พระเจดยี แ์ ละพระอุโบสถ วัดบญุ ญาวาส จังหวดั ชลบรุ ี
วดั บญุ ญาวาสแหง่ นเ้ี จรญิ รงุ่ เรอื งมาจนบดั น้ี เพราะ
อาศัยศรัทธาญาติโยมที่มาจากทิศท้ังส่ี ผู้มีจิตศรัทธา
ถวายปจั จยั สี่ และถาวรวัตถุ เพือ่ ทำ� นุบ�ำรงุ และสบื ตอ่
พระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้
คงอยู่ตลอดไป
เราขอยุติการเขียนเร่ืองเกี่ยวกับประวัติของเราไว้
พอสงั เขปแตเ่ พียงเท่าน้ี
พระอธกิ ารอัครเดช (ตั๋น) ถริ จิตโฺ ต
135
พระธรรมเทศนา
พระถริ จติ โฺ ต หลวงพอ่ อัครเดช
137
มรรควถิ ี
๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖
คนทจ่ี ะบรรลมุ รรคผลในขนั้ เบอ้ื งตน้ น้ี จรงิ ๆ แลว้ ขนั้ ตอนในการบรรลมุ รรคผล
มนั มคี แู่ หง่ บรุ ษุ ๔ คู่ นบั เรยี งตวั บรุ ษุ ได้ ๘ บรุ ษุ คอื โสดามรรค โสดาผล สกทิ าคามมิ รรค
สกิทาคามผิ ล อนาคามมิ รรค อนาคามผิ ล อรหตั ตมรรค อรหัตตผล
ทีนี้ถ้าจะเอาทางไปเพ่ือบรรลุมรรคผล ตั้งแต่เบื้องต้นนี้ อันน้ีอริยมรรคของ
พระโสดาบนั จะเรม่ิ เดนิ ได้ ดำ� เนนิ ทางจติ นะ ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ถา้ ฆราวาสกต็ อ้ งศลี ๕ เปน็ ปกติ
ถา้ บางคนจะรกั ษาศลี ๘ ก็ได้ ถ้าสามเณรกศ็ ลี ๑๐ พระศลี ๒๒๗ อริยมรรคน้ี
ยงั ไมเ่ ดนิ นะนน่ั มศี ลี กอ่ น อรยิ มรรคนจ้ี ะสมบรู ณไ์ ดก้ ต็ อ่ เมอื่ มศี ลี ๕ เปน็ ปกติ แลว้ กม็ ี
สมาธิ เมือ่ มีศลี ๕ เป็นปกติแลว้ ก็มีสมาธิ คือต้องบำ� เพ็ญสมาธภิ าวนา เดนิ จงกรม
นงั่ สมาธทิ ำ� จติ ใหส้ งบ จะสงบอยา่ งละเอยี ดหรอื วา่ สงบมากสงบนอ้ ยกแ็ ลว้ แต่ อยา่ งนอ้ ย
ตอ้ งมาทรงอยใู่ นอปุ จารสมาธิ อนั ท่ี ๒ มสี มาธใิ นระดบั อปุ จารสมาธิ ทจ่ี ะเหน็ จติ เหน็
อารมณ์ เห็นกิเลสอยา่ งหยาบ กม็ ีความโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไม่พอใจ
ในรูป เสียง กลนิ่ รส สัมผัส อนั นีต้ ้องมสี ติมีปัญญาที่จะเหน็ และมปี ญั ญาทีจ่ ะ
พิจารณาละ
อนั นจ้ี งึ วา่ มศี ลี มสี มาธิ มปี ญั ญา เกดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั แลว้ ทรงใหไ้ ด้ ศลี ๕ กต็ อ้ ง
เป็นปกติ สมาธิก็ทรงได้ ทรงในระดับอุปจารสมาธิ และสติปัญญาน้ีต้องพิจารณา
138
อารมณไ์ ด้ มอี ารมณก์ พ็ จิ ารณาละวางได้ ใหใ้ จวางจากอารมณ์ และเมอ่ื วา่ งจากอารมณ์
อันนน้ั มรรคก็ยังไม่เดินนะ
มรรคจะเดินกต็ อ่ เมือ่ มสี ตสิ มาธิเปน็ ฐานของจิต แล้วยกร่างกายขึน้ มาพิจารณา
จะพจิ ารณามรณานสุ ติ หรอื อาการ ๓๒ หรอื อสภุ กรรมฐาน หรอื พจิ ารณาธาตกุ รรมฐาน
กแ็ ลว้ แต่ ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของกายนี้ ถา้ ใจเหน็ ครง้ั แรก เหน็ ใน
สมาธนิ ะ สตปิ ญั ญาสอนใจในสมาธิ เมอ่ื ใจเหน็ มนั จะเกดิ สลดสงั เวช แลว้ เกดิ ปตี ิ แลว้ เกดิ
การวางความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกายตนชว่ั คราวเขา้ สคู่ วามสงบ เมอ่ื ใจออกจากอริ ยิ าบถ
นง่ั สมาธิ เดนิ จงกรม จะมสี ตเิ ขม้ แขง็ จติ จะเปน็ อเุ บกขา แลว้ ตอนนจ้ี ะรเู้ ลยวา่ มรรคเรม่ิ
เดนิ แลว้
คอื มศี ลี เปน็ ปกติ มสี มาธเิ ปน็ ทา่ มกลาง มปี ญั ญาเปน็ ทส่ี ดุ แลว้ พจิ ารณาอนั นนั้ ปบ๊ั
เหน็ แลว้ ปลอ่ ยวาง แลว้ จะรแู้ ลว้ วา่ ถา้ เราพจิ ารณาอยา่ งนไ้ี ปเรอื่ ยๆ แลว้ จะทำ� ใหก้ เิ ลส
เบาบางไปจากจติ ใจเราได้ อนั นค้ี อื มรรคของพระโสดามรรคเรม่ิ เดนิ คอื ตอ้ งพจิ ารณา
กายในกายใหเ้ หน็ สักครั้งหนง่ึ ฉะนัน้ บางคนเห็นอาทติ ยห์ นึง่ แลว้ ก็ทิง้ ไว้ไมภ่ าวนา
อกี สองสามเดอื นไมเ่ หน็ อยา่ งนม้ี นั กไ็ มไ่ ด้ มนั ตอ้ งสามารถกำ� หนดไดเ้ รอ่ื ยๆ พจิ ารณา
กายในกายได้เร่ือยๆ ความไม่เท่ยี ง ความไมใ่ ช่ตัวตนน่ี เห็นแล้วปลอ่ ยวางไปเรอ่ื ย
ปลอ่ ยวางชว่ั คราว แลว้ ใจเหน็ เหน็ ในใจน่ี จนอนิ ทรยี บ์ ารมแี กก่ ลา้ เตม็ รอบมนั ถา้ เหน็
ในใจจริงๆ วา่ ร่างกายน้ไี ม่ใชจ่ ิตน้ี จิตนไ้ี ม่ใช่ร่างกายน้ี เมื่อใจปลอ่ ยวางความยึดมนั่
ถอื มน่ั ในกายตนอยา่ งหยาบ นจ่ี ติ กเ็ ปลยี่ นเปน็ พระโสดาผลขน้ึ มา จากอรยิ มรรคของ
โสดามรรคกเ็ ปน็ โสดาผล คอื เปลย่ี นตรงทวี่ า่ ใจเหน็ วา่ รา่ งกายนไี้ มใ่ ชจ่ ติ นี้ จติ นไ้ี มใ่ ช่
ร่างกายน้ี คือใจปลอ่ ยวางแลว้
แลว้ เมอ่ื บรรลโุ สดาผลนี่ ความโลภจะบรรเทาเบาบางลงไป ความอาฆาตพยาบาท
ไม่มี มีแตค่ วามโกรธ ความไม่พอใจ แต่จะละได้เรว็ ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในตัวตนน้ี
จะละไดเ้ รว็ นอ้ ยลงในขนาดในระดับที่ว่าโรคภยั ไข้เจ็บบังเกิดข้ึน จิตใจไม่หว่นั ไหว
ในระดับนนั้ นะ ร่างกายนจี้ ะแตกสลาย จติ ใจก็ไม่สะดงุ้ กลัว อนั นเี้ รยี กว่าจติ เขา้ สภู่ ูมิ
ของโสดาบันผล นี่โสดาบนั ผลจะปรากฏตรงน้ัน อนั นก้ี ็สบายแลว้ อันนี้ไมม่ ีชาตทิ ี่ ๘
139
เหน็ แตกกอ่ นแตก เหน็ ตายกอ่ นตาย อยา่ งชา้ ไมเ่ กนิ ๗ ชาติ อยา่ งกลางไมเ่ กนิ ๓ ชาติ
อย่างเข้มข้นน้ัน ถ้าร่างกายแตกดับในโสดาบันในชาติน้ี ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์น่ี
ถา้ เขม้ ขน้ นะ กท็ ำ� ใหแ้ จง้ ซง่ึ พระนพิ พานไดใ้ นชาตติ อ่ ไป อนั นห้ี มายถงึ คณุ สมบตั ขิ อง
พระโสดาบันผล
สว่ นพระสกทิ าคามมิ รรคน่ี กต็ อ้ งบำ� เพญ็ ศลี ตอ่ ไป ศลี ถา้ ฆราวาสกศ็ ลี ๕ สมาธนิ ี้
จะละเอยี ดขน้ึ เพราะวา่ อารมณม์ นั นอ้ ยลง อารมณภ์ ายในใจมนั นอ้ ยลง การบำ� เพญ็ สมาธนิ ้ี
หมายถึงเขาตอ้ งท�ำต่อเนื่องนะ ทำ� ตอ่ เนื่องทุกๆ วนั สมาธิทรงตัว สมาธิละเอียดข้นึ
สตปิ ญั ญากล็ ะเอยี ด มอี ารมณค์ วามโลภกล็ ะไดเ้ รว็ มอี ารมณค์ วามไมพ่ อใจกล็ ะไดเ้ รว็
และจติ วา่ งจากอารมณ์ กพ็ จิ ารณากายในกายอกี จะพจิ ารณามรณานสุ ติ หรอื อาการ ๓๒
กพ็ จิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมม่ ตี วั ตนไดง้ า่ ย พจิ ารณาไปเรอื่ ยๆ พจิ ารณาแลว้
กพ็ กั จติ ในความสงบ หรอื วา่ บางคนพจิ ารณาวนั น้ี พรงุ่ นไี้ มอ่ ยากพจิ ารณา มสี ติ มสี มาธิ
มจี ติ เปน็ อเุ บกขากไ็ ด้ พจิ ารณามะรนื นก้ี ไ็ ด้ แตถ่ า้ อยากพจิ ารณาพรงุ่ นอี้ กี กพ็ จิ ารณา
ได้อกี อย่างน้อยวันละครัง้ แต่บางคนเขาพิจารณาครัง้ หน่งึ น่ี เช่น พิจารณาวันนี้
จติ สงบแลว้ ใชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณากายในกายน้ี จะพจิ ารณาอาการ ๓๒ กด็ ี เหน็ ความ
เสื่อมความไมเ่ ท่ียง จะพจิ ารณาอสภุ กรรมฐานกด็ ี เหน็ ความเสือ่ มความไม่เท่ยี งปับ๊
จติ เขา้ ลงไปสอู่ เุ บกขา พอถอนออกมาปบ๊ั บางทมี ที รงสติ สมาธิ ปญั ญา ไว้ ๓ วนั ๗ วนั
คอื ไมอ่ ยากพจิ ารณา อนั นกี้ ไ็ ด้ อนั นไี้ มต่ อ้ งพจิ ารณา แตต่ อ้ งรตู้ วั เองวา่ ถา้ เมอื่ ไหรอ่ ยาก
พิจารณา ก็พิจารณาต่อไปอีก
อนั นมี้ รรคจะเดนิ ไปอยา่ งนี้ จะเดนิ ไปเรอื่ ย สกทิ าคามมิ รรคเขากจ็ ะเดนิ ไปเหมอื น
โสดามรรคน่ี แตล่ ะเอยี ดขน้ึ ศลี เปน็ ปกตเิ ลย ศลี ๕ นเี้ ปน็ ปกตเิ ลย ไมม่ เี จตนาทจ่ี ะลว่ ง
ละเมดิ ศลี สมาธจิ ะเรมิ่ ทรงตวั ดขี น้ึ สตปิ ญั ญากค็ มขนึ้ พจิ ารณากายในกายกล็ ะเอยี ดขนึ้
จะพจิ ารณาอาการ ๓๒ ใหเ้ หน็ เป็นปฏกิ ลู ก็ได้ พิจารณาอสุภกรรมฐานใหเ้ ห็นความ
เสอ่ื มความไมเ่ ทย่ี งกไ็ ด้ จะแยกแยะพจิ ารณาธาตกุ รรมฐานกไ็ ดน้ ถ้ี า้ พจิ ารณาอยบู่ อ่ ยๆ
เมื่อมีอารมณ์ก็พิจารณาอารมณ์ปล่อยวาง เม่ือจิตว่างจากอารมณ์ก็พิจารณาร่างกาย
พิจารณาบ่อยๆ จนมันเต็มรอบของมัน อินทรีย์บารมีแก่กล้าเต็มรอบ หรือเรียก
140
มรรคสมังคีรวมตัว จริงๆ มันเห็นแค่ขณะจิตเดียวนะ เห็นในจิตว่ากายน้ีไม่เท่ียง
ไมใ่ ชต่ วั ตน พจิ ารณาอสภุ กรรมฐาน ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี งความเสอื่ มไป หรอื วา่ พจิ ารณา
ส่วนใดส่วนหน่ึงของร่างกายให้เห็นความไม่เท่ียงความไม่ใช่ตัวตนน้ี เมื่อมันเต็ม
รอบมนั เหน็ ในใจปบ๊ั ขณะจติ เดยี วนะ มนั ปลอ่ ยวางปบุ๊ จติ มนั ละความยดึ มน่ั ถอื มน่ั
ในกายตนอย่างกลางได้ อย่างกลางได้อันน้ีก็เปลี่ยนจาก สกิทาคามิมรรค เป็น
สกทิ าคามผิ ล คทู่ ่ี ๒ เปน็ สกทิ าคามผิ ลปรากฏขน้ึ ตรงนที้ ำ� ใหค้ วามโลภบรรเทาเบาบาง
ลงไป ทำ� ใหค้ วามโกรธความไมพ่ อใจนอ้ ยลงไปอกี ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั ตนกน็ อ้ ยลง
ไปอีก
ทนี กี้ ารบำ� เพญ็ อนาคามมิ รรค น้ี ตอ้ งเปลย่ี นแลว้ ถา้ ฆราวาส ศลี ๕ ตอ้ งเปลยี่ น
เป็นศลี ๘ ก�ำลงั ของศลี ๕ ไปไมไ่ ด้ ต้องประพฤตพิ รหมจรรย์ เพราะตรงนี้ต้อง
ตดั กเิ ลส กเิ ลสทลี่ ะเอยี ดของการพจิ ารณากาย ตอ้ งชกั สะพานไมย่ งุ่ เกยี่ ว ตอ้ งประพฤติ
พรหมจรรย์ ถา้ เรารกั ษาศลี ๕ อยู่ ถา้ จะดำ� เนินจิตเป็นอนาคามิมรรคนี่ ตอ้ งเปลี่ยน
จากศลี ๕ เปน็ ศลี ๘ สว่ นสามเณรกท็ รงศลี ๑๐ ไว้ พระกศ็ ลี ๒๒๗ ไวเ้ ปน็ ปกตแิ ลว้
เมอื่ เปลยี่ นเปน็ ศลี ๘ แลว้ สมาธจิ ะละเอยี ดขน้ึ เพราะอารมณม์ นั นอ้ ยมากเลย บางที
อารมณ์จริงๆ แลว้ ความโลภมนั แทบไม่ต้องการอะไร เพราะว่าตอ้ งการแต่รู้ธรรม
เห็นธรรม แล้วย่ิงถ้าเป็นพระสงฆ์นี่ วัตถุธาตุในโลกท้ังหลายก็ไม่ค่อยปรารถนา
เพราะวา่ ทา่ นสละมาแลว้ แลว้ เรอ่ื งกเิ ลสกจ็ ะไปออกทางเรอื่ งปจั จยั ๔ จวี ร บณิ ฑบาต
เสนาสนะ ยารักษาโรค ก็มีแค่น้ันแหละ ทา่ นก็พิจารณาโดยแยบคายแล้วปล่อยวาง
อารมณค์ วามโกรธนม้ี นั กระเพอ่ื มขน้ึ มาปบ๊ั สตปิ ญั ญามนั เหน็ ปบ๊ั กล็ ะวางไดง้ า่ ย อารมณ์
มนั กระเพ่อื มนิดเดียว สตปิ ัญญามันเหน็ มันคม มนั ก็ละวางไดง้ ่าย เรอื่ งอารมณน์ ะ
ความพอใจไมพ่ อใจในรปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั มนั นอ้ ย นอ้ ยเพราะมนั ฝกึ ซอ้ มพจิ ารณา
ตง้ั แตม่ รรคโสดาบนั แลว้ โสดามรรค พจิ ารณามาเรอ่ื ย ฉะนน้ั อารมณม์ นั กระเพอ่ื มขนึ้
สตปิ ญั ญามนั เหน็ ปบ๊ั มนั กต็ ดั ขาด ขาด ขาด เมอื่ จติ วา่ งจากอารมณ์ พจิ ารณากายในกายน้ี
ตอ้ งละเอยี ดแลว้ พจิ ารณาอสภุ กรรมฐานเขา้ ไปสคู่ วามวา่ ง พจิ ารณาธาตกุ รรมฐานไปสู่
ความวา่ ง พิจารณาว่างเรอ่ื ยๆ ว่างเรอ่ื ยๆ
141
ทีน้ีถ้าเร่ิมการพิจารณากาย ย้อนมาต้ังแต่ทีแรก ถ้าพระโสดาบันพิจารณาแค่
มรณานสุ ตหิ รืออาการ ๓๒ ก็ได้ ถ้าละเอียดข้ึนไป มรรคของสกทิ าคามมิ รรค ก็เริ่ม
อสภุ กรรมฐาน ธาตกุ รรมฐาน ละเอยี ดขนึ้ ไป ซำ้� ๆ ซากๆ เขา้ ไป ถา้ มรรคของอนาคามมิ รรค
กจ็ ะพจิ ารณาอสุภกรรมฐานก็ดี ธาตุกรรมฐานกด็ ี เขา้ ไปสู่ความวา่ งเลย พิจารณาจน
ใจวา่ งจากการยดึ มัน่ ถือมน่ั ในกายตน พจิ ารณาใหว้ า่ งไปเรอ่ื ยๆ พิจารณากายปบ๊ั ว่าง
แลว้ มนั คลอ่ ง เพราะวา่ คลอ่ งมาตงั้ แตข่ น้ั ๑ ขนั้ ๒ พอขนั้ ๓ ปบ๊ั พจิ ารณากายในกาย
มนั คลอ่ งหมดเลย กำ� หนดอสภุ ะปบ๊ั ทะลไุ ปเลย กำ� หนดพจิ ารณาธาตปุ บ๊ั แตกกระจาย
ไปเลย มนั จะคลอ่ งมากเลย คลอ่ งมากไปเรอื่ ยๆ กำ� หนดไดเ้ รอื่ ยๆ ทนี ถ้ี า้ สตปิ ญั ญาคม
พิจารณาอยู่ประจ�ำน่ี มันจะมีความช�ำนาญมาก จะพิจารณาเมื่อไหร่ก็ได้ หลับตา
ก็พิจารณาได้ ลืมตาเห็นใครก็พิจารณาได้ แล้วแต่อุปนิสัยวาสนาของแต่ละบุคคล
อยา่ งบางทา่ นมองเหน็ คนกแ็ ตกเลย จะกำ� หนดกายนด่ี ว้ ยความชำ� นาญของการพจิ ารณา
อสุภะ กำ� หนดมาดกู ายก็แตกสลายไปเลยอยา่ งนี้ ถา้ กำ� หนดไปดหู นงั อยา่ งนี้ บางที
กท็ ะลไุ ปเลย มดุ เขา้ ไปในหนงั เน้ือ เอ็น กระดกู เขา้ ไปในโพรงกระดูกออกมาเลย
มนั เปน็ สภาวธรรมปรากฏขน้ึ ใหเ้ หน็ แลว้ สดุ ทา้ ยแลว้ นเ่ี หน็ เปน็ รา่ งกายปกติ สมมตุ วิ า่
หนงั นกี่ ไ็ มต่ อ้ งพจิ ารณาตอ่ เลย ตาเหน็ หนงั ปบ๊ั รู้ มนั สกปรกเลย รใู้ นใจเลย แตก่ อ่ นตอ้ ง
เปลย่ี นลอกหนงั ออก พจิ ารณาใหม้ นั ละเอยี ดเขา้ ไป พอจติ มนั ถอนออกมาเรอื่ ยๆ ปบ๊ั
เหน็ หนงั กร็ ู้ ความรมู้ นั จะปรากฏขนึ้ รเู้ ลยวา่ มนั ประกอบดว้ ยธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้� ธาตลุ ม
ธาตไุ ฟ แตไ่ มต่ อ้ งคดิ ไมต่ อ้ งอธบิ าย มนั รไู้ ปหมดเลย พอกำ� หนดดหู นงั กำ� หนดรปู้ บ๊ั
มนั จะทะลไุ ปหมดเลย จะเหน็ วา่ มนั ไมม่ อี ะไร เปน็ แตเ่ พยี งธาตธุ รรมชาติ และความเหน็
มนั จะเปล่ียนไปเรอ่ื ยๆ เห็นไปเร่อื ยๆ จนเหน็ ชดั
มนั ก็จะเห็นว่ากายที่ผา่ นพ้นมามนั ก็ไมเ่ ทย่ี ง กายที่จะแปรเปลย่ี นไปในอนาคต
มนั กไ็ มเ่ ทยี่ ง แลว้ มนั จะยอ้ นกลบั มาเหน็ กายในกายปจั จบุ นั กไ็ มเ่ ทย่ี ง ถา้ อนิ ทรยี บ์ ารมี
แกก่ ลา้ แลว้ เตม็ รอบของเขานะ เรยี กมรรคสมงั คปี รากฏ นขี่ ณะจติ เดยี วทใี่ จพจิ ารณา
กายในกาย ครงั้ สดุ ทา้ ยปบ๊ั ถา้ เหน็ ในจติ ลงไปพจิ ารณากาย ทะลไุ ปสคู่ วามวา่ งลงไปปบ๊ั
หลดุ ไปเลยนะ มนั จะเห็น เหน็ ในจติ วา่ กายน้ีไมเ่ ทย่ี ง ไม่ใชต่ ัวตน แลว้ มันปลอ่ ยวาง
กเิ ลสอยา่ งละเอยี ดของเรอ่ื งการพจิ ารณากายปบ๊ั วางสนทิ เมอื่ วางสนทิ ปบ๊ั จติ มนั กด็ บั
142
ความโลภ ดบั ความโกรธ ดบั ความยนิ ดใี นกามทงั้ หลาย ดบั สนทิ คอื วา่ วางการพจิ ารณา
แลว้ ทนี ม้ี นั กห็ ยดุ การพจิ ารณากายเลย หมดหนา้ ทข่ี องการพจิ ารณา เพราะวา่ มนั ไมร่ ู้
จะพจิ ารณาอะไรอกี แลว้ มนั เขา้ ใจหมดแลว้ ในเรอ่ื งรา่ งกาย อนั นผี้ ทู้ ผี่ า่ นทางน้ี เขาสมมตุ ิ
วา่ เป็น อนาคามผิ ล จากมรรคเปล่ยี นเป็นผล ทีนี้ความโลภดบั ลง ความโกรธดับลง
ความยนิ ดใี นกามทง้ั หลายดบั ลง เพราะความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในตวั ตนไมม่ ี ทนี จี้ ติ มนั ก็
เดนิ ไปทา่ มกลางความสงบเยอื กเยน็
มนั เดนิ ไปในทา่ มกลางความสงบเยอื กเยน็ อนั นผี้ บู้ รรลมุ รรคผลในขนั้ นใี้ หมๆ่
ใจสงบเยือกเย็นเหมือนไม่มีกิเลสเพราะว่าจิตมันว่าง ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
ในวัตถุธาตุทั้งหลาย ว่างจากความยึดม่ันถือม่ันในกายตนและในกายของคนอื่น
จติ มนั วา่ งเหมอื นไมม่ กี เิ ลส แตม่ นั กร็ วู้ า่ ยงั ไมถ่ งึ ทสี่ ดุ เพราะวา่ มนั ยงั มคี วามหลงสว่ น
ละเอียดอยู่ แต่มันหากิเลสไม่เจอ เพราะจิตมันละเอียด มันเหมือนไม่มีกิเลส
เพราะมันแทบไม่มีความทุกข์นะ ทุกข์จากความโลภไม่มี ทุกข์จากความโกรธไม่มี
ทกุ ขจ์ ากความยนิ ดีพอใจไมม่ ี มนั กไ็ มร่ ้จู ะทกุ ขจ์ ากอะไร แตใ่ จท่ีวา่ งน่ี ครบู าอาจารย์
วา่ มันมองอะไรไปว่างหมด มองคนทะลุไปหมด มนั กเ็ ห็นสักแตว่ ่าวัตถสุ ่งิ ของต่างๆ
ก็วางหมด จึงบอกว่า บางท่านว่า แผ่นดินทั้งหลายในโลกน้ีเป็นทองค�ำท้ังหมด
ก็ยังสักแต่ว่าเป็นธาตุธรรมชาติ เป็นเพชรทั้งหมด ก็ยังสักแต่ว่าเป็นธาตุธรรมชาติ
ไมต่ า่ งจากกอ้ นหนิ กอ้ นกรวดกอ้ นทราย มนั เปน็ แบบนนั้ แลว้ จติ ใจสงบเยอื กเยน็ มาก
ทงั้ วันท้ังคนื
จรงิ ๆ แลว้ การพบความสขุ ทแ่ี ทจ้ รงิ พบตง้ั แตโ่ สดาบนั แลว้ แตม่ นั กพ็ บความสขุ
ที่แท้จริงก็ละเอียดขึ้นไป พออนาคามิผลมันสุขสงบเยือกเย็นมาก บางทีเยือกเย็น
ในฌานสมาธิสมาบตั ิอะไรตา่ งๆ มนั สงบเยอื กเย็น มันไมม่ ีกเิ ลสโผล่ออกมา เพราะ
ไม่เห็นกิเลส เป้านิ่งน่ีตอนข้ันตอนที่เราพิจารณากายหยาบ หลับตาก็มองเห็นกาย
ลืมตาก็เห็นกาย มันพิจารณาได้ จะพิจารณาเม่ือไหร่ก็ได้ แต่เรื่องกิเลสในจิตท่ี
ความหลงสว่ นละเอยี ด มนั พจิ ารณาไมไ่ ด้ มนั ไมเ่ หน็ เหมอื นมนษุ ยล์ อ่ งหนแลว้ มาปบ๊ั
ก็หายไป ถ้าเป็นเรือรบน่ี ข้าศึกเรือศัตรูมาหรือเครื่องบินมา ก็จะเห็นในจอเรดาร์
143
มองเห็นยงิ ทำ� ลายได้ หมายถึงการพจิ ารณากาย แต่วา่ น่ดี ูจอเรดารไ์ ม่เห็นอะไรเลย
มันมาเหมือนมนุษย์ล่องหนเลย หายไปไม่ปรากฏขึ้นในใจ เพราะใจสงบเยือกเย็น
ด้วยฌานสมาบัติหรือสมาธิอะไรก็แล้วแต่ การปล่อยวางกิเลสอย่างหยาบอะไร
ก็แล้วแต่ มันสงบเยือกเย็น ทีนี้ใจจะมีอารมณ์กุศล คิดแต่ในแง่ท่ีดี เพราะเรื่อง
ความคิดที่ไม่ดีมนั ไม่มี คดิ แตแ่ งด่ ี น่คี ิดปรงุ แต่งแตเ่ ร่อื งทีด่ ี ปรุงแต่งไป แตว่ ่าใจ
ก็เหมอื นไมม่ กี เิ ลส ทนี ้มี ันจะพกั อยตู่ รงนัน้ นะ
ถ้าการดำ� เนินอรยิ มรรคของอรหตั ตมรรค ก็ต้องบำ� เพญ็ ศลี ถ้าฆราวาสกต็ อ้ ง
เป็นศีล ๘ ที่ทรงตัว เณรกศ็ ีล ๑๐ พระ ๒๒๗ ทรงตัวเหมอื นเดิม สมาธลิ ะเอียด
ขน้ึ นะ ตอ้ งละเอยี ดขนึ้ เพราะวา่ อารมณค์ วามโลภไมต่ อ้ งพจิ ารณา ความโกรธไมต่ อ้ ง
พจิ ารณา กายในกายตนไม่ตอ้ งพจิ ารณา อารมณม์ ันก็นอ้ ย ทีนี้กเิ ลสมันอยูท่ ี่ไหน
ความหลงของจิตก็ยึดตัวจิตน่ี ยึดปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมเป็นตัวจิต มันไม่ยึด
เรอ่ื งอดตี ไมย่ ดึ เร่อื งอนาคต ไม่ยดึ เรอื่ งอดตี นะ ไมย่ ึดสิง่ ที่ผ่านมา ละวางได้ ไม่ยึด
เรอื่ งอนาคต แต่ใจมันยงั ยดึ ปัจจบุ นั ยดึ ในปัจจบุ ันวา่ เป็นตวั จิต ส่งิ อะไรกแ็ ลว้ แต่
ทม่ี นั เกดิ ขนึ้ นะ มนั ยดึ เปน็ ตวั จติ เชน่ อารมณ์ ความฟงุ้ ซา่ น ในอารมณก์ ศุ ลกเ็ ปน็ จติ
จิตในระดับนี้เป็นจิตที่สะอาด แต่ไม่เป็นจิตที่บริสุทธิ์ เพราะยังมีความหลงของจิต
ท่ียึดมั่นถือมัน่ ในปจั จุบันวา่ เปน็ จติ จรงิ ๆ กต็ อ้ งละอดตี ละอนาคต และละปจั จุบนั
แตอ่ นาคามิผลละไมไ่ ด้ ละปัจจบุ ันไม่ได้ เพราะวา่ เหมือนเมลด็ พนั ธพ์ุ ชื นะ เอาเนือ้
มันออกไปหมดแล้ว เนื้อตายแล้ว แต่เมล็ดนี้ลมพดั ไปทิศต่างๆ มนั ยังเกดิ ได้ มนั ยัง
มียางมันเกดิ ได้ ทนี ี้ถา้ คนท่ีบรรลุอนาคามผิ ลนี้ ร่างกายแตกดบั ไปแล้ว มนั ยงั มยี าง
เหมอื นเมลด็ พนั ธพ์ุ ชื ไปเกดิ สทุ ธาวาสพรหมได้ มนั เปน็ แบบนน้ั ไปเกดิ ไดเ้ พราะมนั ยงั
มยี าง ทนี ถ้ี า้ จะไมเ่ กดิ ตอ้ งทำ� ยางนใี้ หต้ าย หมายถงึ เมลด็ ตอ้ งตาย ทนี ไี้ อต้ รงนแี้ หละ
จติ ไมต่ ดิ ในอดตี ไมต่ ดิ ในอนาคต แตม่ นั ตดิ ในปจั จบุ นั ปจั จบุ นั ทม่ี นั เหน็ อะไร
เป็นว่าง ไมม่ อี ะไรทีย่ ึดมั่นถอื มั่น จิตกว็ ่างๆ แตใ่ นจิตทีว่ า่ งน่ี มนั มีกเิ ลสทงั้ หมดเลย
เพราะวา่ อาการของจติ สว่ นละเอยี ดน่ี เวทนาของจติ สว่ นละเอยี ด ความสขุ สว่ นละเอยี ด
มันกย็ ดึ วา่ เปน็ จิต ความจ�ำไดห้ มายรู้ตา่ งๆ กย็ ดึ วา่ เปน็ จติ นี่ เวทนาของจิตก็ยึดว่า
144
เป็นจิต ความจ�ำได้หมายรู้คิดว่าเป็นจิต ความนึกคิดปรุงแต่งเร่ืองท่ีดีก็เป็นจิต
การรับรูส้ กั ว่าจติ ทีว่ า่ ผูร้ ูน้ ะ ไอผ้ รู้ ู้นี้ยงั เปน็ กเิ ลสอยู่ เป็นผู้รู้ทสี่ ะอาดแต่ยังไม่บรสิ ทุ ธิ์
ทีน้ีครูบาอาจารย์บางท่านจึงว่า ที่ใดมีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ ท่ีน้ันคือภพคือชาติ ผู้รู้นี้
เป็นผู้รู้ที่มีกิเลส เพราะว่าจิตตรงน้ีมันเอาตรงน้ีรวบเป็นของมันหมดเลยว่าคือเป็น
ใจท่ีสะอาด แต่ว่ามันคิดว่ามันมองไม่เห็นกิเลส มันยึดตรงนี้หมดเลย ละรูปได้
อย่างเดียว
ฉะนนั้ จงึ วา่ ตรงนเี้ วลาคนพดู สตปิ ฏั ฐาน ๔ บอกวา่ พจิ ารณากาย เวทนา จติ ธรรม
เรอ่ื งจติ เรอ่ื งธรรมไมต่ อ้ งพจิ ารณาหรอก ขนั ธ์ ๕ นี้ คนจะศกึ ษาตำ� ราแลว้ พจิ ารณาขนั ธ์ ๕
ไอ้ ๔ ขนั ธ์ ไมต่ อ้ งพจิ ารณาเลย ถา้ โสดาบนั มรรคของโสดาบนั หรอื สกทิ าคามี อนาคามี
ไม่ต้องคดิ ถงึ เลยพวกนี้ แตค่ นเราจะชอบพิจารณาตามหนงั สือ ขันธ์ ๕ พิจารณาไป
มนั จะเหน็ เปน็ เงาๆ เทา่ นน้ั แหละ ถา้ จะเหน็ จรงิ ได้ ตอ้ งมรรคของอรหตั ตมรรค จงึ จะ
เหน็ เวทนาของจติ สญั ญาของจติ สงั ขารจติ วญิ ญาณจติ ไดช้ ดั ไมอ่ ยา่ งนน้ั เหน็ ไมไ่ ด้
ถา้ เรอื่ งเอาการปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ นะในใจ ทนี ถี้ า้ เราศกึ ษาตำ� รา บางคนอยา่ งเชน่ เขาถามวา่
ถา้ พจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาทขาดไดไ้ หม นน่ั มนั ปรยิ ตั ิ เขามาแตง่ มาสมมตุ ขิ นึ้ มา แลว้ จะมา
ตดั ตรงไหนละ นใี่ นขนั้ นยี้ ดึ ตรงนเ้ี ปน็ จติ หมดเลย ยดึ ปจั จบุ นั วา่ เปน็ จติ มนั กไ็ มเ่ หน็
กิเลสซิ ไมเ่ ห็นกเิ ลสเพราะยึดว่าเปน็ จติ ของเรา เป็นจิตผู้รู้
จติ ผรู้ ู้ แตผ่ รู้ ตู้ รงนยี้ งั มกี เิ ลสไง ครบู าอาจารยจ์ งึ บอกวา่ ไมย่ ดึ อดตี ไมย่ ดึ อนาคต
ไม่ยึดปจั จุบัน แตต่ รงนอ้ี นาคามผิ ลยดึ ปจั จบุ นั ทีน้สี ติปญั ญาตอ้ งละเอยี ด เมอื่ ศีล
เป็นปกติ สมาธิละเอียดขึ้น สติปัญญาละเอียดปั๊บ จะเห็นการกระเพื่อมของจิต
การกระเพอ่ื มของเวทนาของจติ ความสขุ สว่ นละเอยี ดทม่ี นั ปรงุ แตง่ ขน้ึ ไป ปรงุ แตง่ ใน
เร่ืองท่ีดีน้ี ในเร่ืองฟุ้งซ่านในธรรมน้ี ก็น่ีมันเป็นกิเลส สติปัญญาต้องเห็นอาการนี้
กระเพอ่ื มขน้ึ เกดิ ขน้ึ ดบั ไป สตปิ ญั ญาละเอยี ดตาม กเ็ หน็ ความไมเ่ ทยี่ งของเวทนาของจติ
หรอื ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ความจำ� ไดห้ มายรู้ มนั กจ็ ะวาง วาง วางไป มนั กจ็ ะพจิ ารณา
ตรงนแี้ หละใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ของความจำ� ไดห้ มายรู้ สงั ขาร พจิ ารณาบอ่ ยๆ การจำ�
ผรู้ ตู้ า่ งๆ การรบั รตู้ า่ งๆ น้ี ทป่ี กตคิ นเขาเรยี กจติ วญิ ญาณนี้ เพราะจติ มนั มาเอาวญิ ญาณ
145
เปน็ ตวั จติ จติ วญิ ญาณเลยตดิ กนั จติ วญิ ญาณ เรยี กวา่ จติ มนั มใี นวญิ ญาณของคนทวั่ ไป
แตจ่ ติ ทม่ี ันถอยออกมา มันไม่มวี ิญญาณตดิ อยใู่ นจติ เปน็ จติ ที่บรสิ ทุ ธิ์ เปน็ จติ ของ
พระอรหันตน์ ี้ อนั นีม้ ันก็ไปยึด ไปยึดเข้าไปตรงนี้
ทนี ี้จะพิจารณาความนึกคดิ ปรงุ แต่ง เราจะพจิ ารณาทำ� ลายไดไ้ ง ถ้าทำ� ลายก็จะ
ไมเ่ หลอื อะไร คอื ถ้าท�ำลาย จติ มันจะเหลืออะไรละ่ ความนกึ คิดปรงุ แต่ง ถา้ ไมใ่ ช่เรา
แล้วจะมีอะไร คือความนึกคิดปรุงแต่งในเร่ืองท่ีดี สติปัญญามันต้องพิจารณา
ทำ� ลายหมด ตอ้ งเหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง คอื วา่ จรงิ ๆ นะ ครบู าอาจารยบ์ อกไวแ้ ลว้ กเิ ลสนะ
คือใจเราเป็นกเิ ลสทัง้ หมดเลย จติ อวชิ ชา ใจเป็นกิเลสทงั้ หมดเลย แต่ใจมนั หลงไง
มนั ยดึ ม่นั ไวไ้ ม่ปล่อยวาง ไม่ปลอ่ ยวางก็พิจารณาขนั ธท์ ง้ั ๔ ขนั ธ์นะ เวทนา สัญญา
สงั ขาร วญิ ญาณ ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนบอ่ ยๆ แลว้ ตอ้ งเหน็ ในจติ บอ่ ยๆ
จนเตม็ รอบมนั เหมอื นการพจิ ารณากายเตม็ รอบมนั จงึ จะตดั ขาด ครบู าอาจารยบ์ างทา่ น
จึงบอกว่า ที่ใดมีจุดมีต่อมผู้รู้ ที่น้ันคือภพคือชาติ ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นตรงน้ัน
เปน็ ผ้รู ู้ มันยงั ไม่บรสิ ุทธ์ิ มนั เปน็ ผู้รู้ท่ียังมคี วามหลงอยู่ ทา่ นให้ทำ� ลาย
ทำ� ลายส่งิ ทีเ่ รียกวา่ เป็นจติ ของเรา ท�ำลายไปมนั จะเหลอื ความรู้ท่บี รสิ ทุ ธขิ์ นึ้ มา
ครบู าอาจารยท์ า่ นถงึ วา่ มนั เปน็ ธรรมธาตทุ บ่ี รสิ ทุ ธิ์ อนั นค้ี อื ทางดำ� เนนิ ของมรรคและผล
ปรากฏขน้ึ ในการทว่ี า่ ตดั ความหลงทจี่ ติ หลงทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง หลงในขนั ธท์ ง้ั ๔ ขนั ธว์ า่
เป็นจิตนะ เพราะว่าจริงๆ แลว้ จิตไมม่ ีในรปู จำ� ไว้
จิตน้ีไม่มีในรูป เพราะมันวางแล้วไง วางรูป จิตก็อยู่นอกรูป แต่ว่าจิตของ
อนาคามผิ ล มนั ยดึ นว้ี า่ เปน็ จติ แตจ่ ติ ตอ้ งพจิ ารณาวา่ จติ มนั ไมม่ ใี นเวทนา จติ ไมม่ ใี น
สญั ญา จติ ไมม่ ใี นสงั ขาร จติ ไมม่ ใี นวญิ ญาณ จติ นเี้ ปน็ อสิ ระ ไมอ่ ยใู่ นขนั ธท์ งั้ ๕ จติ นี้
ไมม่ ใี นรปู ไมม่ ใี นเวทนา ไมม่ ใี นสญั ญา ไมม่ ใี นสงั ขาร ไมม่ ใี นวญิ ญาณ จติ นต้ี อ้ งเปน็
อิสระออกมา จึงเปน็ ธรรมชาตทิ ่ีบริสุทธ์ิ หรือเปน็ ความรทู้ ีบ่ รสิ ุทธขิ์ ึ้นมา จิตจึงไมต่ ดิ
ในอดตี ไมต่ ดิ ในอนาคต หรอื ในปจั จบุ นั หลวงพอ่ ชาวา่ ไมก่ า้ วไปขา้ งหนา้ ไมม่ าขา้ งหลงั
ไมห่ ยดุ อยู่ นคี่ ำ� ครบู าอาจารยเ์ ปน็ แบบนี้ มนั ถอนออกหมดเลย บางทคี รบู าอาจารยท์ า่ น
เคยไดย้ นิ ไหม รสู้ กึ เปน็ ภาษติ ของหลวงปหู่ ลา้ ใจใดไมต่ ดิ ในผรู้ เู้ ปน็ ตวั เหตุ ใจนอกเหตุ
146
ไมต่ อ้ งถามหา นอี่ นั นเี้ ปน็ ปรศิ นาธรรมนะ ใจใดมนั ตดิ ในผรู้ นู้ ้ี มนั รบั วญิ ญาณผรู้ เู้ ปน็
ตัวเหตุ มันก็เลยเปน็ ภพเป็นชาติ ใจนอกเหตไุ มต่ ้องถามหา ใจท่ีอยนู่ อกเหตุ มนั ไม่
ตอ้ งถามหาแลว้ มนั เปน็ ใจทบ่ี รสิ ทุ ธไ์ิ ง นตี่ วั น้ี แตใ่ จทยี่ งั มอี ยใู่ นพวกน้ี มอี ยใู่ นวญิ ญาณ
น่มี ันเป็นกเิ ลส มันยงั มีกิเลสอยู่ นม่ี ันมเี หตมุ ีผลอยู่ หลวงพ่อชา นอกเหตเุ หนอื ผล
ใหม้ นั นอกเหตเุ หนอื ผล มนั นอกเหตเุ หนอื ผล เหนอื ดเี หนอื ชว่ั นว่ี างนอกเหตเุ หนอื ผล
มนั เหนอื ไปกวา่ นน้ั อกี นอกเหตเุ หนอื ผล มนั ไมม่ อี ะไรพดู ถา้ มนั มที งั้ เหตุ เหตดุ มี นั กใ็ ห้
ผลดี เหตไุ มด่ กี ใ็ หผ้ ลไมด่ ี แตต่ อ้ งวางหมด แตก่ อ่ นกว็ างความไมด่ กี อ่ น ตอ่ ไปกว็ างสงิ่ ท่ี
ดดี ้วย ไมย่ ดึ ติดอะไรทง้ั สิน้ อันนมี้ รรคมันกด็ ำ� เนนิ ไป มรรคแล้วผลมันก็ปรากฏขนึ้
ถาม ความไหวของจติ
ตอบ ความไหวของจิตก็คือการกระเพ่ือมของพวกน้ี ของเวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ
ถาม จับได้ใชไ่ หมคะ
ตอบ สติปัญญาที่มันคม มันก็จะเห็น ท่ีครูบาอาจารย์ท่านว่าสติปัญญาอัตโนมัติ
แตว่ า่ ตอ้ งเหน็ บอ่ ยๆ จนอนิ ทรยี บ์ ารมแี กก่ ลา้ เตม็ รอบของมนั แลว้ เหน็ ในจติ ปบ๊ั
มนั ขาด ขาดถงึ จะวางได้ เหมอื นกายเหน็ กายนี้ ถา้ มนั ไมเ่ หน็ เตม็ รอบ มนั กไ็ มข่ าด
ถ้าขาด มนั ก็วาง วาง จติ มันก็ปลอ่ ยวาง
ถาม กายมันเหน็ ง่ายกว่า
ตอบ กายเหน็ งา่ ยซิ หลบั ตากน็ กึ เหน็ ลมื ตาเหน็ แตว่ า่ กเิ ลสมนั อยทู่ ใี่ จ ใจทคี่ รบู าอาจารย์
มกั พูด ใจเป็นอวชิ ชา ใจมนั เป็นกเิ ลสหมดเลย แตว่ ่าเราสงวนมันไว้ ไม่กลา้
พิจารณาสังขาร ถ้าพิจารณาสังขารแล้วมันจะเหลืออะไร พวกเราคิดว่าใจนี้
เรากต็ อ้ งนกึ คดิ ใชไ่ หม นกึ คดิ ปรงุ แตง่ เปน็ สงั ขาร จงึ วา่ สง่ิ ทค่ี ดิ ไมใ่ ชจ่ ติ เพราะ
เราคิดว่าเราคดิ ไปกบั สังขารน้ี เราคิดวา่ สงั ขารมนั ออกจากใจเรา แต่สังขารนี้
กไ็ มใ่ ชใ่ จเรา เปน็ ความแยบคายของใจทมี่ นั ออกมา สตปิ ญั ญาคอื ความแยบคาย
147
ของใจทไ่ี ปเหน็ กเิ ลสแลว้ ปลอ่ ยวาง แตใ่ จทบี่ รสิ ทุ ธมิ์ นั ซอ่ นอยู่ มนั ซอ้ นกนั อยู่
มนั ละเอยี ด มนั เขา้ ใจยาก มนั ต้องปฏิบัติภาวนาไป
ถาม ตรงน้ีเป็นอรูปราคะ
ตอบ มนั กต็ อ้ งละ ละความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ทง้ั หมด ใหใ้ จมนั ปลอ่ ยวางหมดทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง
แมม้ านะ เราดกี วา่ เขา เราเลวกวา่ เขา เราเสมอเขา กป็ ลอ่ ยวาง คอื มนั เปน็ เพยี ง
อาการของจติ แค่น้นั หรืออาการของใจแคน่ ้นั ใจมนั อยู่นอกเหนือ มนั ถอย
ออกมา ถอยออกมาเหน็ ทกุ อยา่ งเปน็ ความเกดิ ดบั เปน็ ความเกดิ ดบั ไมใ่ ชใ่ จ
ถาม พจิ ารณากับคิด เหมือนกันไหมคะ อันเดียวกันไหม
ตอบ ในเบอื้ งตน้ กเ็ หมอื นกนั แหละ สตปิ ญั ญาคดิ พจิ ารณา ใชค้ วามคดิ พจิ ารณา แตว่ า่
มนั ตอ้ งมสี มาธิ คอื วา่ เรามศี ลี แลว้ มปี ญั ญาเลยไมไ่ ด้ มศี ลี อยา่ งเดยี ว ศลี ๕ หรอื
ศลี ๘ กแ็ ลว้ แต่ คดิ อยา่ งไรกล็ ะกเิ ลสไมไ่ ด้ เพราะสตคิ วามฉลาดตรงนม้ี นั ทอ่ื
ไม่คม มันยงั ไม่เปน็ สติปญั ญาจรงิ ๆ ที่คดิ นะ คดิ ถกู แลว้ แต่ที่ว่าสตปิ ญั ญา
ที่คิดพิจารณานมี่ ันมีสมาธิ มนั ขาดอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงไมไ่ ด้ ศีลตอ้ งเป็นปกติ
ถา้ ศลี แล้วสตปิ ัญญาเลย มนั ไม่ได้หรอก มันไม่ถงึ กำ� ลังของมนั เปน็ แค่สติ
ความฉลาดแค่นน้ั แต่ถา้ จะเปล่ยี นศลี ตรงนใ้ี หเ้ ป็นสติปญั ญา ตอ้ งมสี มาธิ
เมอ่ื มสี มาธิ สตปิ ญั ญาทคี่ ดิ พจิ ารณาไป สมาธนิ ม้ี นั เปน็ พลงั งานทซี่ อ่ นอยทู่ อี่ ยู่
ในสติปัญญานัน้ ท่เี ปลี่ยนความคดิ ธรรมดาให้เปน็ ปญั ญาทจ่ี ะตดั กิเลส ที่ละ
กิเลสปลอ่ ยวาง ทีนเ้ี หมอื นกบั ว่าสตปิ ญั ญานี้คอื มดี มีดทไ่ี ปตัดกงิ่ ไม้ หรือไป
หน่ั เนอื้ หน่ั ผกั ถา้ มนั คม มนั ตดั ขาด แตถ่ า้ สตปิ ญั ญามนั ไมค่ ม มนั ตอ้ งมาลบั
คอื มาทำ� สมาธิ ทนี ค้ี วามคดิ ของมรรคน่ี ของมรรคโสดามรรคน่ี ทา่ นคดิ ไปดว้ ย
สติปัญญาท่ีมีสมาธิแฝง เช่น ถ้าเอาสติปัญญามาพิจารณาผม มันก็จะเห็น
เปน็ ปฏิกลู จะเอาสติปัญญามาพิจารณาหนัง ก็เห็นเปน็ ปฏิกูล เพราะมีสมาธิ
เปน็ พลงั งานทที่ ำ� ใหส้ ตปิ ญั ญามนั คม ถา้ เราไมม่ สี มาธนิ ะ เราคดิ ไปเรากไ็ มเ่ หน็
ผมทม่ี นั สกปรก พจิ ารณาหนงั กไ็ มเ่ หน็ หนงั ทม่ี นั เปน็ ปฏกิ ลู มนั ไมเ่ หน็ แลว้ ใจ
148
ไมเ่ ชื่อ ใจไม่ยอมรบั ถ้ามนั คิดเฉยๆ แลว้ บางทีเราอาจสามารถที่จะตอบได้วา่
ผมไม่สะอาดยังไง หนงั ไม่สะอาดยงั ไง แตใ่ จไมเ่ ชอ่ื ไม่ปล่อยวาง เพราะไมม่ ี
สมาธแิ ฝง ถา้ มสี มาธแิ ฝง คอื มรรคมนั เดนิ แลว้ นะ มศี ลี มสี มาธิ ปญั ญา สมาธิ
แฝงปบ๊ั มนั อยใู่ นสตปิ ญั ญาปบ๊ั มนั ขาด พจิ ารณาครง้ั กว็ างชว่ั คราว แลว้ มนั ก็
จะเหน็ ทางวา่ เราพจิ ารณาอยา่ งนน้ี ะ พจิ ารณากายในกายนะ จติ มนั เหน็ มนั เกดิ
สลดสังเวช มนั เกิดปีติ มันวาง
จรงิ ๆ แลว้ นะ การพจิ ารณากายเขา้ สโู่ สดาผลนะ พจิ ารณากาย สว่ นมากจะเกดิ
สลดสงั เวช เกดิ ปตี ิ แลว้ เกดิ การปลอ่ ยวาง ทนี มี้ รรคทมี่ าสกทิ าคามผิ ล มนั ไมเ่ กดิ
สลดสังเวชแล้ว เกิดปีติแล้วปล่อยวาง พิจารณากายปั๊บ เกิดปีติปล่อยวาง
ถ้าพจิ ารณาตรงนี้ มรรคที่จะไปอนาคามิผลปั๊บ พจิ ารณาเข้าสขุ เลย พจิ ารณา
กายป๊บั เขา้ สขุ เข้าอเุ บกขาเลย พจิ ารณาเขา้ สุข เขา้ อเุ บกขา เขา้ ความวา่ งเลย
ไม่มสี ลดสงั เวชไม่มปี ตี ิ บางทีไมม่ ีความสุข พิจารณากายป๊ับ กลบั เขา้ สคู่ วาม
วา่ งเลย เขา้ สคู่ วามวา่ ง วา่ ง วา่ ง จนวา่ งถาวร นม่ี นั ถงึ ทะลตุ รงนี้ มนั เปน็ ลำ� ดบั
แตว่ า่ มรรคมนั ตอ้ งดำ� เนนิ ไปตอ่ เนอ่ื ง ทนี ค้ี นเราสว่ นมากเหน็ ครง้ั หนงึ่ แลว้ ทง้ิ ไว้
ไมเ่ หน็ เปน็ เดอื น มนั ไมต่ อ่ เนอ่ื ง คอื วา่ มรรคมนั ขนึ้ มาปบ๊ั มนั กเ็ สอื่ ม เจรญิ แลว้
ก็เสอ่ื ม แลว้ ก็ข้ึนมาเจรญิ ขึ้นไป แล้วกเ็ สอื่ มอยา่ งนี้ มนั ไม่สม่�ำเสมอ
ทนี พ้ี ระปฏบิ ตั เิ ขาจะทรงเลย ทรงสมาธแิ ลว้ สตปิ ญั ญาพจิ ารณาไปเรอื่ ย แลว้ กว็ า่ ง
กเ็ ขา้ พกั จติ ในสมาธิ แลว้ พจิ ารณาไปเรอื่ ย มนั กท็ ำ� ลายไปเรอื่ ย เหมอื นตดั กเิ ลส
ไปเรือ่ ยๆ
ถาม คอื พิจารณาตอนทำ� สมาธใิ ช่ไหมคะท่าน
ตอบ ได้ จริงๆ แล้วพิจารณาตอนจิตมีก�ำลังของสมาธิ จิตสงบแล้วพักจิตใน
ความสงบแล้ว หรือเดินจงกรมก็ได้ หรือว่าบางทีถ้าคนที่เขาทรงสมาธิได้
พอเขานัง่ ป๊ับ เขาอยากพจิ ารณา พิจารณาเลย ถา้ พูดถงึ ตามสมมุติเขาเรียกว่า
ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเลย ใช้สติปัญญาพิจารณากายในกายเลย ยังไม่ต้อง
149
นงั่ กำ� หนดสมาธกิ อ่ น แตจ่ รงิ ๆ แลว้ จติ ทา่ นทรงสมาธมิ าแลว้ แตไ่ มพ่ ดู ถงึ วา่ บางที
พิจารณากายไปเลยเขา้ สูค่ วามสงบน้ี สติปัญญาที่พจิ ารณากายนีม้ สี มาธแิ ฝง
แลว้ พอพจิ ารณากาย มนั เห็นความไม่เทย่ี งไม่ใชต่ ัวตนปั๊บ จิตมันเขา้ สคู่ วาม
สงบอกี มนั วางกาย นเ่ี รยี กวา่ ปญั ญาอบรมสมาธกิ ไ็ ด้ หรอื บางคนพอนงั่ สมาธิ
จติ มนั ไมส่ งบ กท็ ำ� สมาธไิ ปกอ่ น พอจติ สงบ พกั ในความสงบแลว้ พอจติ ถอนมา
เหมอื นคนตนื่ มา มนั มกี ำ� ลงั ในการทำ� งาน ทนี ส้ี ตปิ ญั ญากพ็ จิ ารณากายในกาย
เขา้ ไปได้ เรียกว่าสมาธิอบรมปญั ญา มนั กก็ ลับกันแค่นั้นเอง แต่ว่ามันตอ้ งท�ำ
ใหม้ นั ตอ่ เนอ่ื ง ทำ� ให้ต่อเนอื่ ง
ถาม แล้วจะรูไ้ ด้อยา่ งไรวา่ มันถึง วา่ มนั ตดั กิเลสไดแ้ ล้ว
ตอบ เราเอามดี อโี ตม้ าเลม่ หนงึ่ ฟนั แขนเราขาด เรารไู้ หมวา่ มนั ขาด มนั กเ็ หน็ แบบนน้ั
ในใจ รบั ประทานอาหารอมิ่ รบั ประทานอาหารไปเรอื่ ยๆ น่ี ถงึ เวลามนั อม่ิ มนั กร็ ู้
ในใจวา่ มนั อม่ิ ไมต่ อ้ งมใี ครมาบอกเรา มนั รไู้ ดด้ ว้ ยตวั เอง คำ� วา่ เปน็ ปจั จตั ตงั
รดู้ ว้ ยตนเอง มนั เหน็ ชดั ในใจ ตดั แขน มนั กร็ วู้ า่ ขาดไปแลว้ แขนกระเดน็ ไปแลว้
ตดั กเิ ลส มนั กร็ ู้ว่ากิเลสมันหลดุ ไปแล้ว มันกร็ ใู้ นใจเรา รบั ประทานอาหารอิ่ม
มันกร็ วู้ า่ อ่ิมแล้ว ไม่ตอ้ งมใี ครมาบอก ทีนีเ้ ราพิจารณา ถา้ สติปัญญาเราคอย
สงั เกตใจเราดีๆ พิจารณากายในกายครั้งหน่ึงปบั๊ มนั วางชั่วคราว สติ สมาธิ
ถา้ ไม่ทรงตวั ป๊ับ กเิ ลสก็เกิดอกี ถ้าเราสติ สมาธิ ทรงปญั ญาพิจารณาไปอกี
มนั กว็ างไปเรื่อยๆ วางไปเร่ือยๆ วางชว่ั คราวไปเร่ือยๆ ถา้ เตม็ รอบของมันป๊ับ
มันจะรู้เลยจรงิ ๆ ขณะจิตเดียว
ถาม ถา้ มันจะละหรือจะรอู้ ะไร มนั จะเปน็ ขณะของมนั เหมือนทีห่ ลวงตาทา่ นเคย
พจิ ารณา ทท่ี า่ นไมย่ อมไมเ่ อา ทา่ นวา่ มนั ไมม่ เี หตมุ ผี ล ทา่ นตอ้ งรขู้ ณะของมนั
ตอบ ใช่ ขณะของมนั ใช่ ถกู ตอ้ ง แตก่ อ่ นเรากเ็ คยเปน็ ตอนแรกพอพจิ ารณาปบ๊ั กายวาง
ไปสว่ นหนึง่ วตั ถุธาตุหายหมดเลย ขออภัยนะ แค่เบือ้ งตน้ เอง เหมอื นไมม่ ี
กเิ ลสเลย จติ มนั วา่ งหมดเลย กำ� ลังของมัน คือวา่ ก�ำลงั ของมนั แรงมากเลย
150
พจิ ารณาวตั ถธุ าตทุ ง้ั หลายแตกละเอยี ดหมดเลยในโลกน้ี กำ� ลงั ของการพจิ ารณา
ธาตนุ ้ีมันแตกไปถึงขนั้ ๓ เลย แตจ่ รงิ ๆ ละกายได้แคส่ ว่ นเดยี วอยา่ งเขม้ ขน้
ในสว่ น ๓ สว่ น แตก่ ารพจิ ารณาวตั ถธุ าตุ มนั แตกไปถงึ ขนั้ ๓ เลย นอ้ ยคนทจ่ี ะ
เปน็ อยา่ งนี้ คุยกบั เพื่อนพระไมม่ ีใครเปน็ เลย เพราะวา่ จติ ของโสดาผลหรอื
สกิทาคามิผล ยังติดอยู่ในวัตถุธาตุ ยังมีความยินดียินร้ายอยู่ในวัตถุธาตุ
แตต่ รงนนั้ มนั ผา่ นไปเลย แลว้ ตอนนน้ั กายมนั เงยี บไปเลย มนั กไ็ มม่ เี หตมุ ผี ล
มนั กร็ สู้ กึ อยา่ งนน้ั ไมม่ เี หตมุ ผี ล มนั กไ็ มเ่ ชอ่ื มนั กค็ อยสงั เกต คอยสงั เกตดใู จ
เจ้าของไปเรือ่ ยๆ จนมนั กระเพอ่ื มข้นึ มา จนเห็นวา่ เออ มนั ยงั อยู่นะ มนั เป็น
แบบนนั้ หรอื แบบน้ี คอื ตอนละรปู กายนป้ี บ๊ั มนั ไมเ่ หน็ กเิ ลส แตว่ า่ มนั ไมม่ เี หตุ
มีผลนะ มันวา่ ง
น่ี ตรงนข้ี องระดบั อนาคามผิ ลนะ จติ ของผทู้ รงฌานสมาบตั ินี้ เขากดกเิ ลสได้
ขนาดน้นั เลย ระดับจิตมันทรงฌานเหมือนไม่มกี เิ ลส เหมือนไมม่ คี วามโลภ
ไม่มคี วามโกรธ ไมม่ คี วามยินดีในกามทัง้ หลาย ไมม่ กี เิ ลสปบั๊ จิตมนั ทรงไว้
ทรงไว้ในฌาน น่ันแหละ ท่านถึงสบาย พวกท่ีสร้างบารมีถึงพระโพธิสัตว์
พวกหลวงปทู่ วด สมเดจ็ โต หลวงพอ่ ปาน นกี่ ท็ รงฌานเอาไวเ้ ลย มนั เลยจติ ใจ
ไมร่ อ้ นรมุ่ ไมว่ นุ่ วาย ทรงฌานกดทบั กเิ ลสไว้ เหมอื นหนิ ทบั หญา้ ไว้ แตก่ เิ ลสยงั
มอี ยู่ ทา่ นยงั ไมจ่ ดั การ เพราะทา่ นปรารถนาสงู ปรารถนาพระโพธสิ ตั ว์ ปรารถนา
เปน็ พระพทุ ธเจา้ กำ� ลงั ของฌานนก้ี ดไวเ้ ลย กดระดบั ของพระอนาคามผิ ลเลย
ใจสบายใจวา่ งเหมอื นไมม่ กี เิ ลส แตก่ เิ ลสมอี ยู่ แตไ่ มว่ นุ่ วายภายนอก ถา้ มนั ยงั
ไมแ่ ลว้ มนั ยงั สงสยั มนั ไมม่ เี หตมุ ผี ล แบบทวี่ า่ บางทมี นั พจิ ารณากท็ ะลไุ ปเลย
กห็ ายไป ว่าง จติ ว่าง มันกเ็ ห็นรอยเดียวกันแหละ รอยครูบาอาจารยด์ �ำเนนิ
พระพทุ ธเจา้ กร็ อยเดยี วกนั อยา่ ออกนอกทาง อยา่ แซงซา้ ยแซงขวา ไปตามทาง
นแ่ี หละ ภาวนาไปเรอ่ื ยๆ มนั กจ็ ะเหน็ เหน็ ทางทค่ี รบู าอาจารยว์ างไว้ ทค่ี รบู า-
อาจารย์บอกไว้
151
ถาม ถา้ อย่างเบือ้ งต้นท่นี ั่งอยา่ งนี้ ก็คอื รลู้ มหายใจแล้ว ถา้ ในกรณที มี่ นั คิดอย่างนี้
หมายถึงว่าก็คือเรารู้ว่าคิดแล้ว เราก็ตัดไปแล้ว ก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ
ทำ� อยา่ งนไี้ ปเร่อื ยๆ
ตอบ ใช่ ถา้ ความคิดมันไม่หยดุ เราใช้ปญั ญาพจิ ารณา ถ้าปญั ญาพจิ ารณาแล้วมัน
วางไมไ่ ด้ กลบั มาใชส้ มาธติ ดั กลบั มากำ� หนดลมกไ็ ด้ ทเ่ี รากำ� หนดนี่ มนั จะตดั
ความคิดมนั ออกไป เม่ือสติสมาธิต้งั มั่นแลว้ ท้ิงลม มสี ติ ยกอารมณข์ ึน้ มา
พจิ ารณาใหมก่ ไ็ ด้ ถา้ มนั ยงั คา้ งอยใู่ นใจ มนั สลบั กนั นะ ๑. ใชป้ ญั ญากอ่ น ปญั ญา
ไมม่ กี ำ� ลงั ทจี่ ะตดั อารมณไ์ ด้ ๒. ใชส้ มาธิ สลบั กนั อยา่ งนี้ มอี ารมณก์ ใ็ ชป้ ญั ญา
พจิ ารณา แตส่ ตปิ ญั ญาทไ่ี มม่ กี ำ� ลงั มนั พจิ ารณาละอารมณไ์ มไ่ ด้ กใ็ ชส้ มาธิ เพราะ
เพยี งแตเ่ ราตง้ั สตกิ ลบั มาทลี่ มหรอื กลบั มาทพ่ี ทุ โธ สกั ๒-๓ นาที ถา้ เราจดจอ่
จริงๆ นะ สตสิ มาธิจดจ่อจริงๆ ความคดิ มันจะหายไป
เมอื่ ความคดิ หายไป สติ สมาธอิ ยู่ ณ ปจั จบุ นั อยทู่ ลี่ มหรอื ทพี่ ทุ โธนี่ เรารสู้ กึ วา่
สติ สมาธิทรงตัวแลว้ ป๊บั วางลม วางพทุ โธ ใหม้ สี ตอิ ยปู่ ัจจุบัน คุมใจเรา
คมุ ความคิดของเรา แตว่ ่าถา้ เรายงั ขอ้ งใจในอารมณท์ ีเ่ รายงั ละไมไ่ ด้ ตอนน้ี
ยกขน้ึ มาเผชญิ หนา้ เลย เพราะสติ สมาธถิ า้ มกี ำ� ลงั แลว้ นกึ ถงึ อารมณเ์ กา่ ขน้ึ มา
แล้วใช้ปัญญาพิจารณาใหม่ บางทีปัญญานี้มันคม มันก็ตัดขาด ตอนแรก
ตดั ไมข่ าดไง นเี้ รายกอารมณข์ นึ้ มาพจิ ารณาใหม่ ถา้ สตปิ ญั ญาคม มนั กว็ างได้
ถ้ารวู้ า่ สตปิ ัญญายังไม่คม อาจจะเก็บใสล่ ้ินชักไว้กอ่ น ยังไมต่ ้องเอาเร่อื งนนั้
ขนึ้ มาพจิ ารณา กม็ สี ตคิ มุ ใจตอ่ ไป ถา้ มนั คดิ ขนึ้ มาอกี คอ่ ยพจิ ารณา แตบ่ างคนเขา
อยากจะจดั การใหเ้ สรจ็ สน้ิ ไปเลย ตอนแรกเหน็ อารมณเ์ กดิ ขน้ึ แลว้ ใชส้ ตปิ ญั ญา
พจิ ารณาอารมณ์ แลว้ มนั ละไมไ่ ด้ อารมณน์ นั้ มนั ตดิ อยใู่ นใจ แลว้ จติ ไมม่ กี ำ� ลงั
เขาตัดมนั ดว้ ยสมาธเิ พือ่ ตัดอารมณไ์ ปก่อน แต่ว่าเม่อื สติ สมาธิ เกิดข้ึนแล้ว
เขาอยากจะเผชิญหนา้ อารมณน์ นั้ อีกกับกิเลสนั้นอีก เขาจะยกอารมณน์ ้นั ขนึ้
มาเลย แต่ถา้ เราคดิ วา่ กำ� ลงั ยงั ไม่พอ กอ็ ยา่ ไปสนใจอารมณ์น้ัน เกบ็ ใส่ล้นิ ชัก
ไวก้ อ่ น แลว้ เรามสี ตอิ ยกู่ บั ปจั จบุ นั ไปเรอื่ ยๆ แลว้ ถา้ มนั ผดุ ขน้ึ มาใหม่ กใ็ ชส้ ติ
152
ปญั ญาพจิ ารณาใหม่ มนั ตอ้ งคอ่ ยๆ ศกึ ษาขบวนการของจติ ไป มนั กจ็ ะฉลาดเอง
มนั ก็จะรู้จกั พลิกแพลงว่าเราจะจัดการกับกิเลสอยา่ งไร
ถาม มนั กค็ งเหมอื นบางครง้ั เรามปี ญั หามอี ะไรอยู่ เรายงั คดิ ไมอ่ อก แตพ่ อไมไ่ ดน้ กึ
ถงึ มนั ไปนกึ ถงึ เรอื่ งอนื่ ปลอ่ ยวางไปสกั พกั หนง่ึ มนั กจ็ ะเกดิ ขนึ้ มาเอง อยา่ งนน้ั
หรือเปลา่ คะ
ตอบ ใช่ ถกู ตอ้ ง เพราะวนั นนั้ เรายงั ไมว่ างปญั หาจรงิ ๆ เพยี งเหมอื นวา่ เราเลยี่ งปญั หา
หลบปญั หาไปกอ่ น แตเ่ ดยี๋ วสกั พกั มนั กจ็ ะคดิ ขนึ้ มาอกี แลว้ เรากต็ อ้ งใชส้ ตปิ ญั ญา
พจิ ารณาละไปอีก
ถาม แลว้ อยา่ งคนท่เี ปน็ โสดาบัน เขาจะรไู้ หมครบั ว่าตัวเขาเองเป็น
ตอบ รู้ แตค่ นหลงกม็ นี ะ คนหลงพอเหน็ สภาวธรรมอะไรเกดิ ขน้ึ เหน็ แสงสวา่ งโอภาส
อะไรตา่ งๆ อยา่ งสภาวธรรมเหน็ ครง้ั เดยี ว กไ็ ปจบั เอา เพราะวา่ กเิ ลสมนั อยาก
จะเปน็ อยแู่ ลว้ ปบ๊ั เราเปน็ แนเ่ ลย โสดาบนั จบั แลว้ ทงั้ ๆ ทยี่ งั มตี อ่ ไปวา่ จติ มนั
เสอื่ มแลว้ กว็ า่ ยงั เปน็ อยู่ จะไมค่ อ่ ยปลอ่ ยวาง นก่ี เิ ลสมนั กจ็ ะหลอก แตว่ า่ มนั จะรู้
รทู้ กุ ขั้นตอน
ถาม เพราะวา่ คำ� ว่าโสดาบนั นเ้ี ปน็ บญั ญัติ แตว่ ่าตา่ งกับปถุ ุชนอยา่ งไร
ตอบ อา้ ว เมอ่ื กไี้ มไ่ ดฟ้ งั หรอื (ผมมาไมท่ นั ครบั ) โสดาบนั จะละความโลภใหบ้ รรเทา
เบาบางลงไป พอใจในสง่ิ ทตี่ วั เองมอี ยู่ ถา้ เปน็ ฆราวาส หาทรพั ยภ์ ายนอกตาม
สตปิ ญั ญาทพี่ งึ จะแสวงหาได้ แตอ่ ยใู่ นขอบเขตของศลี ๕ อนั นเ้ี รอ่ื งของความโลภ
ทีนี้เรื่องของความโกรธ มันจะดับความอาฆาตพยาบาทได้ มีความโกรธอยู่
แตม่ สี ตปิ ญั ญาทจี่ ะละได้ อกี เรอ่ื งหนง่ึ ทปี่ ถุ ชุ นถา้ ยงั ไมเ่ ปน็ โสดาบนั ปถุ ชุ นจะ
ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายตน เม่ือโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนจิตใจก็เป็นทุกข์
มรณภัยบังเกดิ ขน้ึ จติ ใจก็สะดงุ้ กลัวหวั่นไหว อนั นป้ี ุถชุ น แต่ถ้าจติ ของพระ
โสดาบันท่ีท่านละความยึดมั่นถือม่ันในร่างกายตนได้ส่วนหนึ่งจาก ๓ ส่วน
153
ละไดส้ ว่ นหนงึ่ ทา่ นจะเหน็ วา่ รา่ งกายไมใ่ ชจ่ ติ จติ นไี้ มใ่ ชร่ า่ งกายน้ี ทา่ นเหน็ วา่
ร่างกายประกอบไปด้วยธาตดุ ิน ธาตนุ ำ้� ธาตุลม ธาตุไฟ เห็นแคส่ ่วนหน่ึงนะ
ออกสว่ นเดยี วปบ๊ั เมอื่ โรคภยั ไขเ้ จบ็ บงั เกดิ ขนึ้ ทา่ นกร็ เู้ ลยวา่ จติ ทา่ นไมห่ วน่ั ไหว
เมอ่ื รา่ งกายแตกสลาย จติ ทา่ นกไ็ มน่ กึ กลวั ทา่ นกด็ แู ลรกั ษาไปตามหนา้ ที่ เพราะ
มันขาดจากกัน จติ มันรูว้ ่ารา่ งกายนี้ไม่ใช่จติ จติ นไ้ี มใ่ ชร่ า่ งกายนี้
ถา้ จติ ของปถุ ชุ น จติ กบั กายมนั อยดู่ ว้ ยกนั จะยดึ มนั่ ถอื มน่ั วา่ เราตลอด นอกจาก
ว่าบางครงั้ ถา้ มีทกุ ขเวทนาป๊บั เราพยายามที่จะแยกใจออกจากกาย อันน้คี ือ
มรรคทพี่ จิ ารณาวา่ กาย เราพยายามพจิ ารณาปลอ่ ยวางมนั นะ กายนไ้ี มเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ช่
ตวั ตนนะ แต่พระโสดาบนั ปบ๊ั ทา่ นจะดแู ลรักษารา่ งกายตามหน้าที่ ร่างกาย
จะแตกเมอ่ื ไหรก่ ช็ า่ ง จะดแู ลรกั ษาตามหนา้ ที่ ทา่ นกไ็ มก่ ลวั แตว่ า่ ทา่ นจะเสยี ดาย
หนอ่ ยเดยี ว ถา้ ทา่ นยงั อยใู่ นสกทิ าคามมิ รรคหรอื โสดาบนั ผลน้ี ทา่ นกอ็ ยากจะ
บ�ำเพ็ญภาวนาให้ถึงที่สุด แต่ว่าถ้ามันแตก ท่านก็เสียดายหน่อยเดียวว่ายัง
ไมถ่ งึ ทส่ี ดุ หรอื วา่ ยงั ไปไดไ้ มเ่ ทา่ ไหรเ่ ลยกต็ อ้ งหมด แตท่ า่ นไมก่ ลวั แลว้ เพราะ
ทา่ นไม่มีชาติที่ ๘ ทนี ้ีถ้าทา่ นบารมเี ข้มข้นก็เหลืออีกชาติเดียว ถา้ อย่างกลาง
ก็ ๓ ชาติ อยา่ งหย่อนก็ไมเ่ กิน ๗ ชาติ กส็ บาย
ถาม ปัจจุบันพระธรรมเทศนาก็เยอะแยะ ของครูบาอาจารย์ท่ีเทศน์สอนก็เยอะ
อยา่ งสมมตุ ผิ มู้ ปี ญั ญา เขากม็ าอา่ นหนงั สอื เปน็ สญั ญานะ คอื ฟงั อา่ นรมู้ าวา่ เปน็
แบบน้ี แล้วถึงเวลาเกิดขึ้นจริง เขาก็พยายามทำ� ตาม คอื สภาวะจติ อาจจะยงั
ไมถ่ งึ แต่วา่ เขารู้วา่ รปู กับนามมันแตกมนั แยกกนั อะไรอย่างน้ี เขากพ็ ยายาม
ทำ� ตามนน้ั ทำ� ตวั ใหเ้ ปน็ แบบนนั้ มนั จะตา่ งกนั ไหมกบั คนทไี่ ดโ้ สดาบนั แลว้ กบั
คนท่มี ปี ญั ญาแล้วพยายามทำ� ตามน้นั
ตอบ มนั เปน็ ความจำ� ความจำ� ทเี่ ราศกึ ษา แตม่ นั ยงั ไมเ่ ปน็ ความจรงิ ทใ่ี จ ยงั ไมเ่ หน็ ทใ่ี จ
เหมอื นวา่ หลวงพอ่ ชาท่านบอกเรื่อย แตท่ ่านสอนชาวตา่ งประเทศนะ ผลไม้นี้
มนั กรอบ มนั หวานมนั นะ อรอ่ ย เธอตอ้ งลองรบั ประทานดู ตอ้ งไปลองบำ� เพญ็
ศีล สมาธิ ปัญญา ดู ถ้ามนั ถงึ ปบ๊ั มนั ก็จะรู้วา่ ผลไม้นห้ี วาน มนั อรอ่ ยน้ี
154
เปน็ ยงั ไง มนั จะรไู้ ดด้ ว้ ยใจตวั เอง แตถ่ า้ เราอา่ นศกึ ษาตำ� รามา ศกึ ษาแนวทางมา
แตว่ า่ เรายงั ไมด่ ำ� เนนิ ทางจติ ของเรา มนั กไ็ มเ่ หน็ ไมร่ ู้ มนั กเ็ ปน็ ความจำ� ครอู าจารย์
นบ้ี างทเี รยี นมา ปรญิ ญาโท ปรญิ ญาเอก จบมา สอนนกั ศกึ ษาปรญิ ญาตรนี ้ี เขาเอา
ความจำ� มาสอน บางทบี างคนกป็ ระพฤตผิ ดิ ศลี ธรรม จำ� มาสอนเฉยๆ สอนได้
ทุกอยา่ ง
ถาม ถ้าสอนไดแ้ ลว้ เขาพยายามท�ำตวั ให้เป็นไปตามน้นั
ตอบ พยายามทำ� ใหเ้ ปน็ ตามนนั้ กถ็ กู แตว่ า่ แลว้ แตอ่ นิ ทรยี บ์ ารมี ถา้ บารมแี กก่ ลา้ พอ
ทจี่ ะบรรลธุ รรม กบ็ รรลุได้ แต่วา่ พยายามทำ� ให้เป็นตามทส่ี อนนะ ถูกตอ้ ง
ต้องพยายามทำ� ตามนั้น ถา้ ในการปฏบิ ตั ิก็ศลี สมาธิ ปญั ญา ต้องไปตามนี้
ถาม ฟังวันนแี้ ล้วยิ่งท�ำใหร้ วู้ ่ามนั ยากขนาดไหน
ตอบ กห็ มนั่ ท�ำสมาธไิ ปทุกๆ วนั อยากพจิ ารณากายวันไหนก็พิจารณาไป ฝกึ ซอ้ ม
พิจารณาไว้ใหม้ ันแคลว่ คล่องชำ� นาญ
ถาม จากมรรคมาผลน้ี ในทกุ ขน้ั นน้ั จะทราบไหม
ตอบ จากมรรคมาผลนี้ การท่ีจะตัดกเิ ลสได้มนั แคข่ ณะจติ เดียวทกุ ขน้ั ตอน
ถาม ท้งั ๔ ขนั้ ตอนเลยหรือคะ
ตอบ ใช่ ทกุ ข้นั ตอน แตล่ ักษณะมันกแ็ ตกตา่ งกนั ไป ขณะจติ เดยี วมนั ก็วาง แตว่ ่า
หมายถงึ อินทรีย์บารมีมันแกก่ ลา้ มรรคทีม่ นั ด�ำเนนิ มา มันสะสมมาเรอ่ื ยจน
แกก่ ล้า แลว้ มันรวมเป็นหน่ึงเดียวอยูท่ ี่ใจ แลว้ ตดั กเิ ลสก็ขณะจิตเดียวที่มัน
รเู้ หน็ และปล่อยวางความยึดม่นั ถอื ม่นั มนั ขณะจติ เดยี ว
แตก่ ารพจิ ารณา เชน่ เราพจิ ารณากายเขา้ ไปสคู่ วามสงบนน่ี ะ พจิ ารณาเหน็ กาย
ไม่เท่ียง ไมใ่ ช่ตวั ตน เกดิ สลดสงั เวช เกิดปีติ หรือไม่เกิดสลดสังเวช เกิดปตี ิ
หรอื ไมเ่ กดิ สลดสงั เวช ไมเ่ กดิ ปตี ิ เกดิ ความสขุ พจิ ารณากายไมเ่ กดิ สลดสงั เวช
155
ไมเ่ กิดปตี ิ ไมเ่ กดิ สขุ เขา้ อุเบกขาเลย ในขัน้ ตอนแต่ละขน้ั เช่นขนั้ แรกนะ
เอาขั้นแรกพจิ ารณากายเข้าสูค่ วามสงบแลว้ ป๊ับ มนั วางช่ัวคราวเวลาจิตพกั ใน
ความสงบ เวลาออกมา สติ สมาธิ มนั จะเรมิ่ ทรงตวั อารมณ์ ตาเหน็ รปู หไู ดย้ นิ เสยี ง
จมูกดมกลน่ิ ลิ้นสมั ผสั รส กายสมั ผสั เย็น ร้อน อ่อน แขง็ บางทีสติ สมาธิ
มนั ทรงตวั ไมค่ อ่ ยกระเพอื่ ม อนั นชี้ วั่ คราว วางความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในกายชว่ั คราว
มันลกั ษณะคลา้ ยๆ กนั แตว่ า่ ถ้ามนั เตม็ รอบของมนั มันเหน็ ปบ๊ั มนั ขาดเลย
จากการเห็นบอ่ ยๆ น้ี ถา้ มันเห็นครงั้ สุดทา้ ยนป้ี บ๊ั มันหลุดเลย มนั เปน็ ขณะ
จิตเดียว หลุดเลย มันไม่เหมือนกับว่าเห็นช่ัวคราวแล้วเดี๋ยวก็เกิดกิเลสอีก
เกดิ ความพอใจไมพ่ อใจอกี มนั คลา้ ยๆ กนั นะ พจิ ารณาครงั้ เดยี วแลว้ มนั หลดุ เลย
แตว่ า่ ครง้ั นน้ั อาจจะเปน็ ครงั้ ที่ ๑๐๐ ครง้ั ที่ ๑๐๐๐ กไ็ ด้ จากการพจิ ารณามา แตไ่ มร่ ู้
จะหลดุ ตอนไหน พอมนั เห็นแล้วมนั ชดั มนั ก็ปลอ่ ยวาง มนั ก็รู้แล้ว
ถาม แม้กลับมาอกี ก็
ตอบ ไมก่ ลบั แลว้ มแี ตก่ เิ ลสสว่ นทเ่ี หลอื ทจี่ ะตอ้ งละ กเิ ลสสว่ นหยาบทม่ี นั ละไปแลว้
มนั ไมก่ ลบั มาแลว้ ไมม่ กี ารกลบั แตว่ า่ ระหวา่ งทเ่ี ราเดนิ มรรคน้ี มนั มเี จรญิ เสอื่ ม
บางทจี ติ มนั พจิ ารณาแลว้ มนั เจรญิ บางทจี ติ มนั กเ็ สอื่ ม จติ มนั กห็ ยอ่ น ในทางเดนิ
มรรคนะ ทย่ี งั ไมท่ รงตวั อนั นแี้ ตว่ า่ ถา้ ละกเิ ลส ตดั กเิ ลสออกไปแลว้ พระโสดาบนั
ละกเิ ลสไปไดส้ ว่ นหนง่ึ ใน ๔ สว่ น ปบ๊ั กเิ ลสสว่ นทลี่ ะไปแลว้ ไมม่ ที างกำ� เรบิ ขน้ึ
มาเลย ไอก้ เิ ลสทม่ี นั ยงั มอี ยู่ ความโลภ ความพอใจ ไมพ่ อใจ สว่ นละเอยี ดมนั มี
ความยนิ ดใี นกามทงั้ หลายมนั มี แตว่ า่ ไอข้ องหยาบไมม่ แี ลว้ มนั มสี ว่ นละเอยี ด
ทมี่ นั มนี อ้ ยลง เหลอื นอ้ ยลงแลว้ เหมอื นนำ�้ เตม็ แกว้ น่ี ละไปไดส้ ว่ น นำ�้ มนั กจ็ ะ
เหลอื ๓ สว่ น ถา้ ละไปอกี สว่ น กเ็ หลอื ครง่ึ เดยี ว มนั จะไมม่ นี ำ้� กลบั ขนึ้ มาอกี แลว้
แตว่ า่ ระหวา่ งเดนิ มรรคหรอื วา่ นำ�้ ๔ สว่ น เวลามนั ลน้ ออกมาแลว้ ถา้ มรรคมนั ยงั
ไมบ่ รรลผุ ลปป๊ั เดย๋ี วนำ�้ มนั อาจจะทว่ มขน้ึ มาอกี ได้ ขนึ้ ๆ ลงๆ ไดเ้ ปน็ แบบนน้ั
มนั เหน็ ชวั่ คราวแลว้ มนั กป็ ลอ่ ยวางชว่ั คราว แลว้ ตดั กเิ ลส มนั กเ็ หน็ ถาวรแลว้
มันปลอ่ ยวางถาวรโดยเด็ดขาด
156
ถาม มนั แตกตา่ งอยา่ งชัดเจน
ตอบ ชวั่ คราว มนั กว็ างชว่ั คราว มนั ไมข่ าด เหมอื นมดี มนั ตดั กง่ิ ไม้ มดี มนั ทอ่ื ฟนั มนั
กเ็ หมอื นบเุ ทา่ นน้ั มนั ไมข่ าด กบ็ ๆุ ไปเรอื่ ยๆ เราฟนั ๑๐ ครงั้ ๒๐ ครงั้ บางที
ฟนั ครง้ั ที่ ๑๐๐ อาจจะขาดพบ่ึ นะ ตรงนน้ั มันรู้
ถาม ตอนทท่ี า่ นเหน็ ขา้ งนอกสลายไปหมดแลว้ ยงั ตดิ อยขู่ า้ งใน เพราะยงั ไมพ่ จิ ารณา
คอื ลกู ยงั ไม่ค่อยเขา้ ใจวา่ ท�ำไมการท่ีเหน็ ข้างนอกมนั สลายลงไปแลว้ คอื ทำ� ไม
ยังต้องกลับมาพจิ ารณาขา้ งใน มันไม่เหมือนกนั หรอื คะ ระหว่างกายข้างนอก
กบั กายข้างใน
ตอบ ไม่เหมือนกัน จิตมันมีอุปาทานความยึดม่ันถือมั่นในกายตนมากกว่ากาย
ขา้ งนอก กายคนอน่ื เราจะไมย่ ดึ เทา่ ไหรห่ รอก แตจ่ ติ มนั ละเอยี ด มนั จะยดึ กายใน
กายตน เปน็ ตวั เปน็ ตน เปน็ ทฐิ มิ านะมากกวา่ ฉะนนั้ ตอ้ งทำ� ลายกายในกายตน
ขา้ งนอกมันจะหลดุ มันเห็นภายนอกมากๆ กห็ ลดุ ไปไดเ้ พียงส่วนเดยี ว
เบือ้ งต้นนี้ กิเลสอย่างหยาบมันก็พิจารณาแคม่ รณานุสติ อาการ ๓๒ มันก็ละ
ไดแ้ ลว้ ขน้ั ๑ นะ ถา้ จะละเอยี ดขนึ้ ไป กพ็ จิ ารณากายละเอยี ดขนึ้ อาการ ๓๒ กด็ ี
หรอื อสภุ กรรมฐานกด็ ี มนั ละขนั้ ๒ พอละเอยี ดขน้ึ อสภุ กรรมฐาน ธาตกุ รรมฐาน
ไปสู่ความวา่ งข้นั ๓
แตว่ า่ การพจิ ารณาละอปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกายตน ในเบอ้ื งตน้ นี้ บางที
พจิ ารณาแลว้ เกดิ สลดสงั เวช เกดิ ปตี นิ ่ี ถา้ ผา่ นนไี้ ปแลว้ นะ พจิ ารณาไปแลว้ ไมเ่ กดิ
สลดสงั เวช มนั เกดิ ปตี เิ ลย แลว้ พจิ ารณาบอ่ ยๆ ปบ๊ั ปตี จิ ะหายไป เกดิ ความสขุ เลย
แลว้ พิจารณากายในกายบอ่ ยๆ ปั๊บ พิจารณาอสุภกรรมฐานปับ๊ มนั จะเข้าสู่
ความวา่ งเลย คอื จะไปขนั้ ๓ แลว้ พจิ ารณาธาตกุ รรมฐานปบ๊ั เขา้ สคู่ วามวา่ งเลย
ปตี ไิ มเ่ กดิ สขุ ไมเ่ กดิ แลว้ อนั นมี้ นั จะละเอยี ดไป หมายถงึ วา่ ผนู้ นั้ ตอ้ งพจิ ารณา
อย่างช�ำ่ ชองแล้ว ชำ� นาญแล้วมาก ละเอยี ดเข้าไปแล้ว มนั จะเข้าไปถึงความ
วา่ งเลย ความว่างของใจ ที่มนั จะปล่อยวางความยดึ มน่ั ถอื มัน่ ในกายตนได้
157
โดยสน้ิ เชิง แล้วมันจะถอน ถอนอุปาทานความยดึ มัน่ ถอื มัน่ ในกายตน ทนี ้ี
มนั กจ็ ะหมดการพจิ ารณา หมายความวา่ มนั กจ็ ะไมส่ งสยั ในกายชายในกายหญงิ
มันเห็นมันก็รู้ทั่วถึงไปหมดเลย คือเพราะมันพิจารณามาเป็นร้อยเป็นพัน
เปน็ หมน่ื รอบแลว้ มนั จะรลู้ ะเอยี ดมากเลยในกายคนนนี้ ะ มองหนงั กส็ กั แตว่ า่
มองคน มองรปู นกี้ ส็ กั แตว่ า่ เหน็ มนั ไมต่ อ้ งพจิ ารณาลงไปละเอยี ด ถา้ มนั ถอน
แลว้ นะ แตว่ า่ ตอนทม่ี นั จะถอนน้ี บางทพี จิ ารณาไปอสภุ กรรมฐาน ธาตกุ รรมฐาน
ปบ๊ั ไปสคู่ วามวา่ งเรอื่ ยๆ ปบ๊ั แลว้ มนั ถอนเอง จนเหน็ สมมตุ วิ า่ มองแขนเรานี้
ปบ๊ั มนั กร็ ถู้ งึ อสภุ ะ รถู้ งึ ธาตุ โดยไมต่ อ้ งคดิ นกึ มนั รมู้ นั ซมึ ไปหมด รสู้ กึ แบบ
มันจะถอนแล้ว ที่สุดมนั จะถอน หมายถงึ มาถอนมาอย่ใู นกาย ณ ปจั จุบนั นี้
กายที่เป็นอดีตก็เหน็ แล้ว กายท่แี ปรเปลีย่ นในอนาคตกเ็ ห็นแล้ว กายปจั จุบัน
ปบ๊ั มนั ถอน คอื ไม่ตอ้ งพจิ ารณาเลย มนั ปล่อยวางกายปัจจุบนั เพราะมันรู้วา่
กายทัง้ หมดทุกคนนีม้ ันเป็นธาตุดิน ธาตนุ ้�ำ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ จะเหมอื นๆ กัน
หมดเลย แล้วมันวางไงตรงน้ี แต่ว่าแล้วแต่ตอนที่มันปล่อยวาง แล้วแต่
จรติ นสิ ยั แตล่ ะบคุ คลนะ ตอ้ งไปถามครบู าอาจารยอ์ งคอ์ นื่ ๆ บา้ งวา่ เหมอื นกนั
หรอื เปลา่ แตว่ า่ ของเราเปน็ แบบน้ี เปน็ คอื มนั วาง มนั ถอน มนั ถอนมาจนเหน็ วา่
มองดูรูปก็รู้ว่าในรูปนี้มันไม่เท่ียง มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นปฏิกูล แล้วก็ไม่
ยนิ ดียินรา้ ย มันก็สกั แตว่ ่าเหน็
158
ไมแ่ ซงซ้ายไม่แซงขวา
เทศน์วันมาฆบูชา วนั ท่ี ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖
การท�ำสมาธิภาวนา เราจะก�ำหนดกรรมฐานบทใดบทหนงึ่ ซึ่งถกู กับจรติ ของเรา
ก็ได้ โดยปกติแล้วโดยท่ัวไป ก�ำหนดอานาปานสติกรรมฐานควบคู่กับพุทธานุสติ
กรรมฐาน คือหายใจเขา้ ให้เราระลึกถึงค�ำวา่ “พุท” หายใจออกระลึกถึงค�ำว่า “โธ”
ใหม้ สี ตกิ ำ� หนดรทู้ ปี่ ลายจมกู อนั นกี้ อ็ ยา่ งหนง่ึ บางคนกก็ ำ� หนดสตริ ลู้ มหายใจเขา้ ออก
แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว ไมต่ อ้ งภาวนาพทุ โธกไ็ ด้ บางคนกำ� หนดลมไมส่ ะดวก กบ็ รกิ รรม
ภาวนาในใจวา่ “พทุ โธๆ” ไปเรอ่ื ยก็ได้ หรอื จะบรกิ รรม “ธมั โม” “สังโฆ” ในใจกไ็ ด้
ในกรรมฐานทเี่ ราบรกิ รรมภาวนา เราถกู จรติ กบั กรรมฐานบทใด กำ� หนดสติ สมาธิ
อยู่กับกรรมฐานบทนั้น ให้มีสติ ให้มีความต้ังใจว่าต่อแต่น้ีไปเราจะฝึกสติอยู่กับ
กรรมฐานทเี่ ราภาวนา จติ จะสงบกช็ า่ ง ไมส่ งบกช็ า่ ง เราจะกำ� หนดสติ ฝกึ หดั ทำ� สมาธิ
ภาวนา ไมต่ อ้ งไปนกึ ถงึ เรอื่ งอดตี ทผี่ า่ นมาแลว้ หรอื เรอ่ื งในอนาคต พยายามทำ� สตใิ ห้
ตงั้ มนั่ อยกู่ บั ปจั จบุ นั ธรรม อยกู่ บั กรรมฐานทเ่ี ราภาวนา เหมอื นกบั วา่ เรานง่ั คนเดยี วอยู่
ในอากาศ ไมม่ ใี ครอยู่รอบๆ ขา้ ง ท�ำความร้สู กึ เรานั่งอยู่คนเดยี วในโลกน้ี ไม่มีใคร
อยดู่ ว้ ย กำ� หนดสตอิ ยกู่ บั กรรมฐานทเ่ี ราภาวนาไปเรอื่ ยๆ เมอื่ มอี ารมณค์ วามรสู้ กึ นกึ คดิ
อะไรเกดิ ขน้ึ มา กต็ ง้ั สตขิ นึ้ มาใหมเ่ พอ่ื ทจ่ี ะฝกึ หดั สมาธภิ าวนา ไดเ้ วลาพอสมควรกจ็ ะ
ให้สญั ญาณ
159
วันน้ีพวกเราก็ได้มารวมกันลงอุโบสถ ในคร้ังสมัยพระพุทธกาลนั้น อย่างท่ี
พวกเราได้ศึกษาได้ยินได้ฟังกันสืบต่อกันมาน้ัน วันมาฆบูชาเป็นวันซ่ึงพระอรหันต์
๑,๒๕๐ รปู มารวมกนั ประชมุ กนั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย ซงึ่ เปน็ ความอศั จรรย์ เปน็ ครงั้ เดยี ว
ในพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะพระองค์ มมี ากนอ้ ยยง่ิ หยอ่ นไปกวา่ กนั กต็ ามแตบ่ ารมขี ององค์
สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แตก่ ารทพ่ี ระอรหนั ตไ์ ดม้ าประชมุ กนั โดยมไิ ดน้ ดั หมายเปน็
จ�ำนวนมากน้นั เป็นสง่ิ ทีห่ าได้ยากในโลกนี้ ในสมัยกอ่ นน้นั ผูซ้ ึง่ สละชวี ิตในการทีจ่ ะ
ครองเรอื นอยใู่ นเพศฆราวาส สละชวี ติ ครอบครวั สละชวี ติ หนา้ ทก่ี ารงานตา่ งๆ ออกมา
เพื่อท่ีจะประพฤติปฏิบัติตามค�ำสั่งสอนของพระพุทธองค์น้ัน คนสมัยก่อนมีความ
มงุ่ หวงั การปฏบิ ตั เิ พอื่ ความพน้ ทกุ ข์ ผซู้ งึ่ เขา้ มาอยใู่ นเพศผา้ กาสาวพสั ตร์ มจี ดุ มงุ่ หมาย
แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี วคอื การประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ทำ� ใหแ้ จง้ ซง่ึ พระนพิ พานภายในดวงใจ
ของแต่ละบุคคล อาศัยความมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าในค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า
จึงได้เกิดพระอรหันต์สาวกขึ้นมาสืบต่อกันมาเป็นจ�ำนวนนับไม่ถ้วนจนกระท่ังมาถึง
ทกุ วันนี้
พวกเราทกุ คนนนั้ ยงั เปน็ ผซู้ ง่ึ มกี เิ ลสอยภู่ ายในดวงใจของเรา จำ� เปน็ ทต่ี อ้ งฝกึ หดั
อบรมจติ ใจของเราใหม้ คี วามสะอาดใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธต์ิ ามคำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธองค์
พระพุทธองค์ท่านตรสั ไว้ว่า เมื่อตถาคตไดล้ ว่ งไปแลว้ ธรรมวินยั จะเป็นศาสดาแทน
พวกเธอทง้ั หลาย เพราะฉะนนั้ เราทกุ คนซงึ่ มคี วามตงั้ ใจในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เรากต็ อ้ ง
ยดึ หลักธรรมวนิ ัยเป็นแบบอยา่ งเปน็ เครอื่ งดำ� เนนิ เพราะพระอรหันตส์ าวกทั้งหลาย
ทา่ นกป็ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามธรรมวนิ ยั ไมแ่ ซงซา้ ยแซงขวา ไมอ่ อกนอกลนู่ อกทาง เมอ่ื เรา
ปรารถนาความพน้ ทกุ ขห์ รอื ทำ� ใหแ้ จง้ ซงึ่ พระนพิ พาน เราตอ้ งมศี รทั ธาในการประพฤติ
ปฏิบัติ ความจริงการอยู่ในเพศผ้ากาสาวพัสตร์น้ีไม่ใช่เป็นไปเพ่ือการแสวงหาลาภ
สกั การะหรอื เสยี งสรรเสรญิ เยนิ ยอทง้ั หลาย แตเ่ ปน็ ไปเพอื่ การทำ� ใหแ้ จง้ ซงึ่ พระนพิ พาน
และทุกคนก็รู้แล้วว่าความทุกข์แห่งความเกิดน้ันเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น เม่ือมี
ความเกดิ ความทกุ ขต์ า่ งๆ กต็ ดิ ตามมา ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ความแก่ ความตาย ความทกุ ข์
160
อีกนานัปการซึ่งท�ำให้จิตใจเราเป็นทุกข์อันไม่มีที่ส้ินสุดในการเวียนว่ายตายเกิดใน
วฏั สงสาร เพราะฉะน้ันเราต้องเป็นผู้ซง่ึ ไมป่ ระมาท
พระพุทธองค์ท่านได้ทรงถามพระอานนท์ว่า ในวันหน่ึงน้ันเธอได้พิจารณาถึง
ความตายวนั ละกีค่ ร้งั พระอานนทต์ อบว่า วนั ละ ๗ ครง้ั บางองค์กม็ ากกวา่ นั้นหรอื
น้อยกวา่ นัน้ แต่พระพทุ ธองค์ตรสั ไวว้ ่า ตถาคตพจิ ารณาถึงความตายทุกลมหายใจ
เข้าออก คือพระพุทธองค์น้ันมีสติอยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจเข้าออก จึงเป็นผู้ซ่ึง
ไมป่ ระมาท เพราะฉะนน้ั วันและคนื ทผี่ า่ นพ้นไป เราได้พิจารณาถึงความตายกนั บ้าง
หรอื เปลา่ หรอื ปลอ่ ยวนั เวลาใหล้ ว่ งเลยไปโดยเปลา่ ประโยชน์ การเขา้ มาอยใู่ นเพศสมณะ
หรือสามเณรก็ตาม บางคร้งั อาจจะเกิดความเคยชนิ เม่ือเราอยู่เป็นเวลาหลายพรรษา
เพราะฉะนนั้ ตอ้ งกระตนุ้ เตอื นจติ ใจของเราดว้ ยการหาอบุ ายใหเ้ กดิ ศรทั ธาในการทจ่ี ะ
กระท�ำความเพียรเพอ่ื ทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กิดสติ สมาธิ ปัญญา อยู่เสมอๆ ภายในใจของเรา
ถา้ เรามคี วามเพยี รนอ้ ย กเิ ลสกค็ รอบงำ� จติ ใจเรา ทำ� ใหจ้ ติ เราทอ้ ถอยหรอื ทอ้ แท้
ในการปฏิบัติ กเิ ลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซ่ึงมอี ยใู่ นดวงใจของเรา
ทำ� ใหจ้ ติ ใจของเราคดิ ฟงุ้ ซา่ นไปในเรอ่ื งตา่ งๆ ในเรอื่ งทางโลก ซง่ึ เปน็ สง่ิ จะทำ� ลายจติ ใจ
ของเราให้ไมส่ ามารถที่จะต้ังม่นั อยู่ได้ในเพศผา้ กาสาวพสั ตร์ เพราะฉะนั้นเราต้องหา
อุบายผลิตอุบายให้เกิดศรัทธาความเพียรเสมอ ความจริงการประพฤติปฏิบัติน้ัน
เมื่อเราสละชีวิตการครองเรือนการมีครอบครัวออกมาแล้ว สละหน้าที่การงานต่างๆ
ภายนอกออกมาแล้ว เราเข้ามาบวชมาประพฤตปิ ฏบิ ัติ กใ็ ห้มีความตงั้ ใจในการทจี่ ะ
ต่อสู้กับกิเลส ไม่ใช่ว่าจะต่อสู้กับบุคคลอื่นภายนอกหรือต่อสู้กับคนทั้งหลายท้ังปวง
เราต้องต่อสู้กับกิเลสภายในจิตใจเรา มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์ทั้งหลายซ่ึง
เกิดขึน้ ภายในจติ ใจของเราอยเู่ สมอ
เรารแู้ ลว้ วา่ ความโลภเปน็ กเิ ลส ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท เปน็ กเิ ลส เราตอ้ ง
พยายามทจ่ี ะละ พยายามทจี่ ะปลอ่ ยวางอารมณต์ า่ งๆ ออกไปจากจติ ใจของเรา ไมเ่ กบ็
161
ไมก่ กั ขงั อารมณท์ ไี่ มด่ ไี วภ้ ายในจติ ใจของเรา ถงึ แมว้ า่ เราจะมกี เิ ลสอยภู่ ายในใจของเรา
กต็ าม แต่ถ้าเราไม่มสี ติไม่มีปัญญาทีจ่ ะเฝ้าดกู เิ ลสภายในใจของเราแลว้ จิตของเรา
ก็ตกเป็นทาสของอารมณ์ ตกเปน็ ทาสของกเิ ลสอยูเ่ สมอ เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ ให้มสี ติ
ให้อย่ใู นขอบเขตของธรรมวนิ ยั มสี ตเิ ฝา้ ดูแลรกั ษาจติ ใจของเราตั้งแต่ตน่ื นอนขน้ึ มา
จากจำ� วดั แลว้ กม็ สี ตพิ ยายามทจ่ี ะดจู ติ ใจของเราอยทู่ กุ ขณะจติ วา่ จติ ใจของเรามคี วาม
คดิ ไปในเรอ่ื งอะไร คิดไปในเรื่องท่ดี ีหรือคิดไปในเร่ืองไม่ดกี ็ใหร้ ู้จกั
เม่ือเรารู้แล้วว่าความนึกคิดไปในเร่ืองอดีตก็ตาม เป็นเร่ืองที่ผ่านมาแล้ว
ไมเ่ กดิ ประโยชนอ์ ะไร เรากก็ ำ� หนดสติ ก�ำหนดสมาธิ ตดั อารมณ์ออกไป เม่อื เรามี
ความคิดปรงุ แต่งถึงเร่อื งอนาคตในเดอื นหนา้ ปีหนา้ ซง่ึ ไม่เกดิ ประโยชนอ์ ะไร เราก็
ก�ำหนดสติท�ำสมาธิตัดอารมณ์นั้นออกไปจากจิตใจของเรา หรือมีความฟุ้งซ่านใน
อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงก็เหมือนกัน เราก็ก�ำหนดสติท�ำสมาธิตัดอารมณ์น้ันออกไป
เสมอๆ ท�ำจติ ของเรานัน้ ใหม้ สี ติต้งั ม่นั อยใู่ นปจั จุบันธรรม คือเห็นจติ เหน็ อารมณ์
เหน็ อาการของจติ ภายในใจของเรา ถา้ เราไมม่ สี ตเิ ฝา้ ดจู ติ ใจแลว้ ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่
ภายในจิตใจของเราก็ปรุงแต่งไปในเร่ืองท่ีไม่ดี เป็นเร่ืองซ่ึงไม่เกิดประโยชน์อะไร
จติ เรากว็ ิ่งตามอารมณไ์ ป ไม่สามารถท่จี ะเหน็ ความทุกข์ เหน็ เหตุให้เกิดทุกข์ หรือ
เหน็ ความดบั ทกุ ข์ หรอื ทำ� ใหร้ จู้ กั ขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ เพราะฉะนน้ั
คำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธองคน์ น้ั ทา่ นทรงสอนใหพ้ วกเราทกุ คนดำ� เนนิ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ให้อยูใ่ นศีล สมาธิ ปัญญา
ในเมอื่ เรามธี รรมวนิ ยั เปน็ ขอบเขต เปน็ ศลี ของพระหรอื สามเณร ความสงบภายใน
ใจของเรานน้ั ถ้าเรามีสติวนิ ยั ไมล่ ะเมดิ ไมก่ ระทำ� ผดิ วินยั แม้แต่อาบตั ิเพียงเล็กนอ้ ย
กต็ าม กจ็ ะทำ� ใหส้ ตเิ รมิ่ ตอ่ เนอ่ื งขนึ้ มา เรากม็ หี นา้ ทดี่ อู ารมณภ์ ายในจติ ใจของเราเทา่ นนั้
เมอ่ื มเี วลาวา่ งเรากเ็ ดนิ จงกรม นงั่ สมาธิ ทำ� สมาธภิ าวนาอยเู่ สมอๆ รจู้ กั ฝนื รจู้ กั อดทน
ตอ่ กเิ ลส ตอ่ ความหนาว ความรอ้ น ความทกุ ขท์ ั้งหลายท้ังปวง เราต้องรู้จกั ฝนื ใจใน
การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ แบบหลวงพอ่ ชาทา่ นกลา่ วไวอ้ ยเู่ สมอ เมอ่ื เราขยนั กใ็ หท้ ำ� ความเพยี ร
162
ถา้ ขี้เกยี จนัน้ กใ็ หฝ้ นื ประพฤติปฏบิ ตั กิ ระทำ� ความเพียรไมห่ ยุด เพราะฉะนัน้ เมอื่ เรามี
ความท้อถอยคลายจากความเพยี ร เรากต็ อ้ งหาอบุ ายใหเ้ กดิ ศรทั ธาความเพียรข้นึ มา
ตง้ั ใจทจ่ี ะเดนิ จงกรมนงั่ สมาธอิ ยทู่ กุ ๆ วนั ไมไ่ ดข้ าด มสี ตมิ ปี ญั ญาหาขอ้ บกพรอ่ งภายใน
จติ ใจของเราวา่ ทำ� ไมเราจงึ ทำ� จติ ใจของเราใหส้ งบไมไ่ ด้ เขายงั ฝกึ ลงิ ใหเ้ ชอ่ื งได้ ฝกึ มา้
ฝกึ ชา้ งใหห้ ายพยศได้ เราท�ำไมจะฝกึ จิตใจของเราน้ันให้สงบไมไ่ ด้
ถา้ เรามีสติพยายามทีจ่ ะดแู ลรกั ษาจิตใจของเราอย่เู สมอ หาอบุ ายท่จี ะพจิ ารณา
ละอารมณท์ ไี่ มด่ อี อกจากจติ ใจของเราทกุ ๆ ขณะจติ ทม่ี คี วามทกุ ขเ์ กดิ ขนึ้ จติ เรานนั้ จะมี
สตติ ง้ั มน่ั อยใู่ นปจั จบุ นั ธรรม เมอื่ มเี วลาวา่ ง เรากก็ ำ� หนดทำ� สมาธภิ าวนาอยเู่ สมอๆ หรอื
ทำ� ใหม้ ากเจรญิ ใหม้ าก ใจของเรากจ็ ะเกดิ ความสงบของสมาธเิ กดิ ขน้ึ เมอ่ื ใจของเรานนั้
มสี ตติ อ่ เนอ่ื ง จติ ของเรากส็ งบเปน็ สมาธิ เกดิ ปตี ิ เกดิ ความสขุ ใจเกดิ ขนึ้ เกดิ อเุ บกขา
ของสมาธเิ กดิ ขนึ้ คอื วางจากอารมณซ์ ง่ึ เปน็ อดตี วางจากอารมณซ์ ง่ึ เปน็ อนาคต มสี ติ
ต้ังมัน่ อยูใ่ นปัจจุบนั ธรรม มคี วามสงบ มอี ุเบกขาของจติ
เมอ่ื อยใู่ นอริ ยิ าบถทว่ั ไป ตาเราเหน็ รปู จะเปน็ รปู วตั ถหุ รอื สงิ่ มชี วี ติ กต็ าม ความรสู้ กึ
เกดิ ขนึ้ ทีใ่ จของเรา มคี วามพอใจบ้าง ไมพ่ อใจบ้าง เราตอ้ งมสี ตมิ ปี ัญญาพิจารณา
ให้เห็นความไม่เท่ียงของอารมณ์อันน้ันท่ีเกิดข้ึน เพื่อท่ีจะท�ำให้จิตของเราเป็นกลาง
อยใู่ นปจั จบุ นั ธรรมทกุ ๆ ขณะจติ ซงึ่ มกี เิ ลสเกดิ ขนึ้ จะเปน็ ความพอใจ ไมพ่ อใจในรปู
เสยี ง กล่ิน รส สมั ผัส ทกุ ส่ิงทกุ อย่างก็ดี เรามีสติเหน็ อารมณ์ เหน็ อาการของจติ
เหลา่ นน้ั กต็ อ้ งหาอบุ ายปญั ญาพจิ ารณาปลอ่ ยวางอารมณท์ งั้ ความพอใจออกไป ใหจ้ ติ
เปน็ กลาง ปลอ่ ยวางอารมณซ์ ง่ึ มคี วามไมพ่ อใจออกไป ใหส้ ตติ งั้ อยใู่ นปจั จบุ นั ธรรม เราทำ�
เช่นนี้ไปเรอ่ื ยๆ สติ สมาธิ ของเราก็ตอ่ เนื่อง
ปญั ญาทพี่ จิ ารณาปลอ่ ยวางอารมณน์ น้ั ทำ� ใหจ้ ติ ของเราเปน็ กลาง ทำ� ใหจ้ ติ ของ
เรานนั้ สงบดว้ ยสมาธิ ดว้ ยปญั ญา เราพจิ ารณาเชน่ นี้ แตอ่ ารมณท์ ง้ั หลายกไ็ มส่ ามารถ
ท่จี ะขาดออกไปจากจิตใจของเราได้ เพราะวนั นเี้ หน็ รปู อนั หน่ึง ได้ยินเสยี งอยา่ งหนึง่
ความพอใจความไมพ่ อใจเกดิ ขน้ึ เราพจิ ารณาละไปไดห้ รอื ทำ� สมาธติ ดั ไปได้ แตพ่ รงุ่ น้ี
163
เราไปเห็นรปู หน่ึง ความพอใจความไม่พอใจกเ็ กิดขึน้ อีก ความพอใจความไมพ่ อใจ
เม่อื เราได้ยินเสียงกเ็ กิดขึ้นมาอีก
เพราะฉะนนั้ การทม่ี สี ตปิ ญั ญาทจี่ ะพจิ ารณาอารมณอ์ อกไปจากจติ ใจของเรานน้ั
เราตอ้ งทำ� งานทกุ ๆ วนั มสี ตติ ามรกั ษาใจทกุ ๆ วนั แตอ่ ารมณท์ งั้ หลายกไ็ มข่ าดออกไป
จากจิตของเราหรอก ขาดเพียงชวั่ คราว เหมอื นตน้ ไม้ซ่งึ มกี ิ่งกา้ นสาขาอยู่ เราเอามีด
ไปฟัน วนั จันทรเ์ ราเอามีดไปฟนั กง่ิ หนึง่ วนั อังคารเราฟนั อีกก่ิงหนง่ึ วันพธุ พฤหัส
เราฟนั อกี กง่ิ หนง่ึ จนถงึ วนั อาทติ ย์ กงิ่ ของวนั จนั ทรก์ แ็ ตกขนึ้ มาใหม่ กงิ่ วนั องั คารกแ็ ตก
ขน้ึ มาใหม่ ถา้ เราไมข่ ดุ รากถอนโคน ตน้ ไมก้ ไ็ มต่ าย อารมณภ์ ายในจติ ใจเรากเ็ หมอื นกนั
ถา้ เรามสี ตพิ จิ ารณาปลอ่ ยวางอารมณอ์ อกไปทกุ ๆ ขณะจติ กต็ าม ในวนั พรงุ่ นเ้ี รากไ็ ปเจอ
รปู ใหม่ ไดย้ นิ เสยี งใหม่ จมกู ดมกลนิ่ ใหม่ ลนิ้ สมั ผสั รสใหม่ กายสมั ผสั เยน็ รอ้ น ออ่ น
แขง็ อนั ใหม่ ความรสู้ กึ เกดิ ขน้ึ ทใี่ จกม็ อี ยเู่ สมอๆ เพราะฉะนนั้ ทา่ นถงึ ใหย้ อ้ นกลบั มา
พจิ ารณาทำ� ลายอปุ าทานความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในกายตน อนั เปน็ รากหรอื เปน็ ตน้ เหงา้ ของ
ความโลภ ความโกรธ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจของเรา เพราะฉะนน้ั เมอ่ื ทำ� สมาธิ เมอื่ จติ
สงบดแี ลว้ พอเปน็ บาทฐานแหง่ การพจิ ารณา เรากย็ กรา่ งกายของเราขนึ้ มาพจิ ารณาเปน็
สิง่ สำ� คัญ
การท�ำสมาธิภาวนานน้ั บางครั้งพอจติ สงบได้ระดับหน่ึง อาจจะรู้เห็นส่งิ ต่างๆ
ภายนอก อาจมคี วามรใู้ นเรอื่ งอดตี เรอื่ งอนาคตกต็ าม หรอื เรอื่ งในปจั จบุ นั กต็ าม กเ็ ปน็
แตเ่ พยี งความรูภ้ ายนอกเท่าน้นั ไม่เป็นความรู้เพอ่ื ทจ่ี ะดับความทุกขใ์ นจติ ใจของเรา
เพราะฉะนน้ั การทำ� สมาธภิ าวนา บางทกี ส็ ามารถทจี่ ะใหร้ เู้ หน็ สงิ่ ตา่ งๆ ภายนอกได้ แต่
สงิ่ ทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ คอื การทำ� สมาธภิ าวนาเพอ่ื ใหจ้ ติ ใจของเราสงบ เพอ่ื ทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ สติ
ปัญญาในการทจี่ ะพจิ ารณาละกเิ ลสออกจากจติ ใจของเรา
บางทเี ราทำ� จติ สงบ อาจเหน็ นมิ ติ อสภุ กรรมฐานเกดิ ขนึ้ เหน็ นมิ ติ รา่ งกายของเรา
เนา่ เปอ่ื ยผพุ งั ไป หรอื เหน็ นมิ ติ รา่ งกายของบคุ คลอน่ื เนา่ เปอ่ื ยผพุ งั ไป ถา้ เหน็ นมิ ติ หรอื
ลักษณะเชน่ น้ี ก็ให้มีสติก�ำหนดพจิ ารณาให้เห็นความไมเ่ ทีย่ ง ความไม่ใช่ตวั ตนของ
164
รา่ งกายของเรา หรอื รา่ งกายของบคุ คลอนื่ ได้ ทำ� ใหเ้ กดิ ปญั ญาในการทจ่ี ะเหน็ ความจรงิ
หรอื รเู้ ทา่ ทนั ความจรงิ ของรา่ งกายของเราวา่ เปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ชต่ วั ตน หรอื รา่ งกาย
ของคนอน่ื วา่ เปน็ ของไมเ่ ทย่ี งไมใ่ ชต่ วั ตน เพราะฉะนน้ั เมอ่ื จติ สงบพอสมควร เมอื่ เรา
ท�ำสมาธิภาวนาก็มาพิจารณารา่ งกายของเรา พิจารณาอาการ ๓๒ หรอื อสภุ กรรมฐาน
หรอื พจิ ารณาธาตทุ งั้ ๔ ดนิ นำ�้ ลม ไฟ กไ็ ด้ พจิ ารณาใหเ้ หน็ เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา
มคี วามเกดิ ขน้ึ ตงั้ อยู่ และแตกสลายไปในทสี่ ดุ พจิ ารณาซำ�้ ๆ ซากๆ ใหจ้ ติ ของเราเหน็
ภายในของเรา จึงจะปล่อยวางความยดึ มัน่ ถือมัน่ ออกไปจากจิตใจของเราได้
ถา้ จติ ของเราไมเ่ หน็ ความไมเ่ ทย่ี งความไมใ่ ชต่ วั ตนของกายนี้ จติ เรากไ็ มส่ ามารถ
ทจ่ี ะถอนอปุ าทานความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในกายตนได้ เพราะฉะนนั้ เมอื่ เราทำ� จติ ใจใหส้ งบ
เมือ่ พักจิตอยู่ในความสงบพอสมควร จิตของเราเร่ิมนึกคดิ ปรุงแตง่ เรากย็ กรา่ งกาย
ขน้ึ มาพจิ ารณา บางคร้งั จิตอาจเกดิ ความสลดสังเวช เกดิ ปตี ิเกิดข้นึ หรอื จติ รวมเปน็
สมาธขิ นึ้ มากไ็ ด้ ทำ� สลบั กนั ไป บางครง้ั ทำ� สมาธจิ ติ สงบแลว้ กม็ าพจิ ารณารา่ งกาย คอื ใช้
สมาธอิ บรมปญั ญา หรอื บางครงั้ เวลาเรากำ� หนด เราจะนง่ั สมาธิ เรากใ็ ชป้ ญั ญายกรา่ งกาย
ขน้ึ มาพจิ ารณาใครค่ รวญใหเ้ หน็ ความจรงิ ใชป้ ญั ญาอบรมสมาธิ เมอื่ เราใครค่ รวญให้
เหน็ ความจรงิ ของรา่ งกายของเรานเี่ ปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง ไมใ่ ชต่ วั ตน จติ อาจรวมเปน็ สมาธิ
ลงไปกไ็ ด้ เรยี กวา่ ใชป้ ญั ญาอบรมจติ ใหเ้ ปน็ สมาธิ ทำ� สลบั กนั ไปแลว้ แตจ่ รติ นสิ ยั ของ
แตล่ ะบคุ คล เพราะฉะนนั้ สมาธนิ จี้ ะเปน็ บาทฐานแหง่ สตปิ ญั ญาในการพจิ ารณารา่ งกาย
ของเรา หรอื รา่ งกายของบคุ คลอน่ื หรอื วตั ถธุ าตทุ งั้ หลาย ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ช่
ตัวตนของสรรพสิง่ ท้งั หลายทั้งปวง
สมาธเิ ปน็ บาทฐานแหง่ สตปิ ญั ญาทจี่ ะพจิ ารณาอารมณภ์ ายในจติ ใจของเรา จะเปน็
อารมณค์ วามโลภกด็ ี ความโกรธกด็ ี ความพอใจในรปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั กด็ ี หรอื
ความไมพ่ อใจในรปู เสยี ง กลนิ่ รส สมั ผสั กด็ ี สตปิ ญั ญานจี้ ะพจิ ารณาและปลอ่ ยวาง
ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ออกไปจากจติ ใจทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย ในเบอ้ื งตน้ นน้ั กเิ ลสอยา่ งหยาบที่
จะเหน็ ไดง้ ่าย คือความพอใจในรูป เสียง กล่นิ รส สัมผสั สตปิ ัญญาต้องพิจารณา
165
อยเู่ สมอ พจิ ารณาอารมณเ์ พอื่ ทจี่ ะปลอ่ ยวางอารมณอ์ อกไปจากจติ ใจของเรา แลว้ เรง่ ทำ�
สมาธภิ าวนาเพอ่ื ทจี่ ะใหส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณากายในกายตนใหเ้ หน็ ชดั ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป จะเปน็
อารมณ์ความโลภก็ตาม ก็ต้องร้จู กั พิจารณาละออกไปจากใจของเรา
พระเรานนั้ เร่ืองของความโลภนอ้ ย เมอ่ื เราสละวัตถุภายนอกมาแล้ว ความจรงิ
ไมม่ เี รอ่ื งอะไรมาก ความโลภทลี่ ะเอยี ดขน้ึ กม็ เี พยี งปจั จยั ๔ ของพระเรา คอื จวี ร บณิ ฑบาต
เสนาสนะ และยารกั ษาโรคเทา่ นน้ั ซงึ่ พระตอ้ งอาศยั ปจั จยั ทงั้ ๔ เพอื่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
เพ่ือบ�ำเพ็ญภาวนาในขณะท่ีทรงร่างกายนี้อยู่ เพราะฉะน้ันสติปัญญาก็ต้องพิจารณา
ใหเ้ หน็ ความจริงวา่ จีวรกเ็ ป็นแตเ่ พยี งธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ� ลม ไฟ ประชุมกนั ขึน้ มา
เพยี งชว่ั คราวเทา่ นน้ั รา่ งกายของบคุ คลซงึ่ อาศยั อยกู่ เ็ หมอื นกนั บณิ ฑบาตอาหารขบฉนั
กเ็ หมอื นกนั เปน็ แคเ่ พยี งธาตทุ ง้ั ๔ เสนาสนะ หรอื ยารกั ษาโรคกเ็ หมอื นกนั ทงั้ คนใช้
คนอาศยั หรอื ปจั จยั ทงั้ ๔ กเ็ ปน็ แตเ่ พยี งธาตตุ ามธรรมชาตเิ ทา่ นน้ั เราพจิ ารณาเชน่ น้ี
เพื่อไม่ให้เกดิ กิเลส มิให้เกดิ ความอยากในปจั จัยทัง้ ๔ เคร่อื งอาศยั ทั้งหลาย
พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายในครงั้ พทุ ธกาล หรอื ครบู าอาจารยท์ ป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั สิ บื ตอ่
กนั มา ทา่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ทา่ นไมไ่ ดก้ งั วลกบั บรขิ ารทง้ั ๔ ทอ่ี าศยั บางครง้ั ปจั จยั ทง้ั ๔
ไมว่ า่ จะสมบรู ณข์ าดแคลนกต็ าม มไี มม่ ากกต็ าม แตท่ า่ นอาศยั ปจั จยั ทงั้ ๔ เพยี งเพอ่ื
บำ� เพญ็ ภาวนาเทา่ นน้ั ในสมยั กอ่ นนน้ั บางทผี า้ นงุ่ ผา้ อาศยั มนั นอ้ ย ทา่ นกใ็ ชผ้ า้ บงั สกุ ลุ
ท่านไม่มีความทะเยอทะยานที่จะใช้ผ้าให้เน้ือประณีตหรืออย่างดี ท่านใช้ผ้าบังสุกุล
หรือผ้าที่เขาทงิ้ เสยี แลว้ หรอื ผา้ หอ่ ศพมาซกั ท�ำความสะอาด เย็บ ปะชุน มานงุ่ อาศัย
เพยี งเพอื่ ปฏบิ ตั ธิ รรมเทา่ นน้ั เพยี งปกปดิ รา่ งกายเทา่ นน้ั การบณิ ฑบาตนน้ั กอ็ าศยั บา้ น
สามสหี่ ลงั คาเรอื นพอขบฉนั วนั หนง่ึ เทา่ นน้ั เพอื่ ทจี่ ะประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมเทา่ นน้ั ไมไ่ ด้
ฉันเพือ่ ใหร้ า่ งกายมวี รรณะผอ่ งใสหรือรา่ งกายสมบรู ณ์
การอาศัยเสนาสนะก็ตาม บางทีในสมัยก่อนก็อาศัยเงื้อมผาในถ�้ำหรือใต้
ตน้ ไมใ้ หญ่ หรอื กระตอ๊ บมงุ หญา้ คาเพยี งเทา่ นนั้ เสนาสนะทอ่ี าศยั กเ็ ปน็ เพยี งปอ้ งกนั
ลม พายุ ฝน แดด พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายกลา่ วไวว้ า่ เสนาสนะทอี่ าศยั นน้ั เมอ่ื นงั่ สมาธิ
166
ลงไปแล้ว ถ้ามีพายุฝนไม่เปียกหัวเข่า ก็ถือว่าเสนาสนะน้ันเป็นเสนาสนะที่ดีแล้ว
ทเ่ี ลศิ แลว้ อาศยั เพยี งเพอื่ นงั่ สมาธภิ าวนาเทา่ นน้ั ไมไ่ ดต้ อ้ งการเสนาสนะทดี่ มี ากมาย
อะไรนัก หรอื ยารกั ษาโรค บางครั้งครบู าอาจารยข์ องเราประพฤติปฏิบัติธรรมกไ็ ม่ได้
สนใจเรอ่ื งยารกั ษาโรค ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นปา่ หรอื อยบู่ นเขา หรอื ในถำ้� กต็ าม บางครงั้
มีโรคภยั ไข้เจ็บเบยี ดเบยี นหรือธาตไุ มป่ กติ ทา่ นก็ใชธ้ รรมโอสถพจิ ารณาทกุ ขเวทนา
ทเี่ กดิ ขน้ึ ใชส้ มาธใิ ชส้ ตปิ ญั ญาพจิ ารณาแยกแยะรา่ งกายของเรานใี้ หเ้ หน็ วา่ เปน็ แตเ่ พยี ง
ธาตุดนิ น�้ำ ลม ไฟ หาสมฏุ ฐานของโรค พจิ ารณาใหเ้ ห็นวา่ เวทนาก็สกั แตว่ ่าอาการ
อนั หนงึ่ ไมใ่ ชจ่ ติ นี้ จติ นก้ี เ็ ปน็ สว่ นหนงึ่ รา่ งกายกเ็ ปน็ สว่ นหนง่ึ เวทนากเ็ ปน็ สว่ นหนงึ่
เท่านัน้ เปน็ คนละส่วนไมเ่ ก่ียวเน่อื งซงึ่ กันและกนั ท่านก็ใชธ้ รรมโอสถเท่านัน้
สมยั กอ่ นนน้ั กไ็ มไ่ ดม้ ปี จั จยั ๔ มากมายอะไร แตค่ รบู าอาจารยข์ องเราแตล่ ะองค์
ท่านกป็ ระพฤติปฏิบัติท�ำใหด้ วงใจของท่านรธู้ รรม เหน็ ธรรม หรือเป็นธรรมขึ้นมาได้
เพราะทา่ นมีความม่งุ มัน่ อนั เดด็ เดยี่ ว สละทกุ สิง่ ทกุ อยา่ งหรอื แมแ้ ตช่ ีวิตเพ่ือตอ้ งการ
ทจ่ี ะรธู้ รรมเหน็ ธรรม เพราะฉะนน้ั ใหพ้ วกเราทกุ คนพงึ พยายามตง้ั ใจประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ละความโลภออกไปจากจติ ใจของเรา เมอื่ เรามีความต้งั ใจเช่นน้ี เราก็ไม่หว่ งไมก่ ังวล
อะไร อาศยั ปจั จยั ๔ พอสมควร เรง่ รดั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ ดั เกลาจติ ใจเรานน้ั ใหบ้ รรเทา
เบาบางไปจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ขอ้ วตั รอนั ใดซึ่งถูกกบั จรติ ของเรา
หรอื ธดุ งควตั รขอ้ ใดซง่ึ ถกู กบั จรติ ในการทจ่ี ะแกก้ เิ ลสภายในจติ ใจของเรานน้ั กใ็ หน้ อ้ ม
น�ำมาประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ท่จี ะท�ำลายกิเลสภายในจติ ใจของเรานั้นเปน็ สงิ่ สำ� คญั
เมอื่ ใจเรายงั มคี วามโกรธ ความอาฆาตพยาบาท ความไมพ่ อใจอยกู่ ต็ าม พระภกิ ษุ
พึงเจริญเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอันไม่มีประมาณทุกๆ วัน มีความรู้สึกว่าจะ
ทำ� ลายความโกรธความไมพ่ อใจนใ้ี หห้ มดสน้ิ ไปจากจติ ใจของเรา ไมใ่ ชว่ า่ จะเกบ็ กกั ขงั
ความโกรธ ความไมพ่ อใจ อนั เปน็ ตน้ เหตขุ องความทกุ ขไ์ ว้ ถา้ เรามสี ตมิ ปี ญั ญา มคี วาม
ต้ังใจที่จะท�ำลายหรือละกิเลสออกจากจิตใจของเราแล้ว เราก็จะเห็นกิเลสซ่ึงเกิดข้ึน
ภายในใจของเรา คอื ความทกุ ข์ แลว้ เราจะหาทางทจ่ี ะคน้ พบสาเหตทุ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์
167
เราทกุ คนกร็ อู้ ยแู่ ลว้ วา่ ความโกรธเปน็ ความทกุ ข์ เรากต็ อ้ งเจรญิ เมตตา ใหอ้ ภยั ซงึ่ กนั
และกัน ไมใ่ หม้ อี ารมณ์แหง่ ความโกรธเกดิ ข้ึนภายในจิตใจของเรา แม้นอารมณแ์ หง่
ความโกรธความไม่พอใจจะเกดิ ข้ึนกต็ าม เราทกุ คนก็มหี น้าทท่ี ่ีจะหาทางทำ� ลายหรอื
ละวางออกไปจากจติ ใจแต่ละบคุ คลใหไ้ ด้เร็วท่สี ุดเท่าท่ีจะทำ� ได้
เพราะฉะน้ันการเจริญเมตตาให้อภัยซ่ึงกันและกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งซึ่งส�ำคัญท่ี
เราทุกคนจะตอ้ งพยายามรกั ษาจติ ของแตล่ ะบุคคล ไม่ตอ้ งไปรักษาจติ ของบคุ คลอื่น
รักษาจิตของเรานี้แหละให้บรรเทาเบาบางไปจากความโลภ บรรเทาเบาบางไปจาก
ความโกรธ บรรเทาเบาบางไปจากความหลงในกายตน หลงในอารมณท์ ง้ั หลายทงั้ ปวง
ซง่ึ เกิดข้นึ ภายในใจของเรา ถา้ เรามสี ตปิ ญั ญาพจิ ารณาเชน่ นอ้ี ยู่เสมอ อารมณ์ตา่ งๆ
จะบรรเทาเบาบางลงไป เรากท็ �ำสมาธภิ าวนา เมอ่ื จติ ของเราว่างจากอารมณ์ เมื่อเรา
ท�ำสมาธภิ าวนาให้ตอ่ เนื่อง ความสงบก็เกิดข้นึ ในอริ ิยาบถน่งั สมาธิ เมื่อเราออกจาก
อริ ยิ าบถนงั่ สมาธิ ไมว่ า่ เราจะยนื เดนิ นงั่ หรอื ทำ� อะไร เรากม็ สี ตใิ นการทำ� กจิ การงาน
ภายนอก เมอ่ื เราเขา้ ท่เี ดินจงกรม จิตใจเรากส็ งบ เพราะเรามีสติช�ำระอารมณอ์ อกไป
จากจติ ใจเราอยเู่ สมอทกุ ๆ ขณะจิต
เมื่อเราก�ำหนดท�ำสมาธิภาวนาในอิริยาบถเดินจงกรม จิตก็สงบเป็นสมาธิ
เพราะเรามสี ตมิ ปี ญั ญาพจิ ารณาอารมณท์ ไี่ มด่ ที เ่ี ปน็ กเิ ลสออกจากใจอยเู่ สมอๆ เมอื่ เรา
ออกจากอริ ิยาบถเดินจงกรม เรายืน เดิน น่ัง หรือทำ� อะไร เรากม็ สี ติรักษาใจของเรา
เมื่อเราน่ังสมาธิเจริญกรรมฐานท่ีเราภาวนา จิตเราก็ว่างจากอารมณ์ เพราะอารมณ์
ตา่ งๆ นนั้ ถกู สตปิ ญั ญาพจิ ารณาอยเู่ สมอๆ เมอื่ เรากำ� หนดสตอิ ยกู่ บั ลมหายใจเขา้ ออก
จติ เรากเ็ ปน็ สมาธิ เมอ่ื เรากำ� หนดสตอิ ยกู่ บั คำ� ภาวนาวา่ พทุ โธ จติ ใจเรากม็ สี ตมิ สี มาธิ
ตงั้ มนั่ เกดิ ขน้ึ เมอ่ื เราทำ� เชน่ นที้ กุ ๆ วนั ไมว่ า่ เราจะยนื เดนิ นงั่ และนอน หรอื ทำ� อะไร
กแ็ ลว้ แต่ สติ สมาธิ กจ็ ะเกดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจของเราในทกุ ๆ อริ ยิ าบถ จากความสงบใน
อริ ยิ าบถนง่ั สมาธิ กท็ ำ� ใหค้ วามสงบเกดิ ขนึ้ ในอริ ยิ าบถเดนิ จงกรม หรอื ความสงบเกดิ ขน้ึ
ในอริ ยิ าบถทว่ั ไป ไมว่ า่ จะยนื เดนิ นง่ั หรอื ทำ� อะไรกแ็ ลว้ แต่ ความสงบกจ็ ะอยใู่ นจติ ใจ
168
ของเราอยเู่ สมอ สตกิ จ็ ะเหน็ อารมณภ์ ายในใจของเรา สามารถทจี่ ะพจิ ารณาทำ� ลาย หรอื
ละวางอารมณอ์ อกไปจากจติ ของเราไดท้ กุ ๆ ขณะจติ โดยตอ่ เนอ่ื ง เพราะฉะนนั้ การท่ี
จะพิจารณาร่างกายของเราน้ันให้เห็นความจริงของความไม่เท่ียง ความไม่ใช่ตัวตน
ของกายนี้ กต็ ้องอาศยั พนื้ ฐานของจิตซึง่ มีสมาธิ
เม่ือจิตของเราน้ันไม่สามารถท่ีจะพิจารณาเห็นร่างกายของเราน้ีเป็นปฏิกูล
เหน็ อสภุ กรรมฐานหรอื ธาตุกรรมฐาน พงึ พยายามก�ำหนดสติ ท�ำสมาธิ เจรญิ ใหม้ าก
ทำ� ใหม้ ากอยทู่ กุ วนั เพอื่ ทจ่ี ะเปน็ กำ� ลงั ทจี่ ะทำ� ใหจ้ ติ ของเราสงบ เมอ่ื จติ ของเราสงบแลว้
ลองมาพจิ ารณารา่ งกายใหม่ ถา้ สตปิ ญั ญาเหน็ รา่ งกายของเรานช้ี ดั ขน้ึ ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย
จติ ของเรากจ็ ะคอ่ ยๆ ปลอ่ ยวางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในกายตนออกไป ความโลภกบ็ รรเทา
เบาบางออกไป ความโกรธก็บรรเทาเบาบางออกไป ความหลงในกายตนก็ค่อยๆ
บรรเทาเบาบางออกไป สติปัญญาซึ่งพิจารณาอยู่เสมอสลับกับการท�ำสมาธิภาวนาน้ี
กจ็ ะคอ่ ยๆ ถา่ ยถอนอปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในกายตนทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย จนกระทง่ั
เหน็ ร่างกายชัดเจนวา่ ร่างกายนเี้ ป็นแตเ่ พียงธาตตุ ามธรรมชาติเทา่ น้นั เหน็ ร่างกายใน
อดตี ในอนาคต วา่ เป็นสภาวะเกิดขึ้นแลว้ แตกสลายไปในทส่ี ดุ
มสี ตริ เู้ ทา่ ในปจั จบุ นั วา่ รา่ งกายของเรานเี้ ปน็ แตเ่ พยี งธาตตุ ามธรรมชาติ กป็ ลอ่ ย
วางความยึดม่ันออกไปจากจิตใจของเรา เมื่อจิตถอนออกจากอุปาทานความยึดม่ัน
ถือมัน่ ในกายตน ความโลภกด็ บั ลงไป ความโกรธกด็ ับลงไป ความหลงในกายตนก็
ดบั ลงไป ความหลงในวตั ถธุ าตุท้งั หลายอนั เปน็ แตเ่ พยี งธาตตุ ามธรรมชาติก็ดบั ลงไป
เหน็ รูปหรอื ไดย้ นิ เสียงก็สกั แต่วา่ รูป สกั แตว่ ่าเสียง สภาวธรรมทงั้ หลายเปน็ แต่เพียง
ธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น มีความเกิดข้ึนมาแล้วมีความแปรเปลี่ยนไป และมีความ
แตกสลายไปในทสี่ ดุ หาใชส่ ตั วบ์ คุ คลตวั ตนเราเขาไม่ จติ ของเรากเ็ ดนิ ไปในทา่ มกลาง
ไมก่ ระทบกบั ทางท้งั สองฝัง่ คอื ความพอใจและความไมพ่ อใจในสง่ิ ทัง้ หลายทัง้ ปวง
เมอ่ื จติ เราปล่อยวางความยึดม่ันถอื ม่ันในกายตนออกไป ในรา่ งกายบุคคลอืน่
ออกไป ในวตั ถธุ าตทุ งั้ หลาย ความสงบความเยอื กเยน็ ใจกเ็ กดิ ขนึ้ คอื ความสขุ ภายใน
169
จติ ใจกเ็ กิดขึน้ อนั เปน็ ความสขุ ทแ่ี ท้จรงิ เป็นความสงบดว้ ยปัญญาท่ีละกเิ ลสออกไป
จากจิตใจของเราในเบ้ืองตน้ คือละอุปาทานความยึดมัน่ ถือม่ันในกายตน แต่กเิ ลส
คอื ความหลงสว่ นละเอียดน้ัน กย็ งั มใี นจติ ใจของเรา คอื ความหลงในเวทนาของจิต
ความหลงในสัญญา ความจ�ำของจิต ความหลงในสังขาร ความนึกคิดปรุงแต่ง
ภายในจิตของเรา ความหลงยึดมัน่ ถอื มัน่ ในวญิ ญาณ ความรบั รตู้ ่างๆ ว่าเป็นจติ ใจ
ของเรา สว่ นละเอยี ดนี้ บคุ คลซง่ึ ละอปุ าทานความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในรปู คอื รา่ งกาย จงึ จะ
เดนิ มรรคพจิ ารณาต่อไป ความจรงิ เปน็ มรรคของอรหัตตมรรคทจ่ี ะพิจารณาจิตและ
พจิ ารณาธรรมในส่วนละเอยี ด
เมื่อละรปู ร่างกายออกไปไดแ้ ลว้ ก็เหลอื ส่วนละเอยี ด คอื เรอ่ื งของจติ เรอ่ื งของ
ธรรม ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ภายในใจของเรา จติ นน้ั ซง่ึ เมอ่ื ยงั มคี วามหลงอยู่ กต็ อ้ งมสี ตมิ ปี ญั ญา
พิจารณาอารมณ์ส่วนละเอียดซ่ึงอยู่ภายในจิตใจของเรา จิตน้ันก็ยังมีความยึดถือ
เวทนาของจิต แม้นแต่มีความสุขหรือความทุกข์เพียงเล็กน้อย ก็ปรากฏข้ึนภายใน
จิตใจนแ่ี หละ ความสุขทั้งหลายภายในจิตมมี าก ความทุกขน์ นั้ แทบจะไมเ่ ห็น เพราะ
จติ นน้ั ไดล้ ะกเิ ลสสว่ นหยาบออกไป กเิ ลสสว่ นละเอยี ดยงั มอี ยู่ สตปิ ญั ญากต็ อ้ งพจิ ารณา
ใหเ้ หน็ ความไม่เท่ยี งของความสุขอนั นน้ั หรอื ความทุกข์ที่ยงั มีกิเลสอยู่ หรอื ความจ�ำ
ทั้งหลายซึ่งจิตนั้นก็หลงยึดม่ันถือมั่นว่าจิตเป็นของตัวเอง หรือความคิดดี คิดไม่ดี
ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ ในอารมณก์ ศุ ลทง้ั หลาย กค็ ดิ วา่ เปน็ จติ ของเจา้ ของ เพราะฉะนนั้
ทา่ นจงึ ใหพ้ จิ ารณาเวทนาใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของเวทนาของจติ หรอื
มีสติปัญญาพิจารณาให้เห็นความไม่เท่ียง ความไม่ใช่ตัวตนของความจ�ำได้หมายรู้
ทงั้ หลาย มสี ตมิ ปี ญั ญาพจิ ารณาใหเ้ หน็ สงั ขารความนกึ คดิ ปรงุ แตง่ วา่ เปน็ ความไมเ่ ทย่ี ง
ไมใ่ ชต่ ัวตน มสี ตมิ ปี ัญญาพิจารณาวิญญาณความรบั รตู้ ่างๆ ว่าอนั น้ันเพียงสกั แต่วา่
อาการอันหนึง่ ไม่ใชจ่ ิตของเรา
ผู้ซ่ึงเจริญมรรคก็พิจารณาด้วยสติปัญญาให้รู้รอบในเวทนา สัญญา สังขาร
วญิ ญาณของจติ นกั ปราชญท์ งั้ หลายทา่ นกลา่ วไวว้ า่ เมอื่ พจิ ารณารรู้ อบแลว้ กม็ าพจิ ารณา
170
จติ ของเจา้ ของ ซง่ึ เปน็ อวชิ ชาอยใู่ นดวงใจ คอื ความหลงซงึ่ มอี ยใู่ นจติ พจิ ารณาทำ� ลาย
อุปาทานความยึดม่ันถือม่ันของจิตซึ่งหลงยึดม่ันถือมั่นว่าเป็นตัวจิต ความนึกคิด
ปรงุ แตง่ ทงั้ หลาย เพราะความรสู้ กึ โดยทวั่ ไปแลว้ เราจะคดิ วา่ สง่ิ ทป่ี รงุ แตง่ ออกมาจากใจ
มนั เปน็ จติ ใจของเรา เพราะฉะนน้ั ทา่ นจงึ ใหพ้ จิ ารณาทำ� ลายอปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มนั่
ภายในจติ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งไมใ่ หม้ อี ะไรเหลอื ไมต่ อ้ งสงวนอะไรไว้ ครบู าอาจารยท์ า่ นบอก
เพราะฉะนั้นการพจิ ารณาจติ พจิ ารณาธรรม จึงเป็นส่งิ ที่ละเอยี ด พิจารณาท�ำลายจิต
แมน้ ส่งิ ทีย่ ึดมั่นถอื มน่ั ว่าเป็นจิตเจ้าของ กพ็ จิ ารณาให้เหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไม่ใช่
ตวั ตนของจติ อนั นนั้ หรอื ธรรมทงั้ หลายทรี่ ทู้ เี่ หน็ ขน้ึ มา กพ็ จิ ารณาใหเ้ หน็ วา่ เปน็ อนตั ตา
ไมใ่ ช่ตวั ไม่ใชต่ น
“สัพเพ ธมั มา อนตั ตา ต”ิ ธรรมท้ังหลายทงั้ ปวงไมใ่ ชต่ ัวตน พจิ ารณาไถ่ถอน
ความยึดม่ันถือม่ันทุกส่ิงทุกอย่างออกจากดวงใจจึงจะเกิดความบริสุทธิ์ข้ึนมา
เพราะฉะน้ันผู้ประพฤติปฏิบัติท้ังหลายต้องประพฤติปฏิบัติธรรมในเบ้ืองต้นอยู่
ในขอบเขตของธรรมวินัย ยึดหลักปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระอรหันตส์ าวกทัง้ หลายเปน็ แบบอย่าง ไม่แซงซ้ายแซงขวา ถา้ เราประพฤติปฏิบัติ
ตามธรรมวนิ ัย ตามค�ำส่ังสอนของพระพุทธองค์ ไม่ได้ม่งุ หวังลาภสกั การะ หรือสิ่ง
ภายนอกทง้ั หลายทง้ั ปวง มคี วามมงุ่ หวงั อนั เดด็ เดย่ี ว สละทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งเพอ่ื แสวงหา
ความพน้ ทกุ ข์หรือทำ� ให้แจ้งซงึ่ พระนพิ พาน แมแ้ ตช่ ีวิตนนั้ เราก็ยอมสละเพื่อทีจ่ ะให้
ร้ธู รรมเหน็ ธรรม หรือจติ ใจเปน็ ธรรมข้ึนมา
ครูบาอาจารยท์ กุ ๆ องค์เป็นผูม้ ีจติ ใจเดด็ เด่ยี ว ไม่ไดป้ ระพฤติปฏบิ ัติย่อหย่อน
หรือท้อถอยแบบพวกเรา เพราะฉะน้ันพวกเราต้องพลิกจิตของเราน้ันให้เกิดศรัทธา
ความเพยี รอยเู่ สมอ ถงึ แมว้ า่ จะทอ้ ถอยลม้ ลกุ คลกุ คลานกต็ าม เรากต็ อ้ งตงั้ ใจทจ่ี ะเอา
ชนะกิเลสให้ได้ไม่วันใดวันหน่ึง เพราะฉะน้ันผู้มุ่งหวังการประพฤติปฏิบัตินั้น
ความจรงิ น้นั ไม่ตอ้ งมากมายอะไร เราสละชีวิตเลยต่อการประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรม ถา้ มี
ลมหายใจอยู่ มคี วามรสู้ กึ อยู่ เราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั จิ นถงึ ทสี่ ดุ ไมท่ อ้ ถอย สละทรพั ยส์ มบตั ิ
171
สละชวี ติ สละทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเพอื่ การรธู้ รรมเหน็ ธรรม อนั นน้ั จงึ จะพอดี เพราะฉะนนั้
การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมนน้ั ความจรงิ กไ็ มใ่ ชเ่ ปน็ สง่ิ ซงึ่ ยากลำ� บากอะไร ไมใ่ ชเ่ ปน็ สง่ิ
ซงึ่ เหลอื วสิ ยั ของมนษุ ยซ์ ง่ึ พงึ ปฏบิ ตั ิ ถา้ เปน็ สงิ่ ซง่ึ ยากลำ� บากแลว้ องคส์ มเดจ็ พระสมั มา-
สัมพุทธเจ้าก็คงไม่สอนให้พวกเราทุกคนปฏบิ ัตใิ นศีล สมาธิ ปญั ญา เพ่ือความรูแ้ จ้ง
เหน็ จรงิ หรอื ทำ� ใหแ้ จง้ ซงึ่ พระนพิ พาน ทำ� จติ ใจของเราใหห้ มดไปจากกเิ ลส คอื ความโลภ
โกรธ หลง
เพราะฉะนั้นให้พึงพยายามมีความต้ังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมทุกๆ วัน
อยา่ ทอ้ ถอย อยา่ ขเ้ี กยี จ ถงึ แมว้ า่ มคี วามทอ้ ถอย ความขเ้ี กยี จ เรากต็ อ้ งฝนื จติ ใจของเรา
น้ันประพฤติปฏบิ ัติ เราอาศยั ปัจจยั ๔ จากชาวบา้ นท้ังหลาย ใหม้ คี วามส�ำนึกภายใน
จติ ใจของเราวา่ เราจะตอ้ งตงั้ ใจประพฤตปิ ฏิบัติ เพราะชวี ติ ของเราเป็นของไมแ่ นน่ อน
เกดิ ขนึ้ มาแลว้ ไมน่ านกต็ อ้ งแตกสลายไป เพราะฉะนนั้ ในแตล่ ะวนั แตล่ ะคนื นนั้ พงึ ตงั้ ใจ
ประพฤติปฏิบัติธรรม มีสตมิ ปี ัญญาดูแลรักษาจิตใจของเราอยเู่ สมอๆ ใจของเราจะ
เกดิ ความสงบ ความเยือกเย็น หรอื เกดิ ความสุขใจเกดิ ขึน้ อันเนื่องมาจากศลี สมาธิ
ปญั ญา
วนั นกี้ ็ใหค้ วามเห็นแก่พวกเราพอสมควร ขอยุตแิ ตเ่ พยี งเท่านี้
172
นีค่ อื หนทาง
ณ วัดบุญญาวาส วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗
บุคคลซึ่งเกิดมาในโลกนี้แล้ว เป็นบุคคลซ่ึงมีความอัศจรรย์ ก็คือสมเด็จ
พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทกุ พระองคน์ ั้นเปน็ บคุ คลซ่งึ อศั จรรย์มาก หรือกลา่ วไดว้ า่ เปน็
มหาบุรุษ เพราะพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น ท่านได้สร้างสมบารมีมามากจน
กระทั่งท่านได้มาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ดังนั้นจึงว่า
เป็นบุคคลซง่ึ หาได้ยาก
ถา้ เราลองพิจารณาดถู งึ ชวี ิตหรือปฏิปทาของสมเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ หรือ
ของพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย เราจะเหน็ ไดว้ า่ ชวี ติ ของแตล่ ะทา่ นนนั้ ดำ� เนนิ ไปดว้ ยคณุ งาม
ความดี การประพฤตปิ ฏิบตั ิของแต่ละทา่ นแต่ละองคน์ นั้ เอาชวี ิตเป็นเดมิ พัน ทา่ นจึง
กล่าวไว้ว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย คือว่าในดวงจิตดวงใจของพระพุทธเจ้าหรือของ
พระอรหันตท์ ง้ั หลาย ในการท่บี �ำเพญ็ บารมนี น้ั ทา่ นเอาชวี ติ เปน็ เดมิ พัน ถ้าไมร่ ู้ธรรม
เหน็ ธรรม ท่านก็ไมค่ ลายความเพยี ร เพราะท่านต้งั ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
หรอื เปน็ พระอรหนั ตส์ าวก เพราะฉะนนั้ ปฏปิ ทาของพระพทุ ธเจา้ หรอื พระอรหนั ตส์ าวก
ทั้งหลายจึงเป็นแบบอย่างอันดีงามซึ่งพวกเราทุกคนนั้นควรจะยึดแบบอย่างของ
พระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์สาวกน้ีเป็นแบบอย่าง เป็นเครื่องด�ำเนินในการ
ประพฤติปฏบิ ตั ธิ รรม
173
ท่านก็ได้วางหลักธรรมวินัย เรียกว่าเป็นศีลของพระเรา ซ่ึงเป็นเคร่ืองด�ำเนิน
ภายในจิตใจของเราให้สงบร่มเย็น วางหลักธุดงควัตรอันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
ภายในจิตใจของเราให้ต่อสูเ้ พอ่ื ชนะกิเลสภายในจติ ใจของเรา บางครงั้ กม็ ีความรอ้ น
มีความหนาว เราต้องอดทนทุกส่ิงทุกอย่าง อย่างเช่นครูบาอาจารย์ของเราต้ังแต่
องคห์ ลวงปมู่ นั่ ลงมาจนยคุ ปจั จบุ นั พอไดย้ นิ ไดฟ้ งั มา ทา่ นตอ้ งอดทนฝนื ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง
บ�ำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ตามป่าท่ีสงบสงัด หรืออยู่บนเขาท่ีมีความสงบสงัด หรืออยู่
ในถำ้� ทีม่ ีความเงียบสงัด ท่านพยายามหลกี เรน้ หาสถานท่อี ันเหมาะสมในการบำ� เพ็ญ
เพยี รภาวนาทางจติ เพือ่ ที่จะต่อสู้กบั กเิ ลสความโลภ ความโกรธ ความหลงภายในใจ
ของแตล่ ะทา่ น จนเอาชนะกิเลส จนทำ� กเิ ลสให้ส้นิ ไปจากใจได้ แต่ละพระองคส์ ืบตอ่
กันมา
ถ้าเราดูประวัติของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติด้วยความ
เด็ดเด่ียว เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพ่ือการรู้ธรรมเห็นธรรม เพื่อให้ใจเป็นธรรม
เราทกุ คนควรทจี่ ะระลึกถงึ พระพทุ ธเจ้า หรอื ระลกึ ถงึ พระอรหันตส์ าวก หรือครูบา-
อาจารย์เป็นแบบอย่าง ว่าท่านด�ำเนินจิตในการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงได้
รธู้ รรมเหน็ ธรรม เพราะฉะนน้ั ใหพ้ วกเราทกุ คนพงึ มคี วามตง้ั ใจไวอ้ ยเู่ สมอวา่ ถา้ กเิ ลส
ไมส่ ิน้ ไปจากใจของเรานั้น เราก็จะไมค่ ลายความเพยี ร ในการทจี่ ะประพฤตปิ ฏิบัติ
ในศลี ในสมาธิ ในปญั ญา เพอ่ื ทจี่ ะแผดเผากเิ ลสภายในจติ ใจของเรา ตอ้ งเปน็ ผอู้ ดทน
ในการทจี่ ะทำ� ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ติ า่ งๆ เพอ่ื ทจี่ ะฝนื กเิ ลสภายในจติ ใจของเรา ใหจ้ ติ ใจของเรา
เปน็ ผู้ชนะกเิ ลสขน้ึ มาบ้าง เพราะจิตใจของเราตกเปน็ ทาสของกเิ ลสมานบั ภพนบั ชาติ
ไมถ่ ้วน
ในชาตปิ จั จบุ นั นี้ เรามโี อกาสอนั ดที ไี่ ดบ้ วชเขา้ มาในบวรพระพทุ ธศาสนา เปน็ สาวก
เป็นลกู ศิษยข์ ององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้า อยู่ในเพศผา้ กาสาวพัสตร์ ดังนั้น
ต้องท�ำให้สมภูมิซึ่งเป็นศิษย์มีครูมีอาจารย์ เราต้องต้ังใจในการท่ีจะเอาชนะกิเลส
ภายในจติ ใจของเราใหไ้ ด้ แมว้ า่ บางครงั้ จติ ใจของเราจะทอ้ ถอย จติ ใจเราจะแพก้ เิ ลส
กต็ าม เรากต็ อ้ งหาสตปิ ญั ญาทจี่ ะพจิ ารณากอ่ ใหเ้ กดิ ศรทั ธาความเพยี รอยเู่ สมอภายใน
174
จติ ใจของเรา ถงึ แมว้ า่ บางครงั้ กำ� ลงั กายของเราจะออ่ น เรากพ็ กั ผอ่ นเพอื่ ใหม้ กี ำ� ลงั กาย
เข้มแข็ง บางคร้งั ก�ำลงั ทางจติ เราจะออ่ น สติปัญญาไม่ทนั ต่ออารมณ์ ไม่ทนั ต่อกิเลส
ก็ตาม แต่ผู้ที่มุ่งหวังที่จะท�ำลายกิเลสหรือละกิเลสออกจากจิตใจของเรา ต้องมีสติ
มปี ัญญาทจ่ี ะเห็นกเิ ลส เหน็ อารมณ์ เห็นอาการของจติ เห็นเป็นศัตรขู องใจเรา
เพราะฉะน้ันเราต้องฝืนต้องอดทนในการท่ีจะเอาชนะกิเลสให้ได้ วันน้ีเราแพ้
พรงุ่ นเ้ี ราตอ้ งชนะ ตอ้ งสรา้ งกำ� ลงั จติ ใหเ้ ขม้ แขง็ ดว้ ยการทำ� สมาธภิ าวนาอยา่ งทพ่ี วกเรา
ทุกคนได้พากันด�ำเนินมาจนถึงปัจจุบนั นี้ ถึงแมว้ า่ บางชว่ งเราจะย่อหยอ่ นตอ่ ขอ้ วัตร
ปฏิบัติ ย่อหย่อนต่อการกระท�ำความเพียร เราก็ต้องสร้างศรัทธาความเพียรขึ้นมา
ภายในจิตใจของเราเพือ่ ทจี่ ะสูก้ บั กเิ ลสต่อไปอยู่เสมอๆ ไมท่ อ้ ถอย ทอ้ แท้ ระลึกถงึ
ครบู าอาจารยอ์ ยเู่ สมอวา่ ทา่ นเดด็ เดย่ี วขนาดไหน ทา่ นสละชวี ติ ขนาดไหนถงึ จะรธู้ รรม
เหน็ ธรรม
เพราะฉะนนั้ การปฏบิ ตั ธิ รรมนน้ั จะยอ่ หยอ่ นคลายความเพยี รนนั้ ไปตลอดไมไ่ ด้
การคลายความเพียรก็เป็นแต่เพียงบางช่วงบางขณะท่ีจิตใจไม่สามารถต่อสู้กับ
กเิ ลสได้ แตเ่ มอื่ มชี ว่ งมโี อกาสทจี่ ะเอาชนะกเิ ลส หรอื มสี ตปิ ญั ญาทจ่ี ะตอ่ สกู้ บั กเิ ลสนนั้
ต้องฝึกจิตใจของเราน้ันให้มีสติให้มีสมาธิเกิดข้ึนเพ่ือให้มีปัญญาในการพิจารณาให้
เหน็ ความจรงิ ของกเิ ลสทมี่ อี ยใู่ นจติ ใจของเรา การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมนน้ั หลวงปชู่ า
ท่านก็พูดอยู่เสมอว่า “การประพฤติปฏิบัตินั้นไม่มีอะไร มีแต่การพิจารณาร่างกาย
นีแ้ หละ ให้เห็นความไมเ่ ท่ยี ง ความไม่ใชต่ ัวตนของร่างกายน้ี” อันนั้นก็หน่ึงอย่าง
“อีกอยา่ งหนง่ึ ก็ให้พิจารณาเรื่องของจิต เร่ืองของอารมณ์ ภายในใจของเรา ใหเ้ ห็น
ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของจติ ซง่ึ เรายดึ มน่ั ถอื มนั่ ในอารมณท์ ง้ั หลายทงั้ ปวง”
มแี ตเ่ รอ่ื งการพิจารณากายกับจิตเทา่ นนั้ มี ๒ อยา่ งเท่าน้ัน
ยน่ ยอ่ เขา้ มาก็พิจารณาจติ ทำ� ลายกิเลส ละกิเลสท่ีจิต ความโลภ ความโกรธ
ความหลง เกดิ ขนึ้ ทจ่ี ติ ของเรา แตก่ ารทจ่ี ะพจิ ารณาจติ ซงึ่ เปน็ สว่ นละเอยี ดนนั้ เราตอ้ ง
เรมิ่ ตน้ จากการพจิ ารณารา่ งกายอนั เปน็ สว่ นหยาบกอ่ น เพราะจติ คนเรานน้ั ยดึ มน่ั ถอื มน่ั
ร่างกายเราอย่เู สมอว่าเป็นตัวเราของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง จงึ เกิดขึ้น
175
เพราะฉะนั้นเม่ือท�ำจิตให้สงบให้มีสติต้ังม่ันแล้ว จึงต้องยกร่างกายขึ้นมาพิจารณา
ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของรา่ งกายนอ้ี ยเู่ สมอ จะพจิ ารณาอาการ ๓๒
สว่ นใดสว่ นหนงึ่ กไ็ ด้ หรอื จะพจิ ารณาอสภุ กรรมฐานในลกั ษณะใดกไ็ ด้ หรอื จะพจิ ารณา
ธาตกุ รรมฐานในลกั ษณะใดกไ็ ด้ ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน หรอื อนจิ จงั
ทกุ ขงั อนตั ตา ในสภาวะของรา่ งกายนี้ มสี ตมิ ปี ญั ญาพจิ ารณาอยเู่ สมอ ใหจ้ ติ เหน็ ชดั ขน้ึ
ภายในจิตใจของเรา
เมอื่ จิตเราพจิ ารณาเห็นชดั หรือเห็นชัว่ คราว จติ กจ็ ะวางความยึดมั่นถือมั่นของ
รา่ งกายเราชวั่ คราว จติ กจ็ ะเขา้ สคู่ วามสงบหรอื จติ จะพกั อยใู่ นความสงบ เมอ่ื จติ ถอน
ออกจากความสงบนนั้ จติ จะมกี ำ� ลงั ในการทจี่ ะมาพจิ ารณาอารมณภ์ ายในใจของเราอกี
ในอริ ยิ าบถทว่ั ไปไมว่ า่ จะยนื เดนิ นง่ั หรอื ทำ� อะไรกแ็ ลว้ แตใ่ นอริ ยิ าบถทวั่ ไปนน้ั เราจะ
มสี ติ มสี ติเหน็ จติ เห็นอารมณ์ เหน็ อาการของจติ ซง่ึ เกิดขึน้ ท่ใี จของเราน้ี เมือ่ สติเหน็
อารมณ์ คอื ความโลภ ความโกรธ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ ซงึ่ เกดิ ขน้ึ ทใ่ี จ ปญั ญาก็
จะเขา้ พจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของอารมณน์ น้ั มธี รรมอนั แยบคายท่ี
จะพจิ ารณาละอารมณซ์ ง่ึ เปน็ กเิ ลสใหอ้ อกไปจากจติ ใจของเราอยเู่ สมอ จติ ของเรากว็ า่ ง
จากอารมณใ์ นขณะน้นั
เมอ่ื สตปิ ญั ญาเหน็ ความไมเ่ ทย่ี งของอารมณ์ ความเปน็ อนตั ตา ความไมใ่ ชต่ วั ตน
ของอารมณ์ สตกิ ต็ ง้ั มนั่ อยใู่ นปจั จบุ นั ธรรม ถงึ แมจ้ ะตง้ั มนั่ ชวั่ คราวกต็ ามกม็ ฐี านของจติ
คอื มสี ตมิ สี มาธอิ ยใู่ นปจั จบุ นั ธรรม เมอ่ื อารมณเ์ กดิ ขน้ึ เมอ่ื ไรซง่ึ เปน็ อารมณอ์ ยา่ งหยาบ
กิเลสอยา่ งหยาบ คือ ความโลภ ความโกรธ สติปัญญากจ็ ะพจิ ารณาอยเู่ สมอ หรอื
ความพอใจ ความไมพ่ อใจ ในรปู รส กลน่ิ เสยี ง สมั ผสั เมอ่ื เกดิ ขน้ึ ทใ่ี จ สตปิ ญั ญากจ็ ะ
พจิ ารณาอยเู่ สมอเพอ่ื ทจ่ี ะปลอ่ ยวางอารมณน์ น้ั ออกไปจากใจ จติ ของเรากเ็ ปน็ อเุ บกขา
พิจารณาซ้�ำๆ ซากๆ อยูอ่ ยา่ งน้ี กจ็ ะค่อยๆ วางความยดึ มัน่ ถอื ม่นั ในรูป รส กลิน่
เสยี ง สมั ผสั แมว้ างชว่ั คราวนนั้ กย็ งั ดี สติ สมาธิ ปญั ญา กต็ งั้ มนั่ อยใู่ นปจั จบุ นั เพราะ
เราพจิ ารณาอยบู่ อ่ ยๆ อารมณอ์ ยา่ งหยาบกถ็ กู วางลงไป รา่ งกายของเรา สติ ปญั ญา กเ็ ขา้ มา
พจิ ารณารา่ งกายของเราใหเ้ หน็ ชดั ขนึ้ ไปอกี พจิ ารณาซำ�้ ๆ ซากๆ อยใู่ นเรอื่ งรา่ งกายน้ี
176
เมอ่ื จติ สงบแลว้ ยกรา่ งกายของเราขน้ึ มาพจิ ารณาใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ช่
ตัวตนของร่างกายนี้ จนจิตรวมเข้าไปเป็นสมาธิอีก เม่ือจิตถอนออกจากความสงบ
ถ้าเราอยากจะทำ� ความเพยี รตอ่ กย็ กรา่ งกายขึ้นมาพจิ ารณาอีก พิจารณาสลบั กันไป
เรอื่ งของรา่ งกายกบั เรอื่ งของอารมณภ์ ายในจติ ใจของเรา พจิ ารณาสลบั กนั ไป อารมณ์
ตา่ งๆ กเ็ บาบางลงไป ความโลภ ความโกรธ บรรเทาเบาบางลงไปดว้ ยอบุ ายอนั แยบคาย
ที่เกิดข้นึ ในจติ ใจของเรา
แต่อุบายอันแยบคายของแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน เราต้องหาอุบายท่ีจะ
พจิ ารณาละความโลภ ความโกรธ ออกจากจิตใจของเรา ละความไม่พอใจออกไป
จากจติ ใจของเรา ทกุ ครง้ั ทม่ี อี ารมณเ์ กดิ ขน้ึ จะตอ้ งทำ� ลายกเิ ลส ทำ� ลายอารมณ์ หรอื
ละวางปล่อยวางใหไ้ ด้ ทำ� เช่นน้ีไปทกุ ๆ ขณะจติ ทกี่ เิ ลสเกิดข้ึน ถ้าไม่มกี ิเลสเกิดข้ึน
จติ วา่ งจากอารมณ์ กย็ กรา่ งกายขน้ึ มาพจิ ารณาจนเหน็ ชดั ไปทลี ะสว่ น เหน็ ชดั ในเรอื่ ง
ของผม เหน็ เปน็ ของปฏกิ ลู แลว้ ปลอ่ ยวางลงไป หรอื เรอ่ื งหนงั พจิ ารณาหนงั ใหเ้ หน็ ชดั
แล้วก็ปล่อยวางลงไป คลายความสงสัย หรือพิจารณาฟัน เมื่อสติปัญญาเห็นชัด
ก็ปล่อยวางออกไป หรอื พจิ ารณากระดูก สตปิ ัญญาเหน็ ชัดกป็ ลอ่ ยวางลงไป
เมอื่ ยงั สงสยั ในเรอ่ื งรา่ งกาย สตปิ ญั ญากเ็ ขา้ ไปพจิ ารณาสว่ นทมี่ นั ละเอยี ดขนึ้ ไป
สว่ นทปี่ ลอ่ ยวางแลว้ กป็ ลอ่ ยวางลงไป สว่ นทล่ี ะเอยี ดขน้ึ ไป เรากพ็ จิ ารณาเขา้ ไปถงึ กบั
แยกแยะใหเ้ หน็ เปน็ ธาตุดนิ ธาตุน�ำ้ ธาตุลม ธาตไุ ฟ หรือพิจารณาเขา้ ไปสู่ความว่าง
โดยธรรมชาติ เม่ือจิตเห็นรา่ งกายเป็นอสุภกรรมฐาน เห็นร่างกายเปน็ ธาตุกรรมฐาน
จิตจะเข้าไปรวมเป็นสมาธิ จะว่างจากความยึดมน่ั ถอื ม่นั ในกายตน แม้เพยี งชั่วคราว
จติ ก็จะเหน็ ชัดขึน้ ท่ใี จวา่ หนทางอันนเี้ ปน็ หนทางด�ำเนนิ ไปเพอ่ื รธู้ รรมเหน็ ธรรม หรอื
สามารถทจ่ี ะปล่อยวางความยึดม่ันถือมนั่ ออกจากจิตได้
เพราะฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อรวมตัวลงแล้วเห็นร่างกายของเราว่า
เปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง ไมใ่ ชต่ วั ตน ในเบอื้ งตน้ เหน็ วตั ถธุ าตทุ งั้ หลายเปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง เกดิ ขน้ึ
แลว้ ยอ่ มมคี วามแตกสลายลงไป จติ จะวางความยดึ มนั่ ถอื มนั่ ในสมมตุ อิ นั น้ี ความเปน็
ธรรมก็เกิดขึ้นในส่วนเบื้องต้น กิเลสก็ถูกช�ำระไปทีละเล็กทีละน้อย เราก็พิจารณา
177
รา่ งกาย พจิ ารณาอารมณใ์ นจติ ใจของเราอยเู่ สมอๆ จนกระทงั่ มนั เหน็ ชดั จรงิ ๆ ในเรอ่ื ง
ของร่างกาย ถ้าเห็นชัดจริงๆ ในเร่ืองของร่างกายบุคคลอื่นและร่างกายเราว่าเป็น
สกั แต่ว่าธาตตุ ามธรรมชาติ จิตมันกจ็ ะวางได้โดยสมบรู ณ์ คือวางความยึดม่นั ถือม่ัน
ในรา่ งกายตน วางความยดึ ม่นั ถือมั่นในร่างกายบคุ คลอน่ื วัตถุธาตุทั้งหลายมนั จะ
เห็นเป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
ทุกส่ิงทุกอย่างในโลกน้ี แม้ว่าจะเป็นชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์ท้ังหลาย
หรอื วัตถธุ าตุทง้ั หลาย จะเหน็ ลงไปตรงกลาง ลงไปเปน็ อุเบกขา คอื จติ มันเห็นไปเปน็
สกั แตว่ า่ ธาตตุ ามธรรมชาติ มนั แตกกระจายไปหมด ไมว่ า่ รา่ งกายเรา รา่ งกายบคุ คลอน่ื
หรือวัตถุธาตุท้ังหลาย ล้วนมีความเกิดขึ้น มีความตั้งอยู่ มีความแตกสลายลงไป
เปน็ แตเ่ พยี งธาตดุ นิ ธาตนุ ำ�้ ธาตลุ ม ธาตไุ ฟ มนั เหน็ ชดั จนรรู้ อบภายในจติ มนั จะวาง
สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน ความโลภมันก็ดับลงไป ความโกรธมันก็ดับลงไป
ความหลงในกายน้ีมันก็ดับส้ินไป ราคะ ความก�ำหนัดยินดีในกามท้ังหลาย มันก็
หมดส้ินไป นี่เป็นเบื้องต้นของการละอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเรา
จติ มนั ก็มีแต่ความสงบเยอื กเยน็ ตลอดท้ังวนั ท้ังคนื ความทกุ ข์อนั เกดิ จากความโลภ
มนั กไ็ มม่ ี ความทกุ ขอ์ นั เกดิ จากความโกรธมนั กไ็ มม่ ี ความทกุ ขอ์ นั เกดิ จากความยนิ ดี
ในกามทง้ั หลายมนั ก็ไม่มี เพราะมันสนิ้ ไปจากใจ จิตของผนู้ ้ันจงึ เป็นอิสระจากความ
ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายตน ในร่างกายบุคคลอื่น ในวัตถุธาตุท้ังหลาย ความสงบ
หรือความสุขท่ีเยือกเย็นก็เกิดข้ึนท่ีใจของบุคคลนั้น เพราะความทุกข์อันเกิดจาก
ความยึดม่ันถือม่ันในสิ่งท้ังหลายเหล่านี้ไม่มี จิตมันก็เป็นอิสระจากภพของมนุษย์
หรือเทวดา หรือพรหมช้ันล่าง มันก็ไม่ปรากฏข้ึน เพราะจิตน้ีไม่มีรังไม่มีท่ีอยู่ไม่มี
ที่อาศัยท่ีจะไปก�ำเนิดในภพต่างๆ กิเลสส่วนละเอียดท่ีจะมีอยู่ภายในจิต คือจิตยัง
หลงยึดม่ันถือมั่นในเรื่องของจิตส่วนละเอียด คือเร่ืองของเวทนา สัญญา สังขาร
ของจติ อนั เปน็ สมมตุ ทิ ี่เนอ่ื งขน้ึ มา สต-ิ สมาธทิ เี่ ปน็ อตั โนมตั ิ ตั้งอยใู่ นปัจจบุ นั ธรรม
จึงมีกิเลสในปัจจุบันธรรม เพราะยึดม่ันถือมั่นอาการของจิตต่างๆ ว่าเป็นตัวจิต
อันนย้ี ังตดิ อยู่ตรงนนั้
178
สติปัญญาซึ่งไม่ละเอียดพอก็หลงอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้จะวางอารมณ์ในอดีต
อารมณ์ในอนาคต แตก่ ็ยงั มาหลงอยใู่ นปจั จุบันธรรม ยึดอยู่ในปัจจบุ นั ธรรมว่าเป็น
ตัวจิต บางทีก็หาผู้ร้ายไม่เจอ หากิเลสไม่เจอ เพราะจิตมีความสงบเยือกเย็นมาก
อาการอยา่ งความทกุ ขแ์ มน้ อ้ ยนดิ มนั กป็ รากฏไดย้ าก เพราะเปน็ อารมณส์ ว่ นละเอยี ด
สตปิ ญั ญาตอ้ งเขา้ ไปพจิ ารณาแยกแยะสว่ นละเอยี ดอาการของจติ อกี คอื เวทนาของจติ
ความสขุ ความทุกข์ ซงึ่ จะไม่คอ่ ยมี หรือความเฉยของจิต ต้องใช้ปัญญาเห็นความ
ไม่เท่ียง ความไม่ใชต่ วั ตน พิจารณาเพอ่ื ท่จี ะปลอ่ ยวางออกไปในเวทนาของจติ หรอื
ในความจำ� ซ่งึ จิตหมายมั่นว่าเป็นตวั จิต ความจำ� ได้หมายรู้ในส่งิ ต่างๆ เราก็เข้าใจว่า
อนั นัน้ คือใจของเรา เหน็ ความจำ� ของเราหรอื เหน็ จิตของเรา
สตปิ ญั ญาทลี่ ะเอยี ดกจ็ ะเขา้ ไปพจิ ารณาโดยธรรมชาตใิ หเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความ
ไมใ่ ชต่ วั ตนของความจำ� อนั นนั้ วา่ มนั ไมใ่ ชต่ วั จติ มนั เกดิ ขนึ้ แลว้ กด็ บั ไป เหน็ อยเู่ สมอๆ
เหน็ ชดั ขน้ึ มนั ก็ค่อยปล่อยวางออกไป หรอื ความนกึ คิดปรงุ แตง่ สติปัญญาก็เขา้ ไป
เห็นว่าเราเคยคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องที่ดีท่ีเป็นกุศล ปรุงแต่งไปในเร่ืองต่างๆ เห็นก็
เป็นเพียงอาการของจิต สติปัญญาก็เข้าไปพิจารณา เห็นชัดข้ึน เห็นความไม่เที่ยง
ความไมใ่ ชต่ วั ตนของสงั ขารหรอื วญิ ญาณความรบั รตู้ า่ งๆ สตปิ ญั ญากจ็ ะเรม่ิ เหน็ ชดั ขนึ้
การรบั รคู้ วามสขุ ความทกุ ข์ รใู้ นสง่ิ ตา่ งๆ ความรอู้ นั นน้ั ยงั คงเปน็ ความรซู้ ง่ึ มตี วั ตนอยู่
ในการรบั รู้ตา่ งๆ จึงเป็นผรู้ ู้ซึ่งมีกิเลสอยู่
สตปิ ญั ญาตอ้ งเขา้ ไปพจิ ารณาสว่ นละเอยี ดในวญิ ญาณนน้ั ใหเ้ หน็ อนจิ จงั อนตั ตา
รวมลงแลว้ พจิ ารณาทง้ั เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ใหเ้ หน็ เปน็ ไตรลกั ษณ์ พจิ ารณา
จนละเอียดไป สดุ ทา้ ยแล้วกย็ ้อนมาทใี่ จเจ้าของ ใจท่ียดึ มัน่ ถือมั่นวา่ เปน็ จติ หรอื ว่า
เปน็ ผรู้ ู้ เพราะทา่ นใหพ้ จิ ารณาทำ� ลายผรู้ ตู้ วั นน้ั เพราะผรู้ ตู้ วั นนั้ กย็ งั เปน็ กเิ ลส เปน็ อวชิ ชา
มีกเิ ลสกำ� กับอยู่ หรอื เป็นความหลงซงึ่ ยดึ มั่นถือมั่นให้จิตหลงในตัวจิตวา่ น่นั เปน็ จติ
เพราะฉะนัน้ ทา่ นจงึ ย้อนใหม้ ีสตมิ ปี ญั ญา พจิ ารณาให้เหน็ ความไม่เที่ยง ความไมใ่ ช่
ตวั ตนของสง่ิ ทยี่ ดึ มน่ั ถอื มน่ั ทง้ั หลายทง้ั ปวงใหอ้ อกไปจากจติ คอื ความนกึ คดิ ปรงุ แตง่
ต่างๆ ซ่ึงจิตจะหลงว่าเป็นจิต หลงยึดม่ันถือม่ันในอารมณ์ท่ีเกิดทุกอย่างว่าเป็นจิต
179
สติปัญญาจึงย้อนมาพิจารณาท�ำลายตัวนั้นให้เห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน
จนปลอ่ ยวางออกไป จงึ เปน็ ความรซู้ ง่ึ บรสิ ทุ ธขิ์ น้ึ มา เพราะฉะนนั้ นกั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ อ้ ง
วางความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในรา่ งกาย วางความยดึ มน่ั ถอื มนั่ อารมณภ์ ายในจติ จนกระทงั่
ไมม่ คี วามยึดมน่ั ถือม่นั ในสิง่ ใดเลย
ครูบาอาจารย์ท้ังหลายท่านก็ประพฤติปฏิบัติเพ่ือท�ำจิตให้บริสุทธิ์นี่แหละ
เพราะฉะนนั้ ถงึ แมว้ า่ เรอื่ งตา่ งๆ เหลา่ นเี้ ปน็ เรอ่ื งละเอยี ด ซง่ึ เราอาจจะคาดคะเนหรอื เดา
ไมไ่ ด้ แตเ่ ราทกุ คนควรทจ่ี ะพยายามพอรเู้ ปน็ แนวทางวา่ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมนนั้
จะตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หอ้ ยใู่ นศลี ในสมาธิ ในปญั ญา เพอื่ ทจ่ี ะใหจ้ ติ มสี ตมิ ปี ญั ญา
พจิ ารณาในเรอ่ื งของอารมณ์ ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของรา่ งกายนี้ มสี ติ
มปี ญั ญาพจิ ารณาใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ชต่ วั ตนของจติ ซง่ึ เรายดึ มนั่ ถอื มนั่ วา่
เป็นตัวตนนี้อยเู่ สมอๆ อันนี้เป็นหนทางมรรคปฏิปทาแหง่ การประพฤติปฏบิ ตั เิ พ่ือจะ
ละกเิ ลสใหส้ ิ้นไปจากใจของเรา
เพราะฉะนั้นหลักประพฤติปฏิบัติที่เป็นหลักประพฤติปฏิบัติที่ตรงท่ีแน่นอน
คือปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือปฏิปทาของพระอรหันต์สาวก
ทั้งหลาย ถ้าเราออกนอกแนวน้ีของครูบาอาจารย์มันก็จะเสียหาย มันไม่ใช่ปฏิปทา
เป็นไปเพ่อื ความพ้นทุกข์ หรือไม่ใชเ่ ป็นปฏปิ ทาไปเพ่ือรู้ธรรมเหน็ ธรรม เพราะฉะนัน้
ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ หรือธุดงควัตรเป็นเครื่องขูดเกลากิเลส เราต้องส�ำรวมจิตใจ
ของเราให้อยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัยอยู่เสมอเพื่อที่จะให้มีความสงบกาย
สงบวาจา สงบจติ ใจ ส่วนหนึง่ เรากท็ �ำสมาธิภาวนา เพราะเมอ่ื จติ ใจเรายงั มีกิเลสอยู่
สติปัญญาไมเ่ หน็ กิเลส เราตอ้ งเร่งท�ำสมาธิภาวนาเพื่อใหจ้ ิตใจของเรามีความสงบ
เม่อื จติ ใจเรามีความสงบเกดิ ข้นึ มันก็จะเหน็ อาการของจติ อาการของกิเลสซึ่ง
เกดิ ขน้ึ ในจติ ใจของเรา สตปิ ญั ญากจ็ ะเขา้ พจิ ารณาทำ� ลายกเิ ลสอยา่ งหยาบ อยา่ งกลาง
อยา่ งละเอียดยิ่งๆ ข้ึนไป อนั นีเ้ ปน็ สำ� คัญ เพราะฉะน้นั เรอ่ื งการประพฤติปฏบิ ัตนิ ้ัน
เราไมใ่ ชเ่ ขา้ มาอยมู่ าประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ลน่ ๆ อยา่ นงิ่ นอนใจ แตล่ ะวนั กล็ ว่ งเลยไป วนั และ
180
คนื กผ็ า่ นพน้ ไป เพราะฉะนนั้ เราตอ้ งทำ� ความเพยี รใหไ้ ดเ้ ตม็ ที่ เราเหนอ่ื ยเรากพ็ กั ผอ่ น
พกั ผ่อนเพื่อทจ่ี ะตอ่ สู้
เม่ือมกี ำ� ลงั กายทเ่ี ขม้ แข็ง ก�ำลังจิตท่ตี ้ังมนั่ เราเขา้ ต่อสู้กับกิเลสภายในใจของ
เราอยู่ เราอย่ใู นชัยภูมทิ ี่เหมาะ คือเพศผา้ กาสาวพัสตร์อนั เปน็ ธงชัยของพระอรหันต์
เราต้องมคี วามมุ่งหวังทีจ่ ะเอาชนะกเิ ลสภายในจติ ใจของเราใหไ้ ด้ ตราบใดที่เรายังมี
ลมหายใจอยู่ มสี ติ มปี ญั ญา เราจะไมท่ อ้ ถอยทจี่ ะเอาชนะกเิ ลส วนั นเี้ ราทอ้ แท้ เรากต็ อ้ ง
พิจารณาหาอุบายให้เกิดศรัทธาความเพียรที่จะเอาชนะกิเลสให้ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อยา่ งเชน่ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ หรอื พระอรหนั ตส์ าวกทงั้ หลาย ซง่ึ ทา่ นจะ
ประพฤตปิ ฏบิ ตั นิ นั้ ทา่ นสละทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง หลกี เรน้ บำ� เพญ็ ภาวนาอยใู่ นปา่ อยบู่ นเขา
อยู่ในถ�ำ้ ไมแ่ สวงหาลาภสกั การะทงั้ หลายทงั้ ปวง อาศัยบริขารแปด ปัจจัยทัง้ ส่ีเพ่อื
บ�ำเพ็ญภาวนาในวันหนึ่งกบั คืนหน่ึงเทา่ นั้น
เพราะฉะน้ันพวกเราทกุ คน ทจ่ี รงิ ปจั จุบันน้ีเราอาศยั มลู ของสมเด็จพระสัมมา-
สัมพุทธเจา้ เรามีความเป็นอยู่คอ่ นข้างจะสบาย อาศยั ศรัทธาญาตโิ ยมซ่งึ ศรทั ธาใน
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เขา้ มาทำ� นบุ ำ� รงุ บวรพระพทุ ธศาสนา เพราะฉะนน้ั เราอยา่
ลมื ภายในจติ ใจของเราวา่ เราเขา้ มาบวชทำ� ไม เราอาศยั ปจั จยั สขี่ องชาวบา้ น เพราะฉะนน้ั
เราต้องบ�ำเพ็ญให้สมกับที่เราอาศัยปัจจัยสี่ของชาวบ้านเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม
เพ่ือจะดำ� เนินไปเพื่อความพ้นทุกข์ ในแต่ละวันแต่ละคืนควรท่ีจะกระทำ� ความเพียร
ใหไ้ ด้เตม็ ท่ี เหนือ่ ยก็พกั ผ่อนเพยี งเพ่ือที่จะเอาชนะกิเลสต่อไปเท่านนั้ แค่นน้ั แหละ
ถา้ เราทำ� เชน่ น้ที กุ ๆ วนั ไม่คลายจากความเพยี ร ใจเรากจ็ ะรูธ้ รรมขน้ึ มา
ความรโู้ ดยปกตพิ วกเราไดย้ นิ ไดฟ้ งั กนั มามาก ไดศ้ กึ ษากนั มามาก อนั นเี้ รยี กวา่
ความรู้ แตไ่ มใ่ ชค่ วามเหน็ ภายในจติ จากความรนู้ นั้ เราทำ� ใหเ้ กดิ ความเหน็ ภายในจติ
ขนึ้ มาดว้ ยการดำ� เนนิ ในศลี ในสมาธิ ในปญั ญา ความเหน็ จะเกดิ ขน้ึ ไดก้ ต็ อ่ เมอื่ มสี ติ
มปี ญั ญาพจิ ารณารา่ งกายภายในกายตน ใหเ้ หน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ความไมใ่ ชต่ วั ตน มสี ติ
มปี ญั ญาพจิ ารณาอารมณภ์ ายในใจ เราเหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ชต่ วั ตน ของอารมณแ์ ตล่ ะ
181
อารมณท์ เ่ี กดิ ดบั มสี ตมิ ปี ญั ญาพจิ ารณาเหน็ แบบนแี้ หละ เหน็ ความไมเ่ ทย่ี ง ความไมใ่ ช่
ตัวตนอยู่เสมอๆ จึงเรยี กว่าเหน็ เหน็ ภายในใจของเรา เห็นแลว้ เกดิ ความสลดสงั เวช
เกิดปีติ เกดิ ความปลอ่ ยวางขน้ึ มา เรียกว่า ความเหน็
เมอ่ื สตปิ ญั ญาพจิ ารณาเหน็ บอ่ ยๆ จนชดั ประจกั ษข์ น้ึ ทใ่ี จ นน่ั แหละจงึ จะเปน็ ธรรม
ขนึ้ มา ในการละกเิ ลส ปลอ่ ยวางออกไปทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย ทลี ะขน้ั ทลี ะตอน จงึ เรยี กวา่
เป็นธรรมข้นึ มา ส่งิ ทีเ่ รียกวา่ ธรรม คอื พระโสดาปัตตผิ ล ก็เปน็ ธรรมในระดับหนึ่ง
พระสกิทาคามีผล ก็เป็นธรรมระดับสอง พระอนาคามีผล ก็เป็นธรรมระดับสาม
พระอรหตั ตผล กเ็ ปน็ ธรรมระดบั ส่ี อนั นน้ั ก.็ ..เปน็ ธรรมขนึ้ มา ถา้ เปน็ พระอรหตั ตผล
ก็เป็นธรรมทงั้ ดวง จติ ใจบริสทุ ธป์ิ ราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ดบั สนทิ
โดยสิ้นเชงิ จึงเปน็ บรมสขุ ท่ีท่านกลา่ วไว้ว่า สุขอน่ื ยง่ิ กว่าความสงบไม่มี หมายถึง
สงบจากกิเลสภายในจติ ใจของแต่ละบุคคล ความสงบเยอื กเยน็ ก็เกดิ ขน้ึ เปน็ บรมสขุ
เพราะฉะนนั้ ใหพ้ วกเราทกุ คนพงึ พยายามปรารภความเพยี รอยเู่ สมอ ธรรมะหรอื
การศึกษาจากหนังสือต�ำรับต�ำราก็เคยได้ยินได้ฟังมาพอสมควรแล้ว ทุกส่ิงทุกอย่าง
เรากร็ หู้ นทางประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพราะฉะนน้ั ทำ� ปฏปิ ทาใหเ้ ปน็ ไปเพอ่ื ทจี่ ะใหร้ ธู้ รรมเหน็
ธรรมตามรอยสมเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ หรอื พระอรหันตส์ าวกท้ังหลาย
ในวันนก้ี ข็ อยุติแตเ่ พียงเท่าน.ี้ ..
182
สิง่ ทเ่ี กิดข้นึ ได้ยาก
ณ วดั บุญญาวาส วนั ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๙
ในแผน่ ดนิ ในโลกนน้ี น้ั เขาสมมตุ กิ อ้ นหนิ แตล่ ะชนดิ ใหเ้ ปน็ สงิ่ ทม่ี คี ณุ คา่ จะเปน็
แรท่ องกด็ ี ทองค�ำก็ดี ซ่ึงเปน็ สิ่งสมมุติว่ามีค่า ก็ยังหาได้ในแผ่นดนิ นี้ หาได้ไมย่ าก
ลำ� บากเทา่ ไร จะเปน็ พลอย เพชร นลิ จนิ ดากต็ ามทมี่ อี ยใู่ นแผน่ ดนิ นี้ กย็ งั หาไดไ้ มย่ าก
กอ้ นหินทงั้ หลายเหลา่ นี้ เขาสมมตุ ใิ หเ้ ปน็ สง่ิ มีค่ามากทม่ี นษุ ย์เราสมมตุ ขิ ้นึ มา จะเป็น
ทองคำ� กด็ ี จะเปน็ เพชรพลอยตา่ งๆ กด็ ี ทว่ี า่ หายากนน้ั กไ็ มย่ ากเทา่ ไร ไมเ่ หลอื วสิ ยั แก่
การค้นคว้าเสาะแสวงหาของมนษุ ย์ซึ่งมีความตอ้ งการในรูปวัตถุ
แตใ่ นแผน่ ดนิ นี้ พระพทุ ธเจา้ จะเกดิ ขนึ้ แตล่ ะพระองคน์ นั้ หาไดย้ ากทสี่ ดุ เราทกุ คน
ความจรงิ โชคดที ไ่ี ดเ้ กดิ ขนึ้ มาในยคุ ซง่ึ มพี ระพทุ ธศาสนา มคี ำ� สงั่ สอนขององคส์ มเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ เป็นส่ิงซึ่งยากล�ำบากเหลือเกินท่ีสัตว์ท้ังหลาย
จะเกดิ ขนึ้ มาในภพภมู ขิ องมนษุ ยท์ จ่ี ะมาพบพระพทุ ธศาสนา เพราะในภพภมู ติ า่ งๆ นน้ั
มมี ากมายเหลอื เกนิ ภพทห่ี ยาบตง้ั แตภ่ พทต่ี ำ�่ คอื นรก กม็ หี ลายภพหลายภมู ิ เปรตกม็ ี
หลายภพหลายภมู ิ อสูรกาย สตั วเ์ ดรัจฉาน เทวดาหรือพรหม และภพภมู ขิ องมนษุ ย์
บุคคลซ่ึงเกิดขึ้นมาในโลกนี้ซ่ึงได้มาพบพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งซ่ึงหาได้ยากย่ิงกว่า
ทองคำ� และเพชรพลอยทั้งหลายซ่ึงคนทัง้ หลายหลงว่าเป็นสิ่งซ่งึ มีคุณค่ามาก
ทรัพย์สมบัติหมดท้ังโลกน้ีหรือสามแดนโลกธาตุก็ตามตามสมมุติทั้งหลาย
กไ็ มเ่ ทา่ กบั กำ� เนดิ ขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แตล่ ะพระองคอ์ นั มคี ณุ คา่ มาก
183