ชีวประวัติและพระธรรมเทศนา
พระถริ จิตฺโต หลวงพอ่ อคั รเดช
วดั บญุ ญาวาส อำ� เภอบอ่ ทอง จงั หวัดชลบุรี
อนสุ รณพ์ ิพธิ ภณั ฑฉ์ นั ทกรานสุ รณ์
วดั ป่าอัมพโรปัญญาวนาราม ในพระสงั ฆราชปู ถัมภ์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมพฺ รมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก
ชีวประวตั ิและพระธรรมเทศนา
พระถิรจติ โฺ ต หลวงพอ่ อัครเดช
*ฉบบั ปรับปรุงแกไ้ ขค�ำผิดของชื่อสถานทใี่ นหนา้ ท่ี ๖, ๑๕
และเพิม่ เตมิ เนอ้ื หาในหนา้ ๑๔-๑๗
เลขมาตรฐานหนังสอื : ๙๗๘-๖๑๖-๔๔๕-๕๕๐-๔
พมิ พ์ครงั้ ที่ ๕ : ตุลาคม ๒๕๖๓
จำ� นวนพิมพ์ : ๕,๐๐๐ เล่ม
จัดพมิ พโ์ ดย : คณะศิษยานุศษิ ย์ วัดบญุ ญาวาส จงั หวดั ชลบุรี
สงวนลิขสิทธ์ิ : หา้ มคดั ลอก ตัดตอน เปลีย่ นแปลง แก้ไข ปรบั ปรงุ
ขอ้ ความใดๆ ทัง้ ส้นิ หรอื น�ำไปพิมพจ์ ำ� หน่าย
หากท่านใดประสงคจ์ ะพิมพเ์ พื่อให้เปน็ ธรรมทาน
โปรดตดิ ตอ่ ขออนญุ าตจากทางวัดบุญญาวาส
ต�ำบลบ่อทอง อ�ำเภอบอ่ ทอง จงั หวดั ชลบุรี
พิมพท์ ี่ : บริษัท ศลิ ปส์ ยามบรรจุภัณฑแ์ ละการพิมพ์ จำ� กัด
๖๑ ถนนเลยี บคลองภาษีเจรญิ ฝง่ั เหนือ ซ.เพชรเกษม๖๙
แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร
โทรศพั ท์ ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒ โทรสาร ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected] www.silpasiam.com
ค�ำปรารภ
เร่ืองการจัดท�ำหนังสือมรดกธรรมยอดโอวาทค�ำสอนของสมณะนักปราชญ์
วสิ ทุ ธเิ ทวา (พระปา่ ) จดั ทำ� ขน้ึ ๓๔ องค์ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช
๒๔๖๐-๒๕๕๔ โอวาทธรรมยอดแห่งค�ำสอนของวิสุทธิบุคคล ท่านแสดงบริสุทธิ์
สมบรู ณไ์ มว่ า่ ยคุ ใดสมยั ใด นำ� ผสู้ นใจพยายามตง้ั ใจปฏบิ ตั ติ าม ยอ่ มกา้ วลว่ งทกุ ขไ์ ปได้
สมความปรารถนา คณะปสาทะศรทั ธาเห็นควรจัดทำ� ข้ึนสงวนรกั ษาไว้ เพ่อื กุลบตุ ร
สุดท้ายภายหลังที่ พิพิธภัณฑ์ฉันทกรานุสรณ์ วัดป่าอัมพโรปัญญาวนาราม บ้าน
หนองกลางดอน ต�ำบลคลองกว่ิ อ�ำเภอบา้ นบึง จังหวดั ชลบุรี ผสู้ นใจกรณุ าเขา้ ไป
ศกึ ษาได้ตามโอกาส เวลาพอดี
ผฉู้ ลาดยึดหลักนักปราชญ์เปน็ แบบฉบับพาดำ� เนนิ ปกครองรกั ษาตน
คณะปสาทะศรทั ธา
ห้ามพิมพเ์ พือ่ จ�ำหนา่ ย สงวนลขิ สทิ ธ์ิ
สารบัญ ๑
๒
พระถริ จติ ฺโต หลวงพอ่ อคั รเดช ๕
๕
ชีวประวตั ิและพระธรรมเทศนา พระถิรจติ โฺ ต หลวงพ่ออคั รเดช ๓๐
ค�ำนำ� ๓๒
ชวี ประวัติ พระถิรจิตฺโต หลวงพอ่ อัครเดช ๑๒๘
- ชีวิตฆราวาส ๑๓๐
- “บนั ทกึ การปฏบิ ัตใิ นชีวติ สมณะ” ๑๓๗
- ชีวิตใต้ร่มผา้ กาสาวพัสตร ์ ๑๓๘
- ระลึกถงึ บญุ คณุ ของบิดา ๑๕๙
- สรา้ งวัดบญุ ญาวาส ๑๗๓
พระธรรมเทศนา พระถริ จติ โฺ ต หลวงพอ่ อัครเดช ๑๘๓
- มรรควถิ ี ๒๐๒
- ไมแ่ ซงซ้ายไมแ่ ซงขวา ๒๒๒
- น่ีคอื หนทาง
- ส่งิ ทเ่ี กดิ ขึน้ ได้ยาก
- รอ่ งรอยค�ำสอนของพระพทุ ธองค ์
- ก�ำลงั แห่งศีล สมาธิ ปัญญา
หลวงพ่ออัครเดช ถริ จติ โฺ ต (พระอาจารยต์ ๋ัน)
วดั บุญญาวาส อำ�เภอบอ่ ทอง จงั หวดั ชลบุรี
ชวี ประวัติและพระธรรมเทศนา
พระถริ จติ โฺ ต หลวงพ่ออัครเดช
1
คำ� นำ�
มีเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเราหลายอย่าง ทั้งท่ีเป็นเรื่องภายในและ
ภายนอก จากสง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นที้ ำ� ใหเ้ ราพจิ ารณาเหน็ ประโยชนข์ องการเขยี นบนั ทกึ ทง้ั ๆ ท่ี
เมอ่ื กอ่ นเราเคยตกลงใจแลว้ วา่ จะไมม่ กี ารเขยี นบนั ทกึ เรอ่ื งเกยี่ วกบั ตวั เราเองเดด็ ขาด
แตพ่ อพรรษา ๓ เราจ�ำพรรษาที่ อ.บา้ นหมี่ จ.ลพบุรี ท่สี �ำนกั วปิ สั สนาชวนพว่ งพุทธ
เรารู้สึกวา่ มีจติ เมตตาต่อสตั วท์ งั้ หลายมากอยา่ งบอกไมถ่ ูก
กอ่ นออกพรรษาในปีนนั้ นอ้ งชายมาเยี่ยมและโยมพ่อฝากหนงั สือธรรมะมาให้
ด้วยความเป็นห่วงลูกกลัวว่าจะไม่มีความรู้ทางธรรม อยากให้เราได้รู้ในสิ่งที่ท่าน
อ่านพบ ส่วนเรากลับคิดว่าเราปฏิบัติมาน้ีก็พอจะมีความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็อยากจะแนะน�ำโยมพ่อบ้างเท่าท่ีจะท�ำได้ ท่านไม่รู้หรอกว่าการศึกษาความรู้จาก
หนังสือน้ัน แม้จะศึกษาหนังสือทุกเล่มในโลกน้ี เราคิดว่าคงไม่มีวันจบสิ้นแน่นอน
การศึกษาเพอ่ื ความพ้นทุกขน์ ั้น ถา้ ไม่ค้นควา้ ลงในกายกบั จติ แล้ว เห็นทีจะไม่จบสน้ิ
การศึกษาหนังสือก็เป็นเพียงแตแ่ นวทางเทา่ นน้ั เปน็ แตเ่ พียงความจำ� ทีน่ ำ� มาอวดอา้ ง
เท่าน้นั เองวา่ “เรารมู้ าก” เปน็ การอวดกเิ ลสกนั เปลา่ ๆ
การศึกษาจากหนังสือมิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยทีเดียวก็หาไม่ บางครั้งก็เป็น
การอ่านให้ได้รับความคิดความเห็นท่ีดีได้ บางครั้งอ่านแล้วท�ำให้เกิดศรัทธาในการ
ประพฤติปฏิบัติก็เป็นได้ แต่การอ่านหนังสือต้องรู้จักอ่าน อ่านแล้วอย่าติดต�ำรา
พระพทุ ธองคท์ า่ นตรสั วา่ “อยา่ เชอื่ ตามตำ� รา” ทา่ นใหพ้ จิ ารณาหาเหตหุ าผลจงึ คอ่ ยเชอ่ื
ดว้ ยเหตนุ ้ี จงึ ทำ� ใหเ้ รารสู้ กึ วา่ โยมพอ่ ญาตพิ น่ี อ้ ง และคนอน่ื ๆ ทร่ี จู้ กั เรา เขาเคยเหน็ เรา
ตงั้ แตเ่ ด็กเลก็ ๆ จนเติบโตขน้ึ มานี้ เขาย่อมคดิ อยู่เสมอวา่ เราเปน็ ลกู เราเป็นหลาน
เพราะว่าทกุ คนย่อมมีอุปาทานความยดึ มัน่ เป็นธรรมดา
2
อีกสาเหตุหน่ึงท่ีท�ำให้เราเขียนบันทึกนี้ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อ
นอ้ งชายเรา เพราะเมอ่ื ไดส้ นทนากนั เรอ่ื งการปฏบิ ตั ิ เรารสู้ กึ วา่ เขาปฏบิ ตั ไิ ดด้ พี อสมควร
เพราะเหตนุ เี้ ราจึงคิดว่าถา้ บนั ทกึ นไ้ี ม่มปี ระโยชนส์ ำ� หรบั คนอืน่ ๆ แล้ว ถา้ จะมี
ประโยชนต์ อ่ บดิ าเราหรอื ญาตพิ น่ี อ้ งเรา กอ็ าจจะไมเ่ ปน็ การเสยี เวลาไปโดยเปลา่ ประโยชน์
หรอื ถ้าจะมีประโยชนส์ ำ� หรับคนอื่นๆ บา้ ง เราก็ยนิ ดี การที่ผูใ้ ดได้ประโยชน์จากการ
อ่านบนั ทึกนแ้ี ม้เพยี งเล็กนอ้ ยก็ยงั ถอื ว่าคมุ้ คา่ ในการเขียนอย่ทู ีเดียว
การท่ีจะเขียนบันทึกต่อไปน้ี ถ้าไม่กล่าวถึงตอนมีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาสบ้าง
กอ็ าจจะไมร่ ู้เรื่อง จงึ ขอกล่าวถงึ บ้างในบางส่วนของชวี ติ ทม่ี ีสว่ นเก่ียวพนั กนั
บนั ทกึ นี้ เขยี นเมอื่ วนั ศกุ รท์ ่ี ๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๓ ทสี่ ำ� นกั สงฆจ์ ติ ตภาวนาราม
สาขาวดั หนองปา่ พง ล�ำลูกกา จ.ปทมุ ธานี เขยี นในขณะที่เรามาอย่เู ฝา้ วัด ภาวนาอยู่
รูปเดียว สบายพอดี
“ถิรจติ โฺ ต ภิกขุ”
3
ชวี ประวตั ิ
พระถริ จติ โฺ ต หลวงพ่ออัครเดช
ชีวติ ฆราวาส
เราเกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๑๑ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ณ บา้ นเลขท่ี ๕๐๖ โรงงานทา่ หลวง
ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา พยาบาลผดุงครรภ์ สมนกึ ศรสี ขุ
ทำ� คลอด
บิดาชอ่ื นายเทยี บ ถริ วฒั น์ มารดาช่อื นางจ�ำเนยี รพนั ธ์ ถริ วัฒน์ (เฟอ่ื งทอง)
เราเป็นบตุ รคนท่ี ๓ มีพีน่ อ้ งเปน็ ชายทงั้ หมดรวม ๕ คน เสยี ชวี ติ ๑ คน
การศึกษา เศรษฐศาสตร์บณั ทติ จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โยมพอ่ และโยมแมเ่ ปน็ ชาวอบุ ลราชธานี โยมพอ่ เลา่ วา่ กอ่ นทโ่ี ยมแมจ่ ะตงั้ ทอ้ งเรา
โยมแม่ฝันว่าเห็นดวงดาวตกจากทอ้ งฟา้ ลงมาทลี่ านบา้ น โยมแม่กเ็ ลยไปหยิบขึน้ มา
แลว้ กใ็ สผ่ า้ ขาว กลายเปน็ เพชรทสี่ วา่ งไสวมาก กเ็ ลยนำ� ไปไวท้ ี่ห้ิงบชู า เกดิ ปตี ิใจมาก
ตน่ื ขนึ้ มาตอนเชา้ หลังจากนั้นไม่นานโยมแมก่ ็ตงั้ ครรภ์
5
โยมพอ่ ทำ� งานบรษิ ทั เหลก็ สยาม จำ� กดั ในเครอื บรษิ ทั ปนู ซเิ มนตไ์ ทย ทที่ า่ ลาน
จ.อยุธยา ส่วนโยมแม่ท�ำงานธนาคารออมสิน สาขาอุบลราชธานี ต่อมาเม่ือมีบุตร
โยมแมไ่ ดล้ าออกจากงานเปน็ แมบ่ า้ นดแู ลลกู ๆ โดยตดิ ตามโยมพอ่ มาอยทู่ ่ี ต.ทา่ หลวง
อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรอี ยธุ ยา เมือ่ คลอดบตุ รคนที่ ๕ โยมแมป่ ่วยเปน็ ไข้มาลาเรีย
มีไข้ไทฟอยด์แทรก มารักษาตวั ที่ ร.พ.ศริ ิราช และเสียชีวติ ลงเม่อื วนั ที่ ๑๓ เม.ย.
พ.ศ. ๒๕๐๑ อายุ ๓๓ ปี หลังจากโยมแม่เสียชวี ิต แพทย์ตรวจพบโรคไทฟอยด์
จากลกู ทง้ั ๕ คน บตุ รชายคนท่ี ๕ อายุ ๓ เดอื น จงึ เสยี ชวี ติ ตามไป แพทยส์ งั่ เผาผา้ หม่
หมอน ทน่ี อน เสอื้ ผา้ ทงั้ หมด ตอ้ งเปลยี่ นขา้ วของเครอ่ื งใชใ้ หมห่ มด ผา้ เชด็ ตวั ของใช้
ทุกอย่างต้องซกั ดว้ ยน�้ำร้อน ลกู ทง้ั ๔ คนที่เหลือ นอนป่วยเรียงกนั นอนไม่ไดส้ ติ
เหมือนคนตาย หมอฉดี ยาให้ทกุ วนั ๓-๔ วัน จึงฟื้นกระดกุ กระดิกได้ หนง่ึ เดอื น
ผ่านไปยังนอนอุจจาระปัสสาวะอยู่กับที่ สองเดือนจึงลุกนั่งได้พูดได้ รักษาตัวอยู่
๓ เดอื น ลกู ๆ ทง้ั ๔ จงึ รอดชีวติ มาได้ ระหวา่ งเดก็ ๆ ปว่ ยนนั้ มีคุณยายผาย คุณป้า
จติ วเิ ชยี ร คณุ นา้ สรุ ณี ชว่ ยกนั เปน็ พยาบาล อดหลบั อดนอนตลอด ๓ เดอื น เดก็ ทง้ั ๔
ป่วยไม่ได้สติ นอนอุจจาระไหลเหม็นคลุ้งไปท่ัวบ้าน คุณน้าสุรณีต้องอุ้มคนน้ันที
คนน้ีที อุ้มอาบน�้ำอุ่น ซักผ้าอ้อม อดหลับอดนอน กางมุ้งเฝ้าหลานท้ัง ๔ คน
คุณยายผายเล่าว่า บางครงั้ คุณน้าสรุ ณเี อาผ้าไปซกั ไปต้มในครัว ทำ� ไปนั่งร้องไหไ้ ป
เปน็ ทกุ ขท์ พี่ สี่ าวตาย และหลานอกี ๔ คน นอนไมไ่ ดส้ ตเิ หมอื นคนตาย ตอนนน้ั เรามี
อายุได้เพยี ง ๒ ปี ๑๐ เดอื น เทา่ น้ัน จากนนั้ โยมพอ่ และญาตๆิ จงึ เปน็ ผูด้ แู ลเด็ก
ทง้ั ๔ คน ตลอดมา ตอนนนั้ ทกุ เยน็ วนั ศกุ ร์ โยมพอ่ ตอ้ งนงั่ รถไฟดว่ นมาทอี่ บุ ลราชธานี
เพื่อเย่ียมลูกชายทั้ง ๔ ท่ียังป่วยอยู่ พอเย็นวันอาทิตย์ก็น่ังรถไฟกลับมาที่ท่าลาน
เพอื่ ทำ� งานในเชา้ วนั รงุ่ ขนึ้ เปน็ เชน่ นตี้ ลอดจนถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จงึ รบั เดก็ ๆ ทง้ั ๔ กลบั มา
อยดู่ ้วยกนั ท่ีท่าลาน มีพ่เี ลี้ยง ๒ คน และมีคณุ ยายผายคอยดแู ล
อายุ ๔ ปี โยมพอ่ กพ็ าลกู ๆ มาเรยี นอนบุ าลทโี่ รงเรยี นแสนโกศกิ นสุ รณ์ ต.ทา่ หลวง
อ.ทา่ เรอื จ.พระนครศรอี ยธุ ยา เรยี นจบอนบุ าล โยมพอ่ จงึ ตดั สนิ ใจพาลกู ๆ ไปอยปู่ ระจำ�
ท่โี รงเรยี นอำ� นวยวทิ ยา บางกระบอื เขตดสุ ติ กรุงเทพฯ ในระหว่างทีอ่ ยูป่ ระจำ� ที่
โรงเรยี นอำ� นวยวทิ ยา โยมพอ่ ไดซ้ อื้ บา้ นอยใู่ กลๆ้ โรงเรยี นทบี่ างกระบอื เดก็ ๆ จงึ ออก
จากโรงเรยี นประจ�ำมาอยูบ่ ้านท่ีโยมพ่อซ้อื ไว้ โดยมีคุณอาเทียม-อาบวั รัตน์ ถริ วฒั น์
6
เปน็ ผู้ดแู ลหลานๆ ทง้ั ๔ คน ส่วนคณุ พอ่ จะกลับบา้ นทกุ เย็นวนั ศกุ ร์ เย็นวนั อาทิตย์
จึงกลบั ไปท่ที ำ� งาน เปน็ เชน่ น้ีประจ�ำ
ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ลกู ๆ ทงั้ ๔ คน ยา้ ยไปเรยี นทโี่ รงเรยี นเซนตจ์ อหน์ ลาดพรา้ ว
เรยี นอยทู่ นี่ ่ีรวม ๑๒ ปี จนจบพาณิชยการเซนตจ์ อห์นร่นุ แรกของโรงเรยี น
เนื่องจากโยมพ่อเป็นศิษย์หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล (ลูกศิษย์อาวุโสของ
หลวงป่มู นั่ ภูรทิ ตฺโต) จงึ อบรมสั่งสอนบตุ รให้อยู่ในศีลในธรรมตลอดมา เราเปน็ คน
ไม่ชอบโกหก มีเมตตาต่อผู้อื่นเสมอ เรามีความคิดและจิตใจที่ไม่เหมือนเด็กใน
วัยเดียวกนั ส่ิงทจ่ี ำ� ขน้ึ ใจ คือตอนเด็กๆ พ่อสอนว่า “ถ้าไปเลน่ บ้านเพอ่ื น แมแ้ ต่เขม็
เล่มเดยี วกห็ ้ามหยิบของเขามา” ตอนเปน็ เด็กชอบเอาเคร่อื งมือชา่ งของพอ่ มาเล่นกัน
แลว้ วางไมเ่ ปน็ ระเบยี บ พอ่ สอนวา่ “ถา้ หยบิ ของมาจากทไ่ี หน ใหไ้ ปวางไวท้ เี่ ดมิ คนท่ี
จะใช้ของนัน้ จะได้มาหยิบไปใชไ้ ด”้ น่ีเปน็ ส่ิงที่เราจำ� ขึน้ ใจตงั้ แต่เดก็ สิ่งที่เราจ�ำขึน้ ใจ
อกี อยา่ งคอื ปสู่ อนวา่ “ถา้ คดิ จะเอาเปรยี บคนอนื่ ใหย้ อมเสยี เปรยี บเขาจะดกี วา่ ” นกึ ได้
ดงั นี้ เราขอกลา่ วถงึ คณุ ปเู่ ดช คณุ พอ่ เทยี บ และคณุ แมจ่ ำ� เนยี รพนั ธ์ ถริ วฒั น์ โดยถา่ ยทอด
มาจากบันทกึ ของคณุ พ่อเทียบเพอ่ื เปน็ อนุสรณ์ดงั น้ี
คณุ ปเู่ ดช ถริ วฒั น์ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๒๗ เปน็ ชาวอบุ ลราชธานี
สมรสกับคุณย่าผาย ธานี มีบุตร ๕ คน วัยเด็ก เด็กชายเดชเรียนหนังสือกับ
พระเสมาธรรมรกั ขติ “สงิ ห”์ เจา้ อาวาสวดั ปทมุ มาลยั องคแ์ รก อดตี เจา้ คณะแขวงอตุ รู
(แขวงอดุ ร) มณฑลอบุ ลราชธานี สมยั การปกครองยคุ เกา่ การเรยี นสมยั นนั้ เรยี นจาก
หนังสือมูลบทบรรพกิจ หัดอ่านและเขียนลงในใบลาน บวชเรียนได้ ๔ พรรษา
ที่วัดปทุมมาลัย รับราชการในแผนกอัยการมณฑลอุบลราชธานี เมื่ออายุ ๒๕ ปี
พ.ศ. ๒๔๕๒ เงินเดอื น ๓๐ บาท เปน็ เลขานุการพระยาอรรถวริ ัชวาทเศรณี (ปลัง่
จนิ ตกานนท์) ท�ำงานดี ไมม่ คี วามบกพรอ่ งทง้ั ราชการและงานสว่ นตวั จึงเปน็ ท่นี ิยม
รักใคร่ของข้าราชการในศาลยุติธรรมทุกๆ คน ลาออกจากราชการเนื่องจากมีโรค
ประจ�ำตัวคือปวดท้องบ่อยๆ เม่ือลาออกจากราชการ จึงท�ำอาชีพรับขนส่งสินค้าไป
ตา่ งอำ� เภอโดยทางเกวียน เชน่ ไปอำ� เภอเขื่องใน อำ� เภอม่วงสามสิบ โดยพาบตุ รชาย
เด็กชายเทียบ ถิรวัฒน์ ขณะน้นั อายุ ๘-๑๒ ปี ไปดว้ ย เมือ่ รวบรวมเงนิ ได้มากพอ
7
ปเู่ ดช ถริ วฒั น์ จงึ ซอ้ื ทนี่ า ๘๐ ไร่ ราคา ๔๐๐ บาท (ปจั จบุ นั คอื บรเิ วณตลาดเทศบาล ๖,
ปทมุ รัตน,์ โรงเรียนนารีนุกลู ) และฝึกสอนเด็กชายเทยี บให้รู้จักทำ� นา ทำ� ไร่ ฝกึ ลูก
ใหข้ ยนั อดทน ทำ� ไร่ ทำ� นาและคา้ ขายเปน็ ลกู ๆ ลว้ นผา่ นความลำ� บาก อดทน ในการ
ท�ำมาหากนิ ทุกๆ ดา้ น โดยสอนลกู ๆ วา่ ความขยนั อดทนเม่ือเดก็ โตขึน้ จะสบายใน
ภายหลัง
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ บริจาคท่ีดนิ ๓๗ ไรเ่ ศษ ให้กระทรวงศึกษาธกิ าร เพือ่ สร้าง
โรงเรียนสตรีประจ�ำจังหวัด “โรงเรียนนารีนุกูล” ตลอดชีวิตปู่เดชได้สร้างกุศลไว้
มากมาย รวมถงึ การทำ� นุบ�ำรงุ พระพุทธศาสนา ป่เู ดช ถิรวัฒน์ ได้รบั พระราชทาน
เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณจ์ ตั รุ ถาภรณช์ า้ งเผอื ก ชนั้ ที่ ๔ ชอื่ จตั รถุ าภรณ์ ปเู่ ดช ถริ วฒั น์
เสยี ชวี ติ เมอ่ื อายุ ๙๒ ปี เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ในขณะนอนพนมมอื ฟงั สวดโพชฌงค์ ๗
คตธิ รรมทีป่ เู่ ดช ถริ วฒั น์ สอนบุตรหลานคือ
๑. ถา้ คิดจะเอาเปรียบคนอ่นื ใหย้ อมเสยี เปรยี บเขาดกี ว่า
๒. ถ้าใครมายกมอื ไหวข้ อเงิน จะตอ้ งใหไ้ ม่มากก็นอ้ ย
๓. ในการด�ำรงชวี ติ และการทำ� งาน ใหย้ ึดถอื ค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ ให้มัน่ คง
การด�ำรงชีวิตจะเปน็ ไปดว้ ยดีตลอด
๔. ถา้ อยากเปน็ เจา้ คนนายคน ต้องท�ำตนใหเ้ ป็นตวั อย่างแกค่ นอืน่ ทงั้ การงาน
และความประพฤติ
ส่วนโยมพอ่ นายเทยี บ ถิรวฒั น์ เกิดวนั ท่ี ๒๙ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๖ เรียน
จบมธั ยม ๖ จากโรงเรยี นเบญ็ จะมะมหาราช ตอนเรียนมัธยม ๔-๕-๖ ได้รบั การ
ยกเวน้ คา่ เลา่ เรยี น ม.๔ ไดร้ บั เหรยี ญหมน่ั เรยี น จารกึ ชอื่ นามสกลุ และใบเชดิ ชเู กยี รติ
จากกระทรวงศึกษาธกิ าร ม.๕ ไดเ้ หรียญเงนิ ม.๖ ได้เหรยี ญทองค�ำ
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ สอบเขา้ ศกึ ษาตอ่ อาชวี ะชน้ั สงู ชา่ งกลปทมุ วนั ผทู้ สี่ อบไดค้ ะแนน
๑-๑๐ จะได้รับทุนเรียนจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นายเทียบ
ถริ วฒั น์ เปน็ ผหู้ นงึ่ ทไี่ ดร้ บั ทนุ น้ี ไดท้ นุ เรยี นจนจบปที ี่ ๓ ระหวา่ งเรยี นทช่ี า่ งกลปทมุ วนั
8
นายเดช ถริ วฒั น์ ผพู้ อ่ ไดน้ ำ� บตุ รชายไปฝากทา่ นเจา้ คณุ พระเทพเวที ป.๙ รองเจา้ อาวาส
วัดปทุมวนาราม ท่านเจ้าคุณได้กวดขันให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ จึงมีจิตน้อมน�ำใน
พระธรรมคำ� สง่ั สอนต้งั แต่นน้ั มา
ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เม่ือจบอาชวี ะ ได้สอบเทียบปริญญาวิศวกรรมอุตสาหการ
จึงสมัครเข้าทำ� งานท่ีโรงงานฟอกหนังที่ ๑๑ คลองเตย สงั กัดกรมพลาธิการทหารบก
ตำ� แหนง่ หัวหนา้ ควบคมุ การติดตั้งเคร่ืองจกั ร ลาออกเม่อื ปี พ.ศ. ๒๔๙๐
ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ เขา้ ทำ� งานเปน็ หวั หนา้ หนว่ ยซอ่ มยานยนตพ์ เิ ศษ กรมการขนสง่
ทหารบก ท่ที ำ� งานอยใู่ นกรมชา่ งแสงทหารบก สะพานแดง บางซ่อื
ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ไดร้ บั คำ� สง่ั ไปซอ่ มรถลากปนื ป.ต.อ. ในกรมปอ้ งกนั ตอ่ สอู้ ากาศยาน
๒๕ คัน ได้ท�ำเป็นผลส�ำเร็จ ได้รับเลื่อนข้ันและเงินเดือนรวม ๕ ขั้นในปีเดียว
และได้รับการเปล่ียนจากข้าราชการพลเรือนชั้นตรีเป็นนายร้อยตรีเป็นคนแรกของ
กองทัพบก
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เพอื่ นมาตดิ ตอ่ ใหไ้ ปทำ� งานโรงงานปนู ซเี มนตท์ า่ หลวง อ.ทา่ เรอื
จ.พระนครศรอี ยุธยา จงึ ไดไ้ ปทำ� งานท่ีบริษัท เหล็กสยาม จ�ำกดั ตง้ั แตน่ ้นั มา
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ สมรสกบั นางสาวจำ� เนยี รพนั ธ์ เฟื่องทอง มบี ุตรดว้ ยกันเปน็
ชาย ๕ คน บตุ รคนเลก็ ถงึ แกก่ รรมเมอ่ื ยงั เดก็ นางจำ� เนยี รพนั ธ์ ถริ วฒั น์ ถงึ แกก่ รรม
ดว้ ยโรคมาลาเรยี และโรคไขร้ ากสาดน้อย (ไขไ้ ทฟอยด)์ เมือ่ วันที่ ๑๓ เมษายน
๒๕๐๑ ทโ่ี รงพยาบาลศริ ิราช
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ บริษัท ปูนซีเมนตไ์ ทย จำ� กัด โรงงานทา่ หลวง ไดส้ ่งไปศกึ ษา
วิชาโลหะวิทยาและวิชาหล่อหลอมโลหะ (METALLURGY & FOUNDRY)
ในยโุ รป ๖ ประเทศ เพอื่ สรา้ งโรงงานอตุ สาหกรรมหลอ่ เหลก็ รปู พรรณขนึ้ ใหมท่ โี่ รงงาน
ทา่ หลวง อยธุ ยา ศกึ ษาเรยี นรกู้ ารหลอ่ ชนิ้ สว่ นอปุ กรณร์ ถยนตแ์ บบตา่ งๆ ดว้ ยแบบหลอ่
เปน็ ทรายผสมนำ้� มนั ลนิ สดิ linseed เปน็ นำ้� มนั บบี จากเมลด็ ฝา้ ย ศกึ ษาทบี่ รษิ ทั สรา้ ง
และประกอบรถยนตเ์ ฟียต ประเทศอิตาลี
9
ศึกษาอยู่ต้งั แต่ ๔ ก.ค. ๒๕๐๔ ถึง ๒๖ พ.ค. ๒๕๐๕ บรษิ ทั ฯ ใหเ้ ช็คเดินทาง
ไปใชใ้ น ๖ ประเทศ คดิ เปน็ เงนิ ไทยสามแสนบาท เรยี นจบเหลอื กลบั มาหกหมน่ื บาท
จึงนำ� เงนิ ทเี่ หลือไปคนื ให้ มิสเตอร์ลาสมนุ เช่น สมุหบ์ ัญชใี หญ่ ในขณะน้นั มิสเตอร์
วี เอฟ เจสเปอรเ์ ชน่ ผจู้ ดั การใหญ่ นง่ั อยใู่ นทน่ี น้ั ดว้ ย จงึ ถามวา่ คณุ คดิ ยงั ไงจงึ เอาเงนิ
ทเี่ หลือมาคนื ใหบ้ รษิ ทั
นายเทยี บตอบวา่ ...ผมคดิ วา่ บรษิ ทั ฯ เปน็ พอ่ แมผ่ ม พอ่ แมส่ ง่ ลกู ไปเรยี น ใหเ้ งนิ
ไปใช้ดว้ ย เม่อื เรยี นจบแลว้ มีเงนิ เหลือ จึงเอามาคนื ใหพ้ ่อแม่.....
ผจู้ ดั การใหญจ่ งึ พดู วา่ ....ในบรษิ ทั ปนู ซเี มนตน์ ี้ มแี ตค่ ณุ คนเดยี วเทา่ นน้ั ทเี่ อาเงนิ
มาคนื คุณเป็นผูม้ ีคณุ ธรรมสงู
สมหุ ์บัญชใี หญ่......บรษิ ทั ฯ ไมม่ ีบัญชีรบั เงนิ คืนหรอก ใหไ้ ปแลว้ ก็เปน็ ของคุณ
คุณเอาไปซอ้ื หนุ้ บริษทั ในเครือปนู ซีเมนต์ ๖ บริษทั ฯ กแ็ ล้วกัน
วา่ แลว้ กย็ กหโู ทรศพั ทพ์ ดู กบั หมอ่ มเจา้ ชมุ ปกบตุ ร์ ชมุ พล ณ อยธุ ยา ผอู้ ำ� นวยการ
แผนกหนุ้ ใหจ้ ดั การขายหนุ้ ๖ บรษิ ทั ฯ ให้ นายเทยี บ ถริ วฒั น์ จงึ ซอ้ื หนุ้ ไว้ ๖๐,๐๐๐ บาท
ราคาหนุ้ ละ ๑๐๐ บาท ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ราคาหนุ้ เพม่ิ ขนึ้ เปน็ หนุ้ ละ ๑,๐๐๐ บาท
จึงขายใหท้ รพั ยส์ ินสว่ นพระมหากษัตรยิ ์ไป ได้เงนิ มา ๖๐๐,๐๐๐ บาท
วันท่ี ๑๖ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๓๑ อายุ ๖๕ ปี นายเทยี บ ถิรวฒั น์ ได้อปุ สมบท
ท่วี ดั หนองปา่ พง จ.อบุ ลราชธานี พระมงคลกติ ตธิ าดา เปน็ พระอุปชั ฌาย์ พระเลี่ยม
€ติ ธมโฺ ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระครูบรรพตวรกจิ เปน็ พระกรรมวาจาจารย์
หลวงพ่อเทยี บ ถิรธมโฺ ม มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖
พรรษา ๑๖ ที่โรงพยาบาลชลบุรี
สว่ นโยมแม.่ ....จากบันทกึ ของโยมพอ่ ได้กล่าวไว้ว่า นางจ�ำเนียรพันธ์ ถริ วัฒน์
(เฟอ่ื งทอง) เกดิ วนั ท่ี ๑๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เปน็ บตุ รสาวของนายสาย-นางผาย
เฟือ่ งทอง มีพนี่ ้องเปน็ หญิงทงั้ หมด ๓ คน เดก็ หญงิ จ�ำเนยี รพนั ธ์เรยี นหนังสอื ชน้ั
ประถมปที ี่ ๑ ทโ่ี รงเรยี นเทศบาล จนจบประถมปที ่ี ๔ เมอ่ื อายุ ๘ ขวบ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐
จากนั้นเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีนารีนุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมประจ�ำจังหวัด
10
น.ส.จ�ำเนยี รพันธ์เป็นคนเรียนหนงั สอื เก่งมาก สมองดี ปัญญาดี สอบไดค้ ะแนนเปน็
ท่ี ๑ ตลอด เปน็ นกั เรยี นคนแรกและคนเดยี วในยคุ นน้ั ทเ่ี รยี นหลกั สตู ร ๖ ปี สามารถ
เลื่อนชนั้ และเรยี นจบได้ใน ๔ ปี
หลงั จากเรยี นจบมธั ยมปที ี่ ๖ ไดเ้ ขา้ ทำ� งานทสี่ ำ� นกั งานออมสนิ จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ตำ� แหน่งผชู้ ว่ ยหัวหนา้ สำ� นักงานออมสินทีอ่ ายนุ อ้ ยที่สดุ ในประเทศ คืออายุ ๑๖ ปี
เรอื่ งการทำ� บญุ สนุ ทานนน้ั น.ส.จำ� เนยี รพนั ธแ์ ละคณุ ยายผายผเู้ ปน็ แม่ ไดอ้ ปุ ฏั ฐาก
ดูแลพระเณรท่ีวัดเลียบ (เป็นวัดท่ีหลวงปู่เสาร์เคยเป็นเจ้าอาวาส) ซ่ึงอยู่ใกล้บ้าน
เป็นประจ�ำ จะต้มน�้ำมะตูมและน�ำน�้ำปานะไปถวายแด่พระเณรที่วัดเลียบทุกวัน
ถ้าพระเณรขาดเหลอื สง่ิ ใด ก็จะจัดหาน�ำไปถวายด้วยความศรัทธามิไดข้ าด มจี ิตใจ
ออ่ นโยนใฝ่ในบญุ กุศล
น.ส.จำ� เนยี รพนั ธ์ ไดส้ มรสกบั นายเทยี บ ถริ วฒั น์ เมอื่ วนั ที่ ๑๔ มนี าคม ๒๔๙๕
แต่งงานแล้วจึงได้ลาออกจากงานไปอยู่กับสามีท่ีโรงงานปูนซิเมนต์ไทย ท่าหลวง
จ.สระบรุ ี เม่ือมาอยทู่ ี่นไ่ี ดช้ วนสามีไปทำ� บญุ ถวายอาหาร ถวายสงั ฆทาน ท่วี ดั สะตอื
พุทธไสยาสน์ ท่ีอยูใ่ กลโ้ รงงานเป็นประจำ� และมักจะเหมาซื้อปลาดุก ปลาชอ่ น เต่า
ปลาไหล ไปปลอ่ ยทา่ นำ้� หนา้ วดั เปน็ คลองแควปา่ สกั เวลาแมค่ า้ หาบปลาไปปลอ่ ย จะมี
เดก็ ๆ ในตลาดทา่ ลานตามไปดเู ปน็ แถว เนอื่ งจากไมเ่ คยพบไมเ่ คยเหน็ คนใจบญุ ซอื้ ปลา
ไปปล่อยเป็นหาบๆ เมื่อเธออธิษฐานปล่อยปลาลงในน้�ำแล้ว เมื่อควักให้เงินแม่ค้า
แมค่ า้ รบั เงนิ แลว้ จะกราบลงทปี่ ลายเทา้ ของเธอ แลว้ รำ� พงึ วา่ คณุ นายใจบญุ เหลอื เกนิ
ตอ่ ไปอฉิ นั ไมข่ ายปลาอกี แลว้ อฉิ นั จะขายผกั ขายขงิ ขายถวั่ ฝกั ยาวฯ เธอจะบอกแมค่ า้ วา่
ดีแลว้ ขายผกั ไมต่ ้องฆา่ ปลา ไมบ่ าป เดก็ จะยืนฟังกนั เงียบกริบ
เมอื่ ย้ายลงมาอยู่กบั สามี เธอจะใหน้ ้องสาวพาแมล่ งมาเท่ยี วบ้าง พาไปทำ� บญุ
ไหวพ้ ระพทุ ธบาทสระบรุ ี บางครงั้ กพ็ าไปทำ� บญุ ไหวพ้ ระทอ่ี ยธุ ยา หรอื ลพบรุ ี ทกุ ครงั้
เธอจะบอกสามลี ว่ งหนา้ ๑ อาทติ ย์ เพอ่ื เตรยี มการ เธอเปน็ คนใจบญุ ใจกศุ ล ยมิ้ เสมอ
ไมเ่ คยหนา้ บงึ้ ขงึ้ โกรธใคร หนา้ ตาเบิกบานอยู่เสมอ ไม่เคยอารมณเ์ สยี มแี ต่ความ
เมตตากรณุ าต่อลกู ๆ เสมอ สีหนา้ จะไมแ่ สดงความไมพ่ อใจในเรื่องใดๆ น่เี ปน็ กริ ยิ า
ของเธอ เธอเปน็ ทร่ี จู้ กั ของชาวตลาดทา่ ลานดี ชาวตลาดและพนกั งานโรงงานทา่ หลวง
11
นยิ มนบั ถอื ในตวั เธอเปน็ อยา่ งดี เพราะเธอมมี ารยาทอนั งดงามแปลกกวา่ คนอน่ื เธอมี
ผิวพรรณดี รูปร่างสงา่ งาม เดนิ ชา้ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเปน็ เสนห่ ์แก่คนท่วั ไป
เธอมจี ติ ใจดี มีเมตตาตอ่ เพื่อนบา้ น เป็นท่ีรักและนบั ถอื ของคนงานลูกน้องของสามี
คนงานมกั จะกลา่ ววา่ คณุ นายใจดใี จบญุ เหลอื เกนิ ไมเ่ คยเหน็ นายผชู้ ายและนายผหู้ ญงิ
คงจะเปน็ เทวดามาเกดิ ใจบญุ เหลอื เกนิ เธอจะยม้ิ เรยี บๆ ดว้ ยความเมตตาและกลา่ ว
เป็นเชิงแนะน�ำว่า ใครรักษาศีล ๕ ได้ คนน้ันก็เป็นเทวดามาเกิดทุกคนนั่นแหละ
ครอบครัวไหนมีศลี ๕ ครอบครวั นัน้ ก็เปน็ ครอบครัวเทวดา
คณุ แมจ่ ำ� เนยี รพนั ธ์ ถงึ แกก่ รรมเมอื่ อายุ ๓๓ ปี ในวนั ที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๑
ท่โี รงพยาบาลศริ ริ าช เวลากลางคนื คอ่ นรงุ่ ดว้ ยโรคมาลาเรยี และโรคไทฟอยด์ แต่
แพทยร์ กั ษาเฉพาะไขม้ าลาเรยี จงึ ถงึ แกก่ รรมดว้ ยโรคไทฟอยด์ ในเวลา ๗ วนั เทา่ นนั้
น้ีคือประวัติบางส่วนบางตอนของชีวิตคุณปู่เดช คุณพ่อเทียบ และคุณแม่
จำ� เนยี รพนั ธ์ ถริ วฒั น์ จากบนั ทกึ ของคณุ พอ่ เทยี บ ถริ วฒั น์ เราจงึ ขอนำ� มาลง ณ ทน่ี ่ี
เพอื่ รำ� ลกึ ถงึ บุญคุณของทา่ น
ส่วนชีวิตในวัยเด็กของเรา ตอนเรียนช้ัน ป.๓-๔ ปกติไปโรงเรียนกับพี่ชาย
เปน็ ประจ�ำ ตอนกลับบา้ นเดนิ คยุ กนั หยอกลอ้ กนั คยุ ไปคยุ มา ถามอะไรกันเร่ืองนั้น
เรอื่ งน้ี พกี่ โ็ กหกไปเรอื่ ยๆ แบบหลอกเลน่ เรากร็ สู้ กึ ไมช่ อบใจ ถามอะไรกไ็ มไ่ ดค้ วามจรงิ
พูดเล่ียงไปเรื่อยๆ เมื่อพี่ชายถาม เราก็แกล้งตอบไปอย่างน้ันอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่า
เวลาถามอะไรแลว้ ไมพ่ ูดความจรงิ เราก็ไม่คอ่ ยพอใจ ไม่ชอบใจ ก็เลยบอกพช่ี ายว่า
ตัวกับเขามาสาบานกันไหมว่า ต่อไปน้ีเราจะไม่โกหกกัน ถ้าถามอะไรต้องตอบตาม
ความเปน็ จรงิ หา้ มโกหกกนั เพราะวา่ โกหกแลว้ พดู อะไรกไ็ มร่ เู้ รอ่ื ง พช่ี ายและเรากเ็ ลย
ตกลงกันวา่ ตอ่ ไปนี้จะไมโ่ กหกกัน ถามอะไรจะตอบตามความเปน็ จรงิ
เรยี นหนงั สอื จบประถม ๗ เราอายุ ๑๒ ปี ชว่ งปดิ ภาคเรยี น คณุ พอ่ ถามวา่ ใครจะ
บวชเณรอทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหค้ ณุ แมบ่ า้ ง เราและพช่ี ายคนโตจงึ บวชเปน็ สามเณรทว่ี ดั เลยี บ
อ.เมอื ง จ.อบุ ลราชธานี นาน ๑ เดอื น คณุ ยายผายต้มนำ�้ มะตมู สดไปถวายพระเณร
ทกุ วันตอนเยน็
12
ตอนเรียนอยูพ่ าณิชยการเซนตจ์ อห์น ปี ๑ เหน็ เพ่อื นผชู้ าย ๒ คนทะเลาะกนั
คนหนึ่งเป็นเพือ่ นสนทิ เรียนหนังสือมาด้วยกนั ๙ ปีแล้ว อกี คนเป็นเพ่อื นใหม่ที่เพ่ิง
รจู้ กั กนั เราอยใู่ นเหตกุ ารณจ์ งึ เขา้ ไปหา้ มทงั้ คใู่ หเ้ ลกิ ทะเลาะกนั ทง้ั สองกห็ ยดุ ทะเลาะกนั
แตเ่ ราเหน็ ความขนุ่ มวั ในจติ ใจของทง้ั คู่ เรารสู้ กึ เกลยี ดความโกรธทมี่ อี ยใู่ นจติ ใจของ
เพอ่ื น แตเ่ ราไมส่ ามารถทจี่ ะชว่ ยอะไรได้ เราจงึ พดู กบั ตนเองวา่ “เราจะทำ� ความโกรธนี้
ให้มันสิน้ ไปจากจิตใจเรา”
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน ขณะรอรถประจ�ำทางกลับบ้านที่หมู่บ้านปูนซิเมนต์ไทย
คลองประปา ประชาชนื่ รถประจำ� ทางแนน่ มาก ขนึ้ ไมไ่ ด้ ระหวา่ งคนลงจากรถและทยอย
ขน้ึ รถ สายตาเรามองเหน็ คณุ ปา้ คนหนงึ่ นงั่ อยรู่ มิ หนา้ ตา่ งรถ หนั ไปมองเหน็ เดก็ นกั เรยี น
ชายหญงิ เราไดย้ นิ คณุ ปา้ บน่ ในใจวา่ “เดก็ สองคนนไี้ มร่ จู้ กั ตง้ั ใจเรยี น มวั มาจบี กนั อยไู่ ด้
ถา้ พอ่ แมร่ คู้ งจะเสยี ใจแย”่ เราไดย้ นิ ดงั นนั้ กน็ กึ ในใจวา่ โชคดที ไ่ี มเ่ ปน็ เรา ถา้ เปน็ เรา
คงอายปา้ คนนแ้ี นๆ่ เลย เราจงึ สญั ญากบั ใจตนเองวา่ “เราจะไมม่ แี ฟน เราจะมแี ตเ่ พอื่ น
ถา้ เราเรยี นจบและท�ำงานชว่ ยเหลือตัวเองไดแ้ ลว้ จึงคิดจะมแี ฟน”
หลงั จากน้ันไม่นานประมาณเดอื นหนง่ึ กิเลสก็เกิดข้ึน เรามองเห็นผหู้ ญิงสวย
เกดิ นกึ ชอบขนึ้ มา แลว้ รสู้ กึ อดึ อดั ใจ พอกลบั บา้ นกป็ รกึ ษาพชี่ าย ถามพวี่ า่ เราชอบผหู้ ญงิ
จะทำ� อย่างไรดี พี่ชายแนะน�ำวา่ “ใหท้ �ำความรู้จกั และชวนคุย” พอไปเรียนหนงั สือ
กลบั มา พ่ชี ายถามว่า “ได้ทำ� ความรูจ้ ักผูห้ ญิงคนน้ันหรอื ยัง” เราตอบวา่ “ยงั ไมก่ ล้า”
พ่ีชายแนะน�ำต่อว่า “พรุ่งน้ีชวนเขาไปทานข้าว และก็ไปส่งบ้าน” เราเป็นเด็กขี้อาย
ไม่กล้าท�ำ พ่ีแนะน�ำต่อไปว่า “พรุ่งนี้ให้ชวนเขาไปดูหนังวันหยุด” พอกลับมาบ้าน
พก่ี ถ็ ามอกี วา่ “ทำ� ตามคำ� แนะนำ� หรอื ยงั ” เราตอบวา่ “เราไมก่ ลา้ คยุ ดว้ ย” พช่ี ายจงึ หยดุ
แนะนำ� ตอ่ มาเราก็ร้สู ึกอึดอัดใจมากจากการแอบชอบผหู้ ญิงคนน้ี เวลานกึ ถึงก็รู้สึก
อึดอัดใจ คืนหนึ่งความจ�ำผุดข้ึนมาว่า “ไหนเราสัญญากับใจตนเองมิใช่หรือว่าจะ
ไมม่ แี ฟน จะมแี ตเ่ พอื่ น จะเรยี นหนงั สอื ใหจ้ บกอ่ น ทำ� งาน จงึ คอ่ ยมแี ฟน” เรากถ็ ามใจ
เราวา่ “กเ็ ราชอบเขานี่ จะใหท้ ำ� อยา่ งไร” กม็ คี ำ� ตอบผดุ ขนึ้ มาวา่ “ถา้ อยา่ งนนั้ กไ็ มต่ อ้ ง
ชอบเขา” พอไดค้ ำ� ตอบนข้ี น้ึ มา ความรสู้ กึ ทวี่ า่ ชอบผหู้ ญงิ คนนม้ี นั ละลายออกไปจากใจ
จติ รสู้ กึ โลง่ ไมอ่ ดึ อดั ความชอบหายไป เชา้ รงุ่ ขน้ึ ไปเรยี นหนงั สอื ตามปกติ เมอ่ื เหน็ ผหู้ ญงิ
คนนกี้ ร็ สู้ กึ เฉยๆ ความรสู้ กึ ชอบหายไป ในกาลตอ่ มากม็ โี อกาสพดู คยุ กนั และเปน็ เพอ่ื น
13
กันเท่านนั้ เรายังไมค่ ดิ เร่อื งอืน่ เรายงั เปน็ เดก็ ยงั เรียนไมจ่ บ ไม่มีงานทำ� ตอ้ งอาศยั
เงนิ พอ่ เรยี นหนงั สอื เราจงึ คดิ วา่ ยงั ไมส่ มควรจะมแี ฟนในวยั เรยี น เราคดิ วา่ ควรเรยี น
จบกอ่ น และมงี านทำ� เปน็ ผใู้ หญพ่ อสมควรจงึ คดิ เรือ่ งมคี ู่ครอง
เมอ่ื เราอายุ ๑๖-๑๘ ปี เราเรยี นอยู่ ร.ร.พาณชิ ยการเซนตจ์ อหน์ วนั หนงึ่ โยมพอ่
นำ� หนงั สอื พทุ ธธรรมมาใหอ้ า่ น ปกตถิ า้ ทา่ นพบเรอ่ื งไหนสำ� คญั ๆ ทา่ นจะทำ� เครอ่ื งหมาย
ไวใ้ ห้ลกู ๆ ไดอ้ ่านเสมอ เผอญิ วนั นน้ั หยบิ หนังสือพทุ ธธรรมขึน้ มาอา่ น เห็นค�ำ ๓ คำ�
มีค�ำอธบิ ายเสร็จในแต่ละบรรทัด
คำ� ทว่ี า่ นนั้ คอื คำ� วา่ “ความโลภ ความโกรธ ความหลง” เมอ่ื อา่ นความหมายจบแลว้
เรามคี วามรสู้ กึ ขนึ้ มาในใจเลยทเี ดยี ววา่ “ความโลภ ความโกรธ ความหลง” น้ี มนั เปน็
อารมณท์ ไี่ มด่ ี เปน็ สง่ิ ทท่ี ำ� ใหเ้ ราเกดิ ความทกุ ขใ์ จขน้ึ มาได้ อยา่ กระนนั้ เลย ตง้ั แตบ่ ดั น้ี
เราจะพยายามเลกิ พยายามละอารมณท์ งั้ หลายเหลา่ นใ้ี หน้ อ้ ยลงไป ใหเ้ หลอื นอ้ ยทสี่ ดุ
เทา่ ที่เราจะท�ำได้ เรายงั จ�ำค�ำ ๓ ค�ำนไ้ี ด้ตดิ ตาเลยในหนา้ กระดาษนั้นจนกระท่งั บดั นี้
ความโลภ เราคดิ ในใจตอนน้ันวา่ เราจะพงึ พอใจในส่งิ ทเี่ รามีอยเู่ ทา่ น้นั
ความโกรธ เราจะเปน็ คนมเี มตตา มแี ตค่ วามกรณุ า จะอดกลน้ั ตอ่ อารมณท์ เ่ี กดิ ขนึ้
ใหไ้ ด้ เพราะเราคดิ วา่ อารมณเ์ ปน็ สง่ิ ไมด่ ี ตงั้ แตน่ น้ั มาเรากพ็ ยายามละเวน้ ในสง่ิ ตา่ งๆ
เร่ือยมา
ระหว่างท่ีเราก�ำลังศึกษาอยู่พาณิชยการนั้น เราเคยได้ยินพวกชาวบ้านพูดถึง
พระบอ่ ยๆ วา่ พระบวช ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา แล้วมกั จะสึกออกมา โยมกเ็ ลย
เสอื่ มศรทั ธาลงไปบา้ ง บางทา่ นเปน็ มหากส็ กึ ทำ� ใหเ้ รามคี วามรสู้ กึ คดิ วา่ ถา้ เราบวชละก็
เราจะไมส่ กึ เหมอื นพระพวกนนั้ ถา้ เราบวชจะไมส่ กึ แน่ เราจะไมท่ ำ� ใหค้ นทงั้ หลายมอง
พระพทุ ธศาสนาในทางไมด่ ี อนั นเ้ี ปน็ ความคดิ ของเราเทา่ นน้ั แตต่ อนนนั้ เรายงั ไมค่ ดิ
จะบวช
พอเรียนจบพณิชยการเซนต์จอห์น เราก็เข้าศึกษาต่อท่ีวิทยาลัยหอการค้าไทย
คณะเศรษฐศาสตร์....ตอนจบพาณิชยการใหม่ๆ เดอื นธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เราได้
เดินทางไปเทยี่ วจังหวดั ภูเก็ต ครัง้ น้เี ป็นคร้งั ที่ ๓ ของเราทไ่ี ปจงั หวัดภเู ก็ต เราไป
14
ดว้ ยกนั ๓ คน คอื เรา นอ้ งชาย และเพอ่ื น ไปพกั ทห่ี มบู่ า้ นสะปำ� พกั ทบี่ า้ นพสี่ าวเพอื่ น
ของนอ้ งชายเรา ประมาณวนั ท่ี ๘ หรอื ๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เราและเพอื่ นๆ ทง้ั หมด
ประมาณ ๑๒-๑๓ คน มพี ส่ี าวของเพือ่ นเป็นผูห้ ญงิ เพยี งคนเดียว ขบั รถสองแถว
พานอ้ งๆ ซง่ึ เปน็ ผชู้ ายทง้ั หมด อายปุ ระมาณ ๑๖-๑๘ ปี เดนิ ทางไปเทยี่ วหาดทรายแกว้
ใกลส้ ะพานสารสนิ เพอื่ ไปชมเตา่ ทะเลขนึ้ มาวางไข่ ไดม้ เี หตกุ ารณท์ ที่ ำ� ใหเ้ ราไดพ้ บกบั
แสงสวา่ ง และเร่มิ ทีจ่ ะตั้งใจท�ำความดี คณะเราได้เดนิ ทางมาถึงหาดทรายแกว้ เวลา
ประมาณ ๑๙.๓๐ น. เราและคณะไดล้ งไปเดนิ เลน่ ทชี่ ายหาด เพอื่ นทเี่ ปน็ ลกู ชาวประมง
ก็ชวนกนั จับปลู มทข่ี ้ึนมาตามชายหาด เรากส็ นกุ จบั ปูน�ำมาใส่ในหมอ้ พวกเราคิดกัน
ว่าจะน�ำไปท�ำอาหารรบั ประทาน
เดนิ เลน่ ทชี่ ายหาดพอสมควร เรากก็ ลบั ขนึ้ มานง่ั เลน่ บนรถยนต์ พดู คยุ กบั เพอ่ื น
๒-๓ คน เพอื่ นบางคนมากอ่ กองไฟขา้ งๆ รถ เพอ่ื นทเี่ ดนิ เลน่ และนงั่ เลน่ ตามชายหาด
ทุกคนกเ็ ริม่ กลับขน้ึ มารวมกันท่ีบริเวณกองไฟขา้ งรถในเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น.
เราได้พบกับทา่ นท่อี ยอู่ ีกมิติหน่งึ ทา่ นเรยี กตวั เองว่า “จ้าวทะเล” ท่านจ้าวทะเล
กลา่ ววา่ “ใตท้ อ้ งทะเลนม้ี ที ้งั สงิ่ ท่สี วยงามและส่ิงที่นา่ กลวั คนทมี่ าเทยี่ วทะเล มาเล่น
น้�ำทะเล แลว้ ประมาท ไม่ประมาณในกำ� ลังของรา่ งกายตนเองแลว้ เสยี ชีวิตในทะเล
ก็มมี าก เพราะคล่นื น�ำ้ ทะเลน้ัน เมอ่ื พัดเข้าหาชายฝง่ั แล้วจะมว้ นตวั กลับสทู่ ้องทะเล
ทำ� ใหบ้ างจดุ บางทนี่ ำ�้ กจ็ ะดดู พนื้ ทรายใหย้ บุ ตวั ลงไปดว้ ย คนทไ่ี ปเลน่ นำ�้ ลกึ เกนิ ไปกจ็ ะ
ถูกน�้ำทะเลพัดกลับลงไปสู่ทะเลลึก และไม่มีก�ำลังร่างกายท่ีจะต้านทานกระแสคล่ืน
จึงเสียชวี ิตในทอ้ งทะเลเปน็ จำ� นวนมากเพราะความประมาท”
ท่านจ้าวทะเลได้ถามเราว่า “เจ้ารักพ่อเจ้าไม”๊
เราตอบว่า “รักครบั ”
ทา่ นถามต่อไปวา่ “ใครท�ำอันตรายพ่อเจ้า เจา้ ชอบไม”๊
เราตอบวา่ “ไม่ชอบครับ”
ท่านถามต่อไปว่า “เจ้ารักนอ้ งชายเจ้าไม๊”
เราตอบว่า “รกั ครบั ”
ท่านถามต่อว่า “ใครท�ำอันตรายน้องเจา้ เจา้ ชอบไม”๊
15
เราตอบว่า “ไมช่ อบครบั ”
สุดท้าย ทา่ นถามเราว่า “เจา้ รักตวั เจา้ ไม๊”
เราตอบว่า “รักครับ”
ท่านถามต่อวา่ “ใครทำ� อันตรายเจา้ เจา้ ชอบไม๊”
เราตอบวา่ “ไมช่ อบครับ”
ทา่ นจา้ วทะเลกพ็ ดู ตอ่ ไปวา่ “สตั วท์ ง้ั หลายทเี่ กดิ ขนึ้ มา เคา้ กม็ พี อ่ มแี ม่ มพี ่ี มนี อ้ ง
แต่เค้าพดู ภาษาเจ้าไม่ได้ เจา้ มคี วามเปน็ อยู่สบายดอี ย่แู ล้ว ท�ำไมเจ้าต้องเบยี ดเบยี น
ชวี ติ สตั ว์”
ทา่ นพดู มาแค่นี้ เรากเ็ ขา้ ใจเลยว่า เราหลงทำ� ผดิ ไปแล้ว เราหลงท�ำบาปไปแล้ว
เราทราบในจติ ใจของเราทนั ทวี า่ ตอ่ แตน่ ไ้ี ปเราจะเลกิ เบยี ดเบยี นชวี ติ สตั วโ์ ดยเดด็ ขาด
ท่านได้อบรมแนะน�ำสั่งสอนเราหลายๆ อย่าง จนกระทั่งท�ำให้เราเลิกฆ่าสัตว์
โดยเดด็ ขาดตัง้ แตน่ ั้นมา และท�ำใหค้ นอน่ื ๆ ท่ไี ปด้วยกนั เลกิ ฆา่ สัตวต์ ามเราไปด้วย
ในภายหลังเราได้ใหเ้ พ่ือนนำ� ปูทัง้ หมดไปปล่อยท่ีชายทะเล
กาลเวลาไดผ้ า่ นพน้ มาแลว้ ประมาณ ๖-๗ ปี (บนั ทกึ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๒๓) เรายงั
จำ� ไดด้ ี และระลกึ ถงึ บญุ คณุ ของทา่ นเสมอมาทท่ี ำ� ใหเ้ ราพบกบั แสงสวา่ ง และเรม่ิ ทจี่ ะ
ต้งั ใจท�ำความดี
ทา่ นทำ� ใหเ้ ราทราบวา่ ในโลกนมี้ ภี พมชี าตจิ รงิ เราเชอ่ื เชน่ นน้ั ทา่ นกลา่ วถงึ ธรรม
ทเี่ ปน็ ของคกู่ นั ทา่ นกลา่ ววา่ “มนี ำ�้ กม็ ปี ลา” “มรี ถ กม็ ถี นน” “มชี าย กม็ หี ญงิ ” “มมี ดื
กม็ สี วา่ ง” ทา่ นสอนให้เราเปน็ คนมจี ิตใจเมตตาตอ่ สตั ว์ และทา่ นยังเปิดโอกาสให้เรา
ถามข้อขอ้ งใจตา่ งๆ กับทา่ นได้ เราสนทนากบั ทา่ นประมาณ ๓-๔ ช่วั โมง
หลังจากเหตุการณ์น้ันผ่านไปแล้ว เราพิจารณาธรรมอันเป็นของคู่กันต่อไปว่า
“มีบุญ ก็มบี าป”
ตั้งแต่วันนั้นมา เราก็เลยพยายามท�ำแต่ความดี พยายามละเว้นส่ิงที่ไม่ดี
มคี ราวหนงึ่ กม็ คี วามคดิ ผดุ ขน้ึ มาภายในจติ วา่ “ความดใี ดทมี่ อี ยใู่ นโลกนี้ เราปรารถนา”
จนบัดนเี้ รายังระลึกถึงบญุ คณุ ของท่านเสมอมา
16
เราตง้ั ใจวา่ เราจะกลบั ไปที่จงั หวัดภเู กต็ อีกก็ตอ่ เมอื่ เราดพี อแล้ว หรอื อย่างนอ้ ย
ตอ้ งมีศลี ๕ จงึ จะกลบั ไปท่ีนั่นอกี จนกระทง่ั บัดนีแ้ ลว้ (พ.ศ. ๒๕๒๓) เรากย็ งั มไิ ด้
มีโอกาสกลบั ไปท่ีน่นั อกี เลย บ้านทเี่ ราไปพกั อาศัยอยดู่ ว้ ยนัน้ ครอบครัวของเขาดแู ล
เราเปน็ อยา่ งดี เราระลกึ ถึงบญุ คุณของเขาไม่เคยลมื เลย....
“จติ ใจของเรามกั จะคอยเตอื นเราอยเู่ สมอใหท้ ำ� ความดี สง่ิ ใดไมด่ ใี หเ้ ลกิ ใหล้ ะเวน้
ภายในสองปเี ราพจิ ารณาเห็นโทษ เรากถ็ อื ศลี ๕ ได้ครบทกุ ขอ้ จติ ใจเรายินดใี นการ
รกั ษาศีลโดยไม่ต้องบงั คบั ตัง้ แต่น้ันมา มีแต่ความสบายใจ”
เรามักจะนึกถึงคนยากคนจนตลอดเวลา เวลาฤดหู นาว เราอยู่อุ่นสบาย คดิ ถึง
คนที่ล�ำบากตามชนบท ไม่มีผ้าห่มนอน ฤดูฝน ถ้าบ้านหลังคารั่วคงนอนกันไม่ได้
รสู้ กึ สงสารมาก ถา้ เรามฐี านะดี เราจะชว่ ยเหลอื เขา เราคดิ แบบนบ้ี อ่ ยๆ เราสงสารคนมาก
แต่เราไมอ่ ยูใ่ นฐานะที่จะช่วยเหลอื ทกุ ๆ คนได้ เราเลยต้องวางเฉย
วันหน่ึงขณะที่เรานั่งรถประจ�ำทางกลับจากวิทยาลัยหอการค้า ผ่านสามแยก
เตาปนู ไปทางถนนประชาชนื่ เลยี บคลองประปา เมอ่ื รถวงิ่ ไปถงึ ปา้ ยรถเมลเ์ พอ่ื จอดสง่
ผโู้ ดยสาร ขณะนน้ั มวี ยั รนุ่ กลมุ่ หนงึ่ นงั่ จบั กลมุ่ อยทู่ ปี่ ากซอยเขา้ หมบู่ า้ น เมอ่ื เหน็ รถคนั นี้
เขา้ มาจอดสง่ ผโู้ ดยสาร คนกลุ่มนก้ี ว็ ง่ิ กรเู ขา้ มาท่รี ถประจำ� ทาง กระเปา๋ รถเมลต์ ะโกน
บอกให้คนขบั รบี ออกรถ คนขับรถรบี เรง่ เคร่อื งออกหนีวัยร่นุ กลมุ่ นี้ คนกลมุ่ นเ้ี ห็น
รถเรง่ เครือ่ งหนี จึงใชก้ ้อนหนิ ขนาดเทา่ กำ� ป้นั ขวา้ งเข้ามาในรถสวนกับรถท่ีวิ่งออกไป
หนิ กอ้ นนน้ั เขา้ มาทางหนา้ ตา่ งรถพงุ่ ตรงมาทน่ี งั่ ทา้ ยรถทเ่ี รานง่ั อยู่ หนิ ถกู ขวา้ งเขา้ มาดว้ ย
ความแรง บวกความเรว็ ของรถท่วี งิ่ สวนไป หินก้อนนั้นถูกหนา้ ผากของเราอย่างแรง
กระเดน็ ตกไปทบ่ี นั ไดรถ เรารสู้ กึ ถงึ ความแรงของหนิ ทวี่ งิ่ เขา้ กระแทกหนา้ ผากของเรา
แตเ่ หมอื นมแี ผน่ ฟลิ ม์ ทกี่ น้ั อยรู่ ะหวา่ งหนา้ ผากของเรากบั กอ้ นหนิ จงึ ไมร่ สู้ กึ ระคายผวิ
แมแ้ ตน่ อ้ ย กไ็ มท่ ราบวา่ เปน็ เพราะเหตใุ ด เพยี งแตต่ อนนน้ั เราแขวนพระหลวงพอ่ กบ
วดั เขาถำ�้ สารกิ า อยเู่ พยี งองคเ์ ดยี ว ภายหลงั เราทราบวา่ วยั รนุ่ กลมุ่ นมี้ ปี ญั หาทะเลาะกบั
กระเปา๋ รถเมลค์ ันนี้
ตอนเรยี นอยมู่ หาวทิ ยาลยั ถา้ จำ� ไมผ่ ดิ คงจะเปน็ ปี ๒ เรานง่ั รถเมลไ์ ปไหนตามถนน
ถ้าแถวน้ันมีคนมาก เรามักจะมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ระยะนั้นมองดูคนรู้สึก
17
แปลกๆ ไป ความรสู้ กึ เกดิ ขน้ึ ในจติ วา่ คนทกุ ๆ คนกด็ เู หมอื นสตั วช์ นดิ หนงึ่ นนั่ แหละ
แตโ่ ลกเขาสมมตุ ิใหเ้ ป็นคนเทา่ นั้น ไม่ต่างอะไรเลยกบั พวกหมู วัว ควาย เมือ่ ตายไป
ก็เหลอื แตร่ า่ งกายทเ่ี นา่ เปอ่ื ยผพุ งั คนก็เช่นเดียวกัน
มองเห็นคนแล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีจิตวิญญาณมาอยู่ในร่างของคน
เหลา่ นนั้ รา่ งกายของคนเรากเ็ หมอื นกบั สตั วห์ รอื หนุ่ ยนต์ เมอ่ื จติ ของแตล่ ะคนสง่ั งาน
กายของเขาเหล่านั้นกเ็ คลื่อนไหวไปมาตามแต่จติ จะบงั คบั เรอื่ ยๆ ไป แตถ่ า้ ตายแลว้
ก็คงเหลือแต่รา่ งกาย เหมอื นสัตวอ์ ยา่ งไรกอ็ ยา่ งนัน้
ระยะนนั้ มหี ลายๆ ครงั้ ทเี่ รามองดคู นทง้ั หลายผดิ แปลกออกไป ไมเ่ หมอื นเมอ่ื กอ่ น
เรามองดูคนตามป้ายรถเมล์ เห็นคนยนื บา้ ง เดินบา้ ง คุยกันอยูบ่ า้ ง ทำ� ทา่ ทางต่างๆ
หวีผมบ้าง ย้ิมบา้ ง หวั เราะบา้ ง หนา้ บึง้ ตึงบา้ ง เห็นแล้วคดิ ว่าคนเหลา่ นไ้ี มต่ า่ งอะไร
กบั สตั วเ์ ลย แตม่ จี ติ ใจประเสรฐิ และฉลาดกวา่ สตั วท์ ง้ั หลายเทา่ นนั้ เอง ลกั ษณะอาการ
เคลอ่ื นไหวนน้ั แตล่ ะคนกท็ ำ� ตามอำ� นาจจติ ของแตล่ ะดวงทจี่ ะสงั่ งานทำ� เทา่ นนั้ มคี วาม
รู้สึกเบอื่ ๆ คนข้ึนมาบ้างในขณะนั้น
ตอนทเ่ี ราศกึ ษาอยปู่ ี ๓ เวลาเราเจบ็ ปว่ ยอะไรขนึ้ มา เชน่ ปวดทอ้ ง ทอ้ งเสยี หรอื
ปวดปสั สาวะ เรามกั จะคดิ ในขณะทเ่ี ปน็ เสมอเลยวา่ เอะ๊ .....นม่ี นั อะไรกนั น่ี เราเจบ็ ปวด
ตัวเรา เราบอกให้หายปวดทอ้ ง ปวดศีรษะ ไม่ไดเ้ ลยหรอื น่ี ไหนว่าเป็นรา่ งกายของ
เราไงละ ท�ำไมไมอ่ ยใู่ นความควบคมุ ของเรา แสดงว่ารา่ งกายน้ีต้องไม่ใช่ของเราแน่
เราพิจารณาส่ิงต่างๆ เหล่านี้อยู่เป็นประจ�ำเสมอมาในระยะนั้น ไม่ว่าจะปวดศีรษะ
ปวดทอ้ ง ท้องเสยี ปวดปัสสาวะ เรามกั จะพจิ ารณาวา่ ถ้าเปน็ ตัวเราจรงิ แล้ว เราต้อง
สามารถทจ่ี ะบงั คบั ใหร้ า่ งกายหายเจบ็ ปว่ ย หรอื หายปวดทอ้ ง ปวดปสั สาวะ ในระหวา่ ง
เดนิ ทางไดซ้ ิ เอาไวป้ วดเมอ่ื ไปถงึ บา้ นกอ่ นซิ ทำ� ไมเราบงั คบั ไมไ่ ดเ้ ลย สง่ิ เหลา่ นที้ ำ� ใหเ้ รา
รคู้ วามจรงิ ขน้ึ มาบา้ งแลว้ วา่ นไี่ มใ่ ชร่ า่ งกายของเรา เพราะไมอ่ ยใู่ นอำ� นาจบงั คบั บญั ชา
ของใจเราได้เลย
เรากำ� ลงั ศกึ ษาอยนู่ นั้ วนั หนงึ่ ขณะทนี่ ง่ั คยุ อยกู่ บั เพอ่ื น เหน็ รถของวทิ ยาลยั มาสง่
นกั ศกึ ษา มนี กั ศกึ ษาหญงิ เดนิ ผา่ นมา ตามองไปเหน็ ผหู้ ญงิ คนหนงึ่ รสู้ กึ ชอบวา่ ผหู้ ญงิ
คนนสี้ วย คดิ อยใู่ นใจวา่ ถา้ ผหู้ ญงิ คนนสี้ วยเกนิ สามเดอื น เราจะทำ� ความรจู้ กั วนั หนงึ่
18
เหน็ ผหู้ ญงิ คนนเี้ ดนิ ผา่ นมาอกี วนั นมี้ องดไู มเ่ หมอื นวนั กอ่ น วนั นไ้ี มส่ วย เพราะทรงผม
เปล่ียนไปเลยไม่สวย เราเลยไม่ได้ท�ำความรู้จัก....อีกคร้ังได้เจอผู้หญิงอีกคนหน่ึง
ใจกช็ อบวา่ เขาสวย เลยคดิ ในใจอกี วา่ ถา้ สวยเกนิ สามเดอื นจะทำ� ความรจู้ กั วนั หลงั มา
เหน็ ผหู้ ญงิ คนนอี้ กี เอะ๊ ...วนั นไี้ มส่ วยแลว้ เพราะเขาเปลย่ี นชดุ ใหมเ่ ลยไมส่ วย ปรากฏวา่
ทงั้ วทิ ยาลยั หอการคา้ ไมม่ ผี หู้ ญงิ คนไหนสวยเกนิ สามเดอื น เราเลยไมไ่ ดท้ ำ� ความรจู้ กั
กบั ใคร มคี วามคดิ วา่ เราจะมเี พอื่ นเทา่ นน้ั เรยี นจบทำ� งานแลว้ จงึ คอ่ ยมแี ฟน บางครงั้
เรามองผหู้ ญงิ เหน็ วา่ สวย พอมองดตู อ่ ไปหลายๆ วนั กเ็ หน็ วา่ ไมส่ วยแลว้ ทกุ ๆ คนทเี่ รา
เหน็ วา่ สวย มองดไู มก่ ค่ี รง้ั กเ็ หน็ ความไมส่ วย เราเลยไมส่ นใจผหู้ ญงิ .......พอมาบวชแลว้
จงึ รวู้ า่ อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ในสมยั เรยี นนนั้ เปน็ อารมณว์ ปิ สั สนา คอื พจิ ารณาความไมเ่ ทยี่ ง
ของรปู หรือคน
หลงั จากนนั้ ไมน่ าน เหน็ เพอ่ื นผชู้ ายทะเลาะกบั แฟน เวลาทะเลาะกนั ผหู้ ญงิ กด็ ู
หนา้ ตาไมส่ วย เราจงึ ถามใจตนเองวา่ เราจะชอบผหู้ ญงิ ทตี่ รงไหน กม็ คี ำ� ตอบผดุ ขน้ึ มาวา่
“ให้ชอบทจ่ี ติ ใจ”
บางคราวไปเทย่ี ว เราเหน็ สง่ิ กอ่ สรา้ ง โบสถ์ ศาลา หรอื สถานทสี่ วยงาม จติ ใจเรา
มกั พจิ ารณาความเสอ่ื มอยเู่ สมอ คอื เหน็ สถานทนี่ น้ั ๆ เสอ่ื มลง พงั ลง หรอื เหน็ สถานที่
เกา่ แกพ่ งั แลว้ กลบั มาพจิ ารณาเปน็ สถานทที่ ที่ รงสภาพสมบรู ณข์ น้ึ เหน็ ความเสอื่ ม ความ
แตกสลายไปในที่สุด เหน็ ความเกิดขนึ้ ตัง้ อยู่ ดับไป อยเู่ สมอๆ จนจติ ใจเปลี่ยนไป
ขณะเรยี นอยปู่ ที ี่ ๔ บางวนั รสู้ กึ วา่ ในจติ ใจในหวั เราเตม็ ไปดว้ ยความคดิ ไมย่ อม
หยดุ คดิ จนถงึ ๔-๕ ท่มุ และในขณะที่มีความคดิ ไมห่ ยดุ น้ัน มีความรูส้ กึ อกี อยา่ ง
เกดิ ขนึ้ มาในจติ วา่ ...เอะ๊ จติ ของเราท�ำไมเราหา้ มใหห้ ยดุ คิดไม่ได้ นี่ก็แสดงว่าจติ ใจ
ไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้เป็นเจา้ ของจติ ใจ เผอิญเรานึกไดว้ า่ เคยอ่านประวตั ิหลวงปมู่ ัน่
บางตอน ทา่ นเคยสอนชาวเขาใหต้ ามหาพทุ -โธ ใหน้ ง่ั สมาธิ วนั ละ ๕-๑๐ นาที วนั นนั้
เลยคดิ อยากนง่ั สมาธขิ น้ึ มา ตกดกึ จงึ ขนึ้ ไปนงั่ สมาธใิ นหอ้ งพระ นงั่ สมาธไิ ปไดส้ กั ครู่
ความคดิ กห็ ยดุ จิตใจก็สบาย เมอื่ เรากำ� หนดสติอยทู่ ่ีลมหายใจ เข้า-พทุ , ออก-โธ
จติ ใจกเ็ ลกิ คดิ มาจบั อยทู่ ลี่ มหายใจเขา้ ออก จนจติ ใจสบาย ตอ่ แตน่ นั้ มา เราจะขนึ้ ไป
นงั่ สมาธิทุกครั้งเมื่อมีความคิดไม่หยดุ ...
19
มอี ยคู่ รงั้ หนงึ่ นง่ั ภาวนาแลว้ ปวดขา ขาชา เราเลยพจิ ารณาวา่ กายนไี้ มใ่ ชข่ องเรา
เปน็ แตเ่ พยี งธาตุ ๔ เทา่ นนั้ วนั นน้ั พจิ ารณาสกั ครหู่ นง่ึ จติ ใจยอมรบั เหน็ ตามการพจิ ารณา
......เกิดอาการรวมลง วูบลง ๓ ครง้ั ร้สู กึ ว่าลมหายใจหายไป รา่ งกายไมม่ ี ค�ำภาวนา
หยดุ ภาวนา แตจ่ ติ ใจขณะนน้ั เปน็ สขุ มากทสี่ ดุ คดิ วา่ ขอใหเ้ ราอยอู่ ยา่ งนโ้ี ดยทไี่ มต่ อ้ ง
กลับมาเป็นคนอีกก็ยอม เพราะว่าจิตใจสุขมากจริงๆ สุขอย่างบอกไม่ถูกเลยละ
สขุ จนกระทงั่ คดิ วา่ ความสขุ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งในโลกนไี้ มส่ ามารถสคู้ วามสขุ ในขณะทจ่ี ติ
เปน็ เชน่ นไี้ ดเ้ ลย พอคดิ ไดด้ งั นก้ี ม็ คี วามรถู้ ามตวั เองขนึ้ มาวา่ รา่ งกายเราหายไปไหน?
ลมหายใจเราหายไปไหน? พทุ โธหายไปไหน? เราพยายามขยบั ตวั ขยบั รา่ งกาย เพราะ
เหน็ วา่ รา่ งกายหายไป ลมหายใจหายไป จนรสู้ กึ วา่ ลมหายใจคอ่ ยๆ หยาบขนึ้ มาเรอ่ื ยๆ
จนเปน็ ปกติ คร้ังนัน้ เรารูส้ กึ แปลกใจมาก
เรยี นอยปู่ ี ๔ เทอมสดุ ทา้ ย มเี หตกุ ารณอ์ ยา่ งหนง่ึ เกดิ ขนึ้ ขณะทย่ี นื อยบู่ นรถประจำ� ทาง
ไปวทิ ยาลยั จะมภี าพพระพทุ ธชนิ ราชปรากฏอยขู่ า้ งหนา้ บรเิ วณหนา้ ผากของเรา ประมาณ
๕ นาที พระพทุ ธชนิ ราชเปน็ สที อง ขา้ งๆ ทคี่ รอบเปน็ สเี งนิ เหน็ อยหู่ ลายวนั เราคดิ วา่
เราจะบา้ หรืออยา่ งไร อยูด่ ๆี ก็มองเห็นพระพุทธชินราช แตเ่ รากต็ ัง้ สตดิ อู ยู่
ในระยะต่อมา เวลาเราเดินทางไปเรยี น เรามกั จะเหน็ คนบนรถอย่สู ามลักษณะ
อยูเ่ สมอ มีเด็กเลก็ ๆ คนแก่ และคนเจบ็ ทกุ ครงั้ ทเ่ี หน็ จิตกจ็ ะพิจารณาไปเองเลย
ในขณะนั้น เม่ือเห็นสภาพภายนอกก็น้อมมาดูตัวเรา เห็นเด็กเล็กๆ จิตก็คิดไปว่า
ความเกดิ ขน้ึ มานเี้ ป็นทกุ ขเ์ หลอื เกิน กวา่ จะโตขนึ้ มาเท่าเรา ผา่ นความสุขและทกุ ขม์ า
เทา่ ไหร่ จติ กน็ อ้ มมาดตู วั เอง แตก่ อ่ นเรากเ็ คยเปน็ เดก็ เลก็ ๆ อยา่ งนี้ กวา่ จะเตบิ โตมาจน
ถึงขณะนี้ มีทั้งสขุ และทุกขส์ ลบั กันไป มนั น่าเบ่อื หนา่ ยเสียจริง พอคิดจบ ก็มองดู
คนเจ็บทน่ี งั่ มาในรถ สงั เกตดูสหี น้าและแววตาเขามคี วามทุกข์มาก เพราะมโี รคภยั
เบยี ดเบยี น พอจติ พิจารณาเสร็จ ก็ยอ้ นกลับมาพิจารณาดรู ่างกายตวั เอง แลว้ คดิ ว่า
ตวั เรากย็ อ่ มมคี วามเจบ็ ปว่ ยเหมอื นกนั ถา้ เราเจบ็ ปว่ ย เรากท็ กุ ขเ์ ชน่ กนั ....เหน็ ความเจบ็
เปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื จติ พจิ ารณาเสรจ็ กห็ นั ไปเหน็ คนแกค่ นหนง่ึ อายุ ๖๐-๗๐ ปี มองดแู ลว้
จติ กพ็ จิ ารณาวา่ คนเราเกดิ มาแลว้ กต็ อ้ งแกเ่ ชน่ นที้ กุ คน ตอ้ งแกเ่ ชน่ นที้ กุ คนแน่ ในกาล
ขา้ งหนา้ ผมตอ้ งหงอก หนงั ตอ้ งเหยี่ ว ฟนั ตอ้ งเสยี มองดแู ลว้ ไมส่ วยเลย เรากต็ อ้ งเปน็
เชน่ น้นั เหมอื นกัน...เห็นความแก่เปน็ ทกุ ข์
20
จติ นกึ ตอ่ ไปวา่ อีกไมน่ านคนทกุ ๆ คนในรถนี้ตอ้ งตายหมด ไม่มใี ครเหลอื ....
เห็นความตายเปน็ ทกุ ข์
เม่ือจิตพิจารณาไปอย่างน้ีแล้วก็นึกข้ึนว่า ร่างกายท่ีเราอาศัยอยู่น้ีไม่ใช่ของเรา
เพราะว่าเมอื่ คราวเจบ็ ป่วย หรือแก่ หรือตาย เราไม่มีอ�ำนาจจะบงั คบั หรือหา้ มไมใ่ ห้
ร่างกายเปล่ียนแปลงได้ พอจิตพิจารณาเสร็จ ก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายมากที่สุด
เกดิ ความรวู้ า่ กค็ วามเกดิ นไ่ี งเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ในขณะนน้ั ทำ� ใหค้ ดิ อยคู่ นเดยี ววา่
เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว...เราจะหาทางท�ำไม่ให้มีการเกิดอีกให้พบ ระยะน้ันจิตใจเรา
คดิ อยเู่ ชน่ นแี้ ทบทกุ วนั ทกุ ครง้ั ทไ่ี ปวทิ ยาลยั เราตอ้ งพบกบั เดก็ เลก็ ๆ คนเจบ็ ปว่ ย คนแก่
อยบู่ นรถคนั เดยี วกนั เสมอ จติ ใจเราคดิ พจิ ารณาไปเองประมาณ ๑๐-๒๐ นาทเี สมอๆ
จนเกิดความเบื่อหนา่ ย สลดใจ ไม่อยากเกดิ อกี .....
ตง้ั แตน่ ั้นมาเรากค็ ิดอยู่เสมอวา่ ถ้าเราพร้อมเมือ่ ไร เราจะบวชไม่สึก เราคิดว่า
ไมเ่ กนิ ๕ ปี เราจะบวช จะไปเรยี นตอ่ ปรญิ ญาโท ๒ ปี แลว้ ทำ� งานเลยี้ งดโู ยมพอ่ อกี ๓ ปี
ระหวา่ งนนั้ กจ็ ะพยายามปฏบิ ตั ติ วั เปน็ คนดไี ปดว้ ย เราจะพยายามพจิ ารณาคอ่ ยๆ ละ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปเรือ่ ยๆ ถึงเวลานน้ั คงพรอ้ มท่ีจะบวชโดยไมส่ กึ
เราถอื ศลี ๕ แลว้ เวลาไปเท่ยี วทไ่ี หน ถา้ เหน็ พระพทุ ธรูปในโบสถ์ หรือรอย
พระพุทธบาท จิตใจเราแปลกไปจากเดิม คือเม่ือเราเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปใน
สถานทตี่ ่างๆ นัน้ เสรจ็ แลว้ เราจะพนมมือขึ้นเหนอื อก อธษิ ฐานวา่ “ถา้ พระสัทธรรม
คำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ มจี รงิ แลว้ เปน็ คำ� สงั่ สอนทวี่ เิ ศษทสี่ ดุ แลว้ เปน็ ไปเพอ่ื ความ
พน้ ทกุ ข์ ลกู ขอใหไ้ ดพ้ บทางสายนด้ี ว้ ยเถดิ และขอใหล้ กู ไดเ้ ดนิ ทางถกู และตรงทส่ี ดุ ดว้ ย”
เราไดอ้ ธษิ ฐานเชน่ น้ีเสมอทกุ ๆ คร้งั โดยไมม่ ีใครบอก ไมม่ ใี ครแนะน�ำ จิตใจอยาก
อธิษฐานเอง
ระยะทย่ี ังศึกษาอยู่ เราพยายามคิดแตส่ ่ิงทีด่ ี สง่ิ ทเ่ี ป็นประโยชน์ ถ้าส่ิงใดไมด่ ี
ไมเ่ กดิ ประโยชน์ จะพยายามไม่ให้จติ คิดถงึ เมือ่ จิตคดิ ถงึ สิง่ ที่ไมด่ ีขึ้นมา กพ็ ยายาม
เอาสตมิ าดทู ลี่ มหายใจ หรอื บางครงั้ กภ็ าวนาพทุ -โธไปดว้ ย การทำ� เชน่ นที้ ำ� ใหค้ วามคดิ
ไมด่ หี ายไป
21
คราวทจี่ ติ ใจเราเหน็ ความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย เปน็ ทกุ ขแ์ ลว้ จติ ใจ
กไ็ ม่อยากเกิดเปน็ อะไรทั้งนัน้ ท�ำใหเ้ รานึกไปถงึ องค์สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้าว่า
พระองคก์ ท็ รงเหน็ สภาพ ๔ อยา่ งนี้ คอื ความเกดิ ความแก่ ความเจบ็ ความตาย มากอ่ น
เราแลว้ พระองคเ์ หน็ วา่ สง่ิ เหลา่ นเ้ี ปน็ ทกุ ข์ พระองคจ์ งึ สละราชสมบตั อิ อกบวช จนได้
ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ เราจงึ เขา้ ใจวา่ ทำ� ไมพระพทุ ธองคจ์ งึ ออกบวช เราคดิ วา่ “เรากค็ ง
พอมีบุญอยู่บา้ งท่ีไดม้ าเหน็ ในจิตใจวา่ ความเกดิ แก่ เจบ็ ตาย นี้คือความทกุ ข์”
คดิ ดแู ลว้ คนทกุ ๆ คนนา่ จะเหน็ ตามพระพทุ ธเจา้ แตไ่ มม่ ใี ครเหน็ ดว้ ย เพยี งแตร่ บั รู้
เท่านั้นว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย แต่คนท้ังหลายไม่เห็นเข้าไปในจิตใจของเขา
ซ่งึ น่าจะเหน็ กนั งา่ ยๆ แต่ก็ไม่ค่อยมใี ครเหน็ ตามความเปน็ จรงิ
พ.ศ. ๒๕๒๐ เรากำ� ลงั เรยี นอยปู่ ที ่ี ๔ ไมค่ อ่ ยไดไ้ ปเทย่ี วทไ่ี หนนกั เพราะเราถอื ศลี ๕
บางคร้ังเวลาไปหอ้ งสมุดทว่ี ิทยาลยั พบหนังสอื ธรรมะกอ็ า่ นบ้างเล็กน้อย ๒-๓ เล่ม
ระยะนน้ั รสู้ กึ วา่ จติ ใจเรม่ิ หนั เหมาทางธรรมะ เวลาเรามจี ติ วา่ งๆ สบายๆ มคี วามรผู้ ดุ ขน้ึ
มาในจิตว่า “ถ้าเราได้บวชในชาติน้ี ชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายของเรา” แต่ตอนน้ัน
เราก็ยงั ไมพ่ รอ้ มทจี่ ะออกบวช แตร่ ู้สกึ แปลกใจท่มี ีคำ� พดู นีผ้ ุดขึ้นมาในจิต
เราคดิ อยเู่ สมอวา่ “เราจะสรา้ งแตค่ วามดจี นกวา่ จะตาย ถา้ พรอ้ มทจี่ ะบวชกจ็ ะบวช
ถา้ ยงั ไม่พร้อมกจ็ ะปฏิบัตไิ ปเร่อื ยๆ”
บางครง้ั เดนิ ทางไปวทิ ยาลยั มองดผู คู้ นรสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยมากทเี ดยี ว “ครง้ั หนงึ่ เรา
เดนิ ทางไปเทย่ี วตา่ งจงั หวดั เรานอนหลบั ไปบนรถ พอตนื่ ขน้ึ มา เรามองเหน็ ภาพอสภุ ะ
ภาพคนตายหมดทง้ั คนั รถนั้น เห็นทกุ คนในรถลว้ นแต่เน่าเปน็ ซากศพด้วยกันทง้ั นั้น
คนขบั รถกเ็ นา่ เปอ่ื ย รถกผ็ พุ งั มคี วามรสู้ กึ วา่ คนในรถลว้ นแตต่ ายกนั ทง้ั หมด ทกุ คน
ก�ำลังน่ังอยู่บนรถ แลว้ รถคันนี้จะพาเราไปถึงทไี่ หนกันก็ไม่อาจทราบได้ ในตอนนน้ั
เราคดิ ไมอ่ อกวา่ เราจะไปไหนกนั นี่ คดิ วา่ ไมม่ สี ง่ิ มชี วี ติ อยบู่ นรถเลยนอกจากเรา คดิ แต่
เพยี งวา่ รถคนั นก้ี ำ� ลงั จะพาทกุ คนไปสคู่ วามตายเปน็ เบอ้ื งหนา้ นกึ มองเหน็ ภาพวา่ รถจะ
พาทกุ ๆ คนวง่ิ ไปสปู่ ากเหวแลว้ กจ็ ะตอ้ งตายกนั หมด ในขณะนนั้ รสู้ กึ สลดใจวา่ ตอ่ ไปน้ี
ทกุ คนกจ็ ะตอ้ งตายกนั หมด ไมม่ ใี ครสามารถจะพน้ ความตายไปไดเ้ ลย พอนกึ ไดด้ งั นน้ั
จติ ก็เปน็ ปกติ พจิ ารณาถึงความคดิ ที่เกดิ ขน้ึ ทีผ่ ่านมาท�ำให้คิดอยู่เสมอว่า เราจะไม่
22
ประมาท จะสรา้ งแตค่ วามดี สงิ่ ใดไมด่ ี เราจะเวน้ เสยี ....” จติ ใจเหน็ ขนาดนแี้ ลว้ กย็ งั บวช
ไมไ่ ด้อกี กิเลสของมนษุ ย์นีช้ ่างหนาแน่นจริงๆ
ตอ่ มาประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราเริม่ รักษาศีล ๘ พอเราท�ำมาได้
๓ สัปดาห์ เราก็พิจารณาถึงเหตุที่ท�ำให้เราบวชไม่ได้ในตอนนี้ว่าเราติดขัดอะไรอยู่
เราเห็นเหตุ ๒ อยา่ งคือ
๑. เราห่วงพ่อและพน่ี ้อง
๒. เรายงั มีความตอ้ งการตามธรรมชาตขิ องมนุษย.์ ...
นสิ ยั ของเรา เราชอบทำ� อะไรตอ่ เมอื่ ใจพรอ้ ม มเี หตผุ ลใหใ้ จเชอื่ ไมบ่ งั คบั จติ ใจ
ถา้ ใจพรอ้ มจงึ ค่อยทำ� อะไรตามทตี่ ้องการ ถา้ ใจเราไมพ่ รอ้ ม ก็ตอ้ งให้เวลาจิตใจบ้าง
พอสมควร ในตอนนนั้ เราคดิ วา่ ๒ ขอ้ นี้ เราละไดเ้ มอ่ื ไหร่ เรากจ็ ะบวช อยา่ งมากทส่ี ดุ
ไม่เกนิ ๕ ปี คงพร้อมทจ่ี ะบวช ตอ่ มาไม่นานนกั เราได้พจิ ารณาถึง
ขอ้ ท่ี ๑. ความหว่ งพอ่ และพน่ี อ้ ง เราพจิ ารณาวา่ สตั วท์ ง้ั หลายมกี รรมเปน็ ของๆ ตน
มกี รรมเปน็ ผใู้ หผ้ ล มกี รรมเปน็ แดนเกดิ มกี รรมเปน็ ผตู้ ดิ ตาม มกี รรมเปน็ ทพ่ี งึ่ อาศยั
ใครทำ� กรรมใดไว้ ดีกต็ าม ชัว่ กต็ าม ยอ่ มได้รับกรรมน้นั เรามัวแต่ไปหว่ งคนอนื่
เขาก็ต้องมีความสามารถชว่ ยเหลอื ตัวเองได้ เราได้น�ำมาพิจารณาเกิดปญั ญาเหน็ จรงิ
ตามนน้ั วา่ เราจะชว่ ยคนอ่นื ไดอ้ ย่างไร ทุกๆ คนก็โตๆ กนั แลว้ มีความคิดดว้ ยกัน
ทกุ คน มคี วามรบั ผดิ ชอบแลว้ ทกุ ๆ คนยอ่ มเปน็ ไปตามกรรม เราพจิ ารณาแลว้ เหน็ จรงิ
ตามนน้ั เลยตดั ใจได้
ข้อที่ ๒. ประมาณกลางเดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราลองนึกถึงผหู้ ญิงท่ี
หนา้ ตาดๆี หรอื สวยงาม ๒-๓ คน พอเรานกึ ภาพคนหนงึ่ ขน้ึ มา กเ็ หน็ หนงั ตรงใบหนา้
ลอกออก จิตใจก็เห็นเป็นสภาพไม่สวยไม่งาม เห็นผู้หญิงท่ีนึกถึงในขณะนั้นมีแต่
น�้ำเลือดนำ้� หนองไหลเยม้ิ นองใบหน้า เหน็ เป็นภาพในจิต ก็นกึ ถึงคนที่ ๒ พอนึกถึง
ใบหนา้ แคข่ ณะจติ เดยี วหนงั กล็ อกออก นำ้� เลอื ดนำ�้ เหลอื งไหลอาบหนา้ จติ สลดสงั เวชลง
นกึ ถึงคนท่ี ๓ หนังใบหน้ากล็ อกออก น้ำ� เลือดนำ�้ เหลืองไหลนอง จิตสลดสังเวชมาก
เหน็ เปน็ ภาพในจติ จติ ใจกเ็ กดิ เปลยี่ น เกดิ ความเบอื่ หนา่ ยมากทสี่ ดุ ถา้ คนเปน็ เชน่ น้ี
23
เราไมต่ อ้ งการครองเรอื น ตง้ั แตน่ น้ั มาเหน็ ผหู้ ญงิ กไ็ มม่ คี วามตอ้ งการ เพราะจติ ใจทรง
อารมณเ์ บอ่ื หนา่ ยมาตลอด ถา้ เหน็ ผหู้ ญงิ มองดสู กั แตว่ า่ เหน็ ยงั งน้ั เมอื่ จติ ใจเหน็ ผหู้ ญงิ
ไมส่ วย ก็คดิ วา่ ในชาตนิ ้เี ราจะไม่แตง่ งาน จะขอปฏบิ ตั ไิ ปเรอ่ื ยๆ จนกว่าจะบวช
ปลายเดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เย็นวันหนึ่ง คุณน้าผู้หญิงข้างบ้านบอกวา่
มีพระมาพักอยู่ท่ีบ้าน ถ้าอยากสนทนาธรรมก็ให้ไปท่ีบ้านคุณน้า เย็นวันนั้นเราไป
สนทนาธรรมกบั พระ พอสมควรกก็ ลบั บา้ น เราขน้ึ ไปบนหอ้ งพระทบ่ี า้ น หยบิ หนงั สอื
ธรรมะเลม่ หนงึ่ มาอา่ น พอเปดิ ขนึ้ มา เรากพ็ บกบั ประโยคหนงึ่ ซงึ่ เขยี นไวว้ า่ ปจั ฉมิ โอวาท
ขององคส์ มเดจ็ พระศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคไ์ ดต้ รสั วา่ “ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย
สงั ขารท้งั หลายมคี วามเสอ่ื มไปเป็นธรรมดา พวกเธอท้ังหลายพงึ ถึงพรอ้ มดว้ ยความ
ไมป่ ระมาทเถิด”
เราอา่ นประโยคนี้พรอ้ มกับพจิ ารณาตาม รสู้ กึ เหน็ จรงิ ตามท่พี ระพุทธองค์ตรสั
เราเลยคดิ วา่ การทเี่ ราตง้ั ใจไวว้ า่ อกี ๕ ปจี ะบวชนน้ั ทำ� ไมตอ้ งรอ ถา้ ตายกอ่ นละ ถา้ ตาย
ตอนนี้ก็คงไมไ่ ดบ้ วชแน่ ความดกี ็ยังไมไ่ ด้สรา้ งไวม้ าก ถา้ ตายไปกไ็ มไ่ ด้อะไรขน้ึ มา
ถา้ เราคดิ จะบวชแนน่ อนแลว้ จะรอตอ่ ไปทำ� ไม ตอนนจี้ ติ ใจเรากพ็ รอ้ มแลว้ ไมฝ่ นื ใจใน
การบวช ไม่ต้องบงั คบั ใจตนเอง เป็นไปดว้ ยการพิจารณาของสติ ปญั ญา และความ
พรอ้ มทใี่ จดว้ ยความพอดี เราไดพ้ จิ ารณาธรรมบทนอ้ี ยสู่ กั ระยะหนงึ่ ขณะนนั้ เปน็ เวลา
ประมาณ ๒๓.๐๐ น. ในคนื วนั นัน้ เราเหน็ ชัดขนึ้ มาในจติ ดงั นี้ ซ่งึ มีความหมายอนั
ลกึ ซงึ้ และเขา้ ใจในโอวาทของพระพทุ ธองค์ ยากท่จี ะอธบิ ายให้ใครฟงั ได้
ปัจฉิมโอวาทบทน้ี ท�ำให้เราแน่ใจมั่นใจในการบวช ก่อนนอนคืนนั้น เราได้
ตัดสินใจเด็ดขาดและบอกตนเองว่า “แต่น้ีต่อไปอีกไม่เกินสองเดือน เราจะขอบวช
ไมส่ กึ ”
ท่ีเราให้เวลาตัวเองอกี สองเดอื น เพราะต้องจดั การธุระต่างๆ ใหเ้ สร็จเสยี กอ่ น
ตอนนนั้ คดิ วา่ ไมเ่ กนิ ปลายเดอื นมถิ นุ ายนคงจะบวชได้ แตต่ อนนน้ั ยงั ไมค่ ดิ วา่ จะบวช
ทไี่ หน มีความต้งั ใจไวว้ า่
24
๑. จะบวชไม่สึก
๒. ตอ้ งบวชแบบงา่ ยๆ ไม่มีแห่นาค ไม่มดี ่ืมเหลา้ ไมม่ ีมหรสพเดด็ ขาด
๓. จะบวชวดั ทไ่ี มม่ กี ารปลกุ เสกพระ เชอื่ ในเรอื่ งกรรมมากกวา่ เครอื่ งรางของขลงั
๔. ต้องบวชต่างจังหวดั ตามป่า ตามเขา ตามชนบท
เราคดิ คนเดยี วในใจวา่ ถา้ บวชแลว้ จะเขา้ ไปปฏบิ ตั อิ ยใู่ นปา่ ในถำ้� องคเ์ ดยี วจนกวา่
จะตาย ถา้ ไมพ่ น้ ทกุ ขก์ จ็ ะขอตายอยใู่ นปา่ ขณะนน้ั จติ ใจเรามงุ่ มน่ั เดด็ เดยี่ วมาก อยากจะ
ทำ� อยา่ งนจ้ี รงิ ๆ ประกอบกบั วา่ เรายงั ไมม่ คี วามรใู้ นเรอื่ งราวตา่ งๆ ดพี อ เขา้ ใจวา่ บวชแลว้
จะทำ� อะไรกไ็ ด้ จะไปไหนกไ็ ดต้ ามใจเรา ภายหลงั มาทราบวา่ บวชแลว้ ตอ้ งอยวู่ ดั จนครบ
๕ พรรษากอ่ น จึงจะไปไหนได้ตามล�ำพงั
เราลองถามคณุ นา้ ผหู้ ญงิ ดวู า่ ถา้ จะบวช อยากใหบ้ วชทไี่ หน คณุ นา้ แนะนำ� ครบู า-
อาจารยข์ น้ึ มา ๒ รปู คอื หลวงตามหาบวั และหลวงพอ่ ชา เราถามวา่ วดั หลวงตามหาบวั
อยู่ทไี่ หน? วัดหลวงพอ่ ชาอยู่ท่ีไหน? คุณนา้ กน็ �ำรูปทัง้ สองท่านมาให้ดู เราก็คิดวา่
ครบู าอาจารยท์ ง้ั สองทา่ นเปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ คณุ นา้ อยากใหบ้ วชทว่ี ดั หนองปา่ พง
เพราะมีหลานชายบวชอยู่ทีน่ ่ัน เราไดถ้ ามต่อว่า ทีว่ ัดหนองป่าพงบวชง่ายหรือเปลา่ ?
อยตู่ ่างจังหวดั ไหม? มีการปลุกเสกพระไหม? คุณน้าบอกวา่ บวชงา่ ยๆ ไม่มีการ
ปลกุ เสกพระ เรากเ็ ลยคดิ วา่ ไหนๆ จะบวชไมส่ กึ อยแู่ ลว้ กค็ วรบวชทวี่ ดั หนองปา่ พงน้ี
เพราะโยมพ่อกอ็ ยู่จังหวดั อบุ ลราชธานี ถา้ ไปบวชที่วดั ปา่ บา้ นตาด อุดรธานี เกรงว่า
โยมพ่อจะเดินทางไปเยย่ี มล�ำบาก และเป็นหว่ ง เพราะช่วงน้ันโยมพอ่ ท�ำธรุ กจิ อยูท่ ี่
อบุ ลราชธานี จงึ ตดั สนิ ใจบวชทว่ี ัดหนองปา่ พง
เมอื่ คดิ จะบวชไมส่ กึ เพราะไมต่ อ้ งการเกดิ อกี แตเ่ รากไ็ มส่ ามารถจะรไู้ ดว้ า่ ทางที่
ถกู ตอ้ งทส่ี ดุ ในการแสวงหาความไมเ่ กดิ อกี นี้ คอื การบวชนห่ี รอื ? เปน็ วธิ ที ถ่ี กู ตอ้ งทส่ี ดุ
แลว้ หรือ? ทำ� ยังไงจึงจะรูไ้ ดห้ นอ?
เหตุทีค่ ิดเช่นน้ี เปน็ เพราะวา่ ในขณะนนั้ เราเป็นคนไมม่ ีความรเู้ รอ่ื งการบวชเลย
ไมไ่ ดศ้ กึ ษาอะไร เพยี งแตไ่ มอ่ ยากเกดิ แลว้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ทที่ า่ นออกบรรพชาแลว้
ตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เรารจู้ ากการเรยี นในหนงั สอื ศลี ธรรม แตว่ ธิ กี ารดำ� เนนิ
เราไม่รู้ว่าพระองค์ทรงท�ำอยา่ งไร?
25
ในระหวา่ งเดอื นพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ กม็ คี ำ� ถามขนึ้ ในจติ เราเสมอวา่ เราจะรู้
ไดอ้ ยา่ งไรว่าการบวชนี้จะเป็นทางไมเ่ กดิ อีก เป็นทางทถ่ี กู ตอ้ งแล้ว?
วนั หนง่ึ ในเดอื นพฤษภาคม เรานงั่ รถประจำ� ทางกลบั จากวทิ ยาลยั กน็ งั่ คดิ อยใู่ นใจ
คนเดยี ววา่
“เราจะร้ไู ดอ้ ย่างไรนะว่าทางนถ้ี กู ต้องท่สี ุด”
มคี ำ� ตอบสะทอ้ นออกมาจากภายในจิตใจ เห็นเปน็ นมิ ติ เกดิ ขนึ้ ในจติ วา่
“มีแกงอยู่ ๒ ถว้ ย ทง้ั ๒ ถ้วยนเ้ี ปน็ แกงเผด็ ชนดิ เดียวกัน
ถ้วยแรก มองดสู สี ันของแกงแล้วน่าทานกวา่ ถ้วยสอง เมื่อเราเห็นแกงถ้วยแรก
นา่ ทานกวา่ เรากเ็ ลยตกั ถว้ ยแรกกนิ กอ่ น เมอื่ ลองทานแลว้ กเ็ หน็ วา่ มรี สอรอ่ ยดี กเ็ ลย
มวั แตท่ านแกงถว้ ยแรกทกุ วนั ๆ โดยไมส่ นใจแกงถว้ ยสอง เพราะถว้ ยสองมองดสู สี นั
ไมน่ ่าทาน
พอทานแกงถว้ ยแรกทกุ ๆ วนั จนกระทง่ั รสู้ กึ เบอื่ กห็ นั ไปเหน็ แกงถว้ ยสอง นกึ อยาก
ลองชมิ ดู พอตกั ใสป่ ากคำ� แรกเท่านั้น เรากอ็ ทุ านออกมาจากจติ วา่ โอโ้ ฮ.....แกงถว้ ย
สองนอี้ รอ่ ยกวา่ ถว้ ยแรกเสยี อกี นเ่ี รามวั หลงโงท่ านแตแ่ กงถว้ ยแรกทกุ ๆ วนั โดยไมร่ เู้ ลย
วา่ รสชาตสิ แู้ กงถว้ ยสองนไ้ี มไ่ ดเ้ ลย ตอ่ ไปไมก่ นิ แลว้ ละ่ แกงถว้ ยแรก จากนน้ั กม็ คี ำ� ตอบ
ออกมาจากจติ อกี ว่า....
แกงถว้ ยแรก คือ การดำ� เนินชีวติ ในเพศฆราวาสท่เี รากำ� ลงั ดำ� เนินอยู่ หมายถึง
ชีวิตทางฝา่ ยโลก
แกงถ้วยสอง คือ การด�ำเนินชีวติ ในเพศนักบวช ปฏิบัตกิ รรมฐานจนกว่าจะ
ไมเ่ กิดอกี หมายถึงชวี ิตฝ่ายธรรม”
ครงั้ แรกเราเกดิ มาใชช้ วี ติ ในทางโลก เหมอื นกบั การทานแกงถว้ ยแรก จนกระทงั่
ต่อมารสู้ กึ เบอ่ื หนา่ ยในชีวติ ฆราวาส ไมอ่ ยากเกดิ อีก หมายถงึ เราทานแกงถว้ ยแรก
จนเบอื่ ตอ่ มามโี อกาสไดส้ มั ผสั กบั ความสขุ ของการนง่ั สมาธิ ทำ� ใหเ้ ราเหน็ วา่ ชวี ติ ทางโลก
สคู้ วามสงบจากการนง่ั สมาธไิ มไ่ ดเ้ ลย หมายความวา่ เราลองชมิ แกงถว้ ยทสี่ อง ไดร้ บั
26
ความอรอ่ ยจากถว้ ยทสี่ อง จงึ รวู้ า่ แกงถว้ ยแรกสถู้ ว้ ยสองไมไ่ ดเ้ ลย ถา้ จะเปรยี บเทยี บกนั
แล้วแสดงให้เห็นว่าความอร่อยของแกงถ้วยสอง หรือการยินดีในเพศสมณะนั้นมี
ความสุขมากกวา่ ฆราวาส และสามารถทำ� ให้เราพ้นทุกข์ได้
เมอ่ื จติ ถามตวั เองและตอบขน้ึ มาเองดงั นแ้ี ลว้ ทำ� ใหเ้ รานงั่ งงอยพู่ กั หนง่ึ และรำ� พงึ
ในใจว่า
เอะ๊ ....ใครตอบขนึ้ มาน?่ี ความร้สู กึ เหมือนกบั วา่ เราไมไ่ ด้ตอบข้ึนมาเอง แต่มี
คนพดู ใหฟ้ งั ทำ� ใหเ้ รางง และในขณะนนั้ ทำ� ใหเ้ ราเกดิ ความมนั่ ใจขนึ้ มามากทเี ดยี ววา่
ทางนถ้ี ูกทางแล้ว
พอตัดสินใจบวช จติ ของเรามนั แปลก จิตเป็นหน่ึงไมม่ ีสอง ไม่อาลัยอาวรณ์
ในโลก ก่อนจะบวชถามตนเองเพอ่ื ทดสอบจิตใจตนเองว่า
๑. ใหท้ รพั ยส์ มบตั หิ มดทงั้ โลกเปน็ ของเราผเู้ ดยี ว แตห่ า้ มการบวช จะเอาไหม?
เราตอบในใจวา่ .....เราไมป่ รารถนา เราปรารถนาการบวช
๒. ให้เรามีอ�ำนาจมากทสี่ ุด สามารถทำ� อะไรกไ็ ด้ แต่หา้ มการบวช
เราตอบว่า.......เราไมป่ รารถนา เราปรารถนาการบวช
๓. ให้เลอื กผู้หญิงได้ตามต้องการ เป็นร้อยเป็นพันกไ็ ดต้ ามปรารถนา แต่ห้าม
การบวช
เราตอบว่า....เราไมป่ รารถนา เราปรารถนาการบวช
..............เมอื่ พบหลวงพอ่ ชา และหลวงพอ่ ทราบวา่ เราอยากจะบวช
หลวงพ่อชาหนั มาถามว่า “ทำ� ไมถงึ อยากบวช”
เราตอบท่านส้นั ๆ วา่ “ผมไม่อยากเกดิ อีกครับ”
หลวงพอ่ ชาท่านก็เงียบไปสกั ครูห่ นึ่ง ทา่ นกพ็ ูดให้เราฟังว่า
“เราน่ะบา้ รู้ตัวมยั้ .....บา้ มสี องอยา่ งนะ คือ บ้าข้างบนกบั บา้ ข้างลา่ ง
27
บา้ ขา้ งลา่ ง หมายถงึ คนวกิ ลจรติ พดู จาเพอ้ เจอ้ ไมร่ เู้ รอ่ื ง ไมม่ สี ติ เขาถงึ เรยี กวา่
คนบ้า
คนอยูต่ รงกลาง คอื คนปกตธิ รรมดาสามัญชนท่ัวๆ ไป
บ้าข้างบน หมายถงึ พระอรยิ เจ้า เราน่ะมนั บา้ ขา้ งบน....ร้ไู หม เป็นพระอริยเจ้า
การบวชอยูใ่ นเพศสมณะน้ี เป็นเพศทปี่ ระมาณคา่ มิได้”
หลวงพ่อชาถามวา่ “เราเข้าใจไหม”
เราจึงเรียนตอบวา่ “เขา้ ใจครบั ”
หลวงพอ่ ชาถามว่า “เขา้ ใจวา่ อยา่ งไร”
เราเรยี นตอบทา่ นวา่ “หมายถงึ ว่า ไม่มที รพั ยส์ มบัติหรือสงิ่ มีค่าอะไรจะมามคี า่
หรอื เทยี บเทา่ กับการอยใู่ นเพศสมณะไดค้ รับ จงึ วา่ ประมาณค่ามิได”้
หลวงพอ่ ชากลา่ วว่า “ถกู ตอ้ งแลว้ ”
จากน้ันท่านได้พูดให้เราฟังอีกสักครู่ ท่านก็บอกให้ไปขออนุญาตโยมพ่อก่อน
ไมต่ อ้ งกลวั ทน่ี เี่ ปน็ บา้ นของเรา พอหลวงพอ่ พดู จบ เรารสู้ กึ วา่ จติ ใจเกดิ ปตี จิ นบอกไมถ่ กู
ทำ� ใหม้ คี วามมน่ั ใจมากขน้ึ ในทกุ ๆ อยา่ ง ความสงสยั หายหมดสน้ิ โดยไมต่ อ้ งถามทา่ นอกี
เพราะคราวแรกเราต้งั ใจจะมาถามปัญหากบั ทา่ น ทา่ นได้ตอบปญั หาใหเ้ ราก่อนที่เรา
จะถาม หลงั จากนน้ั เราจงึ ขออนุญาตท่านกลับไปบา้ นขออนญุ าตโยมพอ่ เพอื่ จะบวช
เยน็ วนั ต่อมา เรากราบนมัสการลาหลวงพอ่ ชากลับกรุงเทพฯ
หลวงพอ่ ถามวา่ “จะบวชเมอ่ื ไหร?่ ”
เราตอบทา่ นวา่ “อกี ๒ เดอื นจากนไ้ี ปครบั ผมขอกลบั ไปทำ� ธรุ ะเรอื่ งตา่ งๆ ใหเ้ สรจ็
กอ่ นครบั ”
ปลายเดอื นพฤษภาคม ไดร้ บั ขา่ วจากทางมหาวทิ ยาลยั โคโรลาโด ประเทศสหรฐั -
อเมรกิ า ตอบรบั เขา้ ศกึ ษาตอ่ ในระดบั ปรญิ ญาโท สาขาการวางผงั เมอื ง ทางมหาวทิ ยาลยั
28
ให้ไปสัมภาษณใ์ นวันท่ี ๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราได้พิจารณาแลว้ วา่ จะบวช
ตดั สนิ ใจเดด็ ขาดแลว้ จงึ สละสทิ ธไิ์ มไ่ ปศกึ ษาตอ่ แตเ่ ราสมคั รเขา้ ศกึ ษาตอ่ ทว่ี ทิ ยาลยั ซงึ่
เปน็ สาขาขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ คอื วดั หนองปา่ พง จงั หวดั อบุ ลราชธานี
............... “เมื่อเขา้ มาอยูว่ ดั หนองปา่ พง รสู้ กึ เหมอื นอยอู่ ีกโลกหนึ่ง มีแตค่ วาม
สบายทไ่ี ดร้ บั จากความสงบจากธรรมชาติ คราวนล้ี ะ่ เราจะขดุ รากถอนโคนกเิ ลสใหห้ มด
สนิ้ ไป คราวนแ้ี หละเปน็ โอกาสดแี ลว้ ละ่ รสู้ กึ วา่ ภาระความรบั ผดิ ชอบทางโลกหมดไป
เมอ่ื เขา้ มาวดั มแี ตค่ ดิ วา่ เปน็ โอกาสดแี ลว้ ทเ่ี ราจะทำ� ใหถ้ งึ ทสี่ ดุ แหง่ ความพน้ ทกุ ข์ เราจะ
ปฏิบัติจนกว่าเราจะพ้นทุกข์ ถ้าไม่พ้นทุกข์ในชาติน้ี เกิดมาชาติหน้าเราจะท�ำต่ออีก
เราจะทำ� จนกวา่ เราจะตายไปถึงจะหยุดท�ำ”
เราไดโ้ กนศรี ษะเปน็ ผา้ ขาว เม่ือวนั ท่ี ๘ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑
บวชเปน็ สามเณร เม่อื วนั ท่ี ๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑
บวชเปน็ พระภกิ ษุ เมอ่ื วันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑
เราขอยตุ ิชวี ติ ฆราวาสแตเ่ พียงเท่าน้ี
29
“บันทึกการปฏิบัติในชวี ติ สมณะ”
การเขยี นบันทึกเลม่ น้ีข้นึ มามไิ ด้มุง่ หวังอะไรมากนัก มไิ ดห้ วงั คำ� สรรเสริญหรือ
เยนิ ยอ เพราะเราร้ตู วั ดีว่าสง่ิ น้ไี ม่สามารถจะท�ำให้เราหลงตัวเองหรอื พลอยยนิ ดีดว้ ย
เพราะวา่ ใครจะวา่ อะไรกช็ า่ ง ความจรงิ กย็ อ่ มเปน็ ความจรงิ อยตู่ ลอดไป เรายอ่ มรตู้ วั เอง
ดกี ว่าใครๆ วา่ เรามคี วามคดิ เชน่ ไร ท�ำไปเพื่ออะไร
บนั ทกึ เลม่ นอี้ าจจะไมม่ เี นอื้ หาสาระ ไมม่ แี กน่ สาร หรอื อะไรพิสดารนกั แตเ่ ปน็
ส่วนหน่ึงของการปฏิบัติของเราเท่านั้นท่ีพอจะน�ำมาเขียนบันทึกไว้ได้ตามแต่ความจ�ำ
จะจ�ำได้ แตจ่ ะให้ละเอยี ดชัดเจนนกั นั้นย่อมเปน็ ไปไม่ได้ เพราะทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งรไู้ ด้
เฉพาะตวั
แตว่ า่ ...บนั ทกึ นอี้ าจมปี ระโยชนบ์ า้ งสำ� หรบั ผทู้ จี่ ะปฏบิ ตั เิ พอ่ื ตอ้ งการความพน้ ทกุ ข์
มนั เปน็ เพยี งหนทางเรม่ิ ตน้ เทา่ นน้ั ไมใ่ ชจ่ ะทำ� ใหพ้ น้ ทกุ ขไ์ ดเ้ ลย แตอ่ าจจะทำ� ใหค้ วามทกุ ข์
ความโศกเศรา้ ตา่ งๆ พอจะบรรเทาไปไดบ้ ้างเลก็ นอ้ ยถ้าปฏิบตั ติ ามได้
ถา้ เปน็ ประโยชนบ์ า้ งเลก็ นอ้ ยตอ่ โยมพอ่ พี่ นอ้ ง หรอื ใครกต็ ามสกั คนหนงึ่ กถ็ อื
ไดว้ า่ มเิ สยี แรงทอ่ี ตุ สา่ หบ์ นั ทกึ ไว้ ถา้ เกดิ ประโยชน์ กข็ ออนโุ มทนาดว้ ยตอ่ บคุ คลซง่ึ ไดร้ บั
ประโยชนน์ ี้เพราะว่า
“ธรรมท้งั หลายท่เี รายงั ไมร่ ู้น้นั ยงั มีอีกมาก”
“ความบรสิ ทุ ธิท์ ่ีเรายังไมถ่ งึ ก็ยังมอี ีก”
30
บนั ทกึ นเ้ี ราเรม่ิ เขยี นเมอ่ื วนั ที่ ๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ ตง้ั แตเ่ ราเรม่ิ บวชจนถงึ
พรรษาที่ ๓ ปลายปี
และเราก็บนั ทกึ ต่อเนือ่ งมาเร่ือยๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๑
และเร่ิมบนั ทกึ ตอ่ อีกครั้งเมือ่ วันท่ี ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๓
สว่ นทเี่ หลอื นน้ั เราเขยี นจากความทรงจำ� ทย่ี งั หลงเหลอื อยขู่ องเรา เนอ่ื งจากเรา
หยุดบนั ทึกมานาน เพราะเหตุวา่ ทุกส่งิ ทกุ อยา่ งหยดุ น่งิ ไม่อยากพดู ไมอ่ ยากเขยี น
ในขณะน้ัน
ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขสบายทุกทัว่ หนา้ กนั ด้วยเทอญ
พระอคั รเดช ถริ จิตโฺ ต
31
ชีวิตใตร้ ่มผ้ากาสาวพัสตร์
“ความทรงจ�ำที่เหลือ”
ชวี ิตใหม่ของเราเรม่ิ ขึ้นเมือ่ วันท่ี ๕ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑ เราเดินทางไปบวช
ผา้ ขาวทวี่ ดั บงึ ลฏั ฐวิ นั ต.ทา่ หลวง อ.ทา่ เรอื จ.พระนครศรอี ยธุ ยา โดยรว่ มออกเดนิ ทาง
ไปวดั หนองปา่ พง จ.อบุ ลราชธานี กบั คณะญาตโิ ยม ในวนั ท่ี ๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑
เพ่ือไปงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่อชา สุภทฺโท มีน้องชายและเพื่อน ๒-๓ คน
รว่ มเดนิ ทางไปดว้ ย ในคราวนน้ั เรามไิ ดแ้ จง้ หรอื บอกขา่ วการบวชใหเ้ พอื่ นๆ ทราบ เพราะ
เกรงว่าเขาจะไม่เขา้ ใจในตัวเรา ถึงจะพดู ให้ฟังก็คดิ วา่ เพือ่ นๆ คงไม่เข้าใจในตวั เรา
เมอ่ื เสรจ็ งานบญุ วนั คลา้ ยวนั เกดิ หลวงพอ่ ชา วนั ท่ี ๑๑ มถิ นุ ายน ๒๕๒๑ (ในปนี นั้
ทา่ นนบั วนั เกดิ เปน็ ขา้ งขน้ึ ขา้ งแรม งานบญุ วนั คลา้ ยวนั เกดิ หลวงพอ่ ชาจงึ ตรงกบั วนั ท่ี
๑๑ ม.ิ ย.) คณะทม่ี าจากทา่ ลานเดนิ ทางกลบั พวกเขาเหลา่ นน้ั ลมื เราหมดทกุ คน ทงิ้ เราไวท้ ่ี
วัดหนองป่าพงคนเดยี ว....
จากบา้ นมาสวู่ ดั คนอนื่ บอกวา่ รสู้ กึ เหงาวงั เวงใจอยา่ งบอกไมถ่ กู ไมส่ นกุ และอน่ื ๆ
แต่ส�ำหรับเราคนน้ีกลับมีความรู้สึกท่ีตรงกันข้ามกับคนอ่ืน เรารู้สึกเหมือนมาอยู่
อกี โลกหน่งึ จติ ใจปกติ มแี ตค่ วามสบายท่ีไดร้ ับจากความสงบ จากธรรมชาติของวัด
หนองปา่ พง
32
อีกส่วนหนง่ึ คดิ อยเู่ สมอวา่ คราวน.ี้ ..คราวนลี้ ะ เราจะขดุ รากถอนโคนกิเลสให้
หมดส้ินไป คราวนี้แหละเปน็ โอกาสดแี ลว้ ร้สู กึ ว่าภาระความรับผดิ ชอบทางโลกนน้ั
หมดไป เม่ือเข้ามาวัด จิตใจคิดแต่ว่าเป็นโอกาสดีแล้วที่เราจะท�ำให้ถึงท่ีสุดแห่ง
ความทกุ ข์ เราจะปฏบิ ตั จิ นกวา่ เราจะพน้ ทกุ ข์ ไมก่ ลบั มาเกดิ อกี ถา้ ไมพ่ น้ ทกุ ขใ์ นชาตนิ ี้
เกดิ มาชาติหนา้ เราจะทำ� ตอ่ อกี เราจะทำ� จนกว่าเราจะตายไปถึงจะหยุดท�ำ...
อาหารมอื้ แรกในขณะทเี่ ปน็ ผา้ ขาวทวี่ ดั หนองปา่ พงนน้ั อาหารทกุ ชนดิ รวมลงใน
กะละมังสีขาว ระหวา่ งท่รี บั ประทานอาหารจวนจะหมดนนั้ ในภาชนะมขี นมหวานคือ
วุ้นกะทิเปื้อนแกงเผ็ด พอเราตักขนมนั้นเข้าปาก ได้สัมผัสรสขนมที่เปื้อนแกงเผ็ด
เรารสู้ กึ รงั เกยี จ เลยคายทง้ิ ลงกระโถนไป ขณะนน้ั มสี ตเิ ตอื นขนึ้ มาวา่ “ทำ� ไมทานไมไ่ ด้
ในกระเพาะมชี ่องแยกเป็นอาหารคาวหวานหรือไม”่ จติ กต็ อบวา่ “ไมม่ ี กระเพาะมี
ช่องเดียว” “คนอ่ืนท�ำไมทานได้...แล้วเราท�ำไมทานไม่ได้” เลยรู้สึกเจ็บใจตนเองที่
แพก้ เิ ลส ในขณะนน้ั เราเลยตงั้ สจั จะลงไปวา่ “นบั แตน่ เี้ ปน็ ตน้ ไป ถา้ วนั ใดฉนั ภตั ตาหาร
ดว้ ยความอยาก เราจะไมฉ่ นั ภตั ตาหารในวนั นนั้ ” ในระหวา่ งทกี่ ำ� ลงั เดนิ ไปทล่ี า้ งภาชนะ
รสู้ กึ เจบ็ ใจตนเองทแ่ี พก้ เิ ลส จงึ พดู กบั ใจตนเองวา่ “เราจะขดุ รากถอนโคนกเิ ลสใหส้ นิ้ ไป
จากจติ ใจของเรา” เมอ่ื ลา้ งภาชนะเสรจ็ กลบั มาทศ่ี าลา มโี ยมลกู ศษิ ยห์ ลวงพอ่ ชามาตาม
เราไปกราบถวายตัวเป็นศษิ ยห์ ลวงพอ่ ในขณะทเ่ี รากราบถวายดอกไม้ธูปเทียนเสร็จ
หลวงพอ่ สนทนาถามความเปน็ มา แลว้ ทา่ นกก็ ลา่ วสอนวา่ “เอาใหด้ นี ะ...ขดุ รากถอนโคน
กเิ ลสใหม้ นั หมดสนิ้ ไปจากใจ” เรารสู้ กึ แปลกใจวา่ คำ� พดู ประโยคนเี้ ราพดู กบั ใจตนเอง
ในขณะทเี่ ราเดนิ ไปลา้ งภาชนะ
หลังจากนน้ั ทุกๆ วันกอ่ นทานอาหาร หรือก่อนฉันภัตตาหารในเวลาทบ่ี วชแล้ว
เราจะพจิ ารณาอาหารกอ่ นฉันให้เหน็ เป็นปฏกิ ลู ใหจ้ ติ เปน็ อุเบกขา จงึ มสี ติในการฉนั
อาหาร ถา้ พจิ ารณากอ่ นทานหรอื ฉนั อาหารไมท่ นั เราจะกำ� หนดจติ ใหเ้ ปน็ สมาธิ จนจติ
เป็นอุเบกขา แลว้ จึงฉันอาหาร ถา้ พิจารณาอาหารไมท่ นั เราจะมสี ติพิจารณาอาหาร
ขณะฉัน ถ้ายังไม่พอใจ ก็จะพจิ ารณาอาหารหลังจากฉันเสร็จแลว้
33
กอ่ นฉนั อาหาร เราจะพจิ ารณาอาหารใหเ้ ปน็ ปฏกิ ลู เปน็ ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม
ธาตไุ ฟ ขณะฉนั เราพจิ ารณารสสมั ผสั ทโี่ คนลนิ้ รวู้ า่ รสเปรย้ี ว เคม็ หวาน อรอ่ ยหรอื
ไม่อร่อย ให้เห็นความเกิดดับในปัจจุบัน เมื่ออาหารล่วงผ่านล�ำคอไปแล้วก็จะไม่มี
รสชาตอิ ะไร หลงั ฉนั เราจะพจิ ารณาวา่ อาหารทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งจะรวมลงในกระเพาะอาหาร
ไมม่ ชี อ่ งอาหารหวานคาว ทกุ สงิ่ เมอ่ื รวมลงไปในกระเพาะอาหาร ธาตไุ ฟในรา่ งกายและ
นำ�้ ยอ่ ยกจ็ ะเผาผลาญอาหาร สว่ นทเี่ ปน็ ประโยชนก์ ถ็ กู ดดู ซมึ ไปหลอ่ เลย้ี งรา่ งกาย สว่ นท่ี
ไม่เป็นประโยชนก์ ็จะถูกขบั ถา่ ยเปน็ ธาตดุ นิ ธาตนุ ้�ำ จติ กว็ างเป็นอุเบกขา เราทำ� เช่นนี้
ตลอดมาในทุกๆ วนั ...
เรามาอยวู่ ดั หนองปา่ พงใหมๆ่ ไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื และความสะดวกสบายในสงิ่
ตา่ งๆ ดว้ ยดี ทำ� ใหเ้ ราเขา้ ใจเรอื่ งการอยใู่ นเพศสมณะไดด้ ขี นึ้ ตอ้ งขอขอบคณุ ทา่ นอาจารย์
ทุกๆ ทา่ นไว้ ณ ท่นี ี้ดว้ ย ซึ่งเราไมเ่ คยลมื เลย
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๑ บรรพชาเปน็ สามเณร
วันท่ี ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ อุปสมบทเป็นพระภกิ ษุ ณ อุโบสถวัด
หนองปา่ พง
ได้รับฉายา “ถิรจิตฺโต” ผู้มจี ติ ต้งั มัน่
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สภุ ทโฺ ท) เปน็ พระอปุ ัชฌาย์ พระครูโพธิสาร-
คณุ วฒั น์ (พระอาจารยบ์ ญุ ชู €ติ คโุ ณ) เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระโจเซฟ ปภากาโร
เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์
34
พระอาจารยต์ นั๋ โกนศรี ษะเป็นผา้ ขาว
เม่ือวันท่ี ๘ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๑
พระอาจารย์ตัน๋ อปุ สมบทเปน็ พระภิกษุ
เม่อื วนั ท่ี ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑
พรรษาท่ี ๑
วดั บึงเขาหลวง ต.กลางใหญ่ อ.เข่อื งใน จ.อบุ ลราชธานี
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เราและหมูค่ ณะรวม ๕ รูป ถูกสง่ ไป
จ�ำพรรษาท่ีวัดบึงเขาหลวง เป็นวัดป่าอยู่บนเนินเขา มีต้นไม้ใหญ่มากแต่ไม่ทึบ
เปน็ ปา่ โปรง่ ๆ มบี งึ อยใู่ นบรเิ วณวดั มหี ลวงพอ่ จนั ทร์ อนิ ทฺ วโี ร เปน็ ประธานสงฆ์ กอ่ นทเ่ี รา
จะไปอยวู่ ดั บงึ เขาหลวง เราเหน็ นมิ ติ พระองคห์ นงึ่ เดนิ เขา้ ไปในปา่ แลว้ เราเดนิ ตามหลงั
ในนมิ ติ มีลักษณะคล้ายหลวงพ่อจนั ทร์
ในเรอื่ งของการฉนั ภตั ตาหาร เราถอื ธดุ งควตั ร ฉนั มอื้ เดยี ว ภาชนะเดยี ว และไม่
รบั อาหารทมี่ าภายหลงั มพี ระเจา้ หนา้ ทแี่ จกอาหาร อาหารประเภทใดทเ่ี ราอยากฉนั มากๆ
เราจะไม่ฉัน อาหารไหนทเ่ี ราชอบมากๆ เราก็รับไวน้ อ้ ยหรือไม่รับเลย อาหารอนั ไหน
ทเ่ี ราไมช่ อบ เรากร็ บั ใหม้ ากขนึ้ ถา้ ยงั ไมพ่ อใจในการควบคมุ อาหาร เมอ่ื จดั อาหารลง
ในบาตรเรยี บรอ้ ยหมดแลว้ เราจะคลกุ อาหารรวมกนั ทงั้ หมดใหม้ รี สชาตเิ ดยี วจงึ คอ่ ย
ฉันอาหารนัน้ เราท�ำเชน่ นอ้ี ยเู่ ป็นประจำ� เปน็ การทวนกระแสกิเลสในเรอ่ื งอาหาร
วนั หนง่ึ ในพรรษา มโี ยมนำ� ขา้ วเหนยี วถว่ั ดำ� มาถวาย จดั เปน็ ถว้ ยถวายพระเณร
นานๆ ทจี งึ จะมขี นมหวานเชน่ นม้ี าถวายพระเณรสกั ครง้ั หนง่ึ เราชอบฉนั ขา้ วเหนยี วถวั่ ดำ�
เราจึงรับไว้ ๑ ถ้วย ก่อนฉนั เรากเ็ ทขนมนีล้ งในบาตร และพิจารณาอาหารกอ่ นฉัน
เราเห็นจติ ใจเราว่าเราอยากฉนั ขนมนี้ เราจงึ คลกุ เคล้าอาหารรวมกันทง้ั หมด เวลาฉนั
จงึ เปน็ รสชาตเิ ดยี วกนั หมด ไมไ่ ดส้ มั ผสั รสชาตขิ นมถว้ ยนน้ั เลย หลงั ฉนั อาหารเสรจ็ แลว้
35
ไปลา้ งบาตร ระหวา่ งทลี่ า้ งบาตรอยนู่ น้ั กเ็ หน็ วา่ จติ ใจยงั โหยหาขนมถว้ ยนี้ คอื มนั อยาก
ฉนั ขนมถว้ ยนี้ แตไ่ มใ่ หม้ นั ฉนั จติ ใจมนั จงึ โหยหาถงึ ขนมถว้ ยนจี้ นออกมาทางคำ� พดู
ถามเพ่ือนพระดว้ ยกันวา่ “เม่อื กี้ท่านไดฉ้ ันขา้ วเหนยี วถ่วั ดำ� ม้ยั ” เพอ่ื นพระก็ตอบว่า
“ไดฉ้ นั อย”ู่ เราถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง... อร่อยมยั้ ” เพ่ือนก็ตอบว่า “อรอ่ ยด”ี ....
นี่แหละ กเิ ลสในจติ เมอ่ื ถูกควบคมุ มากๆ จะดน้ิ รนไปตามกเิ ลสตณั หา
สว่ นการปฏบิ ตั ขิ องเราตอนพรรษา ๑ นนั้ เราทำ� ความเพยี รในอริ ยิ าบถนง่ั สมาธิ
หรอื เดนิ จงกรม วนั หนงึ่ ไมต่ ำ่� กวา่ ๘-๑๐ ชว่ั โมง นอนพกั กลางคนื ๔ ชวั่ โมง กลางวนั
ไม่พัก (นอกจากอาพาธ) เนสชั ชิกทุกวนั พระ เรอื่ งกุฎีท่พี ัก เราถอื เสนาสนะตามท่ี
ทา่ นจดั ให้ พจิ ารณามรณานสุ สตทิ กุ ๆ เชา้ ทตี่ น่ื ขนึ้ มาวา่ วนั นเ้ี รายงั มชี วี ติ อยหู่ รอื ยงั มี
ลมหายใจ คนื นเ้ี ราจะตายตอนเวลา ๒๒.๐๐ น. เวลานอน พอพจิ ารณาความตายเสรจ็
สติกก็ ลบั มาอย่ใู นปัจจบุ ัน แลว้ คิดวา่ วันนี้เราจะท�ำความเพยี รให้มากท่สี ุด เราจะไม่
ประมาทในชีวติ เราก็จะมีสตคิ ุมจิตในทุกๆ อริ ิยาบถเท่าท่ีจะท�ำได้ ให้สตติ ัง้ มน่ั อยู่
ในปจั จบุ ัน โดยไมค่ ดิ ถึงอดตี และอนาคต เมอื่ คดิ ถงึ อดีต เราก็ใช้ปัญญาพิจารณา
ละความคิดอันนั้นออกไป เม่ือคิดถึงอนาคต เราก็ใช้สติปัญญาละอารมณ์ออกไป
สตกิ ก็ ลบั มาอยใู่ นปจั จบุ นั ถา้ มอี ารมณค์ วามโลภ โกรธ ความพอใจ ไมพ่ อใจ ในรปู เสยี ง
กล่ิน รส สัมผัส เกดิ ข้ึน เรากใ็ ชส้ ตปิ ัญญาพจิ ารณาละอารมณน์ ้ันในทกุ ๆ ขณะจติ
เพอ่ื ทำ� จติ ใหเ้ ปน็ กลาง เปน็ อเุ บกขา....เราพยายามทำ� สตใิ หม้ าก และพยายามตามดจู ติ
ของตัวเอง ก่อนบวชเราเคยหัดฝึกสติมาบ้างแล้ว โดยพยายามให้จิตคิดแต่ส่ิงท่ีดี
ถา้ จติ คดิ ไปในทางไมด่ ี เรากร็ บี กำ� หนดลมหายใจทกุ ครง้ั ไป ทำ� ใหค้ วามคดิ ไมด่ หี ายไป
วธิ นี ด้ี มี ากและไดผ้ ลสำ� หรบั ตวั เรา ตอ่ มาเมอ่ื เรามาบวช เราพยายามกำ� หนดสตวิ ธิ ใี หม่
คอื พยายามทำ� สมาธิ ถา้ จติ คดิ ในทางทดี่ หี รอื ไมด่ ี เรากพ็ ยายามไมใ่ หค้ ดิ เราจะพยายาม
ทำ� สมาธิ กำ� หนดสตดิ ลู มหายใจเขา้ -ออก ไมใ่ หค้ ดิ ถงึ เรอื่ งตา่ งๆ เราคดิ วา่ ความคดิ ดี
หรือไม่ดีควรตดั ออก พยายามทำ� ความสงบ เราเชื่อในคำ� สัง่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ว่า
“สติ เป็นทางสายเอก” จรงิ ๆ
36
อยู่ท่ีวัดบึงเขาหลวง เราพยายามฝึกสติและตามดูจิตของเรา การนั่งสมาธิใน
ระยะนนั้ เราใชค้ ำ� ภาวนาวา่ พทุ -โธ หายใจเขา้ -พทุ หายใจออก-โธ เราทำ� ความสงบ
แต่อย่างเดียวในตอนนนั้ บางคร้งั มนี ิมิตปรากฏ ระยะแรกๆ เราดูบ้างไม่ดบู า้ ง คอื
ไมส่ นใจนัก
เวลาน่ังสมาธิ จิตสงบ จิตมีปีติ สบาย พอเราจะเลิกน่ัง เราก็พิจารณาว่า
“สง่ิ ทผ่ี า่ นไปแลว้ นเี้ ปน็ อดตี ไมใ่ ชต่ วั ตน เพราะวา่ สงิ่ นเ้ี กดิ ขน้ึ แลว้ ดบั ไป ไมค่ วรยดึ วา่
เปน็ เรา เพราะผา่ นไปแลว้ ” เมอื่ เลกิ นง่ั เรากก็ �ำหนดสตติ อ่ ไป
เวลาเดนิ จงกรม ระยะแรกๆ เราก�ำหนดอยทู่ ลี่ มหายใจบา้ ง อย่ทู ีป่ ลายเทา้ บา้ ง
ไมแ่ นน่ อน ในตอนแรกถา้ มคี วามคดิ มาก เราจะกำ� หนดทล่ี มหายใจ ถา้ หยดุ คดิ เราจะ
ก�ำหนดสติท่เี ท้า
ตอนเราบวชใหมๆ่ เราจบั อารมณไ์ ดว้ า่ อารมณท์ อ่ี ยเู่ ฉยๆ ไมค่ ดิ อะไร เปน็ อารมณ์
ปจั จบุ นั อารมณเ์ ชน่ นเี้ ราสงั เกตเหน็ วา่ จติ ใจสบายดี ไมม่ คี วามกงั วล ไมท่ กุ ข์ เพราะมนั
ปลอ่ ยวาง ไมค่ ดิ อะไร อยูก่ บั อารมณป์ จั จบุ นั เราเลยคิดวา่ อารมณ์ทถ่ี กู ตอ้ งควรจะ
เป็นอารมณ์ปัจจุบัน คือจิตอยู่กับปัจจุบันจึงจะถูกต้อง ต่อมาเรามีความคิดเผลอ
ปรงุ แตง่ ไปในอดตี หรอื ปรงุ แตง่ ไปในอนาคต เรากค็ ดิ เสมอวา่ การปรงุ แตง่ คดิ ไปในอดตี
วงิ่ ตามความคดิ ไปในอนาคต เปน็ อารมณท์ ผ่ี ดิ แนเ่ ลย เราเลยพยายามตดั ความคดิ ใน
อดตี และอนาคตออกเสยี ใหม้ แี ตป่ จั จบุ นั มสี ตอิ ยกู่ บั ปจั จบุ นั ในระยะแรกตอ้ งใชส้ ติ
ใหท้ นั กบั อารมณม์ าก อบุ ายตา่ งๆ จงึ เกดิ ขน้ึ มาเพอื่ มาแกไ้ ขใหจ้ ติ อยกู่ บั ปจั จบุ นั ธรรม
เราพยายามทำ� สมาธแิ ละตามดจู ติ จนเราสามารถรจู้ กั “อารมณ์ กบั จติ ” ได้ ในตอน
กลางพรรษา เราสามารถทจี่ ะเขา้ ใจความหมายของคำ� จำ� กดั ความวา่ “คนหลงโลก คอื
คนหลงอารมณ์ คนหลงอารมณ์ คือ คนหลงโลก” พอเรารู้จักจติ กบั อารมณช์ ดั ใน
จิตใจของเราแล้ว เรากจ็ ะสามารถเข้าใจความหมายไดด้ ี
37
ถา้ เราทกุ คนทำ� สมาธจิ นเกดิ ความสงบแลว้ จติ ใจกจ็ ะตงั้ มนั่ สตกิ จ็ ะตง้ั มน่ั แลว้
ทุกคนก็จะเห็นวา่ อารมณ์ต่างๆ เกดิ ขนึ้ แล้วดับไป ไม่ควรเขา้ ไปยดึ ในอารมณ์ตา่ งๆ
ให้รูเ้ ทา่ ทนั ในอารมณ์นั้นๆ
วันหนง่ึ มีการเผาศพหญิงชราในวดั ตอนบ่ายสองโมงมีการสวดมนต์ เร่มิ เผา
ประมาณเวลา ๑๗.๐๐ น. ทำ� ใหเ้ ราไดร้ วู้ า่ “การพลดั พรากจากสงิ่ ทตี่ นรกั เปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ ”
เราจึงได้น�ำส่ิงน้ีมาพิจารณาเพื่อถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา
ตอนกลางคนื ประมาณเวลา ๒๑.๐๐-๒๒.๐๐ น. ขณะทเี่ ราเดนิ จงกรมอยทู่ กี่ ฎุ ี หา่ งจาก
ทเ่ี ผาศพ ๓๐๐ ม. จติ รู้สกึ กลวั ในสถานทนี่ น้ั เราจงึ จดุ ตะเกียงน้ำ� มนั กา๊ ดเดินไปที่
เผาศพซงึ่ เปน็ เนนิ เขาคนเดยี ว หยดุ ยนื ทกี่ องฟนื ทกี่ ำ� ลงั ลกุ โชนเผารา่ งหญงิ ชราผนู้ นั้ อยู่
เสียงลมหวีดหววิ พัดยอดไผ่ เกดิ ความกลวั เราบอกกับใจตนเองวา่ ถา้ ไมห่ ายกลัว
เราจะไม่กลับกุฎี ยนื ท�ำสมาธิจนจติ สงบ แล้วพจิ ารณารา่ งที่กำ� ลงั ถูกไฟเผาอยู่ใหเ้ หน็
เป็นธาตุ ดิน น�้ำ ลม ไฟ ย้อนกลับมาพิจารณาตนเองว่า เราก็จะเป็นเช่นน้ัน
เหมอื นกนั จติ จงึ ปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกายตนชว่ั คราว และความกลวั กห็ ายไป
พอลมื ตาขนึ้ มา เหน็ หวั กะโหลกคนตายกำ� ลงั กลง้ิ ตกมาขา้ งกองฟนื และมองเหน็ สว่ น
ทอ้ งทมี่ ลี ำ� ไส้ มนี ำ้� มาก เผาไหมย้ าก เราจงึ นำ� ไมไ้ ผไ่ ปเขย่ี รา่ งนนั้ ใหไ้ ฟเผา ทเี่ ราทำ� เชน่ นี้
เราตอ้ งการแก้ความกลัวให้หายไป พอความกลวั หายไปแลว้ เราจงึ เดนิ กลบั กฎุ ี
วันหน่ึงเราบิณฑบาตที่บ้านกลางใหญ่ เห็นผู้หญิงคนหน่ึงหน้าตาดีพอสมควร
เราเหน็ กส็ กั แตว่ า่ เหน็ พอเรารบั บาตรเสรจ็ ขณะกำ� ลงั เดนิ ผา่ นไป เรากน็ กึ อยากจะมองดู
วา่ จะเปน็ เชน่ ไร เพราะเคยไดย้ นิ มาวา่ การมองดผู หู้ ญงิ นนั้ ไมด่ ี เราจงึ หนั กลบั ไปมองดู
ผู้หญงิ คนนน้ั ใหม่ เพยี งวนิ าทเี ดียวเท่านัน้ ผหู้ ญิงคนนั้นกลายเป็นซากศพ เหน็ แต่
โครงกระดกู กบั หนงั ตดิ กระดกู (เปน็ ธาตุ ๔) ในพรบิ ตานนั้ เราตกใจรบี หนั กลบั มาทนั ที
แต่เรารสู้ กึ พอใจในสภาวธรรมนน้ั
ตอนเยน็ วนั นนั้ เปน็ วนั พระ มกี ารประชมุ รว่ มกนั ทำ� วตั รสวดมนตเ์ ยน็ ทศ่ี าลา ปกติ
เราจะมาท่ีศาลาก่อนเวลาและนั่งสมาธิรอท�ำวัตรสวดมนต์ ตอนสวดมนต์เราหลับตา
ระหวา่ งสวดมนต์ เราหนั ไปมองดูญาตโิ ยมว่ามากนั มากหรอื ไม่ กเ็ ห็นญาตโิ ยมเปน็
38
ซากศพไปหมดทกุ คน แมก้ ระทง่ั พระเณรทอี่ ยใู่ นศาลาทง้ั หมดกเ็ ปน็ ซากศพไปดว้ ยกนั
ยกเวน้ เราคนเดียว ลักษณะเป็นซากศพทเ่ี น่าบา้ ง แหง้ บา้ ง เรารู้สกึ ตกใจมาก
ตง้ั แตน่ น้ั มา ถา้ เรานกึ จะเพง่ ดใู คร ในวนิ าทนี น้ั กจ็ ะเหน็ เปน็ ซากศพทนั ทเี ลย วา่ งๆ
บางครง้ั เรากเ็ พง่ ดพู ระดว้ ยกนั กเ็ พลนิ ดเี หมอื นกนั การทเ่ี ราเหน็ เชน่ นก้ี เ็ ปน็ สง่ิ ทแ่ี ปลก
และก็เป็นประโยชน์ต่อเรามาก เพราะว่าเราจะได้หมดปัญหา ไม่ต้องวิตกเก่ียวกับ
เพศตรงข้ามเหมือนกับพระองค์อ่ืนๆ เท่าไหร่นัก เรารู้สึกพอใจเหมือนกัน แต่เรา
ไม่ดใี จจนเกินไปนัก เพราะเราจะไม่ประมาทตลอดไป
การทำ� ความเพียรนั้นให้เหน็ ผลทนั ทีน้นั เป็นไปไมไ่ ด้ เพราะเราปล่อยจิตมาไมร่ ู้
วา่ กปี่ แี ลว้ เพราะฉะนน้ั เราตอ้ งทำ� ไปเรอ่ื ยๆ ไดแ้ คไ่ หนกเ็ อาแคน่ นั้ แตต่ อ้ งทำ� ใหส้ มำ่� เสมอ
น้ำ� หยดใสต่ ุ่มทีละหยดก็ยังเตม็ ได้
ในพรรษา เราสามารถมองเหน็ คนและสตั วเ์ ปน็ ซากศพไดเ้ องโดยไมต่ อ้ งกำ� หนด
มองดูก็เห็นด้วยตาเปล่า (ลืมตา) ต่อมาเราสามารถก�ำหนดหรือดูใครก็ได้ให้เป็น
ซากศพ บางครั้งเรากำ� หนดดูญาติโยมท่มี าท�ำบุญ หรอื บางคร้งั ก็ดูพระเณรดว้ ยกนั
มองเหน็ เปน็ ซากศพ เนา่ บา้ ง แหง้ บา้ ง หรอื บางครง้ั กเ็ หน็ เปน็ โครงกระดกู เดนิ ได้ ฯลฯ
ในพรรษาเราเลยกำ� หนดดูบ่อยๆ คนใสบ่ าตร เรากก็ �ำหนดใหเ้ ปน็ ซากศพ บางครง้ั
พระท่ีเดินบิณฑบาตไปข้างหน้าเรา เราก�ำหนดดูเห็นเป็นซากศพ จีวรขาดรุ่งร่ิง
ในระยะนนั้ เรากำ� หนดเล่นมาก เรากำ� หนดใหค้ นเปน็ ซากศพบอ่ ย จนกระทงั่ วา่ ถ้าเรา
มีความคิดหรือนึกถึงผู้หญิงหรือเพื่อนคนใดในจิตใจแล้ว เราจะเห็นภาพในจิตเป็น
ภาพผหู้ ญงิ คนนน้ั ถกู ลอกหนงั ออกเปน็ แผน่ ๆ จนถงึ กระดกู แลว้ กห็ ายไป (เปน็ เรว็ มาก
หมายถงึ ภาพทแี่ ปรสภาพไปชวั่ ขณะจติ เดยี ว) ในระยะนน้ั เปน็ เชน่ นที้ กุ ครง้ั ทเ่ี รานกึ ถงึ
ใครก็ตาม เปน็ เองโดยอัตโนมัติ มองเห็นในจิตใจ จนเรารสู้ ึกเบือ่ หนา่ ย คลื่นไสม้ าก
จะอาเจียน ตง้ั แต่นัน้ มาเราเลยเลกิ ก�ำหนดอสภุ ะ เพราะว่ารูส้ กึ คล่นื ไส้เม่ือกำ� หนดดู
เราเลกิ กำ� หนดอสภุ ะไประยะหนง่ึ เพราะรสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยมาก เราจงึ นง่ั แตส่ มาธิ เดนิ จงกรม
ไปตามปกติ กำ� หนดใหม้ สี ตติ อ่ เนอ่ื งกนั หลงั จากเลกิ นง่ั สมาธิ หรอื เดนิ จงกรมแลว้ กต็ าม
ทำ� เชน่ นท้ี กุ ๆ วนั
39
พอออกพรรษาประมาณเดอื นพฤศจกิ ายน เราทำ� ความเพยี รไปตามปกติ วนั หนงึ่
ในตอนเชา้ เวลาจะออกบณิ ฑบาต เราก็มสี ตติ ามดูจติ พอบณิ ฑบาตเข้าไปในหมู่บ้าน
เรามองเหน็ ชาวบา้ นและสตั ว์ ตลอดจนบา้ นเรอื น วตั ถตุ า่ งๆ เราเหน็ ชาวบา้ นเปน็ ซากศพ
หมดทกุ คน พอเขา้ ไปในหมบู่ า้ น เราเหน็ หมบู่ า้ นกลายเปน็ บา้ นรา้ ง ผพุ งั บา้ ง แสดงให้
เห็นความเสื่อมโทรม มีใยแมงมุมขนึ้ บา้ ง มองเห็นความเสอื่ มท้ังหมบู่ า้ น
เรามองเห็นลักษณะเป็นภาพซ้อนภาพ คือมภี าพสภาพจริงทเ่ี ปน็ อยู่ซอ้ นกนั กับ
ภาพทเ่ี สอื่ ม ผพุ งั หรือเนา่ เปือ่ ยเปน็ อสุภะ หมบู่ ้านทง้ั หมบู่ า้ นตลอดจนคนและสตั ว์
แสดงใหจ้ ติ เหน็ ความเสอ่ื มความเนา่ เปอ่ื ยไปทง้ั หมดในปจั จบุ นั เรากลบั มาถงึ วดั กเ็ หน็
กำ� แพงวดั พงั ลง เหน็ เปน็ ภาพซอ้ นภาพแสดงความเสอ่ื ม เขา้ มาในวดั เหมอื นอยใู่ นวดั รา้ ง
เราก็ได้แต่พยายามกำ� หนดสติให้ตั้งม่ัน ดูสภาวะที่เป็นเองปรากฏให้จิตเห็น เราจึง
ดูเฉยๆ ไม่ได้คิดปรุงแต่งอะไร เพียงแต่อุทานออกมาในใจได้ยินเพียงคนเดียวว่า
“...นี่มันอะไรกัน เอาล่ะ...จะเป็นอะไรก็เป็นกัน ไม่กลัวล่ะ” พอเรามองดูพ้ืนดิน
ตามทางเดนิ ก็เหมอื นสภาพทางเดนิ เกา่ ตะไครข่ น้ึ เหมอื นกบั ว่าไมเ่ คยมคี นเดินมา
กอ่ นเลย เราเงยหนา้ ขึ้นมองเหน็ ต้นไม้ ก็เหน็ เปน็ ต้นไม้แห้งตายหมดทกุ ตน้ เราเห็น
อยู่เช่นนี้ประมาณ ๒ วัน จึงคลายเป็นปกติ ระหว่างท่ีเห็นสภาพหรือสภาวธรรม
ที่แสดงความเสื่อม จิตใจเราเพยี งแต่ดูสภาวะความเปลยี่ นแปลงเฉยๆ เท่านน้ั มิได้
ปรุงแตง่ อะไร
เรามาระลกึ ถงึ เหตกุ ารณท์ ผี่ า่ นมา ๒ วนั เราจงึ คดิ วา่ ทำ� ไมจงึ เกดิ สภาวะแบบน้ี
ขน้ึ มา เราจงึ เขยี นจดหมายไปหาโยมพอ่ เลา่ เรอ่ื งทเ่ี กดิ สภาวธรรมนี้ และขอใหโ้ ยมพอ่
น�ำจดหมายฉบับน้ีไปกราบเรียนเล่าถวายหลวงพ่อชาให้ด้วย ตอนน้ันการเดินทาง
สอื่ สารไมส่ ะดวกเหมอื นทกุ วนั นี้ ใชเ้ วลาหลายวนั ระหวา่ งนน้ั เรากท็ ำ� ความเพยี รไปตาม
ปกตทิ กุ วัน
ตอ่ มาไมก่ วี่ นั หลงั ฉนั เชา้ ทำ� กจิ วตั รสว่ นตวั เสรจ็ แลว้ เรากำ� ลงั กวาดพนื้ บนระเบยี ง
กุฎีอยู่เพื่อท่ีจะเดินจงกรม เรานึกถึงภาพเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนนั้น ก็เกิดมีความรู้
ความเข้าใจชนิดหนึ่งเกิดข้ึนในจิตใจขณะจิตน้ันว่า “ทุกส่ิงทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว
40
ยอ่ มเสอ่ื มสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา” ความรอู้ นั นอี้ ทุ านออกมาจากจติ พรอ้ มกบั ขณะจติ นน้ั
จิตใจกเ็ ห็นความเสือ่ มของสง่ิ ทงั้ หลายชดั เจนขึน้ ในจิตใจในขณะนั้น
ร้สู ึกเหมอื นกับวา่ จิตเหน็ สภาวธรรมนัน้ ชดั เจนแจม่ แจ้ง จนจิตใจยอมรับตาม
ความเป็นจรงิ วา่
“ทุกสง่ิ ทกุ อย่างเกดิ ข้นึ แล้ว ย่อมเส่อื มสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา”
รูส้ กึ เหมอื นกบั วา่ “จติ พลิกขณะจติ หนง่ึ ”
พลกิ ในความเข้าใจในสภาวธรรมและความหมายทีเ่ กิดขึ้นในจติ ใจได้ดีทเี ดียว
.....วา่ เกิดอะไรขนึ้ ?
ตง้ั แตน่ นั้ มารสู้ กึ วา่ จติ เปลยี่ นแปลงไปมาก เหมอื นกบั วา่ “จติ พลกิ กลบั ” มองเหน็
วัตถุส่ิงของท้ังหลายเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรสวยเลย
เหน็ เปน็ แตเ่ พียงธาตุ
มเี พื่อนเอากลด ๒ อัน ชนดิ เดียวกัน ท่านทำ� ดว้ ยมือตนเองมาใหด้ ู ถามวา่ ...
อนั ไหนสวยกวา่ กนั ? ความรสู้ กึ ในจติ ทแ่ี ทจ้ รงิ เหน็ วา่ ไมม่ อี ะไรสวย มสี ภาพเหมอื นกนั
เทา่ กัน เหน็ เขา้ ไปวา่ เปน็ เพียงธาตุตามธรรมชาตเิ ท่าน้นั เองที่ประกอบกนั ข้ึนมา แต่วา่
คราวนนั้ เราตัง้ สติดขู องท้งั ๒ อัน แล้วพูดไปตามสมมุติวา่ อันนี้ อนั นั้น สวยกว่า
แตค่ วามรสู้ กึ ของเราในขณะนน้ั มองไมเ่ หน็ มอี ะไรสวย ความคดิ ...ความเหน็ รสู้ กึ วา่
ภายในจติ ใจขัดกบั คนอ่ืนเขาหมด
สภาพของจติ ใจของเราทเี่ หน็ วตั ถสุ งิ่ ของแลว้ ไมร่ สู้ กึ ยนิ ดี ยนิ รา้ ย เหน็ กส็ กั แตว่ า่
เห็นเทา่ นัน้ เราทราบดีวา่ “จิตเราหลดุ จากรูปวัตถแุ ล้ว”
แตเ่ รากม็ คี วามรอู้ กี อยา่ งหนง่ึ ซอ้ นขน้ึ มาในจติ อกี วา่ สง่ิ นไี้ มเ่ ทย่ี ง เราจะตงั้ สตดิ มู นั
ตอ่ ไป
41