เป็นข้าศึกศัตรูต่อผู้ใด นอกจากความรู้
ขวางโลก และขวางธรรมดวงเดียวเท่านี้
เ กิ ด ค ดี ใ น ตั ว เ อ ง แ ล ้ ว ลุ ก ล า ม ไ ป ห า สิ่ ง
ภายนอกให้กลายเป็นคู่ความตามๆ กันไป
เท่านั้น เมื่อจิตพ้นจากคดีฟ้องร้องตัวเอง
และขณะธรรมชาติอันลี้ลับได้ตกสูญหาย
ไปแล้ว ธรรมที่บริสุทธิ์เต็มที่ก็ได้เปิดเผย
ขนึ้ มาพรอ้ มๆ กนั แมส้ ภาพธรรมทงั้ หลายท่ี
เคยถกู กดขบี่ งั คบั หรอื ตำ� หนติ ชิ มจากอวชิ ชา
ผคู้ รองวฏั ฏะ กไ็ ดก้ ลายเปน็ สงิ่ เปดิ เผยขนึ้ มา
ตามธรรมชาติของตน
ธรรมอัศจรรย์ซ่ึงเกิดพร้อมวิชชาวิมุตติ
ไดป้ ระกาศความสงบศกึ และความเสมอภาค
50 ธมั โม ปทีโป
ต่อสภาวธรรมท่ัวๆ ไป ราวกะจะเป็นมิตร
ต่อกนั ตลอดอนันตกาล ต่างฝ่ายต่างไม่เปน็
ศตั รตู ่อกัน ขนั ธ์หา้ อายตนะภายใน คือ ตา
หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ กับอายตนะภายนอก
คือ รูป เสยี ง กลิ่น รส เครือ่ งสัมผสั และ
ธรรมารมณ์ ตา่ งกท็ ำ� หนา้ ทข่ี องตนตามลำ� พงั
โดยไมม่ อี ะไรเกดิ ขน้ึ เพราะอายตนะสมั ผสั กนั
และต่างก็เป็นอิสรเสรีในตัวเอง โดยไม่ถูก
กดขี่บังคบั จากฝา่ ยใด
ท้ังน้ีเน่ืองจากความรู้ในหลักธรรมชาติ
ได้กลายเป็นความรู้ยุติธรรมต่อตนเอง
สภาวะทั่วๆ ไปจึงกลายเป็นยุติธรรมไป
ตามๆ กนั นเ่ี รยี กวา่ ยถาภตู งั ญาณทสั สนงั
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 51
ความรู้เห็นตามเป็นจริงในหลักธรรมชาติ
ทั้งภายในท้ังภายนอกอย่างแจ้งชัดด้วย
ปญั ญา ไม่มีอนั ใดล้ลี ับ และยังกลบั เป็นสิ่ง
เปดิ เผยเสยี สน้ิ
ผลอันเป็นที่พึงพอใจซ่ึงได้รับจาก
ความรู้ความเห็นที่ปรากฏขึ้นกับใจของ
ผปู้ ฏบิ ตั ิ จะสะเทอื นขนึ้ ภายในเปน็ เชงิ อทุ าน
ว่า “สิ้นเรื่องเพียงเท่านี้” เร่ืองกิเลสตัณหา
เรอ่ื งรกั ๆ เรอื่ งชงั ๆ เรอื่ งติ เรอ่ื งชม เรอื่ งหลง
เรอื่ งรอู้ ะไรตอ่ ไปอกี และเรอื่ งภพชาตใิ หเ้ กดิ ๆ
ตายๆ ทจ่ี ะมาเกี่ยวโยงกันตามทเี่ คยเป็นมา
เป็นอันวา่ ยตุ กิ นั ได้โดยสนิ้ เชงิ จะไม่มีอนั ใด
สบื ตอ่ ธรรมชาตนิ ไ้ี ปไดอ้ กี เพราะอดตี กร็ เู้ ทา่
52 ธมั โม ปทโี ป
อนาคตก็ร้ทู ัน ปจั จุบันก็ไม่ยดึ ปรากฏเป็น
ความบริสุทธ์ิล้วนๆ อยู่กับความรู้ใน
ธรรมชาตนิ ัน้ โดยประจักษแ์ ลว้ ตา หู จมกู
ล้ิน กาย ก็ไม่เป็นภัย เพราะใจไมเ่ ปน็ ภยั
รปู เสยี ง กลนิ่ รส เครอ่ื งสมั ผสั กไ็ มเ่ ปน็ ภยั
เพราะใจหมดเชื้อให้เกิดภัยแล้ว เรียกว่า
สคุ โต แปลวา่ ไปดี คอื ไมข่ อ้ งแวะกับอันใด
ทง้ั ที่เปน็ ดา้ นวตั ถแุ ละนามธรรม แมส้ ภาวะ
ทุกส่ิงกเ็ ป็นปกติหรอื หมดภัย เพราะขา้ งใน
ไม่เปน็ มหาโจรเท่ยี วยอื้ แย่ง
น่ีผลแห่งการปฏิบัติ ด้วยการทบทวน
สอบสวนดูความเคลื่อนไหวการด�ำเนิน
ของตนต้ังแต่ส่วนหยาบ ส่วนกลาง และ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 53
ส่วนละเอยี ด ได้แก่ผลทเี่ กดิ ข้ึนด้วยอ�ำนาจ
แหง่ ศีล สมาธิ ปญั ญา ซึง่ เปน็ สมบัติของเรา
ทุกท่าน เพราะพระพุทธเจา้ ไมท่ รงผกู ขาดไว้
เพ่ือพระองค์ผู้เดียว ทรงประทานไว้เพ่ือ
บรรดาสัตว์ ผู้มีความแกล้วกล้าสามารถ
ดว้ ยความพากเพียร ไมเ่ หน็ แก่ความท้อแท้
อ่อนแอ
คณุ ธรรมทไ่ี ดอ้ ธบิ ายมาแตต่ น้ จนสดุ ขดี
ความสามารถ ขอย้�ำให้บรรดาท่านผู้ฟัง
ท้ังหลายได้ทราบว่าไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความ
เกยี จครา้ นนอนตน่ื สาย ความทอ้ แทอ้ อ่ นแอ
ความสะเพรา่ มกั งา่ ย ความเหน็ แกป่ ากแกท่ อ้ ง
ความคลุกคลี ความเบ่ือต่อความเพียร
54 ธัมโม ปทโี ป
เวียนมาเป็นคนมักมาก และความเห็นแก่
โลกามิส ไม่มองดูธรรมและศาสดาผู้พา
ดำ� เนนิ ทกุ พระอาการทเ่ี คลอ่ื นไหว
แตธ่ รรมเกดิ แกผ่ มู้ คี วามขยนั หมนั่ เพยี ร
ผู้อดทนต่อกิจการที่ชอบ หนักก็เอาเบาก็สู้
เป็นผู้มักน้อยและสันโดษในปัจจัยเครื่อง
อาศยั ถอื การไมค่ ลกุ คลกี บั ใครๆ และความ
เพยี รเพอื่ รอ้ื ถอนตนเปน็ สง่ิ สำ� คญั ยง่ิ มตี นกบั
ความเพยี รในอริ ยิ าบถทง้ั หลาย มคี วามเพยี ร
ด้วยสติปัญญาทุกๆ อาการท่ีเคล่ือนไหว
ไม่หมายมรรคผลนิพพานนอกไปจาก
ความเพียร และนอกไปจากปัจจุบัน คือ
กาย เวทนา จติ ธรรม ซึ่งมอี ย่ภู ายในจติ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 55
ตลอดเวลา และเปน็ หลกั แหง่ สวากขาตธรรม
ที่พระองค์ได้รับผลเป็นที่พอพระทัย และ
ประทานไว้ชอบแล้ว ผู้ปฏิบัติด�ำเนินตาม
ผลจะพึงได้รับก็เป็น สันทิฏฐิโก เห็นเอง
ในธรรมทุกขน้ั โดยปราศจากสิง่ ใดกดี ขวาง
อกาลิโก ท้ังธรรมส่วนเหตุ ท้ังธรรม
สว่ นผล ทกุ ๆ ขนั้ มอี ยอู่ ยา่ งสมบรู ณต์ ลอดกาล
เม่ือบ�ำเพ็ญถึงที่แล้วบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
ไม่มหี ลับและต่ืน ไมม่ ีวันและคืน ทรงไวซ้ ึ่ง
ความบรสิ ทุ ธเ์ิ สมอไปตลอดกาล เอหปิ สั สโิ ก
เป็นธรรมเปิดเผยและทนต่อการพิสูจน์
ตลอดกาลไมข่ าดวรรคขาดตอน ผตู้ ามพสิ จู น์
จนไดพ้ บความจรงิ จากหลกั ธรรมจนเตม็ ทแี่ ลว้
56 ธมั โม ปทโี ป
สามารถแสดงหลักความจริงท่ีตนได้รู้เห็น
ทง้ั ทเี่ ปน็ สว่ นเหตทุ ไ่ี ดพ้ จิ ารณาดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ิ
ทง้ั ทเ่ี ปน็ สว่ นผลเปน็ ขน้ั ๆ ตลอดความบรสิ ทุ ธิ์
ภายในใจแก่บรรดาท่านผู้ฟังและสนใจ
ให้เห็นชัดตามความจริงและเชื่อว่าเป็น
อยา่ งน้ันได ้ โอปนยิโก ธรรมมีอยู่ท่ัวไป
เหมือนสมบัติในแผ่นดิน ผู้สนใจใคร่ต่อ
ธรรมสามารถจะน้อมธรรมที่ได้เห็น ได้ยิน
จากบุคคลและสถานท่ีต่างๆ มาเป็นคติแก่
ตนเองไดท้ กุ เวลา ปจั จตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ ญหู ิ
จะปรากฏคุณคือความรู้พิเศษข้ึนกับใจ
ของตนโดยเฉพาะตามก�ำลังสติปัญญาที่ตน
สามารถโดยไม่ตอ้ งสงสยั
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 57
เพราะฉะน้ันขอให้บรรดาท่านผู้ฟัง
ทกุ ๆ ทา่ น จงมคี วามอาจหาญรา่ เรงิ ตอ่ ความ
เพยี รในหลกั แหง่ สวากขาตธรรม อยา่ เหน็ วา่
เปน็ ความทกุ ขล์ ำ� บาก ความหวิ ความลำ� บาก
ในรา่ งกายทกุ สว่ น จะต้องมดี ้วยกันทกุ ราย
ทงั้ คนและสตั วไ์ มเ่ ลอื กชน้ั วรรณะ เปน็ ความ
เสมอภาคท่ัวหน้ากัน ไม่มีใครได้เปรียบ
และเสียเปรียบแก่ใคร พอจะต�ำหนิว่าทุกข์
ลำ� เอยี งตอ่ ขนั ธ์ สว่ นความทกุ ขท์ างใจซง่ึ เกดิ
จากอำ� นาจกเิ ลสตามประเภทของเขา ใหพ้ ึง
ทราบว่านั้นคือหนามยอกหวั ใจ จงพยายาม
ถอดถอนออกใหจ้ งได้
58 ธมั โม ปทีโป
การตะเกยี กตะกายเพอ่ื ถอดหนาม และ
การตะเกียกตะกายเพ่ือข้ึนจากหลุมมูตร
หลุมคูถ อย่าถือเป็นความล�ำบากกว่าที่จะ
ยอมนอนจมอยู่ในหลุมมูตรหลุมคูถ หรือ
กวา่ ที่จะยอมใหห้ นามจมอยู่ในหัวใจของเรา
ทุกข์เพ่ือก้าวออกจากทุกข์ด้วยข้อปฏิบัติ
เปน็ ทกุ ขท์ พี่ ระพทุ ธองคท์ รงสรรเสรญิ ทง้ั เปน็
ทางท่ีพระองค์ทรงด�ำเนินผ่านทุกข์มาแสน
สาหัส และได้รับผลถึงความเป็นศาสดา
ของโลก เพราะทรงด�ำเนินฝืนทุกข์เหมือน
เราทั้งหลายกำ� ลงั ด�ำเนนิ อยู่ ณ บดั น้ี และ
ค�ำว่า พุทธงั ธัมมัง สังฆัง สรณัง คจั ฉามิ
อย่าลืมว่าลักษณะท้ังสามน้ีเป็นที่ฝากชีวิต
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน 59
จิตใจของพวกเราและพาเราให้พ้นทุกข์โดย
ปลอดภยั
ความเกียจคร้านความไม่อดทนต่อ
เหตผุ ลคอื หลกั ธรรมเปน็ ตน้ ไม่เคยน�ำผ้ใู ด
ข้ามพ้นจากอุปสรรคไปได้แม้แต่รายเดียว
โลกทุกหย่อมหญ้าพึงทราบว่าตั้งอยู่ได้
เพราะการงาน ไม่มงี าน ชวี ิตต้องแตกสลาย
สัตว์ทุกประเภทต่างก็แสวงหาอาหารใส่ปาก
ใสท่ ้อง พึงทราบวา่ เขาทำ� ไม่ใช่งานจะมีแต่
มนุษย์จ�ำพวกเดียวเท่านั้น งานท่ีจ�ำเป็นทุก
ถว้ นหน้า คอื งานอาชพี แม้สัตวเ์ ดยี รจั ฉาน
ก็ตอ้ งทำ� เพราะเป็นสิ่งจ�ำเปน็ เหนอื ชวี ิตใดๆ
ทั้งนั้น เราเป็นนักบวชมีความมุ่งหวังอย่าง
60 ธัมโม ปทีโป
แรงกลา้ มงุ่ หนา้ ตอ่ มรรค ผล นพิ พาน จงเหน็
งานประจำ� เพศและความประสงคข์ องตน คอื
งานเพอื่ นพิ พาน วา่ เปน็ งานจำ� เปน็ เหนอื ชวี ติ
เพราะงานนี้เป็นงานเพื่อไปแล้วไม่กลับมา
ผลท่ีเกิดจากงานนี้คือวิมุตติหลุดพ้นไปแล้ว
หมดความวกเวียน โปรดพากันพากเพียร
จนสดุ ก�ำลังของตน จะตอ้ งเหน็ ผลประจักษ์
กับใจในวันนวี้ นั หน้าไมต่ อ้ งสงสัย
วันน้ีได้แสดงธรรม โดยเร่ิมต้นความ
สะดวกสบายในระหว่างเรากับหมู่เพ่ือน
แล้วย้อนเข้าอธิบายเรื่องความสบายใน
ระหว่างใจกับอารมณ์อันเป็นความสงบ
ตามขนั้ จนถงึ เตสงั วปู สโม สโุ ข ความระงบั
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 61
ดบั เสียซงึ่ สงั ขารอนั กอ่ กวน ยงั เหลือเฉพาะ
สังขารประจ�ำขันธ์ห้า ซึ่งไม่มีพิษสงอะไร
พระพุทธเจ้าและสาวกท่านก็มีจนกว่าจะ
นิพพานไปเสีย ขนั ธ์ท้ังหา้ ก็ดับสลายลงไปสู่
สภาพเดมิ ของเขา
ดังน้ัน ขอให้บรรดาท่านผู้ฟังท้ังหลาย
ผู้มีแก่ใจ ซ่ึงอุตส่าห์สละจากบ้านจากเรือน
ทั้งใกล้ท้ังไกล จงฟังให้ถึงจิตคิดให้ถึงใจ
ปฏิบัติให้ถึงขีดแดน ตายที่ไหนแล้วเรา
ไมต่ อ้ งไปเกย่ี วขอ้ งกบั รา่ งอนั นี้ ปา่ ชา้ ของเรา
มีอยู่ทุกแห่งทุกหน ใต้ต้นไม้ ภูเขา หรือ
ปา่ รกชฏั ทไ่ี หนกไ็ ด้ ลม้ ลงแลว้ ใครจะเอาไป
ท่ไี หนก็แลว้ แตเ่ ขา จงตามรอยพระบาทของ
62 ธัมโม ปทีโป
พระพทุ ธเจา้ แลสาวก ใหท้ นั ทงั้ ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิ
ท้ังความรู้ภายใน ทั้งความเป็นความตาย
อยา่ ให้ผิดเย่ยี งอย่างท่ีทา่ นพาดำ� เนิน สมกับ
พระนามว่าเป็นศาสดาของโลก เพราะ
พระองคท์ า่ นและสาวกไมเ่ คยจบั จองปา่ ชา้ ให้
เหมาะสมไวเ้ พอื่ ความตาย ขนั ธห์ มดกำ� ลงั ลง
ที่ไหนเป็นป่าช้าที่น่ัน เราจงเป็นศิษย์พระ
ตถาคตดว้ ยความไมเ่ หน็ แกเ่ รอื นรา่ ง ซง่ึ เปน็
อาหารของสตั วต์ ำ�่ ชา้ จำ� พวกไมม่ อี าชพี ทางอนื่
นอกจากร่างกายของคนและสัตว์ สิ่งท่ีเรา
ไม่ยอมแพ้และปล่อยวาง คือความเพียร
เพอื่ ไปไมต่ ้องกลับมาโดยถา่ ยเดยี ว
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 63
ขอใหท้ า่ นทงั้ หลายยดึ ธรรมทกี่ ลา่ วมานี้
ไวเ้ ป็นหลกั ใจ ใคร่ต่อความเพียรไม่ทอ้ ถอย
จะเป็นผู้ถึงแดนแห่งความไม่วกเวียนใน
วันข้างหน้า ข้อส�ำคัญอย่าถือความข้ีเกียจ
ท้อแท้ว่าเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าก็
แล้วกนั วันหนง่ึ แน่ๆ ท่านทง้ั หลายจะเป็น
เจ้าของสมบัติอันลำ�้ ค่าภายในใจ และทรงไว้
ซึ่งประวัติแห่งบุคคลผู้มีชัยชนะต่อข้าศึก
คือตนเอง ไม่กลับมาแพ้ตลอดกาล ค�ำว่า
นพิ พานัง ปรมงั สุขัง อนั เปน็ บ่อแหง่ ความ
สงสยั ซงึ่ เคยเปน็ มาในขณะทยี่ งั ไมร่ ู้ จะกลาย
เป็นธรรมตัดปัญหาลงในขณะเดียวกัน
โดยส้นิ เชงิ
64 ธัมโม ปทโี ป
ในอวสานแห่งพระธรรมเทศนาน้ี
ขอบรรดาท่านผู้ฟังทุกท่านจงประสบความ
ส�ำเร็จตามใจหวังดังค�ำอวยพรทุกประการ
เถิด
เอวัง ขอยตุ กิ ารแสดงพระธรรมเทศนา
ลงเพียงน้ี
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน 65
เตสัง วูปสโม สโุ ข
ความระงบั ดบั เสีย
ซึ่งสงั ขารอนั กอ่ กวน
ยังเหลอื เฉพาะสงั ขารประจำ� ขันธห์ า้
ซึ่งไมม่ ีพษิ สงอะไร
พระพทุ ธเจา้ และสาวกทา่ นกม็ ี
จนกว่าจะนพิ พานไปเสีย
ขนั ธท์ ั้งห้ากด็ ับสลายลงไป
สสู่ ภาพเดิมของเขา
66 ธมั โม ปทโี ป
มจิ ฉาสมาธ-ิ สัมมาสมาธิ
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดปา่ บา้ นตาด
เม่อื วันท่ี ๓๐ กนั ยายน พทุ ธศักราช ๒๕๐๕
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน 67
เราเปน็ นกั บวชและเปน็ ผงู้ ดเวน้ ทกุ อยา่ ง
บรรดาที่เป็นข้าศึกต่อตนเองและส่วนรวม
ท่านจึงให้นามว่า นักบวช แปลวา่ ผงู้ ดเว้น
คำ� วา่ “เวน้ ” ในทน่ี หี้ มายความวา่ เวน้ สงิ่ ทเี่ ปน็
ขา้ ศกึ ทจี่ ะทำ� ใหเ้ ราเสยี จงสงั เกตคำ� วา่ “นกั ”
ถา้ ขนึ้ หนา้ ดว้ ยคำ� วา่ “นกั ” แลว้ ตอ้ งเลอื่ งลอื
เชน่ คำ� วา่ นกั เลง นกั ปลน้ จี้ เปน็ ตน้ ตอ้ งเปน็
คนเสยี หายอยา่ งลือนาม ถา้ เป็นทางดี เชน่
นกั ปราชญ์ นักบวช นักปฏิบัติ ยอ่ มเป็นไป
เพื่อความดีเด่นเป็นส่วนมาก เฉพาะที่น่ีจะ
อธิบายเกี่ยวกับนักบวช ซ่ึงเป็นผู้มีหน้าท่ี
งดเว้นส่ิงที่เป็นอกุศล และบ�ำเพ็ญสิ่งท่ีเป็น
กศุ ล คอื ความฉลาดเขา้ ใหม้ ากเทา่ ทจี่ ะมากได้
จนพอตัวแล้วก็ข้ามอุปสรรคคือกองทุกข์
68 ธัมโม ปทโี ป
เสยี ได้ เพราะฉะนนั้ เราทกุ ทา่ นบดั นไี้ ดท้ ราบ
แล้วว่าเราเป็นนักบวช โลกก็ให้นามว่าเป็น
นกั บวช จงทำ� ความรสู้ กึ ในเพศของตนตลอด
เวลาและทุกๆ อาการที่เคล่ือนไหวทางกาย
วาจา ใจ
เราบวชในพระศาสนามีพระโอวาท
เป็นเครื่องปกครอง พระโอวาทมีทั้งรั้วก้ัน
มีทางเดนิ รว้ั กนั้ คอื พระวนิ ัย ปรบั โทษแหง่
ความผดิ ไวเ้ ปน็ ชนั้ ๆ อยา่ งหนกั กม็ ี อยา่ งกลาง
ก็มี อย่างเบาก็มี น่ีคือร้ัวก้ันทางผิดไม่ให้
ปลกี ออก และเปิดทางท่ีถกู ไว้คอื พระธรรม
เพอ่ื ดำ� เนนิ ไปสจู่ ดุ ประสงคท์ มี่ งุ่ หวงั พระวนิ ยั
เป็นรั้วกั้นสองฟากทาง ถ้าแยกออกไปแล้ว
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน 69
แสดงวา่ ผดิ แยกออกนอ้ ยกผ็ ดิ นอ้ ย แยกออก
มากกผ็ ดิ มาก แยกออกไปจนถงึ ไม่กลบั เขา้
สู่ทางเลย ก็แสดงว่าผิดไปเลย เหมือนคน
หลงทาง ถ้าหลงน้อยก็วกกลับเข้ามาได้เร็ว
ถ้าหลงมากก็ท�ำให้เสียเวลานาน ย่ิงหลงไป
เสียจรงิ ๆ ก็ไม่มโี อกาสจะถงึ จุดประสงค์
เพราะฉะนั้น เร่ืองของพระวินัยจึงเป็น
เหมือนรั้วกั้นความผิดของผู้เป็นนักบวช
เป็นช้นั ๆ ตามฐานะของนักบวชและฆราวาส
จะปฏิบัติรักษาตามหนา้ ทข่ี องตน ในศลี นบั
แต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗
สว่ นพระธรรมเปน็ ทางเดนิ มศี รทั ธาความเชอื่
เป็นภาคพืน้ ซึง่ พระพทุ ธเจ้าประทานไว้แล้ว
70 ธมั โม ปทีโป
คือเช่ือในทางด�ำเนินเพื่อผลอันดี วิริยะ
เพียรไปตามทางน้ันเสมอไม่ลดละ สติเป็น
ผปู้ ระคองความเพยี รของตนในเวลาเดนิ ทาง
สมาธิ ความมน่ั คงของใจตอ่ การเดนิ ทาง และ
เป็นเสบียง คือความสงบสุขของใจระหว่าง
ปลายทาง และปญั ญา ความรอบคอบในการ
เดนิ ทางเปน็ ลำ� ดบั ไป ตงั้ แตต่ น้ จนถงึ จดุ หมาย
ปลายทาง
ธรรมทกี่ ลา่ วมาทง้ั น้ี เปน็ เครอ่ื งสนบั สนนุ
ใหเ้ ราเดนิ ถกู ทาง เมอื่ เปน็ ผมู้ ธี รรมทง้ั ๕ ขอ้
คือ ศรทั ธา วิริยะ สมาธิ สติ และปัญญา
ประจ�ำตนเสมอแล้ว จุดหมายปลายทางซึ่ง
เป็นตัวผลเรามิต้องสงสัย จะตอ้ งปรากฏขึน้
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 71
เปน็ ผลตอบแทนใหร้ ปู้ ระจกั ษใ์ จของเราตาม
กำ� ลงั ความสามารถของตน ถา้ อบรมธรรมทง้ั
๕ นแี้ กก่ ลา้ ภายในใจแลว้ จดุ หมายปลายทาง
ที่พระองค์ประกาศผลเอาไว้ได้แก่ วิมุตติ
พระนพิ พาน จะหนจี ากทางดำ� เนนิ นไี้ ปไมไ่ ด้
เพราะคำ� วา่ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา
ต่างก็มุ่งตอ่ ผลนัน้ อยแู่ ลว้
ขอให้ท่านนักปฏิบัติจงพยายามบ�ำรุง
ศรัทธาความเช่ือในธรรม และสมรรถภาพ
คอื ความสามารถของตนเอง วริ ยิ ะเพยี รใหพ้ อ
สมาธิความสงบจะปรากฏเป็นผลข้ึน และ
พยายามบำ� รงุ สมาธใิ หเ้ พยี งพอ สตกิ บั ปญั ญา
เปน็ พเี่ ลยี้ ง ผลจะปรากฏขน้ึ เปน็ ทพ่ี งึ พอใจแก่
72 ธมั โม ปทโี ป
ทา่ นผปู้ ฏบิ ตั ทิ ง้ั หลาย เราไมต่ อ้ งเปน็ อารมณ์
ขอ้ ข้องใจวา่ มรรค ผล นพิ พาน จะมีอยู่ใน
ที่แห่งใด จงพยายามบ�ำรุงเหตุท่ีได้อธิบาย
มานใี้ หเ้ พยี งพอ ผลซง่ึ จะเกดิ ขนึ้ จากเหตนุ นั้
จะไมม่ ีอะไรบังคับไวไ้ ด้
ในธรรมทั้ง ๕ ขอ้ น้ี คือหลกั ธรรมทาง
ดำ� เนนิ เรยี กวา่ อนิ ทรยี ์ ๕ หรอื พละ ๕ กไ็ ด้
อนิ ทรยี ค์ วามเปน็ ใหญ่ พละคอื กำ� ลงั ฝา่ ยพระ-
วินัยเป็นรั้วกั้นสองฟากทาง ซ่ึงจะเป็นเหตุ
ใหผ้ ิดต่อทางดำ� เนนิ เพ่อื มรรค ผล นพิ พาน
พระพุทธเจ้าทรงก้ันไว้รอบด้าน แล้วทรง
เปดิ ทางคืออินทรยี ์ ๕ ใหด้ ำ� เนินจนเพยี งพอ
แกค่ วามต้องการ
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน 73
สมาธขิ นั้ กลางของนสิ ยั
ผลู้ งไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
คือผู้ได้สมาธิกอ่ นไม่มีการปรงุ
เพราะถา้ เร่มิ ปรุง
ก็เรม่ิ จะถอนในขณะเดียวกัน
แตส่ มาธทิ ่สี งบได้ด้วย
อ�ำนาจของปัญญาเปน็ พ่ีเลีย้ ง
ยงั คิดปรงุ ไดโ้ ดยจิตไมถ่ อน
และทง้ั สองนิสัยตอ้ งมีสติรอู้ ยู่
ในความรวมของตนด้วยกนั
74 ธมั โม ปทีโป
กายวเิ วก ความสงดั แหง่ กายในสถานที่
อยู่อาศยั ทไี่ ปทีม่ าตามบริเวณทอ่ี ยนู่ ้ี นับว่า
เปน็ สปั ปายะ ความสบายพอสมควร จติ วเิ วก
ท่านผู้มุ่งให้เป็นไปเพื่อความสงัดภายใน
ตามขั้นแห่งความสงบของตน กม็ ีประจ�ำจติ
ของท่านผู้บ�ำเพ็ญพอสมควร ส่วนผู้เร่ิม
ฝึกหัดใหม่ๆ ยังไม่ได้จิตวิเวกภายในใจ
จงพยายามบ�ำรุงอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้มีก�ำลัง
ความวิเวกภายในค่อยปรากฏขึ้นเป็นล�ำดับ
ผู้ที่ได้รับความวิเวกภายในพอประมาณแล้ว
จงพยายามส่งเสริมให้มีความละเอียดเข้า
เปน็ ลำ� ดบั พรอ้ มทง้ั ปญั ญาความรอบคอบใน
ความวิเวกของตน และผู้มีธรรมยิ่งกว่าน้ัน
จงรีบเร่งตักตวงความเพียรด้วยปัญญาให้
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 75
เพยี งพอ จะปรากฏเปน็ อปุ ธวิ เิ วก ความสงดั
จากกิเลสโดยสิน้ เชิงประจักษใ์ จขึน้ มาก
กายวเิ วก ความไมว่ นุ่ วายกบั สง่ิ ภายนอก
เทย่ี วหลกี เรน้ อยใู่ นทสี่ งดั และไมค่ วา้ หาการ
งานมาเปน็ เครื่องรบกวนกาย จนกลายเปน็
โรงงานข้ึนในสถานท่ีอยู่และท่ีอาศัยช่ัวคราว
โดยถือการงานเป็นรากฐานของพระพุทธ-
ศาสนาและการอาชีพของนักบวช ซง่ึ เหน็ อยู่
ในทท่ี วั่ ไป จนหมดความสนใจในความเพยี ร
ทางใจ ซ่ึงเป็นกิจของนักบวชแท้ จิตวิเวก
ความสงัดของจิตท่ีมีความเพียรทางใจเป็น
พเ่ี ลยี้ งตามรกั ษา ไมฟ่ งุ้ เฟอ้ เหอ่ เหมิ กบั สงิ่ ตา่ งๆ
ท่ีมาสัมผัส ร้ังจิตใจให้ด�ำรงอยู่ในความ
76 ธมั โม ปทโี ป
สงบได้ด้วยความระวังส�ำรวมตลอดเวลา
ตามธรรมดาของจิตวิเวก แม้สงิ่ ภายนอกจะ
ไมม่ ารบกวน แตภ่ ายในจติ กย็ งั ตอ้ งมอี ารมณ์
ทเี่ ปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ ใจอยบู่ า้ ง เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ
ให้ช่ือเพียงจิตวิเวก ความสงัดจากอารมณ์
เคร่อื งก่อกวนภายนอก
สว่ นอุปธวิ เิ วก หมายถงึ ความสงัดจาก
สงิ่ ภายนอก มรี ปู รส กลน่ิ เสยี ง เปน็ ตน้ ดว้ ย
สงัดจากอารมณ์ภายในท่ีเป็นข้าศึกแก่ใจ
โดยเฉพาะด้วย คือหมดทั้งส่ิงที่เป็นข้าศึก
ภายนอก หมดท้ังส่ิงท่ีเป็นข้าศึกภายใน
เปน็ ความสงดั จากกเิ ลสโดยสน้ิ เชงิ ไมม่ อี ะไร
แทรกสิงใจแม้แต่น้อย เป็นอุปธิวิเวก
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน 77
ความสงดั จากกเิ ลสตลอดเวลา แมจ้ ะกระทบ
อารมณจ์ ากสง่ิ ตา่ งๆ ทม่ี าสมั ผสั หรอื ขนั ธจ์ ะ
ทำ� งานตามหนา้ ทข่ี องตน กไ็ มซ่ มึ ซาบถงึ ใจให้
ได้รับความล�ำบาก
ทง้ั นเี้ ปน็ ผลสบื เนอ่ื งมาจากกายวเิ วกและ
จิตวิเวกเป็นบาทฐานส�ำคัญ ธรรมทั้งสาม
ประเภท คอื กายวเิ วก จติ วเิ วก และอปุ ธวิ เิ วกนี้
เปน็ ธรรมทค่ี วรแกค่ วามสามารถของนกั ปฏบิ ตั ิ
จะบ�ำเพ็ญให้บริบูรณ์ข้ึนในตนได้ทุกๆ คน
โดยไม่มีอะไรมากีดขวาง ขออย่างเดียว
แต่อย่าละความเพียรพยายาม จงเป็นผู้
อาจหาญร่าเริงต่อสถานที่อยู่ที่อาศัยซ่ึงเป็น
ทเี่ ปลย่ี วๆ สงดั วิเวกวังเวง และเป็นสถานที่
78 ธัมโม ปทีโป
ทจี่ ะปลดเปลอื้ งความโงต่ อ่ ตวั เองเสยี ไดโ้ ดย
สิ้นเชิง ที่ทั้งน้ีพระองค์กับบรรดาสาวกได้
เสด็จผ่านไปแล้วจนถึงแดนแห่งนิพพาน
ที่ดังกล่าวยังจะกลับแปรสภาพมาเป็นข้าศึก
ต่อพวกเราผู้ด�ำเนินตามเย่ียงอย่างของ
พระองคท์ า่ นจะมอี ยา่ งหรอื
จงอยา่ พากนั หว่ งใยในชวี ติ วา่ จะทอดทงิ้
รา่ งกายในสถานทเี่ ชน่ นน้ั หากจะเปน็ เชน่ นน้ั
ไดจ้ รงิ แลว้ พระองคต์ อ้ งทรงเปลยี่ นอนศุ าสน์
จากคำ� วา่ รกุ ขมลู เสนาสนงั การอยปู่ า่ ไปเปน็ อนื่
ให้สมกับพระเมตตาท่ีมีต่อบรรดาสัตว์
ทงั้ มนษุ ยแ์ ละเทวดาโดยตลอด อนงึ่ ถา้ ผอู้ ยู่
ในท่ีสงัดวิเวกด้วยความเพียรตามแบบ
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 79
พระองค์สอน ผลจะกลายเป็นอื่นไปจากผล
ท่ีชอบธรรมซ่ึงประทานแลว้ พระองค์ก็ต้อง
ดดั แปลงแกไ้ ขบทธรรมตา่ งๆ ใหเ้ ปน็ ไปตาม
สมยั และสถานทน่ี ยิ ม ในโพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗
ซึ่งเป็นเหมือนพระหทัยวัตถุของพระองค์ท่ี
ประทานไว้ชอบแล้ว ก็จะถูกเปล่ียนแปลง
ด้วยพระองคโ์ ดยสน้ิ เชิง
ธรรมทั้งนี้ยังคงเส้นคงวาโดยไม่ถูก
เปล่ียนแปลงจากพระองค์ท่าน เราผู้ปฏิบัติ
จึงควรดดั กาย วาจา ใจ ของตนเข้าสู่ธรรม
ไม่ควรอยา่ งย่ิงทจ่ี ะดดั แปลงธรรมให้เปน็ ไป
ตามอ�ำนาจของใจท่ีมีกิเลส จะกลายเป็น
พระเทวทัตข้นึ มาท่กี าย วาจา ใจ ดวงนั้น
80 ธมั โม ปทโี ป
ศาสดาคือพระโอวาทอันชอบธรรมก็จะ
สูญเสียไปจากเราโดยเจ้าตัวไม่รู้สึก ฉะนั้น
จงพยายามทางความเพียรตามธรรมท่ีทรง
ประทานไว้ มีความอาจหาญต่อสู้สิ่งที่เป็น
ข้าศกึ ตอ่ ใจ ทั้งทเี่ กิดข้นึ จากภายนอก และ
เกดิ ขน้ึ จากภายใน ทงั้ ผลทปี่ รากฏขนึ้ มาใหไ้ ด้
รบั ความทุกข์วา่ เกดิ ขึ้นจากไหน และเกิดขน้ึ
มาได้อย่างไร ด้วยความสนใจของตน
ตลอดเวลา อย่าทอดธรุ ะ อย่ามีความระอา
จงพยายามให้รู้เหตุรู้ผลของสิ่งท่ีมากระทบ
หรือเก่ียวข้องกับใจ จนถึงกับเป็นผลให้ใจ
ได้รับความทุกข์ข้ึนมา จนเห็นได้ชัดในตัว
เหตุผลกเ็ ปน็ สิ่งจะทราบชดั ในขณะเดยี วกนั
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน 81
ข้อส�ำคัญท่ีสุดที่ได้เทศน์ในวันใดก็ดี
และเปน็ ธรรมทแ่ี นบสนทิ อยกู่ บั ใจของผเู้ ทศน์
ตลอดเวลา คอื สติกับปัญญา นีเ่ ปน็ ธรรม
สำ� คญั มาก ถา้ ไดข้ าดสตกิ บั ปญั ญาแลว้ ผลจะ
ขาดวรรคขาดตอน การก้าวแห่งความเพียร
กจ็ ะขาดวรรคขาดตอนไมส่ มำ�่ เสมอ แมอ้ บุ าย
ความฉลาดท่ีจะปรากฏข้ึนเป็นเครื่องแก้
กิเลสก็ขาดลงเป็นล�ำดับ และผลคือความ
สงบสุขก็ขาดวรรคขาดตอนไปตามๆ กัน
ถา้ สตกิ บั ปญั ญาไดข้ าดวรรคขาดตอนไปแลว้
พงึ ทราบวา่ ความเพยี รทกุ ประโยคไดข้ าดวรรค
ขาดตอนไปในขณะเดยี วกนั ฉะนนั้ โปรดได้
ทราบไวท้ ุกๆ ทา่ นดว้ ย และทกุ ครั้งทีเ่ ทศน์
82 ธัมโม ปทีโป
ไม่เคยเว้น สติกับปัญญาแทบจะกล่าวได้
ว่าออกหน้าออกตาว่าบรรดาธรรมท้ังหลาย
เพราะได้พิจารณาแล้วเต็มก�ำลัง นับแต่ได้
เริ่มปฏิบัติมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยเห็นธรรม
บทใดหมวดใดทีย่ ่ิงไปกวา่ สตปิ ญั ญา ซึง่ จะ
สามารถรอ้ื ฟน้ื สง่ิ ลลี้ บั อยภู่ ายนอกกด็ ี ภายใน
ก็ดี ให้ประจักษ์แจง้ ขั้นมาภายในใจ
ดงั นนั้ จงึ ไดน้ ำ� ธรรมทงั้ สองประเภทนม้ี า
แสดงแกบ่ รรดาทา่ นผฟู้ งั ไดท้ ราบวา่ ถา้ เปน็ ไม้
ก็แก่น หรือรากแก้วของต้นไม้ เป็นธรรม
กร็ ากเหงา้ หรอื เคร่ืองมอื ท่ีส�ำคัญสำ� หรับแก้
กิเลสอาสวะ นับตั้งแต่หยาบถึงละเอียดยิ่ง
ใหห้ มดสนิ้ ไปโดยสนิ้ เชงิ ถา้ ไดข้ าดสตไิ ปเสยี
หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน 83
เพียงจะท�ำสมาธิให้เกิดขึ้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ย่ิงได้ขาดปัญญาไปเสียด้วยแล้ว แม้สมาธิ
ก็จะกลายเป็นมจิ ฉาสมาธิไปได้ เพราะคำ� ว่า
สมาธิ นั้นเป็นค�ำกลางๆ ยังไม่แน่ว่าเป็น
สมาธปิ ระเภทใด ถ้าขาดปัญญาเป็นพี่เลี้ยง
ต้องกลายเป็นสมาธิท่ีผิดจากหลักธรรมไป
ได้โดยไม่ร้สู กึ ตัว
คำ� วา่ มจิ ฉาสมาธิ นน้ั มหี ลายชนั้ ชนั้ หยาบ
ที่ปรากฏแก่โลกอย่างชัดเจนก็มี ชั้นกลาง
และชั้นละเอียดก็มี ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะ
มิจฉาสมาธิในวงปฏิบัติซึ่งปรากฏขึ้นกับ
ตนเองโดยไมร่ สู้ กึ ตวั เชน่ เขา้ สมาธจิ ติ รวมลง
แลว้ พกั อยูไ่ ดน้ านบา้ ง ไมน่ านบา้ ง จนถอน
84 ธมั โม ปทีโป
ข้ึนมา ในเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วยังมีความ
ติดพันในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญาเลย
โดยถอื วา่ สมาธจิ ะกลายเปน็ มรรค ผล นพิ พาน
ข้ึนมาบ้าง ยังติดใจในสมาธิอยากให้รวม
อยูน่ านๆ หรือตลอดกาลบา้ ง จติ รวมลงถงึ
ท่ีพักแล้วถอนขึ้นมาเล็กน้อย และออกรู้สิ่ง
ต่างๆ ตามแตจ่ ะมาสมั ผัส แล้วเพลนิ ติดใน
นิมิตน้ันๆ บ้าง บางทีจิตลอยออกจากตัว
เทย่ี วไปสวรรคช์ ้ันพรหม นรก อเวจี เมอื งผี
เมอื งเปรตตา่ งๆ จะถกู หรอื ผดิ ไมค่ ำ� นงึ แลว้ ก็
เพลินในความเห็นและความเป็นของตน
จนถือว่าเป็นมรรคผลที่น่าอัศจรรย์ของตน
และของพระศาสนาดว้ ย ทงั้ นแี้ มจ้ ะมที า่ นทม่ี ี
หลวงตามหาบวั ญาณสัมปนั โน 85
ความรสู้ ามารถในทางนมี้ าตกั เตอื นกไ็ มย่ อม
ฟังเสียเลย เหล่านี้เรียกว่าเป็นมิจฉาสมาธิ
โดยเจ้าตัวไม่รู้สกึ
ส่วนสัมมาสมาธิเล่าเป็นอย่างไร และ
จะปฏบิ ตั วิ ธิ ใี ดจงึ จะเปน็ ไปเพอื่ ความถกู ตอ้ ง
ขอ้ นม้ี ผี ดิ แปลกกนั อยบู่ า้ ง คอื เมอื่ นงั่ ทำ� สมาธิ
จิตรวมลงพักอยู่ จะเป็นสมาธิประเภทใด
กต็ าม และจะพกั อยไู่ ดน้ านหรอื ไมน่ าน ขอ้ นี้
ขน้ึ อยู่กบั สมาธปิ ระเภทน้ันๆ ซง่ึ มกี �ำลงั มาก
น้อยต่างกัน จงให้พักอยู่ได้ตามขั้นของ
สมาธินั้นๆ โดยไม่ต้องบังคับให้ถอนขึ้นมา
ปล่อยให้พักอยู่ตามความต้องการแล้วถอน
ขน้ึ มาเอง แตเ่ มอ่ื จติ ถอนขนึ้ มาจากสมาธแิ ลว้
86 ธมั โม ปทีโป
จงพยายามฝกึ คน้ ดว้ ยปญั ญา จะเปน็ ปญั ญา
ทคี่ วรแกส่ มาธขิ น้ั ไหน กต็ อ้ งพจิ ารณาไตรต่ รอง
ดตู ามธาตขุ นั ธ์ จะเปน็ ธาตขุ นั ธภ์ ายนอกหรอื
ภายในไม่เป็นปัญหา ขอแต่พิจารณาเพ่ือรู้
เหตผุ ลเพอื่ แกไ้ ขหรอื ถอดถอนตนเองเทา่ นนั้
ชื่อวา่ ถกู ต้อง
จงใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรมท้ัง
ภายในท้ังภายนอก หรอื จะเป็นส่วนภายใน
โดยเฉพาะ หรือจะเป็นส่วนภายนอก
โดยเฉพาะ พจิ ารณาลงในไตรลกั ษณ์ จะเปน็
ไตรลักษณ์ใดก็ได้จนช�ำนาญและแยบคาย
จนรู้ช่องทางเอาตัวรอดไปได้โดยล�ำดับ
เมอื่ พจิ ารณาจนรสู้ กึ ออ่ นเพลยี จิตอยากจะ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 87
เข้าพักในเรือนคือสมาธิ ก็ปล่อยให้พักได้
ตามความต้องการ จะพักนานหรือไม่นาน
ไม่เป็นปัญหา จงพักอยู่จนกว่าจิตจะถอน
ขน้ึ มาเอง เมือ่ จติ ถอนข้ึนมาแล้วจงพิจารณา
สภาวธรรม มกี ายเปน็ ตน้ ตามเคย นเ่ี รยี กวา่
สัมมาสมาธิ และพงึ ทราบว่าสมาธเิ ป็นเพียง
ท่ีพักชั่วคราวเท่าน้ัน เม่ือพิจารณาโดยทาง
ปญั ญามากๆ รสู้ กึ ออ่ นเพลยี ภายในจติ กเ็ ขา้
พักอยู่ในสมาธิ จิตมีก�ำลังแล้วถอนข้ึนมา
ควรแกก่ ารพจิ ารณาตอ้ งพจิ ารณา ทำ� อยา่ งน้ี
โดยสม่�ำเสมอ สมาธิจะเป็นไปเพื่อความ
ราบร่ืน ปัญญาจะเป็นไปเพ่ือความฉลาด
เสมอไป จะเป็นไปเพื่อความสม�่ำเสมอ
ท้งั ดา้ นสมาธิและดา้ นปัญญา
88 ธมั โม ปทโี ป
เพราะสมาธเิ ปน็ คณุ ในทางหนงึ่ ปญั ญา
เปน็ คณุ ในทางหนง่ึ ถา้ จะปลอ่ ยใหด้ ำ� เนนิ ใน
ทางปัญญาโดยถ่ายเดียวก็ผิด เพราะไม่มี
สมาธเิ ปน็ เครอื่ งหนนุ ยงิ่ ถา้ ปลอ่ ยใหด้ ำ� เนนิ ไป
ในทางสมาธิโดยถ่ายเดียวแล้ว ยิ่งเป็น
การผิดมากกว่าทางด้านปัญญา เม่ือสรุป
ความลงแล้ว คุณธรรมทั้งสองประเภทนี้
เทียบกันได้กับแขนซ้ายแขนขวา เท้าซ้าย
เท้าขวาของคน คนๆ หน่ึงเดินเหินไปไหน
มาไหน และท�ำกิจการอะไร เท้าและแขน
ท้ังสองเป็นส่ิงท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับคนๆ นั้น
เรื่องของสมาธิกับเรื่องของปัญญาก็มีความ
จำ� เปน็ เชน่ เดยี วกนั ถา้ เราจะเหน็ เสยี วา่ สมาธิ
ดีกว่าปัญญา หรือปัญญาดีกว่าสมาธิแล้ว
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปันโน 89
คนๆ น้ันควรจะมเี พยี งขาเดยี ว แขนเดยี ว
ไม่มีสองแขน สองขา เหมือนอยา่ งคนอนื่ ๆ
กเ็ รียกวา่ เป็นคนแปลกจากโลกเขา
คนที่ท�ำตัวให้แปลกจากธรรมของ
พ ร ะ พุ ท ธ เ จ ้ า ก็ เ ป ็ น ค น ใ น ลั ก ษ ณ ะ น้ี
เหมอื นกนั คอื ตำ� หนปิ ญั ญาชมเชยสมาธบิ า้ ง
ต�ำหนิสมาธิชมเชยปัญญาบ้างอย่างน้ี ท่ีถูก
ขณะที่เราจะท�ำสมาธิก็ต้องเป็นหน้าที่ของ
สมาธิ และเหน็ ประโยชนใ์ นสมาธจิ รงิ ๆ เวลา
จะพิจารณาทางปัญญาก็ให้ท�ำหน้าท่ีทาง
ปัญญา และเห็นประโยชน์ในด้านปัญญา
จรงิ ๆ ตา่ งพกั ไวต้ ามกาลอนั ควร ไมใ่ หส้ บั สน
ระคนกนั เชน่ เดยี วกบั เทา้ ทงั้ สอง เมอ่ื เทา้ ขวา
90 ธัมโม ปทีโป
กา้ วไป เทา้ ซา้ ยตอ้ งหยดุ เม่ือเทา้ ซ้ายกา้ วไป
เทา้ ขวาตอ้ งหยดุ ไมใ่ ชจ่ ะกา้ วไปพรอ้ มๆ กนั
เพราะเหตุนั้น สมาธิกับปัญญาจึงเป็นคุณ
ดว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย เมอ่ื สตกิ บั ปญั ญาตา่ งกม็ ี
ก�ำลังเพียงพอ เพราะการฝึกฝนเป็นคู่เคียง
กนั มา สมาธกิ บั ปญั ญากจ็ ะกา้ วไปพรอ้ มๆ กนั
ไม่ใช่จะเปลี่ยนกันรบและเปล่ียนกันรับ
อย่างนั้นเสมอไป เช่นเดียวกับแขนซ้าย
แขนขวาทำ� งานรว่ มกนั ฉะนน้ั
นก่ี ลา่ วเรอื่ งสมาธกิ บั ปญั ญา ซงึ่ เปน็ ธรรม
จ�ำเป็นเสมอกันส�ำหรับนิสัยผู้อบรมสมาธิ
มากอ่ น เดยี๋ วจะเปน็ สมาธเิ ลยเถดิ โดยไมเ่ หน็
ปญั ญาเปน็ อกี แงห่ นง่ึ คอื ถา้ เปน็ ธรรมจำ� เปน็
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปันโน 91
จะควรใช้ในกาลอันควร ส่วนนิสัยของ
ผหู้ นักในด้านปญั ญาอบรมสมาธิ จติ ตอ้ งหา
ความสงบไม่ได้ด้วยอ�ำนาจของสมาธิอบรม
ก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นผู้สกัดลัดก้ันจิตที่
มีความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในอารมณ์ต่างๆ
โดยก�ำหนดตามความฟุ้งของใจว่า ฟุ้งไป
เพราะเหตใุ ด และมสี ง่ิ ใดเปน็ เหตชุ กั จงู จติ ใจ
ให้เป็นอย่างนั้น ปัญญาต้องตามค้นคว้าใน
สงิ่ ทจ่ี ติ ไปสำ� คญั มนั่ หมายนนั้ ๆ จนกวา่ จติ จะ
ยอมจ�ำนนตอ่ ปัญญา แลว้ เข้าสคู่ วามสงบได้
ความสงบของจติ ประเภทนเ้ี รยี กวา่ สงบได้
ดว้ ยปญั ญา
92 ธัมโม ปทโี ป
นสิ ยั ของบางราย แมจ้ ติ จะเขา้ สคู่ วามสงบ
แต่ยังใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหรือคิด
ปรงุ ยงั ได้ โดยไมเ่ ปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ ความสงบนนั้
เราจะหาว่าจิตเป็นสมาธิแล้วท�ำไมจึงคิด
ปรุงได้ แล้วเกิดความสงสัยในความเป็น
สมาธขิ องตน เรยี กวา่ ไมเ่ ขา้ ใจในนสิ ยั ของตน
แต่ก็เป็นธรรมดาของผู้ไม่เคยผ่านเคยรู้
เนอ่ื งจากไมม่ ผี แู้ นะนำ� แนวทางพอไดย้ ดึ เปน็
หลกั ฐาน เวลาเหตกุ ารณเ์ ชน่ นน้ั ไดป้ รากฏขน้ึ
ในตนเอง อาจจะสงสยั ในปฏปิ ทาการดำ� เนนิ
ของตนได้ ดังน้ันจึงถือโอกาสแสดงให้
บรรดาทา่ นผฟู้ งั ไดท้ ราบวา่ จติ ทม่ี คี วามสงบ
โดยวธิ ขี องปญั ญาเปน็ พเี่ ลย้ี งอยา่ งน้ี มคี วาม
คดิ ปรุงไดใ้ นขั้นหน่งึ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 93
แต่เมื่อเข้าถึงขั้นละเอียดเต็มที่แล้วนั้น
ไมว่ า่ สมาธปิ ระเภทใด จะหมดการปรุงแตง่
เช่นเดียวกัน หมดสัญญาความจ�ำในสิ่ง
ท้ังหลาย สังขารความคิดความปรุง และ
วิญญาณความรับรู้ในสง่ิ ตา่ งๆ จะไมป่ รากฏ
ในสมาธิประเภทละเอียดน้ัน
สรปุ ความ สมาธขิ นั้ กลางของนสิ ยั ผลู้ งได้
อยา่ งรวดเรว็ คอื ผไู้ ดส้ มาธกิ อ่ นไมม่ กี ารปรงุ
เพราะถ้าเร่ิมปรุงก็เร่ิมจะถอนในขณะ
เดียวกัน แต่สมาธิท่ีสงบได้ด้วยอ�ำนาจของ
ปัญญาเป็นพี่เลี้ยง ยังคิดปรุงได้โดยจิต
ไม่ถอน และทั้งสองนิสัยต้องมีสติรู้อยู่ใน
ความรวมของตนดว้ ยกนั
94 ธมั โม ปทีโป
วันนี้ได้อธิบายมิจฉาสมาธิกับสัมมา-
สมาธิว่ามคี วามตา่ งกันอยา่ งไร อธบิ ายเท่าที่
ควรสำ� หรบั นกั ปฏบิ ตั ขิ องเราจะไดเ้ ขา้ ใจ และ
ยึดไว้เป็นหลักต่อไป ได้ย้�ำว่าสติกับปัญญา
เปน็ ธรรมสำ� คญั มาก ผฝู้ กึ หดั สตไิ มจ่ ำ� เปน็ จะ
ต้องฝึกหัดเฉพาะเวลาท�ำความเพียรเท่านั้น
ต้องฝึกหัดอยู่ตลอดเวลา จะเดินไปไหน
ทำ� อะไรกต็ าม ตอ้ งเปน็ ผมู้ สี ตติ งั้ ทา่ ตอ่ ความ
เพยี รของตนเสมอ ถ้ามีสตแิ ล้วสัมปชัญญะ
ก็ต้องมี เพราะสัมปชัญญะติดต่อสืบเน่ือง
มาจากสติที่ตั้งไว้ดีแล้ว ถ้าขาดสติเสีย
สัมปชัญญะก็ไม่ปรากฏ ฉะน้ันจงพยายาม
อบรมสตทิ เ่ี ปน็ ภาคพน้ื จนสามารถแกก่ ลา้ ขน้ึ
เป็นสติในความเพียรภายในใจได้ จากน้นั ก็
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 95
มจิ ฉาสมาธิในวงปฏิบตั ิ
ซึง่ ปรากฏขนึ้ กับตนเองโดยไม่รู้สกึ ตัว
เชน่ เขา้ สมาธจิ ติ รวมลง
แล้วพักอยไู่ ด้นานบา้ ง ไมน่ านบ้าง
จนถอนข้นึ มา
ในเวลาจิตถอนข้นึ มาแลว้
ยังมคี วามติดพนั ในสมาธิ
ไมส่ นใจทางปัญญาเลย
โดยถือว่าสมาธจิ ะกลายเป็น
มรรค ผล นิพพาน ขึน้ มาบา้ ง
96 ธมั โม ปทีโป
กลายเปน็ มหาสตขิ นึ้ มาเพราะการอบรม และ
การต้ังสตอิ ยู่เสมอ
เ ร่ื อ ง ข อ ง ป ั ญ ญ า ก็ เ ช ่ น เ ดี ย ว กั น
จงพยายามไตรต่ รองในสงิ่ ทมี่ ากระทบ จะเปน็
รปู เสยี ง กลน่ิ รส เครอ่ื งสมั ผสั หรอื จะเปน็
ขึ้นภายในโดยเฉพาะกต็ าม ตอ้ งตามคดิ คน้
ดสู าเหตจุ นกลายเปน็ ความเคยชนิ เกดิ ขน้ึ กบั
นิสัยชอบคิดชอบไตร่ตรอง เมื่อปญั ญาขน้ั น้ี
มกี ำ� ลงั แลว้ กจ็ ะกา้ วขน้ึ สปู่ ญั ญาขนั้ สงู เราจะ
น้อมปัญญาขั้นนี้ขึ้นสู่การพิจารณาในข้อ
ข้องใจท่ีเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมภายในใจ
โดยเฉพาะ กจ็ ะปรากฏเหน็ ความแจง้ ชดั ขน้ึ มา
และตัดขอ้ ข้องใจน้ันๆ ได้ เพราะอำ� นาจของ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปนั โน 97
ปญั ญาทเ่ี คยอบรมในทำ� นองน้ี จนกลายเปน็
มหาปัญญาข้ึนเช่นเดียวกับมหาสติ ไม่เคย
ปรากฏในท่ไี หนเลย
ผู้ไม่ได้เร่ิมฝึกหัดปัญญาไปโดยวิธีท่ี
กล่าวน้ี แล้วไปปรากฏผลอย่างสมบูรณ์ขึ้น
ด้วยปัญญาอันยอดเย่ียม แม้ท่านผู้เป็น
ขปิ ปาภญิ ญา ตรัสรไู้ ดเ้ รว็ ทา่ นยงั เรมิ่ ต้นแต่
ปญั ญาขน้ั หยาบขนึ้ เปน็ ลำ� ดบั ไปอยา่ งรวดเรว็
และตรัสรู้ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
ซ่ึงใครๆ ก็ทราบมาแล้วในต�ำนาน ฉะน้ัน
การฝึกหัดสติกับการฝึกหัดปัญญาไปตาม
ความเคลอ่ื นไหวของตนทกุ ๆ อาการ โดยไม่
คำ� นงึ วา่ เราทำ� ความเพยี รหรอื ไมท่ ำ� ความเพยี ร
98 ธมั โม ปทีโป
แตใ่ หเ้ ปน็ ความเพยี รแฝงโดยทำ� นองนเ้ี สมอ
ไปแล้ว อย่างไรจิตต้องก้าวเข้าสู่ความสงบ
และปัญญาก็จะเรมิ่ ปรากฏข้นึ มาเป็นล�ำดับ
เฉพาะอย่างย่ิงผู้เป็นนักบวชหรือผู้ใคร่
ต่อการปฏบิ ัตเิ พือ่ ความสงบใจ และเพือ่ การ
รอ้ื ถอนตนใหพ้ น้ จากทกุ ขโ์ ดยถา่ ยเดยี วแลว้
เรอื่ งสตกิ บั ปญั ญายงิ่ เปน็ ธรรมจำ� เปน็ มากขน้ึ
เพราะถ้าอบรมสติกับปัญญาจนติดนิสัย
กลายเป็นความรอบคอบประจ�ำตนแล้ว
จะก�ำหนดออกไปข้างนอกก็เป็นความฉลาด
จะกำ� หนดเขา้ สภู่ ายใน คอื กาย เวทนา จติ ธรรม
กไ็ ดค้ วามแยบคายขน้ึ เปน็ ลำ� ดบั จะพจิ ารณา
รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ก็ได้
หลวงตามหาบัว ญาณสมั ปนั โน 99