พระพุทธองคน์ น้ั เกิดข้นึ มาแลว้ ทำ� ดวงใจให้บรสิ ทุ ธิ์ คำ� ส่งั สอนของพระพทุ ธองคน์ นั้
เป็นค�ำส่ังสอนซึ่งสอนให้พุทธบริษัททั้งหลายประพฤติปฏิบัติตามเพื่อความพ้นทุกข์
หรือเพอื่ ความสนิ้ ทุกข์ ทำ� จติ ใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ได้ พระอรหนั ตส์ าวกท้ังหลายผูซ้ ึง่ ปฏิบตั ิ
ตามพระธรรมวนิ ยั ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิ ธดุ งควตั รตา่ งๆ กเ็ ปน็ ไปเพอื่ ขดู เกลาจติ ใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์
ขนึ้ มา และพวกเราพระภกิ ษสุ ามเณร หรอื อบุ าสก อบุ าสกิ า ซงึ่ ไดเ้ กดิ ขนึ้ มาพบคำ� สง่ั สอน
ของพระพทุ ธองค์ อนั เปน็ สงิ่ ซงึ่ เราไมต่ อ้ งคน้ ควา้ แสวงหาอนั ใดเลย เพยี งแตว่ า่ ประพฤติ
ปฏิบตั ิตามคำ� สงั่ สอนท่ีท่านชี้ทาง บอกทาง แนะน�ำ เทา่ นน้ั ไมต่ ้องคดิ ให้ยากล�ำบาก
อะไรเลยในเร่อื งการประพฤตปิ ฏิบตั ิภาวนา
ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ในจติ ใจของเรานน้ั เปน็ สง่ิ ซง่ึ พาใหจ้ ติ ใจของเราหลงไปกบั
อารมณ์ท้ังหลายอันไม่รู้จักจบส้ิน ค�ำสั่งสอนท่ีเป็นหน่ึงไม่มีสองท่ีท่านทรงส่ังสอน
พทุ ธบรษิ ทั ทงั้ หลายใหห้ า่ งการทำ� บาปทงั้ หลายทง้ั ปวง ควรทำ� แตค่ วามดี เรมิ่ ตงั้ แตก่ าร
ท�ำบุญ รกั ษาศีล ทำ� สมาธิ เจริญภาวนา หรือสรา้ งบารมีท้ัง ๑๐ ประการ เพอื่ พัฒนา
จิตใจของแตล่ ะคนใหม้ ีความสะอาดใหม้ ีความบริสุทธิ์เกิดขน้ึ
แต่ละจิตวิญญาณท่ีจะมาเกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาก็เป็นส่ิงซึ่งยาก
ดูประชาชนเฉพาะภพภูมิของมนุษย์บนโลกน้ีกี่พันล้านคน และประเทศท่ีมี
พระพทุ ธศาสนานน้ั มมี ากหรอื เปลา่ แมอ้ ยใู่ นประเทศทม่ี พี ระพทุ ธศาสนา คนทรี่ กั ษา
ศลี ๕ จะมสี กั กค่ี น คนทจ่ี ะทำ� สมาธภิ าวนาจะมสี กั กค่ี น คนทจี่ ะเจรญิ การพจิ ารณาเพอื่
จะละกเิ ลสออกจากใจของแตล่ ะบคุ คลนน้ั จะมสี กั กค่ี น และพวกเราจะนง่ิ นอนใจทำ� ไม
เมื่อเกิดข้ึนมาแล้วพบค�ำส่ังสอนอันเลิศอันประเสริฐท่ีสุดในสามแดนโลกธาตุหรือใน
จักรวาลทั้งหลาย ไม่มีส่ิงใดท่ีจะน�ำจิตของสัตว์ท้ังหลายให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้
นอกจากคำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธองค์ แลว้ เราจะปลอ่ ยวนั เวลาใหล้ ว่ งเลยไปโดยเปลา่
ประโยชน์ท�ำไม
ความหลงเปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั ใหจ้ ติ ใจเรานน้ั หลงเวยี นตายเวยี นเกดิ ในวฏั สงสาร
ไม่มีอันจบสิ้น อวิชชาคือความหลง หรือความไม่รู้ท่ัว ไม่รู้ท่ัวไปในความโลภ
184
ในความโกรธ ในความหลง ซง่ึ มอี ยูใ่ นดวงใจของเรา เมอื่ เราไดม้ ีโอกาสเข้ามาบวช
ในเพศผ้ากาสาวพัสตร์ ซ่ึงอาศัยมูลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก
ท้งั หลายสืบต่อกันมาจนทกุ วันน้ี พระภกิ ษุสามเณรอาศัยมูลของพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ อาศยั ปจั จยั สจ่ี ากญาตโิ ยมหรอื ชาวบา้ น แลว้ เราจะนงิ่ นอนใจทำ� ไม เราอยใู่ น
สมรภมู ทิ เี่ หมาะสมในการทจ่ี ะตอ่ สกู้ บั ขา้ ศกึ คอื กเิ ลสในดวงใจของเรา ปจั จยั สกี่ อ็ าศยั
จากญาติโยมท้ังหลายซึ่งเป็นกองหนุนให้เราเข้าต่อสู้โจมตีท�ำลายข้าศึกคือความโลภ
ความโกรธ ความหลง ภายในใจเราไมใ่ ชห่ รอื ความศรทั ธาของญาตโิ ยมทม่ี ตี อ่ พระพทุ ธ
พระธรรม พระสงฆ์ ได้ถวายปจั จยั ทง้ั ส่กี ด็ ว้ ยอาศยั ศรทั ธา
เพราะฉะนั้นพระสงฆใ์ นพระพุทธศาสนา พระพทุ ธองคซ์ ง่ึ ตรสั ไวว้ ่าเป็นผู้ทีจ่ ะ
ทรงไวซ้ งึ่ พระพทุ ธศาสนา หรอื จะเปน็ ผซู้ ง่ึ ทำ� ลายพระพทุ ธศาสนา กข็ น้ึ อยกู่ บั พระสงฆท์ ่ี
เขา้ มาบวชตามสมมตุ ิ เราจะเปน็ ฝา่ ยทที่ ำ� ลายพระพทุ ธศาสนา หรอื จะเปน็ ฝา่ ยซง่ึ สง่ เสรมิ
พระพทุ ธศาสนาใหม้ คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งสบื ตอ่ ไปตลอดกาล เมอ่ื เราเขา้ มาบวช เรากต็ อ้ ง
เปน็ ผทู้ ตี่ ง้ั ใจประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามธรรมวนิ ยั ตามขอ้ วตั รปฏบิ ตั ิ ปฏปิ ทาทคี่ รบู าอาจารย์
วางไว้ หรอื ธดุ งควตั รอนั เปน็ เครอื่ งขดู เกลากเิ ลสภายในจิตใจของเรา ไม่ใช่ว่าเราเขา้
มาบวชมาฝกึ หดั อบรมจติ ใจของเราแลว้ เรากไ็ มม่ คี วามอดทน ทำ� อะไรตามกเิ ลส ทำ� อะไร
ตามใจ
ถา้ เราทำ� อะไรตามกเิ ลส ตามความคดิ ของเรา ถา้ พน้ ทกุ ขก์ ค็ งพน้ ทกุ ขไ์ ปนานแลว้
แตค่ วามจรงิ การทำ� อะไรตามความรสู้ กึ นกึ คดิ ของเราสว่ นมาก ๙๐% เปน็ ความเหน็ ผดิ
เป็นความเห็นไม่ถูกต้อง เราจะหลงเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารไม่มีท่ีสิ้นสุด
เพราะฉะนั้นการมาฝึกหัดอบรมจิตใจของเราในการเข้ามาบวชเข้ามาประพฤติปฏิบัติ
ตอ้ งอดทนตอ่ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง อดทนตอ่ ความหนาว ความรอ้ น หรอื การนอน การจำ� วดั
ก็ต้องฝืนนอนแต่พอดี การขบฉันก็ต้องฉันพอดี ซ่ึงจ�ำกัดเพียงมื้อเดียวหนเดียว
อาสนะเดียว ภาชนะเดยี ว ตอ้ งมีความพอใจในการท่ีจะฝึกหดั ขดู เกลาจติ ใจของเรา
ไม่ตามความร้สู ึกกเิ ลสภายในจิตใจของเรา
185
การเดินจงกรม นั่งสมาธิ การฝึกหัดจิตใจของเราในการบ�ำเพ็ญเพียรภาวนา
ก็ต้องบ�ำเพ็ญเพียรทุกวัน หลักของครูบาอาจารย์ ข้ีเกียจก็ต้องฝืนประพฤติปฏิบัติ
เพราะถ้ากิเลสนั้นคือเกิดข้ีเกียจข้ึนมา เราก็อยากนอนพักผ่อน ไม่อยากจะท�ำอะไร
แตน่ กั ปฏบิ ตั ผิ ซู้ ง่ึ จะตอ่ สทู้ จ่ี ะละกเิ ลสออกจากจติ ใจเรานนั้ ตอ้ งรจู้ กั ฝนื มคี วามอดทน
ทวนกระแสของกิเลส การตามใจกิเลสน้ันก็ไม่สามารถท่ีจะพ้นความทุกข์ไปได้
เพราะฉะนนั้ ต้องมีความอดทน มสี ติ มปี ญั ญา รจู้ กั สอดส่องดจู ติ ใจของเราว่าจติ ใจ
ของเรานนั้ มกี เิ ลสในเรอ่ื งอะไร มคี วามทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ มาจากสาเหตอุ นั ใด นกั ปฏบิ ตั ผิ เู้ ปน็
สาวกขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื เปน็ ศษิ ยข์ ององคส์ มเดจ็ พระสมั มา-
สมั พุทธเจา้ อย่างน้อยทีส่ ดุ ตอ้ งทรงธรรมวินัยเป็นพนื้ ฐานของจิต
ถา้ บวชมาแลว้ ไมร่ กั ษาศลี กอ็ ยา่ บวช ถ้ารักษาศีลใหท้ รงตัวแลว้ มคี วามยินดี
ในการรักษาศีลก็สามารถจะอยู่ได้ ถ้าต้องการท่ีจะพัฒนาจิตใจเรานั้นให้ดียิ่งขึ้นไป
กบ็ ำ� เพญ็ สมาธธิ รรม ทำ� สมาธภิ าวนาใหเ้ กดิ ความสงบความเยอื กเยน็ ในจติ ใจของเราให้
เปน็ เครอื่ งอยภู่ ายในจติ ใจของเราอกี ระดบั หนงึ่ แตส่ ว่ นมากกค็ ดิ วา่ การทำ� ความสงบนน้ั
รสู้ กึ วา่ ยากลำ� บาก จติ ใจไมค่ อ่ ยสงบ ทกุ คนอยากไดค้ วามสงบ อยากใหค้ วามสงบเกดิ ขนึ้
ภายในจติ ใจ อยากมสี ตติ งั้ มน่ั แตเ่ ราทกุ คนไดท้ ำ� ความเพยี รใหเ้ พยี งพอหรอื ยงั หรอื
บวชมามวั แตเ่ ผยแพร่หรอื มัวแตท่ �ำหนา้ ทก่ี ารงานตา่ งๆ ภายนอก ให้หนา้ ทีก่ ารงาน
ตา่ งๆ ภายนอกมากกวา่ การกระทำ� ความเพยี ร หรอื ไปกจิ ธรุ ะตา่ งๆ ภายนอกมากกวา่
การทำ� ความเพียร
การปฏบิ ตั ภิ าวนานน้ั การทำ� ความเพยี รอยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ เลย ตอ้ งถงึ ๗๐%
อกี ๓๐% นนั้ เปน็ เวลาทำ� กจิ ภายนอก เวลาสว่ นใหญน่ น้ั เปน็ ๗๐% ตอ้ งเปน็ เวลาประพฤติ
ปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ชว่ า่ ๗๐% เปน็ เวลาเกย่ี วขอ้ งธรุ กจิ ภายนอก หรอื เกยี่ วขอ้ งกบั การทำ� การงาน
ตลอด อันน้ันเป็นส่ิงที่เป็นอุปสรรคต่อการท�ำสมาธิเจริญภาวนา เพราะการกระท�ำ
ความเพยี รนน้ั ตอ้ งมสี ตกิ ำ� หนดอยกู่ บั กรรมฐานทเี่ ราภาวนาใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะทำ� ได้
เหลอื จากเวลานงั่ สมาธิ เดนิ จงกรม กม็ สี ตติ ามรกั ษาจติ ของตนไปตลอดทกุ ๆ อริ ยิ าบถ
ไมว่ า่ จะยืน เดิน นงั่ หรอื ทำ� อะไรก็แลว้ แต่
186
การตงั้ สตนิ น้ั ตง้ั สตติ ง้ั แตร่ ู้สกึ ตัวลมื ตาขน้ึ มาเลย ตื่นนอนข้ึนมา ต่ืนจากจำ� วัด
มีสติก�ำกับไปทกุ ๆ ขณะจติ ถา้ เผลอกช็ ่าง เราก็ตั้งขน้ึ มาใหม่ สติคอื ความระลึกได้
ทจ่ี ะเฝา้ ดจู ติ เฝา้ ดอู ารมณใ์ นใจของเรา ทำ� กจิ วตั รประจำ� วนั กม็ สี ตทิ ำ� หนา้ ทก่ี ารงานนนั้ ๆ
ในสว่ นรวมใหส้ ำ� เรจ็ ลลุ ว่ งไป สำ� รวมจติ ใจเราอยเู่ สมอทกุ ๆ อริ ยิ าบถ ไมใ่ หเ้ กดิ ความ
ยินดี ยินรา้ ย ในรปู รส กลน่ิ เสียง สมั ผัส ให้จิตเราเป็นกลางอยู่เสมอ มสี ติสำ� รวม
จติ ใจเราเช่นนีไ้ ปตลอด
เมอื่ เรามสี ตเิ ฝา้ ดใู จของเราไปทกุ ๆ อริ ยิ าบถ เมอื่ อารมณเ์ กดิ ขน้ึ กม็ อี บุ ายปญั ญา
ทจ่ี ะพจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง เหน็ ความไมใ่ ชต่ วั ตนของอารมณอ์ นั นนั้ เมอ่ื มเี วลาวา่ ง
เรากส็ �ำรวมในอริ ยิ าบถ นัง่ สมาธิ ทำ� สติ ท�ำสมาธิ ให้ตอ่ เนื่อง ใหเ้ กิดความสงบในใจ
ของเรา ใหเ้ กดิ กำ� ลงั ใจซง่ึ ตง้ั มน่ั กำ� ลงั สตทิ เี่ ขม้ แขง็ เกดิ ขน้ึ ใหจ้ ติ เปน็ หนง่ึ ในอริ ยิ าบถ
เดนิ จงกรมกเ็ หมอื นกนั มสี ตกิ ำ� หนดอยกู่ บั กรรมฐานทเี่ ราภาวนา เมอื่ ออกจากอริ ยิ าบถ
นั่งสมาธิ เดินจงกรม กม็ สี ติเฝา้ ดจู ิตของเราต่อไป ท�ำเช่นน้ไี ปเรอ่ื ยๆ ให้ต่อเน่อื ง
ทุกๆ วนั
ความคิดของกิเลสอย่าไปเสียดาย อย่าไปเสียดายกิเลสท่ีเกิดขึ้นภายในจิตใจ
ของเรา ในอารมณท์ ง้ั หลายทงั้ ปวง เปน็ อาการของจติ อาการของกเิ ลส ถา้ เราไมฝ่ นื ไมท่ วน
กระแสของกเิ ลสแลว้ เราจะบวชทำ� ไม เราทำ� ตามใจของตวั เอง แลว้ เมอ่ื ไรจะชนะกเิ ลส
ไมอ่ ดทน ไมก่ ลา้ เสยี สละ พระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ตส์ าวกทง้ั หลาย ทา่ นเสยี สละทรพั ย์
สมบตั ิภายนอกออกไป ทา่ นเสียสละอวยั วะตา่ งๆ หรอื แมช้ ีวิตเพื่อร้ธู รรมเหน็ ธรรม
การประพฤติปฏิบัติของท่านนั้นเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ต้ังแต่องค์สมเด็จพระสัมมา-
สมั พทุ ธเจา้ ลงมาถงึ พระอรหนั ตส์ าวกทง้ั หลาย ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความเดด็ เดย่ี ว เอาชวี ติ เปน็
เดมิ พัน หมายถึงแลกตายกัน ไมด่ ีก็ให้ตาย ไมต่ ายก็ใหด้ ี กิเลสจะอยภู่ ายในจติ ใจ
ไม่ได้
การต่อส้นู ้นั ต้องต่อส้กู ับจติ ใจเรา ต่อสู้กบั กเิ ลสภายในดวงใจของเรา ไมใ่ ช่ว่า
ตอ่ สกู้ บั เพอ่ื นสหธรรมกิ หรอื ญาตโิ ยมทง้ั หลาย ตน้ เหตขุ องกเิ ลสไมไ่ ดอ้ ยทู่ สี่ หธรรมกิ
187
ญาตโิ ยม หรอื วตั ถธุ าตทุ ง้ั หลาย เกดิ ขน้ึ ทด่ี วงใจของเราอนั มคี วามหลง มคี วามเหน็ ผดิ
เพราะฉะนัน้ เมอ่ื เราเข้ามาประพฤตปิ ฏบิ ัติ ไม่ตอ้ งไปค้นควา้ หาหนทาง ไม่ต้องไปคิด
ใหว้ นุ่ วาย ธรรมวินยั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ได้บัญญตั ิไวไ้ ด้ตรสั ไวด้ ีแล้ว เปน็ ไปเพอ่ื ขูดเกลา
กเิ ลสภายในใจของเรา ศลี ของพระเรากค็ อื ธรรมวนิ ยั หรอื ศลี ๒๒๗ รวมยอ่ ลงมากอ็ ยู่
ทดี่ วงใจดวงเดยี ว มสี ตวิ นิ ยั กเิ ลสอยทู่ ใี่ จ ดทู ใ่ี จของเรา ความโลภ ความโกรธ กามราคะ
ทั้งหลายกอ็ ยทู่ จ่ี ิตของเรา มาดจู ติ ใจของเรา
ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ จะเปน็ ธดุ งควตั รตา่ งๆ กต็ าม กเ็ ปน็ เครอ่ื งขดู เกลากเิ ลสภายใน
ใจของเรา ทำ� ไมเราจะผอ่ นขอ้ วตั รปฏบิ ตั ทิ คี่ รบู าอาจารยว์ างไว้ พระพทุ ธเจา้ ทรงชแ้ี นะวา่
ธรรมวินัย ธดุ งควัตร น้ีเป็นเครือ่ งขูดเกลากิเลส เปน็ ไปเพอื่ พระนพิ พาน เมื่อเรามา
ประพฤตปิ ฏิบตั ิ มาศึกษาขอนสิ ยั จากครูบาอาจารย์ เมื่อออกไปแล้ว เรากไ็ มท่ ำ� ตาม
ไมป่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม เราไปทำ� ในสงิ่ ทจี่ ะทำ� ใหจ้ ติ ใจเสอ่ื มถอย สมาธไิ มเ่ กดิ ขน้ึ ปญั ญา
ไมเ่ จรญิ ขน้ึ กอ็ ยไู่ มไ่ ดใ้ นเพศสมณะ อยไู่ มไ่ ดต้ ลอดรอดฝง่ั มเี ปน็ จำ� นวนมากทเี่ ขา้ มา
ศกึ ษากบั ครบู าอาจารยต์ า่ งๆ นบั ถอื เปน็ ครบู าอาจารย์ แตไ่ มป่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามขอ้ วตั ร
ปฏบิ ตั ทิ ที่ า่ นวางไวอ้ นั เปน็ ไปเพอื่ ชำ� ระกเิ ลส ในเมอ่ื จติ ของเรายงั ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ ความเหน็
ของเรายังไม่ถูกต้อง ธรรมทั้งหลายเรายังไม่รู้ทั่วถึง แต่เราท�ำตามความคิดของเรา
ความคดิ ของเรามนั เปน็ กเิ ลส ทำ� อะไรตามสบายใจ มนั กเ็ ปน็ กเิ ลส ผอ่ นในขอ้ วตั รตา่ งๆ
มนั กเ็ ป็นกเิ ลส แลว้ เราจะบรรลุธรรมเหน็ ธรรมได้อยา่ งไร
มชั ฌมิ าปฏปิ ทา ความจรงิ นน้ั อาจจะแตกตา่ งจากคนทง้ั หลายในโลกน้ี คอื การ
ประพฤติปฏบิ ัติของพระสงฆ์เราฝ่ายปฏิบัตทิ ีฉ่ ันหนเดยี ว ภาชนะเดยี ว อาสนะเดียว
บณิ ฑบาตเปน็ วตั ร หรอื การนอนนอ้ ย ฉนั นอ้ ย ทำ� ความเพยี รมาก อาจจะแตกตา่ งจาก
คนทงั้ หลาย แตห่ นทางนเี้ ปน็ หนทางมชั ฌมิ าปฏปิ ทา คอื หนทางทเี่ ปน็ กลางทจี่ ะนำ� จติ
ของเรานน้ั ชำ� ระจติ ใจใหส้ ะอาดใหบ้ รสิ ทุ ธไ์ิ ด้ เมอ่ื เราทำ� อะไรตามกเิ ลส กเิ ลสกค็ รอบงำ�
จติ ใจเรา ไมป่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั ไมเ่ อาธดุ งควตั รเปน็ เครอื่ งขดู เกลากเิ ลส
ละเลยจนไม่เห็นคณุ คา่ ไมเ่ ห็นประโยชน์
188
เม่ือผู้ใดไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม ผู้นั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ธรรมเห็นธรรมได้
พระพทุ ธศาสนามไี วห้ รอื ดำ� รงไว้ แตถ่ า้ ไมม่ ผี ปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามในศลี สมาธิ ปญั ญา
กไ็ มส่ ามารถมผี ทู้ จี่ ะบรรลมุ รรคผลนพิ พานได้ แตใ่ นเมอื่ เราทกุ คนเกดิ ขนึ้ มาในชว่ งมี
พระพุทธศาสนา แล้วเราทำ� ไมไมร่ ีบเร่งขวนขวายในการบำ� เพญ็ ภาวนาให้ยงิ่ ๆ ขึ้นไป
ศลี ใหง้ ามเปน็ เบอ้ื งตน้ อยา่ งนอ้ ยเปน็ เกราะคมุ้ กนั ภยั พวกเรา เพราะโทษของการทศุ ลี
มนั อนั ตรายมาก เพราะศรทั ธาของญาตโิ ยมทง้ั หลายมมี ากจงึ อนั ตรายมาก มมี ากดว้ ย
ความบรสิ ทุ ธิ์ เขาหามาดว้ ยความยากลำ� บากในปจั จยั สท่ี งั้ หลาย กม็ าทำ� นบุ ำ� รงุ พระพทุ ธ
พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเราต้องทรงธรรมวนิ ัย อย่างน้อยเปน็ เกราะคมุ้ กัน
ภยั ของเรา
การทำ� สมาธภิ าวนา ๑. อนั ดบั แรกเพอ่ื ตวั เราเอง ๒. เพอ่ื ใชห้ นค้ี นอน่ื ใหเ้ ปน็ อานสิ งส์
ผลบุญกลบั ไป เดินจงกรม นัง่ สมาธใิ หไ้ ด้ จงึ บอกว่าเขาทำ� งานวนั ละ ๗-๘ ชั่วโมง
บางคนทำ� งานตลอด ๗, ๘ วนั ๖, ๗ วนั ไมห่ ยดุ ตลอดทง้ั อาทติ ย์ บางคนทำ� งาน ๖ วนั
หยดุ วนั เดยี ว ไดป้ จั จยั สม่ี า กแ็ บง่ มาถวายทำ� บญุ ในพระพทุ ธศาสนา แตเ่ ราจะมาจำ� วดั
แลว้ ฉนั แลว้ กพ็ กั ผอ่ นมนั กไ็ มถ่ กู ตอ้ ง เขามาสง่ ใหเ้ ราเหมอื นสง่ ใหศ้ กึ ษาเลา่ เรยี น เมอ่ื เรา
มงุ่ ทางนแี้ ลว้ จะประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมกเ็ อาใหจ้ รงิ เขาสง่ เสบยี งกำ� ลงั สนบั สนนุ เพอ่ื ตอ่ สู้
กบั ขา้ ศกึ ตอ่ สกู้ บั กเิ ลส เรากต็ อ้ งทำ� ใหม้ ากกวา่ เขา วนั หนงึ่ เขาทำ� งาน ๗-๘ ชวั่ โมง เราก็
ตอ้ งทำ� ความเพียรมากกว่าน้นั ไมใ่ ชว่ ่าทำ� แคค่ ร่ึงช่วั โมง ชวั่ โมงกพ็ อแลว้ ไม่ถกู ตอ้ ง
ทำ� ความเพยี รตอ้ งทำ� ใหย้ ง่ิ กวา่ โยมเขา ๗-๘ ชว่ั โมง บางคนครบู าอาจารยท์ ำ� ๘-๑๐ ชว่ั โมง
หรือมากกว่านั้น เมื่อเราทำ� ความเพยี รไม่หยดุ สมาธิทำ� ไมจะไมเ่ กดิ ขึ้น
บางคนปรารถนาความสงบ แตไ่ ม่ทำ� เหตุในการท่ีจะทำ� ความเพยี รเพ่อื แผดเผา
กิเลสภายในดวงใจของเรา ปรารถนาความสงบ แต่ปล่อยจติ ปล่อยใจไปกับอารมณ์
ทง้ั หลาย บางเรอื่ งกไ็ มร่ จู้ กั ฝนื อดทนภายในจติ ใจของแตล่ ะคน อยากจะใชส้ อยอะไร
กใ็ ชส้ อยไปตามกเิ ลส ไมร่ จู้ กั พจิ ารณากอ่ นใช้ อยากจะฉนั ภตั ตาหารอะไรกฉ็ นั ฉนั ไป
ตามความอยาก ไปตามกิเลส
189
สมยั ครบู าอาจารยท์ ท่ี า่ นมงุ่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยใู่ นปา่ ในเขานนั้ บางทมี่ เี พยี งขา้ ว
กบั เกลอื แลว้ กพ็ รกิ หรอื บางวนั ไมม่ กี บั มแี ตข่ า้ วหรอื ผกั ตม้ หรอื อะไรกแ็ ลว้ แต่ นำ�้ พรกิ
เลก็ ๆ นอ้ ยๆ เทา่ นนั้ นน่ั แหละคอื อาหารเพยี งเลก็ นอ้ ยแตพ่ อดี ทา่ นไมก่ งั วลเรอ่ื งอาหาร
มเี พยี งเพอ่ื จะฉนั เพอื่ บำ� เพญ็ ภาวนาวนั หนง่ึ กบั คนื หนง่ึ เทา่ นน้ั ไมไ่ ดห้ ว่ งสรรี ะรา่ งกายอะไร
แตเ่ ราบางครั้งอาหารจากญาตโิ ยมมาก แตเ่ ราก็ไมร่ จู้ กั หกั ห้ามจติ ใจของเรา ไม่รู้จกั
สำ� รวมพจิ ารณาอาหารแตพ่ อดี เมอ่ื อาหารมาก ก็ทบั ถมกิเลสในจติ ใจของเรา ท�ำให้
เกดิ นวิ รณ์ ความงว่ ง ความเพยี รกน็ อ้ ยลงไป อยากจะนอน อยากจะพกั ผอ่ นมาก อยา่ ไป
เสยี ดายในการขบฉัน ฉนั แต่พอดี พิจารณาอาหารพอทีจ่ ะฉันเพื่อท�ำนบุ ำ� รุงรา่ งกาย
พอท่ีจะบ�ำเพ็ญเพียรภาวนาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง พิจารณาแต่เพียงว่าฉันภัตตาหารให้
เพยี งพอกับการบำ� เพญ็ เพยี รภาวนาวนั หนง่ึ กบั คนื หนึ่งกพ็ อแล้ว แล้วก็ทำ� ความเพยี ร
ให้เตม็ ที่
จิตท่ีไมส่ งบทเี่ กิดขึน้ จากความนกึ คิดตา่ งๆ ภาพในจิตใจของเราท่ีเผาลนจติ ใจ
ของเรานน้ั ใหค้ ดิ แตเ่ รอื่ งอดตี หรอื เรอื่ งอนาคต ปรงุ แตง่ ไปใหเ้ กดิ แตเ่ รอื่ งกเิ ลสทงั้ หลาย
ทำ� ไมไมม่ ีสติท่จี ะยบั ย้ังไมใ่ หค้ ดิ ไปในเร่อื งของกเิ ลส มสี ติ มีความอดทนอดกลัน้ ตอ่
อารมณห์ นอ่ ย สำ� รวมจติ ใจของเรา บางคนเหน็ ไหม ปลอ่ ยใจคดิ อะไร กท็ ำ� ตามความคดิ
ทำ� ตามความคดิ จนกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายกไ็ ด้ แตเ่ มอ่ื คดิ ในสงิ่ ทไี่ มด่ ี ตอ้ งรู้ ตอ้ งอดทน
ต้องหาทางละออกไป ไม่เก็บไม่กักขังไว้ หาอุบายที่จะละอารมณ์ท่ีไม่ดีออกไป
ทกุ ๆ ขณะ พดู อยเู่ สมอวา่ ความคดิ อนั ใดเปน็ สงิ่ ทไ่ี มด่ ี ใหม้ สี ติ มคี วามอดทน แลว้ หา
อบุ ายปญั ญาละออกไป จะเปน็ อารมณค์ วามโลภกด็ ี ความโกรธ ความอาฆาต ความยนิ ดี
ในกามทัง้ หลายกด็ ี สติปัญญาตอ้ งพิจารณาแก้ไขในขณะจติ นนั้ ไม่เกบ็ ไมก่ กั ขงั ไว้
การที่จะมีสตทิ ตี่ ัง้ มั่น ก็ตอ้ งทำ� สมาธภิ าวนาเพอ่ื ทีจ่ ะมสี ติตั้งมน่ั มีปญั ญาทจ่ี ะ
ละกเิ ลสออกไปจากใจของเราในปจั จบุ นั นนั้ แตถ่ า้ กำ� ลงั สตปิ ญั ญาไมเ่ พยี งพอ กช็ ท้ี าง
บอกทางอยเู่ สมอวา่ ใหก้ ำ� หนดสติ ทำ� สมาธภิ าวนา ตดั อารมณน์ น้ั ออกไปกอ่ น ทำ� เชน่ น้ี
สลบั กนั ไป เมอื่ มเี วลาวา่ งกเ็ ดนิ จงกรมใหม้ าก นง่ั สมาธใิ หม้ าก ในวนั หนง่ึ กบั คนื หนง่ึ
190
มีหน้าท่อี ย่างเดยี ว ทำ� อย่างไรจงึ ทำ� จติ ใหม้ นั สงบ ท�ำอย่างไรจึงจะไม่ให้ความฟุ้งซา่ น
เกิดขึ้นในใจของเรา มีหนา้ ท่คี น้ ควา้ หาทางที่จะทำ� ให้จติ ใจของเราสงบเทา่ นนั้
กรรมฐานกม็ บี อกไวห้ ลายๆ วธิ ี อานาปานสตกิ รรมฐาน พทุ ธานสุ สตกิ รรมฐาน
กรรมฐานอนั ใดถกู กบั จรติ ของเรากน็ ำ� มาใช้ กำ� หนดจดจอ่ อยตู่ รงนนั้ เอาใหอ้ ยู่ เอาให้
จติ นงิ่ มคี วามสงบนงิ่ เกดิ ขนึ้ ทใ่ี จ ใหจ้ ติ รวมเปน็ หนงึ่ ความสงบเยอื กเยน็ ใจกเ็ กดิ ขนึ้ ปตี ิ
จากความสงบเยอื กเยน็ ใจกเ็ กดิ ขนึ้ หรอื อเุ บกขาธรรมกเ็ กดิ ขน้ึ จากการทำ� ความเพยี ร
ไมห่ ยดุ สมาธทิ ไี่ มเ่ คยเกดิ ขน้ึ กเ็ จรญิ งอกงาม มคี วามสงบเยอื กเยน็ ใจ ตง้ั แตน่ ง่ั สมาธิ
จติ กส็ งบ เดนิ จงกรม จิตกเ็ ริ่มสงบขึ้น
ถา้ ทำ� ความเพยี รมากๆ นงั่ สมาธกิ ส็ งบ เดนิ จงกรมกส็ งบ ตอ่ ไปยนื กส็ งบ ทำ� กจิ วตั ร
ประจำ� วนั กส็ งบ ความสงบนน้ั กจ็ ะตอ่ เนอ่ื ง เหมอื นหยดนำ�้ ทลี ะหยด หยดเปน็ สาย เหมอื น
ครบู าอาจารยว์ า่ กเ็ ปน็ สายนำ�้ ตอ่ เนอื่ งกนั สตกิ จ็ ะตอ่ เนอ่ื งตง้ั แตต่ นื่ นอนจนถงึ เวลาจำ� วดั
สติ ปญั ญา กจ็ ะตอ่ เนอ่ื งในการชำ� ระกเิ ลสออกไปจากจติ ใจทกุ ๆ ขณะจติ เมอ่ื มคี วามคดิ
ที่ไม่ดีเกิดข้ึน ปัญญาก็จะเข้าพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่ใช่ตัวตนของ
อารมณอ์ นั นั้น ก็ละออกไป เคยพูดอยเู่ สมอว่า พระเราสละหน้าท่ีการงานต่างๆ ออก
มาแล้ว ความโลภจะมีมาแต่ไหน ช้ีบอกอยู่เสมอว่ามีเพียงปัจจัยสี่เท่านั้นที่จะเป็น
ตน้ เหตแุ หง่ ความอยากแหง่ ความโลภในจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ ยารกั ษาโรค บอกอยู่
เสมอวา่ พจิ ารณาใหเ้ หน็ เปน็ แตเ่ พยี งธาตตุ ามธรรมชาตเิ ปน็ เครอื่ งแกก้ เิ ลส จะเปน็ จวี ร
เคร่อื งนุ่งหม่ อาศยั กส็ ักแต่ว่าธาตุดนิ ธาตนุ ำ�้ ธาตุลม ธาตุไฟ
คนผอู้ าศยั กเ็ ปน็ เชน่ เดยี วกนั อาศยั ซงึ่ กนั และกนั อยเู่ พยี งชว่ั คราวเทา่ นนั้ จะเปน็
อาหารบณิ ฑบาต กป็ ระกอบไปดว้ ยธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ คนผฉู้ นั กป็ ระกอบ
ไปดว้ ยธาตุดนิ ธาตุนำ้� ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ มีสภาวะเสมอเหมอื นกนั สมมุตขิ ึ้นมาเพยี ง
เทา่ นนั้ อาศยั ซงึ่ กนั และกนั เพยี งชว่ั คราว เสนาสนะ กฏุ ิ ศาลา กป็ ระกอบไปดว้ ยธาตดุ นิ
ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ มคี วามไมเ่ ทย่ี ง มคี วามแตกสลายลงไป เรากป็ ระกอบไปดว้ ย
ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ อาศยั ซง่ึ กนั และกนั เพยี งชว่ั คราว ไมน่ านกพ็ งั ไมเ่ กนิ
๑๐๐ ปี กพ็ งั
191
เภสชั รกั ษาโรคกเ็ หมอื นกนั แตก่ อ่ นมอี ะไร ครบู าอาจารยม์ แี ตส่ มนุ ไพร รากไม้
บางทกี ไ็ มม่ ยี าตดิ ตวั ไปอยใู่ นปา่ บนเขา ในถำ้� ไมห่ ว่ งอะไรทงั้ นนั้ บำ� เพญ็ ภาวนา มกี ฉ็ นั
ไมม่ กี ไ็ มฉ่ นั พจิ ารณาธรรมโอสถ พจิ ารณากายในกาย พจิ ารณาเวทนาในเวทนา มเี วทนา
เกิดขึ้นก็พิจารณาสละทุกส่ิงทุกอย่าง แม้ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน เราคงเคยได้ยิน
ไดศ้ กึ ษา อยา่ งเชน่ หลวงพอ่ ชาเราไปอยใู่ นปา่ ทไ่ี มค่ อ่ ยมผี คู้ น เงยี บสงดั อาพาธ คดิ วา่
จะเผาใบสทุ ธิ เผอื่ ใครมาเจอจะไดไ้ มร่ วู้ า่ เปน็ ใคร ไมต่ อ้ งสง่ ไป ละลายไปเปน็ ธาตดุ นิ
ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ อาพาธอยา่ งหนกั มสี ติ กจ็ ะเผาใบสทุ ธไิ มใ่ หใ้ ครรู้ นล่ี ะ่ จติ ใจ
ของผปู้ ฏบิ ตั ิ มคี วามเดด็ เดยี่ วทง้ั นน้ั เรากอ็ ยา่ หว่ งสขุ ภาพมากมายนกั ดแู ลไปตามหนา้ ที่
ทงั้ ยากป็ ระกอบไปดว้ ยธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ เราผปู้ ฏบิ ตั กิ ป็ ระกอบไปดว้ ย
ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ จะโลภอะไร จะมอี ะไรตอ้ งการ มสี ตคิ มุ ใจ สละแลว้
กใ็ หส้ ละจรงิ ๆ บวชมาเพอ่ื แสวงหาลาภยศสรรเสรญิ หรอื เปลา่ บวชมาเพอื่ เปน็ เจา้ ลทั ธหิ รอื
เมอ่ื เราไมป่ รารถนาตอ่ สง่ิ นน้ั แลว้ ใหม้ งุ่ ตรงตอ่ พระนพิ พาน คอื ความพน้ ทกุ ขใ์ นดวงใจ
ของเรา
เพราะฉะนนั้ ความโลภนไ้ี มค่ วรใหเ้ กดิ ขนึ้ หยาบทส่ี ดุ ความโลภ ความพอใจใน
วตั ถธุ าตทุ ง้ั หลาย สำ� หรบั พระเรานะ ถอื วา่ เปน็ เรอื่ งเลก็ นอ้ ยมาก อยา่ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ปจั จยั ส่ี
พิจารณาใช้สอย ปัจจยั ส่หี รอื บริขารแปด เพยี งเพื่อบำ� เพ็ญสมณธรรมในวันหนง่ึ กบั
คนื หนง่ึ เทา่ นนั้ แหละ ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท กเ็ หมอื นกนั อยา่ ใหเ้ กดิ มขี นึ้
ในหมคู่ ณะเรา มขี นึ้ กต็ ามกต็ อ้ งละออกไปในขณะนนั้ ไมเ่ กบ็ ไมก่ กั ขงั ไวต้ ามธรรมชาติ
ของกเิ ลสตามธรรมชาติของอารมณ์ มไี ด้ แตอ่ ดทน ไมพ่ ดู ไม่กระท�ำตาม อดทน
ขม่ ไว้ และหาอบุ ายปญั ญา เจรญิ เมตตา อภยั ซ่งึ กันและกนั ฝึกหัดให้จิตใจเรานั้น
ใช้อารมณ์เป็นเครื่องหัดใจ ให้สติเป็นยา เป็นเคร่ืองช�ำระอารมณ์ออกไปจากจิตใจ
ของเรา
การกระทำ� กระทงั่ อารมณ์ ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง เกดิ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ
เกดิ ขนึ้ กต็ าม มสี ตมิ ปี ญั ญาทจี่ ะพจิ ารณาอยทู่ กุ ๆ ขณะ จะเกบ็ จะกกั ขงั ใหข้ า้ มคนื ขา้ มวนั
ท�ำไม หาทางปลอ่ ยวางให้เรว็ ท่ีสดุ ไม่เก็บกกั ขงั อารมณ์ทีไ่ ม่ดีไว้ ความยินดีในกาม
192
ทัง้ หลาย ในรปู เสียง กลิ่น รส สมั ผัส กพ็ จิ ารณาให้จิตเป็นกลางอยู่เสมอ ใหเ้ หน็
ความไมเ่ ทีย่ งของรปู น้ัน ใหเ้ ห็นความไม่เท่ียงของเสยี ง กล่นิ รส สมั ผัส เหมอื นกนั
ทงั้ ความพอใจความไมพ่ อใจในอารมณท์ งั้ หลาย มสี ติ มปี ญั ญา พจิ ารณาทกุ ๆ ขณะจติ
หรอื มสี ตติ ง้ั มน่ั อาจเหน็ อาการของอารมณข์ องกเิ ลสเกดิ ขน้ึ และดบั ไปกไ็ ด้ ถา้ ไมเ่ ปน็
ปัญหากับจิตใจก็ไม่ต้องพิจารณา ถ้าเป็นปัญหา เป็นความทุกข์ เป็นกิเลสเกิดขึ้น
เรากพ็ จิ ารณา บางครงั้ เหน็ อารมณเ์ กดิ ขนึ้ แลว้ กด็ บั ไป เรากไ็ มต่ อ้ งพจิ ารณา แตอ่ ารมณ์
เกดิ ขน้ึ ไมด่ บั เรากพ็ จิ ารณา เมอื่ พจิ ารณาอารมณไ์ มอ่ อกจากใจ เรากก็ ำ� หนดทำ� สมาธิ
ภาวนา รจู้ กั ซ่องสุมกำ� ลังกอ่ นที่จะต่อสู้กบั กิเลสต่อไป
เพราะฉะนนั้ การทำ� ความเพยี รตอ้ งฝนื ฝนื ทกุ อยา่ งพระเรา เปน็ การงาน เปน็ หนา้ ท่ี
ของพวกเรา คอื การเดนิ จงกรม นงั่ สมาธิ ถา้ สมาธยิ งั ไมเ่ กดิ ขน้ึ ทำ� ใหม้ าก เจรญิ ใหม้ าก
ทำ� ขนาดนส้ี มาธยิ งั ไมเ่ กดิ ขนึ้ ทำ� มากกวา่ นน้ั อกี เวลาทง้ั หมดวนั หนง่ึ กบั คนื หนงึ่ ใหห้ มด
ไปกบั การเดนิ จงกรม นงั่ สมาธิ เวลาพกั ผอ่ นกพ็ อสมควร เวลาฉนั ภตั ตาหารกพ็ อสมควร
กจิ ตา่ งๆ ภายในวดั ผม (พระอาจารยต์ น๋ั ) กพ็ ยายามใหม้ นี อ้ ย ไมใ่ หย้ งุ่ กบั ธรุ ะตา่ งๆ
ภายนอกมากมายนกั ธรุ กจิ ตา่ งๆ ภายนอกกไ็ มม่ ี ตดั ปญั หาตา่ งๆ ออกไปพอประมาณ
การเกี่ยวข้องกับคนภายนอกก็น้อยแล้วเพื่อสงวนไว้ให้พวกท่านบ�ำเพ็ญภาวนา
เพราะฉะนนั้ เมอ่ื เขา้ มาอยแู่ ลว้ กใ็ หป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั กิ นั จรงิ ๆ จงั ๆ ไมใ่ หท้ ำ� เลน่ ๆ อาศยั
ปจั จยั สจ่ี ากญาตโิ ยมดว้ ยความบรสิ ทุ ธแิ์ ลว้ เราตอ้ งทำ� ใหค้ มุ้ อยา่ ใหข้ าดทนุ นงั่ สมาธิ
เดนิ จงกรม ทำ� ใหม้ าก เจรญิ ใหม้ าก ทำ� จนจติ เปน็ หนงึ่ มคี วามสงบเกดิ ขน้ึ สามารถท่ี
จะพจิ ารณาอารมณค์ วามโลภ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ ความยนิ ดใี นกามทง้ั หลาย
พจิ ารณาละวางออกไป
เมอื่ จติ วา่ งจากอารมณ์ กย็ กรา่ งกายขน้ึ มาพจิ ารณา พจิ ารณากายในกาย ใหเ้ หน็
ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของรา่ งกายน้ี ความแกต่ ดิ ตามมา โรคภยั ไขเ้ จบ็ ตดิ ตาม
มาตลอด ความตายติดตามมาเหมือนเงาติดตามตัวเราไป ตามกระช้ันชิดมาตลอด
ท้ังความเจ็บไข้ได้ป่วย วนั น้ีไมเ่ จ็บไขไ้ ด้ปว่ ย ไมว่ ันใดวนั หนึ่งความเจบ็ ไข้ได้ปว่ ยจะ
เกิดขึ้น วันนี้ยังไม่แก่ ยังไม่ชรา ไม่วันใดวันหนึ่งความชราจะติดตามมา วันน้ียัง
193
ไมต่ าย ยงั ไมแ่ ตกสลายในรา่ งกายน้ี ไมว่ นั ใดวนั หนง่ึ รา่ งกายนต้ี อ้ งแตกสลาย พจิ ารณา
เหน็ แตกกอ่ นแตก พจิ ารณาใหเ้ หน็ ตายกอ่ นตาย จติ จะไดส้ บาย ไมต่ อ้ งกงั วล ไมต่ อ้ งหว่ ง
ไม่ตอ้ งกลัว ไมต่ ้องกังวล ในก้อนธาตุอันน้ี
กอ้ นธาตเุ กดิ ขนึ้ มาประกอบดว้ ยธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ ถงึ กาลถงึ เวลา
ไมเ่ กนิ ๑๐๐ ปี กต็ อ้ งแตกไปเปน็ ธรรมดา นคี่ อื ความจรงิ ของธรรมชาติ แตค่ วามหลง
ภายในจติ ใจของเรานน้ั เกดิ ขน้ึ มาแลว้ ไมอ่ ยากตาย ความเหน็ ผดิ ความเหน็ ไมถ่ กู ตอ้ ง
ต้องท�ำใจไมใ่ ห้ห่วง ไมใ่ หก้ ังวล แต่อาศัยรา่ งกายนบ้ี �ำเพ็ญบารมีสรา้ งคุณงามความดี
ตามรอยองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื พระอรหนั ตส์ าวกทงั้ หลาย เพราะฉะนนั้
พิจารณาด้วยสติ ดว้ ยสมาธิ ดว้ ยปญั ญา พิจารณาให้เหน็ กายในกายน้ี ใหเ้ ห็นเปน็
ปฏกิ ลู ความไมส่ วยไมง่ าม ใหเ้ หน็ เปน็ อสภุ กรรมฐาน ใหเ้ หน็ เปน็ ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม
ธาตไุ ฟ พจิ ารณาให้เห็นความไม่เท่ยี ง ความไม่ใชต่ วั ตน ของก้อนธาตอุ นั นี้อยเู่ สมอ
เมือ่ พจิ ารณาแล้ว ก็พักจติ ในความสงบ เม่อื ออกจากความสงบแล้ว ก็ใหม้ ีสติ
ตามรกั ษาจติ ของตนไปทกุ ๆ อริ ยิ าบถ ในวนั ตอ่ ไปกท็ ำ� สมาธิ ทำ� ใหม้ คี วามสงบเกดิ ขนึ้
เหมอื นลบั มดี ไวใ้ หค้ ม เมอื่ ตงั้ ใจจะพจิ ารณารา่ งกาย กย็ กรา่ งกายขน้ึ มาพจิ ารณา เหมอื น
เอามดี ตดั มดี เฉอื นเถาวลั ยห์ รอื กเิ ลส เอาสตปิ ญั ญาพจิ ารณาคลคี่ ลายใหเ้ หน็ ความจรงิ วา่
ร่างกายนกี้ ับจติ ใจเราเป็นอนั หนง่ึ อันเดยี วกันหรือเปล่า แยกออกให้เหน็ วา่ ร่างกายนี้
ประกอบดว้ ยธาตุดนิ ธาตนุ ้�ำ ธาตลุ ม ธาตุไฟ ไมใ่ ชใ่ จน้ี แต่มาอาศัยซึ่งกันและกัน
เพราะมกี รรมเปน็ ของของตน จงึ มกี เิ ลสอยู่ กต็ อ้ งเกดิ ในอตั ภาพ ในแตล่ ะภพแตล่ ะชาติ
รู้จกั พิจารณาแยกแยะ พิจารณาพกั จิตใจในความสงบ
เมอื่ จติ มกี ำ� ลงั กพ็ จิ ารณากาย แตก่ ารพจิ ารณาทบี่ อกวา่ พจิ ารณาซำ�้ ๆ ซากๆ ไมใ่ ชว่ า่
จะทำ� ในคราวเดยี ว เมอื่ จติ สงบแลว้ กพ็ จิ ารณารา่ งกายไป เมอ่ื พจิ ารณารา่ งกายเหน็ ชดั
จติ กเ็ ขา้ สคู่ วามสงบ พกั จติ ในความสงบนนั่ แหละ เมอื่ ออกจากความสงบแลว้ กม็ สี ติ
ตามรกั ษาจติ ของตนไป หรอื อยากจะพจิ ารณารา่ งกายอกี ยงั ไมอ่ ยากออกจากความสงบ
กย็ กรา่ งกายข้ึนมาพจิ ารณาอกี ก็ได้ พจิ ารณาซำ้� ๆ ซากๆ ไมใ่ ช่พิจารณาในวันหน่ึง
194
พจิ ารณา ๕ ครง้ั ๑๐ ครงั้ ไมใ่ ชห่ มายความวา่ อยา่ งนน้ั หมายถงึ วา่ พจิ ารณาวนั นแ้ี ลว้
วนั พรงุ่ นหี้ รอื มะรนื นกี้ พ็ จิ ารณาอกี ถา้ กเิ ลสยงั ไมอ่ อกจากใจ ความยนิ ดใี นกามทงั้ หลาย
ยงั ไมอ่ อกจากใจ ความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในตวั ตนยงั ไมอ่ อกจากใจ ยงั มคี วามโลภ ความ
โกรธอยู่ เรากพ็ ิจารณาวันตอ่ ไปบอ่ ยๆ พจิ ารณาวนั น้แี ลว้ วันต่อๆ ไปกพ็ จิ ารณาอกี
อกี ๒-๓ วนั กพ็ จิ ารณาอกี หรอื อาจจะเวน้ ไปอาทติ ยห์ น่ึงพจิ ารณาอีก เรยี กว่า
พิจารณาซ�้ำๆ ซากๆ จนหมดสงสยั นั่นแหละจงึ จะหยุด จึงจะหมดหน้าทแ่ี หง่ การ
พิจารณากาย ถ้าไม่หมดความสงสัย ยงั มีความหลงยึดม่ันถือมน่ั ในรา่ งกายนี้ ก็ต้อง
พจิ ารณาต่อไป พิจารณาใหส้ ม�ำ่ เสมอ
เมอื่ สตปิ ญั ญายกรา่ งกายขนึ้ มาพจิ ารณา ถา้ ไมเ่ หน็ ใจเราไมเ่ หน็ ไมม่ คี วามเชอ่ื วา่
รา่ งกายนไ้ี มเ่ ทย่ี ง ไมใ่ ชต่ วั ตน กใ็ หห้ ยดุ พจิ ารณา หยดุ พจิ ารณามาทำ� ความสงบ เพราะ
ก�ำลงั ของสตปิ ญั ญาไมเ่ พียงพอ ก�ำลงั ของสมาธไิ มเ่ พยี งพอทีจ่ ะกอ่ ให้เกิดสตปิ ัญญา
พิจารณาให้จิตเห็น เพราะฉะนน้ั ให้ก�ำหนดทำ� สมาธภิ าวนาเพ่ือให้เปน็ พ้ืนฐานของจิต
ให้จิตมีก�ำลังที่จะพิจารณาร่างกายต่อไป เม่ือจิตเห็นชัดจึงจะปล่อยวางความยึดม่ัน
ถือมน่ั ในร่างกายได้ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ในกายตนกบ็ รรเทาเบาบาง
ไปเรอ่ื ย จนกระทงั่ พจิ ารณาจนเหน็ ชดั จรงิ ๆ จงึ จะปลอ่ ยวางได้ วางความยดึ มนั่ ถอื มนั่
ในกายตน วางความยึดมั่นถือมั่นในบุคคลอื่น วางความยึดม่ันถือม่ันในวัตถุธาตุ
ทงั้ หลาย เหน็ สกั แตว่ า่ เปน็ กอ้ นดนิ กอ้ นหนิ กอ้ นธาตุ ตามธรรมชาติ ไมว่ า่ จะเปน็ ทองคำ�
เพชร พลอย อะไรตา่ งๆ ก็เหน็ แตส่ กั ว่าธาตุตามธรรมชาติ ไม่ท�ำให้จติ ใจหลง หรือมี
ความยนิ ดไี ปในธาตทุ ง้ั หลาย เพราะจติ วา่ งจากความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในรา่ งกายตน ในวตั ถุ
ธาตทุ ง้ั หลาย กเ็ พยี งกอ้ นหนิ กอ้ นกรวด จติ กส็ งบเยอื กเยน็ สงบจากความโลภ สงบจาก
ความยินดใี นกามทง้ั หลาย ความสงบความเยือกเย็นใจกเ็ กิดขึน้
ถึงแม้ว่าจิตยังมีความหลงในปัจจุบันธรรม หลงความยึดมั่นถือม่ันในเวทนา
สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณของจติ สติ ปญั ญากจ็ ะพจิ ารณาตอ่ ไปใหเ้ หน็ อนจิ จงั อนตั ตา ความ
ไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน ภายในจติ ของเรา ซง่ึ เปน็ เวทนาของจติ ความสขุ ความทกุ ข์
ความเฉยๆ สว่ นมากเปน็ ความสขุ เพราะจติ มคี วามสงบเยอื กเยน็ ความจำ� ไดห้ มายรู้
195
สตปิ ญั ญากจ็ ะเขา้ พจิ ารณาใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่
ดี ไมด่ ี สว่ นมากกป็ รงุ แตง่ ในเรอ่ื งทด่ี ี ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ วา่ เราดกี วา่ เขา เราเลวกวา่ เขา
เราเสมอเขา กเ็ ปน็ เพยี งอาการของจติ เปน็ สภาวะแหง่ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน
การรับรู้ท้ังหลาย ตัววิญญาณความรับรู้ทั้งหลาย ก็เป็นเพียงสภาวะอันหนึ่ง
ทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว้ กด็ บั ไป มสี ติ มปี ญั ญา พจิ ารณาละความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในเวทนา สญั ญา
สงั ขาร วญิ ญาณของจติ พจิ ารณาจนใหจ้ ติ บรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ปลอ่ ยความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ใน
สงิ่ ทง้ั หลายออกไปจากจติ ใจของเรา จงึ จะเปน็ ดวงใจทบี่ รสิ ทุ ธิ์ หรอื ธรรมธาตทุ คี่ รบู า-
อาจารย์ทา่ นได้กล่าวไว้ หรอื พระนพิ พาน สขุ อื่นย่งิ กว่าความสงบไม่มี พระพุทธองค์
หมายถงึ พระนพิ พาน คอื ความสงบจากกเิ ลส จากความโลภ ความโกรธ ความหลง
ในดวงใจ อนั เปน็ สง่ิ ซง่ึ ประมาณคา่ มไิ ด้ จงึ บอกวา่ เมอ่ื เราทกุ คนเกดิ ขน้ึ มาไดม้ โี อกาส
มาบวชมาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ซง่ึ เปน็ ทห่ี าไดย้ าก เปน็ โอกาสทด่ี ที เ่ี ราจะตอ่ สกู้ บั กเิ ลสภายใน
ดวงใจของเรา เราจะนิ่งนอนใจท�ำไม
ในโลกนม้ี นี อ้ ยประเทศจะมพี ระพทุ ธศาสนา และมนี อ้ ยคนทจี่ ะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ธรรม เมือ่ เราเข้ามาสหู่ นทางมรรคท่จี ะดำ� เนินไปเพอ่ื พระนิพพานแล้ว ท�ำไมเราไมร่ ีบ
กา้ วเดนิ ใหถ้ งึ จดุ หมายปลายทาง เหนื่อยเราก็พกั เมอ่ื มกี ำ� ลัง หนา้ ทข่ี องเรากค็ ือตอ่ สู้
กับกิเลสภายในดวงใจของเรา ถ้ากเิ ลสไม่หมดส้ินไปจากดวงใจของเรา เราจะไม่เลิก
กระท�ำความเพียร พระพทุ ธเจ้าหรอื พระอรหนั ต์ ทา่ นจงึ ยอมสละแมช้ ีวิต ไม่ใช่วา่
ชาตเิ ดยี ว ไมร่ วู้ า่ กชี่ าติ เพอื่ ตอ้ งการทจ่ี ะทำ� ดวงใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจา้
ลำ� บากมากกวา่ พวกเรา พระอรหนั ตส์ าวกทงั้ หลายกล็ ำ� บากมากอ่ น เราจะทำ� จติ ของเรานนั้
ให้บริสุทธ์ิ เราก็ต้องยอมเสียสละ ต้องอดทนล�ำบากเท่าไรก็ตาม เราก็จะไม่คลาย
ความเพยี ร ไมค่ ลายในการทจ่ี ะสรา้ งบารมี สรา้ งคณุ งามความดี ศลี บารมี สมาธบิ ารมี
ปญั ญาบารมี ใหย้ ิง่ ๆ ขึ้นไป ส�ำรวมจติ ใจของเรา
กเิ ลสไมไ่ ดอ้ ยทู่ ก่ี ฏุ ิ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ต่ี น้ ไม้ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ ศี่ าลา อยภู่ ายในใจของเรา จงทำ�
ความเหน็ ชอบใหเ้ กดิ ขน้ึ ใหม้ นั่ คงในปฏปิ ทาทอ่ี งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดช้ ท้ี าง
196
ไดบ้ อกทางไว้ มน่ั คงในปฏปิ ทาทคี่ รบู าอาจารยพ์ าดำ� เนนิ มา ถา้ เราผอ่ นกอ็ อกนอกทาง
ถา้ เราเคร่งเกนิ ไปก็ออกนอกทาง ธรรมวินยั ท่านตรัสไว้ดีแล้ว ท่านบัญญัติไวด้ แี ลว้
ธดุ งควตั ร ขอ้ วตั รตา่ งๆ ซงึ่ เปน็ เครอื่ งขดู เกลากเิ ลส เมอ่ื เราละเลย แลว้ อะไรจะขดู เกลา
จิตใจของเรา เราจะเอาความยินดใี นลาภ ยศ สรรเสรญิ เปน็ เครื่องขูดเกลาจิตใจ
เราหรอื เราจะเอาการคลกุ คลกี นั เปน็ เครอ่ื งขดู เกลาจติ ใจของเราหรอื เราจะเอาการขอ้ ง
เกย่ี วกบั คนทั้งหลายเปน็ เครือ่ งขดู เกลาจติ ใจของเราหรอื
พระพุทธเจ้า พระอรหันตส์ าวกท้งั หลาย ท่านหลกี เร้นบำ� เพ็ญเพยี รภาวนาอยู่
บนเขา ในทส่ี งบสงดั ปราศจากผคู้ น อยใู่ นถำ�้ ทมี่ ภี ยนั ตราย หรอื อยใู่ นปา่ ทสี่ งบสงดั
อาศัยทสี่ งบสงัดเพอ่ื กายวเิ วก เพ่อื ท�ำจิตให้สงบ เพอื่ ท�ำจติ ให้วิเวก เพอ่ื ที่จะท�ำใหม้ ี
สตปิ ญั ญาละกเิ ลสภายในดวงใจ เมอื่ ทา่ นทำ� จติ ใหส้ งบแลว้ ทา่ นกบ็ ำ� เพญ็ ภาวนา ไมไ่ ด้
อยู่กับฝูงชน อยู่เพียงล�ำพังพระองค์เดียว อย่างเช่นพระพุทธเจ้าของเรา เห็นไหม
อยใู่ ตโ้ คนตน้ โพธิ์ บำ� เพญ็ อยเู่ พยี งลำ� พงั รปู เดยี ว แลว้ เรายงั จะกลา่ ววา่ การคลกุ คลกี อ่ ให้
เกดิ ปัญญา อยกู่ บั สงั คมจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญญา ส่วนมากกเิ ลสจะเก่งเกินพระพุทธเจ้า
เกง่ เกนิ พระอรหนั ต์ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ความบรสิ ทุ ธ์ิ คนทงั้ หลายจงึ ไมส่ ามารถทจี่ ะพบกบั ความ
พ้นทกุ ข์ได้
พระอรหันต์ครูบาอาจารย์ของเรา ต้ังแต่พระอรหันตสาวกขององค์สมเด็จ
พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า สบื ตอ่ มาจนถงึ หลวงป่เู สาร์ หลวงปมู่ ่นั หลวงพอ่ ชา ท่านอยู่
ในสังคมคลุกคลีหรือเปล่า หรือท่านอยู่ในสถานที่สงบสงัด ท่านไม่ชิงสุกก่อนห่าม
ท่านปล่อยใหจ้ ติ ใจบำ� เพ็ญภาวนาตลอด เห็นไหม แม้แตป่ ฏิปทาองคห์ ลวงปมู่ ัน่ ใน
บนั้ ปลายอายุ ๖๐-๗๐ ทา่ นยงั บำ� เพญ็ เพยี รภาวนาอยตู่ ามปา่ ตามเขาอยทู่ างเชยี งใหม่
พวกชาวเขา อยูบ่ ณิ ฑบาต ๓-๔ บา้ น ๔-๕ บา้ น ไมส่ นใจในเร่ืองอาหารการขบฉัน
มากมายนกั เพยี งเพอ่ื หลกี เรน้ ภาวนา ทำ� ไมเราไมด่ ปู ฏปิ ทาพระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์
สาวกท้ังหลาย ท�ำไมเราไปดูปฏิปทาของกิเลสท่ีมีอยู่ภายในจิตใจของเจ้าลัทธิต่างๆ
เราบวชมาไมใ่ ชเ่ พอ่ื เป็นเจ้าลัทธิมิใช่หรอื หรอื ต้องการเปน็ เจา้ ลัทธ?ิ
197
เพราะฉะนั้นให้รู้จักส�ำรวมจิตใจของเรา ครูบาอาจารย์ท้ังหลายเห็นไหม
ทา่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยแู่ ต่เพยี งลำ� พัง โดยส่วนมากทุกวนั นถี้ า้ เปน็ เรอื่ งท่ีกิจการงาน
ต่างๆ กลายเป็นที่เชิดชหู รือกลายเป็นสิง่ ที่ดี เปน็ เรอ่ื งทีค่ ิดกนั ว่าเป็นเร่ืองทดี่ ี โดย
สว่ นมากละเลยการแสวงหาความสงบ การแสวงหาทางพน้ ทกุ ข์ ขอ้ งเกย่ี วแตเ่ รอ่ื งกจิ ท่ี
ไมส่ มควรทจ่ี ะเปน็ เหตใุ หไ้ มเ่ กดิ สมาธิ ไมเ่ กดิ ปญั ญา เพราะฉะนน้ั ไมว่ า่ เราจะอยทู่ ไี่ หน
บำ� เพญ็ เพยี รอยทู่ ี่ไหนก็ตาม ให้ดูว่าสมาธเิ กิดขน้ึ หรือเปล่า หรอื ปัญญาเจรญิ ขนึ้ ไหม
ถา้ ไมเ่ จรญิ กใ็ หห้ ลกี เรน้ ใหแ้ สวงหาสถานทท่ี จี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ สมาธิ กอ่ ใหเ้ กดิ สตปิ ญั ญาขนึ้
อยา่ ปล่อยวนั เวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
วนั หนง่ึ กบั คนื หนง่ึ ชวี ติ มเี พยี งเทา่ นน้ั จะทำ� อะไรกท็ ำ� ใหถ้ งึ พรอ้ มไว้ ใหม้ นั มหี ลกั
ของใจ ให้มีที่พ่งึ ดว้ ยศีล สมาธิ ปัญญา มเี ครือ่ งอยู่ ใหต้ ดั ความกังวลเรอ่ื งท้ังหลาย
ออกไป เรอ่ื งอดตี ทผ่ี า่ นมาแลว้ ไมเ่ กิดประโยชน์ ไม่ต้องระลกึ ถึงอนาคตมากมายนัก
คดิ ไดว้ างแผนได้ แลว้ วางไว้ ทำ� เหตใุ นปจั จบุ นั ใหด้ ที ส่ี ดุ การประพฤตปิ ฏบิ ตั นิ น้ั ตอ้ งมี
ความอดทน ฝนื จติ ใจ ไมท่ ำ� อะไรตามอ�ำนาจของกเิ ลส จิตของเรานั้นถ้าไมม่ สี มาธิ
กจ็ ะหลงไปตามกเิ ลส คดิ เสยี ดายทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง เสยี ดายแตอ่ ารมณ์ ซงึ่ เปน็ ความรสู้ กึ
นกึ คิดแค่นั้นแหละ เราตอ้ งสร้างบารมี ค่อยๆ สร้าง และเรง่ สร้างด้วย
พระเรามีโอกาสอันดีท่ีได้มาบวชในเพศผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของ
พระอรหนั ต์ อยา่ ทำ� เลน่ ๆ ใหท้ ำ� จรงิ ๆ อยา่ งนอ้ ยศลี ธรรมวนิ ยั ใหท้ รงตวั สมาธทิ ำ� ให้
เกดิ ใหม้ ขี น้ึ ภายในดวงใจของเรา ธรรมทเี่ ราไมร่ ยู้ งั มอี กี มาก ความบรสิ ทุ ธทิ์ เี่ รายงั ไมถ่ งึ
กย็ งั มอี ยู่ พงึ พยายามทำ� จติ ใจของเรานนั้ ใหส้ ะอาด ใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ ตามคำ� สง่ั สอนขององค์
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และพระอรหนั ตส์ าวกทง้ั หลาย กข็ อยตุ แิ ตเ่ พยี งเทา่ น.้ี ..
198
พระเรา ใครมปี ญั หาเรอื่ งการภาวนาบา้ ง...
...ตนื่ ตอนเชา้ ดี เปน็ เวลาสงดั ผคู้ นเขานอนอยู่ แตเ่ ราตอ้ งเอาเวลาใหเ้ ปน็ ประโยชน์
ตนื่ ตี ๒ ตี ๓ ทำ� ความเพยี รสงบสงดั มนั เงยี บสงบ พกั พอสมควร กเ็ อาเวลาตอนชว่ งเชา้
ทเ่ี คยนอนอยมู่ าทำ� ความเพยี ร
สมัยก่อนท่ีเคยอยูห่ นองปา่ พงหรอื สาขา กต็ ีระฆังตี ๓ ให้พระลุกมาท�ำกจิ วตั ร
ทำ� วัตร สวดมนต์ เรากย็ ังคิดเอาก�ำไรเขาช่ัวโมงนึง ต่ืนตี ๒ โดยส่วนมากคิดวา่ จะทำ�
เกนิ หม่พู วกสักชวั่ โมงหน่ึง ต่นื ตี ๒ เดินจงกรม เม่อื ไปถงึ น่ังสมาธกิ ส็ งบ เพราะเรา
ทำ� จติ ใหต้ นื่ แลว้ นงั่ สมาธกิ ม็ คี วามสงบเยอื กเยน็ และตอนเชา้ มนั สงดั ยงิ่ บางพรรษา
ไปอยนู่ อ้ ยๆ รปู กย็ งั ไมต่ อ้ งรวมตอนเชา้ นงั่ สมาธิ เดนิ จงกรม ไดส้ ะดวกตลอด ทำ� ความ
เพยี รไดต้ อ่ เนอื่ ง ทกุ วนั นเ้ี ราสะดวกปจั จยั สมี่ ากกวา่ ครบู าอาจารยส์ มยั กอ่ น เพราะฉะนน้ั
ตอ้ งทำ� ให้มากกว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อน
ครบู าอาจารย์สมยั กอ่ นมปี ัจจัยส่ี จวี รกใ็ ชผ้ ้าบงั สกุ ลุ เพราะผ้าหายาก ต้องเก็บ
ผ้าบังสกุ ลุ ตามปา่ ชา้ หาเศษผา้ ต่างๆ มาปะ มาชนุ มาซักทำ� ความสะอาด ใชผ้ ้าปะๆ
มีความยนิ ดเี พ่อื ปกปดิ ร่างกายเท่านัน้ แหละ การขบฉนั ก็ไม่ได้มีมากเหมอื นทุกวันนี้
ฉันเพื่อบรรเทาทุกขเวทนา เพ่ือปฏิบัติ เสนาสนะก็เป็นกระต๊อบบ้าง กระท่อมบ้าง
หญา้ คาบ้าง ใบไม้ปกปิดบ้าง เงอ้ื มถ�้ำบา้ ง มแี คร่กางกลดบ้าง ในถ้�ำ...ไม่ได้มปี กปิด
มิดชิดเหมอื นทกุ วันนี้ ยารกั ษาโรคกบ็ อกแล้ว บางทีกม็ ียาสมุนไพรแค่น้นั ไมไ่ ด้ห่วง
อะไรมาก ทา่ นยงั ทำ� ความเพยี รขนาดนนั้ เดด็ เดยี่ ว เวลาทงั้ หลายเปน็ เวลาทำ� ความเพยี ร
ไม่คลกุ คลดี ว้ ยหมูค่ ณะ ไม่มกี ิจการอะไรมาก เพราะฉะนัน้ เรามีปจั จัยสม่ี ากกว่าทา่ น
ตอ้ งทำ� ความเพยี รมากกวา่ ทา่ น ปจั จยั สเี่ ยอะกวา่ ตอ้ งทำ� ความเพยี รใหม้ ากกวา่ ใหส้ นใจ
การภาวนา หดั ทำ� สมาธภิ าวนาใหม้ นั เคยชนิ ใหท้ ำ� ใหช้ ำ� นาญ ใหม้ นั คลอ่ งเคยชนิ มนี วิ รณ์
มคี วามง่วงกต็ อ้ งตอ่ สู้ อดทน
บางทเี ราเคยชนิ กบั การทำ� การงานกนั มาก บางแหง่ บางสำ� นกั มกี ารงาน กเ็ คยชนิ
กบั การทำ� งาน แทนทจี่ ะเคยชนิ กบั การทำ� สมาธภิ าวนา บางแหง่ เคยชนิ กบั กจิ ธรุ ะตา่ งๆ
199
ภายนอก มกี จิ นมิ นต์ มกี จิ ธรุ ะมาก จติ กไ็ มค่ อ่ ยสงบ ไมค่ อ่ ยไดภ้ าวนา ไมค่ อ่ ยไดท้ ำ� จติ
ใหส้ งบ อาศยั เครอ่ื งอยโู่ ดยการไปกจิ นมิ นต์ โดยการไปธรุ ะบา้ ง นหี่ รอื ผดู้ ำ� รงพระศาสนา
สมณะโคดมบรมครสู มยั ปจั จบุ นั เพราะฉะนนั้ เอาใหด้ ี ใครไมท่ ำ� ไมร่ กั ษาศลี ไมท่ ำ� สมาธิ
ภาวนา กช็ า่ งเขา เราทำ� ตวั เราใหด้ ี ตนเปน็ ทพี่ งึ่ ของตน ตอ่ สกู้ บั กเิ ลสภายในใจของเรา
ไมต่ อ้ งตอ่ สกู้ บั ใคร เอาใหช้ นะดว้ ย แพส้ กั กค่ี รง้ั กต็ าม ตอ้ งลกุ ขน้ึ มาตอ่ สใู้ หช้ นะ วนั นแ้ี พ้
พรงุ่ นตี้ อ้ งชนะ พรงุ่ นแ้ี พ้ มะรนื น้ีต้องชนะ มะรนื แพ้ วนั ตอ่ ๆ ไปต้องเอาชนะใหไ้ ด้
แตก่ เิ ลสนแี่ หลมคมจรงิ ๆ อยา่ งครบู าอาจารยว์ า่ แบบพระพทุ ธเจา้ ทา่ นวา่ ถา้ เปน็ ตวั
เปน็ ตน กเิ ลสกบั จติ ของเราเปน็ ตวั เปน็ ตน เราอาย สกู้ เิ ลสไมไ่ ดเ้ สยี สว่ นมาก แตโ่ ชคดี
กเิ ลสเปน็ เพยี งสภาวธรรม เกดิ ข้นึ แลว้ ก็ดับไป ความหลงทีค่ รอบงำ� จิตใจ ถา้ เป็นตัว
เปน็ ตน ตายไม่รเู้ ท่าไรแลว้ แพ้กิเลสเสยี สว่ นมาก นี่ยังมโี อกาสแก้ตัว แพก้ ็ตัง้ ใจ
ขน้ึ มาใหม่ แตอ่ ยา่ ใหแ้ พบ้ อ่ ย ผดิ แลว้ ตอ้ งจำ� พลาดแลว้ ตอ้ งจำ� ใหเ้ ปน็ ประสบการณ์
ให้เป็นบทเรียน ต้องหาทางนอ็ คกิเลสใหไ้ ด้
อยู่สวนปา่ ฯ เปน็ อย่างไรบา้ งสองรูป อย่ภู าวนาเป็นอย่างไร เงียบดไี หม
...ก็ต้องหาเหตุหาผลว่า ท�ำอย่างไรการภาวนาจึงเจริญก้าวหน้า อยู่สององค์
แคน่ ั้นเอง กิจวัตรประจำ� วนั ก็นอ้ ย เราก็พยายามมสี ติ ส�ำรวมใจ และภาวนาใหม้ าก
ปญั หามนั มขี น้ึ กต็ อ้ งมคี ำ� ตอบในใจของเรานน่ั แหละ ถา้ เราทำ� ความเพยี ร เดยี๋ วคำ� ตอบ
มันกอ็ อกมาเอง อุปสรรคที่มใี นใจหรอื ปัญหาตา่ งๆ ถ้าเราเจริญสติ สมาธิ ปัญญา
มนั เกดิ ขน้ึ ผมเคยภาวนามปี ญั หา บางทไี มม่ โี อกาสถามครบู าอาจารย์ แตท่ ำ� ความเพยี ร
ไมห่ ยดุ เดีย๋ วมนั ก็มคี ำ� ตอบมาแก้เอง มันกห็ มดความสงสัยไปได้
ดงั นน้ั จึงบอกวา่ ทผี่ า่ นมาจะถามครูบาอาจารยน์ อ้ ยท่สี ดุ น้อยที่สดุ นบั ครัง้ ได้
จนนบั ครงั้ ไดถ้ ามครบู าอาจารย์ โดยเฉพาะอยกู่ บั องคห์ ลวงพอ่ ชาน่ี คดิ จะถามครง้ั หนง่ึ
แตไ่ ม่มีโอกาสไดถ้ าม แลว้ ก็แกป้ ญั หาได้ คร้ังเดยี วเองอย่กู บั หลวงพ่อชาทีค่ ิดจะถาม
แล้วก็ไม่ได้มีโอกาสถามท่านโดยตรง แล้วปัญหาถกู แกไ้ ปได้
200
อยา่ งไปพบครบู าอาจารยท์ อี่ ยากจะปรารภธรรมกบั ครบู าอาจารย์ กเ็ พยี รถามอยู่
ถามเปน็ การสนทนาธรรมแค่ ๒-๓ รูป แค่น้นั รปู หน่ึงก็เคยถามหลวงปูเ่ ทสก์กอ่ น
รปู ทสี่ องกห็ ลวงตามหาบวั อยา่ งละครง้ั นะ รปู ทสี่ ามกห็ ลวงปหู่ ลา้ แคน่ น้ั เอง ถามปญั หา
ซ่งึ เรากพ็ อรู้จักหนทางดำ� เนิน แต่ถามหลวงปเู่ ทสก์ ตอนน้นั ไมร่ ู้จักวา่ หนทางข้างหน้า
จะดำ� เนนิ อยา่ งไร น่ถี ามนอ้ ยทสี่ ุด ซ่ึงบางสำ� นกั ต้องสอบถามอารมณ์กนั ทุกวัน เราก็
ไมค่ อ่ ยเหน็ ดว้ ย แบบหลวงพอ่ ชาทา่ นวา่ จติ ตวั เองทำ� ไมไมร่ ู้ คดิ ดไี มด่ ที ำ� ไมไมร่ ู้ ทำ� ไม
ตอ้ งสอบกนั ทกุ วนั ทำ� ไมตอ้ งถามทกุ วนั ถามไป-มา กเ็ สยี หายทง้ั อาจารยแ์ ละลกู ศษิ ย์
เพราะฉะนนั้ จงึ วา่ ท�ำความเพยี รใหม้ าก เด๋ยี วก็มีค�ำตอบเอง
อบุ ลเปน็ อยา่ งไรบา้ ง สขุ ภาพเปน็ อยา่ งไร ดขี น้ึ บา้ งไหม...ทำ� ความเพยี รมากไหมละ่
อยู่นนั่ นะ่
... ไมม่ าก รูว้ า่ ไม่มาก ตอ้ งทำ� ให้มาก อยู่นอ้ ยรูป ๒ รูปเอง กิจการงานกไ็ มม่ ี
เอาอะไรมาก รวู้ า่ น้อยตอ้ งทำ� ให้มาก ใหม้ ากขนึ้ เร่ือยๆ จนจิตเปน็ หนง่ึ แล้วจะเกดิ
ความสงบเยอื กเย็นใจ ไมก่ งั วลในโลกน้ี แคส่ มาธิธรรมเท่าน้นั เกิดขนึ้ ในใจก็มีความ
รา่ เริงในการประพฤติปฏบิ ัติ ย่ิงสตปิ ญั ญาเกดิ ขน้ึ ก็ยิ่งสนุกในการฆ่ากเิ ลส เพราะถูก
กเิ ลสกดทบั มามากแลว้ ถกู กเิ ลสควบคมุ มามากแลว้ เมอื่ สตปิ ญั ญาเกดิ ขน้ึ จะสนกุ กบั
การละวางกิเลสออกจากใจ
ใครมอี ะไรอีกไหม...
201
รอ่ งรอยค�ำสอนของพระพุทธองค์
วนั ท่ี ๒๒ มกราคม ๒๕๕๔ ณ พทุ ธสถานเขาดนิ จ.ชยั นาท
ในวันนี้ พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนญาติโยมท้ังหลายก็ได้มาประชุมกันท่ี
พุทธสถานเขาดนิ แหง่ นี้ เนอื่ งจากว่าในวันพรงุ่ นีจ้ ะมีพธิ ีการวางศลิ าฤกษก์ ารก่อสร้าง
พระเจดยี ์ขึ้นบนสถานที่แห่งนี้ การสร้างพระเจดียน์ น้ั ก็สบื ตอ่ กนั มาต้ังแตค่ รง้ั ท่ีองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพาน อัฐิธาตุของพระพุทธองค์ก็กระจาย
ไปตามเมืองแว่นแคว้นต่างๆ กษัตริย์ในสมัยก่อนนั้นก็ได้ท�ำเจดีย์ข้ึนเพื่อท่ีจะระลึก
ถงึ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ศาสนากเ็ จรญิ รงุ่ เรอื งสบื ตอ่ กนั มา ในสมยั พระเจา้
อโศกมหาราช ทา่ นกไ็ ดส้ รา้ งเจดยี ใ์ นชมพทู วปี เปน็ จำ� นวนมาก กระจายไปยงั ทศิ ตา่ งๆ
เพอ่ื ทจ่ี ะสบื พระบวรพระพุทธศาสนาทางด้านวตั ถุ
ถา้ ไมม่ พี ระเจดยี ส์ บื ตอ่ กนั มา บางแหง่ บางประเทศซงึ่ ไมม่ รี อ่ ยรอยประวตั ศิ าสตร์
ทางพทุ ธศาสนา คนกไ็ มร่ จู้ กั วา่ คำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ นนั้ ทา่ นสอนอะไร แตเ่ มอ่ื มี
รอ่ งรอยทางพทุ ธประวัตสิ บื ตอ่ กันมาตั้งแต่สมัยคร้ังพระพุทธกาล เราจะเห็นวา่ มกี าร
สร้างเจดียต์ ามประเทศซง่ึ มีพระบวรพระพทุ ธศาสนา อยา่ งเช่นในประเทศไทยเรากม็ ี
สมัยสโุ ขทัย หรือสมยั อยุธยา ก็ยงั มรี ่องรอยทางพุทธประวัติ ทางประวตั ิศาสตรท์ ย่ี งั
มรี อ่ งรอยพระเจดยี ใ์ นสถานทต่ี า่ งๆ เมอ่ื เราไดเ้ หน็ สถานทสี่ ำ� คญั ทางพระพทุ ธศาสนา
เราท้ังหลายก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระพุทธองค์นั้นท่านทรง
สอนอะไร คำ� สงั่ สอนของทา่ นนน้ั ทา่ นสอนอะไรแกพ่ ทุ ธบรษิ ทั ทงั้ หลาย คำ� สงั่ สอนของ
พระพุทธองคจ์ ึงสบื ตอ่ กนั มาจนถึงทกุ วนั นี้
202
บางครงั้ ถาวรวตั ถใุ นทางพระพทุ ธศาสนากม็ คี วามสำ� คญั มคี วามจำ� เปน็ เหมอื นกนั
ทจี่ ะเปน็ รอ่ งรอยทางพทุ ธประวตั ิ หรอื ทางพระพทุ ธศาสนา บางประเทศทเี่ ราไดเ้ หน็ หรอื
ไดย้ นิ ถ้าไมม่ ีพระพทุ ธศาสนาประดษิ ฐานอยู่ หรอื ไม่มีรอ่ งรอยทางพระพทุ ธศาสนา
คนทง้ั หลายกม็ วั หลงเพลดิ เพลนิ แสวงหาความสขุ ทางโลกแสวงหาความสขุ ในดา้ นวตั ถุ
กนั โดยสว่ นมาก เมอ่ื แสวงหาความสขุ ในรปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั ในวตั ถธุ าตทุ งั้ หลาย
เขาก็ไม่รู้จักว่าทางท่ีจะด�ำเนินไปเพื่อความพ้นทุกข์ หรือเพื่อความสุขท่ีแท้จริงนั้น
เป็นเช่นไร เพราะคนท้ังหลายคิดว่าความสุขในโลกนี้คือการแสวงหาความสุขในรูป
เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั แสวงหาความสขุ ในลาภ ยศ สรรเสรญิ แสวงหาความสขุ ทางดา้ น
วตั ถธุ าตุทงั้ หลาย
ความจริงความสุขทั้งหลายเหล่าน้ันเป็นเพียงความสุขเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เป็นเพียงความสุขเพียงเพื่อบรรเทาความทุกข์ภายในจิตใจเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เมอ่ื คนทงั้ หลายแสวงหาความสขุ ทางดา้ นวตั ถแุ ตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว กไ็ มส่ ามารถทจี่ ะดบั
ความโลภ ดับความโกรธ ดับความทุกข์ให้สิ้นไปจากจิตใจของแต่ละบุคคลได้
เพราะฉะนนั้ รอ่ งรอยทางพระพทุ ธศาสนาซงึ่ สบื ตอ่ กนั มาตง้ั แตท่ อี่ งคส์ มเดจ็ พระสมั มา-
สมั พทุ ธเจา้ ทา่ นปรนิ พิ พาน กม็ กี ารสรา้ งพระเจดยี ต์ ามสถานทต่ี า่ งๆ กระจายไปทวั่ สบื ตอ่
กนั มาจนถงึ ประเทศไทยนแี่ หละ
ประเทศไทยก็เป็นประเทศซ่ึงมีพระพุทธศาสนาสืบต่อกันมายาวนานต้ังแต่
สมยั โบราณจนถงึ ในปจั จบุ นั นี้ กเ็ พราะวา่ มรี อ่ งรอยทางดา้ นวตั ถอุ นั เปน็ สว่ นหนงึ่ ทที่ ำ�
ให้คนเราท้ังหลายเม่ือมากราบสักการะพระเจดีย์ หรือพระบรมสารีริกธาตุ หรือ
พระอรหนั ตธาตุ กไ็ ดร้ ะลกึ ถงึ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ระลกึ ถงึ พระอรหนั ต์
สาวกทั้งหลายว่าพระพุทธองค์น้ันท่านทรงสั่งสอนหรือชี้ทางบอกทางแก่พุทธบริษัท
ทง้ั หลายเชน่ ไร
พระพทุ ธองคท์ า่ นวางหลกั ธรรมคำ� สง่ั สอนใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั ทง้ั หลายไดร้ จู้ กั หนทาง
แห่งการประพฤติปฏิบัติอันเป็นไปเพ่ือความดับความทุกข์ หรือเพื่อท�ำให้แจ้งซึ่ง
พระนพิ พาน หนทางไมไ่ ดส้ ลบั ซบั ซอ้ น ไมไ่ ดม้ มี ากหลายหรอื หลายสง่ิ หลายอยา่ งหนทาง
203
มหี นทางทเี่ ปน็ ทางสายกลาง คอื มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หนทางทจ่ี ะดำ� เนนิ ไปเพอื่ ทำ� ภพชาติ
ให้สนั้ เข้า หรือเพ่ือท�ำใหแ้ จ้งซงึ่ พระนิพพาน
พระพุทธองค์ท่านได้ทรงสอนพุทธบริษัททั้งหลายให้บ�ำเพ็ญคุณงามความดี
ทง้ั หลายใหถ้ งึ พรอ้ มดว้ ยการสรา้ งบารมที ง้ั ๑๐ ประการ บำ� เพญ็ ศลี บารมี สมาธบิ ารมี
ปญั ญาบารมี เพอ่ื ทจ่ี ะใหม้ สี ตปิ ญั ญา ความเหน็ ชอบ ความเหน็ ทถี่ กู ตอ้ งเกดิ ขนึ้ ภายใน
จติ ใจของแตล่ ะบคุ คล เพราะฉะนนั้ ถา้ พวกเราทง้ั หลายไมบ่ ำ� เพญ็ บารมที งั้ ๑๐ ประการ
ไม่บ�ำเพ็ญคณุ งามความดี ไม่รกั ษาศลี ไม่ทำ� สมาธเิ จรญิ ภาวนาแลว้ เราทั้งหลายก็ไม่
สามารถท่ีจะมีสตปิ ญั ญา ความเหน็ ชอบ ความเห็นท่ีถูกต้องเกิดข้ึนมาได้
เมอื่ เราไมบ่ ำ� เพญ็ บารมบี ำ� เพญ็ คณุ งามความดที งั้ หลายทง้ั ปวง จติ ใจของเรานนั้
กห็ ลง มคี วามหลง มคี วามไมร่ คู้ รอบงำ� จติ ใจของเราอยู่ จติ ใจของสรรพสตั วท์ งั้ หลาย
เมอ่ื บงั เกดิ ขน้ึ มา กห็ ลงยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในอตั ภาพรา่ งกายนวี้ า่ เปน็ ตวั ตนของเรา หลงยดึ มน่ั
ถือม่ันในอารมณ์ทั้งหลายท้ังปวงซ่ึงเกิดขึ้นท่ีใจของเรานั้นว่าเป็นใจของเรา ส่ิงที่ใจ
ของเรานัน้ หลงยึดมัน่ ถือมั่นไม่มีทกุ ขเ์ ปน็ ไม่มี เพราะเม่อื ใจของเราหลงยดึ ม่นั ถอื มัน่
วา่ อตั ภาพรา่ งกายนวี้ า่ เปน็ ตวั ตนของเรา เมอื่ โรคภยั ไขเ้ จบ็ เบยี ดเบยี น จติ ใจกเ็ ปน็ ทกุ ข์
ความชราเบียดเบียน จติ ใจก็เปน็ ทุกข์ เมื่อรา่ งกายนจ้ี ะเสือ่ มจะแตกสลาย จติ ใจก็
เปน็ ทกุ ข์ เพราะความหลง เพราะความไมร่ ู้ ทจ่ี ติ ยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในกอ้ นธาตนุ วี้ า่ เปน็ ตวั ตน
วา่ เป็นเรา ว่าเป็นเขา จงึ ก่อใหเ้ กิดความทกุ ขอ์ ยู่ร่ำ� ไป
ความหลงภายในจิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อใจเราหลงยึดมั่นถือม่ันใน
อารมณค์ วามโลภวา่ เป็นเรา จติ ใจกเ็ ป็นทุกข์ เม่อื ใจเราหลงยึดม่นั ถอื ม่นั ในอารมณ์
ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท ความไมพ่ อใจวา่ เปน็ เรา จติ ใจกเ็ ปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื ใจเรา
หลงยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในอารมณค์ วามพอใจ ความไมพ่ อใจ ในรปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั
ว่าเป็นเรา จิตใจก็เป็นทุกข์ สิ่งทั้งหลายท้ังปวงเหล่าน้ีก่อให้เกิดความทุกข์ภายใน
จติ ใจของเรา เพราะใจเรามคี วามหลงครอบงำ� จติ ใจของเรา มคี วามไมร่ คู้ รอบงำ� จติ ใจ
ของเรา
204
การทจ่ี ะทำ� จติ ใจของเรานน้ั ใหม้ คี วามรเู้ กดิ ขนึ้ ใหม้ สี ตปิ ญั ญาเกดิ ขน้ึ เรากต็ อ้ ง
บ�ำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลายท้ังปวงให้ถึงพร้อม เม่ือเราบ�ำเพ็ญคุณงามความดี
ทง้ั หลายทงั้ ปวง เรากจ็ ะรจู้ กั วา่ การกระทำ� คณุ งามความดี การสรา้ งบารมที งั้ ๑๐ ประการ
ในแต่ละสง่ิ แตล่ ะอย่างตามโอกาสตามเวลาทส่ี ะดวกแก่เรา เม่อื เราทำ� คณุ งามความดี
ลงไป ก็ก่อใหเ้ กดิ ความสขุ ทง้ั ในปัจจุบนั และภายภาคหน้า เรากจ็ ะมคี วามรขู้ ึ้นมาวา่
การท�ำคุณงามความดีนั้นย่อมก่อให้เกิดความสุข เราก็จะขวนขวายกระท�ำในส่ิงน้ัน
ตา่ งจากการกระทำ� ในสง่ิ ทผ่ี ดิ ศลี ธรรมหรอื กระทำ� ในสง่ิ ทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง เมอื่ เรามคี วามหลง
กระท�ำในสิ่งท่ีผิดศีลธรรมหรือในส่ิงที่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมก่อให้เกิดความทุกข์ท้ังใน
ปัจจุบันและภายภาคหนา้
เมื่อเรามีสติมีปัญญาที่จะแยกแยะรู้จักว่าถ้าท�ำคุณงามความดีย่อมให้ผล คือ
ความสขุ ถา้ ทำ� ความชว่ั ยอ่ มใหผ้ ลคอื ความทกุ ข์ เรากจ็ ะมสี ตมิ คี วามฉลาดขนึ้ มปี ญั ญา
เกดิ ขนึ้ ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย เรากพ็ ยายามทจี่ ะขวนขวายในการทจี่ ะบำ� เพญ็ คณุ งามความดี
บำ� เพ็ญบารมีให้ยง่ิ ๆ ขึน้ ไป
การท่จี ะมสี ติมีปญั ญาเกิดข้นึ นั้น เราก็ตอ้ งร้จู กั พจิ ารณาแยกแยะสงิ่ ทไ่ี มด่ ีออก
ไปจากจิตใจของเรา เมื่อเรารู้ว่าใจเรายึดมั่นถือม่ันในอัตภาพร่างกายน้ีจึงก่อให้เกิด
ความทกุ ข์ เรากต็ อ้ งพยายามทจี่ ะใชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณาหาความจรงิ วา่ รา่ งกายของเราน้ี
เปน็ เราจรงิ หรอื ไม่ เมอ่ื โรคภยั ไขเ้ จบ็ เบยี ดเบยี น เราสามารถทจี่ ะบอกใหห้ ายปว่ ยไดไ้ หม
เม่ือความชราเบียดเบียน เราบอกให้กลับมาเป็นเด็กอีกได้ไหม เม่ือร่างกายน้ีแปร
เปลย่ี นไป มคี วามเสอื่ ม มคี วามแตกสลายเปน็ ทส่ี ดุ เราจะบงั คบั บญั ชาใหร้ า่ งกายนต้ี งั้ มน่ั
อยไู่ ด้ไหม
ถา้ เราไมส่ ามารถที่จะบงั คบั บัญชาใหร้ า่ งกายน้ีตั้งม่ันอย่ไู ด้ กแ็ สดงวา่ รา่ งกายน้ี
ไม่ใช่จติ น้ี จติ นี้ไม่ใชร่ า่ งกายน้ี ท�ำความร้ใู ห้เกิดขึน้ ความหลงกจ็ ะหายไปจากจิตใจ
ของเรา แตก่ ารทจี่ ะมสี ตมิ ปี ญั ญารเู้ ทา่ ทนั ความจรงิ ไดน้ น้ั เราทง้ั หลายตอ้ งบำ� เพญ็ ศลี
บารมใี หเ้ กดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจของเราใหเ้ ปน็ พนื้ ฐานของจติ โดยเฉพาะพวกเราทงั้ หลาย
ซึง่ เปน็ ฆราวาสน้นั โดยปกตคิ นทีจ่ ะดีไดน้ ้ัน ตอ้ งมีศลี ๕ เป็นปกติ ถา้ ภายในจติ ใจ
205
ของเราน้นั ยงั ไมม่ ีศลี ยังกระท�ำในสิง่ ที่ผดิ ศีลธรรมทัง้ หลายท้ังปวง กย็ ่อมกอ่ ใหเ้ กดิ
ความทุกขใ์ นจิตใจของเรา
คนทงั้ หลายยอ่ มปรารถนาความสขุ ดว้ ยกนั ทงั้ นนั้ แตท่ ำ� ไมไมล่ ะเหตทุ จี่ ะกอ่ ให้
เกดิ ความทกุ ข์ เม่ือเรากระทำ� เหตุทีก่ อ่ ใหเ้ กิดความทกุ ข์ เรากไ็ มส่ ามารถทจี่ ะพบกับ
ความสขุ ได้ เพราะฉะนนั้ เมอ่ื เราปรารถนาความสขุ ภายในจติ ใจของเรา เรากง็ ดเวน้ หรอื
ละเวน้ การกระทำ� สาเหตทุ จ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ เมอื่ เรามสี ตมิ ปี ญั ญาพจิ ารณาใหเ้ หน็
โทษของการกระท�ำผิดศีลธรรม เราก็จะมีสติมีปัญญาที่จะเห็นประโยชน์ของการ
รกั ษาศลี ศลี กจ็ ะรกั ษากายของเราใหส้ งบ รกั ษาวาจาของเราใหส้ งบ เพราะวา่ เราไมเ่ อา
กายไปเบียดเบียนชีวิตผู้อ่ืน ไม่เอากายไปลักทรัพย์ ไม่เอากายไปหลอกลวงข่มเหง
จติ ใจผอู้ น่ื ไมเ่ อากายไปดมื่ ยาเสพตดิ ของมนึ เมาทง้ั หลายทง้ั ปวง กายกส็ งบ ไมเ่ อาวาจา
ไปพดู ในสิง่ ทโ่ี กหกหรือในสิ่งที่ก่อใหเ้ กิดความเสยี หาย
ถา้ เรามสี ตมิ ปี ญั ญาเหน็ โทษเชน่ น้ี เรากร็ กั ษาศลี ได้ ศลี กร็ กั ษากายของเราใหส้ งบ
รักษาวาจาของเราให้สงบ แต่เม่ือจิตใจเรานั้นยังไม่สงบ เพราะใจของเรานั้นยังมี
ความหลง ยงั มคี วามไมร่ ู้ ฟงุ้ ซา่ นไปในอดตี บา้ ง ฟงุ้ ซา่ นไปในอนาคตบา้ ง ปรงุ แตง่ ไป
สารพดั เรอื่ งสารพดั อยา่ ง มคี วามคดิ ทเ่ี ปน็ อกศุ ล มคี วามคดิ ทไ่ี มด่ เี กดิ ขนึ้ เมอ่ื เรามสี ติ
มีความฉลาดข้ึนบ้าง เราจะเห็นว่าเราไม่ปรารถนาความทุกข์ภายในจิตใจของเรา
ปรารถนาความสขุ แตท่ ำ� ไมภายในจติ ใจของเรานน้ั จงึ มคี วามทกุ ข์ เมอ่ื เราเหน็ ความทกุ ข์
เราก็ควรทจ่ี ะหาทางที่จะดับความทกุ ข์ภายในจติ ใจของเรา
เราท้ังหลายไม่จ�ำเป็นท่ีจะต้องไปค้นคว้าหาทางให้ยากล�ำบากเลย เพราะองค์
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื ครบู าอาจารยท์ งั้ หลายไดช้ ท้ี างบอกทางแกพ่ ทุ ธบรษิ ทั
ทั้งหลายให้บ�ำเพ็ญคุณงามความดีท้ังหลายท้ังปวงให้ถึงพร้อม ให้รักษาศีลเพื่อท่ีจะ
ควบคมุ กาย วาจา ใหส้ งบ ใหท้ ำ� สมาธเิ พอื่ ทจ่ี ะควบคมุ จติ ใจของเรานน้ั ใหส้ งบ เมอ่ื เรา
ตอ้ งการทจ่ี ะมสี ตทิ จี่ ะควบคมุ จติ ใจของเราได้ ไมป่ ลอ่ ยจติ ใจของเรานนั้ ไปกบั อารมณ์
อนั มคี วามโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ เราทงั้ หลายตอ้ งบำ� เพญ็ สมาธบิ ารมี
กำ� หนดสตอิ ยู่กบั กรรมฐานทเี่ ราภาวนา และกำ� หนดสตอิ ยูก่ ับลมหายใจเข้าออก หรือ
206
จะกำ� หนดสตบิ รกิ รรมภาวนาวา่ พทุ โธกแ็ ลว้ แต่ จะกำ� หนดกรรมฐานบทใดบทหนงึ่ กไ็ ด้
ซึ่งถูกกับจรติ ของเรา เป็นการฝึกหดั ท�ำสตใิ ห้ตอ่ เน่อื ง
เมอื่ เราทำ� สตใิ หต้ อ่ เนอื่ งดว้ ยการกำ� หนดสมาธิ เมอื่ มโี อกาสเวลาวา่ งจากกจิ ภาระ
ตา่ งๆ ภายนอก เรากส็ ำ� รวมในอริ ยิ าบถนง่ั สมาธิ สำ� รวมในอริ ยิ าบถเดนิ จงกรม เมอ่ื เรา
ฝึกหัดอบรมจิตใจของเราด้วยการท�ำสติ ท�ำสมาธิภาวนา ในเบื้องต้นน้ันใจของเรา
อาจจะยงั ไมส่ งบ เพราะวา่ เราปลอ่ ยจติ ใจไปกบั อารมณม์ านบั ภพนบั ชาตไิ มถ่ ว้ น แมใ้ น
ปัจจุบันชาติ เราก็ยังหลงยึดมั่นถือม่ันในอารมณ์ท้ังหลายอันเป็นอาการของจิตว่า
เป็นใจของเรา
เมอ่ื ใจของเรานน้ั กบั อารมณเ์ ปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เรากไ็ มส่ ามารถทจี่ ะกำ� หนด
รใู้ หเ้ หน็ ความทกุ ขไ์ ด้ ไมส่ ามารถทจี่ ะมสี ตมิ ปี ญั ญารเู้ ทา่ ทนั อารมณไ์ ด้ เพราะอารมณ์
อนั ใด เรากค็ ดิ วา่ จติ เรากอ็ นั นนั้ ไมส่ ามารถทจี่ ะแยกจติ ออกจากอารมณไ์ ด้ แตถ่ า้ เรา
ฝึกหัดก�ำหนดสติอยู่กับกรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ถึงแม้ว่าในเบ้ืองต้นจะยากล�ำบาก
ก็ตาม ถ้าเรามีความอดทนมีความเพียรไม่ท้อถอย ฝึดหัดอบรมจิตใจของเราด้วย
การทำ� สมาธภิ าวนาอยเู่ สมอ เมอื่ ใจของเรานัน้ มีความสงบ มีปตี ิเกดิ ขน้ึ มคี วามสขุ
เกิดขึ้น มอี ุเบกขาของสมาธิเกดิ ขึน้ เมื่อจติ ของเราน้ันสงบเป็นสมาธิ กจ็ ะกอ่ ใหเ้ กดิ
ก�ำลังของสติหรือพลังของสติซ่ึงต้ังม่ันอยู่ในปัจจุบัน มีสติท่ีก�ำหนดดูจิต มีสติที่จะ
กำ� หนดเหน็ อารมณ์ซง่ึ เกิดข้ึนภายในจิตใจของเราได้ง่าย
เมอื่ เรามสี ตมิ สี มาธติ ง้ั มน่ั อยใู่ นปจั จบุ นั เมอ่ื ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง จมกู ดมกลน่ิ
ลนิ้ สมั ผสั รส กายสมั ผสั เยน็ รอ้ นออ่ นแขง็ ความรสู้ กึ จะเกดิ ขนึ้ ทใ่ี จของเรา คอื ความพอใจ
ความไม่พอใจ หรอื ความเฉยๆ เราจะมสี ตมิ ปี ญั ญาเหน็ อาการของจิตซึ่งเกดิ ขน้ึ ทใ่ี จ
เม่อื เรามีสตมิ ปี ญั ญาทีเ่ ห็นอาการของจิตทีเ่ กดิ ข้ึนที่ใจ จิตของเราจะแยกจากอารมณ์
โดยธรรมชาติ เมอ่ื จติ เรามสี มาธเิ ปน็ พน้ื ฐาน จติ เราจะแยกจากอารมณ์ จะเหน็ อาการ
ของจิต เหน็ อาการของอารมณ์ มีความเกิดขึน้ แล้วก็มคี วามดบั ไปเปน็ ธรรมดา
207
แต่ถ้าอารมณ์ซ่ึงเกิดขึ้น กระแสของจิตไหลไปกับกระแสของอารมณ์บางส่วน
แต่เมื่อเรามีสติมีสมาธิบ้าง จิตเราก็จะแยกจากอารมณ์ เมื่อเห็นอาการของจิตอันมี
ความโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไมพ่ อใจทง้ั หลาย สตปิ ญั ญาจะเขา้ ไปพจิ ารณา
มอี บุ ายปญั ญาเกดิ ขน้ึ ทีจ่ ะพจิ ารณาเห็นความไมเ่ ท่ยี งของรูป เสียง กลิน่ รส สัมผัส
ไม่วา่ จะเกดิ อารมณ์ความพอใจ ความไมพ่ อใจก็ตาม สติปญั ญาจะเหน็ ความไมเ่ ทีย่ ง
แลว้ กป็ ลอ่ ยวางอารมณน์ น้ั ออกไป เรากจ็ ะมสี ตติ ง้ั มน่ั อยใู่ นปจั จบุ นั จติ เรากจ็ ะวา่ งจาก
อารมณ์
ถ้าก�ำลังของสมาธิไม่เพียงพอ ไม่เป็นบาทฐานแห่งสติปัญญาท่ีจะพิจารณาละ
อารมณอ์ อกจากใจ เราทงั้ หลายพงึ กำ� หนดสตอิ ยกู่ บั กรรมฐานทเี่ ราภาวนา ไมต่ อ้ งสนใจ
ในอารมณ์อนั น้ัน เมอื่ เรากำ� หนดสติอย่กู ับกรรมฐานทเี่ ราภาวนาสัก ๒-๓ นาที หรอื
๕ นาที อารมณ์นั้นก็จะดับลงไปโดยก�ำลงั ของสมาธิ
เมอ่ื จติ สงบแลว้ อารมณซ์ งึ่ ไมม่ เี จา้ ของอนั เปน็ อาการของจติ เกดิ ขนึ้ แลว้ กด็ บั ไป
เป็นธรรมดา จิตเราก็จะมีสติอยู่กับปัจจุบัน ถึงแม้ว่าอารมณ์น้ันถูกละออกไปเพียง
ชว่ั คราวกต็ าม แตเ่ รามสี ตมิ สี มาธทิ ต่ี ง้ั มนั่ อยใู่ นปจั จบุ นั เมอ่ื มอี ารมณเ์ ปน็ ความจำ� ใน
เรื่องอดีตซึ่งปรุงแต่งข้ึนมาอีก เราก็สามารถที่จะก�ำหนดใช้สติปัญญาพิจารณาละ
อารมณอ์ อกจากใจของเราได้ เพราะสติสมาธมิ ีก�ำลงั มากขน้ึ สติปัญญากม็ กี �ำลงั ทจ่ี ะ
พิจารณาละอารมณ์ออกไปจากจิตใจของเราได้
การควบคุมกิเลสน้ัน เราควบคุมด้วยก�ำลังแห่งศีลในเบ้ืองต้นเป็นพื้นฐาน
ถ้าคนท้ังหลายซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่มีศีลที่จะควบคุมกายวาจาให้สงบแล้ว ไม่ว่า
จะมีความรู้เรียนสูงมากเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีตำ� แหน่งหน้าท่ีการงานสูงเท่าไรก็ตาม
เมอื่ ไมม่ ศี ลี ควบคมุ กเิ ลสคอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง เขา้ ครอบงำ� ใจ บางครงั้
มชี ่องทาง สตคิ วามฉลาดก็ไปทุจริต เมื่อมคี วามโลภเกดิ ข้นึ เมือ่ มคี วามโกรธ ความ
ไม่พอใจเกดิ ข้นึ ถา้ เรามีอ�ำนาจมาก เราก็ใช้ใหค้ นอื่นไปท�ำอันตรายร่างกายหรอื ชีวิต
ของบคุ คลอนื่ ไดเ้ มอื่ เราไมม่ ศี ลี ควบคมุ แตถ่ า้ เรามศี ลี ควบคมุ กายใหส้ งบ ควบคมุ วาจา
ของเราให้สงบ เมื่อมีความโลภเกิดข้ึน เราก็ไม่ไปเอาของบุคคลอื่น คุมไว้ด้วยศีล
208
เมอ่ื มคี วามโกรธเกดิ ขนึ้ เรากไ็ มท่ ำ� รา้ ยรา่ งกายของบคุ คลอน่ื ไมท่ ำ� รา้ ยชวี ติ บคุ คลอน่ื
เพราะเรามศี ีลเป็นปกติ
อำ� นาจของศลี นส้ี ามารถควบคมุ กายของเราใหส้ งบ ควบคมุ วาจาของเราใหส้ งบ
ถงึ แมว้ า่ จติ ใจของเรานนั้ ยงั มคี วามฟงุ้ ซา่ น มคี วามวนุ่ วายใจ เมอ่ื เราควบคมุ อกี ชนั้ หนงึ่
ดว้ ยการบำ� เพญ็ สมาธิ แมม้ คี วามโลภเกดิ ขนึ้ เรากม็ คี วามอดทนอดกลน้ั ตอ่ ความอยาก
ของกิเลสตณั หา ถ้าเราปรารถนาหาทรัพยภ์ ายนอก เราก็แสวงหาในทางที่ถกู ตอ้ งใน
ขอบเขตของศีลธรรม มีความอดทนมีความซื่อสัตย์สุจริตในการแสวงหาทรัพย์
ภายนอกดว้ ยความมสี ตมิ ปี ญั ญา พอใจในสง่ิ ทเี่ รามอี ยู่ คมุ ไวด้ ว้ ยศลี และดว้ ยสมาธิ
และด้วยปัญญา ก็สามารถท่ีจะควบคุมจิตใจของเราน้ันให้มีความสงบเยือกเย็นได้
อารมณค์ วามโกรธ ความไมพ่ อใจ กเ็ ชน่ เดยี วกนั เมอื่ เราคมุ ไวด้ ว้ ยศลี ในเบอื้ งตน้ แลว้
กค็ มุ ไวด้ ว้ ยสมาธอิ กี มคี วามอดทน มคี วามอดกลนั้ ตอ่ อารมณท์ ง้ั หลาย เมอื่ เราคมุ ไว้
ด้วยศลี ในเบ้อื งตน้ คุมด้วยสมาธิในท่ามกลาง สติปญั ญากเ็ ขา้ มาช่วยที่จะพิจารณา
เจรญิ เมตตาใหอ้ ภยั ซง่ึ กนั และกนั ละอารมณค์ วามโกรธความไมพ่ อใจออกไปจากจติ ใจ
ของเราได้
ศีลและสมาธิและปัญญานี้เป็นก�ำลังอันใหญ่ท่ีจะขับไล่กิเลส คือ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง ออกไปจากจติ ใจของเราได้ ถา้ เราไมม่ กี ำ� ลงั แหง่ ศลี สมาธิ และ
ปญั ญา ความโลภ ความโกรธ ความหลง กค็ รอบงำ� จติ ใจของเรา ใหใ้ จของเรานนั้ ตกเปน็
ทาสของกเิ ลส ตกเปน็ ทาสของอารมณไ์ มม่ ที สี่ น้ิ สดุ ใจของเรากต็ กอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจของ
กเิ ลส เพราะฉะนนั้ เราจะตอ้ งสรา้ งสมอบรมกองทพั ธรรม กองทพั แหง่ ศลี กองทพั แหง่
สมาธิ กองทัพแหง่ ปัญญา เพ่อื ขับไลก่ ิเลสใหอ้ อกไปจากจติ ใจของเรา
การทเ่ี ราใชช้ วี ติ อยใู่ นเพศฆราวาสนน้ั โดยปกตนิ นั้ ถา้ เราปรารถนาทจี่ ะแสวงหา
ความสขุ ในชวี ติ ของเรา เราควรทจี่ ะรกั ษาศลี ๕ ใหเ้ ปน็ ปกติ ถา้ เราปรารถนาทจ่ี ะชำ� ระ
กิเลสให้บรรเทาเบาบางไปจากจิตใจของเรา เราก็บ�ำเพ็ญสมาธิบารมีอันเป็นเหตุเป็น
ปจั จยั ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ สตปิ ญั ญาในการทจี่ ะพจิ ารณาละความโลภ ละความโกรธ ละความ
ยินดีในกามทั้งหลายให้บรรเทาเบาบางไปจากจิตใจของเราทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเรา
209
ท�ำเช่นนี้ ก็จะท�ำให้จิตใจของเราน้ันมีความสะอาดมีความบริสุทธิ์เกิดขึ้นทีละเล็ก
ทลี ะน้อย
เมอ่ื ใจเราเคยหลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในอตั ภาพรา่ งกายนวี้ า่ เปน็ ตวั ตนของเรา เรากใ็ ช้
สติปัญญาพิจารณาหาความจริงว่าร่างกายของเราน้ีเป็นร่างกายของเราจริงหรือไม่
เม่อื โรคภยั ไขเ้ จบ็ เกดิ ขึน้ เราบงั คบั บัญชาไม่ได้ ก็แสดงว่า ร่างกายนไ้ี ม่ใชจ่ ติ น้ี จติ นี้
ไมใ่ ชร่ า่ งกายน้ี เมอื่ รา่ งกายนแ้ี ปรเปลยี่ นไปหรอื แตกสลายไป ใจของเรากบ็ งั คบั บญั ชา
ไมไ่ ด้ เรากใ็ ชส้ ตปิ ัญญาของเราพจิ ารณาโดยแยบคายว่า ร่างกายของเรานป้ี ระกอบ
ไปดว้ ยธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ ประชมุ กนั ขน้ึ มาเพยี งชวั่ คราวเทา่ นน้ั มคี วาม
เกิดข้ึนมาแล้วก็มคี วามแปรเปล่ียนไป และมคี วามแตกสลายเป็นทีส่ ุด สง่ิ ท่ีเราคดิ ว่า
เราตาย เปน็ ความหลงในจิตใจของเรา เปน็ ความไม่รู้ของจติ ใจของเรา เพราะเมอื่ ใจ
ของเรานั้นเกิดข้ึนมามีอัตภาพร่างกายน้ี ความรู้สึกภายในจิตใจของเราท่ีหลงยึดมั่น
ถอื มัน่ ในรา่ งกายนวี้ า่ เปน็ ตวั ตนของเรา ทำ� ให้จิตใจของเรานัน้ กลัวกับความตาย
ถ้าเราใช้สติปัญญาอย่างน้อยๆ ค่อยๆ พิจารณาดูว่าชีวิตของทุกคนในโลกน้ี
ซงึ่ เกดิ ขนึ้ มานน้ั เมอ่ื เกดิ ขนึ้ มาแลว้ มใี ครไมต่ ายบา้ ง จะเปน็ พระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์
สาวก หรอื ครบู าอาจารยท์ งั้ หลาย หรอื กษตั รยิ ์ หรอื คนยากจนกแ็ ลว้ แต่ เมอ่ื มคี วามเกดิ
ขนึ้ มาแลว้ ยอ่ มมคี วามตาย หรอื ความแตกสลายลงไปเปน็ ทสี่ ดุ แลว้ เราทงั้ หลายทำ� ไม
จะตอ้ งกลวั ต่อความตายดว้ ย
ถา้ เราทงั้ หลายกลวั ความตายจรงิ เราไมต่ อ้ งการพบความตาย เรากค็ วรทจ่ี ะหาทาง
ทจ่ี ะไม่เกิดอีก เพราะถา้ เรามคี วามเกิดอกี ไม่วา่ จะก่ีภพกีช่ าตกิ ต็ าม เรากต็ อ้ งพบกับ
ความแก่ พบกบั ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย และพบกบั ความตาย เมอื่ เราไมป่ รารถนาทจ่ี ะพบ
กบั ความตาย เราก็หาทางที่จะไม่เกดิ อีกสิ หาทางท่ีจะไมเ่ กดิ อีก ดงั เช่น องคส์ มเดจ็ -
พระสัมมาสมั พุทธเจ้า หรือดังเช่นพระอรหนั ต์สาวกท้งั หลาย เพราะฉะน้ันเราตอ้ งทำ�
ความร้ใู หเ้ กิดขน้ึ เพ่อื ทจี่ ะแกค้ วามหลงหรือความเห็นผดิ ภายในจิตใจของเรา
210
การบำ� เพญ็ ศลี สมาธิ ปญั ญา เพอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ สตปิ ญั ญาความเหน็ ชอบ ความเหน็
ทถ่ี กู ตอ้ งในการทจ่ี ะพจิ ารณารา่ งกายของเรานใี้ หเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน
รา่ งกายของคนเราไม่วา่ หญงิ วา่ ชาย ประกอบไปด้วยธาตดุ นิ ธาตุน้ำ� ธาตุลม ธาตุไฟ
ประชุมกันขึ้นมาเพียงช่ัวคราวเท่าน้ัน มีความเกิดข้ึนมาแล้วก็มีความแปรเปล่ียนไป
และมคี วามเส่ือมสลายในทีส่ ดุ เรามคี วามร้เู ชน่ นีอ้ ยทู่ กุ คน แตเ่ รายงั ไมม่ คี วามเหน็ ท่ี
เกดิ ขน้ึ ภายในใจของเรา เพราะวา่ เราทง้ั หลายไมม่ ศี ลี ๕ เปน็ ปกติ ไมม่ สี มาธเิ ปน็ ทา่ มกลาง
สติปญั ญาความเหน็ ชอบนี้ไมเ่ กิดข้นึ
เมอื่ สตปิ ญั ญาความเหน็ ชอบไมเ่ กดิ ขนึ้ เรากไ็ มร่ จู้ กั การพจิ ารณากายในกาย หรอื
พจิ ารณารา่ งกายนใี้ หเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน เมอื่ เราไมม่ สี ติ ไมม่ ปี ญั ญา
ทจ่ี ะพจิ ารณากายในกายใหใ้ จเราเหน็ วา่ รา่ งกายนไี้ มเ่ ทย่ี ง ไมใ่ ชต่ วั ตน ใจเรากไ็ มป่ ลอ่ ย
วางความยึดมั่นถอื มน่ั ในกายตน เมอ่ื เราปรารถนาที่จะละความโลภ ละความโกรธ
ละความยินดีในกามท้ังหลายให้บรรเทาเบาบางลงไป เราทัง้ หลายต้องตัง้ ใจ มีความ
มุง่ หวงั ทจ่ี ะละความทุกขใ์ ห้ส้นิ ไปจากจติ ใจของเรา อย่าให้มีความทุกขเ์ กดิ ขน้ึ
ถ้าความทุกขเ์ กิดขน้ึ จากความโลภ เรากห็ าทางละออกไป ถ้าความทกุ ข์เกิดขึ้น
จากความโกรธ จากความอาฆาตพยาบาท เรากห็ าทางทจี่ ะใชส้ ตปิ ญั ญาละออกไป ไมว่ า่
ความทกุ ขอ์ นั ใดกแ็ ลว้ แต่ ไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ ทที่ อ้ งฟา้ หรอื แผน่ ดนิ ความทกุ ขท์ ง้ั หลายทง้ั ปวง
เกดิ ขน้ึ ทใ่ี จของเรา เมอื่ ความทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ ทใ่ี จของเรา พงึ มสี ตเิ ฝา้ ดใู จของเราใหด้ ี อยา่ ให้
จติ ใจของเรานน้ั มคี วามทกุ ขใ์ จ มคี วามไมส่ บายใจ ถา้ ใจของเรามคี วามทกุ ขใ์ จ มคี วาม
ไม่สบายใจ กแ็ สดงวา่ เปน็ สงิ่ ทีผ่ ดิ ปกติ เปน็ สงิ่ ที่ใจเราหลงยึดม่นั ถอื ม่นั ในอารมณ์ว่า
เปน็ ใจของเรา พงึ มสี ตมิ ปี ญั ญาทจ่ี ะแยกจติ ออกจากอารมณด์ ว้ ยการบำ� เพญ็ ศลี บารมี
บำ� เพญ็ สมาธบิ ารมี เพอ่ื ทจ่ี ะมสี ตมิ ปี ญั ญาทจ่ี ะกำ� หนดใหร้ ถู้ งึ ความทกุ ข์ กำ� หนดใหร้ ถู้ งึ
สาเหตทุ ใี่ หเ้ กดิ ทกุ ข์ พงึ กำ� หนดใหร้ ถู้ งึ ความดบั ความทกุ ข์ พงึ กำ� หนดใหร้ ถู้ งึ ขอ้ ประพฤติ
ปฏบิ ัตอิ ันเปน็ ไปเพ่อื ท่ีจะดบั ความทุกข์
211
พระพุทธองค์ท่านก็ทรงได้สอนชี้ทางบอกทางแก่พุทธบริษัทท้ังหลายแล้วว่า
ให้เราท้ังหลายบ�ำเพ็ญศีลบารมี สมาธิบารมี ปัญญาบารมี เพื่อท่ีจะละความโลภ
ละความโกรธ ละความทกุ ขใ์ หส้ น้ิ ไปจากจติ ใจของเรา เมอ่ื เรามกี ำ� ลงั แหง่ สตปิ ญั ญาที่
เกดิ ขนึ้ จากการบำ� เพญ็ ศลี บารมี สมาธบิ ารมี เพยี งแตว่ า่ เราเอาสตมิ าดอู ารมณภ์ ายใน
ใจของเรา เรากจ็ ะเหน็ อาการของจติ เหน็ อาการของกเิ ลส ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ทใี่ จของเรา เมอื่ มี
อารมณค์ วามโลภเกดิ ขน้ึ เรากม็ สี ตมิ ปี ญั ญาทจ่ี ะพจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ งของอารมณ์
ความโลภ หรอื ละความโลภออกไปจากจติ ใจของเราได้ พอใจในสง่ิ ทเี่ รามอี ยู่ แสวงหา
ทรัพย์ภายนอกตามสติปัญญาความสามารถของเราซ่ึงพึงจะแสวงหาได้ เม่ือมีความ
โกรธ ความไมพ่ อใจเกดิ ขน้ึ เรากม็ สี ตมิ ปี ญั ญาทจ่ี ะเจรญิ เมตตาใหอ้ ภยั ซงึ่ กนั และกนั
หาทางทจ่ี ะดบั ความโกรธ ความไมพ่ อใจ ใหส้ น้ิ ไปจากจติ ใจของเรา ไมใ่ ชว่ า่ เราจะเกบ็
จะกกั ขังอารมณ์ความโกรธ ความไมพ่ อใจ ไว้ในจติ ใจของเรา
คนท้งั หลายโดยมากชอบไปเพ่งโทษในกิริยาของบคุ คลอน่ื คนน้นั ก็ไมด่ ี คนน้ี
กไ็ มด่ ี เราชอบเห็นความไมด่ ขี องคนอืน่ เราไมค่ อ่ ยเหน็ ความไม่ดภี ายในใจของเรา
เพราะฉะนน้ั พงึ มสี ตภิ ายในใจของเรา ไมต่ อ้ งสนใจในบคุ คลอนื่ คนอน่ื เขาจะดี เขาก็
ไดด้ ี เขาจะไมด่ ี เขากไ็ ดส้ ง่ิ ทไ่ี มด่ ี เปน็ เรอื่ งของคนอนื่ เรอื่ งของเรานน้ั ตอ้ งทำ� จติ ใจของ
เรานนั้ ใหด้ ี ความคดิ ในใจของเราทคี่ ดิ วา่ คนอนื่ ไมด่ ี อารมณแ์ คน่ น้ั แหละคอื ความคดิ
ทไ่ี มถ่ ูกตอ้ ง เปน็ อารมณข์ องกิเลส เป็นอาการของจติ ซ่งึ เกิดข้ึนทใ่ี จ ถา้ เรามสี ตเิ ฝา้ ดู
ใจของเรา แมค้ วามคิดแค่เพยี งนอ้ ยนิดที่ว่าคนน้นั ไมด่ ี คนนี้ไมด่ ี เราตอ้ งละให้ได้
ตดั อารมณน์ นั้ ใหไ้ ดด้ ว้ ยการมสี ตมิ ปี ญั ญา พจิ ารณาละอารมณน์ น้ั ออกจากใจของเรา
ให้ใจเราวา่ งจากอารมณ์
ถา้ ไมม่ สี ตปิ ญั ญาทจ่ี ะกำ� หนดพจิ ารณาละอารมณอ์ อกจากใจของเรา กก็ ำ� หนดสติ
อยกู่ บั ลมหายใจเขา้ ออก หรอื กำ� หนดสตบิ รกิ รรมภาวนาวา่ พทุ โธ สกั ๒-๓ นาที หรอื
๕ นาที เดย๋ี วใจของเรานนั้ กส็ งบเยน็ ทำ� สติ ทำ� สมาธเิ ชน่ นอี้ ยเู่ สมอ ไมใ่ ชว่ า่ จะเกบ็ กกั
ขงั อารมณค์ วามโกรธ ความไมพ่ อใจเอาไว้ บางคนเกบ็ กกั ขงั อารมณค์ วามโกรธเอาไว้
ไมพ่ อใจเปน็ ชว่ั โมง เปน็ หลายๆ ชว่ั โมง เป็นวัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เกบ็ กกั ขังไว้
212
เปน็ ปี แลว้ กม็ าเกบ็ มานกึ มาคดิ กอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขค์ วามเรา่ รอ้ นเผาลนภายในจติ ใจ
ของเรา ความโกรธ ความไมพ่ อใจ คอื ความทกุ ข์ คอื ความเรา่ รอ้ นทเี่ ผาลนภายในจติ ใจ
ของเราให้เศรา้ หมอง
เราเหน็ ว่าความโกรธเปน็ ทุกข์ แลว้ เราจะเก็บความโกรธไว้ภายในใจของเราไว้
ทำ� ไม พงึ เจรญิ เมตตาให้อภยั ซงึ่ กนั และกันอย่เู สมอๆ พยายามท่ีจะมีสติ มปี ญั ญา
พิจารณาละความโกรธออกไปจากจิตใจของเราทุกๆ ขณะจิตที่มีอารมณ์นี้เกิดข้ึน
เปา้ หมายของเรา คอื ทำ� ลายกเิ ลสไมใ่ หก้ เิ ลสมอี ำ� นาจครองใจของเรา ถา้ เรามสี ตอิ ยใู่ น
ปจั จบุ นั เราจะเหน็ อารมณ์ อารมณค์ วามโกรธเกดิ ขนึ้ เราใชส้ ตปิ ญั ญาละออกไป ไมว่ า่
จะมคี วามพอใจ ความไมพ่ อใจ ในรปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั ตา่ งๆ กต็ าม สตปิ ญั ญา
ตอ้ งพิจารณาเห็นความไมเ่ ทยี่ งของอารมณท์ ง้ั หลาย มสี ติตัง้ มนั่ อย่ใู นปจั จุบนั มีสติ
เปน็ กลาง เปน็ อเุ บกขา
เมื่อจิตว่างจากอารมณ์ ถ้าเราปรารถนาที่จะละกิเลสให้บรรเทาเบาบางลงไป
การพจิ ารณาอารมณน์ นั้ ละออก ปลอ่ ยวางออกเพยี งชวั่ คราวเทา่ นน้ั แตต่ น้ ตอของกเิ ลส
ที่ก่อใหเ้ กดิ ความโลภ ความโกรธ ความยนิ ดีในกามทั้งหลาย คือความหลงแห่งใจ
ซ่ึงหลงยึดม่ันถือมั่นในอัตภาพร่างกายน้ีว่าเป็นตัวตนของเรา เห็นร่างกายของเราว่า
เป็นส่ิงที่สวยงาม จงึ เหน็ ร่างกายของคนอนื่ ว่าเป็นสิง่ ทส่ี วยงาม จึงมีวัตถสุ ิง่ ของเป็น
ของๆ ตน สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ นก้ี ลบั กลายกอ่ ใหเ้ กดิ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกดิ ขนึ้
ภายในจติ ใจของเรา
ถา้ เราปรารถนาทจี่ ะละกเิ ลสใหบ้ รรเทาเบาบางไปจากจติ ใจของเรา หรอื ทำ� ใหส้ น้ิ
ไปจากจติ ใจของเรา เราต้องทวนกระแสของจิต ทวนกระแสของกเิ ลส เข้ามาค้นคว้า
หาความจริงวา่ สงิ่ ท่ีเราหลงยดึ มนั่ ถอื มั่นในอตั ภาพร่างกายนี้ว่าเปน็ ตัวตนของเรานัน้
เปน็ เราจริงหรอื ไม่ ใชส้ ติปัญญายกรา่ งกายขน้ึ มาพิจารณา จะพจิ ารณา ผม ขน เลบ็
ฟนั หนงั หรอื อาการ ๓๒ หรอื พจิ ารณาสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ในเรอื่ งรา่ งกายนก้ี ไ็ ด้ หรอื จะ
พจิ ารณาอสภุ กรรมฐาน หรอื จะพจิ ารณาธาตกุ รรมฐาน พจิ ารณาใหอ้ ยใู่ นเรอื่ งรา่ งกาย
ของเราน้แี หละ พจิ ารณาใหเ้ ห็นความไม่เท่ียง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของกายนี้
213
ถา้ สตปิ ญั ญายกรา่ งกายของเราขน้ึ มาพจิ ารณาดว้ ยกำ� ลงั ของสมาธอิ นั เปน็ พน้ื ฐาน
ของจิต มีก�ำลังของสมาธิส่งเสริมแฝงอยู่ในสติปัญญา เมื่อเรายกร่างกายนี้ขึ้นมา
พจิ ารณา กจ็ ะเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน เหน็ ความเปน็ ปฏกิ ลู เหน็ ความเสอ่ื ม
ความไมเ่ ทย่ี งของกายนี้ สตปิ ญั ญานนั้ ตอ้ งพจิ ารณากายในกายนใ้ี หเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง
ความไมใ่ ชต่ วั ตน ในเบอื้ งตน้ นนั้ เมอื่ เหน็ ครง้ั แรกๆ อาจจะเกดิ ความสลดสงั เวช เกดิ ปตี ิ
เกดิ ขน้ึ และจิตวางการพิจารณาเขา้ สูค่ วามสงบของจติ เรยี กวา่ สมาธิอบรมปญั ญา
และปญั ญากอ็ บรมสมาธใิ หเ้ กดิ ขนึ้ เมอื่ จติ ออกจากกำ� ลงั ของความสงบ อยใู่ นอริ ยิ าบถ
ทัว่ ไปกต็ าม เราจะมสี ตติ ้งั มั่นอยูใ่ นปัจจบุ นั จติ อาจจะเปน็ หนึง่ เป็นเอกัคคตารมณ์
เปน็ เอกัคคตาจิต เมือ่ ตาเหน็ รปู หไู ด้ยนิ เสยี ง จมกู ดมกลนิ่ ลนิ้ สัมผัสรส กายสัมผสั
เยน็ รอ้ นออ่ นแขง็ เราจะรสู้ กึ วา่ จติ ของเรานน้ั ไมก่ ระเพอื่ ม หรอื ไมห่ วน่ั ไหวดว้ ยอารมณ์
ทัง้ หลาย เพราะเรามีสติ มสี มาธเิ ปน็ หน่ึงจากการพิจารณากายในกายเข้าส่คู วามสงบ
เราก็จะรู้จกั ว่าทางด�ำเนนิ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ จะเป็นเหตุปัจจัยเพ่ือท่จี ะละกิเลสได้
แนน่ อน
มรรคปฏิปทาเร่ิมด�ำเนินจากการบ�ำเพ็ญศีลเป็นพ้ืนฐาน บ�ำเพ็ญสมาธิเป็น
ท่ามกลาง สตปิ ัญญาจงึ จะเกิดข้นึ บคุ คลใดถ้าทรงศีล ๕ ให้เปน็ ปกติ หรือศีล ๑๐
เปน็ ปกติ หรอื ศลี ๒๒๗ เปน็ ปกติ บำ� เพญ็ ศลี เปน็ พนื้ ฐาน บำ� เพญ็ สมาธเิ ปน็ ทา่ มกลาง
มจี ิตเปน็ หนง่ึ เป็นเอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิต ทรงจิตอยู่ในปจั จุบนั มีสตมิ ีปญั ญา
ทจี่ ะเหน็ จติ เหน็ อารมณซ์ ง่ึ เกดิ ขน้ึ ทใ่ี จ กเ็ ชอื่ ไดว้ า่ อรยิ มรรคของโสดามรรคเรมิ่ ดำ� เนนิ
เรมิ่ ทำ� งาน เพราะศลี ทรงตวั สมาธทิ รงตวั สตปิ ญั ญากแ็ คลว่ คลอ่ งชำ� นาญ ชำ� นาญใน
การท่จี ะมีสตริ ู้เทา่ ทันอารมณ์ มปี ัญญาท่จี ะพิจารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ งของอารมณ์
สตปิ ญั ญาซง่ึ พจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ งของรปู รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผสั กจ็ ะปลอ่ ย
วางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในอารมณท์ งั้ หลายได้ เมอ่ื จติ วา่ งจากอารมณ์ กย็ กรา่ งกายของเรา
ขน้ึ มาพจิ ารณา ไมใ่ ชว่ า่ จะพจิ ารณาครง้ั หนงึ่ แลว้ จะหยดุ พจิ ารณา เมอื่ มกี ำ� ลงั ของสมาธิ
เกอ้ื หนนุ พอเปน็ บาทฐานแหง่ การพจิ ารณา กใ็ ชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณากายในกายนแี้ หละ
ในเบอื้ งตน้ นน้ั อาจจะพจิ ารณามรณานสุ ตกิ รรมฐานวา่ รา่ งกายนไี้ มใ่ ชจ่ ติ น้ี จติ นไ้ี มใ่ ช่
214
รา่ งกายน้ี ร่างกายนมี้ คี วามเกดิ ขนึ้ แลว้ ยอ่ มมคี วามแตกสลายในทสี่ ุด พิจารณาเพยี ง
แคน่ กี้ ส็ ามารถทจี่ ะทำ� ใหจ้ ติ นน้ั รธู้ รรมเหน็ ธรรมได้ ถา้ จติ ยอมรบั ถา้ จติ เชอื่ วา่ รา่ งกายนี้
ไมใ่ ชจ่ ติ นี้ หรอื พจิ ารณาอาการ ๓๒ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั ใหม้ สี ตปิ ญั ญายกรา่ งกาย
ของเราขนึ้ มาพิจารณา
ถา้ สตปิ ญั ญาซง่ึ ยกรา่ งกายของเราขนึ้ มาพจิ ารณาใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ช่
ตวั ตนของกายน้ี ถา้ ใจเราเหน็ ขนึ้ ทใี่ จของเรา เหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของกาย
น้ีโดยชัดเจน ใจของเราน้ันก็สามารถท่ีจะปล่อยวางความยึดม่ันถือมั่นในกายตนได้
เมือ่ โรคภยั ไข้เจ็บเบียดเบียน จติ ใจก็ไมห่ ว่ันไหว เมอื่ รา่ งกายแปรเปล่ยี นไป รา่ งกาย
จะแตกสลาย จิตใจก็ไม่สะดุ้งกลวั เพราะใจนี้เห็นแตกกอ่ นแตก เห็นตายกอ่ นตาย
ใจของเราจะปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในกายตนไดส้ ว่ น ๑ จาก ๓ สว่ น กเิ ลสอยา่ ง
หยาบจะถกู ชำ� ระออกไป ใจของเรานน้ั จะมคี วามเหน็ ชอบ มคี วามเหน็ ถกู ตอ้ ง ทถี่ กู ตอ้ ง
เกิดขึ้นมา รู้จักว่าการพิจารณากายในกายนี้จะเป็นหนทางที่จะด�ำเนินจิตไปเพื่อ
อริยมรรคอริยผลในเบ้ืองต้น และเป็นเหตุที่จะด�ำเนินไปในมรรคซึ่งละเอียดขึ้นไป
มคี วามเชอื่ มนั่ วา่ การบำ� เพญ็ ศลี สมาธิ ปญั ญา เปน็ เหตเุ ปน็ ปจั จยั เพอ่ื ทจ่ี ะละกเิ ลสให้
บรรเทาเบาบางลงไป หรอื ท�ำใหส้ ้นิ ไปจากจิตใจของเราได้
เมื่อเราเห็นว่าสติปัญญาซึ่งพิจารณากายในกายน้ีสามารถที่จะท�ำความโลภให้
บรรเทาเบาบางลงไป สามารถทจ่ี ะละความอาฆาตพยาบาทใหห้ มดสนิ้ ไปจากใจของเรา
ถงึ แม้ว่าจะมีความโกรธ ความไม่พอใจบ้างกต็ าม แตส่ ติปญั ญาเราจะเหน็ ว่าอารมณ์
ตา่ งๆ เบาบางลงไป ไมว่ า่ จะมคี วามพอใจ ความไมพ่ อใจในรปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั
ตา่ งๆ กต็ าม ใจของเรานน้ั กจ็ ะรจู้ กั วา่ อารมณท์ ง้ั หลายบรรเทาเบาบางไปจากจติ ใจของเรา
มอี ารมณค์ วามโกรธ ความไมพ่ อใจ เกดิ ขน้ึ สตปิ ญั ญากส็ ามารถทจ่ี ะพจิ ารณาไดง้ า่ ย
ละอารมณอ์ อกจากจติ ใจไดง้ า่ ย เมอ่ื จติ วา่ งจากอารมณ์ เรากม็ าพจิ ารณากายในกายท่ี
ละเอยี ดขึน้ ไป จะพิจารณาอาการ ๓๒ หรือสติปญั ญาซง่ึ ช�ำนาญในการพจิ ารณากาย
ในกายแล้ว กอ็ าจจะพิจารณาอสภุ กรรมฐานกไ็ ด้
215
บางคนทำ� สมาธเิ มอ่ื จติ สงบ ไมม่ นี มิ ติ บางคนทำ� สมาธจิ ติ สงบ มนี มิ ติ อสภุ กรรมฐาน
เกดิ ขนึ้ จะเปน็ นมิ ติ อสภุ ะภายนอกกต็ าม คอื รปู ภายนอก หรอื เปน็ นมิ ติ อสภุ ะภายใน
กต็ าม คอื นมิ ติ อสภุ ะในกายตน เรากส็ ามารถทจ่ี ะยกนมิ ติ อนั นน้ั ขน้ึ มาพจิ ารณาใหเ้ หน็
ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตนของสภาวะของอสุภกรรมฐานได้ สติปัญญาซ่ึง
พจิ ารณาโดยแยบคายอยเู่ สมอ กจ็ ะคอ่ ยๆ ปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในกายตนออก
ไปทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย การเจรญิ ศลี สมาธิ ปญั ญา กท็ รงตวั ศลี กท็ รงตวั สมาธกิ ท็ รงตวั
ละเอยี ดขึน้ สตปิ ญั ญากล็ ะเอยี ดขนึ้
อารมณข์ องกเิ ลสเม่อื ละเอยี ดข้นึ กต็ าม สติปัญญากจ็ ะเหน็ อารมณ์ของกเิ ลสท่ี
ละเอยี ดนัน้ สามารถพจิ ารณาละความโลภ ละความโกรธ ใหบ้ รรเทาเบาบางลงไปได้
ทำ� จิตใหว้ า่ งจากอารมณไ์ ด้ แมจ้ ะพจิ ารณากายในกายตน จะพจิ ารณาอสุภกรรมฐาน
หรอื พจิ ารณาสว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของรา่ งกาย สตปิ ญั ญากจ็ ะพจิ ารณาเหน็ ไดช้ ดั สามารถ
ที่จะปล่อยวางความยึดมั่นถือม่ันในกายตนได้ แม้ในเบื้องต้นพิจารณาปล่อยวาง
เพียงช่ัวคราวก็ตาม แต่เม่ือเราอยู่ในอิริยาบถทั่วไป ไม่ว่าตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง
จมูกดมกล่ิน ล้ินสัมผัสรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ความรู้สึกความพอใจ
ความไมพ่ อใจ หรือความร้สู กึ เฉยๆ ก็จะเกดิ ข้ึนแลว้ กด็ บั ไป เกดิ ข้นึ ไม่นานกด็ ับไป
สตปิ ัญญาก็จะระงบั อารมณ์กจ็ ะดับไปไดง้ ่าย
การพจิ ารณากายในกายตนนน้ั ไมใ่ ชพ่ จิ ารณาไมก่ ค่ี รงั้ กจ็ ะหยดุ ไมใ่ ชพ่ จิ ารณา
๑๐๐ ครง้ั หยดุ หรอื หลายรอ้ ยครงั้ หยดุ พจิ ารณาจนจติ อม่ิ จติ พอ พจิ ารณากายในกายน้ี
ถา้ จติ เตม็ รอบของการพจิ ารณากายในสว่ นกายทลี่ ะเอยี ดขน้ึ มา ถา้ จติ เหน็ ชดั ประจกั ษ์
ขนึ้ ท่ีใจ กจ็ ะปล่อยวางความยึดม่ันถือมนั่ ในกายตนในสว่ นที่ ๒ ความโลภกบ็ รรเทา
เบาบางลงไป ความโกรธกบ็ รรเทาเบาบางลงไป ความหลงในกายตนกบ็ รรเทาเบาบาง
ลงไป เมื่อเราเห็นเช่นน้ีว่าการบ�ำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหนทางที่จะท�ำให้ละ
ความโลภ ความโกรธ ความยนิ ดใี นกามทง้ั หลายใหบ้ รรเทาเบาบางลงไป เรากม็ คี วาม
เชอื่ มนั่ หนกั แนน่ ลงไปวา่ ถา้ เราพจิ ารณากายในกายสว่ นละเอยี ดไปแลว้ เรากส็ ามารถ
ทีจ่ ะละความยนิ ดีในกามท้ังหลายให้สนิ้ ไปจากจิตใจของเราได้
216
เมอื่ ความเชอื่ มนั่ เชน่ นอ้ี ยภู่ ายในใจของเรา เรากจ็ ะมคี วามมนั่ คงในศลี เปน็ ปกติ
บ�ำเพ็ญสมาธิให้ละเอียดข้ึน สมาธิก็จะละเอียดขึ้นไป สติปัญญาก็ละเอียดขึ้นไป
ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี งกระทบอารมณ์ อารมณเ์ กดิ ขนึ้ มาไมน่ าน สตปิ ญั ญาเหน็ ความ
เกดิ ดับของอารมณ์ หรืออารมณน์ ัน้ ไม่ดบั สตปิ ญั ญาก็จะพิจารณาละออกไปไดโ้ ดย
ไมย่ าก เพราะสตปิ ญั ญามคี วามชำ� นาญในการพจิ ารณาอารมณด์ ว้ ยความแคลว่ คลอ่ ง
ดว้ ยความชำ� นาญ เพราะสติ สมาธิ ตง้ั อยใู่ นปจั จบุ นั อารมณเ์ กดิ ขน้ึ กไ็ มส่ ามารถทจี่ ะหนี
ไปไหนได้ สตปิ ญั ญากจ็ ะพจิ ารณาท�ำลายหรือละอารมณอ์ อกไปจากใจได้
เม่ือจิตว่างจากอารมณ์ ก็พิจารณากายในกายส่วนละเอียด จะพิจารณา
อสุภกรรมฐานก็ตาม จะพิจารณาธาตุกรรมฐานก็ตาม สติปัญญาพิจารณาค้นคว้า
ละเอยี ดข้นึ ไปจนจิตเขา้ ไปสู่ความวา่ ง พจิ ารณากายในกาย ยกอสุภกรรมฐานขน้ึ มา
จิตกจ็ ะไหลไปสธู่ าตกุ รรมฐาน เขา้ ไปส่คู วามว่าง เขา้ ไปสคู่ วามวา่ งอย่ซู ำ�้ ๆ ซากๆ จน
สติปญั ญาพจิ ารณาจนรอบรใู้ นเรอ่ื งของกายเมอื่ ใด ถ้าอินทรยี บ์ ารมีเตม็ รอบของการ
บำ� เพญ็ ศีล สมาธิ ปญั ญา การพิจารณากายในกายกเ็ ตม็ รอบ
สติปัญญาซึ่งยกกายในกายขึ้นมาพิจารณา จะพิจารณาอสุภกรรมฐานก็ตาม
ธาตกุ รรมฐานกต็ าม ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน จติ นนั้ จะปลอ่ ยวางความ
ยดึ มั่นถอื มนั่ ในกายตนเข้าไปส่คู วามว่าง เม่อื ปล่อยวางความยดึ มนั่ ถือม่ันในกายตน
เข้าไปสู่ความว่างอยบู่ ่อยๆ จนสติปัญญารทู้ ว่ั ถงึ ท้ังกายท่เี ปน็ อดีต กายทเ่ี ปน็ อนาคต
จะแปรเปลย่ี นไป หรอื กายในกายปจั จบุ นั สตปิ ญั ญากจ็ ะเหน็ วา่ กายนที้ งั้ กอ้ นประกอบ
ไปดว้ ยธาตุดนิ ธาตุน�้ำ ธาตลุ ม ธาตุไฟ มีความเกิดขึน้ มาแล้วก็ย่อมมคี วามเสือ่ ม
มคี วามแตกสลายเป็นทสี่ ุด สติซ่ึงเหน็ กายในกายกจ็ ะเห็นสักแตว่ ่าเห็น
การพจิ ารณาทเ่ี ตม็ รอบของการพจิ ารณากายในกาย เมอ่ื เหน็ ชดั ประจกั ษข์ น้ึ ทใี่ จ
กจ็ ะหยดุ การพจิ ารณา หยดุ การพจิ ารณาของกายในกายตวั เอง หยดุ การพจิ ารณากายใน
กายของบคุ คลอนื่ วตั ถธุ าตทุ ง้ั หลายยง่ิ เปน็ เรอ่ื งเลก็ เพราะวตั ถธุ าตทุ ง้ั หลายประกอบไป
ดว้ ยธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ ทไ่ี มม่ วี ญิ ญาณครอง จติ นน้ั กจ็ ะปลอ่ ยวางความ
ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกายตน ในกายของบคุ คลอน่ื ในวตั ถธุ าตทุ งั้ หลาย ความโลภกด็ บั ลงไป
217
ความโกรธกด็ บั ลงไป ความยนิ ดใี นกามทง้ั หลายกด็ บั ไป จติ กว็ า่ งจากความยดึ มนั่ ถอื มน่ั
ในสง่ิ ท้งั หลายทัง้ ปวง เห็นก็สกั แต่วา่ เหน็ ได้ยินกส็ กั แต่วา่ ไดย้ นิ จิตนนั้ ไมต่ ิดอยู่ใน
ลาภสักการะทัง้ หลาย ไมต่ ิดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสรญิ ไม่ตดิ อยู่ในวตั ถธุ าตุท้งั หลาย
มองโลกใหเ้ ป็นของว่าง
โลกทงั้ หลายทงั้ ปวง ไมว่ า่ แผน่ ดนิ นจี้ ะเปน็ ทองคำ� ทงั้ หมด แผน่ ดนิ นจ้ี ะเปน็ เพชร
ทงั้ หมด กส็ กั แตว่ า่ กอ้ นกรวด กอ้ นดนิ กอ้ นหนิ ไปตามธรรมชาติ ไมเ่ ปน็ สงิ่ มคี า่ ขนึ้ ใน
จติ ใจของบุคคลนัน้ แตจ่ ิตนน้ั ก็ยังหลง ยังมีความหลงสว่ นละเอยี ดซึ่งยดึ มน่ั ถอื มนั่
ในจติ ในปจั จบุ นั วา่ เปน็ ตวั จติ ถงึ แมว้ า่ สตปิ ญั ญายงั ไมแ่ ยบคายพอ ยงั ไมล่ ะเอยี ดพอ
กย็ งั ไม่เห็นกเิ ลสสว่ นละเอยี ด กจ็ ะยดึ ทกุ สิ่งทกุ อย่างในปัจจบุ นั วา่ เปน็ ตัวจิต
สตปิ ญั ญาถา้ ไมล่ ะเอยี ดแลว้ กไ็ มส่ ามารถทจ่ี ะเหน็ กเิ ลสสว่ นละเอยี ดได้ เพราะ
มองไปไหนกว็ า่ งหมด จติ ไมต่ ดิ อยใู่ นความโลภ ความโกรธ ความยนิ ดใี นกามทง้ั หลาย
จติ วา่ ง แตจ่ ติ นนั้ ยงั ไมว่ า่ งจากการยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในจติ ซงึ่ เปน็ กเิ ลสสว่ นละเอยี ด เพราะ
จติ ดวงนยี้ ังมคี วามยึดมั่นถือม่นั ในความจำ� ได้หมายร้ทู ั้งหลายวา่ เป็นจิต มคี วามหลง
ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในเวทนา ความสขุ ความทกุ ข์ หรอื ความเฉยๆ โดยมากมกั เปน็ ความสขุ
เป็นอารมณ์ ซึ่งเป็นกุศลส่วนละเอียด หลงยึดมั่นถือมั่นในความคิดความปรุงแต่ง
ทุกส่งิ ทุกอยา่ งว่าเป็นตวั จิต
การรบั รทู้ ง้ั หลายทงั้ ปวง จติ ดวงนกี้ จ็ ะยดึ มน่ั ถอื มน่ั วา่ เปน็ ตวั จติ ยดึ ในปจั จบุ นั ธรรม
นแ่ี หละเปน็ ตวั จติ ทา่ นผรู้ จู้ งึ บอกวา่ ใหล้ ะสง่ิ ทเ่ี ปน็ อดตี ละสงิ่ ทเ่ี ปน็ อนาคต แมป้ จั จบุ นั
กต็ อ้ งละ ใหจ้ ติ ถอยออกมา ถอยออกมาหลงั สงิ่ ทคี่ ดิ วา่ เปน็ ผรู้ ู้ เพราะผรู้ ตู้ รงนเ้ี ปน็ ผรู้ ู้
ทส่ี ะอาด แตย่ งั ไมเ่ ปน็ ผรู้ ทู้ บี่ รสิ ทุ ธิ์ ยงั ประกอบดว้ ยความหลงสว่ นละเอยี ด เมอื่ จติ ใจ
ไมม่ สี ตปิ ญั ญาแยบคาย กจ็ ะหลงยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในปจั จบุ นั ธรรมวา่ เปน็ ตวั จติ ถา้ รา่ งกาย
แตกดบั ภพนรกกไ็ มม่ ี เปรต อสรุ กาย สตั วเ์ ดรจั ฉาน กไ็ มม่ ี มนษุ ยไ์ มม่ ที อี่ ยู่ เทวดา
ทกุ ช้นั ไมม่ ที ี่อยู่ พรหมเบอ้ื งตน้ เบ้อื งสงู เบอ้ื งกลาง ไม่มที ่ีอยู่ เมื่อรา่ งกายแตกดบั
จติ ประเภทน้ีต้องไปอยสู่ ุทธาวาสพรหม ซ่ึงเปน็ สว่ นของจติ ที่ละเอยี ดท่ีไม่มีหลกั ของ
กายที่ตอ้ งมาบังเกดิ
218
เมอ่ื จติ ถา้ รา่ งกายแตกดบั กต็ อ้ งไปอยใู่ นสทุ ธาวาสพรหม แตบ่ างทา่ นบำ� เพญ็ ศลี
สมาธิ ปญั ญา ดว้ ยความอดทนดว้ ยความเพยี รไมท่ อ้ ถอย กส็ ามารถทจ่ี ะใหม้ สี ติ มปี ญั ญา
เกดิ ขนึ้ รเู้ ทา่ ทนั กเิ ลสสว่ นละเอยี ดไดว้ า่ แมเ้ วทนาความสขุ สว่ นละเอยี ด กเ็ ปน็ สกั แต่
วา่ เวทนา มีความเกิดข้นึ แล้วก็มคี วามดับไปเป็นธรรมดา ความจำ� ไดห้ มายรู้ ก็สกั แต่
วา่ เปน็ อาการของจติ มคี วามเกดิ ขนึ้ แลว้ กด็ บั ไปเปน็ ธรรมดา การรบั รตู้ า่ งๆ กส็ กั แตว่ า่
เป็นอาการของจิต เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา สติปัญญาที่ละเอียดก็จะเห็น
แมส้ งั ขารการปรงุ แตง่ ของจติ ซง่ึ จติ คดิ วา่ เปน็ ตวั จติ นน้ั กไ็ มใ่ ชจ่ ติ สง่ิ ทค่ี ดิ วา่ เปน็ จติ นน้ั
กไ็ มใ่ ชจ่ ติ สงิ่ ทไ่ี มค่ ดิ นน่ั แหละจงึ เปน็ จติ เราทงั้ หลายกไ็ มท่ ราบความจรงิ วา่ ไอค้ วาม
นึกคิดทุกส่ิงทุกอย่างซ่ึงใจเราหลงคิดว่าเป็นใจของเรา ตัวนั้นแหละเป็นอวิชชาคือ
ความหลง
ความหลงของจติ ซงึ่ ไมก่ ลา้ ทจี่ ะทำ� ลาย ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะพจิ ารณาทำ� ลายสงั ขารของจติ
สงั ขารความนึกคิดปรงุ แตง่ ของจติ น่ันแหละเป็นอวชิ ชา ความหลง ความไม่รู้สว่ น
ละเอยี ด ซึ่งสตปิ ญั ญาถา้ ไมแ่ ยบคายก็ไมส่ ามารถที่จะเห็นความไมเ่ ทย่ี ง ความไม่ใช่
ตัวตนของสงั ขารอันเปน็ เหตุทกี่ อ่ ใหเ้ กิดภพชาติ ทใ่ี ดมีจุดมตี ่อมแห่งผู้รู้ ทนี่ น่ั คือภพ
คอื ชาติ ครบู าอาจารยท์ ง้ั หลายทา่ นไดก้ ลา่ วไว้ ทไี่ หนมจี ดุ มตี อ่ มแหง่ ผรู้ ู้ ทนี่ นั่ แหละคอื
ภพคอื ชาติ สงิ่ ทเี่ ราคดิ วา่ เปน็ ผรู้ ู้ กเ็ ปน็ ผรู้ ดู้ ว้ ยความหลงสว่ นละเอยี ด สงิ่ ทเ่ี ราจะรจู้ กั
เราตอ้ งถอยออกมากา้ วหนง่ึ ใหด้ วู า่ อะไรอยหู่ ลงั ผรู้ ู้ ผรู้ ทู้ ยี่ งั มกี เิ ลส คอื ยงั มคี วามยดึ มนั่
ถอื มน่ั ในเวทนาของจิต ในสัญญาของจิต ในสังขารของจติ ในวิญญาณของจติ ผรู้ ู้
ทงั้ หลายเหลา่ นน้ั คอื ภพ คอื ชาติ ยงั มภี พมชี าติ มจี ดุ มตี อ่ มแหง่ ผรู้ ู้ เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ
ใหม้ ีสติมีปญั ญาท่ลี ะเอียดโดยบำ� เพญ็ ศีล สมาธิ ปญั ญา สติปญั ญาละเอียดเข้าไป
ก็พจิ ารณาท�ำลาย
ทำ� ลายอะไร ทำ� ลายใจเจา้ ของ ไมไ่ ดท้ ำ� ลายกเิ ลสทไ่ี หน เพราะใจเปน็ กเิ ลสทง้ั ดวง
ก็ตอ้ งทำ� ลายใจเจา้ ของให้เห็นความไมเ่ ทย่ี ง ความไม่ใช่ตัวตนของใจน้ี จิตจึงจะเปน็
อสิ ระ จงึ จะเขา้ ไปสคู่ วามวา่ งโดยสมบรู ณ์ เปน็ ธรรมชาตขิ องจติ ทคี่ รบู าอาจารยก์ ลา่ ว
ไวว้ า่ สภาวธรรมคอื ธรรมชาตขิ องจติ ซงึ่ ปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในรปู ในเวทนา
219
ในสญั ญา ในสงั ขาร ในวิญญาณ เห็นความไมเ่ ทีย่ งของรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วญิ ญาณ เหน็ ความไมใ่ ชต่ วั ตนของรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ วา่ สง่ิ ทง้ั หลาย
ท้ังปวงเป็นแตเ่ พยี งสภาวธรรม มคี วามเกดิ ขึน้ และมีความดับไปเป็นธรรมดา
ถา้ ผใู้ ดบำ� เพญ็ ศลี สมาธิ ปญั ญา กส็ ามารถทจ่ี ะดำ� เนนิ จติ ไปเพอื่ ทจ่ี ะดบั ความโลภ
ดบั ความโกรธ ดับความทกุ ข์ ใหส้ น้ิ ไปจากจติ ใจของบคุ คลนนั้ ได้ พระพทุ ธองคจ์ ึง
ทรงตรสั ไวว้ า่ สขุ อนื่ ยง่ิ กวา่ ความสงบไมม่ ี คอื ใจดวงนซี้ งึ่ สงบจากกเิ ลส คอื ความโลภ
ความโกรธ ความทกุ ขท์ งั้ หลายทง้ั ปวงซงึ่ สน้ิ ไปจากดวงใจ จติ กเ็ ปน็ จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธขิ์ นึ้ มา
เป็นความรทู้ บ่ี ริสทุ ธิ์
เพราะฉะนน้ั พวกเราทง้ั หลายซง่ึ มศี รทั ธาในพระบวรพระพทุ ธศาสนา เมอื่ ไดย้ นิ วา่
จะมขี า่ วการบญุ การกศุ ลในทตี่ า่ งๆ เรากบ็ ำ� เพญ็ บารมบี ำ� เพญ็ คณุ งามความดตี ามรอย
ขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สรา้ งบารมที ง้ั ๑๐ ประการ บำ� เพญ็ คณุ งามความดี
พระพทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองค์ พระอรหนั ตส์ าวกทกุ ๆ พระองค์ ทา่ นตอ้ งบำ� เพญ็ บารมที ง้ั
๑๐ ประการ บำ� เพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา จงึ สามารถที่จะทำ� จิตให้บริสุทธไ์ิ ด้
เราทง้ั หลายเมอ่ื เราปรารถนาความสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ พงึ ละเวน้ เหตุ การกระทำ� เหตทุ ก่ี อ่
ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ ใหม้ สี จั จะภายในใจของเรา ใหม้ ศี ลี บารมภี ายในใจของเรา ใหบ้ ำ� เพญ็
แตค่ ณุ งามความดีไปจนตลอดชวี ติ ของเรา อยา่ ไปกระท�ำในสิง่ ที่ผดิ ศลี ธรรม อย่าไป
กระทำ� สาเหตทุ จี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ เพราะการกระทำ� สง่ิ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขย์ อ่ ม
ไดร้ บั ความทกุ ขท์ ง้ั ในปจั จบุ นั และภายภาคหนา้ เพราะฉะนนั้ เราทงั้ หลายเมอ่ื เรามงุ่ หวงั
ความสุขท่ีแท้จริง พึงประพฤติปฏิบัติเจริญรอยตามค�ำสั่งสอนของพระพุทธองค์ใน
การทจ่ี ะบำ� เพญ็ คณุ งามความดที ง้ั หลายทงั้ ปวงใหถ้ งึ พรอ้ ม บำ� เพญ็ ศลี ๕ ใหเ้ ปน็ ปกติ
มีกำ� ลงั ใจที่เข้มแขง็ ก็รกั ษาศลี ๘
เมอ่ื มโี อกาส มเี วลา กส็ ำ� รวมอริ ยิ าบถนงั่ สมาธิ เดนิ จงกรม อยใู่ นอริ ยิ าบถโดยทวั่ ไป
พงึ มสี ตติ ามรกั ษาจติ ของตน มสี ตกิ ำ� กบั จติ ใจเราไปตลอดทกุ ๆ อริ ยิ าบถ ไมว่ า่ ยนื เดนิ
นงั่ นอน หรอื ทำ� กจิ การงานอะไรกแ็ ลว้ แต่ มสี ตกิ ำ� กบั จติ ใจเราไปตลอด มสี ติ มปี ญั ญา
220
ทจ่ี ะดแู ลรกั ษาจติ ใจของเรา กลน่ั กรองสงิ่ ทไ่ี มด่ อี อกจากจติ ใจของเรา ถา้ เราทงั้ หลาย
ประพฤตปิ ฏบิ ตั พิ ฒั นาจติ ใจของเราไปเชน่ น้ี กจ็ ะทำ� ใหจ้ ติ ใจของเรานนั้ มคี วามสะอาด
มีความบริสทุ ธ์ิยิ่งๆ ขึ้นไป
เพราะฉะนน้ั ในวนั นพ้ี วกเราทงั้ หลายกไ็ ดร้ ว่ มกนั มาทงั้ พระภกิ ษุ สามเณร มาจาก
ทศิ ทง้ั ๔ มารว่ มกนั ณ พทุ ธสถานเขาดนิ แหง่ นี้ ซงึ่ ทา่ นอาจารยห์ มกู ไ็ ดด้ ำ� รทิ จ่ี ะสรา้ ง
พระเจดีย์ขึ้นบนยอดเขาแห่งน้ีเพ่ือที่จะพาญาติโยมทั้งหลายได้บ�ำเพ็ญทานบารมี
ไดบ้ ำ� เพญ็ บญุ กศุ ลทง้ั หลายทง้ั ปวง เปน็ การสรา้ งบารมี แมภ้ ายนอกกต็ าม แตก่ จ็ ะเปน็
เหตเุ ปน็ ปจั จยั ทพ่ี วกเราทง้ั หลายกจ็ ะไดส้ รา้ งคณุ งามความดี แลว้ กจ็ ะไดพ้ ฒั นาเพอ่ื ที่
จะไดร้ กั ษาศลี ทำ� สมาธิ เจรญิ ภาวนาในกาลตอ่ ไป เพราะฉะนน้ั การทพี่ วกเราทงั้ หลาย
ได้มีความมุ่งหวังในการท�ำความดี ก็จึงพยายามที่จะกระท�ำความดีให้เกิดข้ึนท่ีใจ
ของเรา
เราทง้ั หลายซงึ่ มาในทศิ ทงั้ ๔ กเ็ ชน่ เดยี วกนั อนั นเ้ี ปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ทจี่ ะมกี ารสรา้ ง
พระเจดียข์ ึ้น ณ สถานท่ีแห่งนี้ เพ่อื ที่จะกระจายพระบรมสารีริกธาตไุ ปยังสว่ นตา่ งๆ
ของโลกนี้ ก็ถึงแม้ว่าในเบ้ืองต้นน้ันเราก็ไม่ค่อยได้คิดถึงด้านวัตถุเท่าไร เพราะว่า
อยากจะให้พระเณรญาติโยมนัน้ บ�ำเพญ็ ภาวนา เพราะว่าจิตใจเปน็ ส่งิ สำ� คญั แต่เมื่อ
พระอาจารย์หมปู รารภทจ่ี ะกระท�ำขึน้ มา กท็ �ำไปตามสบาย ก�ำลังกาย กำ� ลังใจ กำ� ลัง
วตั ถธุ าตทุ ง้ั หลาย มาประกอบคณุ งามความดที งั้ หลายทง้ั ปวง เมอ่ื ทำ� ความดแี ลว้ กย็ อ่ ม
เปน็ เหตทุ กี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความสขุ ทงั้ ในปจั จบุ นั และภายภาคหนา้ การสรา้ งคณุ งามความดี
ก็เป็นบารมีอันหนึ่งท่ีจะสร้างก�ำลังใจของเราน้ันให้มีก�ำลังใจที่เด็ดเดี่ยว มีก�ำลังใจท่ี
เขม้ แขง็ ในการทลี่ ะความโลภ ละความโกรธ ละความทกุ ข์ ใหส้ นิ้ ไปจากจติ ใจของเรา
ในวันน้ีกใ็ หค้ วามคดิ เหน็ พอสมควร ก็ขอยุตเิ พียงเท่านี้
221
ก�ำลังแหง่ ศีล สมาธิ ปัญญา
วนั ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองกวั ลาลมั เปอร์ ประเทศมาเลเซยี
ภายในจิตวญิ ญาณของคนเราซ่ึงเกิดขึ้นมาน้ัน มีความหลงมีความไมร่ คู้ รอบง�ำ
จติ ใจของเรามานบั ภพนบั ชาตไิ มถ่ ว้ น ถา้ ไมม่ อี งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ บงั เกดิ
ข้ึนมาแล้ว เราทั้งหลายก็จะไม่รู้จักหนทางแห่งการด�ำเนินไปเพื่อความสุขที่แท้จริง
หรอื เพือ่ ความพ้นทกุ ข์ พระพทุ ธองค์ทา่ นได้ทรงมเี มตตาต่อสรรพสตั ว์ทัง้ หลาย ได้ชี้
ทางบอกทางใหพ้ วกเราท้งั หลายได้ร้จู ักหนทางแหง่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ันเป็นไปเพือ่
ความสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ บรรดาพระพทุ ธเจา้ ทล่ี ว่ งไปแลว้ กด็ ี ทย่ี งั ไมม่ าถงึ กด็ ี ทกุ ๆ พระองคน์ น้ั
ตอ้ งมาตรสั รใู้ นภพภมู ขิ องมนษุ ย์ ไมม่ พี ระพทุ ธเจา้ พระองคใ์ ดทจ่ี ะตรสั รใู้ นภพภมู ขิ อง
นรก เปรต อสรุ กาย สตั วเ์ ดรจั ฉาน เทวดาหรอื พรหม เพราะฉะนน้ั จงึ ถอื ไดว้ า่ ภพภมู ิ
ของมนษุ ยน์ เี้ ปน็ ภพภมู ทิ เ่ี ลศิ ทปี่ ระเสรฐิ ทส่ี ดุ เราทง้ั หลายเมอ่ื เกดิ ขนึ้ มาแลว้ เราสามารถ
ทจี่ ะพฒั นาจติ ใจของเรานนั้ ใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธดิ์ งั่ เชน่ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
และพระอรหันตส์ าวกท้ังหลายได้
จิตวิญญาณของเราซ่ึงมีความหลงความไม่รู้ครอบง�ำจิตใจของเรามานับภพ
นบั ชาตไิ มถ่ ว้ น ทำ� ใหจ้ ติ ใจของเรานนั้ ตกเปน็ ทาสของกเิ ลส ตกเปน็ ทาสของความโลภ
ความโกรธ ความหลง ครอบงำ� จติ ใจของเรา เราจะทำ� อยา่ งไรจงึ จะทำ� ใหจ้ ติ ใจของเรานน้ั
ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ท้ังหลายทั้งปวง เมื่อกิเลสคือ
ความโลภครอบงำ� ใจของเรา เมอื่ กเิ ลสคอื ความโกรธ ความไมพ่ อใจ ครอบงำ� จติ ใจของเรา
222
หรอื ความยนิ ดใี นกามท้ังหลายครอบง�ำจติ ใจของเรา เรากค็ ดิ พดู หรอื กระท�ำอะไร
ตามอำ� นาจของกิเลส เพราะขาดสตปิ ญั ญาที่จะมาดูแลรกั ษาจติ ใจของเรา จติ ของเรา
ไมม่ สี ตไิ มม่ ปี ญั ญาทจ่ี ะตอ่ สกู้ บั กเิ ลสภายในใจของเรา ภายใตจ้ ติ ใจดวงเดยี วนแี้ หละ
เปล่ียนไปได้สารพัดอยา่ ง
ถา้ เรามคี วามหลง ทำ� รา้ ยพระพทุ ธเจา้ ทำ� รา้ ยพระอรหนั ต์ ทำ� รา้ ยบดิ า มารดา จติ ดวง
นี้แหละก็ไปสู่ภพภูมิของนรก แม้ในปัจจุบันก็มีความทุกข์ความเร่าร้อนภายในใจ
มคี วามโลภ มคี วามโกรธ ทำ� รา้ ยรา่ งกายกนั ทำ� ลายชวี ติ กนั จติ เรากเ็ ปลย่ี นเปน็ เปรต
เปน็ อสรุ กาย เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉานได้ ในจติ ของเรานแี่ หละ ถา้ มคี วามหลงครอบงำ� เราถงึ ได้
กระท�ำในส่ิงท่ีผิดศีลธรรม กส็ ามารถท�ำใหจ้ ติ ใจของเรานั้นตกไปสู่อบายภูมิ หรือไป
สู่ภพภูมิที่ต�่ำได้ ถ้าเรามีความเห็นว่าการกระท�ำในสิ่งท่ีผิดศีลธรรมท้ังหลายท้ังปวง
เปน็ สาเหตทุ ีจ่ ะกอ่ ให้เกดิ ความทุกขต์ อ่ ตัวเรา ตอ่ ครอบครัวของเรา ต่อสงั คมของเรา
เราก็ต้องมคี วามอดทน มคี วามอดกลน้ั ไม่กระทำ� เหตุทีก่ ่อใหเ้ กิดความทกุ ข์
เมอื่ เรามสี ตมิ ปี ญั ญาเกดิ ขนึ้ มาบา้ ง ถา้ เรามคี วามศรทั ธาเชอื่ วา่ องคส์ มเดจ็ พระ-
สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดต้ รสั รดู้ ว้ ยพระองคเ์ องจรงิ คำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธองคน์ น้ั เปน็ ไป
เพอื่ ความสนิ้ ทกุ ขจ์ รงิ พระอรหนั ตส์ าวกทง้ั หลายผซู้ งึ่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั
กส็ ามารถทำ� จติ ให้บรสิ ทุ ธไ์ิ ด้จรงิ เมือ่ เรามคี วามเชือ่ เช่นนัน้ มพี ระพทุ ธเจ้าอยู่ในใจ
ของเรา มพี ระธรรมคำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธองคอ์ ยภู่ ายในจติ ใจของเรา มพี ระอรหนั ต์
สาวกทงั้ หลายอยภู่ ายในจติ ใจของเรา แลว้ เรามคี วามเชอื่ วา่ ถา้ เราทำ� ความดกี ใ็ หผ้ ลทด่ี ี
ทำ� สงิ่ ทไี่ มด่ ใี นสงิ่ ทผ่ี ดิ ศลี ธรรม กใ็ หผ้ ลคอื ความทกุ ข์ ถา้ เรามคี วามสำ� นกึ ภายในจติ ใจ
ของเราวา่ เราปรารถนาความดหี รอื ปรารถนาความสขุ เรากเ็ ลอื กละเวน้ การกระทำ� บาป
ทง้ั หลายทง้ั ปวง กระทำ� แตค่ ณุ งามความดที ง้ั หลายทง้ั ปวงใหถ้ งึ พรอ้ ม คนจะดไี ดก้ ต็ อ้ ง
รกั ษาศลี ๕ ใหเ้ ปน็ ปกติ รจู้ กั การกระทำ� คณุ งามความดี รจู้ กั รกั ษาศลี แลว้ กเ็ ปลยี่ นจติ
ให้ได้มนษุ ยส์ มบตั ิ
การได้มนุษยส์ มบตั ิ ปกตแิ ลว้ โดยทัว่ ไป เราเกดิ ข้นึ มาเรยี กวา่ “คน” บางทถี า้
จิตใจของเราน้ันยังไม่มีศีลเป็นปกติ ก็ยังไม่ได้มนุษย์สมบัติ เม่ือเราปรารถนาที่จะ
223
เปลยี่ นจติ ของเรานน้ั ใหเ้ ปน็ คนดี เรากร็ กั ษาศลี ๕ ใหเ้ ปน็ ปกติ ถา้ ปรารถนาทจี่ ะเปลย่ี น
จิตเปน็ เทวดา เรากม็ ีความเกรงกลัวละอายตอ่ บาป กระท�ำคณุ งามความดี รักษาศลี
ถา้ ปรารถนาทจี่ ะเปลยี่ นจติ ใหเ้ ปน็ พรหม เรากท็ ำ� ความดี รกั ษาศลี เจรญิ พรหมวหิ าร ๔
มีจิตใจมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ท้ังหลายเป็นปกติ มีความกรุณา
ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั มมี ทุ ติ าจติ พลอยยนิ ดไี ปกบั ความสขุ ความเจรญิ ของบคุ คลอนื่
ไมอ่ จิ ฉาพยาบาท มอี เุ บกขาเกดิ ขนึ้ ในจติ เหน็ คนมคี วามทกุ ขย์ ากลำ� บาก เราไมส่ ามารถ
ท่จี ะชว่ ยเหลืออะไรได้ กว็ างจิตให้เป็นอุเบกขา จิตใจเรามคี วามทกุ ข์ มีความฟ้งุ ซ่าน
ภายในจติ ใจของเรา เรากพ็ ยายามวางจติ ใหเ้ ปน็ อเุ บกขา ใหเ้ ปน็ กลาง บคุ คลใดเจรญิ
เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา เรยี กวา่ พรหมวหิ าร ๔ นอี้ ยภู่ ายในจติ ใจ สง่ิ ตา่ งๆ เหลา่ น้ี
จะเปน็ เครื่องหล่อเลีย้ งจิตใจของเราน้นั ใหม้ คี วามสงบเยือกเย็น ถ้าเราปรารถนาทจ่ี ะ
เปลย่ี นจติ ใหเ้ ปน็ พระอรยิ บคุ คล ตง้ั แตพ่ ระโสดาบนั ผล พระสกทิ าคามผี ล พระอนาคามผี ล
หรอื พระอรหตั ตผลกต็ าม เปน็ สง่ิ ซง่ึ ไมย่ ากลำ� บากเลยทเ่ี ราสามารถทจี่ ะพฒั นาจติ ใจของ
เราได้
สำ� หรบั ฆราวาสนนั้ คณุ ธรรมเบอื้ งตน้ พระโสดาบนั ผลและพระสกทิ าคามผี ลนนั้
เพยี งทรงศีล ๕ ให้เป็นปกติ มีจติ ใจไม่ลังเลสงสยั ในพระพุทธองค์ว่าตรสั ร้ไู ดจ้ รงิ
ไม่ลังเลสงสัยว่าค�ำส่ังสอนของพระพุทธองค์น้ันเป็นไปเพ่ือความพ้นทุกข์หรือเปล่า
ไมล่ งั เลสงสยั ในพระอรหนั ตส์ าวกทงั้ หลายผซู้ งึ่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามพระธรรมวนิ ยั นนั้
สามารถทจี่ ะทำ� จติ ใหบ้ รสิ ทุ ธไ์ิ ดจ้ รงิ คอื มศี รทั ธาเชอ่ื มนั่ ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
อยภู่ ายในจติ ใจเปน็ ปกตอิ ยเู่ สมอ มคี วามเชอ่ื ในกรรมวา่ ถา้ ทำ� ความดกี ใ็ หผ้ ลทด่ี ี ถา้ ทำ�
ความชั่วก็ให้ผลคือความทุกข์ มีสัจจะบารมี มีศีลบารมี คือมีศีล ๕ เป็นปกติ
ไมม่ เี จตนาที่จะลว่ งละเมิดศลี เมือ่ มสี ติมปี ัญญาพจิ ารณาเหน็ โทษของการกระทำ� ผิด
ทางกาย คอื ไม่เอากายไปเบยี ดเบียนชวี ิตผู้อน่ื ไม่เอากายไปลักทรัพย์ ไม่เอากายไป
หลอกลวงข่มเหงจิตใจผู้อ่ืน ไม่เอากายไปด่ืมของมึนเมายาเสพติดท้ังหลายท้ังปวง
อนั นก้ี ายกส็ งบ ไมเ่ อาวาจาไปพดู โกหกกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย วาจากส็ งบ คอื วา่ อยใู่ น
ขอบเขตของศีล ๕
224
สำ� หรบั สามเณรซง่ึ ประพฤตพิ รหมจรรยน์ น้ั กม็ กี ำ� ลงั ศลี บารมเี ขม้ แขง็ ขน้ึ กร็ กั ษา
ศลี ๑๐ สำ� หรบั พระผปู้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ กม็ ศี ลี บารมเี ขม้ แขง็ ขน้ึ กร็ กั ษาศลี ๒๒๗
ให้เป็นปกติเป็นพ้ืนฐานของจิตทใี่ ชศ้ ีลคมุ กายวาจาใหส้ งบ
เมอื่ เราปรารถนาทจี่ ะเปลยี่ นจติ เปน็ พระอรยิ บคุ คล เราตอ้ งเจรญิ มรรค คอื ศลี
สมาธิ ปญั ญา เปน็ ทางดำ� เนนิ ไปเพอ่ื ทจี่ ะละความโลภ ความโกรธ ความทกุ ข์ ใหบ้ รรเทา
เบาบางลงไปจากจติ ใจของเรา กำ� ลงั แหง่ ศลี ไมส่ ามารถทจี่ ะทำ� ลายกเิ ลส คอื ความโลภ
ความโกรธ ความหลง ภายในจติ ใจของเราได้ เพยี งแตร่ ะงับยบั ยัง้ ใหอ้ ย่ใู นขอบเขต
ของศลี ธรรมเทา่ นนั้ เราตอ้ งยกกองทพั ธรรม คอื ศลี สมาธิ ปญั ญา เขา้ ขบั ไลก่ องทพั
กเิ ลส คอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของจติ ใจของเรา กำ� ลงั แหง่ ศลี ไมเ่ พยี งพอ
ศลี รักษากายของเราใหส้ งบ รักษาวาจาของเราใหส้ งบ แตจ่ ิตใจของเราน้นั ยังไมส่ งบ
เมอื่ เรายกกองทพั ของศลี เขา้ ไปสเู่ มอื งใจแลว้ กต็ อ้ งยกกองทพั ของสมาธเิ ขา้ ไปครองใจ
ของเราดว้ ยการทำ� สมาธภิ าวนา ทำ� สตกิ ำ� หนดอยกู่ บั กรรมฐานบทใดบทหนง่ึ ใหจ้ ติ ของ
เราสงบเปน็ สมาธิ เมอ่ื กำ� ลงั ของสมาธเิ กดิ ขนึ้ จงึ จะกอ่ ใหเ้ กดิ กำ� ลงั กองทพั แหง่ สตปิ ญั ญา
เมอ่ื คนทง้ั หลายถกู กองทพั กเิ ลส คอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง เขา้ ครอบงำ� ใจ
เรากต็ อ้ งยกกองทพั ของศลี กองทพั ของสมาธิ กองทพั แหง่ ปญั ญา เขา้ ไปขบั ไลก่ เิ ลสให้
ออกจากจติ ใจของเรา
เมอื่ เราบำ� เพญ็ สมาธภิ าวนาอยเู่ สมอๆ ในอริ ยิ าบถนง่ั สมาธกิ ต็ าม หรอื ในอริ ยิ าบถ
เดนิ จงกรมกต็ าม เราพยายามทจี่ ะฝกึ หดั ใหม้ คี วามชำ� นาญในการทำ� จติ ใหส้ งบ เมอ่ื จติ
ของผูใ้ ดสงบแล้ว เมอื่ ออกจากอิรยิ าบถน่ังสมาธิ เดนิ จงกรม สามารถทีจ่ ะมีสตติ าม
รักษาจิตของตนในทุกๆ อิริยาบถ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง หรือนอน ก็ตาม ก็มีสติ
กำ� กบั จติ ใจไปตลอดใหต้ อ่ เนอ่ื ง เมอ่ื เราพยายามทจี่ ะทำ� สตทิ ำ� สมาธใิ หต้ อ่ เนอื่ ง พลงั ของ
สติปัญญาจะเกิดข้ึน เมื่อเรามีก�ำลังของสติ เพียงแต่ว่าเราเอาสติมาดูจิต ก็จะเห็น
อารมณค์ วามร้สู กึ ทุกสง่ิ ทุกอย่างเกดิ ขนึ้ ทีใ่ จของเรา ในเบอ้ื งตน้ น้นั กิเลสอย่างหยาบ
จะเห็นไดง้ ่ายทสี่ ุด คอื ความโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไม่พอใจในรูป
เสยี ง กล่นิ รส สัมผัส ถา้ เรามีสตจิ ดจอ้ งดูสิ่งท่ีเราเคยคดิ วา่ เปน็ จิต คอื มีสตจิ ดจอ้ ง
225
ดูส่ิงท่ีเราคดิ วา่ เป็นจติ เรากำ� หนดดู เราจะเหน็ อารมณ์ทกุ สิ่งทกุ อย่าง คือ ความโลภ
ความโกรธ เกดิ ขน้ึ ภายในจติ ของเรา ถา้ เราเจรญิ มรรค ยกกำ� ลงั แหง่ ศลี สมาธิ ปญั ญา
เข้าไปครองใจของเรา เข้าไปอยู่ภายในจติ ใจของเราแล้ว เข้าไปตอ่ สูก้ ับกิเลสซง่ึ มอี ยู่
ภายในใจของเรา อ�ำนาจของกิเลส คอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง กจ็ ะนอ้ ย
ลงไป
ศลี เหมอื นเสบยี ง สมาธเิ หมอื นกำ� ลงั สตปิ ญั ญาคอื อาวธุ แมม้ คี วามโลภเกดิ ขน้ึ
เมอื่ เราควบคมุ ไวด้ ้วยศีล เรากไ็ มล่ ว่ งละเมดิ ศีล ควบคมุ ไว้ด้วยสมาธิ คือก�ำลงั จติ
ซึ่งมีความอดทนอดกล้ันต่ออารมณ์ แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาละความโลภออกไป
จากใจของเรา ถา้ คนทงั้ หลายไมม่ ศี ลี เปน็ ปกติ เมอื่ มคี วามโลภเกดิ ขนึ้ กแ็ กง่ แยง่ ชงิ ดกี นั
ทำ� รา้ ยรา่ งกายกนั ทำ� ลายชวี ติ กนั เพอ่ื ตอ้ งการวตั ถสุ ง่ิ ของภายนอก เชน่ เดยี วกนั เมอ่ื มี
อารมณ์ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาทเกิดข้ึน ก็ทะเลาะกัน ท�ำร้ายร่างกายกัน
ทำ� ลายชวี ติ กนั เมอ่ื มศี ลี ควบคมุ โลภอยา่ งไร ฉนั กไ็ มเ่ อาของผอู้ น่ื มสี มาธคิ วบคมุ ใจ
มคี วามอดทนอดกลนั้ ตอ่ อารมณ์ มสี ตมิ ปี ญั ญาทจ่ี ะพจิ ารณาพอใจในสงิ่ ทตี่ วั เองมอี ยู่
ถา้ มสี ตมิ ปี ญั ญาแสวงหาทรพั ยภ์ ายนอก กม็ คี วามอดทน มคี วามซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ในการ
แสวงหาทรพั ย์ภายนอก
ดว้ ยกำ� ลงั แหง่ ศลี สมาธิ และปญั ญา สามารถทจ่ี ะพจิ ารณาละความโลภใหบ้ รรเทา
เบาบางไปจากจิตใจของเราได้ แมอ้ ารมณค์ วามโกรธ ความอาฆาตพยาบาท จะเรอื ง
อำ� นาจครองใจเรามานบั ภพนบั ชาตไิ มถ่ ว้ นกต็ าม แตเ่ มอื่ เรายกกองกำ� ลงั แหง่ ศลี เขา้ ไป
อยูใ่ นใจของเรา โกรธอย่างไร เราก็ไมท่ ำ� รา้ ยรา่ งกาย ไม่ทำ� ลายชีวติ ของบุคคลอน่ื
มคี วามโกรธมคี วามไมพ่ อใจอยา่ งไร กม็ คี วามอดทนดว้ ยกำ� ลงั ของสมาธิ มคี วามอดทน
อดกลน้ั ตอ่ อารมณค์ วามโกรธ ความไม่พอใจ ใชส้ ตปิ ัญญาเปน็ อาวุธเขา้ ไปโจมตี คือ
พิจารณาละความโกรธออกไปจากจิตใจของเราด้วยการเจริญเมตตา ให้อภัยซ่ึงกัน
และกัน โดยหาอุบายอันแยบคายในการท่ีจะพิจารณาท�ำลายอารมณ์ความโกรธให้
บรรเทาเบาบางไปจากจิตใจของเรา
226
ดว้ ยกำ� ลงั แหง่ ศลี เปน็ พนื้ ฐาน กำ� ลงั แหง่ สมาธเิ ปน็ ทา่ มกลาง เมอื่ สตปิ ญั ญาเกดิ ขนึ้
เราเอาสตมิ าดจู ิต กจ็ ะเหน็ อารมณ์ทุกส่ิงทุกอยา่ ง กิเลสอย่างหยาบ คือ ความพอใจ
ความไมพ่ อใจในรปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั เมอื่ สตติ งั้ มน่ั อยใู่ นปจั จบุ นั เมอ่ื ตาเหน็ รปู
หูได้ยินเสียง อารมณ์เกิดความพอใจ เกิดความไม่พอใจขึ้น สติปัญญาจะเข้าไป
พจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทย่ี งของความพอใจและความไมพ่ อใจ จติ ของเรานนั้ กจ็ ะปลอ่ ย
วางอารมณ์ออกไปได้ มีสติตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบัน เราก็สามารถท่ีจะท�ำให้จิตว่างจาก
อารมณไ์ ด้ ทำ� จติ ใหเ้ ปน็ อเุ บกขา ทำ� จติ ใหเ้ ปน็ กลางไดอ้ ยเู่ สมอ ไมว่ า่ อารมณห์ รอื อาการ
ของจติ จะเกดิ ข้ึนมาขนาดไหนกต็ าม สตปิ ญั ญากจ็ ะเหน็ จะพิจารณาละอารมณ์ออก
จากใจได้
เมอ่ื เรามสี มาธเิ ปน็ พนื้ ฐานของจติ มสี ตทิ ต่ี อ่ เนอื่ ง เรามปี ญั ญาทจี่ ะพจิ ารณาอารมณ์
ในทกุ ๆ อารมณ์ หรอื ทกุ ๆ ขณะจติ กต็ าม แตเ่ รากไ็ มส่ ามารถทจ่ี ะละอารมณใ์ หส้ นิ้ ไป
จากใจของเราได้ เพราะวนั นเี้ ราละอารมณค์ วามโลภออกไป วนั นล้ี ะอารมณค์ วามโกรธ
ออกไป พรงุ่ นี้ตาเห็นรูปใหม่ เสียงใหม่ กลนิ่ ใหม่ รสใหม่ สัมผสั ใหม่ กายสัมผสั
เยน็ รอ้ นออ่ นแขง็ ใหม่ กจ็ ะเกดิ ความรสู้ กึ ความพอใจ ความไมพ่ อใจขน้ึ มาอกี สตปิ ญั ญา
เราก็ต้องพิจารณาอย่างนีท้ กุ ๆ วัน
ก�ำลังของกิเลสซ่ึงจิตใจของเรานั้นมีความหลงยึดมั่นถือมั่นในอัตภาพร่างกาย
ว่าเป็นตัวตนของเรา จึงเห็นร่างกายบุคคลอื่นเป็นส่ิงที่สวยงาม จึงมีวัตถุสิ่งของ
เป็นของๆ ตน จึงกอ่ ใหเ้ กิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้น เม่ือเราจะ
ทวนกระแสแห่งจิต ทวนกระแสของกเิ ลส ตอ้ งยอ้ นกลบั มาพจิ ารณาร่างกายของเรา
หรอื พจิ ารณากายในกายตนใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของกายนี้ สตปิ ญั ญา
ซง่ึ ทรงตวั อยู่ในปจั จุบันดว้ ยกำ� ลังแหง่ ศลี และสมาธิ เมื่อมอี ารมณ์เกดิ ขนึ้ สตปิ ัญญา
กจ็ ะพิจารณาเหน็ ความไม่เทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ ัวตนของอารมณท์ ัง้ หลายท้งั ปวงอยเู่ ป็น
ประจำ� โดยสมำ�่ เสมอ ไมว่ า่ จะมอี ารมณค์ วามโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ
จะกอี่ ารมณ์ก็แลว้ แต่ซ่งึ เกดิ ข้นึ ท่ใี จ สติ สมาธิ ปญั ญา จะเข้าไปพิจารณาปลอ่ ยวาง
ความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในอารมณท์ งั้ หลายทง้ั ปวงออกไปจากจติ ใจของเราทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย
227
เมื่อจิตเราว่างจากอารมณ์ มสี ติ มสี มาธิ ต้งั อยู่ในปจั จุบัน เราก็ยกรา่ งกายของ
เรานี้ขึ้นมาพิจารณาค้นคว้าหาความจริงว่า ร่างกายนี้กับจิตวิญญาณน้ีเป็นอันหนึ่ง
อนั เดยี วกนั หรอื เปลา่ ทางดำ� เนนิ แหง่ ศลี สมาธิ ปญั ญา รวมตวั อยทู่ ใี่ จของเรา สตปิ ญั ญา
พจิ ารณากายในกายนใี้ หเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน ดว้ ยการพจิ ารณาอาการ
๓๒ กด็ ี อสภุ กรรมฐานกด็ ี หรือพิจารณาธาตุกรรมฐานก็ดี ใชส้ ติปญั ญาพจิ ารณาให้
เห็นความไมเ่ ที่ยง ความไมใ่ ช่ตัวตนของกายน้ี จติ กจ็ ะคอ่ ยๆ ปลอ่ ยวางความยดึ มั่น
ถือม่นั ในกายตนไปทีละเล็กละน้อย
ดว้ ยก�ำลงั แห่งอรยิ มรรค คือ โสดามรรค คอื กำ� ลงั ศลี สมาธิ ปัญญาน้ี ซ่งึ ถา้
เราไดพ้ จิ ารณารา่ งกายนใ้ี หเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน สกั ครงั้ หนง่ึ จติ จะเกดิ
ความสลดสงั เวช เกดิ ปตี ิ และเกดิ การปลอ่ ยวางความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในกายตนชวั่ คราว
เราจะไมล่ งั เลสงสยั ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เราจะรจู้ กั วา่ ถา้ เราบำ� เพญ็ ศลี ๕ เปน็ ปกติ
สามเณรกศ็ ลี ๑๐ พระศลี ๒๒๗ เปน็ ปกติ บำ� เพญ็ สมาธเิ ปน็ ทา่ มกลาง สตปิ ญั ญาซง่ึ
พจิ ารณาละวางอารมณค์ วามโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ ออกไป สตปิ ญั ญา
ซึ่งเข้ามาพิจารณากายในกายนใี้ ห้เห็นความไมเ่ ที่ยง ความไมใ่ ชต่ ัวตน จติ จะไมล่ งั เล
สงสยั ในหนทางในการด�ำเนนิ ทางจิต เม่ือศีล ๕ ทรงตัว สติสมาธิทรงตวั สติปัญญา
กจ็ ะคอ่ ยๆ พจิ ารณากายในกายนใี้ หเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน พจิ ารณาซำ�้ ๆ ซากๆ
นนั่ แหละ จนจติ เหน็ ชดั ประจกั ษใ์ จขนึ้ เมอ่ื ไรวา่ รา่ งกายนไี้ มใ่ ชจ่ ติ นี้ จติ นไี้ มใ่ ชร่ า่ งกายนี้
จติ จะปล่อยวางความยึดมัน่ ถอื ม่ันในกายตนได้สว่ นหน่ึงในเบอ้ื งตน้ จาก ๓ ส่วน
เมอ่ื จติ เหน็ ดว้ ยปญั ญาวา่ รา่ งกายนไ้ี มเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ชต่ วั ตน จติ ปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั
ถอื มนั่ ในกายตนอยา่ งหยาบไปไดแ้ ลว้ ความโลภกจ็ ะบรรเทาเบาบางลงไป ความอาฆาต
พยาบาทก็หมดสิ้นไปจากจิตใจ ความหลงซึ่งเคยยึดม่ันถือมั่นในอัตภาพร่างกายน้ี
ว่าเป็นตัวตนของเรานั้น ก็จะหมดสิ้นไปจากใจ จิตประเภทนี้จะไม่สะดุ้งกลัวต่อ
โรคภัยไข้เจ็บ จะไม่หว่ันไหวต่อมรณภัยท้ังหลาย เพราะจิตรู้เท่าทันตามความจริง
เหน็ แตกกอ่ นแตก เหน็ ตายกอ่ นตาย ตามสมมตุ ทิ างโลกเรยี กวา่ จติ ของบคุ คลนน้ั คอื
พระโสดาบนั ผล
228
ถา้ ไมพ่ อใจในสภาพจติ ซง่ึ เปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั ถา้ เราปรารถนาทจ่ี ะเปลยี่ นจติ ใหด้ ี
ยิ่งๆ ข้ึนไป เราก็บ�ำเพญ็ ศลี สมาธิ ปัญญา ตอ่ ไปนแี่ หละ ปรารถนาทจ่ี ะละกเิ ลสให้
บรรเทาเบาบางลงไปอีก กองทพั ศีล สมาธิ ปญั ญา ซ่ึงเข้าไปอยูภ่ ายในใจ ซึง่ ต่อสู้กับ
กองทพั กเิ ลส คอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง กจ็ ะตอ่ สใู้ นสนามของใจ อรยิ มรรค
ของสกทิ าคามมี รรคนจี้ ะพจิ ารณาอะไร กพ็ ิจารณาที่จติ น้ีทย่ี งั มีกเิ ลสทล่ี ะเอียดขึน้ ไป
คอื อารมณค์ วามโลภกย็ งั มอี ยู่ แตม่ คี วามพอใจในสงิ่ ทเ่ี รามอี ยู่ อารมณค์ วามโลภนน้ั
ก็น้อยลงไป อารมณ์ความอาฆาตพยาบาทหมดสิ้นไปแล้ว มีความไม่พอใจก็ตาม
แตส่ ตปิ ญั ญากส็ ามารถจะพจิ ารณาละไดง้ า่ ย อารมณค์ วามพอใจ ความไมพ่ อใจ ในรปู
เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั กม็ นี อ้ ยลง สตปิ ญั ญากจ็ ะเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน
ของอารมณไ์ ดง้ า่ ย มคี วามเกดิ ขน้ึ แลว้ กม็ คี วามดบั ไปเปน็ ธรรมดา การพจิ ารณารา่ งกาย
กจ็ ะละเอยี ดขน้ึ คอื จะพจิ ารณารา่ งกายเปน็ อสภุ กรรมฐานกด็ ี พจิ ารณาธาตกุ รรมฐานกด็ ี
กำ� ลงั แห่งศลี สมาธิ ปัญญา น้ัน ก็จะเข้าไปพจิ ารณากายในกายใหเ้ หน็ ความไม่เท่ียง
ความไมใ่ ช่ตัวตน
พระโสดาบนั ละความยดึ มน่ั ถือมัน่ ในกายตนได้ส่วน ๑ จาก ๓ ส่วน เมอ่ื พระ
สกิทาคามมิ รรคเจริญการพจิ ารณากายในกาย จะพจิ ารณาใหเ้ ห็นเปน็ อสภุ กรรมฐาน
หรือธาตุกรรมฐานก็ตาม พิจารณาให้เห็นความไม่เท่ียง ความไม่ใช่ตัวตนอยู่เสมอ
เมอื่ พจิ ารณาซำ�้ ๆ ซากๆ จนจติ เหน็ ชดั ประจกั ษข์ นึ้ ทใ่ี จเมอ่ื ไร จติ จะปลอ่ ยวางความยดึ มนั่
ถือมั่นในกายตนในส่วนท่ี ๒ อย่างกลางได้ เมื่อจิตปล่อยวางความยึดมั่นถือม่ัน
ในกายตนในส่วนที่ ๒ จาก ๓ สว่ น นน้ั ความโลภก็จะบรรเทาเบาบางลงไปอกี
ความไมพ่ อใจกน็ อ้ ยลงไปอกี ความหลงในกายตนกน็ อ้ ยลงไปอกี จติ กจ็ ะเปลยี่ นเปน็
พระสกิทาคามผิ ลปรากฏขึน้ ในใจตามสมมุติ
ถ้าเราปรารถนาท่ีจะละกิเลสท่ียังมีอยู่ภายในจิตใจของเราให้น้อยลงไปอีก
เราจะทำ� อยา่ งไร คนทงั้ หลายเวลาทำ� นา เขากห็ วา่ นกลา้ ขา้ ว ดำ� นา ปลกู ขา้ ว ในนานน้ั
เมอ่ื ถงึ ฤดเู กบ็ เกย่ี วขา้ วไปแลว้ ปตี อ่ ไปกห็ วา่ นกลา้ ขา้ ว ไถนา ไถดนิ หวา่ นกลา้ ขา้ ว ดำ� นา
ปลูกข้าว แล้วก็เก็บเก่ียวในแผ่นดินท่ีเดิมนั่นแหละ เพราะฉะน้ัน อริยมรรคของ
229
พระอนาคามิมรรคนี้ กพ็ จิ ารณากายในกายอย่อู ย่างเดมิ นีแ้ หละ ซึ่งเปน็ การพิจารณา
กายในกายสว่ นละเอยี ดทย่ี งั เหลืออยู่ในส่วนที่ ๓ แต่บคุ คลซึ่งจะเปลีย่ นจติ ให้เปน็
อรยิ มรรคของพระอนาคามมิ รรคนน้ั ตอ้ งเปลย่ี นจากศลี ๕ เปน็ กำ� ลงั แหง่ ศลี ๘ สามเณร
กท็ รงศีล ๑๐ พระกท็ รงศลี ๒๒๗ เปน็ ปกติ ศีลทรงตวั เปน็ ปกติ สมาธกิ ล็ ะเอียดข้ึน
สตปิ ญั ญากค็ มขนึ้ อารมณก์ ระเพอื่ มขน้ึ ทจี่ ติ บางทสี ตปิ ญั ญาจดจอ่ เหน็ อาการของจติ
เกดิ ขน้ึ กด็ บั ไปเปน็ ธรรมดา อารมณค์ วามโลภกน็ อ้ ยลงไป ความไมพ่ อใจกน็ อ้ ยลงไป
ความพอใจ ความไมพ่ อใจ ซง่ึ เกดิ จากรปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั กน็ อ้ ยลงไป สตปิ ญั ญา
จะเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของอารมณอ์ ยเู่ สมอ จติ จะเปน็ กลาง เปน็ อเุ บกขา
อยเู่ สมอ
เมอื่ จติ วา่ งจากอารมณ์ กำ� ลงั แหง่ ศลี สมาธิ ปญั ญา ซงึ่ มาพจิ ารณากายในกายน้ี
จะพิจารณาอสุภกรรมฐานก็ดี พิจารณาธาตุกรรมฐานก็ดี จิตจะทะลุเข้าสู่ความว่าง
บางทเี อาสตมิ ากำ� หนดดกู าย พจิ ารณาอสภุ กรรมฐานกท็ ะลเุ ขา้ สคู่ วามวา่ ง บางทเี อาสติ
มาก�ำหนดดูกาย พิจารณาธาตุกรรมฐาน จิตก็พิจารณาปล่อยวางเข้าไปสู่ความว่าง
ถา้ ตราบใดจติ ยงั ไมป่ ลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในกายตนสว่ นละเอยี ด จติ กจ็ ะใชส้ ติ
ปัญญาพิจารณากายในกายนี้ซ�้ำๆ ซากๆ สติปัญญาซึ่งเข้าพิจารณากายในกายน้ี
เห็นความไม่เท่ียงของกายท่ีเป็นอดีต เห็นความไม่เท่ียงของกายที่เป็นปัจจุบันท่ีจะ
แปรเปล่ียนไปในอนาคต เห็นความไม่เที่ยงของกายในกายในปัจจุบันว่าไม่เท่ียง
ไม่ใช่ตัวตน ในทสี่ ดุ แลว้ เม่อื จติ เห็นชดั ว่าร่างกายน้ีทเี่ ปน็ อดตี ไมเ่ ที่ยง รา่ งกายที่จะ
แปรเปล่ียนไปในอนาคตก็ไม่เที่ยง กายในกายในปัจจุบันก็ไม่เท่ียง ไม่ใช่ตัวตน
เมื่อเห็นจิตเห็นชัดประจักษ์ข้ึนที่ใจได้เม่ือไร จิตจะปล่อยวางความยึดม่ันถือมั่นใน
กายตนในสว่ นละเอียดในส่วนท่ี ๓ นไ้ี ดโ้ ดยส้นิ เชิง ผลที่จติ จะไดร้ บั ทบี่ งั เกิดขึน้ คอื
ความโลภดับลงไป ความโกรธดบั ลงไป ความยนิ ดใี นกามทัง้ หลายดับสนทิ
เม่ือจิตละความยึดม่ันถือมั่นในตัวตนได้แล้ว จิตก็จะไม่สะดุ้งกลัวต่อโรคภัย
ไขเ้ จ็บ ไม่หวนั่ ไหวต่อมรณภยั ทงั้ หลาย เมือ่ นั้นจติ จะว่างจากความยึดมัน่ ถอื ม่ันใน
กายตน ในกายบคุ คลอนื่ ในวตั ถธุ าตทุ งั้ หลายในโลกนี้ จติ จะเดนิ ไปในทา่ มกลางแหง่
230
ความสงบเยอื กเยน็ จติ ไมต่ ดิ อยู่ในวตั ถุธาตุท้งั หลายในโลกนี้ มองโลกทั้งหลายเป็น
ของวา่ ง แมแ้ ผน่ ดนิ ในโลกนจ้ี ะเปลย่ี นเปน็ ทองคำ� ทง้ั หมดหรอื เปลย่ี นเปน็ เพชรทง้ั หมด
กต็ าม จติ จะเหน็ ไมแ่ ตกตา่ งจากกอ้ นหนิ กอ้ นทราย จติ จะเหน็ วา่ เปน็ สกั แตว่ า่ ธาตตุ าม
ธรรมชาตเิ ทา่ นน้ั สรรพสง่ิ ทง้ั หลายในโลกน้ี ไมว่ า่ จะเปน็ ชวี ติ ของมนษุ ยแ์ ละสรรพสตั ว์
ท้ังหลายหรอื วัตถุธาตทุ ง้ั หลาย กป็ ระกอบไปด้วย ธาตดุ ิน ธาตุน�้ำ ธาตุลม ธาตไุ ฟ
เหมือนกันหมด จิตจะเข้าถึงสภาวะของธรรมชาติของจิตอันเป็นธาตุตามธรรมชาติ
เมอ่ื ละความโลภ ความโกรธ ความหลง บรรเทาเบาบางลงไปมากเทา่ ไร ความสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ
ก็จะปรากฏข้ึนภายในจิตใจของบคุ คลนั้น
แตจ่ ติ ของพระอรยิ บคุ คลเบอื้ งสงู คอื พระอนาคามผิ ลนนั้ กย็ งั ตดิ อยใู่ นปจั จบุ นั วา่
เป็นตัวจติ จติ นนั้ แมจ้ ะละความยดึ มัน่ ถอื มัน่ ในรปู กายไดก้ ต็ าม แต่ยังยดึ ม่ันถือมั่น
ในปจั จบุ นั วา่ เปน็ ตวั จติ ละสงิ่ ทเี่ ปน็ อดตี ละสงิ่ ทเ่ี ปน็ อนาคต แตจ่ ติ ยงั ตดิ อยใู่ นปจั จบุ นั
ดว้ ยกำ� ลงั แหง่ ศลี สมาธิ ปญั ญา ไดข้ บั ไลก่ องทพั ของกเิ ลส คอื ความโลภ ความโกรธ
ความยินดีในกามทั้งหลายออกไปจากจิตใจก็ตาม กษัตริย์วัฏจักรของกิเลสคือ
ความหลงอยา่ งละเอยี ดนน้ั กย็ งั หลบซอ่ นอยภู่ ายในใจ ถา้ ไมม่ สี ตปิ ญั ญาทลี่ ะเอยี ดพอ
กไ็ มส่ ามารถทจี่ ะทำ� ลายความหลงสว่ นละเอยี ดได้ กต็ อ้ งเจรญิ ศลี สมาธิ ปญั ญา ใหม้ น่ั คง
คอื เจรญิ อรยิ มรรค คอื อรหตั ตมรรค ใหล้ ะเอยี ดขน้ึ ไป มศี ลี เปน็ ปกติ มสี มาธลิ ะเอยี ดขนึ้
สติปัญญาก็ละเอียดตามไปด้วย ในระดับน้ี ถ้าเกิดบ�ำเพ็ญภาวนายังไม่ถึงท่ีสุด
รา่ งกายแตกดบั ไปแลว้ ภพภมู ขิ องจติ ในระดบั นจี้ ะไมม่ ภี พภมู ขิ องนรก เปรต อสรุ กาย
สตั วเ์ ดรจั ฉาน มนษุ ย์ เทวดา พรหมเบอ้ื งตำ่� ถา้ รา่ งกายแตกสลายไปในชว่ งนนั้ จะไป
เกดิ ในพรหมเบอื้ งสูง คือ ชนั้ สุทธาวาสพรหม และจะไปบรรลุอรหตั ตผลบนชน้ั ของ
พรหม
บคุ คลใดถา้ ปรารถนาท่จี ะท�ำให้กิเลสส้นิ ไปจากจติ ใจของเราเพ่อื ที่จะดับอวิชชา
คอื ความหลงนนั้ ตอ้ งมสี ตปิ ญั ญาทลี่ ะเอยี ดทจ่ี ะพจิ ารณาเหน็ เวทนา คอื ความสขุ ของจติ
สว่ นละเอยี ดนนั้ วา่ เปน็ อาการของจติ มคี วามเกดิ ขน้ึ มคี วามดบั ไปเปน็ ธรรมดา ความ
หลงของจติ ซ่ึงหลงยดึ มน่ั ถอื มั่นในความจ�ำได้หมายรู้ว่าเปน็ ตัวจติ ความหลงของจติ
231
ซงึ่ หลงยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งวา่ เปน็ จติ ความหลงของจติ
ซง่ึ หลงยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในการรบั รู้ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ผรู้ ทู้ ง้ั หลายวา่ เปน็ ตวั จติ อนั นนั้ ไมใ่ ชจ่ ติ
พระอนาคามผิ ล ยดึ วา่ เวทนาเปน็ จติ สญั ญาความจำ� ไดห้ มายรเู้ ปน็ จติ ยดึ วา่ สงั ขาร
ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ วา่ เปน็ จติ ยดึ วา่ ผรู้ กู้ ารรบั รตู้ า่ งๆ วา่ เปน็ ตวั จติ เมอ่ื ยดึ ถอื อาการ
ของจติ วา่ เปน็ ตวั จติ จงึ ไมส่ ามารถทจี่ ะมสี ตปิ ญั ญาทจ่ี ะเหน็ กเิ ลสซงึ่ อยทู่ ใ่ี จได้ เมอ่ื สติ
ปญั ญาละเอยี ดขน้ึ กายในกายนห้ี มดหนา้ ทแี่ หง่ การพจิ ารณาตงั้ แตเ่ บอื้ งตน้ แลว้ กเ็ หลอื
แตเ่ รอ่ื งของจติ สตปิ ญั ญาตอ้ งพจิ ารณาแยกเวทนา คอื ความสขุ สว่ นละเอยี ดนน้ั วา่ เปน็
เพียงอาการของจิต มีความเกดิ ขึ้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา แมค้ วามจ�ำไดห้ มายรู้
ซง่ึ จติ หลงคดิ วา่ เปน็ ตวั จติ นน้ั เมอ่ื สตปิ ญั ญาละเอยี ดกจ็ ะเหน็ วา่ ความจำ� ไดห้ มายรนู้ นั้
เป็นเพยี งอาการของจิต มคี วามเกดิ ข้นึ มาแล้วดบั ไปเปน็ ธรรมดา สงั ขารความนกึ คดิ
ปรงุ แตง่ โดยมากความปรงุ แตง่ ในเรอ่ื งไมด่ ใี นเรอ่ื งบาปอกศุ ลไมม่ อี ยแู่ ลว้ แตป่ รงุ แตง่
ในเรอ่ื งทเี่ ปน็ กศุ ล สตปิ ญั ญาซงึ่ ละเอยี ดกจ็ ะเหน็ วา่ ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ทง้ั หลายทงั้ ปวง
มีความเกดิ ข้ึนกม็ คี วามดบั ไปเปน็ ธรรมดา วญิ ญาณการรบั รู้วา่ เป็นผู้รนู้ ี้ กเ็ ปน็ เพียง
อาการของจติ มคี วามเกดิ ขนึ้ สตปิ ญั ญาทลี่ ะเอยี ดกจ็ ะเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ช่
ตัวตนของวญิ ญาณ หรือผรู้ ู้
จติ ทพี่ จิ ารณาเวทนาของจติ สญั ญาของจติ สงั ขารของจติ วญิ ญาณของจติ วา่ เปน็
เพยี งอาการของจติ มคี วามเกดิ ขนึ้ และมคี วามดบั ไปเปน็ ธรรมดา สตปิ ญั ญาจะพจิ ารณา
ซำ้� ๆ ซากๆ เม่ือสตปิ ัญญาหายสงสยั ในขันธท์ ัง้ ๔ อนั เป็นอาการของจติ สติปัญญาท่ี
ละเอียดนน้ั ก็จะมาเหน็ ใจตวั เองน่ันแหละเป็นอวิชชา
ใจตวั เองนน่ั แหละคอื ความหลง คอื ทอ่ี ยแู่ หง่ กษตั รยิ ว์ ฏั จกั ร ใจซงึ่ หลงยดึ วา่ ตรงนี้
เป็นผู้รู้ ครูบาอาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า ที่ใดมีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ ที่น่ันคือภพคือชาติ
ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า ใหด้ ูว่าอะไรอยู่หลงั ผรู้ ู้ ครูบาอาจารย์บางทา่ นบอกว่า
สงิ่ ทค่ี ดิ ไมใ่ ชจ่ ติ แตส่ งิ่ ทไ่ี มค่ ดิ นนั่ แหละจติ ครบู าอาจารยบ์ างทา่ นกลา่ วไวว้ า่ ของจรงิ
นง่ิ เปน็ ใบ้ ของพดู ไดน้ น้ั ไมจ่ รงิ ครบู าอาจารยบ์ างทา่ นกลา่ วไวว้ า่ ไมใ่ หต้ ดิ สงิ่ ทเ่ี ปน็ อดตี
ไมใ่ หต้ ดิ ส่ิงที่เป็นอนาคต ใหป้ ลอ่ ยวางอดีต ปลอ่ ยวางอนาคต ปลอ่ ยวางแมก้ ระท่งั
232
ปจั จบุ นั คอื สตปิ ญั ญาทลี่ ะเอยี ดนี้ จะเขา้ ทำ� ลายจติ ทเี่ ปน็ กเิ ลส อวชิ ชา ความหลง ซง่ึ เปน็
เพยี งอาการของจติ แยกจติ ใหเ้ ปน็ อสิ ระจากขนั ธท์ งั้ ๕ สตปิ ญั ญาซงึ่ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง
ของสงั ขาร กจ็ ะปลอ่ ยวางสรรพสงิ่ ทง้ั หลายทง้ั ปวงออกไปจากใจโดยธรรมชาติ ครบู า-
อาจารยท์ งั้ หลายจงึ กลา่ ววา่ เปน็ ธรรมธาตุ หรอื เปน็ ความรทู้ บี่ รสิ ทุ ธ์ิ คอื การดบั ความโลภ
ดบั ความโกรธ ดบั ความหลง ใหส้ นิ้ ไปจากจติ ใจของแตล่ ะบคุ คล พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั
ไวว้ า่ สขุ อนื่ ยง่ิ กวา่ ความสงบไมม่ ี จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ของคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธองคน์ น้ั
คอื การทำ� ใหแ้ จง้ ซึง่ พระนิพพาน
วนั นไ้ี ดก้ ลา่ วธรรมะตงั้ แตเ่ บอื้ งตน้ จนถงึ เบอ้ื งปลายทโี่ ยมทง้ั หลายอาจจะไมค่ อ่ ย
เขา้ ใจ หรอื ฟงั ไมร่ เู้ รอ่ื งกต็ าม แตพ่ ดู พอเปน็ แนวทางแหง่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หพ้ อได้
รจู้ กั หนทางแหง่ การดำ� เนนิ ไปเพอื่ ทำ� ใหแ้ จง้ ซง่ึ พระนพิ พานเทา่ นนั้ แหละ เพราะฉะนนั้
ใหโ้ ยมทงั้ หลายนำ� ไปพจิ ารณา และนอ้ มนำ� ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามกำ� ลงั สตปิ ญั ญาความ
สามารถของเรา กข็ อยุติแต่เพยี งเท่าน้ี
สาธุ สาธุ สาธุ
233