ธมั โม ปทีโป
พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน
ISBN : 978-616-593-181-6
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : มถิ นุ ายน ๒๕๖๕
จ�ำนวนพิมพ์ : ๒,๖๐๐ เล่ม
ผูจ้ ัดพิมพ์ : คณะศิษยานุศิษย์
พมิ พเ์ พ่อื แจกเปน็ ธรรมทาน
ไมอ่ นญุ าตใหจ้ �ำหนา่ ย
พิมพ์ท:่ี
บรษิ ัท ศิลป์สยามบรรจภุ ณั ฑแ์ ละการพมิ พ์ จำ� กดั
โทร. ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒
E-mail: [email protected]
คำ�นำ�
อนิจจา วต สังขารา
อุปปาทวยธัมมิโน
อปุ ปัชชิตวา นริ ุชฌันติ
เตสัง วูปสโม สโุ ขตฯิ
แปลวา่ สงั ขารทง้ั หลายไม่เที่ยง เกิดข้นึ
แล้วยอ่ มดับไป ความระงับดับเสยี ซงึ่ สงั ขาร
ทง้ั หลาย ซงึ่ ไมเ่ ทย่ี งและเกดิ ขนึ้ แลว้ ดบั ไปนนั้
เป็นความสขุ อันย่งิ ใหญ่น้ี สงั ขารธรรมไม่ใช่
ว่าเราจะเหน็ แตผ่ ูท้ ่ีตายแลว้ ไม่เทยี่ ง เห็นแต่
ผู้ท่ตี ายนนั้ เกดิ ขึ้นแล้วดับไป พึงน้อมเขา้ มา
สู่ตัวของเรา กายของเราทุกช้ินที่เราครอง
เปน็ เจ้าของอยู่ ณ บดั น้ี ก็แปรสภาพไปเชน่
เดยี วกัน มคี วามแก่ ความชรา ทนไม่ไหว
ตอ้ งแตกตอ้ งทำ� ลายไปเชน่ เดียวกนั กับทา่ น
เราท้ังหลายได้พิจารณาอย่างนี้แล้วก็
จะเป็นเหตุให้มีปัญญาพินิจพิจารณาว่า
สง่ิ เหลา่ น้ีไม่เทีย่ งแลว้ เราจะหาอะไรซึง่ เปน็
ของเทย่ี งยง่ิ กวา่ สง่ิ เหลา่ นี้ สง่ิ เหลา่ นเี้ ปน็ ทกุ ข์
เราจะหาอะไรท่ีจะเป็นความสุขย่ิงกว่า
สิง่ เหลา่ น้ี และสงิ่ เหล่านเ้ี ป็นอนตั ตา เราจะ
หาอะไรซึ่งเป็นอัตตาที่แท้จริงจากสิ่งเหล่านี้
ไดจ้ ากสภาพธรรมทีว่ ่าสังขารนีเ่ อง
ถา้ เรามปี ัญญา เราต้องถือเอาประโยชน์
จากสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารน้ีให้เป็นสาระ
แก่นสารขึ้นท่ีจิตใจของเราได้ เราเป็น
นกั วฏั ฏะ เปน็ นกั ทอ่ งเท่ียว เป็นนักเกิด แก่
เจ็บ ตาย มาด้วยกัน ไม่มใี ครแพ้ใครชนะ
ไมม่ ใี ครไดเ้ ปรยี บใคร เรอ่ื งความเกดิ ความ
ตาย ความสลาย ความทำ� ลาย การทอ่ งเทยี่ ง
ในวัฏสงสารน้ีมีความเสมอภาคกัน แล้ว
ท�ำไมเราจะไม่สามารถเห็นตัวจักรซึ่งพา
เราหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ให้เกดิ ๆ ตายๆ ทกุ ข์ยากล�ำบากหมุนเวียน
อยู่อย่างน้ี
สังขารทัง้ หลาย ท้ังภายนอกทัง้ ภายใน
ทงั้ ของเขาทงั้ ของเรา มนั ไมเ่ ทยี่ ง อปุ ปาทวย-
ธมั มิโน อปุ ปัชชติ วา นริ ชุ ฌนั ติ มนั เกดิ ข้ึน
มาแลว้ ไม่วา่ อยใู่ นท่ไี หนๆ มนั แตกด้วยกัน
ท้ังนั้น เตสัง วูปสโม สุโข จงพยายาม
ท�ำความระงับดับเสียซึ่งต้นเหตุ คือสังขาร
อันเป็นตัวสมุทัยให้มันดับส้ินไปเสียจาก
ใจแล้ว สงั ขารที่เปน็ ตัวผลคือ อนิจจา วต
สังขารา ความเกิดความตายแห่งสังขารนี้
จะไม่ปรากฏแก่ใจของเราต่อไปอีกแล้ว
เรียกว่าถึงสันติธรรมอันราบคาบ ได้แก่
บรมสุขคือวมิ ุตติพระนิพพาน
สารบัญ
ความเพียรเพ่อื ไปไม่ต้องกลับมา ๙
มิจฉาสมาธ-ิ สมั มาสมาธิ ๖๗
เหน็ กโ็ ง่ ไดย้ ินกโ็ ง่
ได้สูดกล่นิ ล้มิ รสกโ็ ง่
กส็ ่ิงใดมาสัมผัส
ก็หลงตามไปหมด
มนั โง่ท้งั รๆู้ อย่างนเ้ี อง
8 ธมั โม ปทโี ป
ความเพียรเพือ่ ไป
ไมต่ ้องกลับมา
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วดั ปา่ บ้านตาด
เมอ่ื วันท่ี ๒๑ กันยายน พทุ ธศักราช ๒๕๐๕
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปันโน 9
การปฏิบัติพระศาสนาพึงเล็งดูเข็มทิศ
คือหลักแห่งสวากขาตธรรมที่พระพุทธองค์
ได้ตรัสไว้ชอบแล้ว น�ำเข้ามาเทียบเคียงกับ
ความเคลือ่ นไหวแหง่ กาย วาจา ใจของตน
อย่าให้เคลื่อนคลาดไปจากหลักสวากขาต-
ธรรม จงสังเกตทั้งทางกาย ท้ังทางวาจา
ทงั้ ทางใจ ถา้ เคลอ่ื นจากธรรมนแี้ ลว้ พงึ ทราบ
ว่าเป็นไปเพ่ือทางผิด อย่างน้อยก็เน่ินช้า
อยา่ งมากกเ็ ปน็ มลทนิ แก่ตนเอง
อนึ่ง เราทุกท่านซ่ึงมารวมกันอยู่ใน
สถานท่ีนี้ ไม่ได้อยู่บ้านเดียวเมืองเดียวกัน
และในตระกลู เดียวกัน ตา่ งก็ระเหเร่ร่อนมา
ดว้ ยเจตนาหวงั ดขี องตน ถา้ พดู ตามโลกแลว้
10 ธมั โม ปทีโป
เราทงั้ หลายไมไ่ ดเ้ ปน็ ญาตกิ นั เพราะตา่ งบดิ า
มารดาผู้ให้ก�ำเนิด เม่ือพูดตามหลักธรรม
ที่เราทั้งหลายทรงอยู่ ณ บดั น้ีแลว้ เรียกวา่
เราท้ังหลายเป็นญาติกันอย่างสนิทท่ีจะแยก
จากกันไม่ได้ เพราะญาติทางความเกิด
ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ญาติทางความสุข
ความทกุ ข์ ความเสอ่ื ม ความเจรญิ ในสมบตั ิ
ภายนอกภายใน และความมั่งมีศรีสุขและ
ความอับจน ต่างก็ได้ผ่านมาในทางสาย
เดียวกัน และญาติทางนักบวชซ่ึงเป็น
ผู้โกนผมโกนคิ้วเพ่ือเสียสละส่ิงมีค่าและสิ่ง
ท่ีเป็นข้าศึกแก่ตนเองเป็นเจตนาอันเดียวกัน
แม้ปฏิปทาเคร่ืองด�ำเนินก็เช่นเดียวกันด้วย
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 11
มีพระธรรมวินัยเป็นเคร่ืองปกครอง และ
ดำ� เนนิ อยา่ งเดยี วกนั ซงึ่ เปน็ พยานชใี้ หเ้ หน็ วา่
เราทง้ั หลายเปน็ ญาติกันอยา่ งสนิท
แม้แต่ลูกพ่อเดียวแม่เดียวกันยังมีการ
ทะเลาะเบาะแว้งกัน คู่สามีภรรยาซึ่งเป็น
ท่ีรักใคร่กันเท่าไรก็ยังมีการขัดข้อง และ
ทะเลาะไม่ลงรอยกันได้ในบางกรณีและ
บางกาล สำ� หรบั เราทงั้ หลายทไี่ ดม้ าอยรู่ ว่ มกนั
ณ บัดนี้นับแต่ลว่ งมาแลว้ ส�ำหรับผมผเู้ ป็น
หัวหน้าปกครองบรรดาท่านทั้งหลายรู้สึกว่า
เปน็ ทนี่ า่ อนโุ มทนาเปน็ อยา่ งยง่ิ การทพี่ วกเรา
ได้รับความร่มเย็น ไม่มีการระแคะระคาย
ซง่ึ กนั และกนั ทง้ั ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ทง้ั ดา้ นความเหน็
12 ธัมโม ปทโี ป
ภายใน อันจะเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้ง
ซ่ึงกันและกัน และเป็นบ่อเกิดแห่งความ
กระทบกระเทือน นับแต่ส่วนเล็กส่วนน้อย
จนถงึ สว่ นใหญ่ยังไมป่ รากฏ ทัง้ น้เี น่อื งจาก
ต่างท่านต่างก็มีหลักธรรม คือเหตุผล
เป็นเครื่องสอบสวนทบทวนอยู่ในตัวเอง
และหมู่เพื่อนด้วยกัน จึงอยู่ร่วมกันด้วย
ความเปน็ สขุ
ถ้าหากหลักธรรมของพวกเราได้ด้อย
ไปบ้างในการทบทวนความเคลื่อนไหวใน
ระหวา่ งตนกบั หมคู่ ณะนน่ั แล คอื บอ่ เกดิ แหง่
ความระแคะระคายได้เร่ิมไหวตัวข้ึนแล้ว
ถ้าเป็นอย่างหม้อน�้ำ ก็แสดงว่าก�ำลังร้าว
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 13
จากรา้ วกจ็ ะแตกกระจาย โปรดคดิ ดหู มอ้ นำ้�
เพียงแต่ร้าวเท่านั้น คุณภาพก็ไม่สมบูรณ์ท่ี
จะใช้หุงต้มแกง หรือขังน้�ำก็ไม่ได้ผลเต็มที่
ยงิ่ หม้อน้�ำไดแ้ ตกไปเสีย กย็ ิง่ ขาดประโยชน์
ทพ่ี ึงจะได้รบั อย่างไม่มปี ัญหา
เรื่องความไม่ลงรอยกันด้วยทิฐิมานะ
หรอื ปฏปิ ทาทปี่ ราศจากหลกั ธรรมคอื เหตผุ ล
ก็ย่อมมีลักษณะเช่นเดียวกัน บรรดาเรา
ทุกท่านท่ีอยู่ร่วมกัน ถ้าจะเทียบก็เหมือน
หม้อน�้ำก�ำลังสมบูรณ์ ไม่มีรอยร้าวหรือบ่ิน
แม้แต่น้อย เพราะอยู่ร่วมกันด้วยความ
พร้อมเพรียงและเป็นสุข ทั้งนี้เน่ืองจากต่าง
ท่านต่างมีธรรม คือหลักเหตุผลประจ�ำใจ
14 ธมั โม ปทโี ป
ของตนๆ เพราะไมเ่ หน็ แกค่ วามเปน็ ผใู้ หญแ่ ละ
ไมเ่ ห็นแกค่ วามเป็นผนู้ ้อย แตเ่ ห็นแกธ่ รรม
คอื เจตนาดี มงุ่ ดำ� เนนิ ตามสวากขาตธรรมของ
พระพทุ ธเจ้าอย่างเต็มสติปัญญา และก�ำลัง
ความสามารถของแต่ละทา่ น เม่ือเป็นเชน่ น้ี
แสดงว่าเป็นการปฏิบัติถูกหลักธรรมของ
พระพุทธเจา้
เมื่อการด�ำเนินของพวกเราแต่ข้ันหยาบ
เป็นการถูกหลักธรรม จึงพร้อมกันอยู่
ด้วยความเป็นสุขเช่นนี้ แม้ส่วนละเอียด
อนั เป็นส่วนภายในก็พงึ ทราบว่า จะต้องเปน็
ไปจากส่วนหยาบน้ี ส่วนละเอียดหมายถึง
เรือ่ งภายในใจโดยเฉพาะ ซ่งึ เราจะพยายาม
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน 15
ปรับปรุงแก้ไขส่วนบกพร่องที่เกิดข้ึนจาก
กาย วาจา ใจของตน ใหเ้ ป็นไปเพ่อื ความ
สงบเยอื กเยน็ ท่กี ล่าวมาแล้วหมายถงึ ความ
สงบท่ีเป็นไปในระหว่างหมู่เพ่ือน นับว่า
เป็นที่ยินดี ท้ังการปกครองก็รู้สึกว่าเบาใจ
ไม่ได้เป็นกังวลส�ำหรับผู้เป็นหัวหน้าท่ีเก่ียว
กบั บรรดาลกู ศษิ ย์ จะเปน็ รายใดกต็ าม ทงั้ นี้
เราก็พอจะเห็นผลประโยชน์เกิดข้ึนจากการ
ระมดั ระวงั อยู่แลว้ เพราะการถือหลักธรรม
เป็นเข็มทิศเป็นส่ิงส�ำคัญยิ่งกว่าถือเรื่องของ
เราแต่ละรายๆ พยายามปรับปรุงตนเอง
แต่ละท่านให้เข้ากับหลักธรรมแล้ว ผลที่
ปรากฏขนึ้ ใหเ้ ราไดร้ บั คอื ความรม่ เยน็ เปน็ สขุ
16 ธัมโม ปทีโป
อนั ดบั ตอ่ ไปพงึ ถอื หลกั ธรรมสว่ นหยาบ
ที่เกี่ยวกับหมู่เพื่อนเข้าไปปรับปรุงจิตใจ
โดยเฉพาะจติ ใจทไ่ี ดร้ บั ความกระทบกระเทอื น
ระหว่างสิ่งท่ีมาสัมผัส เกิดความไม่สงบ
ขึ้นภายในใจ พึงทราบว่าจะต้องมีเร่ืองใด
เรื่องหน่ึงท่ีเราพิจารณายังไม่รอบคอบ
ในระหว่างส่ิงที่มาสัมผัสกับการรับรู้ด้วย
สตปิ ญั ญา ซงึ่ ไมส่ มบรู ณพ์ อ จติ จงึ ทรงความ
สงบของตนไว้ไม่ได้ หรือผู้ได้แล้วในข้ันน้ี
ขนั้ ละเอียดเขา้ ไปกวา่ น้ี ซ่ึงเรายงั ไม่สามารถ
ระงับได้ กลายเป็นเร่ืองเกิดขึ้นกับใจอยู่
ตลอดเวลาก็ยังมี จงสอบสวนทบทวนดู
เชน่ เดยี วกับเราปฏบิ ตั ิต่อหม่เู พื่อน ถา้ ใจได้
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 17
มีการทดสอบตนเองตามอาการเคลื่อนไหว
ต่ออารมณ์อยู่แล้ว เราจะได้รับผลเป็นการ
ตอบแทนขึน้ กับใจ คอื ใจจะเรม่ิ มคี วามสงบ
ตามลำ� ดบั
อนึ่ง ความสงบยงั มหี ลายขั้น เมือ่ ผ่าน
ความสงบขน้ั หยาบนไี้ ปได้ ความสงบขนั้ กลาง
ก็ยังมี และเรื่องก่อกวนตามขนาดของ
อารมณ์กับความสงบข้ันน้ันๆ ยังมีแฝงอยู่
เช่นเดียวกัน จนกว่าจะได้น�ำสติปัญญา
เข้าสอบสวนใคร่ครวญดูส่ิงท่ีมารบกวนต่อ
ความสงบข้นั กลางจนพอตวั แลว้ ความสงบ
ขั้นกลางก็กลายเป็นความสงบท่ีสมบูรณ์
ขึ้นมาโดยล�ำพังตนเอง อันดับต่อไปต้อง
18 ธมั โม ปทโี ป
พยายามแก้ไขอารมณ์ที่เป็นข้าศึกต่อความ
สงบสว่ นละเอยี ด ซงึ่ จะมกี ารสมั ผสั วดั เหวย่ี ง
กับใจอยตู่ ลอดเวลา ดว้ ยสติกบั ปญั ญาเป็น
เครื่องวินิจฉัยประกอบกับองค์แห่งความ
เพียรอยู่เสมอ ความสงบส่วนละเอียดก็จะ
ปรากฏตัวขน้ึ มาอยา่ งเต็มดวง เชน่ เดียวกับ
ความสงบสว่ นหยาบและสว่ นกลาง เรอื่ งของ
สติกับปัญญาพึงทราบว่าเดินตามรอยกับ
ความสงบทุกๆ ขัน้ เหมือนเงาเทยี มตัว
หลักแหง่ การปฏบิ ตั ิธรรม อย่าพงึ เข้าใจ
ว่าปัญญาจะไปอย่ขู า้ งหนา้ สมาธอิ ยขู่ า้ งหลัง
ท่ีถูกตามหลักความจริงแล้ว สติกับปัญญา
จะต้องเคียงคู่กันไปกับความสงบข้ันนั้นๆ
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปันโน 19
และมีตามฐานะของความสงบ เช่น เริ่มมี
ความสงบก็ควรเริ่มปัญญาพิจารณาเป็น
พี่เลี้ยงเสมอไป จนปรากฏเป็นความสงบ
อย่างกลางและอย่างละเอียด ปัญญาก็ต้อง
เป็นพี่เล้ียงตามๆ กันไป ไม่ยอมปล่อยให้
เป็นแต่ความสงบโดยถ่ายเดียว น่ีคือหลัก
ธรรมชาตทิ ไ่ี ดป้ ฏบิ ตั มิ าตามกำ� ลงั ไดเ้ ปดิ เผย
ให้ท่านผู้ฟังทราบโดยตลอดมิได้ปิดบังไว้
แม้แตน่ ้อย โปรดทราบไวว้ า่ เร่อื งของสติกับ
ปัญญานี้ จะปราศจากกันกับความสงบไป
ไม่ได้ ท้ังเป็นธรรมจ�ำเป็นซ่ึงจะต้องใช้อยู่
ตลอดเวลา จนมกี ำ� ลงั สามารถรอ้ื ถอนตนขน้ึ
จากหลม่ ลกึ คอื อวิชชาได้ ก็เพราะสติปญั ญา
เปน็ หลกั ประกัน
20 ธมั โม ปทโี ป
และโปรดทราบว่า ความสงบของจิต
ไม่ใช่เป็นนิสัยอันเดียวกัน และลักษณะ
แหง่ ความสงบกต็ า่ งกนั ตามนสิ ยั ของผปู้ ฏบิ ตั ิ
แต่ละราย แตผ่ ลรายได้น้ันเป็นอันเดียวกัน
ลักษณะของจิตบางประเภทเมื่อบริกรรม
บทใดบทหนงึ่ บรรดาธรรมทถี่ กู จรติ พอเรม่ิ
บรกิ รรมเขา้ เทา่ นนั้ จติ กล็ งไดท้ นั ทแี ละลงได้
อย่างรวดเร็ว น่ีคือนิสัยของสมาธิอบรม
ปัญญา แต่บางรายค่อยๆ สงบเข้าไปและ
รวมลงอย่างเชื่องช้า สุดท้ายก็ลงถึงท่ีและ
ปล่อยวางค�ำบริกรรม ทรงไว้ซ่ึงความรู้
อนั เดียว มสี ติรอบร้อู ยู่ และบางคร้งั ตอ้ งใช้
ปัญญาเป็นเครื่องฝึกทรมานอย่างเต็มที่แล้ว
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 21
เพราะความหลงกห็ ลงในกายนี้
วา่ เป็นเรา เปน็ ของเรา
รกั กร็ กั กายนี้
ชงั กช็ งั กายน้ี
ทุกขท์ ง้ั มวลกเ็ กดิ ขน้ึ ในกายน้ี
22 ธัมโม ปทีโป
รวมลงสงบไดใ้ นลกั ษณะเดยี วกนั นค่ี อื นสิ ยั
ปญั ญาอบรมสมาธิ
และบางครั้งลักษณะจิตของคนเดียว
น่นั เองไมใ่ ชจ่ ะลงชนิดท่ีเคยลงเสมอไป เชน่
รายท่ีเคยลงได้อย่างรวดเร็วกลับลงอย่าง
เช่ืองช้าก็ยังมี เพราะเหตุนี้จึงไม่ค่อยยึดถือ
เป็นที่ข้อข้องใจ สิ่งจะถือเป็นส�ำคัญ คือ
ผลทปี่ รากฏขนึ้ จากความสงบนนั้ เปน็ อยา่ งไร
ตอ้ งเปน็ ความสงบสขุ หนง่ึ มคี วามรอู้ ยเู่ พยี ง
อนั เดียวหน่ึง จติ ไมก่ ระเพ่ือมหนึง่ ไม่เปน็
ส่ืออารมณ์ในขณะทจ่ี ิตพักรวมอยู่หนง่ึ และ
มีจิตรู้ว่าจิตของตนหยุดหน่ึง จิตจะรวมลง
ช้าหรือเร็วให้ถือเอาผลตามท่ีอธิบายมาน้ี
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 23
เมื่อถอนขึ้นมาแล้วจงเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์
ในกายวิภาคของตน กายทกุ ส่วนเป็นสภาพ
แหง่ ไตรลกั ษณใ์ นหลกั ธรรมชาตทิ กุ ๆ อาการ
ใครจะรู้หรือไม่ก็ตาม กายทุกส่วนต้องเป็น
อย่างนน้ั
ค�ำว่า ไตรลักษณ์ คือมีลักษณะสาม
แปลวา่ ไม่เทย่ี ง เปน็ ทกุ ข์ และเป็นอนัตตา
ไม่ใช่ตัวตนตามค�ำเสกสรรและกล่าวอ้าง
ของใคร ในไตรลกั ษณท์ ง้ั สามน้ี อยา่ เขา้ ใจวา่
มีนอกไปจากอาการแห่งกายหนึ่งๆ อาการ
เดียวน่ันเอง พร้อมด้วยไตรลักษณ์อยู่แล้ว
อย่างสมบูรณ์ เช่น อาการแห่งกายของเรา
มีถึง ๓๒ อาการ ทุกๆ อาการล้วนเป็น
24 ธมั โม ปทโี ป
ไตรลักษณ์โดยธรรมชาติอยู่ในตัว จะแยก
จากกนั ไมไ่ ด้ ดังนั้น บรรดานกั ปฏบิ ตั แิ ม้จะ
พิจารณาเฉพาะไตรลักษณใ์ ด เช่น อนิจจงั
ตามความถนัดเท่านั้น เรื่องทุกข์ กับเรื่อง
อนัตตา ก็จะปรากฏเป็นตัวภัยขึ้นมาให้จิต
เห็นโทษได้เช่นเดียวกัน เพราะไตรลักษณ์
หน่งึ ๆ ต่างก็เปน็ ตวั ภยั และเปน็ ท่นี ่าลมุ่ หลง
อยู่ในวัตถุหรืออาการอันเดียวกัน ซ่ึงเป็น
ตัวเหตุใหจ้ ติ หลงได้เทา่ เทียมกนั
เมอื่ จติ พจิ ารณารชู้ ดั ในไตรลกั ษณใ์ ดแลว้
แม้ไตรลกั ษณอ์ ่นื ๆ กไ็ มพ่ ้นวสิ ยั ของปญั ญา
องค์ธรรมจักรหมุนรอบตัวไปได้ เพราะ
ไตรลักษณ์ท้ังสามแม้จะต่างช่ือกัน แต่ก็
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 25
มอี ยูใ่ นวัตถุหรืออาการอนั เดียวกัน เป็นแต่
ทา่ นแยกอาการออกเปน็ อนจิ จงั บา้ ง ทกุ ขงั บา้ ง
อนตั ตา บา้ ง เหมอื นกบั อาการแหง่ กายของเรา
แมจ้ ะรวมเปน็ กอ้ นแหง่ ธาตขุ องบคุ คลผเู้ ดยี ว
กต็ าม แตเ่ มอื่ แยกจากกนั แลว้ มอี ยสู่ ธี่ าตุ คอื
ธาตุดนิ ธาตนุ ้ำ� ธาตลุ ม และธาตไุ ฟ แมแ้ ต่
ธาตดุ นิ ยงั แยกออกเปน็ ๓๒ อาการ และ
แต่ละอาการพึงทราบว่าเป็นธาตุดินน่ันเอง
ธาตนุ ำ้� จะมีกป่ี ระเภทก็คอื นำ้� คือไฟ คอื ลม
น่ันเอง อาการแห่ง อนจิ จัง ทุกขัง อนัตตา
ก็คอื ไตรลกั ษณน์ ่นั เอง
โปรดทราบโดยวิธีเทียบเคียงกัน
อย่างน้ี และไตร่ตรองดูเร่ืองไตรลักษณ์ที่มี
26 ธมั โม ปทโี ป
อยู่ทัว่ สรรพางค์กายของเรา เราจะถนดั หรือ
แยบคายในทางอนจิ จงั หรอื ทกุ ขงั หรอื อนตั ตา
กใ็ หพ้ จิ ารณาสว่ นทจี่ รติ ชอบนน้ั มากๆ อยา่ งไร
ไตรลักษณ์ท้ังสามน้ีจะซึมซาบเกี่ยวโยง
ถึงกันหมด และจะแยกจากกันไปไมไ่ ด้ นี่
อธิบายตามหลักธรรมชาติที่ได้ปฏิบัติและ
ปรากฏมา ขอใหเ้ ปน็ ทลี่ งใจ ไมต่ อ้ งสงสยั ใน
หลักธรรมว่า ไตรลักษณ์ท้ังสามนี้จะแยก
จากกันไปอยู่ในต่างแดน พึงทราบว่าเป็น
หลักธรรมชาติอันเดียวกัน ก�ำหนดเพียง
อันหน่งึ กซ็ มึ ซาบทั่วถงึ กันหมด
จงพิจารณาให้ร้ชู ัดด้วยปญั ญา จะรชู้ ัด
ในไตรลักษณ์ใดก็ได้ จะเป็นความรู้ท่ีถอด
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน 27
ถอนอุปาทานความยึดม่ันถือมั่น ส�ำคัญว่า
เปน็ เราเปน็ ของเรา ออกจากใจไดโ้ ดยสมบรู ณ์
เช่นเดียวกับเราพิจารณาพร้อมๆ กันทั้ง
สามไตรลกั ษณ์ เรือ่ งของปญั ญาจะว่ิงทัว่ ถงึ
กนั หมด เพราะสง่ิ ทถี่ กู พจิ ารณาแตล่ ะอาการ
สมบูรณ์ด้วยไตรลักษณ์อย่แู ล้ว เม่อื ปญั ญา
ได้ใคร่ครวญเห็นเร่ือง อนิจจัง ก็แสดงว่า
เหน็ ภยั อยแู่ ล้ว เหน็ เร่ือง ทกุ ขงั ก็เปน็ เรอ่ื ง
เห็นกองทุกข์กองภัยเช่นเดียวกัน และเห็น
เร่ือง อนัตตา ก็เป็นการบอกชัดว่านั้นคือ
ตวั ภยั ไมค่ วรยดึ ถอื วา่ เปน็ ของเทยี่ งแทถ้ าวร
เป็นคลังแห่งความสุข และว่าเป็นเราเป็น
ของเราใหย้ งุ่ ไป เพอื่ กอ่ เหตแุ หง่ วฏั ฏะพดั ผนั
ตนเอง
28 ธัมโม ปทีโป
เร่ืองของสติแล้วอย่าถือว่าเป็นภาระ
ของใคร และเรือ่ งของปญั ญาแลว้ ไม่สนิ้ สดุ
อยู่กับใคร แต่ข้ึนอยู่กับผู้ชอบตั้งสติชอบ
คิดค้นด้วยปัญญา วันหน่ึงๆ อุบายแห่ง
ความแยบคายจะเกิดข้ึนมากี่คร้ังกี่หน
ไมส่ ิ้นสุด เราอย่าเข้าใจวา่ เราโง่ เราไม่ไดโ้ ง่
อยู่ตลอดเวลา ถ้าได้หย่ังสติปัญญาลงใน
อวัยวะคือท่อนแห่งกายนี้แล้ว ความรู้ท่ี
แปลกประหลาดจะปรากฏขึ้นมาจากกายน้ี
โดยไม่ต้องสงสัย พึงทราบว่าความเฉลียว
ฉลาดไม่มีใครสร้างไว้เป็นสินค้าเพ่ือผู้ใด
แม้สติก็ไม่มีอยู่ในที่ไหนนอกจากสถานที่
พระพทุ ธเจา้ ประทานไว้ คอื สตปิ ฏั ฐานส่ี ไดแ้ ก่
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 29
กาย เวทนา จติ ธรรมเทา่ นน้ั นค่ี อื บอ่ เกดิ แหง่
สตปิ ัญญา เป็นที่บ�ำรงุ สติ บ�ำรุงปญั ญา และ
เปน็ ทปี่ ลกู สติ ปลกู ปญั ญา ใหม้ คี วามเฉลยี ว
ฉลาดรอบตวั
เมอื่ เรายงั โง่ สง่ิ เหลา่ นก้ี เ็ ปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ เรา
คอื กายก็กลายเปน็ ข้าศกึ เวทนากก็ ลายเป็น
ขา้ ศกึ จติ กก็ ลายเปน็ ขา้ ศกึ ธรรมกก็ ลายเปน็
ขา้ ศกึ ไปหมด แตเ่ มอื่ เราไดห้ ยงั่ สตกิ บั ปญั ญา
ลงสจู่ ดุ นี้ กายกก็ ลายเปน็ ธรรมขน้ึ มา เวทนา
กก็ ลายเป็นธรรมขึ้นมา จิตกก็ ลายเปน็ ธรรม
ข้ึนมา และธรรมก็กลายเป็นธรรมข้ึนมา
ในหลกั ธรรมชาติ เพราะเหตนุ น้ั ทา่ นจงึ เรยี ก
วา่ สตปิ ฏั ฐาน คอื หนิ ลบั สตกิ บั ปญั ญานนั่ เอง
30 ธมั โม ปทีโป
แต่ผไู้ มฉ่ ลาดเอามดี ไปฟันหนิ เขา้ มีดก็ต้อง
เสยี ถา้ ผไู้ ม่ฉลาดถอื หนิ ลบั คือกาย เวทนา
จติ ธรรม นว้ี า่ เปน็ ตน กาย เวทนา จติ ธรรม
กก็ ลายเปน็ ขา้ ศึกแก่คนโงผ่ ู้นนั้
ท่ีพระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณา
สติปัฏฐานส่ี ไม่ได้สอนให้เอามีดไปฟันหิน
แตท่ รงสอนวา่ ให้พิจารณากาย เวทนา จิต
ธรรม ดว้ ยสติปัญญาอยา่ งนีต้ า่ งหาก ดงั นัน้
สตกิ บั ปญั ญาจงึ ตงั้ ไดท้ ก่ี าย เวทนา จติ ธรรม
และฉลาดรอบคอบตนเองไดด้ ว้ ยหลกั ธรรม
ท้ังส่ีประเภทน้ี โปรดทราบว่าบ่อแห่งความ
เฉลียวฉลาดรู้รอบอยู่ในวงสติปัฏฐานส่ีนี้
จงตั้งสติปัญญาลงสู่จุดนี้ การเรียนมาก
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน 31
เรียนน้อย ถ้าเราไม่มีโอกาสไปร�่ำไปเรียน
ให้ได้มากเหมือนอย่างบรรดาท่านที่มีโอกาส
ทง้ั หลายกต็ าม กอ็ ยา่ เสยี ใจ จงเรยี นธรรมใน
หลกั ธรรมชาตทิ มี่ อี ยใู่ น กาย เวทนา จติ ธรรม
ในตวั ของเรานี้ พระพทุ ธเจา้ แลสาวกทงั้ หลาย
ท่านเรียนและสอนในหลักธรรมชาติ และ
ผู้ปฏิบัติตามได้รับผลเกินความคาดหมาย
มาเป็นจำ� นวนมากแลว้
แม้กิเลสอาสวะก็เป็นหลักธรรมชาติ
อนั หน่งึ ใครๆ ไมเ่ คยมีป้ายกระดานเรยี น
วิชากิเลส แม้สัตว์เดียรัจฉานและเด็กๆ
เขาเคยรู้กิเลสเมื่อไร ท�ำไมเขาจึงมีกิเลส
เราซงึ่ เปน็ ผใู้ หญก่ ไ็ มเ่ คยมโี รงรำ่� โรงเรยี นวชิ า
32 ธัมโม ปทโี ป
กิเลส เรียนธรรมทง้ั น้นั ท�ำไมกเิ ลสจงึ มีเต็ม
หวั ใจเลา่ ทงั้ นเ้ี พราะกเิ ลสเปน็ หลกั ธรรมชาติ
นน่ั เอง ไม่ขน้ึ อย่กู บั ใคร และไมเ่ ขา้ ใครออก
ใครทง้ั นน้ั เปน็ ธรรมชาตทิ เ่ี ทย่ี งธรรม คอื ตงั้
อยู่ในหลักเหตุผลเช่นเดียวกัน ถ้าคิดผิด
ก็เป็นกิเลสข้ึนมา แต่ถ้าคิดถูกก็เป็นธรรม
ข้ึนมา เมื่อสรุปลงแล้วก็กิเลสกับธรรม
ไม่ใช่ผู้อื่นผู้ใดจะก่อสร้างขึ้นให้เป็นข้าศึก
และเป็นคุณต่อตนเอง นอกจากใจของเรา
ผู้โง่และฉลาดเท่านั้นท่ีจะท�ำกิเลสให้ผูกมัด
ตนเองขึน้ มาด้วยความโงข่ องตนเอง และจะ
สามารถแก้ไขกิเลสออกได้ด้วยความฉลาด
ของตนเท่าน้นั
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน 33
และขณะกิเลสเกิดข้ึนจะไม่เกิดขึ้นจาก
ทไ่ี หน นอกจากจะเกดิ ขนึ้ จากความโงเ่ ทา่ นนั้
โงอ่ ะไรเลา่ เมอื่ จะแยกออกตามประเภทแหง่
ความโง่แล้วได้แก่ เห็นก็โง่ ได้ยินก็โง่
ไดส้ ดู กลนิ่ ลม้ิ รสกโ็ ง่ กส็ งิ่ ใดมาสมั ผสั กห็ ลง
ตามไปหมด มันโงท่ งั้ รๆู้ อย่างน้เี อง เพราะ
รากฐานของจิตมันโง่ ฉะนั้นต้องพยายาม
ให้ร้วู า่ ความโง่อยทู่ ่จี ดุ ไหน จงตั้งสติปญั ญา
ลงท่ีจุดนั้น เฉพาะอย่างย่ิงเวลานี้ไม่มีอะไร
เปน็ ข้าศกึ อนั ร้ายแรงตอ่ เรา นอกไปจากกาย
เวทนา จติ ธรรม เพราะความหลงก็หลงใน
กายน้ี ว่าเปน็ เรา เป็นของเรา รกั กร็ ักกายนี้
ชงั ก็ชังกายนี้ ทกุ ข์ทัง้ มวลกเ็ กิดขน้ึ ในกายน้ี
34 ธมั โม ปทโี ป
จิตได้รับความทุกข์เดือดร้อนก็เพราะเร่ือง
แห่งกายน้ี และค�ำว่าธรรมจะหมายถึงอะไร
คอื กาย เวทนา และจติ ซงึ่ เปน็ เรอื นแหง่ ทกุ ข์
นเี่ อง รวมแล้วเรียกวา่ ธรรม
จงตั้งสติกับปัญญาลงในสติปัฏฐานสี่
ไตร่ตรองอยู่ทั้งวันท้ังคืน มีสติปัฏฐานสี่นี้
เทา่ นนั้ เปน็ งาน เปน็ ทางเดนิ เปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั
เป็นท่ีท�ำงาน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า
กร่ี อบกเ่ี ทยี่ วไมค่ ำ� นวณ ทำ� เหมอื นเขาขดุ ดนิ
หรอื ขุดนา ไถนา คราดนา ขดุ แลว้ ขุดเลา่
ไถแลว้ ไถเลา่ ทงั้ ไถดะไถแปร และคราดกลบั
ไปกลบั มา จนมูลไถมูลคราดแหลกละเอยี ด
การเดนิ เรว็ หรอื ชา้ ของสตั วไ์ มส่ ำ� คญั สำ� คญั ท่ี
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 35
มูลคราดมูลไถแหลกละเอียดแล้วเป็นพอ
การพจิ ารณาในหลกั สตปิ ฏั ฐานสดี่ ว้ ยปญั ญา
จะเรว็ หรือช้าไมส่ ำ� คัญ ส�ำคัญทีพ่ ิจารณาจน
เขา้ ใจและแจม่ แจง้ แลว้ เมอ่ื ไร นน่ั แลเปน็ ผล
สะทอ้ นยอ้ นกลบั มาใหเ้ ราไดร้ บั ความเฉลยี ว
ฉลาด จนสามารถปลอ่ ยวางสง่ิ ทเ่ี ปน็ ขา้ ศกึ แก่
ใจและปราศจากความถอื วา่ กาย เวทนา จติ
ธรรม เปน็ ของเทย่ี ง เปน็ สขุ เปน็ อตั ตา ตวั ตน
เสียได้ด้วยอ�ำนาจของปัญญา
ฉะนั้น การพิจารณาเราอย่าเห็นว่า
มากไปหรือน้อยไป จงถือเช่นเดียวกับงาน
ของโลกซึ่งเป็นส่ิงจ�ำเป็นท่ัวหน้ากัน ที่ใคร
จะน่ังนอนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ การท�ำงานใน
36 ธัมโม ปทโี ป
สตปิ ฏั ฐานส่ี เราอยา่ ตง้ั เมอื งพอขน้ึ ดว้ ยความ
เกียจคร้าน จงให้เมืองพอปรากฏขึ้นเอง
ด้วยสติกับปัญญาที่พิจารณาพอแล้วและ
ปล่อยวาง จะเป็นทางเพียงพอและถึงทาง
พ้นทุกข์ตามแบบของพระพุทธเจ้าโดย
ถกู ทาง เมอ่ื เหนอ่ื ย จติ อยากจะพกั กใ็ หเ้ ขาพกั
ในเรือนคือสมาธิ การพักอยู่ของจิตจะนาน
หรือไม่นานข้ึนอยู่กับความเพียงพอของใจ
เช่นเดียวกับคนนอนหลับ จะหลับมากหรือ
น้อยขึ้นอยู่กับความเพียงพอของธาตุขันธ์
แล้วต่ืนมาก็ท�ำงานได้ ฉะน้ันจิตจะพักอยู่ก่ี
ช่ัวโมง ไมค่ วรบงั คบั ให้ถอนข้นึ มาเองเฉยๆ
จงปล่อยให้พักอยู่จนเพียงพอแก่ความ
ตอ้ งการแล้วถอนข้ึนมาเอง
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน 37
เมื่อจิตถอนข้ึนมาแล้วเป็นหน้าท่ีของ
ปญั ญาทจ่ี ะตอ้ งทำ� การพจิ ารณาในสตปิ ฏั ฐานส่ี
เป็นล�ำดับไป ตามแต่ถนัดในสติปัฏฐานใด
การพิจารณากายคือขยายให้โตบ้าง ท�ำให้
เลก็ ลงบา้ ง แยกสว่ นออกเปน็ แผนกๆ ทำ� เปน็
กองเนอื้ กองหนงั และแบง่ สว่ นตามอาการนนั้ ๆ
แล้วก�ำหนดให้กระจายหายสูญไปจากความ
เป็นสัตว์เป็นบุคคล และจากความเป็นเน้ือ
เป็นหนังเป็นต้น จนกลายลงเป็นธาตุเดิม
คือ ดิน น�้ำ ลม ไฟ แล้วปรุงขน้ึ มาใหม่
พิจารณาอยเู่ ช่นนี้
วันหนึ่งจะได้สักก่ีเท่ียวหรือก่ีรอบ
ไมเ่ ป็นประมาณ ผลทป่ี รากฏขน้ึ กบั ใจ คือ
38 ธัมโม ปทีโป
ความชำ� นาญและฉลาดรอบคอบ และความ
สนิ้ สงสยั ในสว่ นแหง่ กาย เมอื่ ปญั ญาเพยี งพอ
ตอ่ สว่ นแหง่ กายทุกสว่ นแลว้ กร็ ู้เทา่ ทนั และ
ปล่อยวางไวอ้ ยา่ งสนิท หมดนิมติ ในกายว่า
งามหรอื ไมง่ าม สกั แต่วา่ กายโดยความรู้สกึ
เท่าน้ัน ไม่มีความส�ำคัญว่ากายนี้เป็นอะไร
ต่อไป นี่คือหลักแห่งการพิจารณากายด้วย
ปญั ญาของนักปฏบิ ัติ
เวทนา ซ่ึงเกิดข้ึนจากกายและจากใจ
เพราะเวทนามสี องประเภท คอื เวทนาของกาย
อยา่ งหนึ่ง เวทนาของจติ อย่างหนึ่ง ความสุข
ทกุ ข์ และเฉยๆ ปรากฏขนึ้ ในกายโดยเฉพาะ
ไมเ่ กย่ี วกบั ใจ เรยี กวา่ กายเวทนา เวทนาทงั้
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน 39
สามอนั ใดอนั หนง่ึ ปรากฏขนึ้ ในจติ ทส่ี บื เนอ่ื ง
มาจากการไดร้ ับอารมณ์ จะเป็นอารมณท์ าง
มรรค คือ ศีล สมาธิ ปญั ญาก็ตาม อารมณ์
ทางสมุทัย เป็นแดนเกิดข้ึนแห่งทุกข์ คือ
กามตัณหา ภวตณั หา และวิภวตณั หากต็ าม
เรียกวา่ จติ เวทนา
การพิจารณาขันธท์ ้ังสี่ เวทนา สัญญา
สงั ขาร และวญิ ญาณ มลี กั ษณะสองประการ
คือ เกีย่ วกับความสมั ผัสจากส่งิ ภายนอก ๑
ไม่เก่ียวกับส่ิงภายนอก แต่พิจารณาโดย
ล�ำพังตนเอง ๑ ที่เกี่ยวกับสิ่งภายนอกน้ัน
คืออาศัยสัมผัสภายนอกมากระทบแล้ว
พจิ ารณาไปตามส่ิงท่มี ากระทบนั้นๆ ปรากฏ
40 ธมั โม ปทโี ป
อบุ ายขนึ้ มาในขณะนน้ั มากนอ้ ยตามแตก่ ำ� ลงั
ของปัญญาจะหาความแยบคายใส่ตนท่ีไม่
เกยี่ วกบั สง่ิ ภายนอกมาสมั ผสั เลยนน้ั เปน็ เรอื่ ง
ของปัญญาท�ำหน้าที่ของตนไปตามล�ำพัง
โดยอาศัยสภาวะที่มอี ย่เู ป็นเปา้ หมาย
แมส้ ภาวะนนั้ ๆ ไมแ่ สดงออกกพ็ จิ ารณา
ได้โดยสะดวก แต่การพิจารณาทั้งสอง
ประเภทนี้พึงทราบว่ารวมสู่ไตรลักษณ์
เป็นเหมือนภาชนะท่ีรวมแห่งสภาวธรรม
ทกุ ประเภท จะปลกี จากนไี้ ปไมไ่ ด้ เชน่ เดยี วกบั
แม่น�้ำทกุ ๆ สาย ยอ่ มไหลรวมลงสู่มหาสมทุ ร
ฉะนนั้ แตพ่ งึ ทราบวา่ เรอื่ งของปญั ญาเกดิ ขน้ึ
ไดอ้ ยา่ งไร เมอื่ ไมม่ สี งิ่ กระเพอ่ื มภายในใจให้
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 41
รกู้ ่อนพอจะถือเอาเปน็ อารมณไ์ ด้ ข้อนคี้ วร
ทราบถงึ ความกระเพอื่ มกอ่ นวา่ มคี วามหมาย
ไปทางใดบ้าง เพราะดีชั่วเกิดจากความ
กระเพือ่ มเป็นส�ำคัญ
ความกระเพอ่ื มของใจเปน็ ไปไดส้ องทาง
คือกระเพื่อมเพ่ือยังทุกข์ให้เกิดขึ้น แล้ว
ผูกมดั ตนเองใหต้ ิดอยู่ ท่านเรยี กวา่ สมทุ ัย
กระเพ่ือมเพื่อรู้ทางเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์
ทา่ นเรยี กวา่ มรรค เกดิ ขน้ึ จากความปรงุ ของ
ปญั ญาเอง และเกดิ จากคำ� วา่ สงั ขารอนั เดยี วกนั
ผิดกันเพียงว่าปรุงไปในทางผิดหรือทางถูก
เทา่ นนั้ แตเ่ รอ่ื งสมทุ ยั และเรอ่ื งมรรค ไมใ่ ช่
จะเกิดจากสังขารเพยี งอย่างเดยี ว แม้เวทนา
42 ธมั โม ปทโี ป
สัญญา และวิญญาณ ก็เป็นเหตุให้เกิด
สมทุ ยั และมรรคได้ ตามความโงค่ วามฉลาด
ของผู้รับผิดชอบในขันธ์ของตน ทั้งนี้เม่ือ
เรายงั โง่ ขนั ธท์ ง้ั หา้ กเ็ ปน็ ขา้ ศกึ แตถ่ า้ เราฉลาด
รอบคอบแลว้ ขนั ธท์ ง้ั หา้ กเ็ ปน็ คณุ เสมอไป เชน่
พระพทุ ธเจา้ และสาวกทงั้ หลาย ทา่ นใชข้ นั ธท์ ำ�
ประโยชน์แก่โลกตลอดวันนิพพาน ฉะนั้น
ขนั ธท์ ั้งห้าจงึ เป็นเหมอื นเครื่องใช้ เครือ่ งใช้
ในบา้ นยอ่ มจะมคี ณุ และโทษทเ่ี กดิ จากความ
โง่เขลา ความฉลาดของคนผเู้ ปน็ เจ้าของ
เมือ่ สรุปความแลว้ ท้งั สมุทยั และมรรค
เกดิ จากสงั ขารภายในอนั เดยี วกนั ผดิ กนั ตรง
ทป่ี รงุ ดว้ ยความหลงเพอื่ ผกู มดั ตนเอง กบั ปรงุ
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน 43
ด้วยความฉลาดเพื่อแก้ไขตนเองเท่าน้ัน
เพราะฉะน้ันสังขารฝ่ายมรรคจึงสามารถ
ปรุงและพลิกแพลงในสภาวธรรมให้เกิด
ความฉลาดแก่ตนเองได้ จนมคี วามสามารถ
เพยี งพอใน เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ
ปญั ญานีย้ งั สามารถว่ิงเข้าสูจ่ ุดเดยี ว คอื ใจ
ซึ่งเป็นท่ีรวมแห่งขันธ์ท้ังหมด เพราะขันธ์
ท้ังห้ามาจากใจ เนื่องจากใจเป็นรากฐาน
คือแดนเกิดของส่ิงเหล่านี้ จึงปรากฏเป็น
รปู กาย ธาตขุ นั ธ์ อายตนะหญงิ ชายขน้ึ มาได้
แม้ขันธ์ใดจะกระเพื่อมขึ้นเวลาใดก็ทราบ
และทราบทั้งความเกิดข้ึนดับไปแห่งขันธ์
นัน้ ๆ ตลอดจนสมุฏฐานทเ่ี กิดขนึ้ ทงั้ ส้ิน
44 ธัมโม ปทีโป
การต�ำหนิติชมในสภาวธรรมภายนอก
คอื รูป เสยี ง กลิน่ รส เครอ่ื งสัมผสั ทั่วท้งั
จักรวาลก็หมดปัญหาลง เพราะปัญญาเป็น
เคร่ืองตัดให้ขาดเข้ามาเป็นล�ำดับ ส่ิงท่ียัง
เหลอื อยู่ในลำ� ดับตอ่ มา คือ เวทนา สัญญา
สังขาร และวญิ ญาณ เทา่ นนั้ ซึง่ ยังคงเปน็
คตู่ ำ� หนติ ชิ มกนั อยใู่ นขณะทกี่ ำ� ลงั สตปิ ญั ญา
ยงั ไมเ่ พยี งพอ เมอ่ื เพยี งพอแลว้ ปญั หาตชิ ม
กห็ มดไป เพราะปญั ญาเหน็ ชดั วา่ สภาวธรรมมี
ขนั ธเ์ ปน็ ตน้ ไมใ่ ชก่ เิ ลสบาปกรรมแตอ่ ยา่ งใด
เป็นแต่อาการของขันธ์และสภาวะอันหน่ึงๆ
เทา่ นนั้ แมพ้ ระพทุ ธเจา้ และสาวกกย็ งั มี ขอ้ น้ี
เราต้องย้อนเข้าไปหาตัวเหตุ ซ่ึงเป็นเคร่ือง
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 45
กดดนั ขนั ธใ์ หไ้ หวตวั ไปตามอำ� นาจของความ
กดดันของตน
นนั่ คอื ความรภู้ ายใตอ้ ำ� นาจของอวชิ ชา
เรียกว่า ความรู้วัฏจักร นอกจากตนเป็น
วัฏจักรแล้ว ยังบังคับขันธ์ซึ่งเป็นบริวาร
ให้กลายเป็นกงจักรไปด้วย ฉะนั้นผู้อยู่ใต้
กงจกั รอนั นจ้ี งึ ไมม่ อี สิ รเสรใี นตนเอง ตอ้ งยอม
จ�ำนนต่อเขาอยู่ทุกขณะท่ีจักรตัวใหญ่นี้
จะหมุนหรือชี้เข็มทิศทางใด เม่ือรู้ต้นเหตุ
ซ่ึงเป็นท่ีเกิดขึ้นแห่งกิเลสทุกประเภทว่าเกิด
จากความรวู้ ฏั จติ นแี้ ลว้ เราตอ้ งทราบวา่ วฏั จติ
น้ีคือกิเลสอันแท้จริง เราจะนิ่งนอนใจใน
ความรู้อันเป็นตัวกงจักรนี้ได้อย่างไร
46 ธมั โม ปทีโป
นอกจากจะหยงั่ ปญั ญาลงสจู่ ดุ น้ี เพอ่ื ความรู้
เหตุผลโดยไมน่ ่ิงนอนใจเทา่ นน้ั
ปัญญาที่จะไปปฏิบัติต่อความรู้วัฏจักร
อันน้ี ต้องเป็นปัญญาที่ทันสมัยและอยู่ใน
ลกั ษณะอตั โนมตั ิ หมนุ รอบตวั อยกู่ บั ความรู้
อวชิ ชาดวงนนั้ ไมม่ เี วลาหยดุ ยง้ั โดยไมต่ อ้ งมี
การบงั คบั ทำ� งานโดยลำ� พงั ตนเอง กำ� หนดรู้
ท้ังความเกิดข้ึนดับไปของทุกอาการที่เกิด
จากใจ ทง้ั ความเปลยี่ นแปลงอนั ละเอยี ดของ
จติ ที่เปน็ อย่ทู ุกขณะ จะเปล่ยี นแปลงเป็นสขุ
หรือเป็นทุกข์ก็รู้ จะเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง
หรือผ่องใสกร็ ู้ จะเปลีย่ นเปน็ ความโงค่ วาม
ฉลาดกร็ ู้ จะเปลยี่ นเปน็ ความองอาจกลา้ หาญ
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 47
ทงั้ สมุทยั และมรรค
เกิดจากสังขารภายในอนั เดยี วกัน
ผิดกันตรงทป่ี รงุ ดว้ ยความหลง
เพ่ือผูกมัดตนเอง
กบั ปรุงด้วยความฉลาด
เพอื่ แกไ้ ขตนเองเท่านั้น
48 ธมั โม ปทโี ป
หรือความอ่อนแอก็รู้ จะเปลี่ยนเป็นความ
สว่างไสวหรืออับเฉาก็รู้
อาการทั้งน้ีเป็นไตรลักษณ์ประจ�ำวัฏจิต
ต้องก�ำหนดรู้ทุกระยะที่เปล่ียนแปลงและ
เคล่ือนไหว จนกว่าจะขุดค้นเข้าถึงรากแก้ว
คือตัวประธาน และท�ำลายได้ด้วยปัญญา
ในกาลใด แล้วอาการเหล่าน้ีก็หมดการ
เปล่ียนแปลงตัวเองทนั ที เพราะตวั ประธาน
ได้ถูกท�ำลายส้ินแล้ว เป็นอันว่าหมดทาง
เกดิ ขน้ึ แหง่ อาการอนั เปน็ เครอื่ งพรางตาทกุ ๆ
อาการ สภาวะทว่ั ๆ ไป จะปรากฏเปดิ เผยทว่ั
ทง้ั โลกธาตุ ประกาศเปน็ เสยี งเดยี วกนั วา่ เปน็
สภาพปกติอยู่ตามธรรมดาของตน ไม่เคย
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 49