พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ สยาม
นาย เอ.บี.กรีสโวลด์ : แต่ง ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล : แปล
อนสุ รณพ์ พิ ิธภัณฑฉ์ ันทกรานสุ รณ์
วัดปา่ อมั พโรปญั ญาวนาราม ในพระสงั ฆราชูปถมั ภ์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมพฺ รมหาเถร) สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก
เทศนาพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
พระราชนพิ นธ์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั
พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าสยาม
นาย เอ.บี.กรีสโวลด์ : แต่ง ม.จ.สุภัทรดศิ ดิศกลุ : แปล
เลขมาตรฐานหนงั สือ : ๙๗๘-๖๑๖-๔๔๕-๕๕๗-๓
พิมพค์ รง้ั ที่ ๑ : ตลุ าคม ๒๕๖๐
จ�ำนวนพมิ พ์ : ๕,๐๐๐ เล่ม
จัดพิมพ์โดย : มลู นิธิพุทธสมุนไพรคแู่ ผ่นดนิ ไทย ในพระบรมราชปู ถัมภ์
สงวนลิขสิทธิ์ : ห้ามคดั ลอก ตัดตอน เปลย่ี นแปลง แก้ไข ปรับปรงุ
ข้อความใดๆ ทงั้ สิ้น หรอื นำ� ไปพิมพ์จำ� หนา่ ย
หากทา่ นใดประสงค์จะพิมพเ์ พื่อให้เป็นธรรมทาน
โปรดตดิ ต่อขออนญุ าตจากทางมลู นิธพิ ทุ ธสมนุ ไพรค่แู ผน่ ดินไทย
ในพระบรมราชปู ถมั ภ์
พมิ พท์ ่ี : บรษิ ัท ศิลป์สยามบรรจภุ ัณฑ์และการพิมพ์ จำ� กัด
๖๑ ถนนเลยี บคลองภาษีเจริญฝ่ังเหนอื ซ.เพชรเกษม๖๙
แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร
โทรศพั ท์ ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๙ โทรสาร ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected] www.silpasiam.com
ค�ำปรารภ
เร่ืองการจัดท�ำหนังสือมรดกธรรมยอดโอวาทค�ำสอนของสมณะนักปราชญ์
วสิ ทุ ธเิ ทวา (พระปา่ ) จดั ทำ� ขน้ึ ๓๔ องค์ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช
๒๔๖๐-๒๕๕๔ โอวาทธรรมยอดแห่งค�ำสอนของวิสุทธิบุคคล ท่านแสดงบริสุทธิ์
สมบรู ณไ์ มว่ า่ ยคุ ใดสมยั ใด นำ� ผสู้ นใจพยายามตง้ั ใจปฏบิ ตั ติ าม ยอ่ มกา้ วลว่ งทกุ ขไ์ ปได้
สมความปรารถนา คณะปสาทะศรทั ธาเห็นควรจัดทำ� ข้ึนสงวนรกั ษาไว้ เพ่อื กุลบตุ ร
สุดท้ายภายหลังที่ พิพิธภัณฑ์ฉันทกรานุสรณ์ วัดป่าอัมพโรปัญญาวนาราม บ้าน
หนองกลางดอน ต�ำบลคลองกว่ิ อ�ำเภอบา้ นบึง จังหวดั ชลบุรี ผสู้ นใจกรณุ าเขา้ ไป
ศกึ ษาได้ตามโอกาส เวลาพอดี
ผฉู้ ลาดยึดหลักนักปราชญ์เปน็ แบบฉบับพาดำ� เนนิ ปกครองรกั ษาตน
คณะปสาทะศรทั ธา
ห้ามพิมพเ์ พือ่ จ�ำหนา่ ย สงวนลขิ สทิ ธ์ิ
สารบัญ ๑
๕๗
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั
เทศนาพระราชประวตั ิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ สยาม
พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ สยาม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา เจา อยูหวั
ÃªÑ ¡ÒÅ·Õè ô á˧‹ ¡Ã§Ø ÃµÑ ¹â¡ÊÔ¹·Ã
เทศนาพระราชประวตั ิ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว
พระราชนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
1
คำ� นำ�
เปน็ ทยี่ อมรบั กนั วา่ ประเทศไทยเรมิ่ กา้ วสยู่ คุ ใหมน่ บั แตร่ ชั กาลพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รชั กาลที่ ๔ เป็นตน้ มา โดยพระองค์ได้ทรงปพู นื้ ฐานในการ
พัฒนาและเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ไว้เป็นอันมาก พระราชด�ำริริเร่ิมที่พระองค์ได้
ทรงวางไวน้ ้นั ได้รับการสานตอ่ และปรากฏผลเป็นคณุ ประโยชน์แกช่ าตบิ า้ นเมืองใน
เวลาต่อมาอยา่ งประมาณคา่ มไิ ด้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว จงึ ทรงเป็น
พระมหากษัตริย์ไทยท่ีทรงมีพระราชคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
อยา่ งยงิ่ ยวดพระองคห์ นงึ่ ในประวตั ศิ าสตรข์ องชาตไิ ทย และทรงเปน็ พระมหากษตั รยิ ์
ไทยพระองคแ์ รกทม่ี พี ระเกยี รตคิ ณุ ขจรขจายไปในหมชู่ าวยโุ รปและอเมรกิ า เพราะฉะนน้ั
เรอื่ งราวในพระราชประวตั ขิ องพระองคไ์ มว่ า่ จะเปน็ ดา้ นใดจงึ เปน็ เรอื่ งทน่ี า่ ศกึ ษาเปน็
อยา่ งยงิ่ ทงั้ ในฐานเปน็ บคุ คลตวั อยา่ งทที่ รงอทุ ศิ พระองคเ์ พอื่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของ
ประเทศชาติและประชาชน
เน่ืองในการเฉลิมฉลองวาระที่วันพระบรมราชสมภพแห่งพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวครบ ๒๐๐ ปี ในวันที่ ๑๘ ตุลาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๗ นี้
คณะสงฆค์ ณะธรรมยตุ โดยการรว่ มบรจิ าคของเจา้ คณะธรรมยตุ ภาคตา่ งๆ พรอ้ มดว้ ย
คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในภาคนั้นๆ ได้พร้อมใจกันจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ
พระราชประวตั ขิ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทผ่ี รู้ ทู้ งั้ หลายไดเ้ รยี บเรยี งไว้
เพอื่ เปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารศกึ ษาและเทดิ พระเกยี รตคิ ณุ ของพระมหากษตั รยิ าธราชเจา้
พระองค์น้ันให้เป็นท่ีปรากฏแพร่หลายยิ่งข้ึน เร่ืองเก่ียวกับพระราชประวัติที่รวมมา
จัดพมิ พ์ครง้ั น้ี แบ่งเป็น ๕ เลม่ คือ
2
๑. เทศนาพระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชนพิ นธ์
ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๕ เรอื่ งนไี้ ดเ้ คยพมิ พเ์ ผยแพร่
มาแล้วหลายคร้งั
๒. พระราชประวตั ใิ นรชั กาลที่ ๔ พระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยา-
ปวเรศวรยิ าลงกรณ์ ซง่ึ มี ๔ เรอื่ งดว้ ยกนั เรอื่ งที่ ๑ เปน็ โคลงพระราชประวตั ิ เคยพมิ พ์
มาแล้วหลายคร้ัง เร่ืองที่ ๒ เป็นพระราชประวัติตั้งแต่ทรงผนวชถึงเสด็จสวรรคต
โดยความยอ่ เคยพมิ พเ์ ผยแพรม่ าแลว้ หลายครง้ั เชน่ กนั เรอื่ งที่ ๓ เปน็ พระราชประวตั ิ
ตงั้ แตท่ รงผนวชถงึ เสดจ็ สวรรคต โดยความพสิ ดาร เคยพมิ พม์ าแลว้ ครงั้ หนง่ึ พมิ พค์ รงั้ นี้
เปน็ ครงั้ ที่ ๒ เรอื่ งที่ ๔ เปน็ บนั ทกึ ยอ่ ๆ เกย่ี วกบั การสวรรคตของพระมหากษตั รยิ ์ เคยพมิ พ์
มาแล้วคร้งั หน่งึ พิมพ์คร้ังนเี้ ป็นครง้ั ที่ ๒ เชน่ กนั
๓. เร่ืองพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนต้นเป็น
พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ตอนปลาย
เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงตัดตอนมาจาก
พระราชนิพนธ์เรื่องวัดสมอราย อนั มนี ามวา่ ราชาธิวาส
๔. พระเกียรติประวตั พิ ระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ของนายณฐั วุฒิ
สทุ ธสิ งคราม และนายขจร สุขพานชิ เปน็ เร่ืองทม่ี หามกุฎราชวทิ ยาลัยเคยพิมพ์เผย
แพรค่ รั้งแรก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๒ แลว้ มิได้พิมพ์อีก ครัง้ น้จี ึงเป็นการพิมพ์คร้งั ที่ ๒
๕. พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ สยาม นาย เอ.บ.ี กริสโวลด์ แต่งเปน็
ภาษาองั กฤษ หมอ่ มเจ้าสภุ ทั รดศิ ดิศกุล ทรงแปลเปน็ ภาษาไทย หม่อมเจา้ จงจติ ร
ถนอม ดศิ กลุ ทรงพมิ พโ์ ดยเสดจ็ พระราชกศุ ล ในมหามงคลสมยั พระชนมายเุ สมอดว้ ย
สมเดจ็ พระราชบดิ า ๒๙ สงิ หาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๘ เปน็ ครง้ั แรก และไดพ้ มิ พใ์ น
โอกาสอนื่ ๆ ในเวลาต่อมาอกี หลายครั้ง
3
การเขยี นชอ่ื เฉพาะ เชน่ ชอ่ื บคุ คล และสถานทใี่ นหนงั สอื ชดุ นี้ คงไวต้ ามฉบบั เดมิ
ฉะนั้น จึงอาจมีลักล่ันกันบ้างโปรดให้เข้าใจว่า เขียนตามที่ผู้แต่งใช้ในเรื่องน้ันๆ
สว่ นถ้อยค�ำท่ัวไปนน้ั ปรบั ให้เปน็ ไปตามสมัยนิยม
คณะสงฆค์ ณะธรรมยตุ ขอนอ้ มถวายกลั ปนาผลอนั จะพงึ บงั เกดิ แตก่ ารจดั พมิ พ์
หนงั สือนเ้ี ปน็ ราชสกั การะเฉลมิ พระเกยี รตแิ ด่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
ขอกลั ปนาผลนจี้ งสมั ฤทธแิ์ ดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ขอจงเสดจ็ สถติ ใน
สุขสถานตลอดนิตยกาลเทอญ
คณะธรรมยุต
ตุลาคม ๒๕๔๗
4
มหามกฏุ ราชาภถิ ตุ คิ าถา
ธมฺมโิ ก โย มหาราชา สุชาโต วรชาติยา
จตตุ โฺ ถ จกกฺ วิ ํสสมฺ ึ โหติ ปุญฺ าธกิ ารโก
ทยฺยกิ านํ ปทโี ป จ พหชุ ฺชนานกุ มฺปโก
ปญฺาทหี ิ สุสํยตุ ฺโต จริยาย สมปฺปิโต
เนกฺขมฺมปารมึ กตวฺ า สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสาสเน
ธมมฺ ยตุ ฺตกิ วสํ สฺส ป€มาจริโย วโร
วุฑฺฒึ ปปฺโปติ เวปุลฺล ํ ทยยฺ เทโส ยถา ยถา
สพพฺ นตฺ ํ โยนโิ ส ราชา อกาสิ โส ตถา ตถา
ยถา ยถา วโิ รเจต ิ สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สาสนํ
ตถา ตถาปิ สพพฺ นฺตํ มหาราชา อกาสิปิ
สยฺ ามรฏฺ€ภํ ปิ ฏเฺ €นตฺ า วเิ ทสกิ าปิ อาคมํุ
มหพพฺ เลหิ เสนาหิ มทฺทนตฺถํ สมนตฺ โต
มนทฺ ภี ูเต ว ทิสฺวาน สกโยเธ สเก ปเุ ร
นานาปเทสวิเทเสหิ สห รฏฺ€ํ สรุ กฺขิตํุ
สลฺลกฺเขตวฺ า มโหกาส ํ สมพฺ นฺธเมตตฺ ึ ปภาวยิ
อญฺ ปญจฺ นิกา เอเต สพฺเพปิ สปุ ราชติ า
จาตรุ งฺคกิ า สกเสนา สสุ ณฺ€ิตา ยถจิ ฺฉิตํ
ตสสฺ ธิตมิ ตฺยาทีห ิ โสตฺถนิ า อภิปาลโต
อิสฺสริยํ สยฺ ามรฏโฺ €ว อปปฺ สยหฺ มปาปณุ ิ
ยถา ยถา ทยยฺ เทโส เขโม โหติ นริ พภฺ โย
ตถา ตถา กโลปาย ํ มหาราชา อกาสปิ ิ
ยถา มหาชโน โหติ นทิ ทฺ กุ โฺ ข นิพภฺ โย สุโข
ตถา อกาสิ สพฺพนตฺ ํ มหาราชา อภณิ ฺหโส
5
ครฺ ิสฺตสาสนิกา จาป ิ วคคฺ พนฺธา วิเทสโต
สมคคฺ า ปติฏ€ฺ าเปสุํ สฺยามรฏฺเ€ ครฺ ิสตฺ สาสนํ
ตสมฺ า ราชา มหุสฺสาโห อนุปาเลสิ สาสนํ
นานาวิเธหิ พุทฺธสฺส สมฺมา สาสนคตุ ฺตยิ า
ยถา หเว ตสิ ทฺธมโฺ ม สวํ ตฺตตี มหาชเน
ตถาว โส ปโยเชสิ สพฺพนฺตํว ธุราธุรํ
เทฺววสสฺ สตมสสฺ าปิ มหามงฺคลมาคตํ
ปสตู ิกาลโตทาน ิ ทยยฺ ิเกน วิชานตํ
โลกสฺส ปฏิการสํ สุกิตฺตญิ จฺ ปเวทติ ํ
มหามหกมมฺ ํ สงฺเฆน กตํ โหติ ยถาพลํ
ยํ กิญฺจิ กสุ ลํ กมฺมํ เตน โข ปสตุ ํ กตํ
เตเนว สคุ ตึ สคคฺ ํ นิพฺพานํ ปาปณุ าตุ โส
เตเนว มหาราเชน กตปญุ เฺ น เตชสา
จิรํ ติฏ€ฺ ตุ โลกสฺมึ สมฺมาสมฺพทุ ธฺ สาสนํ
ยถา โลโก ปตฏิ ฺโ€ว ทยยฺ เทโส ปติฏ€ฺ ตุ
สาธุ ธมเฺ มน ราชาโน ปชํ รกขฺ นฺตุ สพฺพทาติ
6
ค�ำแปล
พระมหาธรรมกิ ราชาธริ าชเจา้ พระองคใ์ ดแล ทรงมบี ญุ ญาธกิ ารประสตู ดิ แี ลว้ โดย
พระชาตอิ นั ประเสรฐิ ทรงครองราชยใ์ นอนั ดบั ท่ี ๔ แหง่ ราชจกั รวี งศ์ ทรงเปน็ ประหนง่ึ
ดวงประทปี แหง่ ชนชาวไทย ทรงพระเมตตากรุณาแกป่ วงประชา ทรงประกอบพร้อม
ดว้ ยพระคณุ อนั ยิง่ ใหญ่ มีพระปญั ญา เป็นตน้ ทรงเพียบพร้อมดว้ ยพระจรยิ าวตั ร
ไดท้ รงกระทำ� บำ� เพญ็ เนกขมั มบารมใี นพระศาสนาของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ (เปน็ เวลา
๒๗ พรรษา) ทรงเปน็ พระปฐมาจารย์แห่งธรรมยุติกวงศ์
ประเทศมหาอ�ำนาจหลายชาติปรารถนาประเทศสยาม พากันมุ่งหน้ามาเพื่อ
ครอบครองสยามทงั้ หมดดว้ ยกองทพั อนั ยงิ่ ใหญ่ แตพ่ ระองคห์ ลงั จากไดท้ รงใครค่ รวญ
เห็นกองทหารในบ้านเมืองของพระองค์ว่าไม่เข้มแข็ง ก็ทรงถือเป็นโอกาสใหญ่
ในการหันไปปลูกสมั พนั ธไมตรกี บั บรรดาประเทศต่างๆ เพอ่ื คมุ้ ครองประเทศ (ของ
พระองค์) ตอ่ มา เหล่าประเทศที่เปน็ ขา้ ศกึ นัน้ ทงั้ หมดก็พ่ายแพ้ไป บรรดากองทหาร
ประกอบดว้ ยองค์ ๔ ของพระองคก์ ก็ ลบั เขม้ แขง็ ขนึ้ ดงั ทที่ รงปรารถนา เพราะพระองค์
ทรงประกอบดว้ ยคณุ ธรรมตา่ งๆ เชน่ ความเพยี ร (ธติ )ิ และความรู้ (มต)ิ สยามประเทศ
จงึ ไดร้ บั การรกั ษาใหอ้ ยรู่ อดปลอดภยั ทงั้ มอี สิ ระ (ไมต่ กเปน็ เมอื งขน้ึ ของใคร) ประเทศ
ไหนๆ กค็ รอบงำ� ไมไ่ ด้ พระองคไ์ ดท้ รงกระทำ� ทกุ อยา่ ง เพอ่ื ความเจรญิ งอกงามไพบลู ย์
แกป่ ระเทศไทย พระพทุ ธศาสนาจะรงุ่ เรอื งไดโ้ ดยประการใด พระองคไ์ ดท้ รงดำ� เนนิ การ
ทกุ อยา่ งโดยประการนนั้ ประเทศชาตไิ ทยจะปลอดภยั จากอนั ตรายตา่ งๆ ไดโ้ ดยอบุ าย
ประการใดๆ พระมหาราชเจา้ กไ็ ดท้ รงวางอบุ ายเพอ่ื ความปลอดภยั แกป่ ระเทศชาตไิ ทย
ดว้ ยประการนนั้ ๆ มหาชนชาวไทยจะอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ไรท้ กุ ข์ ไรโ้ รค ไรภ้ ยั โดยประการใด
พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐก็ได้ทรงด�ำเนินการให้เป็นไปโดยประการนั้น
โดยลำ� ดบั
7
อน่ึง แม้เหล่าชนผู้นับถือศาสนาคริสต์จากต่างประเทศก็สมัครสมานรวมตัว
กันเป็นกลุ่มก้อน พยายามประดิษฐานศาสนาคริสต์ขึ้นในประเทศสยามของเราน้ี
ดังน้ันพระองค์จึงทรงมีอุตสาหะมากในการพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาด้วยวิธีการ
ตา่ งๆ เพอื่ คมุ้ ครองพระพทุ ธศาสนาไวโ้ ดยชอบ รวมความวา่ พระสทั ธรรม ๓ ประการ
คอื ปรยิ ตั สิ ทั ธรรม ปฏบิ ตั สิ ทั ธรรม ปฏเิ วธสทั ธรรม จะแผส่ รา้ นไปในมหาชนไดโ้ ดย
ประการใด พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระองคน์ นั้ กไ็ ดท้ รงรบั พระราชภารธรุ ะนนั้
ทั้งหมดเช่นเดียวกัน บัดน้ี มหามงคลสมัยวันพระราชสมภพครบสองร้อยปีแห่ง
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระองคน์ นั้ อนั ปวงชนชาวไทยรทู้ วั่ กนั ไดม้ าถงึ
เขา้ แลว้ เพอ่ื ประกาศปฏกิ ารคณุ และพระเกยี รตคิ ณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั
พระองคน์ ้นั ให้แผไ่ ปทั่วโลก คณะสงฆจ์ งึ ได้กระท�ำการเฉลิมฉลองอยา่ งเตม็ กำ� ลัง
ความสามารถ
บุญกุศลใดๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์น้ัน ได้ทรง
สรา้ งสมกระทำ� บำ� เพญ็ ไวแ้ ลว้ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ บญุ กศุ ลนนั้ ทงั้ หมด ขอพระองคท์ า่ น
จงทรงสถติ ในสรวงสวรรคต์ ลอดถงึ บรรลนุ พิ พาน และดว้ ยบญุ เดชทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รง
กระท�ำแลว้ นนั้ ขอพระพุทธศาสนาจงสถิตมั่นในโลกไปชว่ั กาลนาน ขอประเทศไทย
จงดำ� รงม่นั คงอยตู่ ราบเท่าโลกจะสลาย และขอพระเจา้ แผน่ ดนิ และขา้ ราชการ จงได้
ดูแลรกั ษาประชาชนโดยธรรมไปตลอดกาลทุกเม่ือเทอญฯ
8
เทศนาพระราชประวัติ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว
หนังสือเทศนาพระราชประวัติในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ
บรุ พทศิ านมัสนธรรมจริยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
พระมหาสมณเจา้ เมอ่ื ยงั ดำ� รงพระยศเปน็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื วชริ ญาณวโรรส
สนุ ทรพรตวสิ ทุ ธพิ รหมจรรย์ วมิ ลศลี ขนั ธธ์ รรม วรยตุ ศิ รวี สิ ทุ ธคิ ณานนุ ายก ศาสนดลิ ก-
ธรรมานวุ าท บรษิ ทั ยนาถบพติ ร เสดจ็ สถติ ณ วดั บวรนเิ วศราชวรมหาวหิ าร พระอาราม
หลวง ถวายที่พระทน่ี ่งั อนนั ตสมาคมในการพระราชกุศล ซึ่งทรงพระราชอุทิศถวาย
ฉลองพระเดชพระคณุ ในสมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าช พระบาทสมเดจ็ พระ-
จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ในการบรรจบรอบรอ้ ยปีทห่ี น่งึ ตั้งแต่พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ-
ยอดฟา้ จฬุ าโลก เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชปราบดาภเิ ษก ดำ� รงกรงุ เทพมหานคร อมรรตั น-
โกสินทรม์ หนิ ทรายธุ ยาน้มี า ได้ถวายเทศน์เม่อื ณ วนั เสาร์ เดอื นแปดบูรพาษาฒ
ข้ึนสองค�่ำ ปีมะเมีย จัตวาศก จุลศักราช ๑๒๔๔ มีส�ำเนาเทศนาต่อไป ด่ังน้ี
9
นมตฺถุ สุคตสฺส
ปญจฺ €านานิ สมฺปสฺสํ ปตุ ตฺ ํ อจิ ฉฺ นตฺ ิ ปณฺฑิตา
ภโต วา โน ภริสฺสต ิ กิจฺจํ วา โน กริสสฺ ติ
กลุ วโํ ส จิรํ ติฏฺเ€ ทายชชฺ ํ ปฏิปชฺชติ
อถ วา ปน เปตานํ ทกฺขณิ ํ นุปปฺ ทสฺสติ
€านาเนตานิ สมฺปสฺสํ ปตุ ตฺ ํ อจิ ฉฺ นตฺ ิ ปณฑฺ ิตา ฯ
ตสมฺ า สนโฺ ต สปฺปุรสิ า กตญญฺ ู กตเวทโิ น
ภรนตฺ ิ มาตาปิตโร ปพุ เฺ พกตมนสุ ฺสรํ
กโรนฺติ เนสํ กจิ ฺจาน ิ ยถาตํ ปุพฺพการินํ
โอวาทการี ภตโปสี กุลวสํ ํ อหาปยํ
สทฺโธ สีเลน สมปฺ นฺโน ปตุ โฺ ต โหติ ปสํสโิ ยติ ฯ
บัดนี้จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชชนาในบุรพทิศานมัสนธรรมจริยา ฉลอง
พระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี อนุโมทนาในพระราชกุศลทักษิณานุ-
ประทานมัย ปัจโจปการกิจ ซึ่งสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงบ�ำเพ็ญ
ในอภิลักขิตสมัย ทรงพระราชอุทิศถวายฉลองพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรมหามกฏุ สทุ ธสมมตเิ ทพยพงศว์ งศาดศิ วรกษตั รยิ ์ วรขตั ตยิ ราชนกิ โรดม
จาตรุ นั ตบรมมหาจกั รพรรดริ าชสงั กาศ บรมธรรมกิ มหาราชาธริ าช บรมนาถบพติ ร
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ เปน็ สมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าช มพี ระเดชพระคณุ
เป็นอเนกอโนปมัยนนั้ โดยสมั มาปฏิบัตกิ ัลยาณวัตรธรรม ส่วนบรุ พทิศานมัสนธรรม
ทกั ษิณานุประทานพระราชกุศล ตามสคุ โตวาทชนิ วรภาษติ ในสงิ คาลสูตรน้ัน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประสูติจากพระครรภ์แห่งสมเด็จ
พระบรมราชชนนี ณ พระราชวงั เดมิ แหง่ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ซงึ่ เปน็ ทปี่ ระทบั ของสมเดจ็
พระบรมชนกนาถ ในเมอื่ ยงั สถติ อยใู่ นพระราชอสิ สรยิ ยศ เปน็ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ-
10
เจา้ ฟา้ อยนู่ นั้ ในวพั ฤหัสบดี เดอื นสิบเอด็ ขน้ึ สบิ ส่ีค�่ำ ปีชวด ฉศก จลุ ศักราช ๑๑๖๖
เปน็ พระราชสมภพมหามงคลกาล พระองคเ์ ปน็ เอกอคั รบรมราโชรสทส่ี องในพระบาท
สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย และสมเด็จพระบรมราชเทวี ซ่ึงเปน็ พระอคั รมเหสี
อนั ภายหลงั ไดเ้ ฉลมิ พระนามเปน็ กรมสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์ ถงึ แมว้ า่ สมเดจ็
พระบรมชนกนาถยังมิได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ก็ได้ด�ำรงพระเกียรติยศเป็น
พระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าตามขัตติยราชประเพณี มีพระเกียรติยศอันย่ิงใหญ่ในบรม
ราชตระกลู ทรงประกอบไปดว้ ยอจั ฉรยิ ปาฏหิ ารยิ อ์ เนกคณุ บญุ วบิ ากสมบตั ิ มพี ระราช
ประวัตดิ ั่งจะได้รับพระราชทานถวายวิสัชชนา ณ กาลบัดนี้
เมือ่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ยงั ทรงพระเยาว์อยู่ มีพระชนมายุ
ได้ห้าพรรษานับโดยเรยี งปี พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลก ทรงสถาปนา
วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม เมอื่ การเกอื บจะเสรจ็ บรบิ รู ณ์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ -
นภาลัย ในขณะนั้นได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชย์อุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรฯ
เสด็จพระราชด�ำเนินมาเฝ้าสมเด็จพระบรมชนกนาถที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวเชญิ พระศรตี ามเสดจ็ เขา้ ไปเฝ้าด้วย พระบาท
สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกเสดจ็ ประทบั อยู่ ณ พระเกา้ อที้ ม่ี มุ เสาเมด็ กำ� แพงแกว้
ขน้ึ พระอโุ บสถดา้ นเหนอื มพี ระราชดำ� รสั ใหห้ าพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ขน้ึ ไปเฝา้ ทรงลูบพระเศียรตลอดพระปฤษฎางค์แล้วดำ� รัสสรรเสริญพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั วา่ มพี ระสริ ริ ปู เปน็ อนั งาม แลว้ โปรดใหห้ มอ่ มไกรสรเมอื่ ขณะ
ยงั เปน็ พระเจา้ ลกู เธอ พาเสดจ็ ไปทอดพระเนตรรปู ภาพเขยี นเรอื่ งรามเกยี รตทิ์ พ่ี ระระเบยี ง
จนภายหลงั มาพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงดำ� รสั อยวู่ า่ ทรงจำ� สมเดจ็
พระอยั ยกาได้ ตัง้ แตไ่ ดเ้ ฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาทในคร้ังนน้ั มา ครัน้ ปมี ะเส็ง เอกศก
จลุ ศกั ราช ๑๑๗๑ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ซงึ่ เปน็ สมเดจ็ พระชนกนาถ
ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ปิ ราบดาภเิ ษกแลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ได้ทรงพระเกียรติยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า ปรากฏตามอเนกนิกรชน
สมมติ เรยี กวา่ ทลู กระหมอ่ มฟา้ พระองคใ์ หญ่ เสดจ็ มาประทบั อยใู่ นพระบรมมหาราชวงั
ด้วยสมเดจ็ พระบรมราชชนนี ณ พระตำ� หนกั ซง่ึ ตง้ั อยู่ฝ่ายตะวนั ตกแห่งโรงฝกึ หดั
11
ละครในพระบรมมหาราชวัง ซ่ึงเป็นต�ำหนักพระนางเธอพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี
ณ กาลบัดน้ี
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย ทรงพระกรณุ าโปรดพระบาทสมเดจ็
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ อนั มาก เมอื่ เสดจ็ ขนึ้ เฝา้ ในทชี่ อ่ งกบั ทป่ี ระทบั ณ พระทน่ี ง่ั
ไพศาลทกั ษิณ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั เสด็จประทับผนั พระพักตร์
สู่ทิศตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเฝ้าอยู่ตรงพระพักตร์ในช่อง
เดียวกันเสมอมิได้ขาดทั้งกลางวันและกลางคืน จนทรงผนวชเป็นสามเณร และได้
พระราชทานพระบรมทนตข์ องสมเดจ็ พระบรมชนกนาถซงึ่ เปน็ องคแ์ รกทเี ดยี ว และได้
พระราชทานเครื่องประดับตา่ งๆ เปน็ อนั มาก เมื่อปวี อก จัตวาศก จลุ ศกั ราช ๑๑๗๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั มพี ระชนมายไุ ด้ ๙ พรรษา พระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ทรงพระราชดำ� รวิ า่ พระราชพธิ โี สกนั ตเ์ จา้ ฟา้ ไดท้ ำ� เปน็ อยา่ ง
มีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงตั้งพระนามเจ้าฟ้า คร้ังกรุงศรีอยุธยา
ยงั หาไดท้ ำ� เปน็ แบบอยา่ งลงไม่ พระราชประสงคจ์ ะใครท่ ำ� ไวใ้ หเ้ ปน็ พระเกยี รตยิ ศสบื ไป
เบอื้ งหนา้ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดใหส้ มเดจ็ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอเจา้ ฟา้ กรมหลวงพทิ กั ษ-์
มนตรี ซงึ่ ในขณะนั้นเรยี กว่าสมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ และเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช
เป็นผู้บัญชาการต้ังพระราชพิธีลงสรง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น
การใหญ่ รายการทงั้ ปวงปรากฏมาในเทศนากณั ฑท์ สี่ อง ซง่ึ หมอ่ มเจา้ พระประภากร-
บวรวิสุทธิวงศ์ได้รับพระราชทานถวายวิสัชชนามาแล้ว เฉลิมพระนามจารึกใน
พระสุพรรณบัฏว่า สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้ามกุฏสมมตเิ ทววงศ์ พงศอ์ ศิ วร
กษัตรยิ ์ขัตติยราชกุมาร ในลำ� ดับนน้ั พระองคไ์ ด้ทรงศกึ ษาวิชาการศลิ ปศาสตรต์ า่ งๆ
ไดท้ รงเรียนอกั ษรสยามมาต้งั แตเ่ สดจ็ อยพู่ ระราชวังเดิม ในส�ำนกั สมเดจ็ พระพุทธ-
โฆษาจารย์ (ขุน) วดั โมลโี ลกยาราม แล้วได้ทรงศกึ ษาวิชาคชกรรมแต่เจ้าพระยา-
ศรธี รรมาธริ าช ซงึ่ เปน็ ตระกลู หมอเฒา่ สบื มาแตก่ รงุ ศรอี ยธุ ยาโบราณ และทรงฝกึ หดั
ชำ� นชิ ำ� นาญในการทจี่ ะใชอ้ าวธุ ทง้ั ปวงแคลว่ คลอ่ งทกุ สงิ่ ทกุ ประการ ลจุ ลุ ศกั ราช ๑๑๗๗
ปกี นุ สปั ตศก พวกรามญั พากนั อพยพครอบครวั เขา้ มาพงึ่ พระบรมโพธสิ มภาร ทางเมอื ง
ตาก เมอื งอทุ ัยธานี เมืองกาญจนบรุ ี เจา้ เมืองกรมการมีใบบอกเขา้ มากราบบังคมทูล
12
ได้ทรงทราบแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คุมกองทัพและเสบยี งอาหารออกไปรับครัวรามัญ ซ่ึงเข้ามาเมืองกาญจนบุรี โปรดให้
มีเรือด้ังแห่เสด็จสามคู่ และต�ำรวจหอกแห่พระเกียรติยศ ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวยงั ทรงพระเยาว์อยู่ จงึ ดำ� รัสสั่งใหส้ มเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีเสด็จไปด้วย คร้ันเสด็จกลับถึงกรุงเทพมหานครแล้ว
ทรงพระกรุณาโปรดใหค้ รวั รามัญเหล่านน้ั ขึ้นไปตัง้ อยูเ่ มอื งปทมุ ธานบี า้ ง แขวงเมือง
นนทบรุ บี ้าง
ลุจุลศักราช ๑๑๗๘ ปีชวด อัฐศก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มพี ระชนมายุได้ ๑๓ พรรษานับโดยเรียงปี ครบก�ำหนดโสกนั ต์ พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระบรมราชโองการด�ำรัสสั่งให้ต้ังพระราชพิธีโสกันต์
เป็นการใหญ่ ท�ำเขาไกลาสหนา้ พระทีน่ งั่ ดสุ ิตมหาปราสาท ตรงประตูสุวรรณบรบิ าล
เปน็ ทส่ี รงและทรงเครอื่ ง เวลาบา่ ยแหม่ าทรงฟงั พระสงฆส์ วดพระพทุ ธมนต์ บนพระทนี่ ง่ั
ดุสิตมหาปราสาทสามวัน รุง่ ข้ึนวนั ศกุ ร์ เดอื นสี่ ข้นึ สบิ สามค�ำ่ เวลาเชา้ แห่มาโสกนั ต์
บนพระทนี่ งั่ ดสุ ติ มหาปราสาท เสรจ็ แลว้ เสดจ็ ไปสรงนำ้� ทสี่ ระอโนดาด แลว้ ทา่ นอคั รมหา
เสนาบดเี ชญิ เสดจ็ ขนึ้ สพู่ ระมณฑปยอดเขาไกลาส สมเดจ็ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้
กรมหลวงพิทักษ์มนตรีรับที่สมมติเป็นอิศวรรับเสด็จทรงเครื่องต้นบนพระมณฑป
ยอดเขาไกลาส เสรจ็ แลว้ แหเ่ วยี นเขาไกลาสสามรอบแลว้ แหก่ ลบั เวลาบา่ ยแหม่ าประทบั
ทพ่ี ระทนี่ ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท พรอ้ มกนั
เวยี นเทยี นสมโภชวนั นนั้ เวลาหนง่ึ ตอ่ ไปอกี สองเวลา วนั ทเ่ี จด็ จงึ แหพ่ ระเกศาไปลอย
ตามราชประเพณี
ครน้ั ปีฉลู นพศก จลุ ศกั ราช ๑๑๗๙ จวนเขา้ พรรษา ทรงพระกรุณาโปรดให้
จดั การทรงผนวชพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ สามเณร สมโภชทพ่ี ระทน่ี งั่
อมรินทรวินิจฉัยเวลาหนึ่ง รุ่งขนึ้ วนั พฤหสั บดี เดือนแปดอุตตราษาฒ ขน้ึ สิบเอด็ คำ่�
แหไ่ ปทรงผนวชที่วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม เสรจ็ เป็นสามเณรบรรพชาแล้ว เสด็จไป
ประทับอยู่วัดมหาธาตุ ที่พระต�ำหนักปลูกข้ึนใหม่นอกพระระเบียงพระอุโบสถด้าน
13
ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ซงึ่ ภายหลงั โปรดใหส้ รา้ งขนึ้ เปน็ พระวหิ าร ปรากฏอยจู่ นทกุ วนั น้ี
คร้ันออกพรรษาแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงด�ำรงพระยศเป็น
พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทร์ ทรงทำ� กระจาดใหญเ่ ปน็ เครอื่ งสกั การบชู า
แลว้ เชญิ เสดจ็ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มาทรงเทศนม์ หาชาตกิ ณั ฑม์ ทั รี
ครง้ั นนั้ เปน็ การเอกิ เกรกิ ยง่ิ ใหญ่ ดว้ ยยงั มเิ คยมมี าแตป่ างกอ่ น ทรงผนวชเปน็ สามเณร
อยเู่ จ็ดเดอื น ลาผนวชแลว้ เสดจ็ มาประทบั อย่หู น้าพระท่ีนง่ั ดสุ ิตมหาปราสาท เพ่อื จะ
ไดท้ รงศกึ ษาวชิ าการศลิ ปะตา่ งๆ โดยสะดวกสบื ไป พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ -
นภาลยั โปรดใหท้ รงบงั คบั บญั ชาการมหาดเลก็ สทิ ธขิ์ าด จนถงึ ตงั้ ถอดหมุ้ แพรไดต้ าม
พระประสงค์ ครน้ั ทรงพระเจรญิ วยั ขน้ึ โปรดใหเ้ สดจ็ ไปประทบั อยู่ ณ พระราชวงั เดมิ
ซึ่งเคยเสด็จอยู่ก่อนเมื่อครั้งยังไม่ได้ทรงสิริราชสมบัติ ทรงบริบูรณ์ไปด้วยพัสดุ
ศฤงคารบรวิ าร เสดจ็ อยคู่ รองกามากรสถาน บำ� เรอพระองคด์ ว้ ยกามสขุ ทกุ ทพิ าราตรี
ครั้นภายหลังมีพระหฤทัยค�ำนึงเห็นอานิสงส์ในอนาคาริยปฏิบัติประพฤติพรต
พรหมจรรย์ จึงทรงน้อมพระราชอัธยาศัยบากบ่ันในบรรพชาอุปสมบท ทรงศึกษา
พทุ ธพจนปริยตั ธิ รรมมาแตก่ อ่ นทรงผนวชเปน็ ภิกษุ ลุจุลศกั ราช ๑๑๘๖ ปวี อกฉศก
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี ระชนมายไุ ด้ ๒๑ ปี ครบกำ� หนดอปุ สมบท
เปน็ ภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา แต่คร้ังนนั้ พระยาเศวตไอยรา พระยาเศวตคชลักษณ์
บรมราชพาหนะลม้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ไมท่ รงสำ� ราญพระราชหฤทยั
จึงมิได้จัดขบวนแห่เป็นการใหญ่ ด�ำรัสสั่งให้จัดแต่พอสมควร สมโภชท่ีพระท่ีน่ัง
อมรนิ ทรวนิ จิ ฉัยวันหน่ึง
ร่งุ ข้นึ วันพุธ เดือนแปด ขึ้นสบิ สองค�ำ่ แห่ไปทรงผนวช ณ วดั พระศรีรตั น-
ศาสดาราม เสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว เสด็จไปประทับแรมอยู่วัดมหาธาตุสามวัน
ทรงปฏบิ ตั อิ ปุ ชั ฌายวตั รตามสมควรแกว่ นิ ยั นยิ มแลว้ เสดจ็ ขนึ้ ไปจำ� พรรษา ณ วดั สมอราย
ซง่ึ ภายหลงั พระราชทานนามใหมว่ า่ วดั ราชาธวิ าส พอทรงผนวชแลว้ ไมน่ าน พระบาท-
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระบรมชนกมหาราชาธิราชเสด็จสวรรคต
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระเชษฐราโชรส ไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ
14
สบื พระวงศ์ ฝา่ ยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงจำ� พรรษาอยวู่ ดั ราชาธวิ าส
คร้ันได้ทรงทราบ ดว้ ยพระราชพิจารณญาณว่า ลัทธิสมณะนั้นมากมูลว่นุ วายไปดว้ ย
สมั โมหวิหาร เหมือนกับยืมจมกู ท่านมาหายใจ จะพูดสงิ่ ใดกเ็ ป็นท่ีตอ่ อา้ งคติ เชน่
อาจณิ ณกบั ปกิ า วา่ ทา่ นผใู้ หญเ่ คยทำ� มาอยา่ งน้ี ไมแ่ จง้ แสดงเหตชุ อี้ อกมาใหเ้ หน็ จรงิ ได้
ถอื แตล่ ทั ธขิ องตนนนั้ ดนั ดอ้ื ไปมไิ ดร้ วู้ า่ ผดิ และชอบ ไมเ่ ปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ปญั ญา ทรงสงั เวช
เหนอื่ ยหนา่ ยขึน้ มาด้วยเหตุนี้ จงึ ไดเ้ สดจ็ กลบั ประทบั อยู่ ณ วัดมหาธาตุ ปรารถนา
จะทรงเลา่ เรียนพระไตรปฎิ กพุทธวจนะ
ครน้ั ทรงศกึ ษาถงึ ขอ้ ปฏบิ ตั ติ า่ งๆ ทไี่ ดม้ มี าแตโ่ บราณ กท็ รงอนมุ านไดว้ า่ ศาสนวงศ์
เปน็ จลาจลมาแตก่ รงุ เกา่ นนั้ แลว้ กบั ไดท้ รงเหน็ อาจารวบิ ตั ขิ องสมณะบางเหลา่ ไมน่ ำ� มา
ซงึ่ ความเลอ่ื มใส ทรงสงั เวชสลดพระทยั นกั ดว้ ยการศาสนา คอื วงศบ์ รรพชาอปุ สมบท
เหน็ วา่ เปน็ ของมรี ากเหงา้ อนั เนา่ ผุ ไมม่ มี ลู ทต่ี งั้ แหง่ ความเลอื่ มใส สลดพระทยั ในการท่ี
จะทรงเพศเป็นบรรพชิต เห็นว่าจะเป็นอันหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิตดูไม่ควร วันหนึ่ง
กลางวนั เสดจ็ เข้าไปบรรทมในพระอโุ บสถวดั มหาธาตุ ทรงบูชาศาสนารักขเทวาด้วย
เครอื่ งสกั การะถว้ นทกุ ทศิ แลว้ ทรงตงั้ สจั จกริ ยิ าธษิ ฐานวา่ “ขา้ พเจา้ นอ้ี ทุ ศิ ตอ่ พระผมู้ ี
พระภาค ออกบวชดว้ ยความเชอื่ ความเลอ่ื มใส มไิ ดเ้ พง่ ตอ่ อามสิ สงิ่ หนงึ่ สงิ่ ใด มลี าภยศ
และความสรรเสรญิ เปน็ ตน้ ถา้ วงศบ์ รรพชาอปุ สมบททเี่ นอ่ื งมาแตพ่ ระสคุ ตทศพล ยงั มี
เหลอื อยู่ ณ ประเทศใดทศิ ใด ขอใหไ้ ดป้ ระสพหรอื ไดย้ นิ ขา่ วใหไ้ ด้ ในสามวนั เจด็ วนั
ถ้าไม่เป็นดังน้ัน ข้าพเจ้าจะเข้าใจว่าศาสนวงศ์นั้นสิ้นแล้ว จะสึกเป็นฆราวาสรักษา
ศีลหา้ ศีลแปดตามสมควร” ครัน้ ลว่ งไปประมาณสองวนั หรือสามวนั มิทันสน้ิ ก�ำหนด
ท่ีทรงอธิษฐาน มีพระเถระรามัญองค์หนึ่งผู้ฉลาดในวินัยรู้พุทธวจนะ ช�ำนาญใน
อกั ขรจุ จารณวธิ มี ากลา่ วศาสนวงศแ์ สดงชใ้ี หเ้ กดิ ความเลอ่ื มใส จงึ ทรงรบั เอาวนิ ยั วงศ์
น้นั ไวเ้ ปน็ ข้อปฏิบัติสบื มา
เมอ่ื เสดจ็ อยู่วดั มหาธาตนุ นั้ ทรงเล่าเรียนศกึ ษาพทุ ธวจนะปรยิ ัตธิ รรม อนั เป็น
มลู รากทีต่ ั้งแห่งพระศาสนา ด้วยพระอตุ สาหะและวิรยิ ะอนั แรงกล้าแตกฉานสน้ิ วิชา
ท่อี าจารยจ์ ะพึงแสดงแล้ว เมอ่ื ถงึ ปีจอ อฐั ศก จุลศกั ราช ๑๑๘๘ ได้เสดจ็ เข้าแปล
15
พระคมั ภรี ใ์ นทปี่ ระชมุ พระราชาคณะสงฆ์ ณ พระทนี่ ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั สามวนั วนั แรก
ทรงแปลธรรมบท วนั ทส่ี องทรงแปลมงคลทปี นี วนั ทส่ี ามทรงแปลสารสงั คหะ ซงึ่ พระกรณุ า
โปรดใหแ้ ปลธรรมบทวนั เดยี วดง่ั นนี้ น้ั เพอื่ ใหแ้ ปลกกวา่ สามญั ชน ใชว่ า่ จะทรงอบั จน
ความรู้แปลต่อไปมิได้ก็หาไม่ พระองค์มีพระปัญญาว่องไวในการแก้ไข แต่นั้นมา
ก็ไดท้ รงอนุเคราะห์ส่ังสอนกุลบุตรผูม้ ศี รัทธา ใหเ้ ล่าเรยี นศึกษาทง้ั กลางวันและกลาง
คืนมิได้ย่อหย่อน ทรงสั่งสอนในข้อวินัยวัตรและสุตตันตปฏิบัติต่างๆ ให้ถูกต้อง
สมอา้ งกบั ธรรมวินยั เป็นมหัศจรรย์ คร้งั น้นั กุลบุตรผ้มู ศี รทั ธาเล่ือมใสเข้ามาบรรพชา
อุปสมบทประพฤติตาม มีข้ึนหลายองค์
คร้นั จุลศกั ราช ๑๑๙๑ ปีฉลู เอกศก ทรงพระราชดำ� รเิ ห็นว่าวัดมหาธาตนุ ัน้
ไมเ่ ปน็ ทส่ี บาย จงึ่ เสดจ็ กลบั ขน้ึ ไปยงั วดั ราชาธวิ าสประกาศศาสนพรหมจรรย์ ใหบ้ รรพชา
อุปสมบทแก่กุลบุตรผู้มีศรัทธา อนุเคราะห์คฤหัสถ์ด้วยธรรมีกถาอนุศาสโนวาทใน
ธรรมสวนกาล ประดษิ ฐานธรรมยตุ กิ นกิ ายใหร้ งุ่ เรอื งแพรห่ ลายขน้ึ ครงั้ นนั้ ภกิ ษสุ งฆ์
ณ ภายในพรรษกาล ประมาณสามสบิ หยอ่ นบา้ งสามสบิ เศษบา้ งโดยชกุ ชมุ ครนั้ อยมู่ า
ทรงปรารภถงึ สมี าวา่ การทำ� สมี าทกุ วนั นเี้ ปน็ การหยาบ ไมม่ นั่ คงไมส่ ำ� เรจ็ ดว้ ยอำ� นาจสงฆ์
เปน็ การเนอ่ื งดว้ ยฆราวาสไป คนทกุ วนั นกี้ ไ็ มม่ ใี ครรจู้ กั สมี าลกั ษณะโดยพสิ ดาร ทำ� ตาม
ลัทธิอาจารย์ทต่ี นได้เคยเหน็ มา ทรงรังเกยี จฉะนี้แลว้ จงึ รับส่งั ให้ขดุ กอ้ นศลิ านิมิตต์
ในวดั ราชาธิวาสขึ้นทอดพระเนตร เห็นว่าเล็กไมค่ วรจะเปน็ นมิ ติ ต์ได้ ทรงสังเวชสลด
พระทยั ดว้ ยสมี าพบิ ตั ิ จงึ สบื หาสงฆท์ บี่ รสิ ทุ ธทิ์ อี่ ปุ สมบทในโบราณสมี า ทเ่ี ขาเลา่ วา่ เปน็
ของพระอรหนั ตผ์ กู ไดส้ บิ แปดรปู มาเปน็ คณะปรกการกสงฆ์ ใหอ้ ปุ สมบทกรรมซำ�้ อกี
สองครงั้ ในนทสี มี าหนา้ วดั ราชาธวิ าส ในปฉี ลู เอกศกนนั้ สมเดจ็ บรมชนกนาถบพติ ร
ได้ด�ำรงอิสริยยศฝ่ายสมณศักด์ิท่ีพระราชาคณะ ได้รับพระราชทานตาลปัตรแฉก
พน้ื ตาดปกั เลอ่ื มเปน็ เครอื่ งยศ ทรงพระกรณุ าโปรดใหต้ งั้ ฐานานกุ รมสามรปู ภายหลงั
ด�ำรสั ส่งั ให้เพมิ่ ฐานานุกรมอีกเจด็ รปู เป็นสบิ รปู ลุจุลศกั ราช ๑๑๙๒ ปขี าล โทศก
ทรงหลอ่ พระพทุ ธรปู หนา้ ตกั ศอกแลว้ พระองคห์ นง่ึ ถวายพระนามวา่ พระสมั พทุ ธพรรณี
ครั้นปีเถาะ ตรศี ก จุลศกั ราช ๑๑๙๓ ไดไ้ ปรบั พระเจดียห์ ล่อด้วยทองเหลืองมาจาก
วดั ศาลาปนู องคห์ นงึ่ เอาพระเจดยี ์เงินสงู ประมาณศอกเศษสวมลง แลว้ ประดษิ ฐาน
16
ไว้ท่ีพระต�ำหนักเก่าวัดมหาธาตุ ในฤดูแล้งน้ันเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการ
พระปฐมเจดยี ์ ซงึ่ เปน็ เจดยี สถานโบราณอนั รกรา้ งอยู่ ทรงนมสั การแลว้ ทรงอธษิ ฐาน
ด้วยความเล่ือมใส ภายหลงั พระองคก์ ็ไดพ้ ระบรมธาตุสองพระองค์โดยการอศั จรรย์
จึง่ ทรงบรรจุพระบรมธาตนุ ้ันไว้ในพระสมั พทุ ธพรรณี
เมื่อปมี ะเส็ง เบญจศก จุลศกั ราช ๑๑๙๕ เสด็จไปประพาสเมอื งเหนอื นมสั การ
เจดยี สถานตา่ งๆ ไปโดยลำ� ดบั ประทบั เมอื งสโุ ขทยั เสดจ็ ไปเทยี่ วประพาสพบแทน่ ศลิ า
แทน่ หนึง่ เขาก่อไวร้ ิมเนินปราสาทเก่าหักพงั อยู่ เป็นท่นี ับถอื กลัวเกรงของหม่มู หาชน
ถา้ บคุ คลไมเ่ คารพเดนิ กรายเขา้ ไปใกล้ ใหเ้ กดิ เจบ็ ไขไ้ มส่ บาย ทอดพระเนตรเหน็ แลว้
เสด็จตรงเขา้ ไปประทับ ณ แทน่ ศิลานั้น ก็มไิ ด้มอี นั ตรายสงิ่ หนงึ่ สง่ิ ใดดว้ ยอ�ำนาจ
พระบารมี เมอื่ เสดจ็ กลบั รบั สง่ั ใหช้ ะลอลงมา กอ่ เปน็ แทน่ ไวท้ วี่ ดั ราชาธวิ าส ครนั้ ภายหลงั
ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ด�ำรัสส่ังให้น�ำไปไว้วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
อนง่ึ ทรงได้เสาศิลาจารึกอักษรเขมรเสาหน่ึง จารกึ อกั ษรไทยโบราณเสาหนึ่ง ซง่ึ ต้ังไว้
ในวดั พระศรรี ตั นศาสดารามนน้ั มเี นอื้ ความอศั จรรยเ์ ปน็ ศภุ นมิ ติ ต์ ดงั่ แสดงวา่ พระองค์
จะได้เป็นอิสสระในสยามรัฐ เป็นพระบรมกษัตริย์มีพระเดชานุภาพกิตติคุณแผ่ไป
ดัง่ พระบาทกมรเดงอัญศรสี ุริยพงศรามมหาราชาธิราช ซึ่งเปน็ เอกราชในเมืองสุโขทยั
มีจดหมายไว้ในเสาศิลาฉะน้ัน และเม่ือเวลาพระองค์ยังทรงผนวชอยู่นั้น ได้เสด็จ
พระราชดำ� เนนิ ประพาสในหวั เมอื งตา่ งๆ อกี หลายเมอื ง มเี พชรบรุ เี ปน็ ตน้ และเมอ่ื เวลา
เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ หวั เมอื งใดๆ ใกล้ ไกล มากนอ้ ยอยา่ งใดกด็ ี ยอ่ มเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ
โดยพระบาท มิไดม้ พี ระราชพาหนะอย่างหนึง่ อยา่ งใด พระองค์ทรงกำ� ลงั ว่องไวกว่า
สามญั ชนเปน็ อนั มาก เมอื่ เสดจ็ ประทบั ทใี่ ดกเ็ สดจ็ ประทบั อยู่ ณ สมุ ทมุ ไมแ้ ละถำ�้ เงอื้ มเขา
ตา่ งๆ มถี ำ�้ เขายอ้ ยเปน็ ตน้ มไิ ดท้ รงหวาดหวน่ั ตอ่ ภยั อนั ตรายแตม่ นษุ ยแ์ ละสตั วท์ ง้ั ปวง
เป็นมหัศจรรย์ เพราะพระองค์เปน็ สุขมุ าลชาติ เคยเสวยสขุ มาแตย่ ังทรงพระเยาวม์ า
อดทนต่อความทรมานอนั ยง่ิ ใหญ่ได้ฉะน้ี
ลจุ ลุ ศกั ราช ๑๑๙๘ ปวี อก อฐั ศก พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ ง
พระตำ� หนกั ทป่ี ระทบั ณ วดั บวรนเิ วศวหิ ารเสรจ็ แลว้ ครน้ั ถงึ วนั พธุ เดอื นยี่ ขน้ึ หา้ คำ่�
มพี ระบรมราชโองการดำ� รสั สงั่ ใหจ้ ดั ขบวนแห่ เชญิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
17
พร้อมด้วยฐานานุกรมเปรียญอนุจรห้าสิบรูปมาประทับวัดบวรนิเวศวิหาร แต่กาล
น้นั มา ทรงอนเุ คราะห์สงั่ สอนบรษิ ัทคฤหัสถ์บรรพชิตด้วยธรรมกี ถา แสดงขอ้ ปฏบิ ตั ิ
อนั สมควรแก่ธรรมวนิ ยั ท�ำบริษัทเหลา่ นน้ั ใหเ้ จริญยงิ่ ด้วยศลี าทิคุณ
ครั้นน้ันกุลบุตรเกิดความเลื่อมใส พากันมาบรรพชาอุปสมบทในส�ำนักของ
พระองคม์ ากขนึ้ กวา่ เกา่ สว่ นพระอารามเลา่ กไ็ ดท้ รงปฏสิ งั ขรณซ์ อ่ มแปลงกอ่ สรา้ งขน้ึ
หลายส่ิง ให้หมดจดงดงามยิ่งขึ้นไป แล้วทูลสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ให้เชิญ
พระชินสหี ์มาจากมขุ ด้านปจั ฉมิ ทิศ ประดิษฐานไว้ ณ พระอุโบสถด้านบรู พา และ
ได้ทรงสมมติสีมาไว้เป็นที่พระสงฆ์ได้อาศัยท�ำสังฆกรรมขึ้นใหม่สองพระอาราม
วัดบวรนิเวศวิหารพระอารามหน่ึง วัดบรมนิวาสพระอารามหนึ่ง ท�ำให้ถูกต้องตาม
วนิ ยั นยิ มเสรจ็ แลว้ เสดจ็ อยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ ารไดส้ บิ สพี่ รรษกาล ทรงบรหิ ารทำ� นบุ ำ� รงุ
สงฆบริษัทด้วยวินัยวัตรสุตตันตปฏบิ ตั ปิ ริยตั ิธรรม ยงั บริษทั ใหส้ ืบตอ่ กนั มา ดำ� รง
ธรรมยตุ ตกิ นกิ ายกิ สงฆใ์ หไ้ พบลู ยย์ ง่ิ ขนึ้ และทรงศกึ ษาภาษาองั กฤษ ในเมอ่ื มพี ระชนม์
ถงึ ส่สี ิบปลี ่วงไปแล้ว ทรงทราบชัดเจนได้เปน็ มหศั จรรย์ และเมอ่ื เวลาปลายแผ่นดนิ
พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มรี าชการเกยี่ วขอ้ งดว้ ยตา่ งประเทศ พระองคไ์ ด้
ทรงอตุ สาหะสอดสอ่ งตรติ รองในราชการนนั้ ทา่ นผซู้ งึ่ เปน็ ประธานในราชการแผน่ ดนิ
ทั้งหลาย ไมม่ ผี ู้ใดท่ีจะทราบการกวา้ งขวางไปถงึ นานาประเทศได้
คร้ันถึงปีกุนยังเป็นโทศก จุลศักราช ๑๒๑๒ วันพุธ เดือนห้า ข้ึนค่�ำหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ สวรรคต จ่งึ พระบรมราชวงศานวุ งศ์ซึ่งมี
อิสสรยิ ยศ และทา่ นเสนาบดขี ้าราชการผใู้ หญป่ รึกษาพรอ้ มใจกนั เหน็ ว่า พระบาท-
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นขัตติยสุขุมาลชาติบรมราชโอรสอันประเสริฐ
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซ่ึงเป็นที่นับถือของชนท้ังหลายท่ัวหน้า
สมควรทจ่ี ะไดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ สบื บรมราชสนั ตตวิ งศโ์ ดยตรงตามลำ� ดบั มา
พระองคท์ รงพระปรชี าและมหากรณุ าอนั ยงิ่ ใหญ่ ควรทจ่ี ะเปน็ ทพี่ ง่ึ ของพระบรมวงศา-
นวุ งศแ์ ละประชาราษฎรเปน็ ทร่ี ม่ เยน็ สบื ไป รงุ่ ขน้ึ วนั พฤหสั บดี เดอื นหา้ ขน้ึ สบิ สองคำ่�
จ่ึงพร้อมกนั ไปเฝ้า ณ วัดบวรนิเวศวหิ าร กราบบังคมทูลอญั เชญิ เสดจ็ ให้ลาผนวช
18
เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ เปน็ บรมกษตั รยิ ส์ บื พระวงศ์ ทรงทำ� นบุ ำ� รงุ พระบรมวงศานวุ งศ์
ขา้ ทลู ละอองธลุ ีพระบาท สมณพราหมณาจารย์ อาณาประชาราษฎรสบื ไป พระองค์
อาศัยความเอ็นดูกรุณาในประชุมชนเป็นอันมาก ทรงรับอัญเชิญแล้วเสด็จ
พระราชดำ� เนนิ จากวดั บวรนเิ วศวหิ ารโดยขบวนชลมารค ไปประทบั ศาลาหนา้ พระทนี่ งั่
อมรินทรวนิ ิจฉยั แลว้ เสด็จพระราชด�ำเนนิ เข้าไปสรงพระบรมศพ สมเด็จพระบรม-
เชษฐาธิราช เชิญลงประดิษฐานในพระลองเงิน เชิญออกทางประตูสนามราชกิจข้ึน
ประดิษฐานเหนือพระยานุมาศประกอบพระโกศทองค�ำแล้วแห่ไปโดยขบวน ขึ้น
ประดษิ ฐานบนพระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท ประดบั ดว้ ยเครอ่ื งราชปู โภคพรอ้ มเสรจ็ ตาม
ราชประเพณีมาแตโ่ บราณ แล้วเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ กลบั มาประทับ ณ วดั พระศร-ี
รตั นศาสดาราม
ครั้นพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการท้ังปวงถวายสัตยานุสัตย์ตามโบราณ
จารตี แลว้ ลาผนวชเมอ่ื ณ วนั ศกุ ร์ เดอื นหา้ ขน้ึ สามคำ�่ พระองคเ์ สดจ็ ออกทรงผนวช
ยกธรรมวินัยข้ึนให้รุ่งเรืองเป็นประโยชน์แก่ศาสนิกบริษัท คฤหัสถ์บรรพชิต
ผู้เกิดในปัจฉิมกาล ได้ ๒๗ พรรษาโดยล�ำดับปี ถ้าจะนับตามจันทรคติอายุโหร
๒๖ ปี ๘ เดอื น ๒๒ วนั เป็นกำ� หนด เสดจ็ มาประทบั ณ พลับพลาซ่งึ ท่านเสนาบดี
ปลูกสร้างข้ึนไว้รับเสด็จในระหว่างโรงแสงใหญ่กับห้องเครื่องกรมภูษามาลาต่อกัน
เป็นทีป่ ระทบั ในระหว่างซ่งึ ยงั มไิ ดต้ ้งั การราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกน้นั
คร้ันได้ศุภวารมหามงคลอุดมฤกษ์ ณ วันจันทร์ เดือนหก ขึ้นสิบสองค�่ำ
ตัง้ พระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก เริ่มสวดพระพุทธมนตส์ ามวัน คร้นั ณ วนั พฤหสั บดี
เดือนหก ขึ้นสบิ ห้าคำ่� เวลาเช้าโมงหนง่ึ กบั เก้าบาทเปน็ อดุ มฤกษ์ บรมราชาภิเษกตาม
พระราชประเพณี ซง่ึ มมี าแตก่ าลกอ่ นครบทกุ สงิ่ ทกุ ประการ ดงั่ ไดร้ บั พระราชทานถวายวิ
สชั ชนามาแตใ่ นกณั ฑก์ อ่ นแลว้ นน้ั ถวายพระนามตามพระนามเดมิ และพระคณุ สมบตั ิ
วา่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฏ สุทธสมมตเิ ทพยพงศ์ วงศาดศิ วรกษัตริย์
วรขตั ตยิ ราชนกิ โรดม จาตรุ นั ตบรมมหาจกั รพรรดริ าชสงั กาศ อภุ โตสชุ าต สงั สทุ ธเคราหณี
จักรบี รมนาถ อดศิ วรราชรามวรงั กรู สุจริตมลู สุสาธติ อกุ ฤษฐวิบลู บูรพาดลิ ก
19
กฤษฎาภนิ หิ าร สุภาธกิ ารรังสฤษฏ์ ธัญญลักษณวิจติ ร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโน-
ตมางคประณต บาทบงกชยคุ คล ประสทิ ธสิ รรพศภุ ผลอดุ ม บรมสขุ มุ าลยมหาบรุ ษุ รตั น์
ศึกษาพิพัฒสรรพโกศล สุวิสุทธวิมล ศุภศีลสมาจาร เพ็ชรญาณประภาไพโรจน์
อเนกโกฏิสาธุคุณวิบุลสันดาน ทิพยเทพาวตารไพศาล เกียรติคุณอดุลยพิเศษ
สรรพเทเวศรานรุ กั ษ์ เอกอัครมหาบุรษุ สุตพทุ ธมหากวี ตรปี ฏิ กาทโิ กศลวิมลปรชี า
มหาอดุ มบณั ฑติ สนุ ทรวจิ ติ รปฏภิ าณ บรบิ รู ณคณุ สาร สยามาธโิ ลกดลิ ก มหาบรวิ าร
นายก อนันตมหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร มหาชนนิกรสโมสรสมมติ
ประสิทธิวรยศมโหดม บรมราชสมบตั ิ นพปฎลเศวตาดฉิ ตั ร สริ ิรตั โนปลักษณมหา-
บรมราชาภเิ ษกาภสิ ิต สรรพทศทศิ วิชติ ชัย สกลมไหศวริยมหาสวามนิ ทร์ มเหศวร-
มหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวสัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์
อุกฤษฐศักด์ิอัครนเรศวราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปไมยบุญญการ
สกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร
พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั แตใ่ นการบรมราชาภเิ ษกครงั้ นี้ มีเลยี บพระนครเปน็ สองวัน
คอื โดยสถลมารควนั หนง่ึ โดยชลมารควนั หนง่ึ เมอื่ เสดจ็ พยหุ ยาตราโดยสถลมารคนนั้
เสด็จพระราชดำ� เนินโดยพระราเชนทรยาน ออกทางประตูวิเศษชัยศรี ไปโดยถนน
สนามชยั ประทบั ณ วดั พระเชตพุ น ทรงนมสั การพระพทุ ธปฏมิ ากร และทรงบำ� เพญ็
พระราชกุศลเสร็จแล้ว เสด็จพระราชด�ำเนินทรงพระที่นั่งพุดตาล โดยทางระหว่าง
พระอโุ บสถวดั พระเชตพุ น และระหวา่ งกฎุ สี งฆ์ มาเลยี้ วทางทา้ ยสนามขนึ้ มา โดยประตู
พทิ กั ษบ์ วร ประตสู นุ ทรทิศาเข้าประตพู ระบรมมหาราชวงั เขา้ ทางประตูวิเศษชยั ศรี
ตามเดมิ เปน็ ระยะทางสถลมารคยาวกวา่ ซ่ึงเคยเลียบพระนครมาแต่ก่อนๆ กระบวน
พยุหยาตราทางชลมารคน้ัน เสด็จพระราชด�ำเนินแต่ท่าราชวรดิตถ์ ไปเลี้ยวคลอง
บางล�ำพู ประทับฉนวนหน้าวดั บวรนิเวศวหิ าร เสด็จขนึ้ ทรงนมัสการพระพุทธชนิ สหี ์
และทรงบ�ำเพญ็ พระราชกุศลเสรจ็ แล้ว เสด็จพระราชดำ� เนินโดยทางคลองคูพระนคร
มาออกปากคลองข้างใต้ ข้ึนมาประทับท่าราชวรดิตถ์เป็นเสร็จการเลียบพระนคร
เปน็ พระเกยี รตยิ ศอนั ยงิ่ ใหญ่
20
คร้ันเสร็จการบรมราชาภิเษกแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระอนุชาธิราช
ซงึ่ ปรากฏพระนามว่า สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ กรมขนุ อศิ เรศรังสรรค์ เปน็
พระมหาอุปราช แต่โปรดให้มีพระเกียรติยศรับบวรราชโองการและการพระราชพิธี
อุปราชาภิเษกนนั้ ใหเ้ รยี กวา่ บวรราชาภเิ ษก มพี ระเกยี รตยิ ศยงิ่ ใหญ่กวา่ แต่ก่อนมา
พระราชทานพระนามวา่ สมเดจ็ พระปวเรนทราเมศ มหศิ เรศรงั สรรค์ มหนั ตวรเดโชชยั
มโหฬารคณุ อดลุ ยเดชสรรพเทเวศรานรุ กั ษ์ บวรจลุ จกั รพรรดริ าชสงั กาศ บวรธรรมกิ
ราชบพิตร พระปนิ่ เกลา้ เจ้าอยู่หวั โปรดให้เสดจ็ เลียบพระนคร โดยทางสถลมารค
เป็นขบวนคชพยุหะและอัศวพยุหะวันหนึ่ง แล้วทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ
ยกย่องฝ่ายสมณศักดิ์เป็นฤกษ์ ต้ังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนนุชิตชิโนรสโดย
มหาสมณุตมาภิเษก เป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสศรีสุคตขัตติยวงศ์ และ
มสี รอ้ ยพระนามเปน็ เจา้ คณะสงฆใ์ หญท่ ว่ั พระราชอาณาเขตต์ ตง้ั พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
พระองคเ์ จ้าฤกษเ์ ป็นกรมหม่ืนบวรรงั สสี รุ ิยพันธ์ุ มสี ร้อยพระนาม เจา้ คณะสงฆฝ์ ่าย
ธรรมยตุ ตกิ นกิ าย และทรงตง้ั สมเดจ็ พระราชาคณะเปน็ สอี่ งค์ และพระราชาคณะอน่ื ๆ
โดยสมควรแก่คณุ านุรูป
ฝา่ ยพระบรมวงศานวุ งศ์ กท็ รงยกยอ่ งใหม้ พี ระเกยี รตยิ ศยง่ิ ใหญก่ วา่ บรุ พประเพณี
คือทรงตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนรามอิศเรศ เป็นกรมพระรามอิศเรศ พระเจ้า
บรมวงศ์เธอกรมหมน่ื สวัสดวิ ชิ ัย เป็นกรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิ นอกนนั้ ก็ตัง้ พระเจา้
พ่ยี าเธออีกห้าพระองค์คือกรมขุนเดชอดิศร เปน็ กรมสมเด็จพระเดชาดิศร กรมขุน
พิพิธภูเบนทร์ เป็นกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ กรมหม่ืนพิทักษ์เทเวศร เป็นกรม
พระพทิ กั ษ์เทเวศร พระองค์เจา้ ทินกร เปน็ กรมหลวงภูวเนตรนรนิ ทรฤทธิ กรมหมืน่
อินทรอมเรศ เป็นกรมหลวงมหิศวรนิ ทรามเรศ แล้วต้ังพระเจา้ นอ้ งยาเธอตอ่ ไปอีก
สบิ พระองค์ พระองคเ์ จา้ กลาง เปน็ กรมหลวงเทเวศวชั รนิ ทรห์ นงึ่ พระองคเ์ จา้ ชมุ แสง
เปน็ กรมขนุ สรรพศลิ ปปรชี า ภายหลงั เลอื่ นขนึ้ เปน็ กรมหลวงหนงึ่ กรมหมนื่ วงศาสนทิ
เป็นกรมหลวงวงศาธิราชสนทิ หนึ่ง พระองค์เจา้ มรกต เป็นกรมขุนสถติ สถาพรหนงึ่
พระองค์เจ้าขัตติยา เป็นกรมหมื่นถาวรวรยศหน่ึง พระองค์เจ้านิลรัตน์ เป็นกรม
หม่นื อลงกรกฏกิจปรชี าหน่งึ พระองค์เจา้ อรุณวงศ์ เปน็ กรมหม่ืนวรศกั ดาพิศาลหนึ่ง
21
พระองคเ์ จา้ กปฐิ า เปน็ กรมหมนื่ ภบู าลบรริ กั ษห์ นง่ึ พระองคเ์ จา้ ปราโมช เปน็ กรมหมนื่
วรจักรธรานภุ าพ ภายหลังเลื่อนเปน็ กรมขนุ หนึ่ง สมเดจ็ พระเจา้ น้องยาเธอ เจ้าฟา้
พระองค์กลาง เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามหามาลาอิศวราธิราชรวิวงศ์-
บรมพงศปฏพิ ทั ธ์ บรุ ษุ รตั นวโรภโตสชุ าติ บรษิ ทั ยนาถนรนิ ทราธบิ ดี ใหท้ รงตง้ั เจา้ กรม-
เปน็ หมน่ื ปราบปรปกั ษ์ พรอ้ มดว้ ยปลดั กรมและสมหุ บ์ ญั ชี แลว้ ภายหลงั เปน็ กรมขนุ -
บ�ำราบปรปักษ์ พระเจ้าลูกเธอแห่งสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชน้ัน ถ้าจะนับโดย
ราชประเพณี กค็ วรจะเปน็ พระเจา้ หลานเธอ แตท่ รงพระราชดำ� รโิ ดยพระมหากรณุ าวา่
พระองค์เจ้าท้ังน้ีเคยเป็นพระเจ้าลูกเธอทรงศักดินาสูง จะต้องลดลงเป็นพระเจ้า
หลานเธอซึ่งมีต�ำแหน่งศักดินาต่�ำ ก็ทรงสงสาร จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งค�ำน�ำ
พระนามข้ึนใหม่ว่า พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ แล้วโปรดให้เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม
หกพระองค์ พระองค์เจ้าโกเมน เป็นกรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร์หนึ่ง พระองค์เจ้า
ลดาวลั ย์ เปน็ กรมหมนื่ ภมู นิ ทรภกั ดหี นง่ึ พระองคเ์ จา้ ชมุ สาย เปน็ กรมหมนื่ ราชสหี วกิ รม
ภายหลังเป็นกรมขุนหน่ึง พระองค์เจ้าอุไร เป็นกรมหมื่นอดุลยลักษสมบัติหนึ่ง
พระองคเ์ จา้ อรรณพ เปน็ กรมหมนื่ อดุ มรตั นราศหี นงึ่ พระองคเ์ จา้ อมฤตย์ เปน็ กรมหมน่ื
ภบู ดรี าชหฤทยั หนงึ่ ภายหลงั ทรงตง้ั อกี สามพระองค์ พระองคเ์ จา้ สบุ รรณ เปน็ กรมหมน่ื
ภวู นยั นฤเบนทราธบิ าลหนงึ่ พระองคเ์ จา้ สงิ หรา เปน็ กรมหมน่ื อกั ษรสาสนโสภณหนง่ึ
พระองคเ์ จา้ ชมพนู ทุ เปน็ กรมหมนื่ เจรญิ ผลภลู สวสั ดหิ นงึ่ สว่ นพระองคเ์ จา้ ลกู เธอซงึ่
มอี ยใู่ นขณะนน้ั สองพระองค์ พระองคใ์ หญท่ รงพระนาม พระองคเ์ จา้ นภวงศ์ เปน็ กรม
หมนื่ มเหศวรศวิ วลิ าส พระองคน์ อ้ ยทรงพระนามพระองคเ์ จา้ สปุ ระดฐิ เปน็ กรมหมนื่
วษิ ณุนาถนภิ าธร ฝ่ายพระราชวังบวรนัน้ พระบวรวงศ์เธอชน้ั หนงึ่ ทรงต้งั กรมหมนื่
นรานชุ ติ เปน็ กรมขนุ นรานชุ ติ พระบวรวงศเ์ ธอชน้ั สองกรมหมนื่ ธเิ บศรบวร เปน็ กรมขนุ
ธเิ บศรบวร ภายหลงั ทรงตง้ั พระองคเ์ จา้ พงศอ์ ศิ เรศ เปน็ กรมหมน่ื กษตั รยิ ศ์ รศี กั ดเ์ิ ดช
หนง่ึ พระองคเ์ จา้ ภมุ เรศ เปน็ กรมหมนื่ อมเรศรศั มหี นงึ่ พระเจา้ วรวงศช์ น้ั หนง่ึ ทรงตง้ั
พระองคเ์ จา้ ยคุ นธร เปน็ กรมหมนื่ อนนั ตการฤทธหิ นงึ่ พระองคเ์ จา้ รองทรง เปน็ กรมหมนื่
สทิ ธสิ ขุ มุ การหนง่ึ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอชน้ั สอง พระองคเ์ จา้ อศิ ราพงศ์ เปน็ เจา้ ฟา้ อศิ ราพงศ์
เกวลวงศวิสุทธิ สุรสีหุตมศักดิ์อภิลักษณ์ปวโรภยชาติ บริษัทยนาถนราธิบดีหน่ึง
ภายหลงั ทรงตั้งพระองค์เกศรา เป็นกรมหมน่ื อานุภาพพศิ าลศกั ดิ์ อีกพระองค์หนึ่ง
22
พระเจ้าวรวงศ์เธอช้ันสาม ทรงต้ังพระองค์เจ้ายอด เป็นกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ
พระองค์หน่ึง แล้วทรงตั้งหม่อมเจ้าพะยอมในสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้า
กรมหลวงพิทักษม์ นตรี เปน็ กรมหมนื่ มนตรีรกั ษา ทรงตง้ั หมอ่ มเจ้าชะอมุ่ ในสมเด็จ
พระสัมพันธวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ เป็นกรมหมื่นเทวานุรักษ์ ทรงยก
หม่อมเจ้าข้ึนเป็นพระองค์เจ้า คือหม่อมเจ้าหญิงในกรมสมเด็จพระเดชาดิศร เป็น
พระองค์เจ้านฤมลมณีรตั น์ หมอ่ มเจา้ ในกรมพระพพิ ิธโภคภูเบนทร์เปน็ พระองค์เจ้า
ชดิ เชอื้ พงศ์ หมอ่ มเจา้ ชายใหญใ่ นกรมหมน่ื มาตยาพทิ กั ษ์ เปน็ พระองคเ์ จา้ มงคลเลศิ
พระองค์เจ้าตั้งทั้งนี้ โปรดให้เรียกค�ำน�ำพระนามว่าพระวงศ์เธอ ทรงตั้งหม่อมเจ้า
ในกรมหม่ืนมเหศวรศิววิลาส เป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าจิตราภรณ์อีก
พระองคห์ น่งึ
สว่ นขา้ ราชการนน้ั ทรงยกยอ่ งชบุ เลย้ี งโดยตระกลู และความชอบ ใหม้ ยี ศยงิ่ ใหญ่
ข้ึนไปโดยล�ำดับมีเสนาบดีเป็นต้น ทรงต้ังเจ้าพระยาพระคลังเป็นสมเด็จเจ้าพระยา
บรมมหาประยูรวงศ์ ต้ังพระยาศรีพิพัฒรัตนราชโกศาธิบดี เป็นสมเด็จเจ้าพระยา
บรมมหาพิชัยญาติ ท่ีสมหุ นายกน้นั ทรงต้ังพระยาราชสุภาวดี (โต) เปน็ เจ้าพระยา
นิกรบดนิ ทร์ ภายหลงั ทรงต้งั เจ้าพระยายมราช เป็นเจ้าพระยาภูธราภัย ท่ีสมุหพระ-
กลาโหมนน้ั โปรดใหพ้ ระยาศรสี รุ ยิ วงศ์ จางวางมหาดเลก็ เปน็ เจา้ พระยาศรสี รุ ยิ วงศ์
ทพ่ี ระคลงั โปรดให้จมน่ื ราชามาตย์ (ขำ� ) เป็นเจา้ พระยาทพิ ากรวงศม์ หาโกศาธิบดี
ที่ยมราชโปรดให้พระยาเพชร์บุรี (สุข) เป็นเจ้าพระยายมราช ภายหลังต้ังพระยา
มหามนตรี (นชุ ) ขนึ้ เปน็ เจา้ พระยายมราช ครนั้ เลอื่ นไปเปน็ สมหุ นายกแลว้ จงึ โปรดตงั้
พระยาราชวรานุกูล (ครฑุ ) เป็นเจา้ พระยายมราช ครั้นถงึ อสญั ญกรรมแลว้ ทรงตัง้
เจา้ พระยานครราชสมี า (แก้ว) เปน็ เจ้าพระยายมราช กรมนานัน้ ทรงตงั้ เจ้าหมน่ื -
ศรีสรรกั ษ์ (เอย่ี ม) เปน็ เจา้ พระยาพลเทพ ครัน้ ถงึ อสญั ญกรมแลว้ จึงทรงตงั้ พระยา
เกษตรรกั ษา (หลง) ขา้ หลวงเดมิ ไปเปน็ เจา้ พระยาพลเทพ ทกี่ รมวงั นนั้ ทรงตงั้ พระยา
เพช็ รพชิ ยั (เสอื ) เปน็ เจา้ พระยาธรรมาธกิ รณ์ ครน้ั ถงึ อสญั ญกรรมแลว้ ทรงตง้ั พระยา
มหาอำ� มาตย์ (บญุ ศร)ี เปน็ เจา้ พระยาธรรมา ขา้ ราชการนอกนนั้ กท็ รงยกยอ่ งชบุ เลย้ี ง
ทวั่ กัน
23
สว่ นเมอื งประเทศราชนน้ั ทรงยกพระยาเชยี งใหมข่ น้ึ เปน็ พระเจา้ มโหตตรประเทศ
เจ้าเมืองเชียงใหม่ แล้วภายหลังต้ังนายน้อยสุริยวงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าบุรีรัตน์ขึ้นเป็นเจ้า
ภายหลงั เปน็ พระเจา้ กาวโิ ลรสสรุ ยิ วงศ์ ทรงตงั้ พระยานครลำ� ปาง เปน็ เจา้ วรญาณรงั สี
ตง้ั พระยานครลำ� พนู เปน็ เจา้ ชยั ลงั การพศิ าลโสภาคยคณุ ตง้ั เจา้ เมอื งนครจมั ปาศกั ด์ิ
เป็นเจ้ายุตธิ รรมธรนครจัมปาศกั ดิ์ ตั้งเจา้ เมอื งมกุ ดาหาร เป็นเจ้าจันทรเทพสุรยิ วงศ์
ตงั้ เจา้ เมอื งอบุ ลเปน็ เจา้ พรหมเทวานเุ คราะหว์ งศ์ ตงั้ เจา้ เมอื งนา่ นเปน็ เจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดช
ตง้ั เจา้ เมอื งหลวงพระบางเปน็ เจา้ จนั ทรเทพประภาคณุ และตงั้ นามองคส์ มเดจ็ พระหรริ กั ษ-์
รามามหาอิศราธบิ ดี และองค์สมเด็จพระนโรดมบรมเทวาวตาร เจ้ากรุงกัมโพชาธบิ ดี
และทรงชบุ เลย้ี งหวั เมอื งเอก โท ตรี จตั วา ปกั ษใ์ ตฝ้ า่ ยเหนอื และหวั เมอื งประเทศราช
ให้ได้มียศบรรดาศักดิ์ท่ัวถึงกันตามสมควร และการพระบรมศพพระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกลา้ เจา้ อยู่หัวน้นั ก็โปรดใหท้ �ำพระเมรุมาศขนาดใหญ่สงู ตลอดยอดสองเส้น
ประดบั วจิ ติ รมโหฬารยง่ิ ใหญก่ วา่ แตก่ าลกอ่ น มาทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ล ทรงพระราช
อทุ ิศถวายสมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าช เป็นอเนกอนันตย์ ิง่ นัก
ในรชั ชกาลแหง่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรมชนกมหา
ราชาธิราชน้ัน มีราชการแผ่นดนิ ซง่ึ เป็นการสำ� คญั หลายครง้ั หลายคราว ถงึ แม้วจ่ ะ
ไม่ได้มีการณรงค์สงครามกับนานาประเทศเนืองๆ เหมือนสามรัชชกาลซึ่งล่วงเลย
มาแล้วน้ันก็ดี แต่ราชการซึ่งมีในรัชชกาลท่ีส่ีน้ีเป็นการสุขุมต้องทรงตริตรองโดย
พระปรีชาญาณ และโดยพระอุตสาหะอันย่ิงใหญ่มิได้หยุดหย่อนยิ่งกว่าสมเด็จ
บรมกษตั ราธิราชเจ้าแต่หลงั มา จะได้รบั พระราชทานพรรณนาความรวมเป็นหมวดๆ
ในราชการแผน่ ดนิ เปน็ ตน้ พอใหเ้ ปน็ นทิ ศั นนยั ไดเ้ หน็ ในกระบวนราชการและการซง่ึ
ทรงประพฤตติ ลอดไปโดยสังเขป
ข้อซึ่งในรัชชกาลท่ีส่ีมีการศึกสงครามน้ัน เมื่อจุลศักราช ๑๒๑๔ ปีชวด
จัตวาศก ทรงพระราชด�ำริว่าฝ่ายพะม่าหย่อนก�ำลังลงด้วยอังกฤษตีเมืองมอญข้าง
ชายทะเล การสงครามในระหว่างกรุงสยามกับพุกามประเทศเริดร้างกันมาช้านาน
ผซู้ งึ่ เคยทำ� ศกึ สงครามกเ็ บาบางลงกวา่ แตก่ อ่ น ควรทจ่ี ะยกโยธาทพั ไปยำ่� ยปี ลายเขตต์
24
แดนฝ่ายพะม่าให้ปรากฏก�ำลังกองทัพกรุงพระมหานครศรีอยุธยาไว้ จะได้เป็นท่ี
ครนั่ ครา้ มของพะมา่ มไิ ดเ้ บยี ดเบยี นปลายพระราชอาณาเขตตส์ ยาม และจะไดฝ้ กึ หดั
โยธาหาญให้แกล้วกล้าคุ้นเคยในการท�ำสงครามไว้ป้องกันพระราชอาณาเขตต์สืบไป
จงึ โปรดใหพ้ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ คมุ กองทพั กองหนง่ึ เจา้ พระยา
ภูธราภัย เมื่อยังเป็นที่เจ้าพระยายมราช คุมกองทัพกองหนึ่งยกขึ้นไปบรรจบทัพ
หวั เมอื งลาวประเทศราช ขน้ึ ไปตเี มอื งเชยี งตงุ ไดท้ ำ� ยทุ ธสงครามกนั ระยะเมอื งเชยี งตงุ
เปน็ ทางกนั ดาร ขดั สนดว้ ยสะเบยี งอาหารกโ็ ปรดใหเ้ ลกิ ทพั กลบั คนื พระนคร ภายหลงั
มาโปรดให้จัดกองทัพออกไปปราบปรามกบฏเมืองเขมร ซึ่งเป็นศัตรูต่อพระองค์
สมเด็จพระนโรดมให้ราบคาบเรียบร้อย แล้วพระราชทานอภิเษกให้เป็นเจ้ากรุง
กัมโพชาธิบดีสืบมาจนกาลบัดน้ี
สว่ นราชการฝา่ ยประเทศตะวนั ตก กรงุ เกรตบรเิ ตนไดเ้ ขา้ มาขอทำ� หนงั สอื สญั ญา
ทางพระราชไมตรี แต่ในแผน่ ดนิ พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจา้ อยู่หวั การกเ็ ป็นท่ี
มัวหมองกันอยู่ ครั้นภายหลังเซอร์ยอนโบวริงเข้ามาขอท�ำหนังสือสัญญาทางพระ
ราชไมตรี พระองคท์ รงพระราชดำ� ริดว้ ยพระปรีชาญาณวิจารณปัญญาอนั สุขมุ เห็นว่า
การซง่ึ จะรกั ษาราชอาณาเขตใหอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ตอ้ งอาศยั ผอ่ นสนั้ ผอ่ นยาว ถอื เอาแตก่ าร
ซ่ึงจะเป็นความเจริญปราศจากอันตรายเป็นประมาณ การซึ่งกรุงเกรตบริเตนมาขอ
ท�ำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีนี้ ก็เป็นประสงค์อย่างเดียว ซ่ึงจะได้ค้าขายให้
เป็นผลประโยชน์แห่งชาติของตน มิได้เป็นอุบายซ่ึงจะคิดร้ายต่อพระนครในชั้นต้น
เหมอื นหนงึ่ พะมา่ ข้าศึกซึ่งควรเป็นทีส่ งสัยนั้นไม่ ถ้าจะดึงดันกันไปเหมือนอย่างคร้ัง
แผ่นดนิ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยูห่ วั ก็จะเป็นทหี่ มองหมางกนั ข้นึ ไม่เป็น
ประโยชนอ์ นั ใด ถา้ รบั ทางพระราชไมตรแี ลว้ กจ็ ะไมม่ คี วามบาดหมางตอ่ กนั การคา้ ขาย
ตอ่ กนั มขี น้ึ แลว้ ประโยชนก์ ค็ งมแี กผ่ ขู้ ายและผซู้ อื้ ดว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย ทรงพระราชดำ� ริ
โดยการยืดยาวกว้างขวางด่ังน้ีแล้ว จึงทรงปรึกษาด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และ
ท่านเสนาบดี เห็นพร้อมด้วยกระแสพระราชด�ำริ จึงทรงรับทางพระราชไมตรีกรุง
ยไุ นเตด็ ออฟเกรตบรเิ ตนและไอรแ์ ลนดเ์ ปน็ ปฐม ไดท้ ำ� หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตรี
ในระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงสยามและสมเด็จพระนางเจ้ากรุงเกรต-
25
บรเิ ตนในปเี ถาะ สปั ตศก จลุ ศกั ราช ๑๒๑๗ ไขขอ้ สญั ญาในปมี ะโรง อฐั ศก จลุ ศกั ราช
๑๒๑๘
คร้ันภายหลังมา ประเทศยุไนเต็ดสเตตส์อเมริกาหนึ่ง ประเทศฝร่ังเศสหน่ึง
ประเทศเดนมารก์ หนง่ึ ประเทศเยอรมนั แฮนซเิ อตรกิ รปี ปั ลกิ หนงึ่ ประเทศโปตเุ กสหนงึ่
ประเทศวลิ นั ดาหนง่ึ ประเทศปรสุ เซยี หนง่ึ กไ็ ดแ้ ตง่ ใหร้ าชฑตู เขา้ มาทำ� หนงั สอื สญั ญา
ทางพระราชไมตรี ณ กรุงเทพมหานครเป็นลำ� ดบั ไป ภายหลังได้โปรดให้เซอรย์ อน
โบวริง ซึ่งได้รับต�ำแหน่งยศเป็นพระยาสยามานุกูลกิจ สยามิศรมหายศ ราชฑูต
ท�ำหนังสือสัญญาด้วยประเทศนอรเวและสวีเดน ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศอิตาลี
เป็นอวสานกาลในรัชชกาลที่สี่นั้น ก็ในกาลซ่ึงพระองค์ได้รับทางพระราชไมตรี
ตา่ งประเทศไวแ้ ลว้ กท็ รงพระอตุ สาหะซง่ึ จะจดั การทงั้ ปวงใหถ้ กู ตอ้ งตามหนงั สอื สญั ญา
คอื เลกิ คา่ ธรรมเนยี มปากเรอื และธรรมเนียมทตี่ อ้ งหา้ มต่างๆ เปิดให้สนิ ค้าออกจาก
พระนครโดยสะดวก ต้งั เป็นภาษรี ้อยชักสามเกบ็ สินคา้ ขาเข้า ภาษขี ้าว ภาษเี บ็ดเสรจ็
เปน็ สนิ คา้ ขาออก และตง้ั ศาลตา่ งประเทศสำ� หรบั วา่ ความ ซงึ่ คนไทยกบั คนตา่ งประเทศ
เปน็ ความกนั และจา้ งคนยโุ รปนายโปลศิ ใหห้ าแขกมะลายซู ง่ึ เคยเปน็ นายโปลศิ มาตงั้
ปอ้ งกนั รกั ษาอนั ตรายและทรพั ยส์ มบตั ขิ องชาวยโุ รปทง้ั ปวงเปน็ ตน้ จงึ ไดเ้ กดิ มโี ปลสิ
ขนึ้ ในกรงุ สยาม และเปน็ พระราชธรุ ะในการทจี่ ะโตต้ อบราชการตา่ งๆ ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งดว้ ย
นานาประเทศ โดยความยากลำ� บากพระกายและพระราชหฤทยั ทง้ั กลางวนั และกลางคนื
มิไดข้ าด
และได้ทรงแต่งราชฑูตออกไปเจริญทางพระราชไมตรี ณ คอร์ตเซนต์เยมส์
กรงุ ลอนดอนคร้ังหนึง่ ยงั ส�ำนกั สมเดจ็ พระเจ้าเอเปอเรอกรงุ ฝรงั่ เศส ณ กรุงปารสี
คร้ังหนึ่ง ภายหลังได้ทรงจัดสิ่งของออกไป ต้ังการอินเตอเนชันนัลเอ็กสโปสิชัน
แต่งขา้ หลวงคมุ ออกไปตั้ง ณ กรงุ ปารสี อีกคร้ังหน่ึง พระเกียรตยิ ศก็แผไ่ พศาลไป
ในนานาประเทศย่ิงกว่าคร้ังแต่หลังมา ภายหลังโปรดให้เจ้าพระยาสุริยวงศ์วัยวัฒน์
ออกไปขอทำ� หนงั สอื สญั ญาเรอื่ งสรุ าตา่ งประเทศ และเรอื่ งปนั เขตตแ์ ดนเมอื งเขมรถงึ
กรุงปารสี ในปขี าล อฐั ศก จุลศักราช ๑๒๒๘ และปเี ถาะ นพศก จลุ ศกั ราช ๑๒๒๙
26
ต่อกัน เป็นคราวแรกที่ได้มีราชฑูตไปโดยราชการแผ่นดินถึงพระนครแห่งพระเจ้า
แผน่ ดนิ ซง่ึ มที างพระราชไมตรใี นประเทศยุโรป
ส่วนการในพระนครน้ัน พระองค์ทรงพระมหากรุณาเมตตาแก่ราษฎรทั้งปวง
ยิ่งนัก ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จพระราชด�ำเนินออกรับฎีการะงับกิจทุกข์ร้อนของ
ราษฎรด้วยพระองค์เอง และทรงแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชก�ำหนดกฎหมายเก่าใหม่
ซงึ่ เปน็ การเดอื ดรอ้ น และยงั บกพรอ่ งอยเู่ ปน็ อนั มากหลายลกั ษณะหลายประการ มที รง
อุดหนนุ อำ� นาจศาล ซึง่ ทาสร้องทกุ ข์สง่ เงนิ นายเงินกดข่กี ักขงั ตวั ทาส ใหต้ อ้ งขดั สน
อยเู่ ปน็ ทาสตลอดไป พระองคเ์ พม่ิ เตมิ พระราชบญั ญตั สิ ะกดั กนั้ การซงึ่ ผดู้ ขี ม่ เหงไพร่
ใหเ้ บาบางลงเปน็ ตน้ ทงั้ พระราชบญั ญตั อิ น่ื ๆ ซง่ึ เปน็ การมคี ณุ ใหค้ วามสขุ แกร่ าษฎร
อกี หลายอยา่ งหลายประการ และทรงอดุ หนนุ ราษฎรซงึ่ ทำ� ไรน่ า คอื ออกพระราชบญั ญตั ิ
ลดเงนิ คา่ นาคโู่ ค ซงึ่ แตก่ อ่ นไดเ้ คยเกบ็ เสมอกนั กบั นาฟางลอย ทรงพระราชดำ� รเิ หน็ วา่
นาคู่โคนั้น ถึงเจ้าของจะท�ำนาก็ดีมิท�ำนาก็ดี ก็คงต้องเสียเงินค่านาตามตราแดง
สว่ นผซู้ ง่ึ ทำ� นาฟางลอยสาบานไดว้ า่ นานนั้ ไมไ่ ดเ้ กบ็ เกย่ี ว กไ็ มต่ อ้ งเสยี คา่ นา ทรงเหน็ วา่
เสยี เปรยี บกนั อยอู่ ยา่ งนี้ จงึ ทรงยกคา่ นาคโู่ คพระราชทานใหเ้ ปน็ ไรล่ ะสลงึ ดงั นเ้ี ปน็ ตน้
ทรงพจิ ารณาสอดส่องในสิง่ ซ่งึ เป็นการหนกั ของราษฎรดั่งน้ี แลว้ ผ่อนผันใหเ้ ป็นการ
เสมอกนั และเปน็ การเบาขนึ้ อกี หลายสง่ิ หลายประการ และพระราชทานตราภมู พิ เิ ศษ
แกไ่ พร่หลวง ซึ่งได้รับราชการเกิดข้นึ อีกเป็นอันมากโดยทรงพระมหากรุณา ราษฎร
ทั้งปวงก็ได้ตง้ั ท�ำมาหากนิ มีผลประโยชน์บริบรู ณ์ และมคี วามสขุ ขน้ึ กวา่ แต่กอ่ น
อนึง่ เมอ่ื เสดจ็ พระราชดำ� เนินในสถานท่ีใด กท็ รงพระกรณุ าโปรดอนุญาตให้
ราษฎรเข้ามาเฝ้าใกลพ้ ระองค์ และพระราชทานเงินเฟื้องเงินสลงึ ด้วยพระหตั ถ์ของ
พระองค์เองเป็นอันมากทุกคร้ังมิได้ทรงรังเกียจ การสร้างสมสิ่งซ่ึงเป็นประโยชน์
แก่ราษฎรนั้น พระองค์ได้โปรดให้ขุดคลองผะดุงกรุงเกษมเป็นคูพระนครชั้นนอก
คลองหน่งึ คลองเจดยี บูชาคลองหนึง่ คลองมหาสวัสด์คิ ลองหนง่ึ คลองภาษเี จริญ
คลองหนงึ่ คลองดำ� เนนิ สะดวกคลองหนง่ึ คลองหวั ลำ� โพงคลองหนง่ึ สนิ้ พระราชทรพั ย์
เปน็ อนั มาก เปน็ คลองหลวงขุดพระราชทาน และได้สรา้ งถนนบ�ำรุงเมืองในพระนคร
27
สายหนึ่ง ถนนเฟื่องนครต้ังแต่วัดบวรนิเวศ มาจากถนนเจริญกรุงตอนหน่ึง ถนน
เจรญิ กรงุ ต้ังแต่ในนครออกไปถึงบางรกั ต�ำบลหนง่ึ ถนนสีลมทางหนงึ่ ถนนตามแนว
คลองหวั ล�ำโพงทางหน่งึ ถนนเหล่าน้ีท�ำขึ้นดว้ ยพระราชทรพั ยใ์ นพระคลงั เป็นสว่ น
พระราชทานแกร่ าษฎรท้งั สนิ้ ส่วนการปอ้ งกนั พระนคร พระองค์ทรงพระราชดำ� ริวา่
กำ� แพงพระนครเดมิ แคบ และคพู ระนครดา้ นตะวนั ออกเปน็ แตล่ ำ� คลอง บา้ นเรอื นราษฎร
ตง้ั ตดิ แนน่ กนั ไป ถา้ มขี า้ ศกึ ศตั รมู า จะจดั การปอ้ งกนั รกั ษาพระนครกข็ ดั ขวาง ดว้ ยเปน็
ทีค่ ับแคบ
อน่งึ พระปรางคใ์ หญ่ ซง่ึ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอย่หู วั ทรงสร้างขึน้ ท่ี
วดั สระเกศ การไมส่ ำ� เรจ็ ตลอดไป ทง้ิ รกอยเู่ ปน็ กองอฐิ ใหญ่ ราษฎรเรยี กกนั วา่ ภเู ขาทอง
ถ้ามีข้าศึกศัตรูเอาปืนไปตั้งบนภูเขาทองนั้น ยิงระดมสาดเข้ามาในพระนครก็เห็นว่า
จะรักษาได้เป็นอันยาก จึงโปรดให้ขุดคลองผะดุงกรุงเกษมเป็นคูพระนครช้ันนอก
ดั่งได้รับพระราชทานพรรณนาความมาแล้ว แล้วจึงโปรดให้สร้างป้อมรายเป็นระยะ
ตามฝง่ั คลองสว่ นในพระนคร ตงั้ แตป่ ากคลองขา้ งเหนอื ไปถงึ ปากคลองดา้ นใตห้ า้ ปอ้ ม
คือป้อมป้องปัจจามิตรหน่ึง ป้อมปิดปัจจนึกหนึ่ง ป้อมผลาญศัตรูราบหน่ึง
ปอ้ มปราบศัตรูพา่ ยหนง่ึ ป้อมท�ำลายแรงปรปกั ษห์ นึ่ง ทรงพระราชดำ� รวิ า่ คร้นั จะให้
ก่อแพงข้ึนโดยรอบ ก็จะเป็นการล�ำบากแก่ไพร่พล เม่ือท�ำป้อมไว้เป็นระยะดั่งน้ี
เมอื่ ราชการศกึ สงครามถงึ พระนครก็จะคดิ ใช้ไม้แกน่ หรอื ไมล้ ำ� ปกั เป็นคา่ ยระเนียด
บรรจบถึงกันเป็นเขื่อนขันธ์ซึ่งจะได้ต่อสู้ราชศัตรูได้ถนัด และโปรดให้ฝึกหัดทหาร
อยา่ งยโุ รปขนึ้ ไวเ้ ปน็ ทหารรกั ษาพระองคพ์ อสมควรแกร่ าชการ ไดท้ รงสรา้ งเรอื ใบเปน็
เรอื รบ และเรอื คา้ ขายขนึ้ หลายลำ� ภายหลงั มเี รอื กลไฟสยามอรสมุ พลขน้ึ เปน็ ครงั้ แรก
ทไี่ ดม้ ใี นกรงุ สยาม จงึ ทรงสรา้ งเรอื รบกลไฟมนี ายเรอื และทหารปนื ประจำ� ตามธรรมเนยี ม
เรือรบอย่างอังกฤษขึ้นไว้ ส�ำหรับป้องกันพระราชอาณาเขตต์มีเรือสยามูปสดัมภ์
เรอื ราญรกุ ไพรีเปน็ ตน้ จกระทั่งถงึ เรือกันโบตลาดตระเวน สำ� หรับได้เดินตรวจการ
ทางทะเลฝงั่ ตะวันตกตะวนั ออก จบั สลัดโจรผูร้ า้ ยอยเู่ สมอมิได้ขาด
อนงึ่ พระองคไ์ ดท้ รงสรา้ งเรอื พระทนี่ ง่ั ไวส้ ำ� หรบั แผน่ ดนิ หลายลำ� มเี รอื พระทนี่ ง่ั
อนนั ตนาคราช และเรอื พระทน่ี งั่ เทวธวิ ตั ถเ์ ปน็ ตน้ และโปรดใหห้ มุ้ ทองคำ� พระทนี่ งั่ กง
28
และพระทน่ี ง่ั พดุ ตาน ซงึ่ เปน็ พระบรมราชยานไวส้ ำ� หรบั แผน่ ดนิ พระองคท์ รงสถติ ยอ์ ยู่
ในพระกตญั ญกู ตเวทติ าคณุ ตอ่ สมเดจ็ พระบรมชนกนาถและสมเดจ็ พระบรมราชชนี
เปน็ ตน้ ตลอดถงึ บรรพบรมราชวงศ์ ทรงตง้ั อยา่ งซงึ่ ไดม้ กี ารพระราชกศุ ลในวนั ประสตู ิ
และวนั สวรรคตแห่งพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวท้ังสามรัชชกาลซ่งึ ล่วงมาแลว้ และ
สมเดจ็ พระอยั ยกแี ละพระบรมราชชนนี ไดก้ ราบถวายบงั คมพระเดชพระคณุ และทรง
พระราชอทุ ศิ พระราชกศุ ลถวายทกุ ปมี ไิ ดข้ าด และตามฤดกู าลกโ็ ปรดใหเ้ ชญิ พระบรมอฐั ิ
และพระอฐั อิ อกสดบั ปกรณเ์ ปน็ การประจำ� ทกุ ปี เรยี กวา่ กาลานกุ าล เพมิ่ เตมิ ยง่ิ ขนึ้ กวา่ เกา่
เกอื บจะทกุ เดอื นตลอดปี และการพระราชกศุ ล ทรงพระราชอทุ ศิ เฉพาะพระองคเ์ ปน็ กาล
เปน็ สมยั กม็ ี ใหญบ่ า้ ง นอ้ ยบา้ งตามอภลิ กั ขติ กาล มกี ารซงึ่ โปรดใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยา
องคใ์ หญ่ สมเดจ็ เจา้ พระยาองคน์ อ้ ย เจา้ พระยานกิ รบดนิ ทร์ ทำ� กระจาดใหญส่ ามกระจาด
ทรงพระราชอทุ ศิ ถวายสมเดจ็ พระบรมอยั ยกาธริ าชพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ -
จฬุ าโลกกระจาดหนงึ่ ทรงพระราชอุทศิ ถวายพระบรมชนกมหาราชาธริ าช พระบาท
สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั กระจาดหนง่ึ ทรงพระราชอทุ ศิ ถวายสมเดจ็ พระบรม
เชษฐาธริ าช พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอย่หู ัวกระจาดหนงึ่ แล้วนิมนตพ์ ระสงฆ์
มาถวายพระธรรมเทศนาเปน็ การครกึ ครนื้ ยงิ่ ใหญใ่ นกาลครง้ั นน้ั และการซง่ึ ทรงบำ� เพญ็
พระราชกศุ ลฉลองพระเดชพระคณุ สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ สมเดจ็ พระบรมราชชนนี
เปน็ ตน้ นน้ั หลายครงั้ หลายคราวเหลอื ทจี่ ะรบั พระราชทานพรรณนาในเวลานใ้ี หต้ ลอดได้
และไดท้ รงมกี ารฉลองพระเดชพระคณุ ยงิ่ ใหญใ่ นสมเดจ็ พระบรมชนกนาถและสมเดจ็
พระบรมราชชนนี เม่ือปีกุน เบญจศก จุลศกั ราช ๑๒๒๕ เพราะทรงพระราชดำ� รวิ ่า
เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั และกรมสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์
เสดจ็ สวรรคต พระองคท์ รงผนวชอยใู่ นพระพทุ ธศาสนา หาไดท้ รงฉลองพระเดชพระคณุ
เตม็ พระราชหฤทยั ดง่ั พระราชประสงคไ์ ม่ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหท้ ำ� พระเมรมุ าศ
ขนาดน้อย ต้ังขึ้นบนยอดเขาผกู โครง ประดบั ดว้ ยพฤกษาชาตแิ ละเครอื่ งเลน่ ตา่ งๆ
เปน็ มโหฬารยงิ่ นกั พระเมรมุ าศนนั้ สูงตลอดยอดถึงยี่สบิ วา แลว้ อญั เชิญพระบรมอฐั ิ
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถและสมเดจ็ พระบรมราชชนนที ง้ั สองพระองคอ์ อกประดษิ ฐาน
ทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลพระราชทานแดพ่ ระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท
ราษฎรทวั่ หนา้ พระราชทรพั ยซ์ งึ่ ทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลครง้ั นนั้ เปน็ อเนกอนนั ตย์ ง่ิ นกั
29
ภายหลังจึงเชิญพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลขึ้นประดิษฐานใน
พระเมรุน้ัน แล้วพระราชทานเพลิงที่มณฑปเชิงเขาฝ่ายตะวันตกต่อไป แล้วได้ทรง
พระกรณุ าโปรดใหท้ �ำเมรใุ หญ่ ณ ทอ้ งสนาม บำ� เพ็ญพระราชกุศลใหญ่ๆ หลายครง้ั
คอื ครง้ั หนง่ึ พระเมรสุ มเดจ็ พระนางเจา้ โสมนสั วฒั นาวดี สมเดจ็ พระบรมราชเทวี และ
กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ กรมหม่ืนวิศนุนาทนิภาธร พระบาทสมเด็จ
พระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั กรมหมน่ื มเหศวรศวิ วลิ าส เปน็ ตน้ และมเี มรกุ ลางเมอื งทนี่ อ้ ยกวา่
นั้นอีกหลายครัง้ หลายคราว มงี านพระศพกรมหมน่ื สนทิ นเรนทรเปน็ ตน้ พระองคท์ รง
บำ� เพญ็ พระราชกศุ ลแต่ละครงั้ ๆ เปน็ อเนกนยั วจิ ิตรยง่ิ นัก
อนง่ึ พระองคท์ รงพระมหากรณุ าเมตตาแกข่ า้ บาทบรจิ ารกิ ฝา่ ยใน พระราชทาน
ธนสารสมบัติ และเกียรติยศตามสมควรแก่คุณานุรูปย่ิงกว่ารัชชกาลหลังๆ มา
ทรงพระเมตตาแดพ่ ระราชโอรสพระราชธดิ ายงิ่ นกั เสมอดว้ ยบดิ ากบั บตุ รแหง่ ชนสามญั
ทงั้ ปวง ทรงอมุ้ ชชู มเชยมไิ ดท้ รงรงั เกยี จและมไิ ดท้ รงถอื เกยี รตยิ ศอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เลย
พระราชทานพระราชทรพั ยส์ ว่ นพระคลงั ขา้ งทใ่ี หเ้ ปน็ ภาคๆ เสมอกนั บา้ งยงิ่ กวา่ กนั บา้ ง
โดยทวั่ ถงึ ซงึ่ เปน็ พเิ ศษยง่ิ กวา่ พระเจา้ ลกู เธอในรชั ชกาลกอ่ นๆ และทเี่ ปน็ พระราชกมุ าร
ก็พระราชทานวังและต�ำหนักซ่ึงทรงจัดซ้ือและโปรดให้สร้างขึ้นโดยพระราชทรัพย์
สว่ นพระองค์ แลว้ พระราชทานใหเ้ ปน็ สทิ ธขิ์ าดโดยมาก และการซงึ่ ทรงพระมหากรณุ า
โปรดยกย่องให้เป็นเกียรติยศนั้น คือโปรดให้มีการโสกันต์กระบวนแห่อย่างกลาง
มีมยุรฉัตร ยกไว้แต่เขาไกลาสเป็นบางพระองค์ และที่ลดลงไปกว่าน้ันมีบ้างตาม
สมควร ครั้งหนง่ึ ก็เสด็จไปโสกนั ต์พระราชธดิ าถงึ เมืองเพชรบุรี มกี ระบวนแหพ่ ร้อม
ทกุ ประการ บางงานกโ็ ปรดใหเ้ จา้ นายนอกจากพระเจา้ ลกู เธอโสกนั ตด์ ว้ ยกม็ ี และการ
ทรงผนวชเล่ากโ็ ปรดใหจ้ ัดกระบวนแห่ ทรงผนวชตามแบบอยา่ งแต่ก่อนมา การซึ่ง
ทรงพระมหากรุณาแดพ่ ระราชโอรสและพระราชธิดา ซึ่งควรจะพระราชทานเตม็ ตาม
พระราชประเพณี และทรงยักย้ายไปใหม่บ้างน้ันรับพระราชทานยกข้ึนเป็นตัวอย่าง
คือเม่ือปรี ะกาตรีศก จลุ ศกั ราช ๑๒๒๓ สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า
มีพระชนมายุเจริญได้ ๙ พรรษาโดยล�ำดับปี สมควรทีจ่ ะไดร้ บั พระสุพรรณบฏั โดย
อย่างโบราณจารีตรสืบมา จึงทรงพระกรุณาโปรดต้ังพระราชพิธีรับพระสุพรรณบัฏ
30
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ตั้งกระบวนแห่มีมยุรฉัตรราชวัติรายทางเหมือน
กระบวนแหโ่ สกนั ต์ แหอ่ อกจากเกยหนา้ ทอ้ งฉนวนในพระบรมมหาราชวงั ไปประทบั
ณ พระทนี่ งั่ อาภรณ์พิโมกขปราสาท ทรงฟังพระสงฆส์ วดพระพทุ ธมนต์สามวัน คร้ัน
วันศุกร์ เดือนส่ี แรมหกค�ำ่ เวลาเช้า แหไ่ ปโดยทางเดมิ ประทบั ณ พระท่ีนงั่ ดุสติ
มหาปราสาทแล้วโปรดให้สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าเสด็จสู่ที่สรงเขา
ไกลาสนอ้ ยฝา่ ยตะวนั ตก พระทน่ี งั่ ดสุ ติ มหาปราสาทแลว้ พระราชทานนำ้� พระพทุ ธมนต์
ดว้ ยพระเตา้ เบญจครรภเปน็ ตน้ พระบรมวงศานวุ งศแ์ ละขา้ ราชการถวายนำ�้ พระพทุ ธมนต์
เสร็จแล้ว ทรงเครื่องเหมือนอย่างเม่ือทรงฟังสวดพระพุทธมนต์ เสด็จออกไปเฝ้า
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั บนพระทน่ี งั่ ดสุ ติ มหาปราสาท กรมพระอาลกั ษณ์
อา่ นประกาศพระราชดำ� รแิ ละสำ� เนาซง่ึ จารกึ พระสพุ รรณบฏั วา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ
เจ้าฟา้ จุฬาลงกรณ์ บดนิ ทรเ์ ทพยมหามกุฏ บุรษุ รัตนราชรวิวงศ์ วรตุ มพงศบริพัตร
สิริวัฒนราชกุมาร (สีหนาม) แลทรงพระกรุณาโปรดให้ทรงต้ังเจ้ากรม เป็นหมื่น
พิฆเนศวรสุรสังกาศ ปลัดกรมเป็นหมืน่ วรราชบตุ รารักษ์ สมุห์บญั ชีเปน็ หมืน่ อนุรกั ษ์
พลสังขยา ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้ต้ังเจ้ากรมปลัดกรม สมุห์บัญชีดั่งน้ี เพราะ
พระราชประสงค์จะพระราชทานให้ทรงศักดินาให้เต็มท่ีอย่างสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจา้ ฟา้ ตา่ งกรม จงึ โปรดพระราชทานใหท้ รงศกั ดนิ า ๔๐,๐๐๐ พระราชทานเครอื่ งสำ� หรบั
เกยี รตยิ ศเหมอื นอยา่ งเจา้ ฟา้ ตา่ งกรม คอื พระมาลาขนาดนอ้ ยหมุ้ ตาด ฉลองพระองค์
ตาดจบี เอว และเครอ่ื งรางสายดงิ่ ประคำ� พระแสงญป่ี นุ่ ทองคำ� ลงยาราชาวดี พานพระศรี
พระเต้า พระสพุ รรณศรี หีบหมากเสวยลงยาราชาวดีทั้งสำ� รับ ทพี่ ระสุธารสทองคำ�
และกาพระสธุ ารสเยน็ ทองคำ� ตามตำ� แหนง่ สว่ นซงึ่ พเิ ศษนนั้ พระราชทานพระแสงกนั้
หย่ันฝกั ลงยาราชาวดี และพระวอประเวศวัง เป็นของพระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ -
เจ้าอยู่หัว ทรงมาแต่ยังมิได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ คร้ันพระราชทานเสร็จแล้ว
เสดจ็ กลบั มาแตง่ พระองคท์ พี่ ระทน่ี ง่ั อาภรณพ์ โิ มกข์ ทรงฉลองพระองคแ์ ละพระมาลา
ส�ำหรับยศซึ่งได้พระราชทาน และทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระสังวาลมหา-
นพรตั นราชวราภรณเ์ ครอื่ งตน้ ใหท้ รงเฉยี งซา้ ย ทรงพระสงั วาลเพช็ รของเดมิ เฉยี งขวา
ทรงเหน็บพระแสงก้ันหย่ันซ่ึงได้พระราชทาน แห่กลับคืนเข้าพระบรมมหาราชวัง
31
ครนั้ เวลาบา่ ยทรงเครอื่ งตน้ พระราชทานพระมงกฏุ ดอกไมไ้ หวและพระแสงตรเี พช็ รให้
ทรงแหม่ าโดยทางเดมิ สมโภช ณ พระทนี่ ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท เปน็ เสรจ็ การพระราชพธิ ี
ครนั้ ภายหลงั มา ทรงพระกรณุ าโปรดใหต้ งั้ พระราชพธิ พี ระราชทานพระสพุ รรณบฏั
แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าหญิงอีกคร้ังหนึ่ง การพระราชพิธีก็มีนัยดั่งได้รับ
พระราชทานพรรณนามาแลว้ นนั้ แปลกแตพ่ ระสพุ รรณบฏั นนั้ จารกึ พระนามวา่ สมเดจ็
พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ จนั ทรมณฑลโสภณภควดี มไิ ดโ้ ปรดใหท้ รงตง้ั เจา้ กรม ทรงศกั ดนิ า
๑๕,๐๐๐ ตามแบบอยา่ งสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอเจา้ ฟา้ ฝา่ ยใน เครอ่ื งยศนน้ั พระราชทาน
เครือ่ งของกรมสมเดจ็ พระเทพศริ ินทรามาตย์ ซึ่งไดท้ รงรบั พระราชทานเวลาดำ� รงอยู่
ในอิสสริยยศเปน็ พระราชเทวี แตย่ งั มพี ระชนม์อยนู่ ั้น เวลาแห่กลบั และเวลาสมโภช
ทรงเครอ่ื งอยา่ งขตั ตยิ ราชกมุ ารี ทรงผา้ สงั เวยี นจบี ทรงสะพกั ตาดปกั เลอื่ ม ทรงพระนวม
และพระเก้ยี วยอดท้ังสองเวลา
คร้ันปฉี ลู สปั ตศก จลุ ศกั ราช ๑๒๒๗ สมเด็จบรมบพติ รพระราชสมภารเจา้
เมอ่ื มพี ระชนมายนุ บั ได้ ๑๓ ปี โดยลำ� ดบั ทรงพระกรณุ าโปรดใหร้ อ้ื โรงปนื ใหญ่ ซงึ่ ตงั้
อยกู่ ลางสนามหญา้ เสยี แลว้ ใหท้ ำ� เขาไกลาสขนึ้ ในทนี่ นั้ โปรดใหต้ งั้ พระราชพธิ โี สกนั ต์
เปน็ การใหญ่ พระสงฆห์ กสบิ รูปสวดมนต์ ตงั้ กระบวนแหแ่ ตใ่ นพระบรมมหาราชวัง
ออกมาทรงฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ณ พระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาทสามวัน
ครนั้ วนั พระฤกษโสกนั ต์ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กท็ รงเจรญิ พระเกศา
แลว้ ให้ทรงพระราชยานตรงมาสทู่ ีส่ รง ณ สระอโนดาด เชิงเขาไกลาส เม่ือเวลาเสดจ็
มานั้นพระราชทานพระมาลาเพ็ชรน้อยให้ทรงพระเกียรติยศ ครั้นสรงเสร็จแล้วท่าน
อคั รมหาเสนาบดที ้งั สอง เชญิ เสด็จขนึ้ ไปสูย่ อดเขาไกลาส และธรรมเนียมแต่กอ่ นมา
ผซู้ ง่ึ สมมตวิ า่ เปน็ พระอศิ วรนนั้ เคยตกอยใู่ นพระบรมวงศผ์ ใู้ หญ่ แตค่ รง้ั นอี้ าศยั ทที่ รง
พระเมตตาแกส่ มเด็จบรมบพติ รพระราชสมภารเจ้ายิ่งนกั จงึ ทรงรับที่สมมตเิ ปน็ พระ
อศิ วรดว้ ยพระองคเ์ อง ทรงพระมหาพชิ ยั มงกฎุ และพระแสงขรรคเ์ นาวโลหะ เสดจ็ ออก
มาคอยรบั พระกรอยู่ ณ ประตรู าชวตั บิ นยอดเขาไกลาส แลว้ พาเสดจ็ ขนึ้ ไปทรงเครอ่ื งตน้
อยา่ งขตั ตยิ ราชกมุ าร พระราชทานพระแสงตรเี พช็ รใหท้ รงดว้ ยจนตลอดงาน ครน้ั ทรง
32
เครอื่ งเสรจ็ แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ จงู พระกรลงมาโดยบนั ได
ไกลาสข้างตะวันออก ประทับทรงเกยทิศใต้ พระราชทานให้ทรงพระท่ีน่ังพุดตาล
ซึ่งเป็นพระราชยานส�ำหรับเฉพาะพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวให้ทรง และแห่ด้วย
กลองชะนะเงินทองเหมือนอย่างเช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระราชทานเกยี รติยศอยา่ งนแี้ กพ่ ระองคเ์ มอ่ื โสกนั ตฉ์ ะนั้น ต่อไปสมโภชอีกสามวัน
แลว้ ลอยพระเกศาเปน็ เสร็จการพระราชพิธี
ครัน้ เมอื่ ปีขาล อฐั ศก จุลศกั ราช ๑๒๒๘ ถงึ กำ� หนดกาลซึง่ สมเดจ็ บรมบพติ ร
พระราชสมภารเจ้า จะทรงผนวชเปน็ สามเณรกท็ รงพระกรุณาโปรดให้จดั การสมโภช
ณ พระทนี่ งั่ อนนั ตสมาคมทซ่ี งึ่ จะประทบั ตรงหนา้ บายศรนี น้ั โปรดใหม้ เี พดานระบาย
เปน็ สเ่ี สาแขวนดอกไมส้ ดเปน็ ทป่ี ระทบั ประดบั ดว้ ยเครอื่ งพระเกยี รตยิ ศมพี านพระศรี
เปน็ ตน้ สองขา้ งพระองค์ แลว้ โปรดใหเ้ ชญิ เครอ่ื งเบญจราชกกธุ ภณั ฑ์ มพี ระมหามงกฎุ
เป็นต้น มาประดิษฐานไว้บนพระที่น่ังเศวตฉัตรเพื่อให้เป็นสวัสดิมงคล ชนทั้งปวง
ได้เห็นก็เป็นการประหลาด เพราะมิได้เคยมีธรรมเนียมมาแต่ก่อน คร้ันเวลาเช้าตั้ง
กระบวนแห่แต่หน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงฉลองพระองค์ครุยพระชฎามหากฐิน เสด็จมาส่งพระกรสมเด็จบรมบพิตร
พระราชสมภารเจ้า อันทรงเคร่ืองต้นอย่างขัตติยกุมารทรงพระชฎาห้ายอดโสกันต์
เดนิ พระราชยานแตเ่ กยศลิ าพระทนี่ งั่ อนนั ตสมาคม ออกประตเู ทวาพทิ กั ษเ์ ลย้ี วลงทาง
ทกั ษณิ ไปถนนเจรญิ กรงุ ถนนเฟอ่ื งนคร ถนนบำ� รงุ เมอื ง กลบั มาเขา้ พระบรมมหาราชวงั
ทางประตูสวัสดิโสภา ประทับพลับพลาเปล้ืองเครื่องหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว กแ็ ต่งพระองค์คอยรับพระกรอยูท่ เ่ี กย ครนั้
เปลอ้ื งเครอ่ื ง ทรงโปรยทานเสร็จแลว้ พระราชทานพระเสลี่ยงกงซ่งึ เปน็ พระราชยาน
ผกู สี่ ใหส้ มเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ทรง เสดจ็ เขา้ ไปจนถงึ กำ� แพงแกว้ พระอโุ บสถ
แลว้ เสดจ็ ดำ� เนนิ ลงมารบั พระกรพาขน้ึ สพู่ ระอโุ บสถ และเพดานผา้ ขาวซง่ึ ตง้ั ทสี่ มโภช
เวลาเยน็ นนั้ ทรงพระกรณุ าโปรดใหย้ กไปตงั้ ในทา่ มกลางสงฆซ์ งึ่ เปน็ ทจ่ี ะทรงบรรพชา
ครน้ั เสดจ็ เขา้ ไปทรงขอบรรพชาเสรจ็ แลว้ ออกมาทรงผา้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -
เจา้ อยหู่ วั มไิ ดโ้ ปรดใหร้ าชบณั ฑติ ทรงถวายเหมอื นอยา่ งเจา้ นายทรงผนวชมาแตก่ อ่ นๆ
33
พระองค์เสด็จมาพระราชประทานเองด้วยพระหัตถ์ ตั้งแต่ผลัดภูษาเป็นต้นไป
พระองค์มพี ระราชหฤทยั ปรดี าปราโมทย์เป็นอยา่ งยิ่ง ปรากฏแกพ่ ระบรมวงศานวุ งศ์
และขา้ ราชการทง้ั ปวง และครง้ั นน้ั ใหม้ กี ารขอนสิ สยั สามเณรขนึ้ เปน็ ครงั้ แรก ครนั้ เสรจ็
การผนวชแล้ว โปรดให้มีการกระบ่ีกระบองท่ีหน้าพระอุโบสถ สมเด็จพระเจ้า-
นอ้ งยาเธอเจา้ ฟา้ จาตรุ นตร์ ศั มี กรมหลวงจักรพรรดิพงศ์ กับพระองค์เจ้ากมลาสน-์
เลอสรรค์ทรงกระบี่คู่หน่ึง กรมหมื่นอดิศรอุดมเดชกับกรมหม่ืนประจักษ์ศิลปาคม
ทรงงา้ วคหู่ นงึ่ กรมหมน่ื พชิ ติ ปรชี ากรกบั กรมหมนื่ ภธู เรศธำ� รงศกั ดท์ิ รงกระบองคหู่ นง่ึ
พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตรชัยกับพระองค์เจ้าชุมพลสมโภชทรงดาบสองมือ
คหู่ นงึ่ ดว้ ยในเวลานนั้ ยงั ทรงพระเยาวอ์ ยทู่ ง้ั แปดองค์ แตพ่ ระองคท์ รงเกย้ี วพระนวม
และเครอ่ื งประดบั ตา่ งๆ เปน็ การสมโภช ครนั้ เวลาคำ่� นมิ นตพ์ ระสงฆซ์ ง่ึ มานงั่ หตั ถบาส
ทงั้ สามสบิ รปู นน้ั สวดพระพทุ ธมนต์ เชา้ รบั พระราชทานฉนั เปน็ การฉลอง ครน้ั เวลาบา่ ย
เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ดว้ ยรถพระทน่ี ง่ั คนลาก ดำ� รสั ใหส้ มเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้
ตามเสดจ็ ดว้ ยบนรถพระทนี่ งั่ เคยี งกนั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปสง่ ถงึ วดั บวรนเิ วศวหิ าร
โปรดใหเ้ สดจ็ อยพู่ ระตำ� หนกั เดมิ ของพระองคซ์ ง่ึ เรยี กวา่ พระปน้ั หยา่ และเสดจ็ พระราช
ดำ� เนนิ ทรงเยยี่ มเยอื นอยเู่ นอื งๆ ครนั้ ออกพรรษาแลว้ ในเดอื นสบิ สอง สมเดจ็ บรมบพติ ร
พระราชสมภารเจา้ ทรงถวายเทศนากณั ฑส์ กั กบรรพ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -
เจ้าอยู่หัว ทรงพระอุตสาหะทรงแต่งด้วยพระองค์เองเพื่อจะให้ทรงถวายเทศนา
ณ ครั้งนั้นโปรดให้กรมหม่ืนมเหศวรศิววิลาส ซ่ึงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่
ทำ� กระจาดใหญผ่ กู เปน็ รปู ส�ำเภา ประดบั ด้วยเครอื่ งขนมและผลไมข้ องสดคาวต่างๆ
ทงั้ เครอื่ งบรกิ ขารภณั ฑเ์ ปน็ อนั มาก ตงั้ ขน้ึ ณ ทอ้ งสนามชยั ประดบั เปน็ อนั งาม เปน็ ท่ี
มหาชนมาดแู ละอนโุ มทนาเปน็ การเอกิ เกรกิ ใหญ่ แลว้ โปรดใหม้ ลี ะครฉลองสำ� เภาดว้ ย
ครนั้ เวลาบา่ ย สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า เสด็จพระราชดำ� เนินมาดว้ ยรถ
พระทน่ี ั่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั เสด็จพระราชดำ� เนินออกไปทรงรับ
อุ้มพระองค์ลงจากรถพระทีน่ ่ังในกลางถนน แลว้ จงู พระกรมาจนกระทง่ั ถงึ พระที่นง่ั
ทรงธรรม ซงึ่ ทรงเทศนา ครงั้ นนั้ กท็ รงพระปรดี าปราโมทยย์ ง่ิ ใหญ่ แสดงพระเมตตาให้
ปรากฏแกช่ นท้งั ปวงเปน็ อนั มาก
34
ครั้นปีเถาะ นพศก จลุ ศกั ราช ๑๒๒๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ตัง้ กรมขนุ
สามพระองค์ ครัง้ นนั้ จงึ ทรงพระราชทานพระเกียรติยศแก่สมเด็จบรมบพติ รพระราช
สมภารเจา้ เปน็ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ ในขณะนน้ั พระชนมายเุ พยี ง ๑๕ พรรษาโดย
ล�ำดบั ปีเท่านน้ั สว่ นพระเจา้ ลกู ยาเธอพระองคอ์ นื่ ๆ ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น กโ็ ปรด
พระราชทานพานทองเป็นเครื่องยศให้แต่ยังทรงพระเยาว์เป็นหลายองค์ พระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระมหากรณุ าเมตตาแกพ่ ระราชโอรสพระราชธดิ า
ของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ยากที่จะหาเปรียบให้เสมอ ควรเป็นที่ระลึกถึงพระเดช
พระคุณทุกเช้าค่�ำ ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ท้ังฝ่ายหน้าฝ่ายในนอกนั้นเล่า ก็ทรง
พระมหากรณุ า พระราชทานเพมิ่ เบย้ี หวดั เงนิ เดอื น และยศฐานนั ดรศกั ดใิ์ หย้ งิ่ วา่ แตก่ อ่ น
และโปรดใหก้ ำ� กบั ราชการตา่ งๆ ทกุ พระองค์ ขา้ ราชการทง้ั ปวงพระองคก์ ท็ รงพระกรณุ า
อนเุ คราะหท์ วั่ ไป พระราชทานสงิ่ ของตา่ งๆ แกพ่ ระบรมวงศานวุ งศข์ า้ ราชการฝา่ ยหนา้
ฝา่ ยในเนอื งๆ แตซ่ ง่ึ ควรวา่ เปน็ ครง้ั ใหญน่ น้ั ในเมอ่ื งานพระบรมบรรพต ไดพ้ ระราชทาน
ทองคำ� ซงึ่ เปน็ พระคลงั ขา้ งทขี่ องพระองค์ แกพ่ ระบรมวงศานวุ งศเ์ สนาบดี ขา้ ราชการ
ผใู้ หญผ่ นู้ ้อย ต้ังแต่องคล์ ะแท่งข้ึนไปจนถึง ๑๐ แทง่ เปน็ ก�ำหนด สนิ้ พระราชทรพั ย์
นับเป็นเงินตราหลายพันช่ัง พระองค์ได้ทรงสร้างเคร่ืองราชอิสสริยยศนพรัตน-
ราชวราภรณ์ และเครื่องราชอิสสริยยศช้างเผือกขึ้นไว้พระราชทานแก่พระบรม
วงศานุวงศ์และข้าราชการบางท่าน และพระราชทานไปแก่ชาวต่างประเทศบ้างตาม
พระราชอัธยาศยั
พระองค์ด�ำรงรักษาราชประเพณีโบราณ การพระราชกุศลพระราชพิธีใด
ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ แผน่ ดนิ แตห่ นหลงั ไดท้ รงประพฤตมิ า พระองคม์ ไิ ดล้ ดหยอ่ น
หรือเลิกถอนเลยแต่สักหนมีแต่จะทรงแก้ไขให้ดีข้ึน และตั้งเพิ่มเติมขึ้นอีกหลาย
ประการ มกี ารพระราชพธิ ตี รษุ เพม่ิ เลย้ี งโตะ๊ การพระราชพธิ สี ารท เพม่ิ กวนขา้ วทพิ ย์
เป็นต้น พระราชกุศลและพระราชพิธีซ่ึงตั้งข้ึนใหม่คือพระราชพิธีศรีสัจจปานการ
ถือน�้ำพระพิพัฒนสัตยา แต่ก่อนมาพระเจ้าแผ่นดินมิได้เสด็จออกวัดพระศรีรัตน-
ศาสดาราม ทรงอาศัยความเคารพในพระมหามณีรัตนปฏิมากร และพระพุทธรูป
ฉลองพระองคใ์ นสมเดจ็ พระอยั ยกาธริ าชและสมเดจ็ พระบรมชนกนาถทง้ั สองพระองค์
35
จงึ ทรงพระราชอตุ สาหะเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ออกไปใหพ้ ระบรมวงศานวุ งศ์ ขา้ ราชการ
ถือน�้ำพระพิพัฒนสัตยายังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และต้ังพิธีคเชนทรัศวสนาน
ซ่ึงแต่ก่อนมีแต่พิธี ณ หอเชือก ให้มีการเดินแห่ด้วยปีละสองคราวและเพิ่มเติม
การวศิ าขบชู า ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั ทรงตัง้ ไว้ใหเ้ ป็นการบชู า
ย่ิงกว่าแต่ก่อน การพระราชพิธีจรดพระนังคัลและพืชมงคลน้ัน ก็โปรดให้ท�ำเสมอ
มิได้ยกเว้นเหมือนแต่ก่อน และโปรดให้มีแห่สลากภัตต์บ้างบางครั้งบางคราว
การพระราชพิธีพิรุณศาสตร์น้ันเล่า ถ้าปีใดฝนแล้ง ก็โปรดให้ตั้งพระราชพิธีใหญ่
ตามพระราชประเพณแี ตโ่ บราณมา แตพ่ ระราชพธิ นี นั้ ทำ� ไดป้ ลี ะครง้ั หนง่ึ จงึ โปรดใหม้ ี
การพิธีอย่างน้อย สวดตามก�ำลังวันเพิ่มเติมข้ึนอีกเนืองๆ ในเดือนสิบเอ็ดน้ัน ก็มี
การฉลองพระชนมพรรษาเฉลิมพระชนมพรรษาเพ่ิมข้ึนใหม่ มิได้ยกเว้นการฉลอง
พระชนมพรรษาในวันสงกรานต์ ซงึ่ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจา้ อยหู่ ัวไดท้ รงไว้น้ัน และ
การพระราชทานพระกฐิน ซึ่งเป็นพระราชประเพณีมีมาแต่โบราณ พระองค์เสด็จ
พระราชดำ� เนินโดยพยหุ ยาตรากระบวนสถลมารควนั หนง่ึ ชลมารควนั หน่งึ ทุกๆ ปี
มไิ ดข้ าด และเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปพระราชทานพระกฐนิ หวั เมอื งดว้ ยทกุ ปี มกี รงุ เกา่
และเพช็ รบรุ รี าชบรุ เี ปน็ ตน้ ทกุ ฤดกู าล และการพระราชพธิ อี นื่ ๆ ซงึ่ พระองคท์ รงเพมิ่ เตมิ
และทรงต้ังข้ึนยังมอี ีกหลายอย่างหลายประการ
พระองคไ์ ดเ้ ศวตกญุ ชรชาตพิ ลายพงั เปน็ ราชพาหนะถงึ หกชา้ ง ทห่ี นงึ่ พระพมิ ล-
รตั นกิรณิ ี ไดย้ นื โรงอยู่ในพระบรมมหาราชวงั จน ณ กาลบดั นี้ ทส่ี องพระวสุทธิ-
รตั นกริ ณิ ี ไดม้ าสมโภชแลว้ ยนื โรงในพระบรมมหาราชวงั ลม้ ในรชั ชกาลทสี่ น่ี น้ั ทสี่ าม
พระมหาศรเี ศวตวมิ ลวรรณ ยนื โรงอยจู่ นถงึ รชั ชกาลปจั จบุ นั นจี้ งึ ไดล้ ม้ ทสี่ น่ี างพระยา
เขาแก้ว ล้มเสยี กลางทาง ยงั มิทนั ลงมาถงึ กรุงเทพมหานคร ทห่ี า้ พระเศวตสวุ รรณา-
ภาพรรณ ได้สมโภชยนื โรงอย่ใู นพระบรมมหาราชวงั หลายปี จงึ ได้ลม้ ในรชั ชกาลท่ีส่ี
นน้ั เอง ทหี่ ก เมอ่ื จลุ ศกั ราช ๑๒๒๕ ปกี นุ เบญจศก มขี า่ วชา้ งสำ� คญั มา จงึ ทรงพระกรณุ า
โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระบำ� ราบปรปกั ษ์
แต่ยังด�ำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธออยู่น้ัน เสด็จไปติดตามคล้องได้
นางพระยา เปน็ เผอื กเอกอยุ งั มไิ ดเ้ คยมมี าเสมอเหมอื นดงั่ นแี้ ตก่ าลกอ่ น แตน่ างพระยา
36
นน้ั ปว่ ยลม้ เสยี ทพ่ี ะเนยี ดยงั หาไดม้ าสมโภชในกรงุ เทพมหานครไม่ พระองคไ์ ดเ้ ศวต
กญุ ชรชาตคิ รง้ั ใด กโ็ ปรดให้มกี ารมหรสพสมโภชตามราชประเพณี เสดจ็ ขนึ้ ไปรบั ถงึ
กรงุ ทวาราวดโี บราณ
พระองค์ทรงสร้างพระราชมณเฑียรสถานขึ้นใหม่ฝ่ายบูรพาแห่งพระราช
มณเฑยี รเดมิ ในทส่ี วนขวาเปน็ หลายองค์ มพี ระทนี่ ง่ั อนนั ตสมาคมเปน็ ตน้ แลว้ เสดจ็
พระราชดำ� เนนิ เฉลมิ พระราชมณเฑยี รดว้ ย พระราชพธิ คี ลา้ ยกบั บรมราชาภเิ ษกเสดจ็
ประทบั ปฏทิ นิ และเสดจ็ ออกวา่ ราชการในพระทน่ี ง่ั ฝา่ ยบรุ พทศิ นนั้ ตลอดมา ทรงสถาปนา
พระราชวงั จนั ทรเกษม ซง่ึ เปน็ พระราชวงั บวรฯ โบราณในกรงุ ศรอี ยธุ ยาขน้ึ เปน็ พระราชวงั
และสรา้ งพระทนี่ งั่ ไอศวรรยท์ พิ ยอาสน์ ณ เกาะบางปะอนิ สรา้ งพระนารายณร์ าชนเิ วศน์
ณ เมืองลพบุรี สร้างพระนครคีรีบนยอดเขามหาสวรรค์ ณ เมืองเพ็ชรบุรี และ
พระราชวังท่ีประทับที่พระปฐมเจดีย์เมืองนครชัยศรี ซึ่งเรียกว่านครปฐม และ
พระราชวงั โบราณทพี่ ระพทุ ธบาท เปน็ ทสี่ ำ� หรบั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปประพาสสำ� ราญ
พระราชหฤทัย และทรงสร้างสระปทุมวนั ไว้ เปน็ ที่ประพาสนอกพระนคร และทรง
สร้างวังนันทอุทยานและวังสราญรมย์ เพ่ือเป็นที่ประทับส�ำราญพระราชหฤทัยใน
บางคาบบางสมัย แล้วจะพระราชทานแด่พระราชโอรสให้เป็นสิทธ์ิขาด เพราะเป็น
สว่ นเงนิ พระคลงั ขา้ งที่ พระองคท์ รงสรา้ งปราสาทสามองค์ องคห์ นงึ่ พระราชทานนาม
ว่าพระท่ีนั่งอาภรณ์พิโมกขปราสาท เป็นที่ส�ำหรับเปลื้องเคร่ืองข้างพระท่ีนั่งดุสิต
มหาปราสาท อีกองค์หนึ่งช่อื วา่ เวชยนั ตวิเชยี รปราสาท เป็นปราสาทกอ่ รวบตั้งอยู่บน
ยอดเขามหาสวรรค์ในพระราชวังบนพระนครคีรี อีกองค์หน่ึงทรงสร้างถวายสมเด็จ
พระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชทานนามว่า
พระทน่ี งั่ มหสิ สรปราสาท ตงั้ อยใู่ นพระบรมมหาราชวงั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -
เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ประพาสหวั เมอื งไกลใกลใ้ นพระราชอาณาเขตต์ เพอ่ื จะ
ไดท้ รงตรวจทกุ ขส์ ขุ ของราษฎร และเปน็ ทส่ี ำ� ราญพระราชหฤทยั เนอื งๆ ฝา่ ยเหนอื เสดจ็
พระราชดำ� เนนิ ตลอดถงึ เมอื งพษิ ณุโลก ทรงนมัสการพระพุทธชินราช ฝา่ ยตะวันตก
เสด็จพระราชด�ำเนินถึงเมืองราชบุรีกาญจนบุรี ฝ่ายทะเลฝั่งตะวันตกเสด็จพระราช
ด�ำเนินเมืองนครศรีธรรมราช นมัสการพระมหาธาตุและเสด็จประพาสถึงปากอ่าว
37
เมืองตานี ข้างฝ่ายทะเลฝั่งตะวันออกเสด็จพระราชด�ำเนินประพาสถึงเมืองจันทบุรี
เป็นท่ีสุด เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ดว้ ยเรือพระทนี่ ่งั กลไฟอันไปมาได้สะดวกโดยเร็ว
พระองค์ทรงสร้างและทรงปฏิสังขรณ์พระอารามใหญ่น้อยหลายพระอาราม
ในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม พระองคท์ รงสรา้ งพระพทุ ธปรางคปราสาท และพระศร-ี
รตั นเจดยี ์ และทรงพระราชอทุ ศิ ถวายพระทนี่ ง่ั จตรุ มขุ ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ-
เลศิ หลา้ นภาลยั ซง่ึ ตงั้ อยใู่ นพระราชอทุ ยานใหเ้ ปน็ หอ พระราชทานนามวา่ พระพทุ ธมนเฑยี ร
และทรงสร้างพระวิหารประดับด้วยสิลา เพื่อจะเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกของ
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถไปประดษิ ฐาน พระราชทานนามวา่ พทุ ธรตั นสถาน และทรง
สรา้ งพระอารามขน้ึ ใหม่ คอื วดั บรมนวิ าสทที่ รงสรา้ งไวแ้ ตก่ อ่ นหนหนง่ึ วดั ราชประดษิ ฐ-
สถิตมหาสีมารามหนง่ึ วดั มกฏุ กษตั รยิ ซ์ งึ่ เรยี กวา่ วดั พระนามบญั ญตั หิ นง่ึ วดั โสมนสั
วหิ ารหน่ึง วดั ปทมุ วนารามหน่ึง ที่ทรงปฏิสงั ขรณม์ ากๆ เหมือนสรา้ งใหม่ ดว้ ยเป็น
แต่วัดมีช่ือมาแต่เดิม คือวัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาพฤฒาราม วัดชัยพฤกษมาลา
วดั เขมาภริ ตารามเปน็ ตน้ และปฏสิ งั ขรณเ์ พ่ิมเตมิ อกี หลายพระอาราม มีวัดสวุ รรณ-
ดาราราม ซง่ึ เปน็ วดั ของสมเดจ็ พระปฐมบรมมหาปยั ยกาธบิ ดเี ปน็ ตน้ และหวั เมอื งใด
ซงึ่ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปประทบั กท็ รงปฏสิ งั ขรณอ์ ารามใกลเ้ คยี งนน้ั ขน้ึ เปน็ พระอาราม
สำ� หรบั พระราชวงั คอื วดั ชมุ พลนกิ ายารามทเี่ กาะบางปะอนิ วดั เสนาสนารามทกี่ รงุ เกา่
วดั กวศิ รารามเมอื งลพบรุ ี วดั มหาสมณารามทเ่ี มอื งเพช็ รบรุ ี และทรงสรา้ งพระปฐมเจดยี ์
เปน็ ทรี่ กรา้ งอยแู่ ตโ่ บราณ กอ่ เสรมิ ขนึ้ ไปใหมใ่ หส้ งู ใหญต่ ง้ั แตพ่ นื้ ตลอดถงึ ยอดสามเสน้
คบื หกนว้ิ และทรงสรา้ งพระสมทุ รเจดยี ซ์ ง่ึ สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ ทรงพระราชดำ� ริ
เรมิ่ ไวแ้ ตย่ งั ดำ� รงพระชนมอ์ ยู่ ใหย้ งิ่ ใหญพ่ รอ้ มดว้ ยวหิ ารและบรเิ วณใหญน่ อ้ ยปรากฏ
อยบู่ ดั น้ี และทรงปฏสิ งั ขรณแ์ ละสรา้ งเพม่ิ เตมิ ในอารามตา่ งๆ อกี หลายแหง่ หลายตำ� บล
เปน็ พระราชกศุ ลเน่อื งมามิไดข้ าด และพระองค์ทรงพระราชศรัทธาบูชาพระรตั นตรัย
ด้วยเนาวรัตน์ต่างๆ ก็หลายครั้ง คือทรงถวายเพ็ชรเม็ดใหญ่ติดเป็นพระอุณาโลม
พระมหามณรี ตั นปฏมิ ากร และทรงทำ� ฐานทต่ี ง้ั พระแกว้ ผลกึ ของสมเดจ็ พระบรมชนกนาถ
ล้วนแล้วไปด้วยเนาวรัตน์ราคาเป็นอันมาก แล้วให้ตั้งการสมโภชถวายพระนามว่า
พระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัย และทรงหล่อพระพุทธรูปด้วยทองค�ำ
38
มพี ระพทุ ธสหิ งิ คน์ อ้ ยและพระนริ นั ตรายเปน็ ตน้ และพระถวายประจำ� พระชนมพรรษา
วนั แหง่ สมเดจ็ พระบรมอยั ยกาธริ าช สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ และสมเดจ็ พระบรม-
อยั ยกิ านาถ สมเดจ็ พระบรมราชชนนเี ปน็ ตน้ และทรงหลอ่ พระเงนิ เปลา่ และทองสมั ฤทธ์ิ
กาไหล่ทอง มีพระพุทธสิหิงค์ใหญ่เป็นต้น ทรงหล่อพระสถูปเจดีย์ด้วยเงินจ�ำหลัก
ลายถมตะทองสำ� หรบั ตง้ั พระราชพธิ ี และหลอ่ ดว้ ยทองสมั ฤทธกิ์ าไหลท่ องคำ� องคใ์ หญ่
ตงั้ ไวเ้ ปน็ ทนี่ มสั การ ณ พระพทุ ธมณเฑยี ร และพระพทุ ธรปู ทองสมั ฤทธป์ิ ดิ ทองคำ� เปลว
ก็หลายพระองค์ และทรงสร้างพระพุทธรปู ก่ออิฐลงรกั ปิดทองอีกหลายรอ้ ยพระองค์
มพี ระพทุ ธรปู ในถำ�้ เขาหลวงเมอื งเพช็ รบรุ เี ปน็ ตน้ พระองคท์ รงสรา้ งและทรงปฏสิ งั ขรณ์
เจดยี สถาน ท้ังในกรุงหัวเมอื งอยู่เปน็ นิจมไิ ด้มีเวลาหยดุ หย่อน และพระองค์ได้ทรง
สร้างพระธรรมจบทั้งพระไตรปิฎก ทรงพระราชอุทิศถวายพระบรมราชชนนีจบหนึ่ง
ทรงพระราชอทุ ศิ พระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวฒั นาวดจี บหน่งึ
พระองคท์ รงพระราชศรทั ธา บำ� เพญ็ พระราชกศุ ลพระราชทานแกพ่ ระสงฆท์ ง้ั ปวง
ในเวลาทเี่ ปน็ กาลพระราชกศุ ลบางสมยั และนติ ยกาล มากเหลอื ทจ่ี ะประมาณนบั คณนาได้
ลว้ นแตไ่ ตรจวี รบรกิ ขารของประณตี อดุ มดมี รี าคามากเนอื งๆ ไป มใิ ครม่ เี วลาวา่ ง แต่
พระคณุ ขอ้ สำ� คญั ซงึ่ พระองคไ์ ดม้ แี ตพ่ ระสงฆท์ ง้ั ปวงนนั้ คอื จำ� เดมิ ตงั้ แตย่ งั มไิ ดเ้ สดจ็
เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ ไดท้ รงประดษิ ฐานธรรมยตุ ตกิ นกิ ายขน้ึ ไวด้ ว้ ยพระองคเ์ องดว้ ย
ความล�ำบากและเหตุขัดข้องเป็นหลายคร้ังหลายคราว คร้ันพระองค์ได้เถลิงถวัลย
ราชสมบตั ิ ดปู ระหนง่ึ จะทรงรงั เกยี จพระสงฆฝ์ า่ ยคณะมหานกิ ายซง่ึ เปน็ คณะเดมิ เปน็ ท่ี
สงสยั กนั อยโู่ ดยมาก ครน้ั เมอ่ื พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ขิ นึ้ แลว้ พระราชทาน
พระบรมราชานญุ าตวา่ พระสงฆพ์ วกใดคณะใดจะถอื ลทั ธใิ ดกจ็ งถอื ไปตามใจแหง่ ตน
มิได้มีข้อหา้ มปราม สว่ นพระสงฆ์คณะมหานิกาย พระองค์กท็ รงยกย่องใหต้ ั้งอย่ใู น
ตำ� แหนง่ ฐานนั ดรศกั ดติ์ ามสมควรแกศ่ ลี คณุ วตั รคณุ สว่ นพระสงฆค์ ณะธรรมยตุ กิ นกิ าย
กท็ รงยกยอ่ งขน้ึ เปน็ พระราชาคณะตำ� แหนง่ เกา่ บา้ ง ตำ� แหนง่ ใหมบ่ า้ งตามสมควร พระสงฆ์
ทงั้ สองนกิ ายกไ็ ดป้ ระพฤตพิ รหมจรรยโ์ ดยความผาสกุ สบาย ปราศจากความหวาดหวนั่
อนั นก้ี เ็ ปน็ ขอ้ สำ� คญั ควรเหน็ วา่ พระองคม์ พี ระหฤทยั เทยี่ งตรง ทรงพระคณุ อนั ยงิ่ ใหญ่
ไดป้ ระการหนงึ่ พระองคท์ รงประกอบไปดว้ ยพระปรชี าญาณและพระอตุ สาหะอนั ยงิ่ ใหญ่
39
ไดท้ รงทราบประไตรปฎิ กแตกฉานทว่ั ถงึ มไิ ดม้ บี ณั ฑติ อน่ื เปรยี บเสมอในสมยั กาลแหง่
พระองค์ ทรงประพันธ์พระคาถาและปาฐะภาษามคธ ไพเราะถกู ถว้ นด้วยอรรถและ
พยญั ชนะแคลว่ คลอ่ งชำ� นชิ ำ� นาญ สง่ิ ซง่ึ พระองคไ์ ดท้ รงไวซ้ งึ่ ควรจะยกมาเปน็ พะยาน
คือคาถาประณามพระรตั นตรัยซึ่งเร่มิ ว่า พุทฺธํ นเม รตนภูต สรรี จิตตฺ ํ เปน็ ตน้ และ
พระคาถานโมการฎั ฐกะ ซึง่ เร่มิ ว่า นโม อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสสฺ มเหสโิ น เป็นต้น
และ รตนตตฺ ยปภาวาภยิ าจนคาถา ซง่ึ เรม่ิ วา่ อรหํ สมมฺ า สมพฺ ทุ โฺ ธ อตุ ตฺ มํ ธมมฺ มชฌฺ คา
เปน็ ตน้ ซงึ่ พระสงฆไ์ ดส้ าธยายถวายในพระราชพธิ มี งคลกาลอยเู่ สมอมไิ ดข้ าด และทรง
พระปรชี าฉลาดในการทจ่ี ะขนานนามตามภาษามคธซง่ึ ใชเ้ จอื ในสยามพากษม์ ขี นานนาม
ตา่ งๆ เปน็ ตน้ มไิ ดเ้ สยี รปู ภาษาและเนอ้ื ความ เมอ่ื ฟงั โดยสำ� เนยี งสยามกไ็ พเราะ เหมอื นกบั
ทท่ี รงถวายพระนามสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทง้ั สามพระองคอ์ นั ปรากฏมาวา่ พระบาทสมเดจ็
พระปรโมรรุ าชามหาจกั รบี รมนาถ และสมเดจ็ พระบรมราชพงศเชษฐมเหศวรสนุ ทร และ
สมเดจ็ พระปรมาธวิ รเศรษฐมหาเจษฎาบดนิ ทรเ์ ปน็ ตน้ ทง้ั พระนามพระบรมวงศานวุ งศ์
ขา้ ราชการ และนามวดั นามเมอื งทพ่ี ระราชทานในรชั ชกาลของพระองค์ กล็ ว้ นแตไ่ พเราะ
ทงั้ สน้ิ และพระองคท์ รงทราบชดั เจนในวชิ าโหราศาสตร์ และคมั ภรี ฝ์ า่ ยสยามและตำ� รา
ฝา่ ยยโุ รป อาจจะทรงคำ� นวณคตโิ คจรของพระอาทติ ยแ์ ละพระเคราะหท์ งั้ ปวงไดโ้ ดย
ถว้ นถ่ี ทายสรุ ยิ ปุ ราคาจนั ทรปุ ราคาแมน่ หาเสมอมไิ ด้ และทรงทราบทวั่ ไปในยโิ อกราฟี
ดว้ ยวธิ วี ดั แดดวดั ดาวโดยแมน่ ยำ� และไดท้ รงกำ� หนดสรุ ยิ ปุ ราคาใหญเ่ ปน็ สรรพคราส
เมอ่ื ปมี ะโรง สมั ฤทธศิ ก จลุ ศกั ราช ๑๒๓๐ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ออกไปทอดพระเนตร
ณ ค่ายหลวง ต�ำบลหว้ากอ กเ็ ปน็ สรุ ยิ ุปราคาต้องตามเวลานาที ซงึ่ พระองคท์ รงกะไว้
มไิ ดเ้ คลอ่ื นคลาด ควรเหน็ เปน็ มหศั จรรย์ พระองคท์ รงพระราชศรทั ธาสถติ มน่ั ในคณุ
พระรัตนตรัยมิไดย้ อ่ หย่อน ทรงประกอบไปด้วยความสุจริตพร้อมในไตรทวาร
และทรงพระมหากรุณา พระราชทานธรรมแก่ราชบริษัทฝ่ายในทุกวันอุโบสถ
เสมอมิได้ขาด และพระราชกรณียกิจซึ่งพระองค์ทรงประพฤติเป็นนิจทุกคืนวันนั้น
หาเสมอเหมอื นกนั ทกุ วนั ไป ดงั่ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไม่ เพราะพระองค์
มพี ระราชกจิ อนั ย่ิงใหญ่มากกว่าพระเจา้ แผ่นดินแตห่ นหลังหลายเท่านัก ถ้าเป็นเวลา
เรอื เมล์มา พระองค์ก็ทรงพระราชหตั ถเลขา อยตู่ ราบเวลาอรุณเนอื งๆ ซ่ึงพระองค์
40
มีราชการมากขึ้นดั่งน้ี ก็เพราะบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ราษฎรมั่งคั่งไปด้วยทรัพย์
สมบตั ิ ทำ� มาคา้ ขายกนั มากขนึ้ ตา่ งประเทศกเ็ ขา้ มาพงึ่ พระบารมที ำ� มาคา้ ขาย กต็ อ้ งทรง
ระงับดับทุกข์รักษาความสุขสบายของประชาชน โดยเต็มพระเดชานุภาพและก�ำลัง
พระกาย จะมรี ะหว่างซงึ่ เปน็ ที่ว่างทรงสบายบ้างก็น้อยวันนอ้ ยครงั้ น้อยคราว เพราะ
อาศยั พระมหากรณุ าและพระเมตตาอนั ยงิ่ ใหญ่ ซง่ึ มที ว่ั ไปในราษฎรทงั้ ปวง พระองค์
เสดจ็ ด�ำรงรกั ษาสยามรัฐมณฑลให้อยเู่ ย็นเปน็ สุขทว่ั พระราชอาณาเขตต์มาได้ ๑๘ ปี
คร้นั ณ เดอื นสิบ ปีมะโรง สมั ฤทธศิ ก จลุ ศักราช ๑๒๓๐ พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรคร่ันพระองค์ ไม่ได้เสด็จออกวันหนึ่ง
แลว้ พระอาการคลาย เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ออกทรงนมสั การพระมหามณรี ตั นปฏมิ ากร
โปรดใหม้ กี ารสมโภช ครน้ั ณ วนั พธุ เดอื นสบิ ขน้ึ เกา้ คำ่� ปมี ะโรง สมฤทธศิ ก จลุ ศกั ราช
๑๒๓๐ กลบั ทรงพระประชวร มพี ระอาการเปน็ ไขพ้ ระเสน้ ภายหลงั กำ� เรบิ ขน้ึ เปน็ พษิ
ใหส้ ะบดั รอ้ นสะทา้ นหนาวเปน็ คราวๆ พระเขฬะเหนยี วมาก พระเสโทซมึ ซาบไป ผดิ กวา่
ปกตทิ เ่ี คยทรงพระประชวรมาแตก่ อ่ น พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมขนุ วรจกั รธรานภุ าพ
ได้ประชุมแพทย์ประกอบพระโอสถถวาย พระอาการหาคลายไม่ มาถงึ ณ วนั จนั ทร์
เดอื นสบิ แรมสบิ สามคำ่� เปน็ เวลาถอื นำ้� พระพพิ ฒั นสตั ยา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -
เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ออกวดั พระศรรี ตั นศาสดารามไมไ่ ด้ ขา้ ราชการทงั้ ปวง
ถอื นำ�้ พพิ ฒั นสตั ยาแลว้ มากราบถวายบงั คม ณ พระทน่ี งั่ อนนั ตสมาคม ตง้ั แตน่ นั้ ไป
พระบรมวงศานุวงศ์และท่านเสนาบดี ก็เข้ามาประจ�ำฟังพระอาการอยู่ในพระบรม
มหาราชวังพรอ้ มกัน และต้งั กองป้องกันรกั ษาพระบรมมหาราชวัง และพระต�ำหนัก
สวนกุหลาบตามราชประเพณี
คร้ัน ณ วนั อังคาร เดือนสิบเอ็ด ข้นึ หกค่�ำ มีพระบรมราชโองการด�ำรสั ให้หา
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระเทเวศรวชั รนิ ทร์ และพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงศา-
ธิราชสนิท แต่ยังเปน็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ และสมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาศรสี ุริยวงศ์
เมื่อยังเป็นท่ีสมุหพระกลาโหม เข้าไปมอบราชการแผ่นดินให้ท่านปรึกษาหารือกัน
บงั คบั บญั ชาไป อยา่ ใหร้ าษฎรไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น ในลำ� ดบั นนั้ ตอ่ มา พระองคท์ รงสงั่
41
ฝากพระเจา้ ลกู เธอแดส่ มเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรีสรุ ยิ วงศ์ และพระราชทานสงิ่ ของ
อันมรี าคาตา่ งๆ แด่พระเจา้ นอ้ งยาเธอบางพระองค์ กบั ทง้ั พระราชโอรสพระราชธดิ า
กับท่านอคั รมหาเสนาบดเี พอ่ื เปน็ ทรี่ ะลกึ ถึงพระเดชพระคณุ สืบไป และได้ทรงทราบ
การแผ่นดิน ซง่ึ ท่านเสนาบดีได้ปรกึ ษากนั ตกลงไว้แลว้ นัน้ ครนั้ ณ วนั พฤหัสบดี
เดอื นสบิ เอด็ ขนึ้ สบิ หา้ คำ�่ จงึ มพี ระบรมราชโองการใหห้ าพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมหลวง
วงศาธริ าชสนทิ และสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ เจา้ พระยาภธู ราภยั เขา้ ไปในที่
พระราชทานพระบรมราชานญุ าต ซงึ่ จะเลอื กสรรพระบรมวงศานวุ งศซ์ งึ่ จะดำ� รงแผน่ ดนิ
สบื ไป ครนั้ เวลาเยน็ วนั นนั้ เปน็ วนั มหาปวารณา พระอาการทรดุ หนกั ลง พระองคท์ รง
ประกอบไปดว้ ยพระสตสิ มั ปชญั ญะ ทรงกำ� หนดอวสานกาลแหง่ พระชนมายขุ องพระองค์
เป็นแน่แล้ว จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องนมัสการพร้อมแล้ว
จึงมีพระราชโองการดำ� รสั ใหห้ าพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟกั ) เขา้ ไปในทีพ่ ระบรรทม
มีพระราชด�ำรัสพระราชนิพนธ์โดยภาษามคธให้พระยาศรีสุนทรโวหารรับพระบรม
ราชโองการจดเปน็ อกั ษรวา่
ยคเฺ ฆ ภนเฺ ต สงโฺ ฆ ชานาตุ มยฺหํ ภกิ ฺขุกาเล ปุนปปฺ ุนํ มยา เอสา วาจา ภาสติ า:
ยโตหํ มหาปวารณาย ชาโต มาตกุ จุ ฉฺ โิ ต นกิ ขฺ นโฺ ต, กาลํ กรุ มุ าโน สเจ มหาปวารณา-
ทวิ เส พาฬฺหคิลาโน อุโปสถาคาเร มหาปวารณา สนนฺ ิปาตํ นีโต, ตถารเู ปน พเลน
สมนนฺ าคโต ยถารเู ปน พเลน สงฆฺ ํ เตวาจกิ ํ ปวาเรตวฺ า สงฆฺ สสฺ สมมฺ ขุ า กาลํ กเรยยฺ ;ํ
ตํ สาธุ วตสฺส, ตํ เม อนุรปู ํ อสสฺ าติ. เอวรูปี วาจา ปุนปปฺ นุ ํ ภิกฺขกุ าเล ภาสติ า.
อทิ านมหฺ ิ คหฏฺโ€, กยาหํ กาหามิ เตนาหํ อิเม สกฺกาเร วหิ ารํ ปหณิ ามิ อเิ มหิ
สกฺกาเรหิ ปวารณา กมฺมํ กโรนฺตํ สงฺฆํ สธมฺมเมว ปูเชมิ อตตฺ านํ วิย กตฺวา. อยํ
มหาปวารณา ครุวารกิ า ยถา มม ชาตทิวโส. อาพาโธ เม อภวิ ฑฺฒติ. เอวํ ภายามิ
อชฺช กาลํ กเรยย.ํ อาปุจฉฺ ามหํ ภนฺเต สงฆฺ .ํ จิรปรนิ ิพฺพุตมปฺ ิ ตํ ภควนฺตํ อภวิ าเทมิ
อรหนฺตํ สมฺมาสมพฺ ุทธฺ ํ. ตสสฺ ธมฺมํ นมสสฺ ามิ, อริยญจฺ สงฺฆํ นมาม.ิ ยมหํ รตนตตฺ ยํ
สรณํ คโตมฺหิ. อจจฺ โย มํ ภนเฺ ต อจจฺ คมา ยถาพาลํ ยถามูฬหฺ ํ ยถาอกุสลํ. โยหํ
ภนฺเต อมิ สฺมึ อตฺตภาเว ตถา ตถา ปมตโฺ ต อกสุ ลานิ กมมฺ านิ อกาสึ. ตสสฺ เม
ภนเฺ ต สงฺโฆ อจฺจยํ อจจฺ ยโต ปฏคิ คฺ ณฺหตฺ อายตึ สวํ ราย.
42
อทิ านิ มยา ปญจฺ สุ สีเลสุ สวํ ราธฏิ ฺ€านํ กต.ํ ตสสฺ มยหฺ ํ เอวรโู ป มนสกิ าโร
อนฏุ ฺ€หยิ ติ สกิ ขฺ ยิ ติ ปญฺจสุ ขนเฺ ธส,ุ ฉสุ อชฌฺ ตตฺ เิ กสุ อายตเนส,ุ ฉสุ พาหิเรสุ
อายตเนสุ, ฉสุ วิฺ าเณสุ, ฉสุ สมผฺ สเฺ สสุ, ฉสุ ฉทวฺ ารกิ าสุ เวทนาสุ. นตฺเถตํ
โลกสฺม,ึ ยํ อุปาทยิ มานํ อนวชชฺ ํ อสฺส. ยํ วา ปุริโส อุปาทยิ นฺโตนวชฺชวา อสฺส.
อนปุ าทานํ สกิ ฺขามิ “สพฺเพ สงขฺ ารา อนิจฺจา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ยถาปจฺจยํ
ปวตฺตนฺติ, เนตํ มม, เนโส หมสมฺ ิ, น เมโส อตตฺ าติ.” ยํ ยํ มรณํ สตตฺ านํ ตํ
อนจฉฺ รยิ ,ํ ยโต เอตํ สพฺเพสํ มคฺโค, อปปฺ มตตฺ า โหนตฺ ุ ภนเฺ ต. อาปุจฺฉามิ, วนฺทาม.ิ
ยํ เม อปรทฺธํ, สพฺพํ เม สงฺโฆ ขมตุ.
อาตุรสฺมิมฺปิ เม กาเย จติ ฺตํ น เหสฺสตาตุรํ
เอวํ สิกฺขามิ พทุ ฺธสฺส สาสนานุคตึ กร.ํ
มีความตามพระบรมราชประสงค์ เหมือนทรงภาษิต ณ ท่ีสังฆสันนิบาตว่า
ขอเตอื นสงฆจ์ งรู้ เมอื่ ครง้ั ดฉี นั เปน็ ภกิ ษอุ ยู่ ดฉี นั ไดก้ ลา่ ววาจานเี้ นอื งๆ วา่ เพราะดฉี นั
ไดเ้ กดิ แลว้ ประสตู แิ ลว้ จากครรภแ์ หง่ มารดา ในวนั มหาปวารณา เมอ่ื ทำ� กาล ถา้ ในวนั
มหาปวารณาปว่ ยหนกั ลง ภกิ ษสุ งฆส์ ามเณรชว่ ยนำ� ไปยงั ทสี่ งฆป์ ระชมุ ทำ� มหาปวารณา
ณ โรงอโุ บสถ ประกอบไปดว้ ยกำ� ลงั เชน่ นน้ั ดว้ ยกำ� ลงั เชน่ ไรเลา่ ดฉี นั จะพงึ ปวารณา
กะสงฆ์ถ้วนก�ำหนดสามคำ� ไดแ้ ล้ว ทำ� กาล ณ ที่เฉพาะหน้าสงฆ์ ความท่ีดีฉนั ทำ� ได้
ดง่ั น้ี จะเปน็ กรรมดเี ทยี วหนอ ความทำ� ไดด้ งั่ นจี้ ะเปน็ กรรมสมควรแกด่ ฉี นั เทยี วหนอ
วาจาเช่นนดี้ ีฉันได้กล่าวแลว้ เนืองๆ เม่อื ครงั้ เป็นภกิ ษุ บดั นด้ี ีฉนั เป็นคฤหัสถเ์ สยี แลว้
จักท�ำอย่างไรได้ เพราะเหตนุ นั้ ดีฉันจึงส่งเครอื่ งสกั การะเหล่านไี้ ปยงั วหิ าร บูชาสงฆ์
ซึ่งท�ำปวารณากรรมกับท้ังพระธรรมด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ท�ำให้เป็นประหนึ่งตน
วนั มหาปวารณาวนั น้ี กเ็ ปน็ วนั พฤหสั บดเี ชน่ กบั วนั ดฉี นั เกดิ เหมอื นกนั อาพาธของดฉี นั
ก็เจรญิ กล้า ดีฉนั กลัวอย่วู ่า จะท�ำกาลเสีย ณ เวลาวนั นี้ ดีฉันขอลาพระสงฆ์ อภวิ าท
พระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองคน์ นั้ ผอู้ รหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ แมป้ รนิ พิ พานนานแลว้ นนั้
นมัสการพระธรรม นอบน้อมพระอริยสงฆ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ดีฉันได้ถึงพระรัตนตรยั ไรเลา่ ว่า เป็นสรณะทีพ่ งึ่ โทษล่วงเกิน ไดเ้ ป็นไปลว่ ง ดีฉัน
43