The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-02-17 03:10:29

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ

พระนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ผู้พาลอยา่ งไร ผหู้ ลงอย่างไร ผูไ้ มฉ่ ลาดอย่างไร ดีฉันผใู้ ด ไดป้ ระมาทไปแล้วดว้ ย
ประการนนั้ ๆ ทำ� อกุศลไวแ้ ลว้ ณ อัตตภาพนี้ สงฆจ์ งรบั โทษทเ่ี ปน็ ไปล่วงโดยความ
เปน็ โทษเป็นไปลว่ งจริงของดีฉนั ผนู้ น้ั เพ่อื สำ� รวมระวังต่อไป

บัดน้ีดีฉันได้ท�ำความอธิษฐานการส�ำรวมในศีลห้าแล้วมนสิการความท�ำในใจ
เชน่ นี้ ดฉี ันไดใ้ ห้เกดิ ขึ้นศึกษาอย่วู ่า ณ ขนั ธ์ทั้งห้า ณ อายตนภายในหก ณ อายตน
ภายนอกหก ณ วญิ ญาณหก ณ สัมผัสหก ณ เวทนาทเ่ี ปน็ ไปในหกทวารหก ส่ิงใด
ท่ีมีสัตว์มาถือเอามั่น จะพึงเป็นของหาโทษมิได้ อนึ่งบุรุษมายึดม่ันสิ่งใดไว้จะเป็น
ผหู้ าโทษมไิ ด้ สงิ่ นนั้ ไมม่ เี ลยในโลก ดฉี นั มาศกึ ษาการไมย่ ดึ มน่ั อยวู่ า่ สงั ขารทง้ั หลาย
ทั้งปวงไม่เท่ียง ธรรมท้งั หลายท้งั ปวงไมใ่ ช่ตวั ตน ยอ่ มเปน็ ไปตามปัจจัย ส่ิงนั้นไมใ่ ช่
ของเรา ส่วนนน้ั ไมเ่ ป็นเรา ส่วนนน้ั มิใชต่ วั ตนของเราดัง่ น้ี ความตายใดใดของสัตว์
ทงั้ หลาย ความตายนนั้ ไมน่ า่ อศั จรรยเ์ พราะความตายนน้ั เปน็ มรรคาของสตั วท์ งั้ หลาย
ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทแล้วเถิด ดีฉันขอลา ดีฉันไหว้ ส่ิงใดดีฉันได้
ผิดพล้งั สงฆ์จงอดสิ่งท้งั ปวงนัน้ แก่ดีฉันเถิด

เมอื่ กายของดฉี นั แมก้ ระสบั กระสา่ ยอยู่ จติ ของดฉี นั จกั ไมก่ ระสบั กระสา่ ย ดฉี นั
มาทำ� ความไปตามค�ำส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้า ศกึ ษาอยดู่ ้วยประการดั่งน้ี

ครน้ั ทรงพระบรมราชนพิ นธเ์ สรจ็ แลว้ ทรงพระกรณุ าโปรดใหพ้ ระยาศรสี นุ ทร-
โวหารเชิญไปกับเครื่องนมัสการสู่พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
พระสงฆ์มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นประธานประชุม
พร้อมกันเพ่ือจะท�ำสังฆปวารณา พระยาศรีสุทรโวหารจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ
แล้วกราบถวายบังคมมาตามทิศอา่ นพระบรมราชนิพนธ์น้ัน ณ ทส่ี ังฆสันนบิ าตสงฆ์
รับอจั จยเทศนาแลว้ ตัง้ ญัตตปิ วารณา แล้วปวารณาตามล�ำดบั พรรษา

ฝา่ ยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดำ� รสั สง่ั พระยาสนุ ทรโวหารเสรจ็ แลว้
ก็ทรงมนสิการจิตตวิโสธโนบายภาวนามัยกุศล เคร่ืองช�ำระจิตให้บริสุทธิ์ พอสมัย
ยามกับบาทหน่ึงเสด็จสวรรคต ณ พระทน่ี ง่ั ภานมุ าศจ�ำรูญฝ่ายอดุ รทิศ พร้อมด้วย

44

อศั จรรย์ หมอกกลมุ้ ทวั่ นครมณฑลโดยบญุ ญวนั ตวสิ ยั เมอ่ื เสดจ็ สวรรคตพระชนมายุ
นบั เรียงปไี ด้ ๖๕ พรรษา นบั อายุโหราโดยจันทรคติได้ ๖๔ ปถี ้วน คดิ เปน็ วันได้
๒๓๓๕๘ วัน กับ ๑๖ ช่ัวโมงคร่ึง คิดตามสุริยคติกาลอย่างยุโรปได้ ๖๔ ปี
หย่อน ๑๖ วนั กับ ๒ ชั่วโมง เสดจ็ ดำ� รงอยู่ในราชสมบัตนิ ับเรยี งปีได้ ๑๘ ปี นบั อายุ
โหรตามจนั ทรคติได้ ๑๗ ปี ๕ เดือนถว้ น คิดเปน็ วนั ๖,๓๔๘ วัน มีพระราชโอรส
และพระราชธิดาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าชายส่ี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ-
เจา้ ฟา้ หญงิ หนงึ่ พระองคเ์ จา้ ชายสามสบิ หา้ พระองคเ์ จา้ หญงิ สสี่ บิ สอง รวมแปดสบิ สอง
พระองค์

จึงพระบรมวงศานุวงศแ์ ละทา่ นเสนาบดี พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะผู้ใหญ่
มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธาน ปรึกษาพร้อมกัน
อัญเชิญสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์ผู้เป็นพระบรมราชโอรส
อันประเสริฐเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบพระบรมราชสันตติวงศ์ด�ำรงพิภพ
แผน่ ดินสยามใหม้ คี วามผาสุกสวัสดสี ืบไป ครนั้ รุ่งขน้ึ ณ วนั ศกุ ร์ เดอื นสบิ เอด็ แรม
คำ่� หนง่ึ สมเดจ็ พระบรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ สรงพระบรมศพ
สมเดจ็ พระบรมชนกาธริ าช ทรงเครอื่ งโดยขตั ตยิ ราชประเพณี แลว้ อญั เชญิ ประดษิ ฐาน
ในพระลองเงนิ ประกอบดว้ ยพระโกศทองคำ� เชญิ ขนึ้ ประดษิ ฐานไวบ้ นพระทน่ี งั่ ดสุ ติ
มหาปราสาท พรอ้ มด้วยอเนกราชอิสสรยิ ยศตามแบบโบราณราชประเพณี แล้วทรง
พระกรณุ าโปรดใหจ้ ดั การพระเมรมุ าศขนาดใหญ่ สงู ตลอดยอดสองเสน้ ประกอบไป
ด้วยเมรุทิศเมรุแทรก ครบทุกสิ่งทุกประการ และโรงงานมหรสพตามราชประเพณี
ทกุ สิ่งสรรพ์ ครนั้ ณ วนั จันทร์ เดือนสขี่ น้ึ หกค�ำ่ ปมี ะเสง็ เอกศก จลุ ศักราช ๑๒๓๑
ไดเ้ ชญิ พระบรมธาตอุ อกประดษิ ฐาน มกี ารสมโภชแลว้ เชญิ กลบั ในวนั องั คาร เดอื นสี่
ขน้ึ เจด็ คำ่� ครน้ั ณ วันพุธ เดอื นส่ี ขึ้นแปดค่ำ� เชญิ พระบรมอฐั พิ ระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั ทง้ั สามพระองค์ และสมเดจ็ พระปฐมบรมมหาปยั ยกาธบิ ดี กรมสมเดจ็
พระอมรินทรามาตย์ กรมสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์ กรมสมเดจ็ พระศรีสุลาลยั
ออกไปประดิษฐานมีการมหรสพสมโภช ครั้นถึงวันพฤหัสบดี เดือนส่ี ข้ึนเก้าค่�ำ
เชญิ คนื เขา้ พระบรมมหาราชวงั ครน้ั วนั เสาร์ เดอื นสี่ ขนึ้ สบิ เอด็ คำ�่ อญั เชญิ พระบรมศพ

45

โดยกระบวนแห่อย่างใหญ่ เชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานบนพระเบญจาทองค�ำ
แล้วมกี ารมหรสพสมโภชสิ้นเจ็ดวนั เจด็ คืน ครน้ั ณ วันศุกร์ เดือนส่ี แรมสองค�ำ่
ถวายพระเพลงิ พระบรมศพ รงุ่ ขน้ึ เชญิ พระบรมอฐั ลิ งพระโกศกดุ น่ั นอ้ ยขน้ึ ประดษิ ฐาน
บนบษุ บกทองคำ� เชิญพระอฐั กิ รมสมเดจ็ พระเทพศิรินทรามาตย์ สมเดจ็ พระบรม-
ราชชนนอี อกไปตง้ั ทพ่ี ระเมรดุ ว้ ย มกี ารมหรสพสมโภชอกี สามวนั ครน้ั วนั องั คาร เดอื นสี่
แรมหกคำ่� เชญิ พระบรมอฐั คิ นื เขา้ พระบรมมหาราชวงั ประดษิ ฐานไว้ ณ หอพระธาตุ
มนเฑยี ร สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลฉลองพระเดช
พระคณุ เดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธิราชเป็นอเนกนยั วิจิตรยงิ่ นกั

และเมอ่ื วนั พธุ เดอื นสบิ ขนึ้ เกา้ คำ่� เปน็ วนั แรก พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -
เจา้ อยหู่ วั ทรงพระประชวร ยงั มไิ ดป้ รากฏแกช่ นทงั้ ปวงนน้ั มพี ระบรมราชโองการดำ� รสั
ใหห้ าสมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ เสด็จขึน้ ไปเฝ้าบนพระแทน่ ที่พระบรรทม
มพี ระราชดำ� รสั ใหท้ รงทราบวา่ พระองคจ์ ะเสดจ็ สวรรคตในกาลครงั้ นเ้ี ปน็ แนแ่ ลว้ และ
ได้ด�ำรัสสั่งด้วยราชการแผ่นดินและการท้ังปวงในราชประเพณีเป็นอเนกทุกประการ
และในการกระแสพระบรมราชโองการข้อหน่ึงนั้น ด�ำรัสสั่งว่าถ้าเสด็จสวรรคตล่วง
ไปแลว้ ขออยา่ ใหเ้ ชญิ พระบรมอฐั ขิ องพระองคไ์ ปประดษิ ฐานไวใ้ นหอพระธาตมุ นเฑยี ร
กบั พระอฐั บิ างพระองคซ์ งึ่ เปน็ ทที่ รงรงั เกยี จ ขอใหส้ มเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้
ทรงพระอุตสาหะโดยสถานใดสถานหนึ่ง ให้ได้เชิญพระบรมอัฐิของพระองค์ไป
ประดิษฐานไว้ในพระพุทธมนเฑียรหรือในหมู่พระที่นั่งฝ่ายตะวันออกองค์ใด
องคห์ นง่ึ พรอ้ มดว้ ยกรมสมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทรามาตย์ ซงึ่ เปน็ สมเดจ็ พระบรมราชชนนี
สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ทรงรกั ษาพระกระแสพระบรมราชโองการอนั นไ้ี ว้
ครั้นเมื่อถึงกาลอันสมควร จึงทรงปรึกษาด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ท่านเสนาบดี
โดยเปน็ การยากทจ่ี ะใหย้ นิ ยอม ภายหลงั เปน็ อนั ตกลงโดยกระแสพระราชดำ� ริ จงึ โปรด
ให้จัดการท่ีตั้งพระบรมอัฐิในพระท่ีน่ังบรมพิมานซ่ึงเน่ืองกับพระที่นั่งอนันตสมาคม
เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระบรมอฐั ิ เสรจ็ แลว้ ครน้ั ณ เดอื นหก ปมี ะเมยี โทศก จลุ ศกั ราช
๑๒๓๒ จึงโปรดให้เชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสมเด็จ
พระบรมชนกนาถ และกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ สมเดจ็ พระบรมราชชนนี

46

ออกมาประดษิ ฐาน ณ พระทนี่ งั่ อนนั ตสมาคม ทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลและมกี ารมหรสพ
สมโภชสน้ิ เจด็ วนั เปน็ กำ� หนด แลว้ จงึ อญั เชญิ ขนึ้ ประดษิ ฐานไว้ ณ พระทนี่ งั่ บรมพมิ าน
เป็นท่ีประดิษฐานสืบมาจน ณ กาลบัดนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระบรมชนกมหาราชาธริ าชเจ้า ทรงประกอบดว้ ยอัจฉริยปาฏหิ ารยิ ์อเนกคณุ
บญุ วบิ ากสมบัติ มีราชประวัตดิ ่งั รับพระราชทานถวายวิสชั ชนามาฉะน้ี

และพระราชกุศลซึ่งสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงบ�ำเพ็ญใน
อภิลักขิตสมัยบัดนี้ ด้วยทรงบริจาคบิณฑบาตและไตรจีวรภาคหกสิบห้าส่วน และ
สมณบรกิ ขารในภกิ ษสุ งฆ์พระราชาคณะเปน็ ประธาน และไตรจวี รกับสมณบริกขาร
เครอ่ื งภณั ฑ์กระจาดใหญ่ ซึ่งโปรดให้เจ้าพระยามหินทรศักดธิ์ ำ� รงเปน็ ผู้ท�ำข้นึ เปน็
ธรรมเทศนาบูชาภณั ฑอ์ ามิษบริจจาคทัง้ ปวงน้ี ทรงพระราชอุทิศถวายฉลองพระเดช
พระคณุ ในพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าช
นบั เปน็ สถานทค่ี รบหา้ ในบรุ พทศิ านมสั นธรรมสคุ โตวาทในสงิ คาลสตู ร โดยพทุ ธภาษติ
บริหารแก่สิงคาลมาณพผู้รับเทศนาว่า ปญฺจหิ โข คหปติปุตฺต €าเนหิ ปุตฺเตน
ปรุ ตถฺ มิ า ทสิ า มาตาปติ โร ปจจฺ ปุ ฏ€ฺ าตพพฺ า ดกู รคหบดบี ตุ รมารดาบดิ าผทู้ ศิ ปรุ ตั ถมิ า
ดา้ นตะวนั ออก เพราะมอี ปุ การะแกบ่ ตุ รธดิ ากอ่ นกวา่ บคุ คลอนื่ ๆ อนั บตุ รพงึ ปฏบิ ตั โิ ดย
สถานห้า คือคิดว่า ภโต เนสํ ภริสสฺ ามิ เราเปน็ ผทู้ ่ีท่านไดเ้ ล้ียงแลว้ จกั เลี้ยงท่านหนง่ึ
กิจจฺ ํ เนสํ กรสิ สฺ ามิ เราจักท�ำกิจการของท่านหนึ่ง กลุ วํสํ €เปสสฺ ามิ เราจักตง้ั วงศ์
ตระกูลไวห้ นึ่ง ทายชฺชํ ปฏิปชชฺ ามิ เราจักปฏบิ ัตปิ กครองทรพั ยม์ ฤดกไว้หนึง่ อถวา
ปน เปตานํ กาลกตานํ ทกฺขณิ ํ อนปุ ฺปทสฺสามิ กห็ รือเม่อื ทา่ นละไปแลว้ ทำ� กาลแลว้
จกั เพิม่ ทักษิณาทานเครือ่ งเจรญิ สุขสมบัติหนึง่ มารดาบดิ าผู้ทิศปรุ ัตถมิ า อันบุตรพึง
ปฏิบัติโดยฐานห้าประการเหล่านี้ ก็และสถานท้ังห้านั้น ภรณํ การเล้ียงเป็นที่หนึ่ง
กิจฺจ กรณํ ทำ� กจิ เป็นทสี่ อง กุลวํส€ปนํ ตง้ั วงศ์ตระกูลไวเ้ ป็นทสี่ าม ทายชฺชปฏปิ ตตฺ ิ
ปฏิบัติปกครองทรัพย์มฤดกเป็นท่ีส่ี ทกฺขิณานุปฺปทานํ เพ่ิมทักษิณาเป็นท่ีครบห้า
สถานท้ังห้าแบ่งเป็นสามภาคก่อน ภรณะ การเลี้ยงท่ีหนึ่งน้ันบุตรจะพึงท�ำได้เมื่อ
มารดาบิดายังด�ำรงอยู่ถ่ายเดียว ทกฺขิณานุปฺปทาน การเพิ่มทักษิณาท่ีครบห้านั้น
บุตรจะพึงท�ำเม่ืออปรภาค สมัยเม่ือท่านละโลกนี้ไปแล้วเท่านั้น แต่กิจอีกสามคือ

47

กิจจฺ กรณ ช่วยทำ� กิจการ และ กุลวสํ €ปน ตัง้ วงศ์ตระกลู ไว้ และ ทายชชฺ ปฏปิ ตฺติ
ปฏบิ ตั ทิ รพั ยม์ ฤดกนนั้ ไมม่ เี วลากำ� หนดนยิ มกาล บตุ รผอู้ ภชิ าตผอู้ นชุ าตจะพงึ ประพฤติ
ไดท้ ุกสมัย เมื่อมารดาบดิ ายงั ดำ� รงอยูแ่ ละเมอ่ื ไปปรโลกแลว้

เพราะฉะน้นั จึ่งไดส้ นั นษิ ฐานว่า เมอ่ื มารดาบดิ ายังด�ำรงอย่บู ุตรพึงปฏิบตั ิได้สี่
ประการ คอื การเล้ยี ง และท�ำกิจการ และตง้ั วงศต์ ระกลู ไว้ และปฏบิ ตั ทิ รพั ยม์ ฤดก
เมื่อไปปรโลกแล้วพึงปฏิบัติได้ส่ีประการ คือการท�ำกิจซ่ึงค้างให้ส�ำเร็จ และตั้งวงศ์
ตระกูลไว้ และปฏิบตั ิทรัพย์มฤดก และเพ่มิ ทกั ษณิ าอทุ ิศ เปน็ สี่ปจั จุปฏั ฐานกิจส่วน
อปรภาคสมยั

กแ็ ละในสี่สถานส่วนอปรภาคน้นั กจิ ใดๆ ซ่งึ ไมม่ ีโทษเหมอื นอยา่ งประดษิ ฐาน
ของถาวร มีอารามวหิ ารและสถูปเจดียสถาน และสร้างคัมภีร์ และพระปริยัติธรรม
และสระนำ้� บอ่ นำ�้ และสะพาน และศาลาเปน็ ตน้ มารดาบดิ าไดเ้ รม่ิ ปรารภประดษิ ฐาน
ลงไว้หวงั จะให้เสรจ็ แตย่ งั ไมเ่ สรจ็ ตามประสงค์กล็ ว่ งไปดว้ ยกาลกิริยา บตุ รธดิ าผู้มี
ความสามารถ มาขวนขวายให้ถาวรวัตถุมีอารามวิหารเป็นต้นที่ค้างน้ันเสร็จแล้วลง
หรือถาวรวัตถุซ่ึงมารดาบิดาได้ประดิษฐานไว้นั้นเสร็จแล้วแต่ช�ำรุดไป บุตรธิดา
ปฏิสังขรณ์ให้ด�ำรงคงคืนเป็นปกติขึ้นได้ หรือถาวรวัตถุน้ันเล็กบุตรธิดามาขยายให้
เจริญใหญ่ หรือถาวรวัตถุน้ันไม่เป็นรมณียสถานบกพร่องด้วยอลังการไม่ไพโรจน์
บตุ รธดิ ามาทำ� นบุ ำ� รงุ ใหเ้ ปน็ รมณยี สถานทบี่ นั เทงิ จติ และไพโรจนด์ ว้ ยอลงั การพเิ ศษ
มีมาลากรรม มลี ดากรรม จิตรกรรมเปน็ ตน้ อันนี้ชื่อวา่ กจิ จกรณะ ทำ� กจิ แห่งมารดา
แหง่ บิดาใหเ้ จรญิ กุศลจรยิ า และใหเ้ กดิ เกียรติยศปรากฏแกช่ นนิกร

ตงั้ วงศต์ ระกลู ไวน้ น้ั ปตุ ตฺ า วตถฺ ุ มนสุ สฺ านํ บตุ รธดิ าเปน็ วตั ถขุ องมนษุ ยท์ งั้ หลาย
ดว้ ยจะทำ� ให้ตระกูลประดิษฐานด�ำรงไปได้นาน ด่งั ภมู ิภาคพ้ืนแผน่ ดนิ เป็นวตั ถุทจ่ี ะ
ปลกู เคหสถาน และเพาะ และหวา่ นพชื ใหเ้ ปน็ อารามสวนไมด้ อก ไมผ้ ล ฉะนน้ั เมอ่ื บตุ ร
ธดิ ามารกั ษาพสั ดแุ ละธรรมของมารดาบดิ าไวไ้ มใ่ หพ้ นิ าศอนั ตรธาน คอื มารกั ษาภมู ทิ ี่
และพสั ดมุ เี งนิ ทองเปน็ ตน้ ซงึ่ เปน็ ของมแี หง่ มารดาบดิ าไวไ้ มใ่ หส้ าบศนู ยเ์ สยี เมอ่ื วงศ์
ตระกูลเป็นไปโดยใช่ธรรม ประกอบกรรมอันเป็นอธรรมิกกิจและน�ำเสีย ให้ชนใน

48

ตระกลู สถติ อยใู่ นธรรมวงศ์ และอาจณิ กศุ ลกลั ยาณวตั ร หรอื ทานมสี ลากภตั ตเ์ ปน็ ตน้
สว่ นอนกุ ูลยญั นำ� มาตามวงศต์ ระกูลกห็ าตัดให้เสอื่ มศูนยเ์ สยี ไม่ ประพฤตบิ �ำเพญ็ ให้
เปน็ ไปคงอยตู่ ามท่ี หรอื ใหท้ วมี ากและประณตี กวา่ แตก่ อ่ นกด็ ี ชอื่ วา่ ตงั้ วงศต์ ระกลู ไว้

ฐานที่สามชื่อว่าทายชั ชปฏบิ ตั ิ ความปฏบิ ตั ทิ รพั ย์มฤดก ปฏบิ ัติกจิ ของทายาท
บคุ คลดงั่ นน้ี นั้ บตุ รธดิ ามาประพฤตติ นใหเ้ ปน็ ไปโดยกจิ ชอบทค่ี วรจะไดท้ รพั ยม์ ฤดก
เวน้ ความประพฤตซิ งึ่ เปน็ ปฏปิ กั ษต์ า่ งๆ มคี วามเปน็ ธตุ ตกชนเปน็ ตน้ เสยี ชอ่ื วา่ ปฏบิ ตั ิ
ซึ่งทรัพยม์ ฤดก ไตต่ ามกิจของทายาทบคุ คล ปริณายกรตั นเชษฐโกรส เมอ่ื พระเจา้
จกั รพรรดิชนกมหาราชเสด็จทรงผนวชหรอื เสด็จทิวงคตไดเ้ จด็ วนั จกั รรตั นอตั รธาน
แล้ว มาด�ำรงในพระชนโกวาท บ�ำเพ็ญจักรพรรดิวัตรสิบให้บริบูรณ์เป็นประโยค
สมบัตแิ ลว้ ไดบ้ รรลุจักรพรรดิราชาภิเษก ทฆี าวกุ มุ าร บุญญวนั ถบณั ฑติ สถิตใน
ธรรมิโกวาทแห่งสมเด็จพระชนกาธิบดีไม่ล่วงละเมิดแล้ว ได้คืนทรัพย์ในโกศลวิสัย
ดำ� รงไอศวรยิ สมบตั เิ อกราชเปน็ ตน้ นนั้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ทิ ายชั ชะอยา่ งอกุ ฤษฏ์ บตุ รธดิ าแหง่
ตระกลู นนั้ ๆ หลง่ั ไหลไปตามโอวาทมารดาบดิ า ไดเ้ ปน็ เจา้ ทรพั ยฐ์ านนั ดรแหง่ ตระกลู
ได้เช่นน้ี เป็นผู้ปฏิบัติทายัชชะอย่างต�่ำ ทายัชชะปฏิบัติเป็นมาตาปิตุปัฏฐานธรรม
ประการหน่งึ ฉะน้ี

ฐานที่ส่ีซ่ึงว่าเพ่ิมให้ซึ่งทักษิณาทาน เครื่องเจริญสุขสมบัติเพ่ือมารดาบิดาผู้ท�ำ
กาลกิรยิ าไปปรโลกแล้วนั้น คือบ�ำเพ็ญกศุ ลธรรมทานมัยบุญราศี อทุ ิศดว้ ยหติ ปุ เทศ
เจตนาเป็นฉันทะหวังสุขประโยชน์ศุภอิฐผล จะให้เสร็จแก่มารดาบิดาผู้วายชนม์ไป
ปรโลกนั้นด้วยปัตตานุโมทนามัยบุญตามสมัยน้ันๆ เป็นส่วนธรรมบรรณาการปัจจุ
ปการกจิ เมอื่ เวลาสน้ิ วสิ ยั สามารถทจี่ ะสนองคณุ โดยอปุ การมขุ อนื่ เปน็ อฬุ ารบชู าเสรจ็
ดว้ ยกตญั ญกู ตเวทติ าคณุ ซงึ่ เปน็ สปั ปรุ สิ ภมู ิ และทำ� ผบู้ รจิ าคไมใ่ หป้ ราศจากผล นบั วา่
เปน็ พรหมกศุ ลสว่ นมาตาปิตุปฏั ฐานธรรมประการหนึง่ ดว้ ยประการฉะน้ี

สถานท้งั หา้ รวมบุรพทศิ นมสั นธรรมน้ี แบง่ ออกเป็นสองภาคเมอื่ มารดาบิดายงั
ดำ� รงอยู่ บตุ รจะพึงปฏบิ ตั ิได้สีป่ ระการ เมอ่ื ไปปรโลกแล้ว จะพงึ ปฏิบัติไดส้ ่ปี ระการ
ด้วยประการฉะน้ี

49

และกิจท้งั ห้าสถานสว่ นบรุ พทิศานมัสนธรรมน้ี เป็นที่ปรารถนาของบัณฑติ ชาติ
จะเปน็ ไปแกบ่ ตุ รซึง่ เกดิ ณ ตระกูลแห่งตน

เพราะเหตฉุ ะนน้ั พระนราสภทศพลเจา้ จงึ ยกความประสงคน์ นั้ ขนึ้ ตรสั เทศนา ใน
ปญั จววฏั ฐานสตู รวา่ ปญจฺ €านานิ สมปฺ สสฺ ํ ปตุ ตํ อจิ ฉฺ นตฺ ิ ปณฑฺ ติ า เปน็ ตน้ มคี วามวา่
บัณฑิตท้ังหลายพิจารณาเป็นฐานเหตุท่ีต้ังแห่งผลห้าประการ จึงปรารถนาบุตรว่า
ภโต วา โน ภริสสฺ ติ บุตรอนั เราเล้ียงแล้วจักเล้ยี งเราบ้าง กจิ จฺ ํ วา โน กรสิ สฺ ติ
จกั ท�ำกจิ ของเราใหเ้ สร็จด่ังประสงคบ์ า้ ง กลุ วโํ ส จิรํ ตฏิ เฺ € วงศแ์ หง่ ตระกูลของเรา
จะพึงตั้งอยู่ได้นานเพราะบุตรได้น�ำไปโดยล�ำดับ ทายชฺชํ ปฏิปชฺชติ บุตรเราจะได้
ปฏิบัติโภคทรัพย์เครื่องข้อปฏิปทา เคร่ืองเป็นทายาทบุคคล อถ วา ปน เปตานํ
ทกฺขิณํนปุ ปฺ ทสฺสติ กห็ รือเม่ือเวลาเราละโลกน้ไี ปแลว้ บตุ รจักไดต้ ามเพม่ิ ทักษิณาทาน
เคร่ืองเจริญสุขสมบตั ิ €านาเนตานิ สมฺปสสฺ ํ ปตุ ฺตํ อจิ ฉฺ นฺติ ปณฑฺ ิตา บัณฑติ ชาติ
ทง้ั หลายพจิ ารณาเหน็ ฐานหา้ ประการเหลา่ นอี้ ยเู่ ปน็ ทป่ี ระสงค์ จงึ ปรารถนาบตุ รใหเ้ ปน็
ผู้เกดิ ณ ตระกูลตน ตสฺมา สนโฺ ต สปปฺ รุ สิ า กตญญฺ ู กตเวทิโน เพราะฐานทั้งห้าน้ี
เปน็ ทป่ี รารถนาของมารดาและบดิ าผบู้ ณั ฑติ นนั้ บตุ รทงั้ หลายผสู้ ตั บรุ ษุ สนั ดานดสี งบ
ระงบั เปน็ ผกู้ ตญั ญรู อู้ ปุ การคณุ ทที่ า่ นไดท้ ำ� ไวแ้ กต่ นแลว้ มปี กตปิ ระกาศอปุ การะทที่ า่ น
ได้ท�ำแล้วน้ันให้ผู้อ่ืนรู้แจ้งโดยเป็นอุปการะท่ีท่านได้ท�ำแล้วจริง ภรนฺติ มาตาปิตโร
ปพุ เฺ พกตมนสุ สฺ รํ มาตามระลกึ ถงึ อปุ การทท่ี า่ นไดท้ ำ� ไวแ้ ลว้ เปน็ อารมณอ์ ยู่ เลย้ี งมารดา
บดิ าทง้ั สองใหเ้ ปน็ สขุ กโรนตฺ ิ เนสํ กจิ จฺ านิ ยถาตํ ปพุ พฺ การนิ ํ ทำ� กจิ ทงั้ หลายของมารดา
บิดาให้เสร็จไปตามวิสัยของบัณฑิต ท�ำกิจแก่ท่านผู้บุรพการีได้ท�ำอุปการไว้แก่ตน
เมอื่ ก่อนๆ โอวาทการี ภตโปสี เป็นผู้ทำ� ซ่ึงโอวาท มีปกติเล้ียงซง่ึ ท่านผู้ไดเ้ ลีย้ งตน
กุลวสํ ํ สเี ลน สมฺปนโฺ น ปตฺโต โหติ ปสสํ ิโย บตุ รผู้มีศรทั ธาบริบรู ณด์ ว้ ยศลี แลว้ เปน็
ผพู้ ิเศษ ซ่ึงบัณฑิตจะพึงสรรเสริญโดยคณุ สมบตั ินัน้ ๆ

ฐานทงั้ ห้าเปน็ สิ่งทป่ี รารถนาของมารดาบิดาผูเ้ ป็นบัณฑิตดว้ ยประการฉะนี้

เพราะฉะน้นั เมื่อสมเดจ็ พระสุคตเจ้า ตรสั เทศนาทศิ หกสถานในอริยวินัยแก่
สงิ คาลมาณพ โดยอเุ ทศวา่ ใหศ้ กึ ษาพงึ รแู้ จง้ วา่ มารดาบดิ าเปน็ ปรุ ตั ถมิ ทศิ เปน็ ตน้ แลว้

50

จึงตรัสนิเทศแสดงอาการคือนมัสการปุรัตถิมทิศ ออกโดยสถานห้าว่า ปญฺจหิ โข
คหปตปิ ตุ ฺต €าเนหิ เป็นต้น มวี รรณนาพสิ ดาร ดัง่ รบั พระราชทานถวายวิสชั ชนามา
ณ เบ้อื งต้นแลว้ นนั้

และสัมมาปฏิบัติบุรพทิศานมัสนธรรมสี่ส่วน เบ้ืองปัจฉิมภาคคือ กิจฺจกรณ
กลุ วํส€ปน ทายชชฺ ปฏิปตตฺ ิ ทกฺขิณานุปปฺ ทาน ด่งั รบั พระราชทานถวายวสิ ชั ชนามานี้
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าก็ทรงพระอุตสาหะทรงบ�ำเพ็ญให้เป็นไปทุก
ประการ

ข้อซ่ึงสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงพระราชด�ำริระลึกถึงพระเดช
พระคณุ สมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าชเจา้ แลว้ ทรงพระอตุ สาหะจดั การปนั ดา้ น
ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระศรี-
รัตนศาสดารามมีพระพุทธปรางคปราสาท พระศรีรัตนเจดีย์เป็นต้น ซึ่งสมเด็จ
พระบรมชนกมหาราชาธริ าชเจา้ ทรงสถาปนาขนึ้ ไวย้ งั หาสำ� เรจ็ บรบิ รู ณไ์ ม่ ใหแ้ ลว้ สำ� เรจ็
ไปได้โดยเร็วพลันสมดั่งพระราชประสงค์เดิมได้ฉะน้ี นับว่าเป็นส่วนกิจจกรณะใน
บรุ พทิศานมสั นธรรมจริยาน้ี

อนง่ึ กจิ จกรณยี อน่ื ๆ ซง่ึ สมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าชเจา้ ไดท้ รงสถาปนา
ไวย้ งั ไม่เสร็จ กท็ รงพระราชอุตสาหะใหก้ รณียะนัน้ ๆ เสร็จดั่งพระราชประสงค์ หรือ
ถาวรวตั ถใุ ดๆ ซง่ึ สมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าชเจา้ ไดท้ รงสถาปนาไวช้ ำ� รดุ และ
ไมไ่ พโรจนเ์ ปน็ รมณยี สถาน สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ กท็ รงพระอตุ สาหะ
ให้ปฏิสังขรณ์และตกแต่งให้เป็นรมณียสถานข้ึนก็ดี พระกรณียกิจท้ังปวงน้ีนับใน
กจิ จกรณสถาน สว่ นบรุ พทิศานมสั นธรรมจรยิ านีส้ ้ิน

ในกลุ วงั สฐปนะทส่ี อง ขอ้ ซง่ึ สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ทรงพระอตุ สาหะ
รกั ษาอดุ มอลงั การเปน็ ตน้ ซง่ึ สมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าชเจา้ พระราชทานนน้ั ๆ
ไวม้ ใิ หเ้ สอ่ื มศนู ย์ และทรงบำ� เพญ็ พระราชกศุ ลนอกกำ� หนดในการแผน่ ดนิ เปน็ สว่ นพเิ ศษ
มีวิศาขบูชาและมธุทานเป็นต้น ให้เป็นไปด�ำรงตามกาลสมัย ซ่ึงสมเด็จพระบรม-

51

ชนกนาถเจ้าได้ทรงบ�ำเพ็ญมาน้ัน ส่วนนี้เป็นกุลวังสฐปนสถานบุรพทิศานมัสน-
ธรรมจรยิ าส้นิ

ในทายชั ชปฏิบตั ิที่ครบสาม ข้อซงึ่ สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจา้ พรอ้ ม
พระบรุ พาภนิ หิ ารบญุ บารมธี รรมเสดจ็ สถติ อยใู่ นพระบรมราโชวาทซง่ึ สมเดจ็ พระบรม-
ชนกนาถพระราชทาน ทรงรกั ษาพระองคใ์ หค้ วรแกส่ ยาเมกรชั ชทายาทเปน็ ทยี่ นิ ดนี อ้ ม
เศยี รเกลา้ ของพระบรมวงศานวุ งศ์ และมลู มขุ มาตยานกิ ร เสดจ็ สถติ ในสยาเมกราชยั
มไหศวรรย์ โดยสรรพเกษมวิธีเป็นมหัศจรรย์ปรากฏแก่สรรพอเนกชนนิกร นี้เป็น
ทายัชชปฏิบตั ิ ส่วนบุรพทศิ านมัสนธรรมจรยิ าอนั อกุ ฤษฏ์ ด้วยประการฉะนี้

ทกั ขณิ านปุ ปทานทสี่ เ่ี ลา่ สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ กท็ รงบำ� เพญ็ เปน็
อตสิ ยั พระราชกศุ ลในสมยั พเิ ศษ นยิ มโดยดถิ ตี รงกบั พระบรมสมภพมงคลและตรงกบั
ดถิ ที สี่ วรรคตแหง่ พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกมหาราชาธริ าช และสมเดจ็ พระบรม-
ราชชนนแี ละในอภลิ กั ขติ สมยั อน่ื ๆ และอภลิ กั ขติ สมยั บดั นี้ เปน็ ทกั ษณิ านปุ ทาน ธรรม
จรยิ าสถานทคี่ รบสป่ี ระการฉะนี้ สมั มาปฏบิ ตั สิ ว่ นบรุ พทศิ านมสั นธรรมสเ่ี บอ้ื งหลงั คอื
กจิ จฺ กรณ กลุ วสํ €ปน ทายชชฺ ปฏปิ ตตฺ ิ ทกขฺ ณิ านปุ ปฺ ทาน ดง่ั รบั พระราชทานถวายวสิ ชั ชนา
มาทงั้ ปวงน้ี สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจ้าทรงพระอตุ สาหะบำ� เพ็ญใหเ้ ปน็ ไป
ทุกประการ ด้วยประการฉะน้ี

กแ็ ละพระราชกุศล จวี รบณิ ฑบาตไทยธรรมหกสิบห้าภาคซง่ึ สมเด็จบรมบพติ ร
พระราชสมภารเจา้ ทรงบริจาคในพระสงฆ์ราชาคณะเปน็ ประธาน และไตรจีวรสมณ-
บรกิ ขารธรรมเทศนาบชู าภณั ฑท์ ง้ั ปวงนี้ สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ทรงพระ
ราชอทุ ศิ กลั ปนาผลเปน็ ปตั ตทิ าน ถวายแดส่ มเดจ็ พระบรมชนกนาถ พระบาทสมเดจ็ -
พระปรเมนทรมหามกุฏพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวซึ่งเสด็จสวรรคตแล้วน้ัน แมจ้ ะเสดจ็
สถิตในทิพยาลัยอมรพิมานหรือในสถานคติอุบัติใดๆ ก็ดี ขอจงได้ทรงทราบด้วย
ทพิ ยจกั ษทุ พิ ยโสต หรอื ญาณวถิ ที างใดทางหนง่ึ แลว้ จงไดท้ รงรบั บรมราชทู ศิ อนโุ มทนา
เพอื่ เจรญิ กศุ ลราศี และสขุ สริ สิ วสั ดซ์ิ งึ่ จะไดส้ ำ� เรจ็ ผลโดยสมควรแกค่ ตนิ น้ั ๆ ทกุ ประการ
เทอญ

52

พระราชกุศลบุญญนิธิทักษิณานุประทานมัย ซึ่งสมเด็จบรมบพิตรพระราช
สมภารเจ้า ทรงบ�ำเพ็ญในอภิลักขิตสมัยกาลพิเศษน้ี จงส�ำเร็จเป็นธรรมิการักขา-
วรณคุตโยบาย สะกัดกั้นศัตรูหมู่ปัจจามติ รและสรรพอันตราย ให้พนิ าศบ�ำราศไกล
อย่าได้มาพ้องพานสมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจ้า จงเสดจ็ สถติ อยใู่ นบรมราช
มไหศวริยสมบัติโดยเกษมส�ำราญ ทรงไพโรจน์ชัชวาลด้วยราชวรฤทธ์ิ ด่ังพระเจ้า
จักรพรรดิราชผู้เป็นอิสสราธิบดีในทวีปมีสมุทรสาครสี่เป็นท่ีสุดฉะนั้น และใน
รตนตั ตยปภาวาภยิ าจนคาถา ซงึ่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระบรม
ชนกนาถทรงประพันธ์เป็นคาถาภาษามคธไว้นนั้ เป็นพระคาถาอันอดุ มประกอบดว้ ย
คณุ พระรัตนตรัย บัดน้ีจะได้รับพระราชทานอธิษฐานอาราธนาตามความในคาถานน้ั
เพื่อใหเ้ จริญพระราชสิริสวัสดิพพิ ฒั นมงคลโดยเน้ือความวา่

อรหํ สมฺมาสมฺพทุ โฺ ธ อุตฺตมํ ธมมฺ ชฌฺ คา
มหาสงฆํ ปโพเธส ิ อจิ เฺ จตํ รตนตตฺ ยํ

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บรรลุถึงธรรมอันอุดมแล้วให้สงฆ์หมู่ใหญ่ตรัสรู้
ต่นื จากกิเลสนิทรา เบิกบานปรีชาคุณขึน้ ได้ สามน้รี ัตนตรยั อุดม สงู สุดกวา่ รัตนะอ่ืน

พุทฺโธ ธมโฺ ม สงฺโฆ จาต ิ นานาโหนตฺ มฺปิ วตถฺ โุ ต
อญฺ มญฺาวิโยคาว เอกีภูตํ ปนตถฺ โต

แมถ้ งึ ตา่ งๆ กนั โดยวตั ถวุ า่ พทุ โฺ ธ ธมโฺ ม สงโฺ ฆ ฉะนกี้ จ็ รงิ อยแู่ ล กแ็ ตเ่ ปน็ อนั เดยี วกนั
โดยอรรถเนอื้ ความ เพราะไมพ่ รากกนั ได้

พทุ โฺ ธ ธมฺมสสฺ โพเธตา ธมฺโม สงเฺ ฆน ธารโิ ต
สงโฺ ฆ จ สาวโก พทุ ธฺ สฺส อิจจฺ กาพทฺธเมวิทํ

พระพทุ ธเจา้ ผตู้ รสั รู้ ตนื่ เบกิ บานไดก้ อ่ น สอนใหผ้ อู้ นื่ ตรสั รธู้ รรม พระธรรมเลา่ สงฆไ์ ด้
ทรงไว้ สงฆ์เล่าก็สาวกของพระพทุ ธเจ้าผตู้ รสั รเู้ บกิ บานได้ก่อน สามรัตนะนเ้ี นอ่ื งเปน็
อันเดียวกันฉะน้ี

53

วสิ ทุ ฺธํ อตุ ตฺ มํ เสฏ€ฺ ํ โลกสมฺ ึ รตนตตฺ ยํ
สวํ ตตฺ ติ ปสนฺนาน ํ อตตฺ โน สุทธฺ ิกามนิ ํ
สมฺมาปฏปิ ชชฺ นตฺ านํ ปรมาย วิสทุ ธฺ ยิ า

รัตนะทง้ั สามบริสุทธอิ์ ดุ มสูงสดุ ประเสริฐในโลก ยอ่ มเป็นไปดว้ ยดเี พ่อื ความบรสิ ทุ ธิ์
พเิ ศษอยา่ งยงิ่ แกส่ ตั วผ์ เู้ ลอ่ื มใสแลว้ ปรารถนาความบรสิ ทุ ธแิ์ กต่ นปฏบิ ตั โิ ดยชอบอยู่

วิสทุ ธฺ ิ สพฺพเกฺลเสหิ โหติ ทกุ ฺเขหิ นพิ ฺพุติ
ความบริสุทธิห์ มดจดวเิ ศษ จากกิเลสทง้ั ปวงเปน็ นพิ ฺพตุ ดิ บั จากทกุ ขท์ ง้ั หลาย

นพิ พฺ านํ ปรมํ สญุ ฺ ํ นพิ ฺพานํ ปรมํ สุขํ
นิพพานศูนยอ์ ยา่ งย่งิ นิพพานเปน็ สุขอย่างยิ่ง

เอเตน สจฺจวชเฺ ชน สุวตฺถิ โหตุ สพพฺ ทา

ดว้ ยสจั จวาจาภาษิตน้ี ขอสวัสดิสขุ วิบุลผล จงเกดิ มีเป็นวิบากสมบตั ิ

รตนตตฺ ยานภุ าเวน รตนตฺตยเตชสา
อุปททฺ วนตฺ รายา จ อุปสคคฺ า จ สพพฺ โส
มา กทาจิ สมผฺ ุสึสุ รฎฺ€ สยฺ ามานเมวทิ ํ

ดว้ ยเดชานภุ าพพระรตั นตรยั เปน็ ปฏพิ าหโนบายกางกนั้ อปุ ทั วนั ตราย อปุ สรรคความ
เข้าไปขดั ข้องทง้ั หลาย จงอยา่ ได้ถกู ตอ้ งพ้องพานสยามรัฐมหาชนบทนเี้ ลย จงนริ าส
บ�ำราศไกลด้วยประการท้ังปวง

อาโรคิยสขุ ญเฺ จว ตโต ทีฆายตุ าปิ จ
ตพฺพตฺถูนญจฺ สมปฺ โตยฺ สขุ ํ สพฺพตถฺ โสตฺถิ จ
ภวนตฺ ุ สมฺปวตฺตนฺตุ สยฺ ามานํ รฎ€ฺ ปาลินํ

ความสขุ สำ� ราญปราศจากโรคนั ตราย และความเปน็ ผมู้ อี ายยุ นื นาน และบรบิ รู ณแ์ หง่
วัตถุท้ังหลายซ่ึงจะเกื้อกูลแก่ความไม่มีโรคและอายุยืนน้ัน ทั้งสุขโสมนัสและสวัสดิ

54

ศภุ วบิ ลุ ผล จงเกดิ มพี รอ้ มบรบิ รู ณ์ แดส่ มเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ กบั ทงั้ สมเดจ็
พระบรมราชเทวี พระราชโอรสพระราชธดิ า และพระบรมราชวงศานวุ งศ์ ขา้ ทลู ละออง
ธุลีพระบาทราชบรพิ ารทั้งปวง ซง่ึ ทรงอภบิ าลบ�ำรุงสยามรัฐมหาชนบทนี้
เต จ รฏ€ฺ จฺ รกฺขนฺต ุ สยฺ ามรฏ€ฺ ิกเทวตา
สยฺ ามานํ รฏฺ€ปาลหี ิ ธมมฺ ามเิ สหิ ปชู ิตา
ขอเทพเจา้ ทงั้ หลายผสู้ งิ สถติ ในสยามรฐั นี้ ซง่ึ สมเดจ็ บรมบพติ รพระราชสมภารเจา้ ไดท้ รง
บูชาด้วยธรรมพลีอามิษพลีเนืองนิจ จงตั้งไมตรีจิตอภิบาลรักษาสมเด็จบรมบพิตร
พระราชสมภารเจา้ กบั ทง้ั รฐั มณฑลทว่ั จงั หวดั พระราชอาณาเขตตใ์ หส้ ถาพร พน้ สรรพ
อนั ตราย
สทิ ฺธมตถฺ ุ สิทธฺ มตถฺ ุ สทิ ฺธมตฺถุ อทิ ํ ผลํ
เอตสฺมึ รตนตฺตยสฺม ึ สมปฺ สาทนเจตโส
ขอผลของจิตท่เี ลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้น จงเปน็ ผลสำ� เร็จ จงเปน็ ผลส�ำเร็จ
จงเปน็ ผลสำ� เร็จ ตามพระบรมราชประสงค์ทกุ ประการ

55



พระราชประวัติ

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าสยาม

นาย เอ.บี.กริสโวลด์ : แต่ง
ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล : แปล

57

58

พระราชประวตั ิ

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าสยาม

บทท่ี ๑

ใน พ.ศ. ๒๓๙๔ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ขนึ้ เสวยราชย์
ในประเทศไทย มหาอ�ำนาจใจทวีปยุโรปได้พากันเข้าครอบครองดินแดนส่วนใหญ่
ในทวปี เอเชยี และกำ� ลงั เตรยี มทจ่ี ะเขา้ ครอบครองดนิ แดนสว่ นอนื่ ๆ ตอ่ ไปอกี พระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ ทรงเปน็ พระองคห์ นงึ่ ในบรรดาประมขุ ของประเทศในทวปี เอเชยี
แต่เพียงส่วนน้อยท่ีสามารถต่อต้านบรรดานักอาณานิคมเหล่าน้ัน ในขณะที่ประมุข
ของประเทศอ่ืนๆ ก�ำลังพยายามสู้รบอยู่อย่างไม่มีหวังหรือก�ำลังยอมแพ้แก่ประเทศ
มหาอำ� นาจ พระองคก์ ท็ รงสามารถรกั ษาอสิ รภาพของประเทศไทยไวไ้ ด้ และในขณะที่
ประเทศอ่ืนพยายามทีจ่ ะรกั ษาใหป้ ระเทศของตนปลอดภยั โดยปดิ ประตไู ม่ยอมรับ
อทิ ธิพลของประเทศทางทศิ ตะวันตก พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ กท็ รงคิดไดว้ ่า
วิธีเดียวที่ประเทศในทวีปเอเชียจะคงอยู่ได้ก็คือ ต้องยอมรับเอาอิทธิพลเหล่าน้ันมา
ปรับปรุงตนเองให้ทันสมยั วธิ นี ้ีเปน็ วิธที ี่ประเทศญ่ีปุ่นได้กระท�ำเช่นเดียวกันในเวลา
ตอ่ มา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ ไดท้ รงตระหนกั ดถี งึ ผลทเี่ กดิ ขน้ึ ในประเทศจนี
เมื่อประเทศนั้นพยายามผลักดันชาวตะวันตกออกไป พระองค์เกือบจะเป็นเพียง
องค์เดียวในบรรดาชาวไทยในขณะนั้นที่ทรงทราบดีว่าประเทศจีนแพ้ในสงครามฝิ่น

59

และไม่ทรงเช่ือในค�ำโฆษณาที่ว่าประเทศจีนยอมยกสิทธิตามสัญญาให้แก่อังกฤษ
เน่ืองจากต้องการการประนีประนอม ประเทศไทยต้องไม่ท�ำตามตัวอย่างเช่นน้ัน
ต้องยกเลิกการแยกอยู่อย่างโดดเด่ียวอย่างท่ีเคยท�ำกันมา ต้องยอมท�ำการค้ากับ
ตา่ งประเทศและรบั ความคดิ เหน็ ใหมๆ่ แกไ้ ขเปลยี่ นแปลงประเพณอี นั ลา้ สมยั ของตน
ประมุขของประเทศไทยในภายหน้าจ�ำต้องศึกษาถึงความละเอียดอ่อนของความ
คดิ เห็นทาง วิทยาการ การทูต และการปกครองบ้านเมอื งแบบตะวันตก

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ ทรงตระหนกั ดวี า่ การเปลยี่ นแปลงเชน่ นี้ ตอ้ งทำ�
ไปอยา่ งรวดเรว็ สง่ิ ใดทช่ี าตติ ะวนั ตกทำ� มาเปน็ เวลารอ้ ยๆ ปี ประเทศไทยตอ้ งทำ� ใหไ้ ด้
ในระยะเรว็ กวา่ นน้ั ตลอดเวลา ๑๗ ปี ทพี่ ระองคเ์ สดจ็ ขนึ้ ครองราชย์ พระองคก์ ไ็ ดท้ รง
เปลยี่ นโฉมหนา้ ทงั้ หมดของประเทศไทย ไดท้ รงเปดิ สมั พนั ธภาพทางการทตู กบั ประเทศ
อังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรฐั อเมริกา ทำ� ใหม้ กี ารติดต่อทางการคา้ ขายกบั ตา่ งประเทศ
อยา่ งกวา้ งขวาง ทรงเปดิ โอกาสใหช้ าวไทยได้รับความคดิ เห็นใหมๆ่ ทรงต้งั โรงพมิ พ์
สรา้ งถนน ขดุ คลอง และตง้ั เงนิ ตราสมยั ใหมข่ องไทยขนึ้ เปน็ ครงั้ แรก เพอ่ื ใหพ้ อเพยี ง
กบั การขยายตวั ทางการคา้ ขายของประเทศ ทรงเปลย่ี นแปลงระบบการปกครอง ตงั้ ที่
ปรกึ ษาตา่ งประเทศขนึ้ ในวงราชการ จา้ งชาวยโุ รปใหม้ าชว่ ยจดั กองทหารใหด้ ขี นึ้ และ
ตั้งก�ำลังต�ำรวจพระองค์ทรงสนับสนุนเสรีภาพในการนับถือศาสนาและอุดหนุนคณะ
สอนศาสนาครสิ เตยี น ทงั้ ในงานดา้ นการศกึ ษาและการแพทย์ พระองคท์ รงผอ่ นผนั ให้
ฐานะของทาสดขี นึ้ และทรงแนะอยเู่ สมอวา่ กฎหมายไมค่ วรคำ� นงึ ถงึ ยศถาบรรดาศกั ด์ิ

การเปลยี่ นแปลงของพระองค์ เปน็ การปฏวิ ตั ทิ แ่ี ปลกประหลาดทสี่ ดุ ครง้ั หนงึ่ ใน
ประวตั ศิ าสตร์ เพราะเหตวุ า่ ไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ จากประชามตซิ ง่ึ ไมม่ อี ยใู่ นขณะนนั้ หรอื เกดิ
จากความยนิ ยอมซง่ึ คณะนกั กา้ วหนา้ หนมุ่ ไดบ้ งั คบั เอาจากพระเจา้ แผน่ ดนิ ตรงกนั ขา้ ม
พระองคเ์ องทรงเปน็ ทงั้ พระเจ้าแผน่ ดนิ และผนู้ �ำคณะนักก้าวหน้าไปพร้อมกัน

[การทพี่ ระราชาในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ ทรงยอมเสยี สละอยา่ งเตม็ พระทยั
เพอื่ ปรบั ปรงุ ประเทศไปสรู่ ากฐานประชาธปิ ไตยสมยั ใหม่ ในขณะทร่ี าษฎรของพระองคเ์ อง
ก็ไม่ได้เคยนึกฝันถึงส่ิงนี้เลยน้ัน เป็นปริศนาซ่ึงชาวตะวันตกไม่อาจเข้าใจได้

60

แตส่ ง่ิ นกี้ เ็ ปน็ สง่ิ ธรรมดาเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ ไมไ่ ด้
ทรงเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรกหรือองค์สุดท้ายที่ทรงมีความก้าวหน้าไกลไปยิ่งกว่า
ราษฎรของพระองค์]
การเปล่ียนแปลงของพระองค์ในทางด้านศาสนาย่ิงมีความลึกซ้ึงมากขึ้นไปอีก
พระองค์ได้ทรงตัดความเชื่อถือในโชคลางต่างๆ ซึ่งเข้ามาผูกพันอยู่กับพุทธศาสนา
เป็นเวลาหลายร้อยปี ทรงส่งั สอนพุทธศาสนาอยา่ งบริสุทธ์ิ ท้งั นี้เพราะพระองค์ทรง
ตระหนกั ดวี า่ ในไมช่ า้ ประชาชนผไู้ ดร้ บั การศกึ ษาดขี น้ึ กจ็ ะเลกิ เชอ่ื ถอื สงิ่ เหลวไหลตา่ งๆ
เหลา่ นี้ และสง่ิ นก้ี อ็ าจทำ� ใหป้ ระชาชนเหลา่ นนั้ เลกิ เลอ่ื มใสในพทุ ธศาสนาตามไปดว้ ย
พระองคจ์ งึ ไดท้ รงชแี้ จงใหเ้ หน็ วา่ คำ� สงั่ สอนในพทุ ธศาสนานนั้ ถา้ เขา้ ใจใหถ้ กู ตอ้ งแลว้
กจ็ ะไมม่ อี ะไรทข่ี ดั ตอ่ สามญั สำ� นกึ หรอื ขดั กบั วทิ ยาศาสตรเ์ ลย พทุ ธศาสนาเปน็ แตเ่ พยี ง
ระบบทางจรรยา ซ่งึ เหมาะกบั ความต้องการในปัจจบุ นั อยา่ งย่งิ
วนั หนงึ่ เมอื่ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรเ์ กย่ี วกบั โลกทว่ั ไปกวา้ งขวางยงิ่ ขนึ้ พระนาม
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะได้รับการเทิดทูนสูงยิ่งกว่านามของ
ผสู้ รา้ งอาณาจกั รทงั้ หลายเสยี อกี แตใ่ นปจั จบุ นั ทางตะวนั ตกรจู้ กั พระองคก์ แ็ ตเ่ พยี งวา่
เป็นตวั ตลกขบขัน เป็นต้นว่าในเรอื่ ง Anna and the King และเรอื่ ง The King
and I เท่าน้นั .

61

บทท่ี ๒

สมเด็จเจ้าฟ้าชายมงกฎุ ฯ ประสูตใิ น พ.ศ. ๒๓๔๗ พระองค์เป็นพระราชนดั ดา
ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ผทู้ รงสถาปนาพระราชวงศจ์ กั รี และเปน็
พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ผเู้ สดจ็ ขน้ึ เสวยราชยใ์ น พ.ศ.
๒๓๕๒ นอกจากทรงมพี ระอนชุ าซงึ่ พระองคโ์ ปรดปรานมากแลว้ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ฯ
ยังทรงมีพระเชษฐาอนุชาเชษฐภคินีและขนิษฐาต่างพระมารดาอีกหลายพระองค์
พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระราชโอรสองค์ใหญ่ที่ประสูติจากพระอัครมเหษี ดังน้ัน
โดยทั่วไปจึงถือกันว่าทรงเป็นรัชทายาท แต่การสืบราชสันตติวงศ์นี้ก็ไม่มีกฎหมาย
ก�ำหนดไว้โดยแน่นอน เม่ือพระมหากษัตริย์สวรรคต ที่ปรึกษาอันประกอบด้วย
เจา้ นายและข้าราชการช้ันสงู กเ็ ลอื กพระราชาองคใ์ หมข่ ึ้น โดยท่ัวไปก็มักเลือกสมเดจ็
พระราชโอรสองคแ์ รกทป่ี ระสตู แิ ตพ่ ระอคั รมเหษี แตก่ ไ็ มม่ คี วามจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งกระทำ�
ดงั น้ีเสมอไป

ในขณะนน้ั ประเทศไทยกำ� ลงั ฟน้ื ตวั อยา่ งรวดเรว็ จากความหายนะอนั เกดิ จาก
สงครามกับพม่า ซ่ึงได้ท�ำให้ประเทศเสียหายไปเป็นอันมากในชั่วระยะบรรพบุรุษ
รนุ่ ก่อน

กรงุ ศรอี ยธุ ยาราชธานี สมยั กอ่ นยงั คงปรกั หกั พงั อยรู่ าว ๔๐ ไมล์ เหนอื กรงุ เทพฯ
ราชธานีแห่งน้ีใหญ่กว่ากรุงลอนดอนในสมัยเดียวกัน ชาวยุโรปผู้ได้มาเห็นความ
รงุ่ เรอื งของเมอื งน้ี ในขณะนน้ั กอ็ ดทจี่ ะเรยี กไมไ่ ดว้ า่ เปน็ นครเวนสิ ทางทศิ ตะวนั ออก

62

ท้ังน้ีเพราะมีล�ำคลองเป็นจ�ำนวนมากท่ีตัดผ่านไปตามพระราชวังอันสูงสกาวสง่างาม
และวดั ทมี่ ยี อดสง่ สที องงามระยบั บรรดาเรอื พระทนี่ งั่ และเรอื หลวงซง่ึ สลกั เสลาอยา่ ง
สวยงาม มบี ษุ บกตง้ั อยภู่ ายใน กแ็ ลน่ ตามขบวนผา่ นไปตามลำ� นำ้� เหลา่ นี้ ตามวดั ตา่ งๆ
เปน็ จำ� นวนรอ้ ยๆ บรรดาพระภกิ ษสุ งฆต์ า่ งกแ็ สดงความเคารพตอ่ พระพทุ ธองค์ ซงึ่ มี
พระพทุ ธรปู ทำ� ดว้ ยสมั ฤทธหิ์ รอื ปนู ปน้ั ปดิ ทองอยเู่ ปน็ จำ� นวนนบั ไมถ่ ว้ น พอ่ คา้ ชาวยโุ รป
และเอเซยี กม็ าคา้ ขายในตลาด ณ ราชธานแี หง่ นี้ ในขณะทบี่ รรดาเจา้ ประเทศราชตา่ งกส็ ง่
ผา้ ไหม เครอ่ื งเพชรนลิ จนิ ดา และตน้ ไมท้ อง เงนิ มาเปน็ เครอ่ื งราชบรรณาการ ถวายแด่
พระมหากษตั รยิ ์ ประเทศไทยมง่ั คง่ั มากในขณะนนั้ แตก่ ารปอ้ งกนั ประเทศยงั ออ่ นแอ
ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทพั พมา่ จงึ เขา้ ยดึ เอาราชธานอี นั สวยงามแหง่ นไ้ี วไ้ ด้ ไดแ้ ยง่ ชงิ เอา
สมบัตอิ นั มคี ่าตา่ งๆ ไป และเผาทงิ้ กรงุ ศรีอยุธยาไว้เปน็ สง่ิ ซากหกั พงั

๒-๓ เดอื นตอ่ มา ชาวไทยกส็ ามารถขบั ไลผ่ รู้ กุ รานออกไปไดแ้ ตก่ ไ็ มไ่ ดพ้ ยายาม
ซ่อมแซมราชธานีเก่าขึ้นอีก ผู้ปกครองประเทศในขณะนั้นได้สร้างราชธานีใหม่ท่ี
กรุงเทพฯ ใต้ลงไปตามล�ำน้�ำ ในครง้ั แรกไดส้ ร้างขึ้นบนฝงั่ ขวา แต่ตอ่ มาก็ย้ายมาอยู่
บนฝัง่ ซา้ ย พระราชวงั และวดั ต่างๆ เร่มิ เกิดมีขน้ึ เลียนแบบความรงุ่ เรอื งในสมยั กอ่ น
ที่ยังคงทรงจ�ำกนั อยไู่ ด้ คือมอี าคารผนังขาวหนารองรับหลังคามงุ กระเบื้องทีซ่ ้อนกนั
อยู่เป็นชั้นๆ พระยานาคประดับทองเลื้อยอยู่บนหลังคาหรือทอดตัวลงมาตามขอบ
หนา้ บรรณ เพ่ือขบั ไลภ่ ตู ผปี ีศาจให้หนไี ป ช่างเขยี นกว็ าดภาพบนผนงั ภายในอาคาร
ดว้ ยสที ค่ี อ่ นขา้ งสดหรอื เขม้ เปน็ ภาพภมู ปิ ระเทศแสดงพระพทุ ธองคก์ ำ� ลงั ทรงรบั ของ
ถวายจากบรรดาเจา้ นาย ซง่ึ แตง่ องคต์ ามแบบราชสำ� นกั ไทย ในขณะเดยี วกนั ภาพบคุ คล
ซง่ึ วาดตามนยิ ายภาษาสนั สกฤตกน็ งั่ อยอู่ ยา่ งสงา่ งาม ภายในปราสาทเลยี นแบบของจรงิ
ที่กำ� ลังสรา้ งอยู่ ในระยะนน้ั บรรดาเรอื ตา่ งๆ ก็บรรทกุ ทรัพย์สมบัตซิ ึ่งซอ่ นไวไ้ ดจ้ าก
ขา้ ศกึ ลอ่ งลงมาตามลำ� นำ�้ และหมแู่ พกล็ อ่ งนำ� พระพทุ ธรปู สมยั เกา่ ขนาดใหญล่ งมาจาก
เมอื งตา่ งๆ ทถ่ี กู ทำ� ลายลงไป สำ� หรบั ประชาชนสว่ นใหญอ่ าศยั อยใู่ นเรอื นแพ ซง่ึ สรา้ ง
ดว้ ยไมไ้ ผส่ านหรอื ไมก้ ระดาน หนา้ จว่ั ของเรอื นแพเหลา่ นสี้ ลกั เลยี นรปู พระยานาคอยา่ ง
หยาบๆ เรอื นแพเหลา่ นสี้ บายและสะดวกมาก เพราะเหตวุ า่ ในอากาศรอ้ นของเมอื งไทย
นนั้ ยอ่ มมกี ระแสลมพดั อยเู่ สมอบนผวิ นำ�้ นอกจากนนั้ แมน่ ำ้� ยงั เปน็ ทงั้ ทซ่ี กั ผา้ อาบนำ�้

63

และสายคมนาคมไปพรอ้ มกนั ประชาชนเองกส็ ะเทนิ นำ้� สะเทนิ บก คอื เรยี นวา่ ยนำ�้ และ
พายเรอื ไปเกือบๆ พร้อมกบั การหัดเดนิ

ในขณะนนั้ ประเทศไทยยงั คงเปน็ ประเทศทไี่ มส่ นใจกบั โลกภายนอก การสงคราม
กบั เพอื่ นบา้ น รวมทง้ั การปฏวิ ตั ใิ นประเทศฝรง่ั เศส ตลอดจนความยงุ่ ยากในทวปี ยโุ รป
ทำ� ใหก้ ารคา้ ขายซง่ึ ประเทศไทยเคยตดิ ตอ่ กบั ประเทศองั กฤษ ฝรงั่ เศสและฮอลแลนด์
ต้องหยุดชะงกั ลงเน่ืองจากการติดต่อแต่ครัง้ กอ่ นเหลา่ น้ี ประเทศไทยยงั คงท�ำได้แต่
เพยี งการหลอ่ ปนื ใหญ่ การใชป้ นื ไฟ ยา ๒-๓ ชนดิ และขนมฝรงั่ เศสเทา่ นนั้ ในตอนตน้
สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ประเทศไทยไมม่ กี ารตดิ ตอ่ ทางการทตู กบั ประเทศใดเลยนอกจาก
ประเทศจนี และมกี ารตดิ ตอ่ ทางการคา้ ขายกบั ประเทศจนี และประเทศอนิ เดยี เทา่ นน้ั
ไม่มีคนไทยคนใดเลยท่ีสามารถพูดภาษาในทวีปยุโรปได้ ชาวยุโรปที่อาศัยอยู่ใน
ประเทศไทยกม็ แี ตเ่ พยี งหมอสอนศาสนาชาวฝรง่ั เศส และพอ่ คา้ ชาวโปรตเุ กส ๒-๓ คน
หมอสอนศาสนาชาวอเมรกิ นั เรมิ่ เขา้ มาถงึ ใน พ.ศ. ๒๓๗๑ เมอ่ื การตดิ ตอ่ ทางการคา้ ขาย
เรม่ิ มขี น้ึ อกี กบั ทวปี ยโุ รป การตดิ ตอ่ กเ็ ปน็ ไปอยา่ งชา้ มาก และคณะทตู ทางการคา้ ของ
อังกฤษท่เี ขา้ มาก็ไมส่ ามารถทำ� ประโยชนอ์ ะไรได้มาก

ในขณะน้ัน มีถนนแต่เพียงเล็กน้อย ประชาชนส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยการ
คมนาคมทางนำ�้ คอื บรรดาแมน่ ำ้� และคลองตา่ งๆ ยาทใี่ ชก้ ม็ แี ตเ่ พยี งสมนุ ไพรประกอบ
กบั เวทมนตค์ าถา ระบบประสาทและทางเดนิ ของเลอื ดกใ็ ชร้ กั ษาดว้ ยวธิ นี วด ภมู ศิ าสตร์
และดาราศาสตรก์ ศ็ กึ ษาจากรากฐานของนยิ ายจากอนิ เดยี ไมม่ มี หาวทิ ยาลยั และโรงเรยี น
นอกจากวดั การตพี มิ พห์ นงั สอื กไ็ มเ่ ปน็ ทรี่ จู้ กั กนั หนงั สอื หายากและราคาแพงมาก เพราะ
เหตุว่ามีอยู่แต่เพียงในรูปคัมภีร์ใบลานหรือสมุดไทยที่คัดลอกต่อกันลงมาด้วยมือ
เทา่ น้นั

ประชาชนสว่ นใหญเ่ ชอื่ ในสงั สารวฏั อยา่ งแทจ้ รงิ คอื สง่ิ ทมี่ ชี วี ติ ทง้ั หมดไมเ่ ฉพาะ
แต่มนษุ ยเ์ ทา่ นน้ั ตอ้ งตกอย่ภู ายใต้ห้วงแหง่ สังสารวัฏ การกระท�ำไม่วา่ ดีหรอื ช่ัวของ
ทกุ ชวี ติ ยอ่ มสง่ ผลไปถงึ สถานะของเขาในชาตหิ นา้ ทงั้ เทวดาและยกั ษย์ อ่ มตอ้ งสนิ้ ชพี
ทา่ นเหลา่ นเี้ มอื่ ครง้ั หนง่ึ กเ็ คยเปน็ มนษุ ย์ และปจั จบุ นั กำ� ลงั ถกู ลงโทษหรอื ไดร้ บั รางวลั

64

ชว่ั ขณะจากกรรมทก่ี ระทำ� มาแลว้ ในชาตกิ อ่ น การเวยี นวา่ ยตายเกดิ น้ี ยอ่ มมอี ยตู่ อ่ ไป
ไม่มีท่ีสิ้นสุด สัตว์ในปัจจุบันอาจตายไปเกิดเป็นเจ้าชายในชาติหน้า เนื่องจากท�ำ
กรรมดไี วใ้ นชาตนิ ี้ และเทวดาในปจั จบุ นั ถา้ ประพฤตไิ มด่ กี อ็ าจไปเกดิ เปน็ ลกู ขอทาน
หรอื คนทพุ พลภาพได้ ผูท้ ต่ี อ้ งการไปเกิดดี ย่อมตอ้ งทำ� บุญ และบุญแตล่ ะอยา่ งก็มี
ราคากำ� หนดไวล้ ว่ งหนา้ เปน็ ตน้ วา่ เทา่ นนั้ สำ� หรบั การอทุ ศิ เงนิ ถวายวดั เทา่ นส้ี ำ� หรบั การ
ถวายอาหารแดพ่ ระภกิ ษุและสามเณร เทา่ น้นั สำ� หรบั การปลอ่ ยนก และเท่านี้สำ� หรบั
ให้ทาน แต่ถ้าพุทธศาสนาจะอ�ำนวยประโยชน์ให้แก่การท�ำบุญเพ่ือผลในชาติหน้า
ในชาตนิ ก้ี ย็ งั มปี ญั หาอกี มากมาย เปน็ ตน้ วา่ การหาเงนิ ขจดั ภยนั ตรายและโรคภยั ไขเ้ จบ็
ตลอดจนท�ำให้คนรักใคร่ ปัญหาเหล่านมี้ ีภตู ผตี า่ งๆ ซ่งึ สิงสถติ อยู่บนบก ในทะเล
และบนฟา้ เปน็ ผคู้ วบคมุ คอื มภี ตู ผอี ยใู่ นตน้ ไมท้ กุ ตน้ และหนิ ทกุ กอ้ น ในสระทกุ แหง่
และแม่น้�ำทุกสาย ในเมฆและในดวงดาว ภูตผีเหล่านี้อาจท�ำให้ฝนตกหรือฝนแล้ง
พชื ผลดหี รอื เลว รวมทงั้ ความสำ� เรจ็ หรอื หายนะ ทง้ั ในความรกั การพนนั และการสงคราม
แม้ว่าภูตผีเหล่านี้จะมีอิทธิฤทธ์ิมาก แต่ก็อาจท�ำให้สงบได้ด้วยการเซ่นสังเวยด้วย
อาหารและดอกไม้ หรือท�ำให้นิ่งไปด้วยการสาปแช่ง ในปัจจุบันเฉพาะแต่คนที่ไม่
ร้จู ักคดิ จงึ จะเชือ่ ถอื ภตู ผเี หล่าน้เี ป็นจริงเป็นจัง แตใ่ นสมัยนัน้ เกอื บทุกคนไม่ว่าจะ
ได้รบั การศกึ ษาสงู เพียงใด ย่อมเช่อื ในภตู ผีเหล่าน้ี และพยายามอยา่ งยงิ่ ท่ีจะทำ� ให้
ผเี หลา่ นัน้ สงบ

ในขณะนนั้ ชาวไทยกน็ บั ถอื พทุ ธศาสนาลทั ธเิ ถรวาท (หรอื หนี ยาน) ดงั ในปจั จบุ นั
ซงึ่ มกั กลา่ วกนั วา่ ศาสนานไี้ มม่ พี ระเจา้ เพราะตามความจรงิ กค็ อื คำ� สง่ั สอนทเ่ี กยี่ วกบั
จติ วทิ ยาและจรรยา โดยไมม่ เี ทวดาเปน็ สว่ นสำ� คญั พทุ ธศาสนาลทั ธหิ นี ยานมจี ดุ มงุ่ หมาย
แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว คอื การหลดุ พน้ จากทกุ ข์ และการหลดุ พน้ นก้ี อ็ าจทำ� ไดโ้ ดยมนษุ ย์
โดยไม่ต้องมีพระเจ้าเข้ามาช่วย วิธีหลุดพ้นก็คือการพิจารณาถึงกฎแห่งเหตุและผล
แล้วปฏบิ ัติตนใหเ้ หมาะสม เหตแุ ห่งทกุ ข์ก็คือตณั หา พยาบาท และ อวิชชา ถ้าท�ำให้
เหตุแห่งทกุ ขเ์ หลา่ นี้หมดไปไดท้ กุ ข์กจ็ ะหายไปดว้ ย แมว้ า่ วิธีนฟี้ งั ดจู ะง่าย แต่ในทาง
ปฏบิ ตั กิ ไ็ มใ่ ชข่ องงา่ ยนกั สำ� หรบั ทางดา้ นการละเวน้ พทุ ธศาสนกิ ชนทกุ คนจำ� ตอ้ งละเวน้
ไมก่ ระทำ� สงิ่ ชั่ว ๕ ประการคือ การดมื่ เครื่องดองของเมา การผิดลูกผดิ เมยี พูดมสุ า

65

ลักขโมย และฆ่าสัตวต์ ัดชวี ติ ทางดา้ นส่งิ ที่ควรกระท�ำก็คือ พยายามควบคุมตนเอง
อดทน และมคี วามกรณุ าตอ่ สงิ่ ทม่ี ชี วี ติ ทง้ั หลาย ทก่ี ลา่ วมานเ้ี ปน็ หลกั ปฏบิ ตั ขิ นั้ ตำ่� ทสี่ ดุ
ของศาสนาพทุ ธ ประชาชนโดยทวั่ ไปยอ่ มไมอ่ าจตอ่ สกู้ บั อวชิ ชาได้ แตโ่ ดยทว่ั ไปกอ็ าจ
ทำ� ไดท้ างออ้ ม ดว้ ยการสนบั สนนุ ความเปน็ อยขู่ องพระภกิ ษสุ งฆ์ ผมู้ หี นา้ ทโ่ี ดยเฉพาะ
สำ� หรับก�ำจัดอวชิ ชา
กฎของพระภกิ ษสุ งฆม์ อี ยมู่ ากกวา่ หลกั ปฏบิ ตั ขิ น้ั ตำ่� ทส่ี ดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชนเปน็
จำ� นวนมาก นอกจากหลกั ปฏบิ ตั ขิ น้ั ตำ�่ ทส่ี ดุ แลว้ พระสงฆย์ งั ตอ้ งตดั สงิ่ ตา่ งๆ ทจ่ี ำ� เปน็ แก่
ประชาชนโดยทัว่ ไป เป็นต้นวา่ การผกู พันกับครอบครัว ท�ำงานหาเลี้ยงชพี และกิจ
ประจำ� วนั อืน่ ๆ ท่ไี ม่มีความผิด ทง้ั นีเ้ พราะงานเหลา่ นจ้ี ะทำ� ใหพ้ ระสงฆต์ อ้ งเสยี เวลา
สำ� หรบั หนา้ ทขี่ องตน พระสงฆต์ อ้ งไมม่ ภี รรยา แตจ่ ะรกั ษาวนิ ยั อยา่ งเขม้ งวด ไดร้ บั อาหาร
และทีอ่ ยูก่ ็จากผลทานทีป่ ระชาชนบรจิ าค พระสงฆเ์ หล่าน้ีแบง่ หน้าที่ของตนคล้ายกับ
ในมหาวิทยาลัยปัจจบุ นั คอื มหี น้าทีท่ ้งั ทางด้านการศึกษาและวิจัย พระสงฆ์บางรปู
ชำ� นาญในภาษาบาลซี ง่ึ เปน็ ภาษาทใี่ ชใ้ นพระไตรปฎิ ก สามารถรอบรพู้ ระธรรมวนิ ยั เปน็
อยา่ งดี และสอนแกป่ ระชาชน แตบ่ างรปู กช็ ำ� นาญในการฝกึ ฝนจติ ใจตนเองใหบ้ รสิ ทุ ธิ์
สะอาดด้วยการบ�ำเพญ็ สมาธิ
โดยทั่วไป พระสงฆ์ก็บ�ำเพ็ญหน้าที่ของตนมาได้เป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา
หลายรอ้ ยปใี นดนิ แดนทพี่ ทุ ธศาสนาลทั ธเิ ถรวาทรงุ่ เรอื ง คอื บนเกาะลงั กา ในประเทศ
พมา่ ไทย กมั พชู า และลาว แตบ่ างครง้ั ในประเทศเหลา่ น้ี สงั ฆภาวะกเ็ สอ่ื มทรามลงและ
ตอ้ งการช�ำระใหม่ใหบ้ รสิ ุทธิ์ พฤติการณ์เชน่ นี้ก็เพ่งิ เกดิ ขึ้นในประเทศไทย
การสงครามกบั พมา่ ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี หายอยา่ งยากทจี่ ะประมาณได้ ราชธานี
เกา่ คอื กรงุ ศรอี ยธุ ยาไดเ้ คยเปน็ ศนู ยก์ ลางอยา่ งสำ� คญั ในการศกึ ษาของพระภกิ ษสุ งฆ์
มาแตก่ อ่ น และเมอื่ เมอื งนถ้ี กู ทำ� ลายลงใน พ.ศ. ๒๓๑๐ วดั วาอารามสว่ นใหญต่ ลอดจน
พระคัมภีร์ต่างๆ ก็ถูกไฟเผาไปเกือบจะหมดส้ิน ผู้คนต่างก็แตกแยกและหลบ
หนีไปเทา่ ทจี่ ะไปได้ นอกจากนเี้ มอื่ ประชาชนทอี่ ดอยากไม่สามารถจะบ�ำเพ็ญทานได้
พวกพระสงฆก์ ต็ อ้ งดำ� รงชวี ติ อยโู่ ดยวธิ อี นื่ ถงึ ตอ้ งสกึ ไปทำ� งานในนาหรอื ในปา่ บางคน
กข็ ายเครื่องรางและยาเสน่ห์ บางคนเมอ่ื หมดหนทางเขา้ จรงิ ๆ กต็ อ้ งหันไปลกั ขโมย

66

ตอ่ มาเหตกุ ารณใ์ นประเทศไทยกค็ อ่ ยๆ สงบลง มผี นู้ ยิ มบรจิ าคทานดงั แตก่ อ่ น
และกรงุ รัตนโกสินทร์คือราชธานใี หม่ก็เตม็ ไปดว้ ยวัดวาอาราม สถานะของพระสงฆ์
กค็ อ่ ยๆ ดขี ้ึน แม้วา่ ในวัดต่างๆ ส่วนใหญ่จะไม่มีการศกึ ษา แต่กย็ งั มีพระภกิ ษสุ งฆ์
ท่ีทรงความรู้ในภาษาบาลีเป็นจ�ำนวนมาก พอที่จะท�ำการสังคายนาพระไตรปิฎกได้
พระสงฆเ์ หลา่ นเี้ รยี นรพู้ ระไตรปฎิ กขนึ้ ใจ และอาจศกึ ษาเปรยี บเทยี บกบั พระคมั ภรี ท์ ี่
ยังคงมเี หลอื อยู่ในต่างจงั หวดั ในระยะน้ีการบ�ำเพ็ญสมาธิก็ใช้ส�ำหรบั แสดงอทิ ธฤิ ทธ์ิ
ยง่ิ กวา่ การชำ� ระจติ ใจใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ แตแ่ มว้ า่ วธิ ปี ฏบิ ตั เิ ชน่ นจ้ี ะเปน็ สง่ิ ทผี่ ดิ กย็ งั มพี ระสงฆ์
หลายรปู ทเี่ ขา้ ใจในวธิ ดี งั กลา่ ว พระสงฆเ์ หลา่ นอ้ี ยแู่ บบฤๅษี คอื ทรมานรา่ งกายของตน
และใชเ้ มตตาของตนปราบให้นกและกวางในปา่ เช่ืองได้

ตงั้ แตเ่ มอ่ื สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงทราบความ พระสงฆก์ เ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ ในชวี ติ ของ
พระองค์ ดว้ ยทกุ เชา้ จะมพี ระสงฆเ์ ปน็ แถวยาว สวมจวี รสเี หลอื ง เดนิ ผา่ นประตพู ระบรม
มหาราชวังเข้ามา และยืนสงบนิ่งในขณะท่ีได้รอรับอาหาร สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎเอง
กอ็ าจเคยถวายอาหารแด่พระภกิ ษุสงฆ์ด้วยพระหตั ถ์ เมื่อมีพระราชพิธใี นพระราชวัง
ซง่ึ กม็ ีอย่บู ่อยๆ จะมกี ารนมิ นต์พระภิกษุเข้ามาฉนั ราวเวลาห้าโมงเช้า ทัง้ น้ีเพราะพระ
สงฆ์ไม่อาจฉนั เลยเวลาเท่ียงไปได้ และต่อหน้าพระสงฆ์แต่ละรูป กม็ เี จา้ นายประทับ
อยดู่ ว้ ยความเคารพ เจา้ นายเหลา่ นไ้ี มไ่ ดเ้ สวย แตท่ รงคอยระวงั ดใู หพ้ ระสงฆเ์ หลา่ นน้ั
มีทกุ สง่ิ ท่ีต้องการระหวา่ งเวลาฉนั ใหพ้ ร้อมบรบิ ูรณ์

สังฆภาวะเปน็ ศนู ย์กลางอันหน่งึ ของชวี ิตวฒั นธรรมไทย ศนู ยก์ ลางอกี อันหน่ึง
กค็ อื ชนชน้ั สงู ไดแ้ กบ่ รรดาเจา้ นายและขนุ นางผใู้ หญซ่ ง่ึ เปน็ ผอู้ ปุ ถมั ภแ์ กส่ ถาปตั ยกรรม
จติ รกรรม ดนตรี และละคร ชา่ งทชี่ ำ� นาญกส็ รา้ งเครอื่ งเรอื นสำ� หรบั ทา่ นเหลา่ น้ี ดว้ ยการ
สลกั หรอื วาดเปน็ ลวดลายดอกไมแ้ ละเครอื เถาอยา่ งละเอยี ด หรอื มฉิ ะนน้ั กฝ็ งั ลายมกุ
ลงบนพื้น ส�ำหรับตวั ละคร ชา่ งก็สรา้ งเครอื่ งแต่งตวั ทเี่ ลือ่ มพรอ้ ยไปดว้ ยลายปกั และ
สร้างหวั โขนดว้ ยกระดาษที่แสดงทงั้ ความสวยงาม นา่ กลัวหรือนา่ ขัน บรรดาเครื่อง
ใชส้ อยของเจา้ นาย ลว้ นแสดงถงึ ฝมี อื อนั ละเอยี ดออ่ นและลวดลายเครอื่ งตกแตง่ อยา่ ง
ปราณตี ตง้ั แตข่ นั ถมไปจนถงึ เครอ่ื งทองประดบั เพชรพลอย เสลยี่ งและกบู ชา้ งไปจนถงึ

67

โตะ๊ สกาและหมากรุก สาวชาววังซ่งึ บุคคลภายนอกไมอ่ าจแลเห็นได้นอกจากพระเจ้า
แผ่นดิน ก็ใช้เวลาว่างไปในการคิดประดิษฐ์ส่ิงท่ีสวยงาม บรรดาสาวชาววังเหล่าน้ี
รอ้ งเพลงไปพรอ้ มกบั เลน่ ดนตรี ซงึ่ ทง้ั นา่ ดแู ละนา่ ฟงั ตา่ งประดษิ ฐศ์ ลิ ปการบา้ นเรอื นขน้ึ
อยา่ งสูงสง่ เปน็ ต้นวา่ ทอและปักผ้าอนั ละเอียด ตระเตรียมอาหารอันโอชะ ร้อยหรือ
ประดษิ ฐด์ อกไมซ้ ึ่งไมช่ ้าก็จะรว่ งโรยไปท่ามกลางความร้อน

ตามทฤษฎี พระราชาแหง่ ประเทศไทยทรงปกครองแผน่ ดนิ อยา่ งสมบรู ณาญา-
สทิ ธริ าชย์ ทรงเปน็ เจา้ ชวี ติ และประชาชนกเ็ ปน็ สมบตั ขิ องพระองค์ ทอ่ี าจกำ� จดั เสยี เมอื่ ใด
กไ็ ด้ ผ้ทู ี่เขา้ เฝ้าพระราชาไมว่ า่ จะเป็นเสนาบดหี รือทาส ย่อมตอ้ งคลานอยู่กับพืน้ และ
กม้ ศรี ษะใหต้ ำ�่ กวา่ พระบาทของพระองค์ ผทู้ ผี่ า่ นมาหนา้ ประตพู ระราชวงั กต็ อ้ งกระทำ�
ความเคารพเชน่ เดยี วกนั พระราชาเองไมใ่ ครเ่ สดจ็ ออกนอกพระราชวงั และเมอื่ เสดจ็ ออก
ประชาชนก็ถูกห้ามไม่ให้จ้องมองดูพระองค์ เม่ือเสด็จทางบกพระราชาจะทรงช้างที่
ตกแตง่ ดว้ ยพระคชาธารหรอื ประทบั บนเสลย่ี งทองมคี นหาม ๑๒ คน เมอ่ื เสดจ็ ลงจาก
ราชพาหนะ กม็ ผี คู้ อยกน้ั กลดถวาย เมอื่ เสดจ็ ทางนำ�้ กท็ รงเรอื พระทน่ี งั่ สลกั เปน็ รปู สตั ว์
ตามเทพนิยาย มฝี พี าย ๘๐ หรือ ๑๐๐ คน และมเี รืออื่นๆ ของขา้ ราชการทีแ่ ตง่ กาย
อย่างสวยงามตามเสดจ็ เปน็ จ�ำนวนมากมาย

ความจรงิ พระเจา้ แผน่ ดนิ ไทยทรงดำ� รงตำ� แหนง่ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ กแ็ ตใ่ น
ทางด้านทฤษฎีเท่านั้น ประเพณีเช่นนี้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของชนชาติไทย ซ่ึงได้เข้า
ครอบครองประเทศไทยมาตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๘ ทฤษฎีในการปกครองระบอบ
สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยน์ นั้ ชนชาตไิ ทยไดร้ บั มาจากชนชาตขิ อม ซงึ่ เคยเขา้ ครอบครอง
ประเทศไทยมาแตก่ ่อน

ชาวขอมในขณะทเ่ี ขา้ ครอบครองประเทศไทย (ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖) สว่ นใหญ่
นับถือศาสนาพราหมณ์ ศาสนานแี้ ตกตา่ งจากพทุ ธศาสนาอย่างตรงกันขา้ ม คอื เป็น
ศาสนาทีเ่ คารพนับถือเทวดา พระราชาขอมผูค้ รองราชย์อยู่ในราชธานีอันโออ่ ่าทเี่ มือง
พระนคร กถ็ อื พระองคว์ า่ เปน็ สมมตุ เิ ทพอวตารลงมาจากพระอศิ วร หรอื พระนารายณ์
การเคารพบชู าเทวราชเปน็ สว่ นสำ� คญั ของชวี ติ ของขอม ทำ� ใหม้ กี ารสรา้ งศาสนสถานขนึ้

68

อย่างมากมาย และเป็นศูนย์กลางทางด้านจิตใจท่ีรวบรวมประเทศเข้าเป็นอันหน่ึง
อนั เดยี วกนั บรรดาเจา้ นายและพวกพราหมณข์ องขอม ตา่ งกแ็ บง่ อำ� นาจและเกยี รตยิ ศ
ระหวา่ งกันเองโดยมีระบบวรรณะเปน็ เครือ่ งสนบั สนนุ ประชาชนส่วนใหญไ่ ม่มสี ว่ น
เก่ียวข้องอะไรเลย นอกจากรับใช้ท่านเหล่านี้ พราหมณ์เป็นผู้ที่เช่ียวชาญในภาษา
สนั สกฤต จงึ เปน็ ทงั้ รฐั บรุ ษุ นกั บวช แพทย์ ผพู้ พิ ากษา นกั ปรชั ญา กวี ผนู้ ำ� ทางดา้ นศลิ ป
และยังเปน็ ผู้ทราบถงึ พระประสงคข์ องพระผ้เู ปน็ เจา้ ระบบเช่นน้เี ป็นระบบท่ีชาวขอม
นำ� มาใชใ้ นจกั รวรรดขิ องตน จงึ ยอ่ มเปน็ ธรรมดาอยเู่ องทไี่ มส่ ามารถไดผ้ ลในทอ้ งถน่ิ
ที่ห่างไกลเหมือนกับในประเทศกัมพูชาเอง ประชาชนส่วนใหญ่ท่ีได้รับการศึกษาใน
ประเทศไทยขณะนน้ั ก็คือชนชาติมอญ พวกมอญเหลา่ นนี้ ับถือพทุ ธศาสนา และย่อม
ไมย่ อมเคารพระบบวรรณะ ดังเช่นพวกพราหมณใ์ ช้แบ่งช้ันบุคคลในสงั คม

ชนชาติไทยซ่ึงเป็นผู้ให้ช่ือและภาษาแก่ชาวไทยสยามในปัจจุบันเป็นผู้ท่ีเข้ามา
ทีหลัง พวกนี้ได้อพยพมาจากประเทศจีน ซึ่งตนเคยอยู่เป็นชนหมู่น้อยมาแต่ก่อน
ชนชาตไิ ทยเปน็ ประชาชนทชี่ อบอสิ ระกลา้ หาญในการสงคราม สนกุ สนานในยามสงบ
มคี วามคดิ เฉยี บแหลมและไมช่ อบขนบประเพณที โี่ ออ่ า่ ชนชาตไิ ทยเหลา่ นไี้ ดร้ วบรวม
เขา้ เป็นกล่มุ เลก็ ๆ ปกครองตนเอง มีระบบการปกครองแบบพ่อกับลูกโดยมหี วั หน้า
ทง้ั นกี้ ด็ ว้ ยความเหน็ ชอบของประชาชน แตล่ ะหมตู่ า่ งมคี วามสามคั คภี ายใน คอื สมาชกิ
ต่างก็พ่งึ พาซ่ึงกันและกนั และมีสมานฉนั ท์มั่นคง

ชนชาติไทยหลายกลุ่มได้อพยพเข้ามาในภาคเอเซียอาคเนย์เพ่ือแสวงหาท่ีดิน
อนั อุดมสมบูรณ์ และให้หลดุ พน้ จากการครอบครองของชาตจิ ีน เขาได้เข้ามาอยู่ใน
ดินแดนรอบนอกของจกั รวรรดขิ อม มีการปกครองโดยเจา้ ไทยผู้เป็นประเทศราชต่อ
พระราชาขอม ชนชาตไิ ทยเหลา่ นแ้ี ตแ่ รกยอ่ มเคารพบชู าบรรพบรุ ษุ และภตู ผี แตต่ อ่ มา
เนอ่ื งจากไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากพวกมอญกห็ นั มานบั ถอื พทุ ธศาสนาลทั ธเิ ถรวาทดว้ ยความ
อ่อนโยนและสามัญส�ำนึกของพุทธศาสนา ลัทธิน้ีจึงเป็นท่ีต้องใจยอมรับนับถือของ
ชาวไทยเป็นอันมาก

69

ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ หวั หนา้ ชาวไทย ๒ ทา่ น ซงึ่ อาศยั อยใู่ นแถบเมอื งสโุ ขทยั
ทางภาคกลางของประเทศไทยไดป้ ระกาศตนเปน็ อสิ ระจากอำ� นาจของประเทศกมั พชู า
ในระยะตอ่ มา ภายใตร้ ชั สมยั ของพอ่ ขนุ รามคำ� แหงมหาราช อาณาเขตของประเทศไทย
ก็ได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว และในตอนปลายรัชกาลของพระองค์ก็เกือบ
ครอบคลมุ ดนิ แดนของประเทศไทยทง้ั หมดในปัจจบุ ัน พระราชาไทยแหง่ อาณาจักร
สโุ ขทยั ไมค่ อ่ ยจะถอื พระองค์ และโปรดเสดจ็ ออกปะปนกบั ประชาชนอยา่ งสนทิ สนม
ทรงถอื วา่ พระองคเ์ ปน็ พอ่ ของประชาชน เอาพระทยั ใสใ่ นสขุ ทกุ ขข์ องประชาชน เชน่ เดยี ว
กบั พอ่ เอาใจใส่ในสุขทกุ ข์ของลูก การปกครองเชน่ นีม้ ีประโยชนท์ างดา้ นปฏบิ ัติดว้ ย
เพราะเหตุว่านอกไปจากเมืองต่างๆ ท่ีอยู่ใกล้ราชธานีแล้ว พระราชาแห่งอาณาจักร
สโุ ขทยั ก็ปกครองประเทศของพระองค์ทางดา้ นเจ้าประเทศราช ดงั นนั้ ความจำ� เปน็
ในมิตรภาพและความจงรกั ภกั ดีของเจ้าประเทศราชเหลา่ นี้ จึงเปน็ ส่ิงสำ� คญั ยิ่ง

ราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ อำ� นาจในประเทศไทยไดเ้ ปลย่ี นจากอาณาจกั รสโุ ขทยั
ไปยงั อาณาจกั รอยธุ ยา ในอาณาจกั รหลงั นี้ แมว้ า่ บรรดาชนชนั้ สงู ยงั คงเปน็ ไทยอยู่ แตก่ ็
มเี ลอื ดผสมและแบบแผนความประพฤตแิ ตกตา่ งไปจากชาวไทยในอาณาจกั รสโุ ขทยั
ความแตกตา่ งนยี้ ง่ิ มมี ากขน้ึ ไปอกี เมอื่ อาณาจกั รอยธุ ยาไดเ้ ขา้ ครอบครองประเทศกมั พชู า
และรับเอาราชประเพณหี ลายอย่างของขอมมาเป็นของตน ชาวไทยสมัยอยุธยาแม้ว่า
ยังคงนับถือพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท แต่ก็ยอมรับเอาประเพณีพราหมณ์หลายอย่าง
มาปฏบิ ตั ิ ภาษาบาลียังคงเปน็ ภาษาทางศาสนา และภาษาไทยกเ็ ปน็ ภาษาทใ่ี ช้พูดกัน
ทวั่ ไป แต่ศพั ทภ์ าษาเขมรและสนั สกฤตเปน็ จำ� นวนมาก ก็แพร่หลายเข้าไปเป็นภาษา
ข้นั สงู ในราชส�ำนัก และในดา้ นการปกครองกใ็ ชว้ ชิ าตา่ งๆ เป็นจำ� นวนมากทีใ่ ชภ้ าษา
สนั สกฤตของพราหมณ์ วชิ าเหล่านม้ี กั เกี่ยวขอ้ งกับกจิ การทีพ่ ทุ ธศาสนาลทั ธเิ ถรวาท
ถือวา่ เปน็ ขั้นต�ำ่ โดยถอื ว่าแม้วชิ าเหล่าน้ีไมผ่ ดิ แตก่ ็อาจนำ� ใหห้ ลงผิด เพราะเหตุว่า
ไม่ช่วยในการหลุดพ้นจากตัณหา พยาบาท และอวิชชา แต่อย่างไรก็ดีพระราชา
ผู้ปกครองประเทศก็ไม่อาจทรงมีความเห็นคล้อยตามเช่นท่ีกล่าวมาแล้วได้ ด้วย
พระองค์ทรงใช้ความรู้และความช�ำนาญของพวกพราหมณ์ให้เป็นประโยชน์ คือ
ประทานความอดุ หนนุ แมว้ า่ จะไมม่ ากเทา่ กบั พทุ ธศาสนาลทั ธเิ ถรวาท แตพ่ วกพราหมณ์

70

ก็มีอิทธิพลเหนือกิจการบ้านเมืองเป็นอันมาก จึงย่อมมีอิทธิพลทางด้านศาสนาด้วย
ประชาชนไทยโดยทว่ั ไป ในขณะทนี่ บั ถอื พทุ ธศาสนากย็ งั คงนบั ถอื ภตู ผอี ยอู่ ยา่ งแตก่ อ่ น
และยอ่ มเหน็ เปน็ สง่ิ ธรรมดาทจี่ ะเคารพนบั ถอื พระอศิ วร พระนารายณ์ และเทวดาองคอ์ น่ื ๆ
พร้อมกนั ไปกับพทุ ธศาสนา

ดงั นน้ั พระราชาแหง่ ประเทศไทย แมว้ า่ ทรงนบั ถอื พทุ ธศาสนา แตก่ ถ็ อื วา่ พระองค์
อวตารลงมาจากเทพเจา้ ในศาสนาฮนิ ดู และยอ่ มทรงประกอบพธิ ที างศาสนาพราหมณ์
ดว้ ย

การท่ีพระราชาไทยทรงนับถือท้ังศาสนาพราหมณ์และพุทธเช่นน้ี มักเป็นส่ิงที่
นักเขียนชาวตะวันตกไม่เข้าใจ และก็เป็นสิ่งที่มีอยู่เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎประสูติ
แตข่ ณะนน้ั พวกพราหมณก์ ม็ ไี มม่ ากในการทจ่ี ะสนบั สนนุ ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์
เพราะเหตวุ ่าไดร้ ับการศกึ ษาและมคี วามสามารถน้อยลง งานทีเ่ ขาสามารถท�ำไดก้ ็คอื
เปน็ โหรและประกอบกจิ พิธี สิง่ เหลา่ น้ีย่อมคงอยตู่ ราบเทา่ ที่มผี เู้ ช่อื ถอื

พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ในขณะเดียวกัน
ถา้ พระราชาเขา้ มายงุ่ เกยี่ วในกจิ การของสงฆโ์ ดยไมส่ มควรแลว้ กม็ กั มเี รอ่ื งยงุ่ ยากเกดิ ขนึ้
ดงั ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระราชาผทู้ รงพยายามวางกฎอยา่ งนอกลนู่ อกทางแกส่ งฆ์ กถ็ กู ถอด
เพราะเหตวุ า่ การกระทำ� ของพระองค์ แสดงวา่ พระองค์ทรงมพี ระสตวิ ิปลาส

พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก ผเู้ สดจ็ ขนึ้ ครองราชยต์ อ่ จากพระราชา
องคน์ นั้ ทรงทราบดวี า่ กษตั รยิ ใ์ นระบบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยข์ องไทย จำ� ตอ้ งปฏบิ ตั ิ
พระองค์ในขอบเขตแค่ไหน พระโอรสของพระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธ-
เลศิ หลา้ นภาลัย กท็ รงทราบคตินีเ้ ชน่ เดยี วกนั ดังจะเหน็ ไดจ้ ากเรือ่ งตอ่ ไปน้ี

ณ ชานกรุงรัตนโกสินทร์ มีวัดของคณะสงฆ์อรญั วาสชี อ่ื ว่าวดั สมอราย เพราะ
เหตวุ า่ มหี นิ ตง้ั อยรู่ มิ ฝง่ั ใหช้ าวเรอื เขา้ มาแวะจอดพกั เรอื ได้ คณะสงฆอ์ รญั วาสนี เี้ คารพ
ในสง่ิ ทมี่ ชี วี ติ ทกุ อยา่ ง แมแ้ ตต่ น้ ไมใ้ นบรเิ วณวดั กไ็ มย่ อมใหร้ ดิ กง่ิ กา้ น ในโอกาสหนง่ึ
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ ฯ จะเสดจ็ ไปเยย่ี มวดั นน้ั เปน็ ทางราชการ และเจา้ หนา้ ท่ี

71

กไ็ ดเ้ สนอใหต้ ดั กง่ิ ตน้ ไมเ้ สยี บา้ ง เพอื่ ใหข้ บวนเครอ่ื งสงู ฉตั รผา่ นได้ แตท่ า่ นเจา้ อาวาส
วดั สมอรายกไ็ มย่ นิ ยอม เมอื่ ความทราบถงึ พระเนตรพระกรรณ พระองคก์ ท็ รงเหน็ ดว้ ย
และรบั สงั่ หา้ มเจา้ หนา้ ทมี่ ใิ หท้ ำ� เชน่ นน้ั เราจะเหน็ ตอ่ ไปวา่ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ เอง ตอ่ มา
ก็ไดม้ าประทบั อยู่ ณ วัดสมอรายนีเ้ ป็นเวลาหลายปี

สมเด็จเจา้ ฟา้ มงกฎุ ยังคงทรงพระเยาวอ์ ยู่ เมอื่ พระองคต์ ้องเขา้ ไปเกีย่ วข้องกบั
การบ้านเมือง ชนชาติมอญซึ่งเคยเป็นชาติท่ีส�ำคัญในประเทศไทย ได้ถูกชาวไทย
สว่ นใหญก่ ลนื หายไปแลว้ แตก่ ย็ งั คงมอี ยเู่ ปน็ จำ� นวนนอ้ ยใกลก้ รงุ เทพฯ ทยี่ งั พดู ภาษา
มอญอยู่ และในประเทศพม่าภาคใต้ กย็ ังคงมีรัฐมอญเป็นอิสระอยบู่ า้ งเปน็ บางคร้ัง
บางคราว จนกระทงั่ เมอ่ื เรว็ ๆ น้ี แตใ่ นทสี่ ดุ กองทพั พมา่ กป็ ราบรฐั นไี้ ด้ และประชาชน
มอญเป็นจ�ำนวนมาก ได้อพยพมายังประเทศไทยเพื่อมาอยู่รวมกับญาติพ่ีน้อง
ของตน สมเดจ็ เจ้าฟ้ามงกฎุ ไดเ้ สดจ็ ไปกบั พระปติ ุลาองค์หน่งึ ของพระองค์เพอ่ื ไปรับ
พวกมอญอพยพเหลา่ นี้

เมอื่ พระชนม์ได้ ๑๔ พรรษา พระองคก์ ็ทรงผนวชสามเณรตามประเพณี ท้งั น้ี
เพอ่ื ฝกึ ใหท้ รงคนุ้ เคยกบั กฎทางพทุ ธศาสนา และทรงเรยี นภาษาบาลขี น้ั ตน้ พระองค์
ทรงดำ� รงภาวะสามเณรอยู่ ๗ เดอื น ประทับทวี่ ัดมหาธาตุ ซ่งึ เป็นวัดใหญ่กลางกรงุ
รัตนโกสนิ ทร์ ไม่ห่างจากประตูพระบรมมหาราชวงั นัก

ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ทรงดูแลการศึกษาของ
พระโอรสดว้ ยพระองคเ์ อง พระองคท์ รงเปน็ กวเี อกและปลกุ ใหพ้ ระโอรสทรงมคี วามรกั
ในภาษาและการใชถ้ อ้ ยคำ� ทรงวางรากฐานสำ� หรบั การใชภ้ าษาทกี่ ระจา่ งและมคี วามหมาย
ดงั ทส่ี มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงนยิ มในภายหลงั ในขณะเดยี วกนั บรรดาพระปติ ลุ ากท็ รง
ส่ังสอนวิชาการเกี่ยวกับบ้านเมืองแด่พระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ
สนพระทยั ในวรรณคดยี ง่ิ กวา่ การปกครองบา้ นเมอื งและไดท้ รงมอบใหพ้ ระโอรสผเู้ กดิ
แตพ่ ระสนม คอื พระเชษฐาต่างพระมารดาของสมเด็จเจา้ ฟ้ามงกุฎ ทรงดแู ลกจิ การ
บ้านเมืองสว่ นใหญม่ าเป็นเวลานานแลว้

72

ในขณะนน้ั ก็มีประเพณีเชน่ เดียวกบั ในขณะน้ี คือ ชายหน่มุ ผู้ใดทม่ี อี ายคุ รบ
๒๐ แลว้ กส็ มควรทจี่ ะบวชเป็นพระภิกษุอยู่ระยะหนง่ึ ท้ังกเ็ พือ่ ท่ีจะได้ศกึ ษาเข้าใจ
หลักแหง่ พทุ ธศาสนาให้ดขี ้นึ จะไดช้ ่วยน�ำการประพฤติปฏบิ ัตใิ นชีวติ ชาวบา้ นตอ่ ไป
เมอื่ ขณะทสี่ มเดจ็ เจ้าฟ้ามงกุฎมพี ระชนม์ ๒๐ พรรษา ก็ทรงมีหมอ่ มห้ามแล้วและมี
โอรส ๒ องค์ แตเ่ พอื่ ใหถ้ กู ตอ้ งตามประเพณี พระองคก์ ท็ รงสละโอรสและหมอ่ มเสดจ็
ออกทรงผนวช ในการน้ีพระองค์ต้องทรงสละทงั้ ต�ำแหนง่ และพระนาม ต้องทรงรับ
พระนามใหม่เปน็ ภาษาบาลี มีค�ำวา่ ภกิ ขุน�ำหนา้ เช่นเดียวกบั บุคคลสามญั อน่ื ๆ ทัว่ ไป
ที่เขา้ ไปบวช

อย่างไรก็ดี ต่อไปน้ีเราก็จะยังคงเรียกพระองค์ว่าสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎดังเดิม
เพือ่ ความสะดวก ชน้ั เดมิ พระองคค์ งตั้งพระทยั ทีจ่ ะทรงผนวชเพียงหนึง่ พรรษาตาม
ราชประเพณี แตก่ ม็ เี หตกุ ารณอ์ นั มไิ ดค้ าดคดิ ฝนั เกดิ ขน้ึ ทำ� ใหส้ ง่ิ ตา่ งๆ เปลยี่ นแปลง
ไปหมด หลงั จากพระองคท์ รงผนวชไดเ้ พียง ๒ สัปดาห์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ-
เลศิ หลา้ นภาลยั ก็สวรรคตอย่างกะทันหนั บรรดาทีป่ รกึ ษาผู้มาประชุมเลือกพระราชา
องคใ์ หม่ กลบั หนั ไปเลอื กพระเชษฐาตา่ งพระมารดาแทนสมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ โดยอา้ งวา่
พระองคย์ งั ไมท่ รงชำ� นาญในการปกครองบา้ นเมอื ง พระเชษฐาตา่ งพระมารดาจงึ เสด็จ
ขนึ้ ครองราชสมบตั ิ ทรงพระนามวา่ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว

มีค�ำกล่าวกันบางแห่งว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎทรงเห็นว่าผู้ที่เข้ามาประชุมเลือก
พระเจา้ แผน่ ดนิ นน้ั ถกู บบี บงั คบั และดงั นนั้ จงึ ทรงรสู้ กึ วา่ ไดร้ บั ความอยตุ ธิ รรม แตก่ ม็ ี
หลักฐานอันควรเชื่อถือได้ แสดงว่าพระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความเหมาะสมแห่งการ
ตดั สนิ ครงั้ น้ี และทรงยอมรบั อยา่ งเตม็ พระทยั อยา่ งไรกด็ พี ระองคก์ ต็ ดั สนิ พระทยั ทจี่ ะ
ทรงผนวชอยตู่ อ่ ไปโดยไมม่ กี ำ� หนด โดยไดท้ รงรบั ความคมุ้ ครองจากผา้ กาสาวพสั ตร์
ต่อภัยทางด้านการเมืองถ้ามีเหตุจ�ำเป็น ผลปรากฏต่อมาว่าพระองค์ไม่ได้ทรงลา
ผนวชจน ๒๗ ปภี ายหลงั คอื เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สวรรคต และ
พระองค์เองกไ็ ดร้ บั เลือกใหเ้ สด็จข้ึนครองราชยแ์ ทน

73

บทท่ี ๓

ชาวตะวนั ตกอาจคดิ วา่ การแยกออกไปจากชวี ติ สามญั ชนนานนน้ั ยอ่ มไมเ่ หมาะ
สำ� หรบั การทจ่ี ะเปน็ ผปู้ กครองประชาชนตอ่ ไป แตเ่ หตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขน้ึ กก็ ลบั กลายเปน็
ส่ิงตรงกันข้าม ภาวะของพระภิกษุสงฆ์ท�ำให้สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎสามารถทรงทราบ
ความจริง และเขา้ พระทยั ในประชาชนของพระองค์ ซึง่ พระองคไ์ มอ่ าจทรงทราบได้
ทา่ มกลางชวี ติ อนั สงู สง่ ในพระราชวงั สงั ฆภาวะเปน็ ประชาธปิ ไตยอยา่ งนา่ ประหลาดใจ
พระภกิ ษทุ กุ รปู มาจากสงั คมตา่ งๆ กนั และตำ� แหนง่ ของพระภกิ ษกุ ข็ นึ้ อยแู่ กห่ นา้ ทแ่ี ละ
อาวโุ สย่ิงกวา่ ก�ำเนดิ หรอื ตำ� แหนง่ ในทางโลก ตามกฎแห่งพระพทุ ธศาสนา พระภิกษุ
พึงละเว้นการลักขโมย มุสา คยุ โออ้ วด ฆา่ สัตว์ตดั ชีวติ จับต้องเงินทอง เกีย่ วขอ้ งใน
เรอื่ งเพศ ดม่ื เครอื่ งดองของเมา มชี วี ติ อยา่ งฟมุ่ เฟอื ยและสนกุ สนานในทางทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง
นอกจากนยี้ งั ตอ้ งรกั ษาศลี อกี ไมน่ อ้ ยกวา่ ๒๒๗ ขอ้ ศลี เหลา่ นคี้ วบคมุ ความประพฤติ
และกริ ยิ าประจำ� วนั อยา่ งละเอยี ด พระสงฆไ์ มอ่ าจมที รพั ยส์ มบตั อิ ยา่ งอน่ื นอกจากจวี ร
บาตร และเคร่อื งใช้สว่ นตวั ที่จำ� เป็นเพียงเลก็ น้อย ไดร้ บั อาหารกเ็ มอื่ อกไปภิกขาจาร
ในตอนเช้า คอื ต้องเดินไปตามถนน นยั นต์ าหลบตำ่� หรอื มิฉะนั้น กพ็ ายเรอื ไปตาม
ลำ� คลอง จะหยุดก็ตอ่ เมอ่ื ชาวบ้านทีต่ อ้ งการจะตกั บาตรนิมนต์

ระเบยี บวนิ ยั เชน่ น้ี ยอ่ มมผี ลตอ่ อปุ นสิ ยั ของบคุ คล ทำ� ใหส้ มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรง
ทราบดถี งึ ความหมายแหง่ การถอ่ มพระองค์ และหลกั แหง่ อนตั ตา รวมทงั้ ความหมาย
แหง่ ความซอ่ื สตั ยแ์ ละมติ รภาพ เพอ่ื ใหถ้ กู ตอ้ งตามประเพณี พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ธดุ งคโ์ ดย

74

พระบาทเปน็ ทางไกลไปยงั ถนิ่ ตา่ งๆ ของประเทศ เสวยอาหารทช่ี าวนาและชาวประมง
น�ำมาถวาย การธุดงค์ของพระองค์ท�ำให้ทรงมีความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ซ่ึงเป็น
สิง่ ท่ีหายากในขณะน้นั เพราะเหตุว่าการคมนาคมลำ� บากมาก พระองค์ทรงสามารถ
สนทนาอยา่ งสนิทสนมกับประชาชน ทำ� ให้ทรงทราบถงึ จิตใจ และความต้องการของ
ประชาชนเหลา่ นนั้ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ยากทผี่ ปู้ กครองประเทศโดยทวั่ ไปจะสามารถกระทำ�
เชน่ น้ีได้

ทางดา้ นพระศาสนา ความเลื่อมใสและความขยันหม่ันเพียร กท็ ำ� ให้พระองค์
ทรงศึกษาต่อไป แต่พระองค์ได้ทรงใช้สามัญส�ำนึก และมีพระทัยที่ค้นหาเหตุผล
อยา่ งแทจ้ รงิ อยเู่ สมอ วดั สมอรายทพ่ี ระองคป์ ระทบั อยู่ มชี อ่ื ในปจั จบุ นั วา่ วดั ราชาธวิ าส
วดั นตี้ งั้ อยบู่ นฝง่ั ซา้ ยของแมน่ ำ้� เจา้ พระยา ปจั จบุ นั อยใู่ นถน่ิ ทม่ี ปี ระชาชนอาศยั อยอู่ ยา่ ง
หนาแนน่ แตใ่ นขณะนนั้ กรงุ เทพฯ ยงั เลก็ กวา่ สมยั นมี้ าก และวดั สมอรายกต็ ง้ั อยหู่ า่ ง
จากศนู ยก์ ลางของเมอื งหลวง คอื อยใู่ นปา่ อนั เงยี บสงบ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ มาประทบั อยู่
กบั คณะสงฆอ์ รญั วาสตี ามราชประเพณี พระภกิ ษทุ บ่ี วชเพยี งไมก่ เ่ี ดอื น ยอ่ มไมส่ ามารถ
ศึกษาได้มากจากพระสงฆ์คามวาสีผู้ช�ำนาญในการสอนภาษาบาลีและเชี่ยวชาญ
พระไตรปิฎก แต่พระสงฆ์อรัญวาสีซงึ่ ชำ� นาญในทางบำ� เพญ็ สมาธิ ถา้ มีศิษยท์ ฉี่ ลาด
กอ็ าจสามารถเรยี นไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และนำ� เอาวธิ กี ารนไ้ี ปใชเ้ พอ่ื ความสำ� เรจ็ ในกจิ การ
ด้านอ่นื ๆ ได้

การบำ� เพญ็ สมาธนิ ้ี เปน็ ระบบการควบคมุ ลมหายใจเขา้ ออกตลอดจนวธิ กี ารอน่ื ๆ
เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารควบคมุ จติ ใจ ทำ� ตนใหว้ า่ งสญู เปลา่ และเขา้ ฌาน วธิ นี ที้ ำ� ใหพ้ ระพทุ ธองค์
ทรงสามารถตรัสรู้พระโพธิญาณและทรงวางรากฐานแห่งพุทธศาสนา แต่เรื่องเช่นน้ี
ก็เกิดข้ึนในถ่ินท่ีห่างไกลและเป็นเวลานานมาแล้ว พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์อยู่
ทางภาคเหนือของประเทศอินเดียในระยะพุทธกาล ความมุ่งหมายของพระสงฆ์ใน
ประเทศไทยในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ ยอ่ มจะไมส่ ูงสง่ ถงึ ปานนน้ั

สมเด็จเจ้าฟา้ มงกุฎทรงศกึ ษาอยา่ งไมเ่ หน็ดเหนอ่ื ย เสดจ็ ไปเยี่ยมตามวัดตา่ งๆ
และศึกษาจากอาจารย์ที่เหมาะสมท่ีสุดเก่ียวกับวิธีการต่างๆ ในการบ�ำเพ็ญสมาธิ

75

ซึ่งในระยะตอ่ มาพระองค์ก็ไดท้ รงเปน็ ผู้เช่ยี วชาญในดา้ นนัน้ การบ�ำเพ็ญสมาธทิ �ำให้
พระสตปิ ญั ญาของพระองคเ์ ฉยี บแหลมยงิ่ ขน้ึ แตอ่ ทิ ธฤิ ทธทิ์ ก่ี ลา่ วกนั วา่ มแี ตก่ อ่ นนนั้
หายไปอยเู่ สยี ท่ไี หนเลา่

พระองคต์ งั้ พระทยั ทจ่ี ะคน้ ควา้ ใหม้ ากยงิ่ ขน้ึ เกยี่ วกบั ประวตั คิ วามเปน็ มาของการ
บำ� เพญ็ สมาธิ และคำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธองคเ์ กยี่ วกบั เรอื่ งนี้ พระภกิ ษทุ วี่ ดั สมอราย
ไมอ่ าจถวายความกระจา่ งแดพ่ ระองคไ์ ด้ เพราะเหตวุ า่ ทา่ นเหลา่ นน้ั ไมน่ ยิ มการคน้ ควา้
และการศกึ ษาตำ� รับต�ำรา

ดงั นนั้ พระองคจ์ งึ เสดจ็ กลบั มาประทบั ทว่ี ดั มหาธาตแุ ละเรม่ิ ทรงศกึ ษาภาษาบาลี
ตอ่ มาพระองคก์ ท็ รงสามารถตอบปญั หาขอ้ นไี้ ดว้ า่ พระพทุ ธองคท์ รงสง่ั สอนวธิ บี ำ� เพญ็
สมาธิ กเ็ พอ่ื กระทำ� ใหจ้ ติ ใจบรสิ ทุ ธส์ิ ามารถแลเหน็ ความจรงิ ไดถ้ อ่ งแทย้ งิ่ ขนึ้ และอาจ
สละทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งไดโ้ ดยสน้ิ เชงิ ถา้ จะใชถ้ อ้ ยคำ� สำ� หรบั ชาวตะวนั ตก การบำ� เพญ็ สมาธิ
ก็คือการวิจารณ์จิตใจตนเอง แต่ความจริงมีความหมายยิ่งกว่านั้น คือเป็นวิธีที่จะ
เขา้ ถงึ จดุ มงุ่ หมายไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ตอ่ จากนน้ั กค็ อื การสำ� รวจผลทไ่ี ดโ้ ดยยอ้ นกลบั ไป
ทีละข้ัน เพอ่ื ให้แน่ใจว่าลำ� ดับทีค่ วรจะเป็นนัน้ สมบรู ณ์และตดิ ต่อกนั อยา่ งถกู ต้อง

หลงั จากทรงศกึ ษาอยเู่ ปน็ เวลา ๓ ปี สมเด็จเจา้ ฟ้ามงกุฎกท็ รงผ่านการสอบไล่
ภาษาบาลี และทรงเรยี นสำ� เรจ็ ในระยะนน้ี อกจากทรงทราบภาษาบาลเี ปน็ อยา่ งดแี ลว้
ยงั ทรงทราบพระไตรปฎิ กอย่างแตกฉานอีกดว้ ย

พระเชษฐาตา่ งพระมารดาของพระองค์ คอื พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงฝักใฝ่ในพระศาสนาและสนพระทยั เป็นอย่างยง่ิ ในกจิ การของสงฆ์ พระองค์ทรง
ยนิ ดที ส่ี มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงมคี วามรอู้ ยา่ งเยยี่ มยอด จงึ ทรงแตง่ ตงั้ ใหพ้ ระองคด์ ำ� รง
ต�ำแหน่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบภาษาบาลี เน่ืองจากการศึกษาภาษาบาลี
เกย่ี วขอ้ งกบั การแปลความหมายในพระไตรปฎิ ก จงึ หมายความวา่ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ
ทรงมสี ว่ นร่วมในการควบคมุ การสงั่ สอนพุทธศาสนาแดพ่ ระภกิ ษโุ ดยทัว่ ไป

76

แม้ว่าจะทรงประสบความสำ� เร็จเช่นน้ี ระยะน้ีก็เป็นระยะที่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ
เศร้าพระทัยมาก การศึกษาอย่างขะมักเขม้นได้แสดงให้พระองค์ทรงทราบว่าใน
พระไตรปฎิ กนน้ั มกี ารสงั่ สอนหลายอยา่ ง และพระองคอ์ าจทรงคดิ วา่ บางอยา่ งไมถ่ กู ตอ้ ง
ตรงร่องรอยเดิมก็ได้ มีอยู่อย่างหน่ึงท่ีพระองค์แน่พระทัยก็คือว่า พระสงฆ์ไทยใน
ขณะนน้ั เปน็ ตวั อยา่ งอนั นา่ เสยี ใจของคณะสงฆท์ พ่ี ระพทุ ธองคท์ รงตง้ั ขนึ้ เพอ่ื ประกาศ
และสบื ค�ำสงั่ สอนของพระพทุ ธองค์ กิจพธิ สี งฆท์ ่ีกระทำ� กก็ ระทำ� อยา่ งแกนๆ ไม่เป็น
ระเบยี บเรยี บรอ้ ย วนิ ยั กข็ าดตกบกพรอ่ ง พระภกิ ษหุ ลายรปู ไดป้ ระพฤตติ นไมด่ ี คงมี
แตเ่ พียงไมก่ ่ีองค์ทส่ี นใจในการศกึ ษา ช้ันแรก พระองคต์ ้งั พระทัยทจี่ ะทรงลาผนวช
เพราะทรงเลง็ เหน็ วา่ การอยทู่ า่ มกลางพระภกิ ษอุ นื่ ๆ ทไ่ี มต่ ง้ั ใจปฏบิ ตั ติ ามกฎวนิ ยั นนั้ ก็
คอื การลอ่ ลวงทางศาสนา ดว้ ยความโศกเศรา้ เชน่ นี้ พระองคจ์ งึ ทรงนำ� ดอกไมธ้ ปู เทยี น
เข้าไปในพระอุโบสถต่อพระพักตร์พระพุทธปฏิมากรปิดทองขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไกล
แตอ่ ่อนโยน และส่องแสงเรอื งรองอยทู่ า่ มกลางความมืดสลวั พระองคถ์ วายดอกไม้
ธูปเทยี น และวงิ วอนขอให้เทพยดาจงส�ำแดงเครอ่ื งหมายเปน็ การแนะนำ� แด่พระองค์

เทพยดาเหลา่ น้ี ล้วนเคยเปน็ เทวดาในศาสนาฮนิ ดูมาก่อนและตามนิยายท่เี ชื่อ
ถอื กนั กว็ า่ ไดห้ นั มานบั ถอื พทุ ธศาสนาและกลายเปน็ เทวดาทคี่ วบคมุ ปรากฏการณแ์ หง่
ธรรมชาตไิ ป เทวดาเหลา่ นจี้ งึ แตกตา่ งจากพระอิศวรและพระนารายณอ์ ย่างมากมาย
พระผ้เู ป็นเจา้ ทั้ง ๒ องคน์ ้นั ยงั คงรักษาลกั ษณะด้งั เดิมไว้ ตลอดจนมีพราหมณแ์ ละ
สานศุ ษิ ยเ์ ปน็ ผเู้ คารพบชู า ยากทจ่ี ะกลา่ วไดว้ า่ ขณะนนั้ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงนกึ ถงึ
เทวดาเหลา่ นอี้ ยา่ งไร พระองคอ์ าจจะเหมอื นกบั คนทงั้ หลายในขณะนนั้ คอื ทรงเชอ่ื ใน
เทวดาและหวงั วา่ เทวดาคงจะตอบสนองความปรารถนา ของพระองค์ แตใ่ นเบอ้ื งปลาย
แหง่ พระชนมายุ พระองคก์ ท็ รงคดิ วา่ เทวดาเหลา่ นไ้ี มม่ ตี วั ตน เปน็ แตเ่ พยี งสญั ลกั ษณ์
ทมี่ นษุ ยค์ ดิ ขนึ้ เมอื่ ตอ้ งการจะตดิ ตอ่ กบั สงิ่ ทตี่ นเชอ่ื วา่ มอี ำ� นาจเหนอื ตน การศกึ ษาของ
พระองคอ์ าจทำ� ใหพ้ ระองคเ์ ลง็ เหน็ ความคดิ ดงั กลา่ วไดแ้ ลว้ และดว้ ยเหตนุ ใี้ นขณะนนั้
พระองค์จึงอาจไม่ได้วิงวอนต่อเทวดาแต่ประการใดเลยแต่ทรงกระท�ำกิจพิธีเพื่อให้
พระหทัยสงบ พระสติปญั ญาปลอดโปรง่ และพระปณิธานมั่นคงย่ิงขน้ึ เท่าน้ัน

77

ตอ่ มาอกี เลก็ น้อย พระองคก์ ท็ รงทราบวา่ มเี จา้ อาวาสวัดหนึ่งซง่ึ มคี วามรูท้ าง
หลกั พระพุทธศาสนา และพระวนิ ัยเป็นอย่างดี พระองค์จึงเสด็จไปสนทนาด้วย และ
ทรงเลอ่ื มใสความรขู้ องทา่ นผนู้ นั้ เปน็ อยา่ งยงิ่ ทา่ นเจา้ อาวาสนเี้ ปน็ มอญบวชในภาคใต้
ของประเทศพม่าแล้วจึงย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ คณะสงฆ์มอญไม่ต้องตกระก�ำ
ลำ� บากเชน่ คณะสงฆ์ไทย จึงยังคงกระทำ� กิจพิธีสงฆ์แบบสมยั โบราณไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ตกลงพระทยั จะปฏบิ ตั ติ ามกฎวนิ ยั ของพระสงฆม์ อญอยา่ งเขม้ งวด
แมใ้ นรายละเอยี ดเลก็ นอ้ ย เชน่ การออกสำ� เนยี งภาษาบาลแี ละการครองผา้ แตพ่ ระองค์
ไมอ่ าจกระทำ� เชน่ นไ้ี ดท้ ว่ี ดั มหาธาตุ เพราะเหตวุ า่ กฎทน่ี น่ั ไมเ่ หมอื นกนั จงึ เสดจ็ กลบั ไป
ประทับทวี่ ัดสมอราย อันเป็นที่ซงึ่ พระสงฆม์ อี สิ ระเสรกี วา่

คณะสงฆม์ อญเขม้ งวดมาก เกยี่ วกบั การอปุ สมบทพระภกิ ษสุ งฆค์ อื ตอ้ งกระทำ� ใน
สถานทอี่ นั กำ� หนดไว้ พน้ื ดนิ เองกอ็ าจไมบ่ รสิ ทุ ธเิ์ สมอไป นำ้� ยอ่ มดกี วา่ และการอปุ สมบท
บนแพกลางน้�ำย่อมเป็นส่ิงบริสุทธิ์อย่างแท้จริง สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎไม่แน่พระทัยว่า
การอุปสมบทของพระองค์จะบริสุทธิ์ จึงทรงอุปสมบทใหม่อีกคร้ังหน่ึงบนแพกลาง
แมน่ ำ้� เจ้าพระยาหนา้ วดั สมอราย

พระองค์สนพระทยั ในวินัยสงฆ์เชน่ เดียวกนั กฎทงั้ ๒๒๗ ข้อ ยอ่ มมีเหตุผล
อันสมควรทกุ ข้อ และแม้จะไมส่ ะดวกเพยี งไร พระสงฆก์ ็ไม่บงั ควรจะละเลยตอ่ กฎ
เหลา่ น้นั

ถึงแม้ว่าการปฏิบัติตามกฎจะส�ำคัญสักเพียงไร สิ่งที่ส�ำคัญกว่านั้นก็ยังมีอยู่
ถ้าไม่สมควรในการละเลยกฎเล็กน้อยก็ย่ิงไม่สมควรหนักขึ้นไปอีกท่ีจะละเลยต่อ
กฎใหญ่ๆ ซึ่งห้ามการปล่อยตนเองไปตามสบาย พระสงฆ์ไม่สมควรท่ีจะพอใจต่อ
การพน้ ทกุ ขข์ องตนเทา่ นน้ั การหลกี เลยี่ งตอ่ ความชวั่ กย็ งั ไมเ่ พยี งพอ พระสงฆจ์ งึ ตอ้ ง
ประพฤติตนให้เป็นตัวอย่างในทางความดี ความเมตตากรุณา ความเฉลียวฉลาด
การสนใจหาความรู้ ตลอดจนคอยช่วยผู้อืน่ อย่เู สมอ ทงั้ บรรดาพระภกิ ษุอื่นๆ และ
ประชาชนธรรมดา เพอ่ื ตอ่ สู้กับตณั หาพยาบาท และอวิชชา

78

สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงมสี านศุ ษิ ยป์ ระมาณ ๓๐ รปู ทง้ั พระและสามเณร พระองค์
ประทานค�ำสั่งสอนแกท่ า่ นเหลา่ นอี้ ยา่ งสมำ�่ เสมอ บางรปู ก็ตดิ ตามพระองคม์ าจากวัด
มหาธาตุ แตบ่ างรปู กเ็ พง่ิ จะเขา้ มามอบตนเปน็ สานศุ ษิ ย์ นอกจากนกี้ ม็ ปี ระชาชนธรรมดา
อีกจำ� นวนหนึง่ ท่ีชอบเขา้ มาฟงั ธรรมเทศนาของพระองค์

สานุศิษย์ของพระองค์ที่วัดสมอราย ด�ำรงชีวิตอยู่ตามพระวินัยอย่างเข้มงวด
ศกึ ษาพระไตรปิฎกทกุ แง่ทกุ มมุ ตรวจตราพระไตรปิฎกทกุ ข้อความเพ่ือใหแ้ น่ใจว่าท่ี
ตนตคี วามหมายไปนน้ั ถกู ตอ้ ง กอ่ นทจ่ี ะสอนใหส้ านศุ ษิ ยเ์ หลา่ นนั้ ทราบถงึ การบำ� เพญ็
สมาธิข้นั สูง พระองค์กโ็ ปรดให้ท่านเหลา่ นน้ั เขา้ ใจถงึ ความมงุ่ หมายของการบ�ำเพ็ญ
สมาธเิ สยี กอ่ น สงิ่ ทส่ี มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงอา้ งเปน็ ตวั อยา่ งเสมอกค็ อื ขอใหพ้ ระภกิ ษุ
สงฆจ์ งบ�ำเพญ็ ตนเสมือนกับภิกษุสงฆ์ในสมัยพทุ ธกาล

ประเพณีอันหนึ่งของพุทธศาสนาในระยะต้นๆ เป็นที่พอพระทัยของสมเด็จ
เจา้ ฟา้ มงกฎุ มาก ประเพณนี น้ั กค็ อื การธดุ งคไ์ กลๆ ไปเผยแผพ่ ระศาสนายงั ทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ
ในปจั จบุ นั เราอาจเขา้ ใจไดย้ ากวา่ เพราะเหตใุ ดธดุ งคไ์ กลๆ จงึ เปน็ สงิ่ จำ� เปน็ เพราะเหตวุ า่
เราอาจติดต่อกับประชาชนทั้งประเทศให้ได้อย่างรวดเร็ว ดังเช่นทางด้านวิทยุและ
หนังสอื พิมพ์ ถา้ ต้องการให้เรว็ ยิง่ ขึ้น เราก็อาจเดนิ ทางไปโดยเครื่องบินหรือรถยนต์
ยงั เมืองใหญๆ่ และประกาศแกป่ ระชาชนเหลา่ นัน้ ทางเคร่อื งขยายเสยี งอย่างทุกวนั นี้
เวลาน้ันยงั ไม่มี

สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎก็เหมือนกับพระพุทธองค์ คือไม่ทรงมีเคร่ืองมือเช่นน้ัน
พระองคต์ อ้ งเสดจ็ จากหมบู่ า้ นหนง่ึ ไปยงั อกี หมบู่ า้ นหนง่ึ ตอ้ งทรงหยดุ เพอื่ แลกเปลยี่ น
ความคิดเห็นกับพระภิกษุตามท้องถ่ินบ่อยๆ และต้องทรงสั่งสอนแก่ประชาชนด้วย
ถอ้ ยค�ำสั้นๆ งา่ ยๆ ทเ่ี ขาอาจเขา้ ใจได้ การทีพ่ ระองค์เสด็จดำ� เนนิ ดว้ ยพระบาท หรอื
ด้วยเรือลำ� พังแต่เพยี งพระองคเ์ ดยี วหรอื กบั พระภกิ ษุอีก ๒-๓ รูป ก็ย่อมไมม่ ีสิง่ ใด
ท่ีจะแสดงว่าพระองค์แตกต่างไปจากพระภิกษุสามัญเลย พระองค์มักจะเสด็จไป
ประพาสราชธานเี กา่ คอื กรงุ ศรอี ยธุ ยา นอกจากนนั้ กเ็ สดจ็ ไปตามจงั หวดั ตา่ งๆ ทไ่ี มอ่ ยู่
ห่างไกลจนเกนิ ไปนกั พระองคเ์ คยเสด็จไปถงึ เมืองสโุ ขทยั ซึ่งอยู่เหนือกรุงเทพฯ ข้นึ

79

ไปกวา่ ๒๐๐ ไมล์ ณ ทนี่ น้ั ใน พ.ศ. ๒๓๗๖ พระองคไ์ ดท้ รงคน้ พบโบราณวตั ถศุ ลิ า
๒ ชิ้นของพ่อขุนรามค�ำแหงท่ามกลางซากโบราณวัตถุสถาน พ่อขุนรามค�ำแหงทรง
เป็นมหาราชของชาติไทยในพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ โบราณวัตถุช้ินหน่ึงก็คือพระแท่น
มนงั คศลิ า ซง่ึ เปน็ ราชบลั ลงั กห์ รอื แทน่ พพิ ากษาอรรถคดี อกี ชน้ิ หนงึ่ เปน็ แทน่ หนิ จารกึ
ด้วยอักษรโบราณ พระองค์โปรดให้ย้ายโบราณวัตถุท้ังสองช้ินน้ีลงมายังกรุงเทพฯ
ทรงวางพระแทน่ มนงั คศลิ าไว้ใตต้ ้นมะขามใหญใ่ นบรเิ วณวดั สมอราย และมกั จะขนึ้
ประทบั บนนน้ั เพอื่ แสดงพระธรรม สำ� หรบั จารกึ เรากจ็ ะเหน็ ขอ้ ความเหลา่ นน้ั ไดก้ ลาย
เป็นเครื่องน�ำพระจริยาวัตรของพระองค์ในอีกหลายปีต่อมา เม่ือเสด็จข้ึนครอง
ราชสมบัติ

พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั แมว้ า่ ไมโ่ ปรดในการทสี่ มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ
ทรงประพฤตติ ามอยา่ งพระภกิ ษมุ อญท้งั ในดา้ นการครองจวี รและอมุ้ บาตร แตก่ ท็ รง
รสู้ กึ ยนิ ดใี นการทพ่ี ระองคท์ รงควบคมุ ใหพ้ ระธรรมวนิ ยั เขม้ แขง็ ขนึ้ ตลอดจนความรู้
ในดา้ นพระไตรปฎิ ก จงึ โปรดพระราชทานวดั ใหแ้ กเ่ จา้ ฟา้ มงกฎุ เพอ่ื เปน็ ทซี่ งึ่ พระองค์
จะไดท้ รงมีอิทธพิ ลย่งิ ข้นึ

วัดท่ีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ีมีนามว่าวัดบวรนิเวศ
เป็นวัดท่ีพระปิตุลาองค์หนึ่งของพระองค์ได้เร่ิมสร้างข้ึนเมื่อ ๒-๓ ปีมาแล้ว แต่
พระปิตุลาองค์นี้ก็ได้สิ้นพระชนม์ไปเสียก่อนที่วัดจะสร้างส�ำเร็จ และขณะหน่ึงวัดน้ี
กแ็ ทบจะไมม่ ีผู้อาศัยอยู่เลย คอื มคี ณะสงฆพ์ ำ� นักอยไู่ มเ่ กนิ ๕ รูป พระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกลา้ ฯ ทรงสร้างวดั นีจ้ นสำ� เรจ็ และทรงสร้างอาคารแบบฝรงั่ ๓ ชน้ั ถวายแด่
พระอนชุ าผจู้ ะทรงเปน็ เจา้ อาวาสองคใ์ หม่ ในวนั ที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๘๐ สมเดจ็
เจา้ ฟา้ มงกฎุ ไดเ้ สดจ็ โดยเรอื พระทนี่ ง่ั กนั้ หลงั คาแดงหอ้ มลอ้ มดว้ ยพระภกิ ษสุ าวกของ
พระองค์ในเรืออกี หลายลำ� ตรงไปยงั วัดนั้น

ขบวนเสด็จทางนำ�้ นี้ พระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าฯ ทรงควบคมุ โดยตรง และ
โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระอิสริยยศทุกประการแด่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎเสมอ
รชั ทายาทแห่งราชบัลลงั ก์ ขณะนี้พระโอรสผ้ทู รงมคี วามสามารถของพระบาทสมเด็จ

80

พระนง่ั เกล้าฯ ได้สน้ิ พระชนมไ์ ปแล้ว และมักกลา่ วกนั ว่าพระองคท์ รงใช้โอกาสนเ้ี พือ่
แสดงว่าเม่ือพระองค์สวรรคตแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎก็สมควรท่ีจะเสด็จขึ้นเสวย
ราชสมบัติต่อไป

ขณะทที่ รงดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสแหง่ วดั บวรนเิ วศ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ กท็ รงมี
อทิ ธพิ ลตอ่ คณะสงฆอ์ ยา่ งมากมาย สานศุ ษิ ยห์ ลายรปู จากวดั สมอรายไดต้ ามมาพำ� นกั
อยู่กบั พระองค์ และพระองคก์ ไ็ ดท้ รงตง้ั นกิ ายใหม่ขึ้น เพอ่ื จะปฏิรูปพระพทุ ธศาสนา
ในขน้ั แรกคณะสงฆน์ กี้ ย็ งั ไมไ่ ดแ้ ยกออกมาจากนกิ ายเดมิ แตต่ อ่ มาจงึ ไดแ้ ยกออกมา
เปน็ อกี นกิ ายหนง่ึ ตา่ งหาก มนี ามวา่ “ธรรมยตุ ” เพอื่ เปน็ เครอื่ งเตอื นสาวกวา่ พงึ องิ อยู่
กบั พระธรรม พระสงฆ์นกิ ายน้งี ดเว้นการปฏิบตั ิต่างๆ ทีไ่ มม่ เี หตผุ ล แต่ได้ทำ� สบื ตอ่
กนั มาตามประเพณี ในขณะเดยี วกนั กไ็ มป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎในพระวนิ ยั อยา่ งไมล่ มื หลู มื ตา
แตพ่ ยายามทจ่ี ะคำ� นงึ ถงึ ความหมายของกฎเหลา่ นนั้ เสมอ พระสงฆค์ ณะธรรมยตุ ตอ้ ง
เขา้ ใจบทสวดมนตท์ ตี่ นทอ่ งบน่ อยู่ ตลอดจนเหตผุ ลของพระวนิ ยั ทตี่ นตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม
และความหมายของสง่ิ ตา่ งๆ ทตี่ นกระทำ� ลงไป กลา่ วโดยยอ่ พระธรรมทตี่ นพงึ องิ กค็ อื
พระธรรมอนั บรสิ ทุ ธทิ์ พี่ ระพทุ ธองคท์ รงตรสั สงั่ สอน ไมม่ มี ลทนิ ใดๆ มาแปดเปอ้ื นอยู่
สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎไม่มีพระประสงค์ให้สานุศิษย์ของพระองค์เช่ือตามพระองค์อย่าง
ปราศจากความคิด ถ้าสงสัยสิ่งใด การพิจารณาถึงสิ่งน้ันอย่างรอบคอบโดยไม่น�ำ
ตนเองเขา้ ไปพวั พนั แลว้ ก็อาจนำ� ไปสู่ค�ำตอบที่ถูกต้องได้

หน้าท่ีอันส�ำคัญของพระสงฆ์ ในคณะธรรมยุติกนิกายก็คือความรู้อันถ่องแท้
เกี่ยวกับพระไตรปิฎก สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎได้ทรงตั้งโรงเรียนเรียนภาษาบาลีขึ้นที่
วัดบวรนิเวศ โดยทรงได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาผู้รู้ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
แต่น่าเสียดายว่าพระคัมภีร์ท่ีมีอยู่ในขณะนั้นก็มีท้ังผิดและไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะ
พยายามกนั สกั เพยี งไรกย็ งั ไมส่ ามารถจะทดแทนพระคมั ภรี ซ์ ง่ึ ขาดหายไป เมอื่ ครง้ั เสยี
กรุงศรอี ยธุ ยาได้

บางคร้ังก็มีสมณทูต จากประเทศที่นับถือพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทไปยังอีก
ประเทศหนงึ่ เพอ่ื ใหห้ รอื ขอความชว่ ยเหลอื ซง่ึ ในอดตี กไ็ ดเ้ คยมกี ารแลกเปลยี่ นแบบน้ี

81

หลายคร้ังระหว่างเกาะลังกา และประเทศไทยในพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ และ ๒๐
เม่อื เช่อื กนั วา่ เกาะลังกาเป็นแหลง่ ของพระพทุ ธศาสนาท่ีบริสุทธิ์ พระสงฆ์ไทยกไ็ ปยัง
เกาะลงั กาเพอ่ื ศกึ ษาและกลบั มาสง่ั สอนยงั ประเทศไทย ในปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓
เมอื่ คณะสงฆล์ งั กาเสอ่ื มโทรม พระสงฆไ์ ทยกไ็ ปยงั เกาะลงั กาเพอ่ื ชว่ ยสรา้ งคณะสงฆ์
ข้ึนใหม่

ใน พ.ศ. ๒๓๘๓ พระสงฆล์ งั กา ๕ รปู ไดเ้ ดนิ ทางเขา้ มาบชู าพทุ ธสถานทสี่ ำ� คญั
ในประเทศไทย เน่ืองจากพระสงฆ์เหล่าน้ีอาจติดต่อได้กับชาวไทยแต่ทางภาษาบาลี
อยา่ งเดยี ว พระสงฆเ์ หลา่ นจี้ งึ พำ� นกั อยทู่ วี่ ดั บวรนเิ วศ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ มกั ทรงสนทนา
กบั พระสงฆล์ งั กาเหลา่ นเ้ี สมอ เพอ่ื ทรงซกั ถามเกยี่ วกบั ประเพณที งั้ หมดของคณะสงฆ์
ลงั กา ตอ่ จากนนั้ พระองคจ์ งึ ทรงสง่ สมณทตู ไปยงั เกาะลงั กา ประกอบดว้ ยสงฆ์ ๕ รปู
ทคี่ ดั เลอื กจากสานศุ ษิ ยท์ ด่ี ที สี่ ดุ ของพระองค์ สมณทตู ไทยพกั อยทู่ เี่ กาะลงั กา ๑ ปี เพอ่ื สบื
ถามเกยี่ วกบั ภาวะของพทุ ธศาสนาทน่ี น่ั และรวบรวมหลกั ฐานมาซอ่ มแซมพระไตรปฎิ ก
ทเี่ มอื งไทย เมอื่ คณะสงฆช์ ุดนกี้ ลบั มา กน็ ำ� คัมภรี ์มาด้วย ๔๐ เล่ม อกี ปหี นึ่งก็มี
สมณทตู ไทยไปเกาะลงั กาอกี เพอ่ื คนื พระคมั ภรี เ์ หลา่ นแี้ ละยมื มาใหมอ่ กี ๓๐ เลม่ เมอื่
สมณทตู ชดุ นก้ี ลบั มายงั ประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๓๘๗ ไดพ้ าเอาพระสงฆแ์ ละชาวลงั กา
จำ� นวนหนงึ่ กลบั มาดว้ ย ทา่ นเหลา่ นล้ี ว้ นพำ� นกั อยทู่ ว่ี ดั บวรนเิ วศ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ได้
ทรงปรกึ ษากบั ทา่ นเหลา่ น้ี และเรมิ่ ทรงมสี มณสาสนต์ ดิ ตอ่ กบั บรรดาพระภกิ ษลุ งั กาท่ี
คงแกเ่ รยี นทสี่ ดุ เกย่ี วกบั ทางดา้ นหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา และวนิ ยั ทกุ ดา้ นทกุ มมุ
ในระยะตอ่ มาประเพณขี องพระสงฆล์ งั กากย็ ง่ิ ทำ� ใหส้ มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงเครง่ ในการ
ปฏบิ ตั ิตามพระสงฆ์มอญยิง่ ข้ึน ท้ังสองประเพณีนช้ี ว่ ยใหพ้ ระองค์ทรงหนั กลบั ไปยัง
หลกั ธรรมท่ีบรสิ ทุ ธ์ใิ นพระพทุ ธศาสนา

การสงั คายนาพระไตรปฎิ กทำ� ใหบ้ รรดานกั ปราชญท์ างภาษาบาลใี นประเทศไทย
ต้องท�ำงานหนักเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปี เม่ือส่วนต่างๆ ส�ำเร็จลงก็มีการคัดลอก
ในประเทศไทยขณะนน้ั ต�ำราภาษาบาลียงั เขียนด้วยอักษรขอม และการคัดลอกตาม
ทางราชการท่ีก�ำลังท�ำข้ึนในขณะน้ันก็ใช้วิธีการเช่นเดียวกันนี้ อย่างไรก็ดี สมเด็จ

82

เจา้ ฟา้ มงกุฎทรงเห็นว่าอักษรขอมนีอ้ าจอา่ นเขา้ ใจผดิ ได้โดยงา่ ย จึงทรงคิดตวั อกั ษร
ขน้ึ ใหมส่ ำ� หรบั สานศุ ษิ ยข์ องพระองค์ ตวั อกั ษรแบบใหมน่ เ้ี ลยี นแบบมาจากตวั อกั ษรใน
ทวปี ยโุ รป พระองคไ์ ดโ้ ปรดใหต้ พี มิ พต์ ำ� ราภาษาบาลขี น้ึ หลายเลม่ ดว้ ยตวั อกั ษรแบบน้ี
จากแทน่ พมิ พซ์ ง่ึ พระองคท์ รงตง้ั ขนึ้ ทวี่ ดั บวรนเิ วศ เครอื่ งพมิ พแ์ ทน่ นเ้ี ปน็ เครอ่ื งพมิ พ์
เคร่ืองแรกในประเทศไทยท่ีน�ำมาใช้ในกิจการพระพุทธศาสนา ก่อนน้ันคงมีแต่
เครอ่ื งพมิ พ์ของหมอสอนศาสนาเทา่ น้นั

ในระยะนั้น คงมีแต่เพียงคัมภีร์ภาษาบาลีบางเล่มในพระไตรปิฎกที่แปลเป็น
ภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าฯ มีพระราชประสงค์จะให้แปลเป็นภาษาไทย
ทั้งหมด และนโยบายเช่นน้ีก็เป็นท่ีต้องพระทัยของสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นอันมาก
เพราะพระองคก์ ม็ พี ระประสงคอ์ ยแู่ ลว้ ทจ่ี ะใหป้ ระชาชนสว่ นใหญเ่ ขา้ ใจหลกั ธรรมใน
พระพทุ ธศาสนา ตอ่ มาจงึ เรมิ่ มกี ารแปลพระไตรปฎิ กออกเปน็ ภาษาไทย แตก่ เ็ สยี เวลา
หลายปีกว่าจะสำ� เรจ็

เมื่อยงั ประทบั อย่ทู ี่วดั สมอราย สมเดจ็ เจา้ ฟ้ามงกุฎไดท้ รงร้จู ักกบั ท่านสังฆราช
ปลั ลกวั ส์ (Pallegoise) ชาตฝิ รง่ั เศส ผมู้ วี ดั อยใู่ กลๆ้ ทา่ นสงั ฆราชผนู้ พ้ี ดู ภาษาไทย
ไดค้ ลอ่ ง และไดส้ อนภาษาละตนิ ตลอดจนสนทนาเกย่ี วแกศ่ าสนาคาโธลกิ กบั พระองค์
เพื่อเป็นการแลกเปล่ียน สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎก็ได้ทรงสอนภาษาบาลีแก่ท่านสังฆราช
และทรงช่วยในการแต่งพจนานุกรมเล่มใหญ่ ภาษาไทย-ละติน-ฝรั่งเศส-อังกฤษ
แมว้ า่ ทา่ นทงั้ สองนจี้ ะมศี รทั ธาไมต่ อ้ งกนั แตก่ ม็ คี วามเคารพซง่ึ กนั และกนั เปน็ อยา่ งมาก
และคงเปน็ มิตรต่อกันตราบจนท่านสงั ฆราชถึงแกอ่ สัญกรรมใน พ.ศ. ๒๔๐๕

ณ วัดบวรนิเวศ สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎได้ทรงติดต่อกับหมอสอนศาสนานิกาย
โปรเตสตนั ทช์ าวอเมรกิ นั คอื ดร. คาสเวลล์ (Caswell) บรดั เล (Bradley) และ เฮาซ์
(House) พระองค์ได้ทรงศึกษาภาษาองั กฤษกบั ทา่ นเหลา่ นี้ และทรงเรียนพูดและ
เขยี นไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ แมว้ า่ จะไมส่ ถู้ กู ตอ้ งนกั พวกหมอสอนศาสนาไดช้ ว่ ยเหลอื
ให้พระองค์ทรงศึกษาในวิทยาการสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาภูมิศาสตร์และ

83

ดาราศาสตร์ซึ่งพระองค์สนพระทัยเป็นอันมาก นอกจากน้ีท่านเหล่านี้ยังแนะน�ำให้
พระองค์ทรงศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ และถวายหนังสือให้พระองค์ทรงยืมด้วย
สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงสงั่ หนงั สอื มาจากตา่ งประเทศเสมอ ทรงอา่ นอยา่ งกระตอื รอื รน้
และสนทนาถงึ หนงั สอื เหลา่ นน้ั กบั บรรดาหมอสอนศาสนา พระองคท์ รงเหน็ วา่ มสี งิ่ ดๆี
อยเู่ ปน็ อนั มากในศาสนาครสิ เตยี น เพราะธรรมจรยิ าในศาสนานนั้ กค็ ลา้ ยคลงึ กนั มาก
กับธรรมจริยาในพระพุทธศาสนา แต่ความเชื่อถือบางข้อเป็นต้นว่า ที่เก่ียวกับ
พระผู้เป็นเจ้าก็ยุ่งยาก รายงานของหมอสอนศาสนาได้กล่าวถึงปัญหาท่ีน่ากระอัก
กระอว่ นทถ่ี กู ชาวไทยตงั้ กระทถู้ ามเปน็ ตน้ วา่ “พระเจา้ จะประทานโทษแกผ่ ฆู้ า่ คนตาย
และให้รางวัลแก่เขาเสมอื นกบั ผูท้ ำ� ดหี รอื ไม่ ถา้ พระองค์กระทำ� ดังน้นั พระองค์ก็ไม่
ยตุ ิธรรม” “ถ้าพระเจา้ เป็นพระบิดาของประชาชนทัง้ หมด เหตุใดพระองคจ์ ึงไม่แสดง
พระประสงคข์ องพระองคแ์ กช่ าวตะวนั ออก เชน่ เดยี วกนั กบั ชาวตะวนั ตก” “ถา้ มปี าฏหิ ารยิ ์
ท�ำให้บรรพบุรุษของท่านนับถือศาสนาคริสเตียน เหตุใดท่านจึงไมแ่ สดงปาฏหิ ารยิ ์
แกพ่ วกเรา” “ทา่ นกลา่ ววา่ พระเจา้ จะทรงพระพโิ รธกบั ผทู้ ไี่ มเ่ ชอ่ื ถอื ทา่ น พระองคจ์ ะเปน็
พระเจา้ ทดี่ อี ยา่ งไรถา้ พระองคท์ รงพระพโิ รธ” “ทำ� อยา่ งไรเราจงึ จะรวู้ า่ หนงั สอื ของทา่ น
เปน็ ความจรงิ ทา่ นบอกเราวา่ ดงั นนั้ และถา้ เราบอกทา่ นวา่ หนงั สอื ของเรากเ็ ปน็ ความจรงิ
เหตใุ ดทา่ นจงึ ไมเ่ ชอื่ เรา ถา้ ทา่ นตอ้ งการใหเ้ ราเชอ่ื ทา่ น” สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงคดิ วา่
นยิ ายหลายเรอื่ งในคมั ภรี ไ์ บเบลิ “ไมถ่ กู ตอ้ งกบั สง่ิ ทคี่ วรจะเปน็ ” พระองคไ์ ดร้ บั สง่ั กบั
สหายของพระองค์ผู้นับถือศาสนาคริสเตียนหลายครั้งว่า “สิ่งที่ท่านสั่งสอนให้
ประชาชนกระทำ� น้นั น่าชม แต่สงิ่ ท่ที ่านสงั่ สอนให้ประชาชนเช่ือนน้ั โงเ่ ขลา”

แตถ่ า้ มนี ยิ ายทโี่ งเ่ ขลาอยหู่ ลายเรอื่ งในคมั ภรี ไ์ บเบลิ กม็ นี ยิ ายเชน่ นน้ั เชน่ เดยี วกนั
ในคัมภรี ์ทางพระพุทธศาสนา นักแตง่ หนังสือในพระพุทธศาสนาเชื่อว่าโลกเรานเ้ี ปน็
แผน่ แบน อยลู่ อ้ มรอบภเู ขาอนั เปน็ จดุ ศนู ยก์ ลางและเปน็ ทปี่ ระทบั ของเทวดา ความคดิ
เชน่ นย้ี อ่ มตรงกนั ขา้ มกบั วทิ ยาศาสตร์ และสามญั สำ� นกึ เชน่ เดยี วกบั เรอ่ื งการสรา้ งโลก
ในคัมภีร์ไบเบิล สิ่งที่ผิดแปลกเช่นนี้สมควรท่ีจะมองข้ามไป แล้วเราก็จะแลเห็น
พระธรรมอนั บรสิ ทุ ธไ์ิ ด้ การศกึ ษาพระคมั ภรี อ์ ยา่ งพนิ จิ พเิ คราะหใ์ หถ้ กู ตอ้ งตามเหตผุ ล
ไม่ใช่เฉพาะทางด้านความเลื่อมใสศรัทธาเท่าน้ัน ที่อาจท�ำให้เราแลเห็นพระธรรม

84

อนั บรสิ ทุ ธไิ์ ด้ แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี เราอาจเหน็ ไดว้ า่ พระคมั ภรี ใ์ นพทุ ธศาสนานนั้ แสดงความ
คิดทแ่ี ตกตา่ งกันมาก อันอาจแยกออกได้เป็น ๒ ทาง

ทางหนึ่งน่ันมุ่งไปในทางเลื่อมใสศรัทธา ในคัมภีร์เหล่าน้ีพระพุทธองค์ก็เป็น
เสมอื นพระผเู้ ปน็ เจา้ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ ทรงแสดงปาฏหิ ารยิ เ์ หาะเหนิ ไปในอากาศ ทรงทรมาน
ใหบ้ รรดาเทพยดาหนั กลบั มานบั ถอื พทุ ธศาสนา และทรงสง่ั สอนเวทมนตค์ าถาใหผ้ ทู้ ่ี
นบั ถอื พระองคป์ ราบปรามยกั ษไ์ ด้ ผนู้ บั ถอื พทุ ธศาสนาแบบนย้ี อ่ มเคารพบชู าพระองค์
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาชนิดท่ีไม่ค�ำนึงถึงเหตุผล และพระองค์เองก็ย่อมยินดีรับ
คำ� สรรเสริญเยนิ ยอท่ีโง่เขลาที่สดุ อย่างเตม็ พระทยั

อกี ทางหนึ่งกค็ อื ความคดิ ที่คำ� นึงถึงมนษุ ยธรรมและเหตุผล พระพุทธองคท์ รง
เป็นมนุษยส์ ามัญ เป็นครทู ฉ่ี ลาดและออ่ นโยน ทรงฝึกหดั อำ� นาจทางจติ จนถงึ ขัน้
พิเศษโดยท่ีไม่ต้องอาศัยส่ิงนอกเหนือธรรมชาติเลย ความหลุดพ้นจากทุกข์ทรมาน
ทพี่ ระองคท์ รงสง่ั สอนกค็ อื ความดแี ละสามญั สำ� นกึ ทน่ี ำ� ไปยงั ผลทถี่ กู ตอ้ ง ปรชั ญาทม่ี ี
อยูใ่ นค�ำสงั่ สอนกล็ ว้ นเต็มไปด้วยเหตุผล และแนน่ อนทุกขทรมานย่อมเกดิ จากวตั ถุ
นอ้ ยยิง่ กวา่ ทางด้านจิตใจ ส่ิงตา่ งๆ เป็นตน้ วา่ ตณั หา ราคะ ความเกลยี ด รษิ ยา
ความโกรธและความโหดร้าย อวิชชา ความเช่ือถือโชคลาง และความเกียจคร้าน
สิ่งเหล่านี้ถ้าควบคุมได้แล้ว ทุกขทรมานก็จะลดน้อยลง และถ้าก�ำจัดให้หมดส้ิน
ทกุ ขทรมานก็จะสูญหายไปด้วย

ในบทความซึ่งความคิดเช่นน้ีมีอยู่ ก็คงเป็นค�ำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่าง
แทจ้ รงิ เพราะเหตวุ า่ แสดงความจรงิ เปน็ ถอ้ ยคำ� ของผซู้ ง่ึ มเี หตผุ ลอยา่ งถอ่ งแท้ แตเ่ หตใุ ด
บุคคลเดียวกันน้ีจึงอาจยอมรับความโง่เขลาท่ีมีปรากฏอยู่ในบทความตอนอื่นๆ ได้
สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ไดท้ รงทราบมาแลว้ วา่ ถอ้ ยคำ� ทผี่ ดิ ๆ อาจเขา้ มาอยใู่ นสมดุ ทคี่ ดั ลอก
กันต่อลงมาได้อย่างไร และทรงทราบด้วยว่าระยะเวลาระหว่างที่พระพุทธองค์ทรง
พระชนมอ์ ยกู่ บั ระยะเวลาทเ่ี ขยี นพระคมั ภรี เ์ หลา่ นขี้ น้ึ เปน็ ครง้ั แรกนน้ั หา่ งกนั ถงึ ๔๐๐ ปี
และระยะ ๔๐๐ ปนี เ้ี ปน็ เวลาทค่ี ำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธองคไ์ ดผ้ า่ นจากชวั่ หนงึ่ ไปยงั อกี
ช่ัวหน่ึงทางความทรงจ�ำ บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่ใช้วิธีจดจ�ำน้ีได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน

85

อยา่ งดเี ลศิ แตใ่ นขณะเดยี วกันกต็ อ้ งทอ่ งจำ� คมั ภรี อ์ รรถกถาและการยกตวั อย่างเพอื่
สง่ั สอนแก่ประชาชนท่ัวไปดว้ ย ส่ิงเหล่าน้ีอาจเขา้ มาปะปนอยู่กบั พระพุทธวจนะ และ
ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจผดิ คดิ ไปวา่ เปน็ คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธองคไ์ ป การปลอมแปลงเชน่ นแ้ี มว้ า่
เกิดข้ึนโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ย่อมเป็นการประทุษร้ายต่อความหมายอันแท้จริงแห่ง
พระพทุ ธศาสนา และความผดิ พลาดในการคดั ลอกตอ่ ๆ กนั ลงมาอกี หลายรอ้ ยปี กย็ ง่ิ
ทำ� ให้พระคมั ภีรเ์ หลา่ น้ฟี ่นั เฟอื นมากขึน้ ไปอกี

ในบทความตอนหนงึ่ ซงึ่ มคี วามหมายจบั ใจและคงเปน็ พระพทุ ธวจนะแทแ้ นน่ อน
ก็คือพระพุทธองค์ได้ทรงแนะถึงการเช่ือถืออย่างระมัดระวัง คือได้ทรงขอร้องต่อ
สานุศิษย์ของพระองค์ ไม่ให้เชื่อถือความเห็นอันใดท่ีสืบต่อกันลงมาตามประเพณี
หรือสอนโดยศาสดาที่น่านบั ถอื คนใดคนหนงึ่ แม้แตพ่ ระองค์เอง พระองค์ก็รบั ส่งั ว่า
สานุศษิ ย์เหลา่ น้ันจำ� ตอ้ งใช้เหตุผลของตนเองวเิ คราะห์คำ� สอนทกุ ข้อเสียกอ่ น

วธิ นี เ้ี ปน็ กฎทสี่ มเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ และสาวกของพระองคใ์ ช้ และยอ่ มเปน็ วธิ ที อี่ าจ
สรา้ งพระธรรมด้งั เดิมได้ ปาฏหิ าริย์ต่างๆ ยอ่ มเปน็ สิ่งทีก่ ล่าวเกินขอบเขต การอ้าง
ถงึ เทวดาและยกั ษก์ เ็ ปน็ แตเ่ พยี งนยิ ายทเ่ี ขา้ มาปะปนอยใู่ นเรอ่ื งราวอนั แทจ้ รงิ การอา้ ง
ถึงรูปสณั ฐานของโลกกเ็ ปน็ แตเ่ พียงการเปรียบเทยี บ ชาดกต่างๆ (แม้ว่าไมต่ อ้ งตาม
ค�ำส่ังสอนของพระพุทธองค์ แต่ก็เทศน์ส่ังสอนกันอย่างแพร่หลาย) ซ่ึงกล่าวว่า
พระพทุ ธองคไ์ ดท้ รงเล่าถึงอดตี ชาตขิ องพระองค์ถึง ๕๕๐ เรื่อง กไ็ ม่ใช่อื่นนอกจาก
นยิ ายพ้นื เมืองทีพ่ ระสงฆร์ นุ่ ต้นๆ ใชเ้ พ่ือเทศน์สั่งสอนธรรมจรยิ า

สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎทรงใช้วิธีอย่างเฉลียวฉลาด เพื่อแสดงถึงความผิดพลาด
โดยทไ่ี มต่ อ้ งทรงแสดงความสงสยั เกยี่ วกบั พระพทุ ธวจนะอนั แทจ้ รงิ คมั ภรี อ์ รรถกถา
บางเล่มกล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงสูงกว่าบุคคลธรรมดาประมาณ ๕ หรือ ๖ เท่า
ถา้ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ จะทรงกลา่ ววา่ สงิ่ นเ้ี ปน็ ไปไมไ่ ด้ กอ็ าจทำ� ใหบ้ คุ คลหลายคนโกรธ
เคอื งและไมเ่ หน็ ดว้ ย ดงั น้ันพระองคจ์ ึงทรงอ้างถึงพระคมั ภรี ์ทีก่ ลา่ ววา่ พระพทุ ธองค์
มักเสด็จเข้าไปในบ้านของบุคคลสามัญ และคร้ังหน่ึงก็ทรงเปล่ียนจีวรกับสานุศิษย์
ถ้าพระองคท์ รงมพี ระกายใหญโ่ ตมากกค็ งจะไมท่ รงสามารถกระทำ� การเชน่ น้ีได้

86

เมอ่ื สามารถตดั ความผดิ พลาดออกไปได้ พระธรรมอนั บรสิ ทุ ธก์ิ ย็ อ่ มปรากฏขน้ึ
และพระธรรมนย้ี อ่ มเปน็ กฎทคี่ ณะสงฆธ์ รรมยตุ พงึ ยดึ ถอื แมว้ า่ การครองจวี ร การถอื
บาตร จะเปน็ ลกั ษณะภายนอกโดยเฉพาะของคณะสงฆ์ธรรมยตุ แตส่ ่งิ ที่สำ� คญั กวา่
อยา่ งมากมายกค็ อื การศกึ ษาพระธรรม การไมเ่ ชอ่ื ในโชคลาง การตง้ั ใจฟน้ื ฟธู รรมจรยิ า
และกฎต่างๆ ให้ถูกต้อง ในสงฆ์คณะนี้ไม่มีการบอกขายเคร่ืองรางหรือยาเสน่ห์
การทำ� นายโชคชะตา การบวงสรวงสงั เวยภตู ผปี ศี าจหรอื การเลน่ ละครเรอ่ื งชาดก ซง่ึ เปน็
เครอ่ื งสนกุ สนานของบรรดาฆราวาสตามงานวดั ตา่ งๆ นยิ ายและการเปรยี บเทยี บกจ็ ดั
แยกออกจากความจริงอย่างระมัดระวัง พิธีทางพุทธศาสนาก็ไม่มีลัทธิพราหมณ์มา
เจือปน เพราะเหตวุ ่าลัทธหิ ลังนกี้ ค็ อื การเชอ่ื ถอื โชคลางนนั่ เอง

สมเดจ็ เจ้าฟา้ มงกุฎและสาวกของพระองค์ ทรงทำ� ใหจ้ รยิ ธรรมเฟือ่ งฟขู ้ึนใหม่
โดยการอธบิ ายหลกั อนั ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นแกป่ ระชาชนสว่ นใหญด่ ว้ ยถอ้ ยคำ� ทเ่ี ขาเหลา่ นนั้
อาจเข้าใจได้โดยง่าย สั่งสอนว่าพระพุทธศาสนาน้ีเป็นมรดกแก่ประชาชนท้ังหมด
ไม่ใช่เฉพาะแก่พระสงฆ์เท่าน้ัน พิธีสงฆ์แต่ก่อนก็มีแต่เพียงการสวดมนต์ภาษาบาลี
ซง่ึ มคี ฤหสั ถเ์ พยี งบางคนเทา่ นนั้ ทอี่ าจเขา้ ใจได้ คณะสงฆธ์ รรมยตุ ไดเ้ พม่ิ การสวดมนต์
ภาษาไทยลงไปและมผี นู้ ยิ มฟงั เปน็ จำ� นวนมาก พระสงฆค์ ณะนไ้ี ดย้ ำ้� แลว้ ยำ�้ อกี ถงึ ศลี หา้
คอื ไมพ่ ดู เทจ็ ไมล่ กั ขโมย ฆา่ สตั วต์ ดั ชวี ติ ดมื่ เครอ่ื งดองของเมา และผดิ ลกู ผดิ เมยี
ได้แนะน�ำทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้แลเห็นถึงความส�ำคัญของการควบคุมตนเอง
ความเมตตากรณุ า และความอดทนในชวี ิตประจ�ำวนั

ด้วยการคดั เลือกอย่างยตุ ธิ รรมและการละทง้ิ สมเดจ็ เจ้าฟา้ มงกฎุ ได้ทรงสร้าง
พระพทุ ธศาสนาข้ึนใหม่ หรอื อย่างท่ีพระองคท์ รงคิดอย่างอ่อนนอ้ มว่าทรงฟื้นฟูพระ
ธรรมด้งั เดิม พระองค์มักรับสง่ั ว่าไมม่ ีอะไรในพทุ ธศาสนาทีข่ ัดกบั หลกั วิทยาศาสตร์
ปจั จบุ นั พระองคอ์ าจชถี้ งึ กฎทางฟสิ กิ สท์ แ่ี สดงวา่ เหตเุ ชน่ ไรยอ่ มกอ่ ใหเ้ กดิ ผลเชน่ นนั้
ถ้ากฎเช่นน้ีควบคุมวัตถุทั้งหมดในโลก ก็คงควบคุมทางจริยธรรมด้วย คือกรรม
ท้ังหมดไม่ว่าดหี รือชว่ั กย็ ่อมมีผลเชน่ เดียวกนั ติดตามมาโดยหลีกเล่ียงไมไ่ ด้ แมว้ า่
ไมม่ วี ญิ ญาณมาเกดิ ใหม่ แตก่ ำ� ลงั แรงแหง่ กรรมกย็ อ่ มมอี ยชู่ วั่ นริ นั ดร ความคดิ คำ� นงึ

87

เช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งยากส�ำหรับประชาชนธรรมดา และถ้าบุคคลเหล่าน้ีสงสัยเก่ียวกับ
สังสารวฏั พระองคก์ ็มกั จะทรงตอบอย่างงา่ ยๆ แบบเดียวกบั ทพี่ ระพทุ ธองค์ได้เคย
ทรงกลา่ วมาแลว้ วา่ “ถา้ ทา่ นไมแ่ นใ่ จทา่ นกค็ วรอยทู่ างดา้ นทปี่ ลอดภยั ดกี วา่ ถา้ ทา่ นเชอื่
ในสิ่งนี้ท่านก็จะด�ำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข มีผู้นับหน้าถือตาและจะไม่เสียอะไรเลย
แมป้ รากฏขนึ้ ในทีหลงั วา่ ทา่ นหลงเชอ่ื ในสงิ่ ท่ีผดิ แตถ่ า้ ทา่ นไมย่ อมเชอ่ื ในส่งิ น้ี ทา่ นก็
คงจะประพฤตติ ามความปรารถนาอนั เลวรา้ ยของทา่ นตอ่ ไป และถา้ ปรากฏขนึ้ เมอ่ื ใดวา่
ทา่ นหลงผิด ทา่ นกจ็ ะเปรยี บเสมือนผู้เดินทางทไ่ี ม่มีเสบียงกรังตดิ ตนไปด้วย”

พทุ ธศาสนาแบบใหมน่ แี้ สดงใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนถงึ ความแตกตา่ งในการทำ� บญุ
ด้วยวิธีต่างๆ บางวิธีก็ผิดอย่างส้ินเชิงเป็นต้นว่า เม่ือมีผู้ที่เข้าใจผิดปลงชีวิตตนเอง
หรือตดั นิว้ เพ่ือเป็นพทุ ธบูชา สิ่งเหลา่ นถ้ี ูกตเิ ตียนอย่างแขง็ ขนั บางวธิ ีไม่มีอนั ตราย
เปน็ ตน้ วา่ การกอ่ พระเจดยี ท์ รายหรอื แหแ่ หนพระพทุ ธรปู วธิ เี หลา่ นค้ี ณะสงฆธ์ รรมยตุ
รบั รองเพราะเปน็ สง่ิ ทท่ี ำ� ใหร้ ะลกึ ถงึ พระธรรม แตส่ ง่ิ ทส่ี งฆค์ ณะนส้ี นบั สนนุ ทส่ี ดุ กค็ อื
การทำ� บญุ ทม่ี ปี ระโยชนต์ อ่ สงั คม ในขณะทคี่ นมง่ั มอี าจสรา้ งวดั หรอื โรงพยาบาล คนจน
กอ็ าจสรา้ งสะพานไมไ้ ผข่ า้ มลำ� ธารหรอื เกบ็ หนามไปทง้ิ ใหพ้ น้ จากทางเดนิ บคุ คลทงั้ หมด
ยอ่ มสามารถบำ� เพ็ญทานสุดแลว้ แต่ความสามารถของตนดว้ ยเงนิ หรอื บริการ ทกุ คน
อาจแสดงความเมตตากรุณาและการระงบั ดบั กิเลสของตนเองไดเ้ สมอกนั

สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ฯ เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศ ทรงเปน็ ผใู้ หญท่ ม่ี น่ั คงในหลกั ของพระองค์
และไมท่ รงเชอื่ ถอื โชคลาง พระองคก์ ลายเปน็ บุคคลอกี คนหนงึ่ ทแ่ี ตกต่างไปอย่าง
มากมายจากพระภกิ ษหุ นมุ่ ผไู้ มส่ บายใจตอ้ งบวงสรวงสงั เวยเทวดาและออ้ นวอนขอให้
ไดส้ ญั ลกั ษณม์ าแนะนำ� ปจั จบุ นั นพ้ี ระองคท์ รงทราบดแี ลว้ วา่ เครอื่ งนำ� ทแ่ี นน่ อนของ
มนุษย์ก็คือเหตุผลของเขาเอง คร้ังหนึ่งสหายท่ีนับถือศาสนาคริสเตียนของพระองค์
เคยคดิ ว่า เขาอาจท�ำให้พระองคท์ รงเปลี่ยนศาสนาได้ แตพ่ ระนิสยั อนั ชอบแสวงหา
เหตผุ ลของสมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ จงึ ไมอ่ าจทำ� ใหพ้ ระองคท์ รงยอมรบั ศาสนาใดๆ ทเ่ี ชอื่ ถอื
ในพระผู้เป็นเจ้าได้ย่ิงกว่าการใช้เหตุผลอย่างธรรมดาของมนุษย์สามัญตามความคิด
ของพระองค์ ความเชอื่ ถอื โดยไมค่ ดิ คน้ กเ็ ปน็ สงิ่ ขดั ขวางการมงุ่ กระทำ� ความดี ยงิ่ กวา่

88

สนบั สนนุ ไปในทางนนั้ แตถ่ า้ บคุ คลอนื่ ๆ เชอ่ื วา่ ความเชอื่ ถอื เชน่ นช้ี ว่ ยใหเ้ ขาเปน็ คนดไี ด้
กไ็ มม่ อี นั ตรายอะไร ดว้ ยเหตนุ พี้ ระองคจ์ งึ ชว่ ยใหห้ มอสอนศาสนาไดร้ บั ความสะดวก
ทุกประการในการท�ำงานของเขา แทนท่ีพระองค์จะอิจฉาริษยาและขัดขวางต่อ
ค�ำส่ังสอนของท่านเหล่านั้น พระองค์กลับเชิญให้หมอสอนศาสนาเทศน์ในวัดของ
พระองค์ และแจกจา่ ยคำ� โฆษณาของเขาเมอื่ มพี ธิ ใี นพทุ ธศาสนา ธรรมจรยิ าในศาสนา
ครสิ เตยี น เมือ่ แยกออกจากความเช่ือถือแลว้ กส็ อดคลอ้ งกบั เหตผุ ลและความรูส้ กึ
ในส่วนลึกของพระองค์ ค�ำโต้แย้งของพวกหมอสอนศาสนาย่อมมีผลดี แม้ว่าจะ
ไม่เปน็ ไปในทางท่ีทา่ นเหลา่ นน้ั ตอ้ งการ การทหี่ มอสอนศาสนาท�ำให้พทุ ธศาสนิกชน
ต้องตรวจค้นความเชื่อทั้งหมด ท่ีเคยยึดถือกันมาแต่ก่อน ก็เท่ากับท�ำให้การก�ำจัด
ความหลงผิดจากสิ่งท่ีเพ่ิมเติมข้ึนในพระธรรมในพุทธศาสนาด�ำเนินไปได้รวดเร็ว
ยิ่งข้ึน และท�ำให้พุทธศาสนามั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุดังนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนา
ครสิ เตยี นมสี ว่ นในการสร้างพทุ ธศาสนาแบบใหมด่ ้วย

การปฏิรูปเช่นนี้มิได้ท�ำให้ชาวพุทธทุกคนพอใจ พระสงฆ์บางรูปก็ยังคงยึดถือ
ในประเพณเี ดิมเนอ่ื งมาจากความเคยชนิ บางรปู กจ็ ะกระท�ำเชน่ นั้นเพ่อื ผลประโยชน์
ของตนเอง อยา่ งไรกด็ คี ณะสงฆธ์ รรมยตุ กไ็ ดเ้ ปน็ ทสี่ นใจแกผ่ มู้ ปี ญั ญาทง้ั หลาย ทงั้ น้ี
คงเป็นเพราะมีเหตุผลดกี ว่า และคงเปน็ เพราะบคุ ลิกลักษณะอนั นา่ สนใจของสมเดจ็
เจา้ ฟา้ มงกฎุ เอง ไมช่ า้ พระสงฆอ์ น่ื ๆ กจ็ ำ� ตอ้ งปรบั ปรงุ ความหละหลวมของตนไปทลี ะ
เลก็ ละน้อย

สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มงกฎุ ทรงเปน็ ประธานการสอบไลภ่ าษาบาลสี ำ� หรบั พระสงฆท์ ง้ั หมด
มาตงั้ แตย่ งั มพี ระชนมเ์ พยี ง ๒๔ พรรษา ตำ� แหนง่ นมี้ คี วามสำ� คญั มาก แมว้ า่ พระองค์
ไม่อาจที่จะเอาระเบียบวินัยของพระองค์มาใช้นอกวัดบวรนิเวศก็ตาม แต่ด้วยการ
สนบั สนนุ ของพระองค์ มาตรฐานในความรภู้ าษาบาลกี เ็ จรญิ ขน้ึ อยา่ งมากมาย โรงเรยี น
สอนภาษาบาลีที่วัดบวรนิเวศก็อยู่ในระดับสูงเท่ากับแห่งอื่นๆ ในโลก ถ้าไม่สูงกว่า
ความเลอ่ื มใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาของพระองค์ ทำ� ใหม้ กี ารฟน้ื ฟพู ทุ ธศาสนาขน้ึ
โดยทว่ั ไปในสมยั รชั กาลที่ ๓ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสรา้ งวดั ทใ่ี หญ่

89

บางวดั ขน้ึ ในกรงุ เทพฯ บรรดาเจา้ นาย ขา้ ราชการชนั้ สงู และบคุ คลสามญั ตา่ งกก็ ระทำ�
ตามอยา่ งพระราชกศุ ล สุดแลว้ แตค่ วามสามารถของตน
เมอื่ พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ ฯ จะสวรรคต พระองคท์ รงมพี ระราชปรารถนา
แสดงความไมพ่ อพระทยั ทคี่ ณะสงฆธ์ รรมยตุ ครองจวี รตามแบบมอญ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ -
มงกุฎก็ทรงยอมตาม และสาวกของพระองค์ก็หันไปครองผ้าตามแบบพระสงฆ์ไทย
การยอมตามครง้ั น้ีไมไ่ ดเ้ ปน็ แต่เพยี งการแสดงความกรณุ าตอ่ ผู้ท่ีกำ� ลังจะตายเท่าน้นั
แตย่ งั แสดงถงึ วา่ หลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ สว่ นใหญเ่ กยี่ วขอ้ งกบั ความเมตตา
กรณุ าน้นั สำ� คญั ย่งิ กวา่ กฎเล็กนอ้ ย

90

บทที่ ๔

พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หวั สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๙๔ สมเดจ็ เจา้ ฟ้า
มงกฎุ กท็ รงลาผนวช และเสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั มิ พี ระปรมาภไิ ธยตามทางราชการของ
พระองคเ์ รมิ่ ตน้ ดว้ ยคำ� วา่ “พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ ” และยงั มสี รอ้ ย
ตามตอ่ ไปอกี มากมาย ชาวยโุ รปมักเรยี กพระองคว์ า่ King Mongkut และบางครั้ง
กม็ ีผถู้ วายพระนามว่า “พระบาทสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๔”

เรามหี ลกั ฐานพระราชพธิ รี าชาภเิ ษกของพระองค์ ซงึ่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ -
เจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษและส่งไปพระราชทานแก่สหาย คือ
นายบตั เตอรเ์ วอรธ์ (Butterworth) ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการแหง่ เกาะสงิ คโปร์ ฉบบั ภาษาองั กฤษ
เปน็ สำ� นวนของพระองค์ แตก่ ็คงมผี ้อู ่นื แก้ไขแล้ว

ลายพระราชหตั ถเลขาฉบบั นน้ั กลา่ ววา่ ในวนั ที่ ๑๕ พฤษภาคม เวลา ๗.๓๐ น.
ซ่ึงเป็นฤกษ์ดีตามเวลาท่ีโหรหลวงค�ำนวณถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
กส็ รงนำ�้ มรุ ธาภเิ ษกตอ่ พระพกั ตรพ์ ระพทุ ธรปู และเทวรปู พระคเณศ พราหมณเ์ ปา่ สงั ข์
ท้ังอตุ ราวัฏและทกั ขิณาวฏั ต่อจากน้ัน พระองค์ก็เสดจ็ ขึ้นประทบั บนพระทน่ี ัง่ อฐั ทศิ
ประทบั หนั พระพกั ตรไ์ ปแตล่ ะทศิ และมพี ระราชดำ� รสั เปน็ ภาษาบาลวี า่ จะทรงอปุ ถมั ภ์
พระพทุ ธศาสนาในพระราชอาณาจกั ร แลว้ จงึ เสดจ็ ไปประทบั บนพระทนี่ ง่ั ภทั รบฐิ ขณะที่
พราหมณอ์ า่ นคาถาสรรเสรญิ เขาไกรลาสถวายพระพร และถวายพระราชอาณาจกั รไทย
แดพ่ ระองค์ ขณะนนั้ บรรดาเจา้ หนา้ ทกี่ ถ็ วายเครอื่ งราชกกธุ ภณั ฑ์ เครอื่ งราชกกธุ ภณั ฑ์

91

เหลา่ นมี้ อี ำ� นาจศกั ดส์ิ ทิ ธจิ์ ากมนตท์ สี่ วดถวายแดพ่ ระอศิ วร แลว้ พระองคจ์ งึ ทรงรบั รอง
ใหท้ ้ังคณะสงฆ์และประชาชน มีสิทธ์ิใช้ต้นไม้ น้ำ� และศิลา ทกุ ชนดิ ตลอดจนวตั ถุ
อยา่ งอน่ื ๆ ทไี่ มม่ ผี ใู้ ดเปน็ เจา้ ของภายในพระราชอาณาจกั รแลว้ จงึ ทรงถวายอาหารและ
ไตรจวี รแดพ่ ระราชาคณะผใู้ หญ่ แลว้ ทรงใหป้ ระกาศตง้ั สมเดจ็ พระสงั ฆราช ตอ่ จากนน้ั
ขนุ นางผใู้ หญก่ เ็ ขา้ มาถวายความจงรกั ภกั ดี พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ จงึ รบั สงั่ วา่
ตั้งแต่น้ีไปบรรดาขุนนางผู้ใหญ่อาจเข้ามาเฝ้าพระองค์ได้เสมอถ้ามีราชการ และมี
พระราชดำ� รสั วา่ “อยา่ เสยี เวลาไปหาผอู้ นื่ ใหเ้ ขา้ มาแทนตวั เลย จงเขา้ มาเองตามความ
สะดวก และไม่ต้องกลัว” บรรดาชาวต่างประเทศท้งั หมดทอี่ าศัยอยใู่ นกรงุ เทพฯ ทัง้
ชาวยุโรปและบรรดาเจ้าประเทศราช ต่างก็ได้เชิญให้มาชมพระบารมีของพระองค์
ขณะท่ีพราหมณ์คู่หน่ึงก�ำลังสวดสรรเสริญพระอิศวร ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ ฯ กม็ พี ระราชดำ� รสั แกม่ หาสมาคม “ใหช้ นทกุ ชนั้ เขา้ ใจในพระเมตตากรณุ า
ของพระองค์”

หลงั จากนนั้ มพี ธิ ที างศาสนาอกี ๒ วนั จงึ บรรดาเจา้ นายและขนุ นางตา่ งกก็ ระทำ�
พิธถี ือน�ำ้ พระพพิ ฒั น์สตั ยา

ในวนั ท่ี ๒๐ และ ๒๑ พฤษภาคม มขี บวนแหเ่ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ทางสถลมารค
และชลมารคตามล�ำดับ ท้งั นีก้ ็เพอื่ ให้ “ประชาชนสามารถเขา้ เฝ้าพระองค์ และถวาย
ความเคารพได”้

ในการเสด็จพระราชด�ำเนินทางสถลมารค พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
จะประทับบนพระราชยาน ซึ่งตกแต่งด้วยประติมากรรมสีทองและฝังเพชรพลอย
มขี บวนทหาร ๑๐,๐๐๐ คน แตง่ กายตามเครอื่ งแบบทหารฝรง่ั และทหารไทย นอกจากน้ี
ยังมีขบวนม้าและขบวนช้างอีกเป็นจำ� นวนมาก เมื่อขบวนเสด็จพระราชด�ำเนินมาถึง
วัดโพธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงเสด็จลงจากพระราชยาน ทรงเปล้ือง
เครอ่ื งราชกกุธภัณฑบ์ างชิน้ แลว้ เสด็จเข้าไปถวายสักการะแดพ่ ระพุทธรูปและถวาย
ไตรจีวรแกพ่ ระสงฆ์ ขณะเสด็จกลบั มายังพระบรมมหาราชวงั พระองค์ก็ทรงทกั ทาย
ชาวต่างประเทศอีกด้วย

92

สำ� หรบั ขบวนเสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ทางชลมารค กม็ เี รอื ตา่ งๆ ทสี่ วยงาม เขา้ ขบวน
แหม่ ากกวา่ ๒๐๐ ลำ� รวมทง้ั เรอื เลก็ ๆ อกี เปน็ จำ� นวนมาก บรรดาเรอื สลกั เปน็ รปู สตั ว์
ต่างๆ มีฝีพายแต่งกายสีแดงประจ�ำเรือต้ังแต่ ๕๐-๑๐๐ คน พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ ฯ ประทับบนบษุ บกในเรือพระทีน่ ง่ั ยาว ๑๐๐ ฟุต บรรดาเจา้ นายและ
ขนุ นางผใู้ หญจ่ ะแตง่ กายดว้ ยผา้ ไหมสดี ำ� หรอื สตี า่ งๆ และสวมหมวกสงู ตา่ งกม็ เี รอื นง่ั
ซ่ึงงามน้อยกว่าเรือพระท่ีน่ังแต่เพียงเล็กน้อย นอกไปจากเรือไทย ก็ยังมีเรือญวน
มอญ และจนี อกี เพอ่ื จะใหฝ้ พี าย พายพรอ้ มกนั กม็ เี รอื พเิ ศษอกี ๒ ลำ� ซง่ึ นอกไปจาก
ฝพี ายแลว้ ยงั มคี นกระทงุ้ เสา้ ประจำ� อกี ลำ� ละ ๒ คน เพอื่ ใหจ้ งั หวะ หลงั จากแลน่ ขน้ึ ไป
ตามล�ำแมน่ �้ำแลว้ ขบวนเรือกเ็ ลย้ี วขวาแลน่ เข้าไปในคลองคเู มือง ณ วัดบวรนเิ วศ
ขบวนเรือก็หยุด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จขึ้นเพ่ือถวายของแด่พระ
ภิกษุสงฆ์อีก ต่อจากนั้นขบวนเรือก็เคล่ือนกลับและการเสด็จพระราชด�ำเนินเลียบ
พระนครก็เป็นอันสิ้นสดุ ลง

พระราชพิธีราชาภิเษกเช่นน้ี อาจท�ำให้ผู้อ่านที่ได้ทราบเรื่องการปฏิรูป
พระพทุ ธศาสนา ทพ่ี ระองคไ์ ดท้ รงกระทำ� ขน้ึ กอ่ นเสดจ็ เสวยราชย์ แปลกใจ พระองคไ์ ม่
ไดท้ รงพยายามอยา่ งทสี่ ดุ ทจ่ี ะกำ� จดั ความเชอื่ ถอื ในศาสนาพราหมณ์ และเวทมนตค์ าถา
ออกไปจากพทุ ธศาสนาดอกหรอื พระองคท์ รงกลา่ ววา่ สง่ิ เหลา่ นก้ี เ็ หมอื นกบั การนบั ถอื
โชคลาง ถ้าเชน่ นนั้ เหตุใดพระองคจ์ งึ ทรงยนิ ยอมกระทำ� พิธีซงึ่ เต็มไปด้วยเวทมนต์
คาถาตามพิธีทางศาสนาพราหมณ์ และเหตุใดพระองค์จึงสามารถนิมนต์พระสงฆ์
ให้มามสี ว่ นรว่ มในพิธีเช่อื ถือโชคลางเชน่ นไ้ี ด้

ความจรงิ การเปลย่ี นแปลงครง้ั นี้ ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ เปน็ แตเ่ พยี ง
ทางภายนอกเท่านั้น ถ้าพระองค์จะเป็นกษัตริย์ก็ต้องทรงประกอบพระราชพิธี
ราชาภิเษก และการพระราชพธิ รี าชาภเิ ษกน้ี ถา้ ยงิ่ โอ่อ่าไดม้ ากเท่าใดกย็ งิ่ เป็นการดี
สิ่งเหล่าน้ีเป็นธุระของชาวบ้านและพุทธศาสนาก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย เม่ือไม่มีพิธีทาง
พทุ ธศาสนาทจี่ ะมาใชแ้ ทนพธิ ที างศาสนาพราหมณไ์ ด้ สงิ่ ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ
อาจทรงกระทำ� ไดก้ ค็ อื เปลยี่ นแปลงแกไ้ ขพธิ นี นั้ แตเ่ พยี งเลก็ นอ้ ย เปน็ ตน้ วา่ ทรงทำ� ให้

93


Click to View FlipBook Version