนี้ เป็นเพราะว่าในขณะนนั้ เราเป็นคนไมม่ ีความร้เู รอ่ื งการบวชเลย
ไมไ่ ดศ้ กึ ษาอะไร เพยี งแตไ่ มอ่ ยากเกดิ แลว้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ทที่ า่ นออกบรรพชาแลว้
ตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เรารจู้ ากการเรยี นในหนงั สอื ศลี ธรรม แตว่ ธิ กี ารดำ� เนนิ
เราไมร่ ูว้ า่ พระองค์ทรงทำ� อยา่ งไร?

ในระหวา่ งเดอื นพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กม็ คี ำ� ถามขน้ึ ในจติ เราเสมอวา่ เราจะรู้
ไดอ้ ยา่ งไรว่าการบวชนจ้ี ะเปน็ ทางไมเ่ กิดอีก เป็นทางท่ถี กู ตอ้ งแล้ว?

วนั หนงึ่ ในเดอื นพฤษภาคม เรานงั่ รถประจำ� ทางกลบั จากวทิ ยาลยั กน็ งั่ คดิ อยใู่ นใจ
คนเดยี ววา่

“เราจะรู้ได้อย่างไรนะว่าทางนี้ถกู ตอ้ งทีส่ ุด”

มีคำ� ตอบสะทอ้ นออกมาจากภายในจิตใจ เห็นเป็นนิมติ เกดิ ข้ึนในจติ วา่

“มแี กงอยู่ ๒ ถว้ ย ทง้ั ๒ ถว้ ยนี้เป็นแกงเผ็ดชนิดเดยี วกัน

ถว้ ยแรก มองดูสสี ันของแกงแล้วนา่ ทานกวา่ ถ้วยสอง เมอ่ื เราเห็นแกงถว้ ยแรก
นา่ ทานกวา่ เรากเ็ ลยตกั ถว้ ยแรกกนิ กอ่ น เมอ่ื ลองทานแลว้ กเ็ หน็ วา่ มรี สอรอ่ ยดี กเ็ ลย
มวั แตท่ านแกงถว้ ยแรกทกุ วนั ๆ โดยไมส่ นใจแกงถว้ ยสอง เพราะถว้ ยสองมองดสู สี นั
ไมน่ ่าทาน

พอทานแกงถว้ ยแรกทกุ ๆ วนั จนกระทง่ั รสู้ กึ เบอื่ กห็ นั ไปเหน็ แกงถว้ ยสอง นกึ อยาก
ลองชิมดู พอตักใส่ปากคำ� แรกเทา่ น้นั เราก็อุทานออกมาจากจติ ว่า โอโ้ ฮ.....แกงถว้ ย
สองนอี้ รอ่ ยกวา่ ถว้ ยแรกเสยี อกี นเี่ รามวั หลงโงท่ านแตแ่ กงถว้ ยแรกทกุ ๆ วนั โดยไมร่ เู้ ลย

25

วา่ รสชาตสิ แู้ กงถว้ ยสองนไี้ มไ่ ดเ้ ลย ตอ่ ไปไมก่ นิ แลว้ ละ่ แกงถว้ ยแรก จากนนั้ กม็ คี ำ� ตอบ
ออกมาจากจิตอกี วา่ ....

แกงถว้ ยแรก คือ การดำ� เนินชวี ิตในเพศฆราวาสท่เี รากำ� ลังดำ� เนนิ อยู่ หมายถงึ
ชวี ติ ทางฝ่ายโลก

แกงถ้วยสอง คือ การด�ำเนนิ ชีวติ ในเพศนกั บวช ปฏิบตั ิกรรมฐานจนกว่าจะ
ไม่เกิดอีก หมายถึงชีวติ ฝา่ ยธรรม”

ครงั้ แรกเราเกดิ มาใชช้ วี ติ ในทางโลก เหมอื นกบั การทานแกงถว้ ยแรก จนกระทง่ั
ตอ่ มารสู้ กึ เบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ไมอ่ ยากเกิดอีก หมายถงึ เราทานแกงถว้ ยแรก
จนเบอ่ื ตอ่ มามโี อกาสไดส้ มั ผสั กบั ความสขุ ของการนง่ั สมาธิ ทำ� ใหเ้ ราเหน็ วา่ ชวี ติ ทางโลก
สคู้ วามสงบจากการนงั่ สมาธไิ มไ่ ดเ้ ลย หมายความวา่ เราลองชมิ แกงถว้ ยทส่ี อง ไดร้ บั
ความอรอ่ ยจากถว้ ยทสี่ อง จงึ รวู้ า่ แกงถว้ ยแรกสถู้ ว้ ยสองไมไ่ ดเ้ ลย ถา้ จะเปรยี บเทยี บกนั
แล้วแสดงให้เห็นว่าความอร่อยของแกงถ้วยสอง หรือการยินดีในเพศสมณะนั้นมี
ความสขุ มากกวา่ ฆราวาส และสามารถทำ� ให้เราพน้ ทกุ ขไ์ ด้

เมอื่ จติ ถามตวั เองและตอบขนึ้ มาเองดงั นแ้ี ลว้ ทำ� ใหเ้ รานงั่ งงอยพู่ กั หนง่ึ และรำ� พงึ
ในใจว่า

เอะ๊ ....ใครตอบขน้ึ มาน่?ี ความรสู้ ึกเหมอื นกับว่าเราไมไ่ ด้ตอบขึน้ มาเอง แตม่ ี
คนพดู ใหฟ้ งั ทำ� ใหเ้ รางง และในขณะนนั้ ทำ� ใหเ้ ราเกดิ ความมน่ั ใจขนึ้ มามากทเี ดยี ววา่
ทางนี้ถูกทางแล้ว

พอตัดสินใจบวช จติ ของเรามนั แปลก จิตเปน็ หนึง่ ไม่มีสอง ไม่อาลัยอาวรณ์
ในโลก กอ่ นจะบวชถามตนเองเพื่อทดสอบจติ ใจตนเองว่า

๑. ใหท้ รพั ยส์ มบตั หิ มดทงั้ โลกเปน็ ของเราผเู้ ดยี ว แตห่ า้ มการบวช จะเอาไหม?

เราตอบในใจว่า.....เราไม่ปรารถนา เราปรารถนาการบวช

26

๒. ให้เรามอี �ำนาจมากทส่ี ดุ สามารถทำ� อะไรก็ได้ แต่หา้ มการบวช
เราตอบว่า.......เราไมป่ รารถนา เราปรารถนาการบวช
๓. ให้เลือกผู้หญงิ ไดต้ ามตอ้ งการ เป็นร้อยเป็นพันกไ็ ด้ตามปรารถนา แตห่ า้ ม
การบวช
เราตอบวา่ ....เราไมป่ รารถนา เราปรารถนาการบวช
..............เม่ือพบหลวงพอ่ ชา และหลวงพอ่ ทราบวา่ เราอยากจะบวช
หลวงพอ่ ชาหันมาถามว่า “ทำ� ไมถึงอยากบวช”
เราตอบทา่ นสน้ั ๆ วา่ “ผมไม่อยากเกิดอกี ครับ”
หลวงพอ่ ชาท่านกเ็ งียบไปสกั ครหู่ น่ึง ทา่ นกพ็ ูดให้เราฟังว่า
“เรานะ่ บ้า รู้ตวั ม้ัย.....บ้ามสี องอย่างนะ คอื บา้ ข้างบนกบั บ้าขา้ งลา่ ง
บา้ ขา้ งลา่ ง หมายถงึ คนวกิ ลจรติ พดู จาเพอ้ เจอ้ ไมร่ เู้ รอ่ื ง ไมม่ สี ติ เขาถงึ เรยี กวา่
คนบา้
คนอยตู่ รงกลาง คือ คนปกตธิ รรมดาสามญั ชนทวั่ ๆ ไป
บา้ ข้างบน หมายถงึ พระอริยเจ้า เราน่ะมันบา้ ขา้ งบน....ร้ไู หม เป็นพระอริยเจ้า
การบวชอยใู่ นเพศสมณะนี้ เปน็ เพศทีป่ ระมาณค่ามิได้”
หลวงพ่อชาถามว่า “เราเข้าใจไหม”
เราจึงเรยี นตอบว่า “เขา้ ใจครับ”
หลวงพอ่ ชาถามว่า “เขา้ ใจว่าอย่างไร”

27

เราเรยี นตอบท่านว่า “หมายถึงว่า ไม่มีทรัพยส์ มบัติหรอื สง่ิ มีคา่ อะไรจะมามคี ่า
หรือเทยี บเท่ากบั การอยใู่ นเพศสมณะได้ครับ จึงวา่ ประมาณค่ามไิ ด้”

หลวงพอ่ ชากล่าววา่ “ถูกตอ้ งแล้ว”

จากนั้นท่านได้พูดให้เราฟังอีกสักครู่ ท่านก็บอกให้ไปขออนุญาตโยมพ่อก่อน
ไมต่ อ้ งกลวั ทนี่ เ่ี ปน็ บา้ นของเรา พอหลวงพอ่ พดู จบ เรารสู้ กึ วา่ จติ ใจเกดิ ปตี จิ นบอกไมถ่ กู
ทำ� ใหม้ คี วามมนั่ ใจมากขน้ึ ในทกุ ๆ อยา่ ง ความสงสยั หายหมดสนิ้ โดยไมต่ อ้ งถามทา่ นอกี
เพราะคราวแรกเราต้ังใจจะมาถามปญั หากับทา่ น ท่านไดต้ อบปัญหาให้เรากอ่ นท่ีเรา
จะถาม หลังจากน้นั เราจึงขออนุญาตท่านกลบั ไปบ้านขออนุญาตโยมพ่อเพอ่ื จะบวช

เย็นวันต่อมา เรากราบนมัสการลาหลวงพ่อชากลับกรงุ เทพฯ

หลวงพ่อถามวา่ “จะบวชเมอ่ื ไหร่?”

เราตอบทา่ นวา่ “อกี ๒ เดอื นจากนไ้ี ปครบั ผมขอกลบั ไปทำ� ธรุ ะเรอื่ งตา่ งๆ ใหเ้ สรจ็
ก่อนครับ”

ปลายเดอื นพฤษภาคม ไดร้ บั ขา่ วจากทางมหาวทิ ยาลยั โคโรลาโด ประเทศสหรฐั -
อเมรกิ า ตอบรบั เขา้ ศกึ ษาตอ่ ในระดบั ปรญิ ญาโท สาขาการวางผงั เมอื ง ทางมหาวทิ ยาลยั
ใหไ้ ปสัมภาษณ์ในวนั ที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราไดพ้ จิ ารณาแล้วว่าจะบวช
ตดั สนิ ใจเดด็ ขาดแลว้ จงึ สละสทิ ธไิ์ มไ่ ปศกึ ษาตอ่ แตเ่ ราสมคั รเขา้ ศกึ ษาตอ่ ทวี่ ทิ ยาลยั ซง่ึ
เปน็ สาขาขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คอื วดั หนองปา่ พง จงั หวดั อบุ ลราชธานี

............... “เมอื่ เขา้ มาอย่วู ัดหนองปา่ พง รูส้ กึ เหมือนอยู่อกี โลกหนึ่ง มแี ตค่ วาม
สบายทไี่ ดร้ บั จากความสงบจากธรรมชาติ คราวนลี้ ะ่ เราจะขดุ รากถอนโคนกเิ ลสใหห้ มด
สนิ้ ไป คราวนแ้ี หละเปน็ โอกาสดแี ลว้ ละ่ รสู้ กึ วา่ ภาระความรบั ผดิ ชอบทางโลกหมดไป
เมอ่ื เขา้ มาวดั มแี ตค่ ดิ วา่ เปน็ โอกาสดแี ลว้ ทเ่ี ราจะทำ� ใหถ้ งึ ทส่ี ดุ แหง่ ความพน้ ทกุ ข์ เราจะ
ปฏิบัติจนกว่าเราจะพ้นทุกข์ ถ้าไม่พ้นทุกข์ในชาติน้ี เกิดมาชาติหน้าเราจะท�ำต่ออีก
เราจะท�ำจนกวา่ เราจะตายไปถึงจะหยดุ ท�ำ”

28

เราไดโ้ กนศีรษะเปน็ ผา้ ขาว เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๑
บวชเป็นสามเณร เม่ือวันที่ ๒๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑
บวชเปน็ พระภิกษุ เมอื่ วันท่ี ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑
เราขอยตุ ชิ ีวติ ฆราวาสแตเ่ พยี งเทา่ นี้

29

“บันทึกการปฏิบัติในชวี ติ สมณะ”

การเขยี นบันทึกเลม่ น้ีข้นึ มามไิ ด้มุง่ หวังอะไรมากนัก มไิ ดห้ วงั คำ� สรรเสริญหรือ
เยนิ ยอ เพราะเราร้ตู วั ดีว่าสง่ิ น้ไี ม่สามารถจะท�ำให้เราหลงตัวเองหรอื พลอยยนิ ดีดว้ ย
เพราะวา่ ใครจะวา่ อะไรกช็ า่ ง ความจรงิ กย็ อ่ มเปน็ ความจรงิ อยตู่ ลอดไป เรายอ่ มรตู้ วั เอง
ดกี ว่าใครๆ วา่ เรามคี วามคดิ เชน่ ไร ท�ำไปเพื่ออะไร

บนั ทกึ เลม่ นอี้ าจจะไมม่ เี นอื้ หาสาระ ไมม่ แี กน่ สาร หรอื อะไรพิสดารนกั แตเ่ ปน็
ส่วนหน่ึงของการปฏิบัติของเราเท่านั้นท่ีพอจะน�ำมาเขียนบันทึกไว้ได้ตามแต่ความจ�ำ
จะจ�ำได้ แตจ่ ะให้ละเอยี ดชัดเจนนกั นั้นย่อมเปน็ ไปไม่ได้ เพราะทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งรไู้ ด้
เฉพาะตวั

แตว่ า่ ...บนั ทกึ นอี้ าจมปี ระโยชนบ์ า้ งสำ� หรบั ผทู้ จี่ ะปฏบิ ตั เิ พอ่ื ตอ้ งการความพน้ ทกุ ข์
มนั เปน็ เพยี งหนทางเรม่ิ ตน้ เทา่ นน้ั ไมใ่ ชจ่ ะทำ� ใหพ้ น้ ทกุ ขไ์ ดเ้ ลย แตอ่ าจจะทำ� ใหค้ วามทกุ ข์
ความโศกเศรา้ ตา่ งๆ พอจะบรรเทาไปไดบ้ ้างเลก็ นอ้ ยถ้าปฏิบตั ติ ามได้

ถา้ เปน็ ประโยชนบ์ า้ งเลก็ นอ้ ยตอ่ โยมพอ่ พี่ นอ้ ง หรอื ใครกต็ ามสกั คนหนงึ่ กถ็ อื
ไดว้ า่ มเิ สยี แรงทอ่ี ตุ สา่ หบ์ นั ทกึ ไว้ ถา้ เกดิ ประโยชน์ กข็ ออนโุ มทนาดว้ ยตอ่ บคุ คลซง่ึ ไดร้ บั
ประโยชนน์ ี้เพราะว่า

“ธรรมท้งั หลายท่เี รายงั ไมร่ ู้น้นั ยงั มีอีกมาก”
“ความบรสิ ทุ ธิท์ ่ีเรายังไมถ่ งึ ก็ยังมอี ีก”

30

บนั ทกึ นเ้ี ราเรม่ิ เขยี นเมอ่ื วนั ที่ ๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ตง้ั แตเ่ ราเรม่ิ บวชจนถงึ
พรรษาที่ ๓ ปลายปี
และเราก็บนั ทกึ ต่อเนือ่ งมาเร่ือยๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๑
และเร่ิมบนั ทกึ ตอ่ อีกครั้งเมือ่ วันท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๓
สว่ นทเี่ หลอื นน้ั เราเขยี นจากความทรงจำ� ทย่ี งั หลงเหลอื อยขู่ องเรา เนอ่ื งจากเรา
หยุดบนั ทึกมานาน เพราะเหตุวา่ ทุกส่งิ ทกุ อยา่ งหยดุ น่งิ ไม่อยากพดู ไมอ่ ยากเขยี น
ในขณะน้ัน
ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขสบายทุกทัว่ หนา้ กนั ด้วยเทอญ

พระอคั รเดช ถริ จิตโฺ ต

31

ชีวิตใตร้ ่มผ้ากาสาวพัสตร์

“ความทรงจ�ำที่เหลือ”
ชวี ิตใหม่ของเราเรม่ิ ขึ้นเมือ่ วันท่ี ๕ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราเดินทางไปบวช
ผา้ ขาวทวี่ ดั บงึ ลฏั ฐวิ นั ต.ทา่ หลวง อ.ทา่ เรอื จ.พระนครศรอี ยธุ ยา โดยรว่ มออกเดนิ ทาง
ไปวดั หนองปา่ พง จ.อบุ ลราชธานี กบั คณะญาตโิ ยม ในวนั ท่ี ๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑
เพ่ือไปงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่อชา สุภทฺโท มีน้องชายและเพื่อน ๒-๓ คน
รว่ มเดนิ ทางไปดว้ ย ในคราวนน้ั เรามไิ ดแ้ จง้ หรอื บอกขา่ วการบวชใหเ้ พอื่ นๆ ทราบ เพราะ
เกรงว่าเขาจะไม่เขา้ ใจในตัวเรา ถึงจะพดู ให้ฟังก็คดิ วา่ เพือ่ นๆ คงไม่เข้าใจในตวั เรา
เมอ่ื เสรจ็ งานบญุ วนั คลา้ ยวนั เกดิ หลวงพอ่ ชา วนั ท่ี ๑๑ มถิ นุ ายน ๒๕๒๑ (ในปนี นั้
ทา่ นนบั วนั เกดิ เปน็ ขา้ งขน้ึ ขา้ งแรม งานบญุ วนั คลา้ ยวนั เกดิ หลวงพอ่ ชาจงึ ตรงกบั วนั ท่ี
๑๑ ม.ิ ย.) คณะทม่ี าจากทา่ ลานเดนิ ทางกลบั พวกเขาเหลา่ นน้ั ลมื เราหมดทกุ คน ทงิ้ เราไวท้ ่ี
วัดหนองป่าพงคนเดยี ว....
จากบา้ นมาสวู่ ดั คนอนื่ บอกวา่ รสู้ กึ เหงาวงั เวงใจอยา่ งบอกไมถ่ กู ไมส่ นกุ และอน่ื ๆ
แต่ส�ำหรับเราคนน้ีกลับมีความรู้สึกท่ีตรงกันข้ามกับคนอ่ืน เรารู้สึกเหมือนมาอยู่
อกี โลกหน่งึ จติ ใจปกติ มแี ตค่ วามสบายท่ีไดร้ ับจากความสงบ จากธรรมชาติของวัด
หนองปา่ พง

32

อีกส่วนหนง่ึ คดิ อยเู่ สมอวา่ คราวน.ี้ ..คราวนลี้ ะ เราจะขดุ รากถอนโคนกิเลสให้
หมดส้ินไป คราวนี้แหละเปน็ โอกาสดแี ลว้ ร้สู กึ ว่าภาระความรับผดิ ชอบทางโลกนน้ั
หมดไป เม่ือเข้ามาวัด จิตใจคิดแต่ว่าเป็นโอกาสดีแล้วที่เราจะท�ำให้ถึงท่ีสุดแห่ง
ความทกุ ข์ เราจะปฏบิ ตั จิ นกวา่ เราจะพน้ ทกุ ข์ ไมก่ ลบั มาเกดิ อกี ถา้ ไมพ่ น้ ทกุ ขใ์ นชาตนิ ี้
เกดิ มาชาติหนา้ เราจะทำ� ตอ่ อกี เราจะทำ� จนกว่าเราจะตายไปถึงจะหยุดท�ำ...

อาหารมอื้ แรกในขณะทเี่ ปน็ ผา้ ขาวทวี่ ดั หนองปา่ พงนน้ั อาหารทกุ ชนดิ รวมลงใน
กะละมังสีขาว ระหวา่ งท่รี บั ประทานอาหารจวนจะหมดนนั้ ในภาชนะมขี นมหวานคือ
วุ้นกะทิเปื้อนแกงเผ็ด พอเราตักขนมนั้นเข้าปาก ได้สัมผัสรสขนมที่เปื้อนแกงเผ็ด
เรารสู้ กึ รงั เกยี จ เลยคายทง้ิ ลงกระโถนไป ขณะนน้ั มสี ตเิ ตอื นขนึ้ มาวา่ “ทำ� ไมทานไมไ่ ด้
ในกระเพาะมชี ่องแยกเป็นอาหารคาวหวานหรือไม”่ จติ กต็ อบวา่ “ไมม่ ี กระเพาะมี
ช่องเดียว” “คนอ่ืนท�ำไมทานได้...แล้วเราท�ำไมทานไม่ได้” เลยรู้สึกเจ็บใจตนเองที่
แพก้ เิ ลส ในขณะนน้ั เราเลยตงั้ สจั จะลงไปวา่ “นบั แตน่ เี้ ปน็ ตน้ ไป ถา้ วนั ใดฉนั ภตั ตาหาร
ดว้ ยความอยาก เราจะไมฉ่ นั ภตั ตาหารในวนั นนั้ ” ในระหวา่ งทกี่ ำ� ลงั เดนิ ไปทล่ี า้ งภาชนะ
รสู้ กึ เจบ็ ใจตนเองทแ่ี พก้ เิ ลส จงึ พดู กบั ใจตนเองวา่ “เราจะขดุ รากถอนโคนกเิ ลสใหส้ นิ้ ไป
จากจติ ใจของเรา” เมอ่ื ลา้ งภาชนะเสรจ็ กลบั มาทศ่ี าลา มโี ยมลกู ศษิ ยห์ ลวงพอ่ ชามาตาม
เราไปกราบถวายตัวเป็นศษิ ยห์ ลวงพอ่ ในขณะทเ่ี รากราบถวายดอกไม้ธูปเทียนเสร็จ
หลวงพอ่ สนทนาถามความเปน็ มา แลว้ ทา่ นกก็ ลา่ วสอนวา่ “เอาใหด้ นี ะ...ขดุ รากถอนโคน
กเิ ลสใหม้ นั หมดสนิ้ ไปจากใจ” เรารสู้ กึ แปลกใจวา่ คำ� พดู ประโยคนเี้ ราพดู กบั ใจตนเอง
ในขณะทเี่ ราเดนิ ไปลา้ งภาชนะ

หลังจากนน้ั ทุกๆ วันกอ่ นทานอาหาร หรือก่อนฉันภัตตาหารในเวลาทบ่ี วชแล้ว
เราจะพจิ ารณาอาหารกอ่ นฉันให้เหน็ เป็นปฏกิ ลู ใหจ้ ติ เปน็ อุเบกขา จงึ มสี ติในการฉนั
อาหาร ถา้ พจิ ารณากอ่ นทานหรอื ฉนั อาหารไมท่ นั เราจะกำ� หนดจติ ใหเ้ ปน็ สมาธิ จนจติ
เป็นอุเบกขา แลว้ จึงฉันอาหาร ถา้ พิจารณาอาหารไมท่ นั เราจะมสี ติพิจารณาอาหาร
ขณะฉัน ถ้ายังไม่พอใจ ก็จะพจิ ารณาอาหารหลังจากฉันเสร็จแลว้

33

กอ่ นฉนั อาหาร เราจะพจิ ารณาอาหารใหเ้ ปน็ ปฏกิ ลู เปน็ ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม
ธาตไุ ฟ ขณะฉนั เราพจิ ารณารสสมั ผสั ทโี่ คนลนิ้ รวู้ า่ รสเปรย้ี ว เคม็ หวาน อรอ่ ยหรอื
ไม่อร่อย ให้เห็นความเกิดดับในปัจจุบัน เมื่ออาหารล่วงผ่านล�ำคอไปแล้วก็จะไม่มี
รสชาตอิ ะไร หลงั ฉนั เราจะพจิ ารณาวา่ อาหารทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งจะรวมลงในกระเพาะอาหาร
ไมม่ ชี อ่ งอาหารหวานคาว ทกุ สงิ่ เมอ่ื รวมลงไปในกระเพาะอาหาร ธาตไุ ฟในรา่ งกายและ
นำ�้ ยอ่ ยกจ็ ะเผาผลาญอาหาร สว่ นทเี่ ปน็ ประโยชนก์ ถ็ กู ดดู ซมึ ไปหลอ่ เลย้ี งรา่ งกาย สว่ นท่ี
ไม่เป็นประโยชนก์ ็จะถูกขบั ถา่ ยเปน็ ธาตดุ นิ ธาตนุ ้�ำ จติ กว็ างเป็นอุเบกขา เราทำ� เช่นนี้
ตลอดมาในทุกๆ วนั ...
เรามาอยวู่ ดั หนองปา่ พงใหมๆ่ ไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื และความสะดวกสบายในสงิ่
ตา่ งๆ ดว้ ยดี ทำ� ใหเ้ ราเขา้ ใจเรอื่ งการอยใู่ นเพศสมณะไดด้ ขี นึ้ ตอ้ งขอขอบคณุ ทา่ นอาจารย์
ทุกๆ ทา่ นไว้ ณ ท่นี ี้ดว้ ย ซึ่งเราไมเ่ คยลมื เลย
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๑ บรรพชาเปน็ สามเณร
วันท่ี ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ อุปสมบทเป็นพระภกิ ษุ ณ อุโบสถวัด
หนองปา่ พง
ได้รับฉายา “ถิรจิตฺโต” ผู้มจี ติ ต้งั มัน่
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สภุ ทโฺ ท) เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ พระครูโพธิสาร-
คณุ วฒั น์ (พระอาจารยบ์ ญุ ชู €ติ คโุ ณ) เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระโจเซฟ ปภากาโร
เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์

34

พรรษาท่ี ๑
วดั บึงเขาหลวง ต.กลางใหญ่ อ.เข่อื งใน จ.อบุ ลราชธานี

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เราและหมูค่ ณะรวม ๕ รูป ถูกสง่ ไป
จ�ำพรรษาท่ีวัดบึงเขาหลวง เป็นวัดป่าอยู่บนเนินเขา มีต้นไม้ใหญ่มากแต่ไม่ทึบ
เปน็ ปา่ โปรง่ ๆ มบี งึ อยใู่ นบรเิ วณวดั มหี ลวงพอ่ จนั ทร์ อนิ ทฺ วโี ร เปน็ ประธานสงฆ์ กอ่ นทเ่ี รา
จะไปอยวู่ ดั บงึ เขาหลวง เราเหน็ นมิ ติ พระองคห์ นงึ่ เดนิ เขา้ ไปในปา่ แลว้ เราเดนิ ตามหลงั
ในนมิ ติ มีลักษณะคล้ายหลวงพ่อจนั ทร์

ในเรอื่ งของการฉนั ภตั ตาหาร เราถอื ธดุ งควตั ร ฉนั มอื้ เดยี ว ภาชนะเดยี ว และไม่
รบั อาหารทมี่ าภายหลงั มพี ระเจา้ หนา้ ทแี่ จกอาหาร อาหารประเภทใดทเ่ี ราอยากฉนั มากๆ
เราจะไม่ฉัน อาหารไหนทเ่ี ราชอบมากๆ เราก็รับไวน้ อ้ ยหรือไม่รับเลย อาหารอนั ไหน
ทเ่ี ราไมช่ อบ เรากร็ บั ใหม้ ากขนึ้ ถา้ ยงั ไมพ่ อใจในการควบคมุ อาหาร เมอ่ื จดั อาหารลง
ในบาตรเรยี บรอ้ ยหมดแลว้ เราจะคลกุ อาหารรวมกนั ทงั้ หมดใหม้ รี สชาตเิ ดยี วจงึ คอ่ ย
ฉันอาหารนัน้ เราท�ำเชน่ นอ้ี ยเู่ ป็นประจำ� เปน็ การทวนกระแสกิเลสในเรอ่ื งอาหาร

วนั หนง่ึ ในพรรษา มโี ยมนำ� ขา้ วเหนยี วถว่ั ดำ� มาถวาย จดั เปน็ ถว้ ยถวายพระเณร
นานๆ ทจี งึ จะมขี นมหวานเชน่ นม้ี าถวายพระเณรสกั ครง้ั หนง่ึ เราชอบฉนั ขา้ วเหนยี วถวั่ ดำ�
เราจึงรับไว้ ๑ ถ้วย ก่อนฉนั เรากเ็ ทขนมนีล้ งในบาตร และพิจารณาอาหารกอ่ นฉัน
เราเห็นจติ ใจเราว่าเราอยากฉนั ขนมนี้ เราจงึ คลกุ เคล้าอาหารรวมกันทง้ั หมด เวลาฉนั
จงึ เปน็ รสชาตเิ ดยี วกนั หมด ไมไ่ ดส้ มั ผสั รสชาตขิ นมถว้ ยนน้ั เลย หลงั ฉนั อาหารเสรจ็ แลว้

35

ไปลา้ งบาตร ระหวา่ งทลี่ า้ งบาตรอยนู่ น้ั กเ็ หน็ วา่ จติ ใจยงั โหยหาขนมถว้ ยนี้ คอื มนั อยาก
ฉนั ขนมถว้ ยนี้ แตไ่ มใ่ หม้ นั ฉนั จติ ใจมนั จงึ โหยหาถงึ ขนมถว้ ยนจี้ นออกมาทางคำ� พดู
ถามเพ่ือนพระดว้ ยกันวา่ “เม่อื กี้ท่านไดฉ้ ันขา้ วเหนยี วถ่วั ดำ� ม้ยั ” เพอ่ื นพระก็ตอบว่า
“ไดฉ้ นั อย”ู่ เราถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง... อร่อยมยั้ ” เพ่ือนก็ตอบว่า “อรอ่ ยด”ี ....
นี่แหละ กเิ ลสในจติ เมอ่ื ถูกควบคมุ มากๆ จะดน้ิ รนไปตามกเิ ลสตณั หา

สว่ นการปฏบิ ตั ขิ องเราตอนพรรษา ๑ นนั้ เราทำ� ความเพยี รในอริ ยิ าบถนง่ั สมาธิ
หรอื เดนิ จงกรม วนั หนงึ่ ไมต่ ำ่� กวา่ ๘-๑๐ ชว่ั โมง นอนพกั กลางคนื ๔ ชวั่ โมง กลางวนั
ไม่พัก (นอกจากอาพาธ) เนสชั ชิกทุกวนั พระ เรอื่ งกุฎีท่พี ัก เราถอื เสนาสนะตามท่ี
ทา่ นจดั ให้ พจิ ารณามรณานสุ สตทิ กุ ๆ เชา้ ทตี่ น่ื ขนึ้ มาวา่ วนั นเ้ี รายงั มชี วี ติ อยหู่ รอื ยงั มี
ลมหายใจ คนื นเ้ี ราจะตายตอนเวลา ๒๒.๐๐ น. เวลานอน พอพจิ ารณาความตายเสรจ็
สติกก็ ลบั มาอย่ใู นปัจจบุ ัน แลว้ คิดวา่ วันนี้เราจะท�ำความเพยี รให้มากท่สี ุด เราจะไม่
ประมาทในชีวติ เราก็จะมีสตคิ ุมจิตในทุกๆ อริ ิยาบถเท่าท่ีจะท�ำได้ ให้สตติ ัง้ มน่ั อยู่
ในปจั จบุ ัน โดยไมค่ ดิ ถึงอดตี และอนาคต เมอื่ คดิ ถงึ อดีต เราก็ใช้ปัญญาพิจารณา
ละความคิดอันนั้นออกไป เม่ือคิดถึงอนาคต เราก็ใช้สติปัญญาละอารมณ์ออกไป
สตกิ ก็ ลบั มาอยใู่ นปจั จบุ นั ถา้ มอี ารมณค์ วามโลภ โกรธ ความพอใจ ไมพ่ อใจ ในรปู เสยี ง
กล่ิน รส สัมผัส เกดิ ข้ึน เรากใ็ ชส้ ตปิ ัญญาพจิ ารณาละอารมณน์ ้ันในทกุ ๆ ขณะจติ
เพอ่ื ทำ� จติ ใหเ้ ปน็ กลาง เปน็ อเุ บกขา....เราพยายามทำ� สตใิ หม้ าก และพยายามตามดจู ติ
ของตัวเอง ก่อนบวชเราเคยหัดฝึกสติมาบ้างแล้ว โดยพยายามให้จิตคิดแต่ส่ิงท่ีดี
ถา้ จติ คดิ ไปในทางไมด่ ี เรากร็ บี กำ� หนดลมหายใจทกุ ครง้ั ไป ทำ� ใหค้ วามคดิ ไมด่ หี ายไป
วธิ นี ด้ี มี ากและไดผ้ ลสำ� หรบั ตวั เรา ตอ่ มาเมอ่ื เรามาบวช เราพยายามกำ� หนดสตวิ ธิ ใี หม่
คอื พยายามทำ� สมาธิ ถา้ จติ คดิ ในทางทดี่ หี รอื ไมด่ ี เรากพ็ ยายามไมใ่ หค้ ดิ เราจะพยายาม
ทำ� สมาธิ กำ� หนดสตดิ ลู มหายใจเขา้ -ออก ไมใ่ หค้ ดิ ถงึ เรอื่ งตา่ งๆ เราคดิ วา่ ความคดิ ดี
หรือไม่ดีควรตดั ออก พยายามทำ� ความสงบ เราเชื่อในคำ� สัง่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ว่า
“สติ เป็นทางสายเอก” จรงิ ๆ

36

อยู่ท่ีวัดบึงเขาหลวง เราพยายามฝึกสติและตามดูจิตของเรา การนั่งสมาธิใน
ระยะนนั้ เราใชค้ ำ� ภาวนาวา่ พทุ -โธ หายใจเขา้ -พทุ หายใจออก-โธ เราทำ� ความสงบ
แต่อย่างเดียวในตอนนนั้ บางคร้งั มนี ิมิตปรากฏ ระยะแรกๆ เราดูบ้างไม่ดบู า้ ง คอื
ไมส่ นใจนัก

เวลาน่ังสมาธิ จิตสงบ จิตมีปีติ สบาย พอเราจะเลิกน่ัง เราก็พิจารณาว่า
“สง่ิ ทผ่ี า่ นไปแลว้ นเี้ ปน็ อดตี ไมใ่ ชต่ วั ตน เพราะวา่ สงิ่ นเ้ี กดิ ขน้ึ แลว้ ดบั ไป ไมค่ วรยดึ วา่
เปน็ เรา เพราะผา่ นไปแลว้ ” เมอื่ เลกิ นง่ั เรากก็ �ำหนดสตติ อ่ ไป

เวลาเดนิ จงกรม ระยะแรกๆ เราก�ำหนดอยทู่ ลี่ มหายใจบา้ ง อย่ทู ีป่ ลายเทา้ บา้ ง
ไมแ่ นน่ อน ในตอนแรกถา้ มคี วามคดิ มาก เราจะกำ� หนดทล่ี มหายใจ ถา้ หยดุ คดิ เราจะ
ก�ำหนดสติท่เี ท้า

ตอนเราบวชใหมๆ่ เราจบั อารมณไ์ ดว้ า่ อารมณท์ อ่ี ยเู่ ฉยๆ ไมค่ ดิ อะไร เปน็ อารมณ์
ปจั จบุ นั อารมณเ์ ชน่ นเี้ ราสงั เกตเหน็ วา่ จติ ใจสบายดี ไมม่ คี วามกงั วล ไมท่ กุ ข์ เพราะมนั
ปลอ่ ยวาง ไมค่ ดิ อะไร อยูก่ บั อารมณป์ จั จบุ นั เราเลยคิดวา่ อารมณ์ทถ่ี กู ตอ้ งควรจะ
เป็นอารมณ์ปัจจุบัน คือจิตอยู่กับปัจจุบันจึงจะถูกต้อง ต่อมาเรามีความคิดเผลอ
ปรงุ แตง่ ไปในอดตี หรอื ปรงุ แตง่ ไปในอนาคต เรากค็ ดิ เสมอวา่ การปรงุ แตง่ คดิ ไปในอดตี
วงิ่ ตามความคดิ ไปในอนาคต เปน็ อารมณท์ ผ่ี ดิ แนเ่ ลย เราเลยพยายามตดั ความคดิ ใน
อดตี และอนาคตออกเสยี ใหม้ แี ตป่ จั จบุ นั มสี ตอิ ยกู่ บั ปจั จบุ นั ในระยะแรกตอ้ งใชส้ ติ
ใหท้ นั กบั อารมณม์ าก อบุ ายตา่ งๆ จงึ เกดิ ขน้ึ มาเพอื่ มาแกไ้ ขใหจ้ ติ อยกู่ บั ปจั จบุ นั ธรรม

เราพยายามทำ� สมาธแิ ละตามดจู ติ จนเราสามารถรจู้ กั “อารมณ์ กบั จติ ” ได้ ในตอน
กลางพรรษา เราสามารถทจี่ ะเขา้ ใจความหมายของคำ� จำ� กดั ความวา่ “คนหลงโลก คอื
คนหลงอารมณ์ คนหลงอารมณ์ คือ คนหลงโลก” พอเรารู้จักจติ กบั อารมณช์ ดั ใน
จิตใจของเราแล้ว เรากจ็ ะสามารถเข้าใจความหมายไดด้ ี

37

ถา้ เราทกุ คนทำ� สมาธจิ นเกดิ ความสงบแลว้ จติ ใจกจ็ ะตงั้ มนั่ สตกิ จ็ ะตง้ั มน่ั แลว้
ทุกคนก็จะเห็นวา่ อารมณ์ต่างๆ เกดิ ขนึ้ แล้วดับไป ไม่ควรเขา้ ไปยดึ ในอารมณ์ตา่ งๆ
ให้รูเ้ ทา่ ทนั ในอารมณ์นั้นๆ

วันหนง่ึ มีการเผาศพหญิงชราในวดั ตอนบ่ายสองโมงมีการสวดมนต์ เร่มิ เผา
ประมาณเวลา ๑๗.๐๐ น. ทำ� ใหเ้ ราไดร้ วู้ า่ “การพลดั พรากจากสงิ่ ทตี่ นรกั เปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ ”
เราจึงได้น�ำส่ิงน้ีมาพิจารณาเพื่อถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา
ตอนกลางคนื ประมาณเวลา ๒๑.๐๐-๒๒.๐๐ น. ขณะทเี่ ราเดนิ จงกรมอยทู่ กี่ ฎุ ี หา่ งจาก
ทเ่ี ผาศพ ๓๐๐ ม. จติ รู้สกึ กลวั ในสถานทนี่ น้ั เราจงึ จดุ ตะเกียงน้ำ� มนั กา๊ ดเดินไปที่
เผาศพซงึ่ เปน็ เนนิ เขาคนเดยี ว หยดุ ยนื ทกี่ องฟนื ทกี่ ำ� ลงั ลกุ โชนเผารา่ งหญงิ ชราผนู้ นั้ อยู่
เสียงลมหวีดหววิ พัดยอดไผ่ เกดิ ความกลวั เราบอกกับใจตนเองวา่ ถา้ ไมห่ ายกลัว
เราจะไม่กลับกุฎี ยนื ท�ำสมาธิจนจติ สงบ แล้วพจิ ารณารา่ งที่กำ� ลงั ถูกไฟเผาอยู่ใหเ้ หน็
เป็นธาตุ ดิน น�้ำ ลม ไฟ ย้อนกลับมาพิจารณาตนเองว่า เราก็จะเป็นเช่นน้ัน
เหมอื นกนั จติ จงึ ปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกายตนชว่ั คราว และความกลวั กห็ ายไป
พอลมื ตาขนึ้ มา เหน็ หวั กะโหลกคนตายกำ� ลงั กลง้ิ ตกมาขา้ งกองฟนื และมองเหน็ สว่ น
ทอ้ งทมี่ ลี ำ� ไส้ มนี ำ้� มาก เผาไหมย้ าก เราจงึ นำ� ไมไ้ ผไ่ ปเขย่ี รา่ งนนั้ ใหไ้ ฟเผา ทเี่ ราทำ� เชน่ นี้
เราตอ้ งการแก้ความกลัวให้หายไป พอความกลวั หายไปแลว้ เราจงึ เดนิ กลบั กฎุ ี

วันหน่ึงเราบิณฑบาตที่บ้านกลางใหญ่ เห็นผู้หญิงคนหน่ึงหน้าตาดีพอสมควร
เราเหน็ กส็ กั แตว่ า่ เหน็ พอเรารบั บาตรเสรจ็ ขณะกำ� ลงั เดนิ ผา่ นไป เรากน็ กึ อยากจะมองดู
วา่ จะเปน็ เชน่ ไร เพราะเคยไดย้ นิ มาวา่ การมองดผู หู้ ญงิ นนั้ ไมด่ ี เราจงึ หนั กลบั ไปมองดู
ผู้หญงิ คนนน้ั ใหม่ เพยี งวนิ าทเี ดียวเท่านัน้ ผหู้ ญิงคนนั้นกลายเป็นซากศพ เหน็ แต่
โครงกระดกู กบั หนงั ตดิ กระดกู (เปน็ ธาตุ ๔) ในพรบิ ตานนั้ เราตกใจรบี หนั กลบั มาทนั ที
แต่เรารสู้ กึ พอใจในสภาวธรรมนน้ั

ตอนเยน็ วนั นนั้ เปน็ วนั พระ มกี ารประชมุ รว่ มกนั ทำ� วตั รสวดมนตเ์ ยน็ ทศ่ี าลา ปกติ
เราจะมาท่ีศาลาก่อนเวลาและนั่งสมาธิรอท�ำวัตรสวดมนต์ ตอนสวดมนต์เราหลับตา
ระหวา่ งสวดมนต์ เราหนั ไปมองดูญาตโิ ยมว่ามากนั มากหรอื ไม่ กเ็ ห็นญาตโิ ยมเปน็

38

ซากศพไปหมดทกุ คน แมก้ ระทง่ั พระเณรทอี่ ยใู่ นศาลาทง้ั หมดกเ็ ปน็ ซากศพไปดว้ ยกนั
ยกเวน้ เราคนเดียว ลักษณะเป็นซากศพทเ่ี น่าบา้ ง แหง้ บา้ ง เรารู้สกึ ตกใจมาก
ตง้ั แตน่ น้ั มา ถา้ เรานกึ จะเพง่ ดใู คร ในวนิ าทนี น้ั กจ็ ะเหน็ เปน็ ซากศพทนั ทเี ลย วา่ งๆ
บางครง้ั เรากเ็ พง่ ดพู ระดว้ ยกนั กเ็ พลนิ ดเี หมอื นกนั การทเ่ี ราเหน็ เชน่ นก้ี เ็ ปน็ สง่ิ ทแ่ี ปลก
และก็เป็นประโยชน์ต่อเรามาก เพราะว่าเราจะได้หมดปัญหา ไม่ต้องวิตกเก่ียวกับ
เพศตรงข้ามเหมือนกับพระองค์อ่ืนๆ เท่าไหร่นัก เรารู้สึกพอใจเหมือนกัน แต่เรา
ไม่ดใี จจนเกินไปนัก เพราะเราจะไม่ประมาทตลอดไป
การทำ� ความเพียรนั้นให้เหน็ ผลทนั ทีน้นั เป็นไปไมไ่ ด้ เพราะเราปล่อยจิตมาไมร่ ู้
วา่ กปี่ แี ลว้ เพราะฉะนน้ั เราตอ้ งทำ� ไปเรอ่ื ยๆ ไดแ้ คไ่ หนกเ็ อาแคน่ นั้ แตต่ อ้ งทำ� ใหส้ มำ่� เสมอ
น้ำ� หยดใสต่ ุ่มทีละหยดก็ยังเตม็ ได้
ในพรรษา เราสามารถมองเหน็ คนและสตั วเ์ ปน็ ซากศพไดเ้ องโดยไมต่ อ้ งกำ� หนด
มองดูก็เห็นด้วยตาเปล่า (ลืมตา) ต่อมาเราสามารถก�ำหนดหรือดูใครก็ได้ให้เป็น
ซากศพ บางครั้งเรากำ� หนดดูญาติโยมท่มี าท�ำบุญ หรอื บางคร้งั ก็ดูพระเณรดว้ ยกนั
มองเหน็ เปน็ ซากศพ เนา่ บา้ ง แหง้ บา้ ง หรอื บางครง้ั กเ็ หน็ เปน็ โครงกระดกู เดนิ ได้ ฯลฯ
ในพรรษาเราเลยกำ� หนดดูบ่อยๆ คนใสบ่ าตร เรากก็ �ำหนดใหเ้ ปน็ ซากศพ บางครง้ั
พระท่ีเดินบิณฑบาตไปข้างหน้าเรา เราก�ำหนดดูเห็นเป็นซากศพ จีวรขาดรุ่งร่ิง
ในระยะนนั้ เรากำ� หนดเล่นมาก เรากำ� หนดใหค้ นเปน็ ซากศพบอ่ ย จนกระทงั่ วา่ ถ้าเรา
มีความคิดหรือนึกถึงผู้หญิงหรือเพื่อนคนใดในจิตใจแล้ว เราจะเห็นภาพในจิตเป็น
ภาพผหู้ ญงิ คนนน้ั ถกู ลอกหนงั ออกเปน็ แผน่ ๆ จนถงึ กระดกู แลว้ กห็ ายไป (เปน็ เรว็ มาก
หมายถงึ ภาพทแี่ ปรสภาพไปชวั่ ขณะจติ เดยี ว) ในระยะนน้ั เปน็ เชน่ นที้ กุ ครง้ั ทเ่ี รานกึ ถงึ
ใครก็ตาม เปน็ เองโดยอัตโนมัติ มองเห็นในจิตใจ จนเรารสู้ ึกเบือ่ หนา่ ย คลื่นไสม้ าก
จะอาเจียน ตง้ั แต่นัน้ มาเราเลยเลกิ ก�ำหนดอสภุ ะ เพราะว่ารูส้ กึ คล่นื ไส้เม่ือกำ� หนดดู
เราเลกิ กำ� หนดอสภุ ะไประยะหนง่ึ เพราะรสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยมาก เราจงึ นง่ั แตส่ มาธิ เดนิ จงกรม
ไปตามปกติ กำ� หนดใหม้ สี ตติ อ่ เนอ่ื งกนั หลงั จากเลกิ นง่ั สมาธิ หรอื เดนิ จงกรมแลว้ กต็ าม
ทำ� เชน่ นท้ี กุ ๆ วนั

39

พอออกพรรษาประมาณเดอื นพฤศจกิ ายน เราทำ� ความเพยี รไปตามปกติ วนั หนงึ่
ในตอนเชา้ เวลาจะออกบณิ ฑบาต เราก็มสี ตติ ามดูจติ พอบณิ ฑบาตเข้าไปในหมู่บ้าน
เรามองเหน็ ชาวบา้ นและสตั ว์ ตลอดจนบา้ นเรอื น วตั ถตุ า่ งๆ เราเหน็ ชาวบา้ นเปน็ ซากศพ
หมดทกุ คน พอเขา้ ไปในหมบู่ า้ น เราเหน็ หมบู่ า้ นกลายเปน็ บา้ นรา้ ง ผพุ งั บา้ ง แสดงให้
เห็นความเสื่อมโทรม มีใยแมงมุมขนึ้ บา้ ง มองเห็นความเสอื่ มท้ังหมบู่ า้ น

เรามองเห็นลักษณะเป็นภาพซ้อนภาพ คือมภี าพสภาพจริงทเ่ี ปน็ อยู่ซอ้ นกนั กับ
ภาพทเ่ี สอื่ ม ผพุ งั หรือเนา่ เปือ่ ยเปน็ อสุภะ หมบู่ ้านทง้ั หมบู่ า้ นตลอดจนคนและสตั ว์
แสดงใหจ้ ติ เหน็ ความเสอ่ื มความเนา่ เปอ่ื ยไปทง้ั หมดในปจั จบุ นั เรากลบั มาถงึ วดั กเ็ หน็
กำ� แพงวดั พงั ลง เหน็ เปน็ ภาพซอ้ นภาพแสดงความเสอ่ื ม เขา้ มาในวดั เหมอื นอยใู่ นวดั รา้ ง
เราก็ได้แต่พยายามกำ� หนดสติให้ตั้งม่ัน ดูสภาวะที่เป็นเองปรากฏให้จิตเห็น เราจึง
ดูเฉยๆ ไม่ได้คิดปรุงแต่งอะไร เพียงแต่อุทานออกมาในใจได้ยินเพียงคนเดียวว่า
“...นี่มันอะไรกัน เอาล่ะ...จะเป็นอะไรก็เป็นกัน ไม่กลัวล่ะ” พอเรามองดูพ้ืนดิน
ตามทางเดนิ ก็เหมอื นสภาพทางเดนิ เกา่ ตะไครข่ น้ึ เหมอื นกบั ว่าไมเ่ คยมคี นเดินมา
กอ่ นเลย เราเงยหนา้ ขึ้นมองเหน็ ต้นไม้ ก็เหน็ เปน็ ต้นไม้แห้งตายหมดทกุ ตน้ เราเห็น
อยู่เช่นนี้ประมาณ ๒ วัน จึงคลายเป็นปกติ ระหว่างท่ีเห็นสภาพหรือสภาวธรรม
ที่แสดงความเสื่อม จิตใจเราเพยี งแต่ดูสภาวะความเปลยี่ นแปลงเฉยๆ เท่านน้ั มิได้
ปรุงแตง่ อะไร

เรามาระลกึ ถงึ เหตกุ ารณท์ ผี่ า่ นมา ๒ วนั เราจงึ คดิ วา่ ทำ� ไมจงึ เกดิ สภาวะแบบน้ี
ขน้ึ มา เราจงึ เขยี นจดหมายไปหาโยมพอ่ เลา่ เรอ่ื งทเ่ี กดิ สภาวธรรมนี้ และขอใหโ้ ยมพอ่
น�ำจดหมายฉบับน้ีไปกราบเรียนเล่าถวายหลวงพ่อชาให้ด้วย ตอนน้ันการเดินทาง
สอื่ สารไมส่ ะดวกเหมอื นทกุ วนั นี้ ใชเ้ วลาหลายวนั ระหวา่ งนน้ั เรากท็ ำ� ความเพยี รไปตาม
ปกตทิ กุ วัน

ตอ่ มาไมก่ วี่ นั หลงั ฉนั เชา้ ทำ� กจิ วตั รสว่ นตวั เสรจ็ แลว้ เรากำ� ลงั กวาดพนื้ บนระเบยี ง
กุฎีอยู่เพื่อท่ีจะเดินจงกรม เรานึกถึงภาพเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนนั้น ก็เกิดมีความรู้
ความเข้าใจชนิดหนึ่งเกิดข้ึนในจิตใจขณะจิตน้ันว่า “ทุกส่ิงทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว

40

ยอ่ มเสอ่ื มสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา” ความรอู้ นั นอี้ ทุ านออกมาจากจติ พรอ้ มกบั ขณะจติ นน้ั
จิตใจกเ็ ห็นความเสือ่ มของสง่ิ ทงั้ หลายชดั เจนขึน้ ในจิตใจในขณะนั้น

ร้สู ึกเหมอื นกับวา่ จิตเหน็ สภาวธรรมนัน้ ชดั เจนแจม่ แจ้ง จนจิตใจยอมรับตาม
ความเป็นจรงิ วา่

“ทุกสง่ิ ทกุ อย่างเกดิ ข้นึ แล้ว ย่อมเส่อื มสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา”

รูส้ กึ เหมอื นกบั วา่ “จติ พลิกขณะจติ หนง่ึ ”

พลกิ ในความเข้าใจในสภาวธรรมและความหมายทีเ่ กิดขึ้นในจติ ใจได้ดีทเี ดียว
.....วา่ เกิดอะไรขนึ้ ?

ตง้ั แตน่ นั้ มารสู้ กึ วา่ จติ เปลยี่ นแปลงไปมาก เหมอื นกบั วา่ “จติ พลกิ กลบั ” มองเหน็
วัตถุส่ิงของท้ังหลายเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรสวยเลย
เหน็ เปน็ แตเ่ พียงธาตุ

มเี พื่อนเอากลด ๒ อัน ชนดิ เดียวกัน ท่านทำ� ดว้ ยมือตนเองมาใหด้ ู ถามวา่ ...
อนั ไหนสวยกวา่ กนั ? ความรสู้ กึ ในจติ ทแ่ี ทจ้ รงิ เหน็ วา่ ไมม่ อี ะไรสวย มสี ภาพเหมอื นกนั
เทา่ กัน เหน็ เขา้ ไปวา่ เปน็ เพียงธาตุตามธรรมชาตเิ ท่าน้นั เองที่ประกอบกนั ข้ึนมา แต่วา่
คราวนนั้ เราตัง้ สติดขู องท้งั ๒ อัน แล้วพูดไปตามสมมุติวา่ อันนี้ อนั นั้น สวยกว่า
แตค่ วามรสู้ กึ ของเราในขณะนน้ั มองไมเ่ หน็ มอี ะไรสวย ความคดิ ...ความเหน็ รสู้ กึ วา่
ภายในจติ ใจขัดกบั คนอ่ืนเขาหมด

สภาพของจติ ใจของเราทเี่ หน็ วตั ถสุ งิ่ ของแลว้ ไมร่ สู้ กึ ยนิ ดี ยนิ รา้ ย เหน็ กส็ กั แตว่ า่
เห็นเทา่ นัน้ เราทราบดีวา่ “จิตเราหลดุ จากรูปวัตถแุ ล้ว”

แตเ่ รากม็ คี วามรอู้ กี อยา่ งหนง่ึ ซอ้ นขน้ึ มาในจติ อกี วา่ สง่ิ นไี้ มเ่ ทย่ี ง เราจะตงั้ สตดิ มู นั
ตอ่ ไป

41

เรามีความคิดว่า สิ่งที่เราได้รู้ได้เห็นได้เข้าใจชัดเจนข้ึนเช่นนี้ เป็นสิ่งท่ีมีอยู่
เปน็ ปกติ เป็นธรรมชาตขิ องสิ่งนีเ้ องอยแู่ ล้ว เพยี งแต่ว่าแต่กอ่ นเราไมเ่ คยไดร้ ูม้ ากอ่ น
พอเราไดม้ าเหน็ มารู้เขา้ เรากไ็ มค่ วรไปหลงยึดข้ึนมาว่าเปน็ ตวั ตน

เราควรคดิ วา่ เมอ่ื เรามารถู้ งึ สงิ่ ทเี่ ปน็ อยตู่ ามธรรมดาตามปกตเิ ชน่ นแี้ ลว้ เรากค็ วร
ปลอ่ ยวางส่งิ นไ้ี วต้ ามธรรมชาติ ไมค่ วรจะไปยดึ ม่นั น�ำมาเปน็ ตัวตน

สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มานเี้ ปน็ แตเ่ พยี งสภาวธรรมเทา่ นนั้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เพอ่ื ใหจ้ ติ เหน็ ตามความ
เปน็ จริง จะได้คลายจากอุปาทานจากความยึดมนั่ ถือม่นั

ตงั้ แตท่ ่จี ติ เหน็ สภาวะความเส่อื ม และเขา้ ใจในสง่ิ นัน้ ดแี ลว้ ต่อมาเราเหน็ วตั ถุ
สงิ่ ของ กส็ กั แตว่ า่ เหน็ เทา่ นนั้ จติ ใจไมย่ นิ ดี ยนิ รา้ ย แตม่ คี วามรอู้ ยวู่ า่ สงิ่ นนั้ สวยหรอื
ไม่สวย

ในตอนท่ีจติ เห็นความเส่ือมของสิ่งทงั้ หลาย รสู้ ึกว่าผ้ชู ายผหู้ ญงิ นน้ั ไม่มี เพราะ
คนทกุ คนตายไปแล้วเหมอื นกันหมด ต้องเน่าเป่ือย ผพุ ัง กลายเปน็ ธาตเุ หมอื นกัน

จิตใจรู้สึกเบื่อหน่ายมากท่ีสุดจนกระท่ังจิตไม่ยอมพิจารณาต่อไป เพราะรู้สึก
เบอื่ หนา่ ยมาก ต้งั แตน่ ัน้ มาความรู้สกึ ทางเพศไมม่ ีเลย แมจ้ ะปรุงแตง่ นกึ คิดอยา่ งไร
กไ็ ม่ปรากฏ ความรู้สกึ ขาดหายไป

ปกตติ ง้ั แตเ่ ราบวช เรอื่ งผหู้ ญงิ นไี้ มเ่ คยมปี ญั หาหนกั ใจเลยสำ� หรบั เรา เราถอื วา่
เรอื่ งนหี้ มทู ส่ี ดุ เลย เพราะจติ ใจเราไมม่ คี วามตอ้ งการ เพยี งแตว่ า่ อารมณน์ นั้ มอี ยู่ แตพ่ อ
จะมอี ารมณ์ เรากก็ ำ� หนดพจิ ารณาอสภุ ะขนึ้ มาแทน อารมณน์ นั้ กห็ ายไป อารมณก์ ามราคะ
ไมเ่ คยทำ� อนั ตรายอะไรเราไดเ้ ลยในระยะแรกทบ่ี วชเขา้ มาใหมๆ่ ถา้ มอี ารมณเ์ กดิ ขน้ึ มา
จะมีอารมณ์อย่ไู ม่นาน ประมาณ ๓-๕ นาที กห็ ายไป

ตอ่ มาพอเราก�ำหนดพิจารณาอสภุ ะคลอ่ งแลว้ พอเร่มิ จะมอี ารมณเ์ กิดข้นึ เราก็
กำ� หนดอสภุ ะทนั ที ทำ� ใหอ้ ารมณย์ นิ ดไี มเ่ กดิ เรอื่ งนเี้ ราจงึ สบายมาก เราพจิ ารณาขนาด
ทว่ี า่ เหน็ เดก็ ผชู้ ายหรอื ผหู้ ญงิ ถา้ เรามคี วามรสู้ กึ วา่ หนา้ ตานา่ รกั แคน่ แ้ี หละ เรากก็ ำ� หนด
อสุภะทำ� ลายแลว้ ละ่

42

พอมาเหน็ ความเสอ่ื มในจติ แลว้ รสู้ กึ เบอ่ื หนา่ ยทส่ี ดุ เราเลยหยดุ พจิ ารณา อารมณ์
กามราคะขาดหายไป แตเ่ ราไม่เชื่อ เราคดิ ในตอนนน้ั วา่ อะไรกนั น่ี เราปฏิบตั มิ าแค่
๓-๔ เดอื นเทา่ นนั้ อารมณ.์ ..จะหมดแลว้ หรอื เราจะคอยดเู จา้ ตอ่ ไป ตง้ั แตน่ น้ั มา เราหยดุ
พจิ ารณาอสภุ ะ

เร่ืองรูปวัตถุส่ิงของ...เม่ือจิตเห็นความเสื่อมของวัตถุตามความเป็นจริงแล้ว
จติ เหน็ วมิ ตุ ตชิ ดั แจง้ เลยเขา้ ใจในสมมตุ ิ จติ เหน็ ทกุ สง่ิ เปน็ เพยี งแตธ่ าตุ ตอ่ มาจติ กท็ รงตวั
อยูใ่ นอเุ บกขา ในความไมย่ ินดี ยินรา้ ย ในรปู วัตถุ มองดูก็สักแต่วา่ เหน็

ในตอนนน้ั มคี วามรชู้ ดั ขน้ึ มาในจติ วา่ “จติ หลดุ จากรปู วตั ถแุ ลว้ ” เปน็ ความรทู้ เ่ี รา
เพง่ิ ไดส้ มั ผสั เปน็ ความรทู้ เี่ ราไมเ่ คยรมู้ าแตก่ าลกอ่ น มคี วามรพู้ รอ้ มปลอ่ ยวาง คอื เหน็ วา่
สภาวธรรมท่ีเราร้มู าเหน็ ชดั แจ้งตามความเป็นจรงิ นี้ มเี ป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว เปน็
ธรรมชาติในตวั เองอยแู่ ลว้ ทุกสงิ่ ทุกอย่างมีแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดบั ไป ด้วยกนั หมด
ท้ังสน้ิ

แตจ่ ติ ใจของคนทว่ั ไปไมย่ อมรบั สภาวะนน้ั ตามความเปน็ จรงิ เลยหลงยดึ ถอื ใน
สภาวะทต่ี ง้ั อยเู่ สมอไป เขาไมย่ อมคดิ วา่ สภาวะทตี่ ง้ั อยนู่ น่ั จะคงทนตลอดไปไมไ่ ด้ ทกุ สง่ิ
ทกุ อยา่ งยอ่ มแตกสลายไปในทสี่ ดุ แมน้ ชวี ติ ของทกุ ๆ คนกต็ าม กต็ อ้ งแตกสลายไปใน
ทีส่ ดุ

ความยดึ มนั่ นเ่ี องเปน็ ตวั ทกุ ข์ ถา้ ใครมาหลงยดึ มน่ั ในสง่ิ ใด สงิ่ นนั้ กจ็ ะทำ� ใหเ้ กดิ
ทกุ ขไ์ ด้

เมอ่ื เราเขา้ ใจและยอมรบั วา่ ความรทู้ เ่ี ราเพงิ่ เหน็ เพง่ิ เขา้ ใจนเ้ี ปน็ ของมอี ยปู่ กตติ าม
ธรรมชาติอย่แู ลว้ แต่คนเราไมเ่ หน็ ไม่เข้าใจ เลยหลงยึดมั่นท�ำใหเ้ กดิ ทุกข์ข้นึ มา

เราเลยปลอ่ ยวางความรนู้ อี้ กี ครง้ั หนงึ่ ใหเ้ ปน็ อยตู่ ามธรรมชาตอิ ยา่ งเดมิ ไมย่ ดึ ถอื
เอาความร้นู เี้ ขา้ มาเปน็ ตัวตน ไม่ยดึ ว่าสภาวธรรมทเ่ี ราเหน็ น้ันเปน็ ของเรา

43


Click to View FlipBook Version