The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Autistic Spectrum Disorder ปัญหาพฤติกรรม ภาษา และการแก้ไข ประสบการณ์จากโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ โดย นพ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by BS_Library, 2019-12-20 00:36:54

Autistic Spectrum Disorder

Autistic Spectrum Disorder ปัญหาพฤติกรรม ภาษา และการแก้ไข ประสบการณ์จากโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ โดย นพ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล

41

ในคนก็มีพฤตกิ รรมชดุ นีเ้ชน่ กนั สําหรับชดุ พฤตกิ รรมที่ Bowlby พบในคนนนั้ เป็นการกระทําแบบ
เดยี วกบั ที่ ศ.พญ.เพ็ญแข ลม่ิ ศลิ า ได้รวบรวมไว้ Bowlby (34) ได้จดั กลมุ่ พฤตกิ รรมเหลา่ นีเ้ป็น 2 ชดุ คือ

1. Signaling behavior คอื ชดุ พฤตกิ รรม ตามสญั ชาตญาณ ท่ีสิ่งมีชีวิตตวั ลกู จะแสดง แล้วมีผล
ตอ่ ตวั แม่ ทําให้แมเ่ กิดความกงั วล ต้องกลบั มาหา ในคน ได้แก่ การยมิ ้ , การร้องไห้, babbling และการสง่
เสียงเรียก

2. Approach behavior คือ ชดุ พฤตกิ รรม ตามสญั ชาตญาณ ท่ีส่ิงมีชีวติ ตวั ลกู จะแสดงเพ่ือเข้าหา
ความอบอนุ่ ปลอดภยั จากตวั แม่ ในคน ได้แก่ การที่ลกู คลาน หรือเดนิ เข้าไปหาหรือการตามแม่โดยตรง

พฤตกิ รรมชดุ เดยี วกนั นี ้ ขาดหายไปในผ้ปู ่ วย ASD บางกลมุ่ ซง่ึ นา่ จะมีนยั สําคญั เพราะหลกั ข้อ
หนงึ่ ของพฒั นาการก็คอื พฒั นาการนนั้ เป็นกระบวนการตอ่ เน่ือง (continuous process) โดยพฤตกิ รรมท่ี
ทําได้ในตอนเลก็ จะเป็นต้นทนุ ของการพฒั นาพฤตกิ รรมใหมใ่ นตอนโต ตวั อยา่ งเชน่

การยืน การยืนนบั เป็นพฤตกิ รรม เพราะเป็นการกระทําที่เหน็ ชดั วดั ได้ การยืนจะเป็นต้นทนุ ของการ
วง่ิ หากยืนไมไ่ ด้ก็ไมส่ ามารถวิ่งได้ การว่งิ ก็จะเป็นต้นทนุ ของการกระโดด หรือเมื่อรวมกบั การทรงตวั การวงิ่
ธรรมดาก็จะพฒั นาเป็นการวง่ิ ซกิ แซก็ ได้

การไมป่ รากฏพฤตกิ รรม ที่เป็นสญั ชาตญาณ จะเป็นปัญหาใหญ่เพราะทําให้เดก็ ขาดต้นทนุ ในการ
พฒั นาตอ่ ยอด ในการไมม่ ีพฤตกิ รรมท่ีเกี่ยวกบั attachment นีม้ ีการศกึ ษาท่ี มีความเช่ือมโยงในทางอ้อม
คอื การศกึ ษาเรื่อง oxytocin ซง่ึ เป็น ฮอร์โมนท่ีมีผลตอ่ พฤตกิ รรมทางอารมณ์และสงั คม รวมทงั้ ความผกู พนั
ระหวา่ งแมล่ กู ในการศกึ ษาหลาย ๆ รายงานพบความสมั พนั ธ์กบั ASD ในระดบั หนง่ึ

ในเดก็ ที่โตขนึ ้ ในระยะ prelinguistic period คอื กอ่ นอายุ 2 ปี (25) จะมีพฤตกิ รรมอีกชดุ หนงึ่ ที่ควร
ปรากฏแตไ่ มป่ รากฏ คือ พฤตกิ รรมการส่ือสารด้วยทา่ ทาง การศกึ ษาในเดก็ ปกตพิ บวา่ เดก็ จะมีการส่ือสาร
แบบไมใ่ ช้ภาษาที่พบบอ่ ยอยู่ 2 แบบ คือ

Protodeclarative gesture เป็นทา่ ทางท่ีเดก็ แสดงตอ่ วตั ถุ ด้วยความสนใจ เชน่ การชี ้จบั หรือเอา
มือชวู ตั ถขุ นึ ้ มา เพื่อแสดงให้คนเลีย้ งดู

Protoimperative gesture เป็นทา่ ทางท่ีเดก็ แสดงออก เชน่ ชี ้โผเข้าหาหรือ ออกเสียง โดยส่ือสาร
ตอ่ คนอยา่ งมีวตั ถปุ ระสงค์บางอยา่ ง เชน่ เพ่ือให้มองตาม

42

Baron-Cohen(1996)(35) ได้ศกึ ษาอาการท่ีนา่ จะเป็น ตวั พยากรณ์ การวนิ ิจฉยั ASD ในอนาคตกบั
เดก็ กลมุ่ หนงึ่ พบวา่ เดก็ ที่ไมร่ ู้จกั ชี ้ (protodeclarative pointing) จะมีโอกาสได้รับการวินิจฉยั เป็น ASD ใน
อนาคตคอ่ นข้างสงู (strong predictor) พณั ณะวไล พินทนุ นั ท์ (2552)(36) ได้ศกึ ษาการคดั กรอง ASD ด้วย
M-CHAT และ CHAT สว่ น B ก็ได้ผลคล้ายคลงึ กนั (37)

การขาดความสามารถในการส่ือสารด้วยทา่ ทางนี ้ เป็นสาระสําคญั ประการหนงึ่ ตามเกณฑ์วินจิ ฉยั
ในหวั ข้อเร่ืองภาษา ข้อค้นพบของ Cohen ชีใ้ ห้เห็นวา่ มีพฤตกิ รรมการส่ือสารที่เดก็ เกือบทกุ คนทําได้หายไป
ในผ้ปู ่ วย ASD และการศกึ ษาพฤตกิ รรมชดุ นีใ้ นเดก็ ไทย นิชรา เรืองดารกานนท์ (2554)(38) ได้ทําการสํารวจ
เดก็ อายุ 12-23 เดือน พบวา่ เดก็ ไทยจะมีการสื่อสารด้วยทา่ ทาง ดงั นี ้

การชีบ้ อกความต้องการร้อยละ 98.3,จบั มือหรือแขนผ้เู ลีย้ งดยู ื่นไปในทิศทางของสิง่ ท่ีต้องการ ร้อย
ละ 94.2, หนั หน้าไปจ้องมองสิง่ ของที่ต้องการแล้ว หนั กลบั มามองดผู ้เู ลีย้ งดู ร้อยละ 93.2, ทําทา่ ชีช้ วนผู้
เลีย้ งดใู ห้ดสู ิง่ ท่ีตนสนใจ ร้อยละ 95.2 โดยเดก็ ชายทําได้น้อยกวา่ เดก็ หญิงเลก็ น้อย

ขณะเดยี วกนั joint attention ที่หมายถึงพฤตกิ รรมการตอบสนองของเดก็ เม่ือผ้เู ลีย้ งดู ชีช้ วนให้ดสู ่งิ
หนง่ึ สิง่ ใด เดก็ ร้อยละ 98 จะสนใจมองตาม โดยเดก็ ชายทําได้ใกล้เคียงกบั เดก็ หญิง คือ ร้อยละ 98.0 และ
99.8 ตามลําดบั

ข้อค้นพบเหลา่ นี ้ หากนํามาพจิ ารณาร่วมกนั จะเห็นวา่ ผ้ปู ่ วย ASD กลมุ่ หนง่ึ อาจจะมีพยาธิสภาพ
บางอยา่ งทําให้พฤตกิ รรมพืน้ ฐานท่ีธรรมชาตกิ ําหนดให้มนษุ ย์มี ขาดหายไป การขาดหายไปของพฤตกิ รรม
ชดุ นี ้ทําให้การเรียนรู้เกิดการเบ่ยี งเบน นําไปสพู่ ฤตกิ รรมท่ีแปลก ๆ เมื่อโตขนึ ้ อยา่ งไรก็ตามเร่ืองนีย้ งั คงต้อง
คอยการค้นหาหลกั ฐานตอ่ ไป

43

บทท่ี 5 ปัญหาพฤตกิ รรมจาก การประมวลผลข้อมูลในผู้ป่ วย ASD

ในบทท่ีแล้ว ได้จําแนกปัญหาพฤตกิ รรมผ้ปู ่ วยออกเป็น สองลกั ษณะ คือ พฤตกิ รรมท่ีควรมีแตไ่ มม่ ี
และพฤตกิ รรมที่ไมค่ วรมีแตม่ ี พฤตกิ รรมที่ไมค่ วรมีแตม่ ีนนั้ จะมีการกระทําตา่ ง ๆ กนั โดยบางการกระทํา
สามารถจบั แบบแผนของพฤตกิ รรมได้ พฤตกิ รรมเหลา่ นีม้ กั เป็นอาการท่ีรู้จกั กนั ดี เพราะมีการศกึ ษาและ
รายงานมานานแล้ว แตบ่ างพฤตกิ รรมก็จบั แบบแผนไมไ่ ด้ ในบทนีจ้ ะกลา่ วถงึ เฉพาะท่ีจบั แบบแผนได้ สว่ น
ที่จบั แบบแผนไมไ่ ด้จะกลา่ วถงึ ในบทตอ่ ไป

ตวั อยา่ งพฤตกิ รรมที่จบั แบบแผนได้ เชน่ การนําคํา หรือประโยคท่ีได้ยนิ มา มาใช้ซํา้ ในสถานการณ์
เดมิ หรือใกล้เคียงกบั เดมิ โดยผ้ทู ่ีใกล้ชิดจะบอกได้วา่ คาํ หรือ ประโยคนนั้ ๆ เป็นส่ิงที่พอ่ แม่ หรือคนเลีย้ ง
พดู กบั ผ้ปู ่ วยเป็นประจํา ลกั ษณะเชน่ นี ้ดสุ ติ ลิขนะพิชิตกลุ (2544)(39) ได้รายงานไว้ในวารสาร โรงพยาบาล
พระศรีมหาโพธ์ิ และเรียกวา่ “การเรียนรู้แบบยดึ ตดิ ”

การเรียนรู้แบบนี ้เป็นการนําประสบการณ์ท่ีผ้ปู ่ วยเก็บไว้ในความจํา (storage memory) มาใช้ตรง
ๆ โดยไมม่ ีการดดั แปลงให้เหมาะสม หรือ พดู อยา่ งง่าย คอื นําความจํามาใช้ ตรง ๆ โดยไมผ่ า่ นการคดิ การ
กระทําในลกั ษณะนี ้แสดงวา่ ให้เหน็ วา่ working memory ของผ้ปู ่ วยยงั ไมท่ ํางาน หรือทํางานได้ไมส่ มบรู ณ์
เชน่

ผ้ปู ่ วยเดก็ ชาย อายุ 8 ปี ทกุ เยน็ เวลามารดามารับกลบั บ้าน จะถามผ้ปู ่ วยวา่

‚อ๊อดจะไปอิมพีเรียลมยั๊ ‛ ผ้ปู ่ วยไมต่ อบ แตแ่ มก่ ็จะพาไปเที่ยวห้างอิมพีเรียลทกุ วนั

วนั หนง่ึ ขณะเดนิ กลบั บ้านด้วยกนั ผ้ปู ่ วย ก็พดู กบั มารดาวา่

‚อ๊อดจะไปอิมพีเรียลมยั๊ ‛ มารดาก็เข้าใจวา่ ผ้ปู ่ วยต้องการให้พาไปห้างอมิ พีเรียลแล้วทงั้ คกู่ ็ไปด้วย
กนั

นอกจาการไปเท่ียวห้างอมิ พีเรียลแล้วในความต้องการตา่ ง ๆ ผ้ปู ่ วยก็จะ ใช้ประโยควา่ “อ๊อดจะ....
มย๊ั ” เชน่ “อ๊อดจะ..กินขนม..มย๊ั ” เป็นต้น

พฤตกิ รรมแบบนีเ้ป็นพฤตกิ รรมที่พบตงั้ แต่ Leo Kanner (1943) ได้รายงานความผดิ ปกตนิ ีใ้ นราย
งานฉบบั แรก เชน่

44

ผ้ปู ่ วยรายที่ 1 Donald T.

There were also innumerable verbal rituals recurring all day long. When he desire to get
down after his nap, he said ‚Boo [his word for his mother] say ‘Don,do you want to get down?’‛

His mother would comply, and Don would say ‚now say ‘all right’‛ The mother did ,and
Don got down

ผ้ปู ่ วยรายที่ 2 Frederick W.

He has great difficulty in learning the proper use of personal pronouns. When receive a
gift, he would say of himself: ‚You say ‘Thank you.’‛

ในรายงานผ้ปู ่ วยทงั้ 11 ราย มีหลายรายท่ีมีลกั ษณะการพดู แบบนี ้จากกรณีตวั อยา่ งจะเหน็ การใช้
ภาษาเพ่ือการส่ือสาร สองแบบ แบบแรกเป็นการสื่อสารเชงิ คําสงั่ (intention meaning ซง่ึ จะกลา่ วถึงในบท
ตอ่ ไป) คอื ประโยค ที่ Donald บอกแมว่ า่ ‚Boo say…..‛ ประโยคนี ้ มีเจตนาให้แมพ่ ดู ตามที่เขาสงั่ ถือได้วา่
เขาเป็นผ้เู ร่ิมต้นการสนทนา สว่ นประโยคที่เหลือเป็ นการบอกให้แมท่ ําซํา้ กบั ที่เคยทํามาในราย Frederick
เป็นการพดู กบั ตวั เอง จากคําท่ีคนอ่ืนเคยพดู กบั เขา(2)

หากสงั เกตพฤตกิ รรมของผ้ปู ่ วยอยา่ งใกล้ชดิ จะพบวา่ นอกจากพฤตกิ รรมการพดู ซง่ึ จะเหน็ การใช้
คําที่ผดิ ได้โดยง่ายแล้ว ยงั พบได้ในพฤตกิ รรมอื่น ๆ อีกเชน่ การโบกมือบา๋ ยบาย ท่ีนิยมใช้กบั การเลีย้ งเดก็
ในประเทศไทย ผ้ปู ่ วยหลายราย จะโบกมือกลบั โดยหนั ฝ่ ามือเข้าหาหน้าตวั เอง ซง่ึ ในเดก็ ปกตจิ ะทําถกู และ
เรียนรู้ได้โดยงา่ ย นอกจากการโบกมือแล้ว การไหว้ในผ้ปู ่ วยบางรายก็พยายามจะหนั ด้านนวิ ้ ก้อยเข้าหาตวั
แตพ่ บได้น้อยกวา่ หรืออีกรายหนง่ึ เวลาเดนิ ชนอะไร ก็จะต้องหนั กลบั ไปตีสิ่งนนั้ สองสามที ก่อนแล้วคอ่ ย
เดนิ ตอ่ ไป ซง่ึ เป็นพฤตกิ รรมที่พอ่ แมใ่ นประเทศไทยมกั ทํากนั เวลาเดก็ เดนิ ชนสิ่งของตา่ ง ๆ

การเรียนรู้แบบนีท้ ําให้เกิดอาการแสดงเป็นลกั ษณะใหญ่ ๆ ได้ 2 ลกั ษณะ คอื

การยดึ ตดิ ท่รี ายละเอียด (detail fixed) คอื ผ้ปู ่ วยจะนําคําท่ีได้ยนิ หรือเหตกุ ารณ์ที่เหน็ มาใช้ตรง
ๆ ตามตวั อยา่ งท่ีนําเสนอไปแล้ว บางรายเป็นลกั ษณะการสื่อสาร 2 ทาง เชน่ กรณีของ Donald T ซงึ่ มีทงั้
สว่ นท่ีพดู กบั แมใ่ นขณะที่แมอ่ ยตู่ รงนนั้ และสว่ นที่จํามา บางรายจะพดู กบั ตวั เอง เชน่ ผ้ปู ่ วยรายหนงึ่ เม่ือ

45

ตอ่ บลอ็ กได้ถกู ต้อง ก็จะพดู กบั ตวั เองวา่ ‚เรียบร้อย เก่งมากครับ‛ ซงึ่ เป็นคําที่แมพ่ ดู ทกุ ครัง้ ที่เดก็ ทําส่ิงหนง่ึ
สงิ่ ใดสําเร็จ เหมือนของ Frederick

การยดึ ตดิ ท่กี ระบวนการ (process fixed) คือ ผ้ปู ่ วย จะใช้กระบวนการท่ีเคยพบเห็นทงั้ หมดมา
แสดงออกใหม่ แทนที่จะเป็นรายละเอียด โดยคําพดู อาจจะไมซ่ ํา้ แตก่ ระบวนการซํา้ เชน่ การเร่ิมต้นสนทนา
ด้วยคาํ ถาม เชน่ “นี่อะไรครับ” “น่ีสีอะไรครับ” หรือ ต้องเอย่ คําวา่ ‚อี‛ ในการตอบชื่อสงิ่ ของหรือคนทกุ ครัง้
เชน่ ถามวา่ นี่ใครจะตอบวา่ ‚อีพอ่ ‛ ‚อีแม‛่ ผ้ปู ่ วยรายนี ้พดู คาํ วา่ ‚อีกา‛ ได้เป็นคาํ แรก การตดิ ที่กระบวนการ
ท่ีได้พบบอ่ ย คือ การเร่ิมต้นการสนทนาด้วยคําถาม

ผ้ปู ่ วย ASD หลายรายที่เร่ิมมีสงั คมพอพดู ส่ือสารกบั คนได้ เวลาต้องการสนทนากบั ใครผ้ปู ่ วยจะคยุ
โดยการตงั้ คําถามตลอดเวลา โดยคําถามนนั้ อาจจะซํา้ หรือไมซ่ ํา้ กนั ก็ได้ เชน่

ผ้ปู ่ วยรายหนง่ึ หยิบของชนิ ้ หนง่ึ บนโต๊ะชขู นึ ้ ถามผ้รู ักษาวา่

‚นี่อะไรครับ‛ พอผ้รู ักษาตอบ เขาก็จะหยิบชิน้ ใหมม่ าถามตอ่ แตป่ ระโยคที่ถามไมซ่ ํา้ กนั บางชนิ ้ ก็
ถามวา่ ‚นี่เรียกวา่ อะไรครับ‛ บางชนิ ้ ก็ ‚น่ีใช้ทําอะไรครับ‛ พอเห็นแผนท่ีที่ประดบั ในห้องก็วิ่งเข้าไปดู แล้ว
ถามวา่ ‚สําโรงอยไู่ หนครับ‛ (สําโรง เป็นจงั หวดั หนง่ึ ในประเทศกมั พชู า ผ้ปู ่ วยรายนีส้ นใจแผนท่ีและจําทาง
รถไฟในประเทศไทย กบั จงั หวดั ในประเทศกมั พชู าได้แมน่ ยํา) พอถามเร่ืองกมั พชู าเสร็จก็หนั ไปหาเส้นทาง
รถไฟ แล้วเร่ิมถามเรื่องรถไฟ

การตดิ กระบวนการสนทนานี ้พอจะจําแนกได้เป็น 3 แบบคือ

1. ใช้ประโยคคําถาม เป็นแบบท่ีพบบอ่ ยที่สดุ
2. ใช้ประโยคคาํ สงั่ ถ้าเป็นการสนทนาก็จะเป็นการบอกความต้องการ จะเอานน่ั จะเอาน่ี แมท่ ํานนั่

ทําน่ีให้หนอ่ ย แตถ่ ้าเป็นการพดู คนเดียว ก็จะเป็นลักษณะทําไปพดู ไป เชน่ เอือ้ มมือไปหยิบของ ก็
พดู วา่ ‚หยิบเบา ๆ เด๋ยี วตกแตก‛ โดยประโยคท่ีพดู นนั้ ก็จะเป็นประโยคที่ผ้ใู หญ่เคยพดู กบั เขา เป็น
ต้น
3. ใช้ประโยคบอกเลา่ ผ้ปู ่ วยมกั จะพดู ไปเรื่อย ๆ เหมือนรําพงึ รําพนั กบั ตวั เอง หรือถ้าเป็นการสนทนา
ก็จะเป็นการสนทนาโดยผ้ปู ่ วยผกู ขาดการเลา่ อยคู่ นเดยี ว

การพดู แบบนี ้ มกั จะสมั พนั ธ์กบั การพดู ที่พอ่ แมพ่ ดู กบั ลกู กรณีแรก พ่อแมก่ ็จะเน้นการสนทนาด้วย
การถามการตดิ เริ่มการสนทนาด้วยคาํ ถามนีใ้ นเดก็ ปกติและเดก็ ASD จะเกิดขณะฝึกพดู หรือเรียนรู้คาํ ศพั ท์

46

พอ่ แมจ่ ะถามลกู วา่ สง่ิ นนั้ เรียกวา่ อะไรสงิ่ นีเ้รียกวา่ อะไรพอผ้ปู ่ วยพดู ได้ แล้วต้องการคยุ กบั ใครก็จะใช้คําถาม
ชดุ เดียวกนั ในการสนทนา

กรณีท่ีสองเกิดจากการที่พอ่ แมม่ กั จะบอกให้ทํานน่ั ทําน่ี แล้วผ้ปู ่ วยทําตามคาํ สงั่ ได้ พอเริ่มรู้จกั การ
สนทนาประโยคคําสงั่ ก็จะเป็นประโยคเด่นที่ผ้ปู ่ วยใช้สว่ นกรณีที่สามจะพบในพอ่ แมท่ ่ีชอบเลา่ เร่ืองหรืออา่ น
หนงั สือให้ลกู ฟัง

การยดึ ตดิ นี ้ จะถือเป็นพยาธิสภาพที่รุนแรง มากน้อยเพียงใดนนั้ ยงั คงต้องอาศยั การศกึ ษาและ
สงั เกตตอ่ ไป ผ้ปู ่ วยบางราย จะมีพฤตกิ รรมในภาพรวมคอ่ นข้างดี พฤตกิ รรมแบบยดึ ตดิ ท่ีเป็นปั ญหานนั้ จะ
แก้ได้ไมย่ าก เป็นเพียงข้อผิดพลาดจากการสอนของผ้ใู หญ่เทา่ นนั้ ในขณะท่ีเดก็ ท่ียงั มีภาพรวมไมค่ อ่ ยดี ยงั
ไมค่ อ่ ยมีปฏิสมั พนั ธ์กบั คนใกล้ชิด พฤตกิ รรมแบบยดึ ตดิ นีก้ ็จะแก้ได้ยาก บางรายก็แก้ไขไมไ่ ด้ก็มี

กรณีท่ีภาพรวมคอ่ นข้างดี พฤตกิ รรมแบบยดึ ตดิ นี ้ เป็นเหมือนความพยายามจะสื่อสารกบั พอ่ แม่
แตไ่ มส่ ามารถสร้างคํา หรือประโยคท่ีถกู ต้องได้ (ผ้ปู ่ วยมกั จะสร้างคํา และประโยคที่ถกู ต้องในกรณีอ่ืนได้
มากแล้ว) จงึ ใช้วธิ ีการเกา่ ที่เคยใช้มาเพ่ือให้ส่ือสารกนั ได้ เชน่ กรณีของ Donald T จะเหน็ วา่ เขาพดู วา่
‚Boo, say Don do you want to get down‛ Boo คอื คําท่ี Don ใช้เรียกแม่ แสดงวา่ การสนทนาในฉากนี ้
Donald ต้องการบอกให้แมท่ ํา

ผ้ปู ่ วยอีกรายหนง่ึ มีการใช้ภาษาท่ีคอ่ นข้างดี สามารถเป็นฝ่ ายเริ่มการสนทนาได้ถกู กาลเทศะ และ
ความต้องการของตนเอง วนั หนง่ึ มือไปโดนหม้อนํา้ ร้อน กลบั มาบอกแมว่ า่ ‚มือไปโดนอะไรมา‛ ‚น้อง..(ช่ือ
ตวั เอง)...เจบ็ มยั๊ ‛ แทนท่ีจะเลา่ เหตกุ ารณ์ด้วยประโยคท่ีถกู ต้อง กรณีเชน่ นี ้อาจจะไมต่ ้องรีบแก้ไข แตห่ นั ไป
พฒั นาภาพรวมในการสร้างคาํ และประโยค ก็จะทําให้การพดู ผิดแบบนีห้ ายไปได้ การดาํ เนนิ โรคแบบนี ้จะ
คล้ายกบั กรณีของ Donald T. ในรายงานของ Kanner

การยดึ ตดิ กบั ประสบการณ์เกา่ นี ้นา่ จะเป็นลกั ษณะเฉพาะที่พบในผ้ปู ่ วย ASD เพราะไมพ่ บในเดก็
ปกติ และนา่ จะเป็นกลไกอนั หนงึ่ ท่ีทําให้การออกแบบการฝึกนนั้ ต้องทําเป็น structure คือ มีลําดบั ขนั้ ตอน
ตารางปฏิบตั ทิ ่ีชดั เจน และเป็นกิจวตั ร ทําให้เดก็ เรียนรู้ได้ เพราะใช้ storage memory เป็นหลกั ในการ
ทํางาน ดงั เชน่ ท่ีใช้ในโปรแกรมของ TEACCH เป็นต้น

ตัวอย่างกรณีศึกษาและการแก้ไข

47

การเก็บข้อมลู ในพฤตกิ รรมกลมุ่ นี ้ใช้ได้หลายแบบตามสภาพปัญหาและวตั ถปุ ระสงค์ สว่ น ขนั้ การ
วเิ คราะห์นนั้ model ท่ีใช้ได้ผลดี คือ SORC โดยสมมตฐิ านท่ีตงั้ ขนึ ้ ควรอธิบายสภาวะอารมณ์และความคดิ
กอ่ นเกิดพฤตกิ รรมด้วย

กรณีศึกษารายท่ี 1

เดก็ ชาย กําลงั เรียนร่วมในชนั้ ประถม ได้รับการพฒั นาทางสงั คมมาดพี อสมควร สามารถเรียนร่วม
และพดู ได้บ้างแล้ว พฤตกิ รรมท่ีเป็นปัญหา คอื เวลาเจอเพ่ือน จะเข้าไปกอดรัดที่ลําตวั แล้วสะบดั เพื่อนไป
มาเหมือนการเลน่ มวยปลํา้

จากการซกั ประวตั พิ บวา่ คณุ พอ่ กลวั วา่ ลกู จะเป็นออทสิ ตกิ และมีปัญหาการเบี่ยงเบนทางเพศร่วม
ด้วยเวลากลบั บ้าน เมื่อพบหน้าลกู ก็จะใช้ทา่ เดยี วกนั เป็นการทกั ทาย

รายนีใ้ นภาพรวม ผ้ปู ่ วยมีการพฒั นาคอ่ นข้างดี แตม่ ีการสอนบางอยา่ งที่ทําให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่
เหมาะสม จงึ เกิดปัญหาขนึ ้ ขณะเดยี วกนั การมีอารมณ์ท่ีต้องการเข้าไปทักทายเพ่ือนเป็นอารมณ์ท่ีดกี าร
แก้ไขจงึ ไมค่ วรตงั้ วตั ถปุ ระสงค์เพื่อลด หรือเลกิ พฤตกิ รรม ควรทําเพียง ปรับพฤตกิ รรมให้เหมาะสมกบั เหตุ
การ์ณ และอารมณ์ท่ีเกิดเทา่ นนั้ และต้องเพมิ่ การปรับการเรียนรู้ท่ีบ้านด้วย รายนีป้ รับพฤตกิ รรมโดย

การปรับพฤตกิ รรม ขณะไปสง่ ลกู ให้พอ่ จงู มือลกู ไว้พอเหน็ เพ่ือนก่อนท่ีผ้ปู ่ วยจะเข้าไปกอดรัดให้พอ่
จบั ลกู ทําทา่ ทกั ทายใหม่ เชน่ เอามือแตะ หรือจบั มือเพื่อน แล้วให้พอ่ พดู สอนวา่ ‚ทกั กนั จบั มือ‛ หรือคาํ อ่ืน
ที่สนั้ ๆ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจใหม่ วา่ เม่ืออยากทกั เพ่ือน ให้ทําอยา่ งไร

การปรับการเรียนรู้ โดยให้พอ่ เลิกกอดรัดลกู เวลากลบั บ้าน แล้วกลบั มาทําทา่ ทกั ทายทา่ เดียวกับที่
สอนลกู ที่โรงเรียนพร้อมกบั พดู ทํานองเดมิ กบั ลกู รายนีใ้ ช้เวลาในการแก้ไขประมาณ 1 เดอื นปัญหาก็หายไป

กรณีศึกษารายท่ี 2

เดก็ ชาย อายปุ ระมาณ 10 ปี มีปัญหาพฤตกิ รรมในการพดู โดย จะพดู วา่ ‚ฝนจะตกแล้ว‛ ทกุ ครัง้ ท่ี
อยากกลบั บ้าน ไมว่ า่ จะอยทู่ ี่ไหน เชน่ ที่ห้างโลตสั ซ่ึงไมม่ ีใครเหน็ ว่าฝนตกหรือไม่ พอ่ แมก่ ็เข้าใจวา่ ประโยค
นีห้ มายถงึ ลกู ต้องการกลบั บ้าน

ซกั ประวตั ไิ ด้ข้อมลู วา่ ประโยค ‚ฝนจะตกแล้ว‛ ที่บ้านมกั จะพดู ตอ่ ท้ายการเรียกผ้ปู ่ วยเข้าบ้านทกุ
ครัง้ โดยไมจ่ ําเป็นต้องมีฝน

48

การแก้ไข ใช้มาตรการเดียวกบั รายแรก โดยเม่ือผ้ปู ่ วยพดู ‚ฝนจะตกแล้ว‛ ให้พอ่ แมแ่ ก้ไขคาํ พดู เป็น
คําท่ีถกู ต้อง เชน่ ‚กลบั บ้าน‛ หรือ ‚จะกลบั บ้าน‛ สว่ นการพดู ตอ่ ท้ายที่บ้านให้เลิกไป

รายนีไ้ มไ่ ด้ผล เพราะในภาพรวมผ้ปู ่ วยยงั พฒั นาได้ไมด่ ี ยงั ไมม่ ีภาษาที่ใช้งานได้ มีเพียงแตป่ ระโยค
หรือวลีท่ีจํามาพดู โดยไมร่ ู้ความหมายของคําแตล่ ะคาํ อยา่ งไรก็ตาม ความสามารถท่ีผ้ปู ่ วยแสดงออกมา
พอจะสะท้อนให้เห็นวา่ ผ้ปู ่ วยรายนี ้ สามารถเรียนรู้ได้ แตอ่ าจจะต้องเป็นแบบไมใ่ ช้ภาษา ซงึ่ นา่ จะเหมาะ
กบั การใช้เทคนคิ ของโปรแกรม TEACCH หรือ PECS เข้ามาเสริม

กรณีศึกษารายท่ี 3

เป็นเดก็ ชายอายุ 8 ปี เรียนร่วมกบั เดก็ ปกตใิ นชนั้ ประถมได้ดี ปัญหาพฤตกิ รรม คอื เวลาแมถ่ ามวา่
กิน ‚อ่ิมมย๊ั ครับ‛ ผ้ปู ่ วยจะตอบวา่ ‚อิ่มแล้วครับ‛ ทกุ ครัง้ ทําให้แมไ่ มแ่ นใ่ จวา่ ที่ผ้ปู ่ วยตอบนนั้ เป็นคาํ ตอบ
จริง ๆ หรือ เป็นการตอบตามที่จํามา

รายนีไ้ ด้สร้างการทดสอบ เพ่ือดวู า่ การตอบนนั้ เป็น การเรียนรู้แบบยดึ ตดิ หรือ เป็นการตอบจริง ๆ
โดยให้แมค่ ดข้าวให้น้อยกวา่ ปกติ พอลกู กินหมดคอ่ ยถามพบวา่ เดก็ ตอบวา่ ‚ยงั ไมอ่ ่ิมครับ‛ ก็แสดงให้เห็น
วา่ การตอบของเดก็ คนนีต้ อบตรงตามที่รู้สึกจริง ๆ

คณุ แมย่ งั คงมีความกงั วลตอ่ ไปวา่ ทําไมลกู จงึ ไมต่ อบเหมือนการสนทนาปกติ ท่ีเวลาเราถกู ถามวา่
‚อมิ่ หรือยงั ‛ เราก็อาจจะตอบวา่ ‚พอแล้วครับ‛ ‚ไมเ่ อาแล้วครับ‛ แทนการตอบตรงคาํ ถามก็ได้จงึ เร่ิมใช้การ
บนั ทกึ พฤตกิ รรมเฉพาะ การถามตอบในการรับประทานอาหารมือ้ เย็น เป็นเวลา 1 เดือน

จากบนั ทกึ พฤตกิ รรมพบวา่ เกือบทกุ ครัง้ คณุ แมจ่ ะถามวา่ ‚อิม่ มยั๊ ครับ‛ เหมือนกนั เชน่ เดยี วกบั ที่
ลกู ตอบวา่ ‚อิ่มแล้วครับ‛ มีบางครัง้ ท่ีคณุ แมล่ องถามด้วยคําถามอ่ืน เชน่ “พอหรือยงั ครับ” ผ้ปู ่ วยก็จะตอบ
วา่ “พอแล้วครับ”

ข้อกงั วล ของคณุ แมร่ ายนีเ้ป็นท่ีนา่ สนใจ เพราะในการสนทนาปกตจิ ะเป็นอยา่ งที่คณุ แมส่ งั เกตจริง
ๆ คอื คนเราไมไ่ ด้ตอบตรงคําถามทกุ ครัง้ แตเ่ ข้าใจกนั ได้ แสดงวา่ การตอบไมต่ รงคําถามของคนปกตเิ ป็น
พฤตกิ รรมการส่ือสาร ที่ทําให้การสนทนาดมู ีชีวิตชีวา มากกวา่ การตอบตรงคาํ ถามทกุ ครัง้ เพราะดเู หมือน
หนุ่ ยนต์ รายนีจ้ งึ ได้ให้คณุ แมป่ รับคาํ ถามใหมไ่ มใ่ ห้ซํา้ กนั เชน่ ‚พอหรือยงั ครับ‛ ‚เอาอีกมย๊ั ครับ‛

49

ผลการปรับพฤตกิ รรมพบวา่ ผ้ปู ่ วยก็เปล่ียนคําตอบไป แตย่ งั ตรงคาํ ถามทกุ คําถาม ท่ีคณุ แมถ่ าม
เชน่ พอแมถ่ ามวา่ ‚พอหรือยงั ครับ‛ ผ้ปู ่ วยก็ตอบวา่ ‚พอแล้วครับ‛ แมถ่ ามวา่ ‚เอาอีกมยั๊ ครับ‛ ผ้ปู ่ วยก็ตอบ
วา่ ‚ไมเ่ อาครับ‛ แม้จะเป็นคาํ ถามที่คณุ แมไ่ มเ่ คยถามก็สามารถตอบได้

ภาพของผ้ปู ่ วยรายนีแ้ สดงให้เห็นการยดึ ตดิ ที่ รูปแบบการตอบคําถามที่ตอบตรงกบั ท่ีถามทกุ ครัง้
ไมเ่ หมือนคนทวั่ ไป ที่การเลือกคาํ ตอบมีความล่ืนไหล มีความเข้าใจตรงกนั ได้แม้จะตอบไมต่ รงท่ีถาม ด้วย
เหตทุ ่ีภาพรวม ผ้ปู ่ วยปรับตวั กบั สงั คมได้ดี เรียนร่วมในโรงเรียนปกตไิ ด้แล้ว การชว่ ยเหลือในครัง้ นีจ้ งึ เป็น
การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ให้แมเ่ ข้าใจวธิ ีคดิ ของลกู ไมไ่ ด้ดําเนินการอะไรกบั เดก็ และไมค่ าดหวงั
อะไรที่เกินขอบเขต คณุ แมก่ ็ขําตวั เองในความชา่ งสงั เกตและขีก้ งั วลในเรื่องเล็กน้อยนี ้ ปัจจบุ นั เดก็ คนนี ้
ยงั คงเรียนระดบั มธั ยม ในชนั้ เรียนปกตขิ องโรงเรียนเอกชนแหง่ หนง่ึ

กรณีศึกษารายท่ี 4

เป็นเดก็ ชายวยั รุ่น อายรุ าว 15 ปี เรียนหนงั สือไมไ่ ด้ แตพ่ ดู คยุ พอได้ ใช้ภาษาไมถ่ กู ไวยากรณ์ เม่ือ
คยุ กบั ผ้ปู ่ วย ในเร่ืองการไปเท่ียวแล้ว แล้วถามผ้ปู ่ วยวา่

‚ชอบเชียงใหมม่ ยั๊ ‛ ผ้ปู ่ วยไมเ่ ข้าใจคําถาม และตอบคําถามไมไ่ ด้แตเ่ มื่อเปลี่ยนคําถามใหมเ่ ป็น

‚เชียงใหม่ ชอบมยั๊ ‛ ผ้ปู ่ วยจะตอบได้วา่

‚เชียงใหม่ ชอบครับ‛ เม่ือถามความชอบในจงั หวดั ตา่ ง ๆ คณุ แมก่ ็ยืนยนั วา่ ผ้ปู ่ วยตอบตรงตามที่
เป็ นจริง

ผ้ปู ่ วยรายนีม้ ีการยดึ ตดิ ที่การเรียงคาํ ในประโยค โดยมีลกั ษณะการใช้ภาษาแบบเรียงคําไมเ่ หมือน
ปกตอิ ีกหลายประโยค หากเปล่ียนการเรียงคาํ จะไมเ่ ข้าใจความหมาย และไมส่ ามารถตอบได้แตถ่ ้าเรียงคํา
ถกู ต้องผ้ปู ่ วยก็จะตอบได้

มารดาพยายามแก้ไข การใช้ไวยากรณ์ของลกู อยตู่ ลอดเวลาทําให้กระแสการสนทนาสะดดุ เป็นพกั
ๆ ในกรณีอาจจะไมจ่ ําเป็นต้องแก้ไข แตใ่ ห้เข้าใจวิธีคดิ ของผ้ปู ่ วย แล้วปรับการพดู คยุ ให้สอดคล้องกบั ความ
เข้าใจของผ้ปู ่ วย เพราะเป้ าหมายของการรักษานา่ จะลดระดบั เป็นเพียงการรักษาแบบประคบั ประคอง ไมม่ ี
เป้ าหมายในการเข้าโรงเรียน

50

จากกรณีตวั อยา่ งที่ยกมาจะเหน็ วา่ มีทงั้ รายท่ีได้ผลและไมไ่ ด้ผล ซง่ึ ในทางปฏิบตั จิ ะเป็นเชน่ นีจ้ ริง
เพราะการรักษาผ้ปู ่ วย ASD ในขณะนีย้ งั ถือเป็นเร่ืองที่ยากมากอยู่ อยา่ งไรก็ตามกรณีท่ีได้ผลก็เป็นบทเรียน
ที่ดี หากเราสามารถค้นหาปัจจยั ของความสําเร็จ (key success factor) ในรายเหลา่ นนั้ แล้วนํามาพฒั นา
เทคนคิ หรือทําซํา้ ก็จะเป็นการพฒั นาความรู้เพื่อชว่ ยผ้ปู ่ วยตอ่ ไป

51

บทท่ี 6 ปัญหาพฤตกิ รรมท่ีเกิดจากความเข้าใจ สถานการณ์รอบตัวของผู้ป่ วย ASD

ในบทที่ 4 ได้กลา่ วถงึ พฤตกิ รรมแปลกอีกชดุ หนงึ่ ที่ไมส่ ามารถจบั รูปแบบได้ ซงึ่ ตา่ งจากพฤตกิ รรม
ท่ีเกิดจากการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ โดยการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ นนั้ หากได้ข้อมลู ครบถ้วนจากการซกั ประวตั ิ หรือ
การบนั ทกึ พฤตกิ รรม ก็พอจะวเิ คราะห์เพื่อเข้าใจท่ีมาของพฤตกิ รรมเหลา่ นนั้ ได้ โดยจบั กลไกสําคญั ท่ีผ้ปู ่ วย
กลมุ่ นีจ้ ะใช้ความจําเป็นหลกั นําข้อมลู จากความจํามาใช้โดยไมม่ ีการประมวลใหม่ หรือแก้ไขให้เหมาะสม
กบั สถานการณ์

มีปัญหาพฤตกิ รรมอีกรูปแบบหนง่ึ ที่ผ้ปู ่ วยจะมีการตอบสนองที่ไมส่ ามารถจบั รูปแบบได้ โดยจะเกิด
ตอ่ จากการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ หรือเกิดโดยไมม่ ีการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ นํามากอ่ นก็ได้ พฤตกิ รรมชดุ นีม้ กั จะ
สร้างปัญหาให้กบั การประเมนิ ทงั้ นีเ้ พราะข้อมลู ที่ได้จากการซกั ประวตั ิ กบั การแสดงออกของเดก็ ที่เหน็ ใน
ห้องตรวจจะไมต่ รงกนั การแก้ไขสามารถใช้การบนั ทกึ วีดโิ อ หรือใช้การบนั ทกึ พฤตกิ รรมโดยแบบบนั ทกึ ใน
แบบบนั ทกึ ประจําวนั เพื่อให้ได้ข้อมลู ท่ีชดั เจนก็ได้

การบันทกึ พฤตกิ รรมแบบบันทกึ ประจาวัน
การบนั ทกึ พฤตกิ รรมแบบนี ้มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อเก็บข้อมูลเร่ิมต้นใช้ในงานวจิ ยั ของ Piaget ท่ีเขาได้
บนั ทกึ พฤตกิ รรมท่ีนา่ สนใจของลกู แล้วนํามาวิเคราะห์ จนพบวา่ เดก็ คดิ ได้ตงั้ แต่ยงั ไมเ่ ข้าใจภาษา ความรู้นี ้
ได้ถกู พฒั นาจนเป็น ทฤษฎีพฒั นาทางสตปิ ัญญาจนทกุ วนั นี ้ หลงั จากนนั้ การวิจยั ทางวชิ าการสาขาอ่ืนท่ี
ต้องศกึ ษาพฤตกิ รรมก็มีการนําไปใช้เชน่ การวิจยั ทางภาษาศาสตร์ ท่ีศกึ ษาการใช้ภาษาของเดก็ โดยบนั ทกึ
ทงั้ พฤตกิ รรมและคําพดู ซง่ึ การบนั ทกึ ที่เน้นทงั้ คําพดู และพฤตกิ รรมนี ้ Piaget ก็ใช้ในการศกึ ษาเร่ืองภาษา
ของเดก็

การบนั ทกึ นีเ้ม่ือนํามาใช้ในการดแู ลผ้ปู ่ วย ASD ก็จะเป็นประโยชน์ ในการเก็บข้อมลู ท่ีตรวจสอบได้
ระหวา่ งผ้รู ักษาและพอ่ แม่ เพราะการได้ข้อมลู จากการบนั ทกึ นนั้ จะให้รายละเอียดได้ดีกวา่ ข้อมลู จากการ
ซกั ประวตั ิ ท่ีพอ่ แมจ่ ะต้องใช้ทบทวนความจํา ซง่ึ มกั คลาดเคลื่อนได้งา่ ยและหลาย ๆ ครัง้ พฤตกิ รรมที่ผ้ปู ่ วย
แสดงออกตอ่ หน้าผ้ตู รวจ จะไมเ่ หมือนกบั พฤตกิ รรมที่เกิดที่บ้านจริง ๆ

วธิ ีบันทกึ
1. บนั ทกึ พฤตกิ รรมที่นา่ สนใจทกุ วนั ๆ ละ 1-2 พฤตกิ รรม

52

2. บนั ทกึ ในตอนเยน็ หรือก่อนเข้านอน เพ่ือผ้บู นั ทกึ จะได้ไมล่ ืมรายละเอียด

3. บนั ทกึ ทงั้ การกระทํา และการพดู ในรูปแบบของการบนั ทกึ ประจําวนั ให้เห็นวา่ ใครทําอะไรหรือ
พดู อะไรกบั ผ้ปู ่ วย แล้วผ้ปู ่ วยตอบสนองอยา่ งไร

ตวั อย่างการบันทกึ พฤตกิ รรมแบบบันทกึ ประจาวัน

ผ้ปู ่ วยรายนีเ้ป็นเดก็ ชาย ได้รับการวินจิ ฉยั เป็น PDD.NOS เมื่ออายุ 2 ปี ได้รับการปรับพฤตกิ รรม
และกระต้นุ พฒั นาการมาโดยตลอด โดยไมพ่ บลกั ษณะการเรียนรู้แบบยดึ ติดเลย ขณะบนั ทกึ อายุ 4 ปี

วันท่ี 1

เลน่ กนั อยใู่ นห้องนอนของน้องหนง่ึ กบั พอ่ แม่ แมพ่ ดู วา่ ‚น้องหนงึ่ หยบิ ‛ แล้วไมพ่ ดู ตอ่ น้องหนง่ึ เดนิ
มาหยบิ ของเลน่ ท่ีพืน้ เก็บใสก่ ลอ่ ง ลองใหม่ โดยย่ืนของให้แล้วพดู วา่ ‚ทงิ ้ ‛ น้องหนงึ่ เอาไปยื่นให้พอ่

วันท่ี 2

บนโซฟามีหนงั สือที่น้องหนงึ่ อา่ นเลน่ อยกู่ บั หมอนหลายใบแมล่ องบอกวา่ ‚น้องหนงึ่ หยบิ ‛ คราวนี ้
น้องหนง่ึ หยดุ มองหน้าก่อนวา่ จะให้หยบิ อะไร เลยบอก ‚หยิบหนงั สือให้แม่‛ ครัง้ แรกทําถกู ครัง้ ท่ีสองแมใ่ ห้
หยบิ หมอน น้องหนงึ่ ก็หยิบถกู พอครัง้ ที่สาม บอกให้หยิบหมอน น้องหนง่ึ หยบิ หนงั สือมาย่ืนให้ แมเ่ ลยสา่ ย
หวั ชีท้ ี่หนงั สือ แล้วพดู วา่ ‚หนงั สือ‛ ชีท้ ่ีหมอนบอกวา่ ‚หมอน‛ แล้วบอกให้หยิบหมอนให้แม่ น้องหนงึ่ ก็ยงั
ยืนยนั ที่จะย่ืนหนงั สือให้แมอ่ ยดู่ ี โดยสง่ เสียงวา่ ‚อ๊ะ‛ แล้วก็รีบว่ิงหนีไป

วันท่ี 3

น้องหนง่ึ อยใู่ นห้องนอนของน้องหนง่ึ ได้เวลาอาบนํา้ ปกตจิ ะอาบนํา้ ในห้องตวั เอง วนั นีแ้ ม่บอกวา่
‚น้องหนงึ่ ไป‛(ชวนออกจากห้องของเขา) น้องหนงึ่ ทําทา่ ลงั เล (เพราะเลน่ นํา้ เป็นสิ่งที่ชอบมากๆ) แมเ่ รียกอีก
ครัง้ วา่ ‚น้องหนงึ่ ไป‛ มองหน้าแล้วไมย่ อมไปแมเ่ ลยเดนิ เข้าไปหา จงู มือแล้วพดู วา่ ‚ไปอาบนํา้ ห้องแม่‛ น้อง
หนงึ่ ร้องกรี๊ด ไมย่ อมไป แมต่ ้องจงู มือแล้วดงึ ไป น้องหนงึ่ ร้องกร๊ีดไปตลอดทาง จนแมพ่ าเข้าไปในห้องนํา้ ใน
ห้องนอนแมแ่ ล้วเห็นวา่ จะได้เลน่ นํา้ ในอา่ งจงึ หยดุ เลยไมแ่ นใ่ จวา่ จริงๆแล้วน้องหนง่ึ เข้าใจคําวา่ อาบนํา้ หรือ
ยงั

วันท่ี 4

53

น้องหนงึ่ ปัดหนงั สือนิทานที่อยบู่ นหวั เตียงให้หลน่ ลงพืน้ จนเกือบหมด แล้วนง่ั ดเู ลม่ ท่ีตวั เองชอบแม่
เดนิ เข้าไปหาแล้วบอกวา่ ‚น้องหนง่ึ เก็บหนงั สือ‛ (นํา้ เสียงคอ่ นข้างด)ุ น้องหนงึ่ ลกุ ขนึ ้ ยืนแล้วเก็บหนงั สือจาก
พืน้ ขนึ ้ ไปวางท่ีเดมิ เก็บไปมองหน้าแมไ่ ปแตเ่ ก็บจนครบทกุ เลม่ แมเ่ ลยบอกวา่ ‚เกง่ ครับ‛ น้องหนงึ่ ทําเสียงสงู
เหมือนคําวา่ ดีใจ แล้วกระโดดไปมา

วันท่ี 7

คณุ พอ่ เอาบตั รภาพ ก-ฮ ท่ีน้องหนงึ่ ชอบมาเลน่ กบั น้องหนงึ่ มีกฎวา่ ถ้าน้องหนง่ึ จะเอา ต้องทําตาม
คําสง่ั กอ่ น และคณุ พอ่ คดิ วา่ วนั นีท้ งั้ 44 ตวั จะใช้คําสง่ั ยกมือขนึ ้ ทกุ ตวั ตวั แรกๆน้องหนง่ึ ยงั ไมค่ อ่ ยยอมยก
มือขนึ ้ จะทํามวั่ ๆ คือสง่ เสียง ‚วาๆ‛ ยกมือไหว้ หรือพดู วา่ ‚เอากึ‛ หรือไมก่ ็พยายามจะแยง่ จากมือ หลงั จาก
ชว่ ยไกด์โดยการแตะข้อศอกให้ยกมือ บวกกบั ยกมือขนึ ้ ให้ดพู ร้อมๆกนั น้องหนง่ึ ก็ทําได้ แตพ่ อผา่ นไปอีกซกั
3-4 ตวั ก็หมดความอดทนที่จะรอให้พดู คาํ วา่ ยกมือขนึ ้ ก่อนพอเห็นตวั อกั ษรก็รีบยกมือเลยทงั้ ๆ ที่ยงั ไมไ่ ด้สง่ั
พอไมใ่ ห้ก็ร้องโวยวาย เอาแตใ่ จมาก ไมค่ อ่ ยยอมฟังที่เราพดู ด้วย จดจอ่ กบั ตวั อกั ษรที่อยากได้อยา่ งเดยี ว

การบนั ทกึ ตามตวั อยา่ ง จะเหน็ องคป์ ระกอบท่ีครบถ้วน ตามวธิ ีการในบทท่ี 2 ซงึ่ ผ้รู ักษาสามารถนํา
ข้อมลู เหลา่ นีม้ าใช้ในการวเิ คราะห์เพื่อทําความเข้าใจ พฤตกิ รรมของผ้ปู ่ วยได้

จากข้อมลู ของน้องหนง่ึ จะเห็นวา่

ในวนั ที่ 1 ดเู หมือนวา่ น้องหนง่ึ จะไมเ่ ข้าใจคาํ วา่ ทงิ ้ แตอ่ าจจะเข้าใจบางอยา่ งในประโยควา่ “น้อง
หนงึ่ หยิบ” ทงั้ ท่ีแมไ่ มไ่ ด้บอกวา่ ให้หยบิ อะไรก็สามารถเดา และตอบสนองได้ เมื่อพิจารณาจากข้อมลู ตอ่ ใน
วนั ที่ 2 จะพบวา่ น้องหนง่ึ นา่ จะเข้าใจคาํ สงั่ เป็นอยา่ งดี คอื เมื่อแม่สง่ั ให้หยบิ แต่ไมไ่ ด้สง่ั ให้หยบิ อะไร ก็มีทา่
ลงั เล สง่ ภาษาทา่ ทางเหมือนจะถาม พอได้รับคาํ สงั่ ที่ครบถ้วน ก็ตอบสนองได้ แตค่ วามเข้าใจ คาํ วา่ หม อน
กบั หนงั สือ นนั้ การแสดงออก อาจจะเป็นดอื ้ หรือไมเ่ ข้าใจจริง ๆ ยงั แยกจากกนั ไมไ่ ด้จากข้อมลู นี ้

สว่ น ประโยควา่ “น้องหนงึ่ หยบิ ” นา่ จะเป็นประโยคท่ีน้องหนงึ่ เข้าใจ โดยเข้าใจคําทกุ คําหรือ รวบ
ยอดตามเสียง ต้องทดสอบตอ่ ไป

ในวนั ท่ี 3 เหตกุ ารณ์ในวนั นีจ้ ะเหน็ วา่ ปัญหานนั้ ไมช่ ดั เจนวา่ เกิดจากความเข้าใจภาษาไมค่ รบถ้วน
หรือไมย่ อมย้ายห้องอาบนํา้ หรือสองสาเหตปุ ระกอบกนั จากข้อมลู ทงั้ หมดสนั นิษฐานได้วา่ น้องหนงึ่ นา่ จะ

54

เข้าใจการส่ือสารท่ีคณุ แมต่ ้องการให้ออกจากห้องนํา้ ท่ีเลน่ อยู่ แตไ่ มเ่ ข้าใจวา่ ย้ายไปเลน่ อีกห้องหน่ึง คําพดู
ที่คณุ แมพ่ ดู กบั น้องหนง่ึ นนั้ หากน้องหนง่ึ เข้าใจวา่ ยงั ได้เลน่ นํา้ อยู่ แตย่ ้ายห้องเฉย ๆ ก็ไมน่ า่ จะไมพ่ อใจ

วนั ท่ี 4 การตอบสนองของน้องหนง่ึ เหมือนจะเข้าใจคาํ สงั่ แตอ่ าจจะเกิดจากการ เดาจากเหตกุ ารณ์
รอบตวั ก็เป็นไปได้ สว่ นวนั ท่ี 7 เป็นลกั ษณะของความดอื ้ คอ่ นข้างชดั เจน

ลกั ษณะเหลา่ นีเ้ป็นพฤตกิ รรมที่เห็นได้ในการดแู ลเดก็ ASD ซง่ึ มกั จะทําให้เกิดความสบั สนวา่ เดก็
เข้าใจส่ิงท่ีเราพดู หรือไม่ มีความเข้าใจกฎเกณฑ์รอบตวั อยา่ งไร เพราะแตล่ ะครัง้ เดก็ จะตอบสนองอยา่ งไม่
แนน่ อน จบั รูปแบบไมไ่ ด้หรือได้ก็ไมช่ ดั เจน ตา่ งจากการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ ที่แนน่ อนกวา่

พฤตกิ รรมท่จี ับรูปแบบไม่ได้
การทําความเข้าใจพฤตกิ รรมท่ีจบั รูปแบบไมไ่ ด้นนั้ หากได้ใช้บนั ทึกพฤตกิ รรมแบบนีจ้ ะพบวา่ การ

กระทําของผ้ปู ่ วย แตล่ ะครัง้ นนั้ จะเหมือนเดก็ ปกตใิ นวยั เล็กท่ีการใช้ภาษายงั ไมด่ พี อ โดยการแสดงออกของ
เดก็ ปกตนิ นั้ จะมีรูปแบบไมแ่ นน่ อนเชน่ กนั แตเ่ นื่องจากเป็นเดก็ ปกติ พอ่ แมจ่ ะทราบอยู่แล้ววา่ ลกู นนั้ เข้าใจ
คําสง่ั หรือคาํ พดู ท่ีพอ่ แมพ่ ดู หรือไม่ หรือปัญหาจะเป็นลกั ษณะการดอื ้ ตามปกติ การปรับตวั ของพอ่ แมจ่ งึ
เกิดขนึ ้ เอง โดยไมต่ ้องอาศยั ข้อมลู มากนกั ตา่ งจากเดก็ ASD ที่พอ่ แมม่ กั จะตดั สนิ ไมไ่ ด้วา่ เดก็ เข้าใจหรือไม่
อยา่ งไร

พฤตกิ รรมที่จบั รูปแบบไมไ่ ด้นี ้ จะสมั พนั ธ์กบั ความคดิ , ความเข้าใจ และการประเมินสถานการณ์
ของผ้ปู ่ วยในขณะนนั้ ความเข้าใจสง่ิ รอบตวั ของผ้ปู ่ วยกลมุ่ นี ้มีอยู่ 3 ลกั ษณะ คอื ความเข้าใจตามบริบท
ความเข้าใจจากทา่ ทาง และความเข้าใจจากภาษา

ความเข้าใจตามบริบท (Understanding by context) ความเข้าใจลกั ษณะนี ้จะเกิดเม่ือกตกิ า
และสงิ่ แวดล้อมรอบตวั ทงั้ ท่ีบ้าน ในห้องฝึก ได้รับการปรับจนเป็นระบบตายตวั มีขนั้ ตอนท่ีเป็นลําดบั มี
ความชดั เจน เชน่ หลงั เลน่ ของเลน่ ต้องเอาของไปเก็บเข้าที่ หรือเม่ือชีบ้ ตั รภาพได้ถกู ต้องก็จะได้รางวลั เมื่อ
แกะหอ่ ลกู อมก็ต้องเอาไปทงิ ้ ในแตล่ ะครัง้ ที่ผ้ใู หญ่สงั่ หรือบอกให้ทํา ผ้ปู ่ วยอาจจะไมไ่ ด้เข้าใจวา่ สงั่ อะไร แต่
ทําไปตามกิจวตั รท่ีเคยทํา ลกั ษณะนีจ้ ะคล้ายกบั การเรียนรู้แบบยดึ ตดิ

อีกรูปแบบหน่ึง คือ เป็นกิจกรรมท่ียงั ไมเ่ ป็นกิจวตั ร แตผ่ ้ปู ่ วยจะมีประสบการณ์ทําให้คาดเดาได้วา่
ต้องทําอะไรสกั อยา่ ง เชน่ แมม่ กั จะเลน่ กบั ผ้ปู ่ วยโดยบอกให้หยิบของ และจะให้เอาไปให้ใครสกั คนเสมอ

55

เม่ือผ้ปู ่ วยหยบิ ได้ ก็จะเอาไปให้ใครบางคนตามที่เคยมีประสบการณ์มา เม่ือทดลองทํากบั ของท่ีไมร่ ู้จกั หรือ
เปลี่ยนชื่อของ หรือสง่ั ให้ไปให้คนท่ีไมใ่ ช่ ขาประจํา ก็จะทําผดิ พลาด

การทําผดิ พลาดทําให้เราทราบได้วา่ ผ้ปู ่ วยยงั ขาดความเข้าใจในเร่ืองใด เชน่ ยงั ไมร่ ู้จกั ช่ือวตั ถุ ซงึ่
ก็หมายถึง ยงั ไมร่ ู้จกั คํานาม ,ยงั ไมร่ ู้จกั ช่ือบคุ คล หรือสรรพนามของบคุ คล ซงึ่ ก็คือ คาํ นามเชน่ กนั หรือหาก
เราบอกให้ เอากระดาษหอ่ ลกู อมไปวางบนโต๊ะ แล้วผ้ปู ่ วยเอาไปทงิ ้ ก็แสดงวา่ การเอาหอ่ ลกู อมไปทงิ ้ เป็น
การเรียนรู้ท่ีตามบริบทไมไ่ ด้เป็นความเข้าใจคาํ สง่ั ในกรณีนีอ้ าจมีสมมตฐิ านอีกข้อหนงึ่ คือ ผ้ปู ่ วยดอื ้ กบั เรา
ก็ได้ ซง่ึ พบได้บอ่ ยเชน่ กัน ลกั ษณะนีจ้ ะไมเ่ หมือนการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ ท่ีนําเอาความจํามาใช้ตรง ๆ เพราะมี
การ คดิ หรือ เดาของผ้ปู ่ วยอยดู่ ้วย การแสดงออกแบบนีใ้ นเดก็ ปกตวิ ยั เล็กก็เกิดได้เสมอ

ความเข้าใจตามบริบทนี ้หากสงั เกตในเดก็ ปกตจิ ะพบวา่ มีในเดก็ ปกตเิ ชน่ กนั คอื ในระยะกอ่ นอายุ
1 ขวบ เดก็ จะรู้จกั ร้องตามพอ่ แม่ เม่ือพอ่ แมแ่ ตง่ ชดุ สวย เหมือนจะออกนอกบ้าน ทงั้ ที่เดก็ ยงั ไมเ่ ข้าใจภาษา
หรือความหมายของคาํ วา่ ออกจากบ้าน หรือชดุ สวย แตส่ มองของเดก็ สามารถคดิ ได้เองวา่ ถ้าพอ่ แมแ่ ตง่ ชดุ
แบบนี ้จะต้องออกจากบ้าน เดก็ จงึ ร้องตาม

ความเข้าใจตามภาพเหตกุ ารณ์ท่ีเห็น หรือตามบริบทนี ้ หากเทียบเคียงกบั ทฤษฏีของ Piaget จะ
พบวา่ ตรงกบั พฒั นาการในระยะ sensory-motor ในระยะนีเ้ขาใช้คําวา่ ‚sensory-motor intelligence‛
ซงึ่ เป็นระยะที่ เดก็ มีการพฒั นาสตปิ ัญญาแล้ว แตเ่ ป็นการใช้ปัญญาโดยไมม่ ีการใช้ภาษา อาศยั sensory
system ในการรับข้อมลู เข้า และ motor ในการแสดงออก จากผลการศกึ ษาของ Piaget ทําให้เรารู้วา่ เดก็
ปกตนิ นั้ คดิ ได้ ก่อนมีภาษา แตต่ ้องอาศยั การสงั เกตและตีความจากพฤตกิ รรมเทา่ นนั้

ในกรณีของผ้ปู ่ วย ASD ความเข้าใจตามบริบทบางครัง้ ก็เป็นผลจากความจําท่ีเกิดจากการกระทํา
ซํา้ ๆ เป็นกิจวตั ร หรือบางครัง้ ก็เป็นการประยกุ ต์ โดยมีลกั ษณะเหมือนผ้ปู ่ วยคดิ ร่วมอยดู่ ้วย ซง่ึ อาจจะเป็น
การเรียนรู้แบบยดึ ตดิ หรือการประยกุ ต์จริง ๆ ก็ได้บางครัง้ อาจจะต้องใช้ การออกแบบการทดสอบเพ่ือให้
ทราบวา่ จริง ๆ แล้วผ้ปู ่ วยเข้าใจจากอะไร

ความเข้าใจตามภาษาท่าทาง (understanding by non-verbal communication) ในเดก็ ASD
ระยะแรกจะไมเ่ ข้าใจภาษาทา่ ทางรวมถงึ สีหน้า หรือการแสดงอ่ืนที่คนเลีย้ งสื่อสารตอ่ เดก็ แตเ่ ม่ือได้รับการ
รักษาหรือกระต้นุ จนอาการเริ่มดีขนึ ้ มีปฏิสมั พนั ธ์กบั คนรอบข้างได้บ้าง เราจะพบวา่ เดก็ ASD บางคนเข้าใจ
ภาษาทา่ ทางได้ในบางครัง้ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ถ้าพอ่ แมห่ รือคนเลีย้ งส่ือกบั เดก็ ด้วยทา่ ทางเดมิ ๆ สําหรับ

56

ความหมายเดมิ เชน่ การใช้นํา้ เสียง ,การชีป้ ระกอบคาํ สง่ั , การปรายตามอง, การใช้สายตาเดก็ หลายคนจะ
เข้าใจได้ ความเข้าใจแบบนี ้จะดีกวา่ แบบแรก และพบในเดก็ ปกตใิ นชว่ งท่ียงั ไมม่ ีภาษาเชน่ กนั

ในทางปฏิบตั คิ วามเข้าใจแบบนี ้จะแยกยากจากความเข้าใจภาษาจริง ๆ เพราะส่วนมากผ้ดู แู ลเดก็
มกั จะมีการสื่อสารทงั้ ภาษาและทา่ ทางประกอบกนั ทกุ ครัง้ เชน่ สง่ั เดก็ ให้เอาหอ่ ขนมไปทงิ ้ ถงั ขยะ พอ่ แมก่ ็
มกั จะชีม้ ือหรือปรายตาไปที่ถงั ขยะด้วย ทําให้ประเมินได้ยากวา่ เดก็ เข้าใจจากอะไร หากจะประเมนิ เพ่ือให้
ทราบวา่ ผ้ปู ่ วยเข้าใจจากภาษาหรือทา่ ทางก็ต้องมีการทดสอบ เชน่ ผ้ปู ่ วยรายหนง่ึ ผ้รู ักษากบั มารดาได้ตก
ลงทําการทดสอบเพ่ือพสิ จู น์วา่ ผ้ปู ่ วยรับรู้จากภาษาหรือ จากทา่ ทาง โดยให้มารดาสงั่ ให้ผ้ปู ่ วย ไปปิดประตู
ท่ีปิดอยู่ โดยไมใ่ ห้ผ้ปู ่ วยเหน็ ตวั

ครัง้ แรกผ้ปู ่ วยเดนิ ไป ทําทา่ งง เอามือแตะลกู บดิ แล้วกลบั มา

ครัง้ ที่สอง ผ้ปู ่ วยเดนิ ไปอีก ยงั ทําทา่ งงอยู่ ครัง้ นี ้เปิดประตอู อก ปิด แล้วกลบั มา

ครัง้ ท่ีสาม ผ้ปู ่ วยก็ไปโดยดี ไมม่ ีทีทา่ ใด ๆ แตเ่ ปิดประตอู อก แล้วกระแทกประตเู สียงดงั

ผลดงั กลา่ วแสดงให้เหน็ วา่ ผ้ปู ่ วยรายนี ้เข้าใจภาษาเป็นอยา่ งดี , สามารถปฏิบตั ติ ามคาํ สงั่ ของแม่
ได้ , สามารถแก้ปัญหาจากคาํ สงั่ ท่ีขดั แย้งกบั เหตกุ ารณ์ และมีการแสดงความไมพ่ อใจออกมาอยา่ งชัดเจน
แตเ่ นื่องจากการทดสอบแบบนี ้ อาจจะทําให้เดก็ สบั สนได้ จงึ ไมค่ วรใช้เป็นประจํา ควรเลือกใช้เมื่อต้องการ
ทดสอบเพ่ือเข้าใจวิธีคดิ ของเดก็ เทา่ นนั้

ผ้ปู ่ วยรายนี ้ปัจจบุ นั เรียนอยชู่ นั้ ป.5 ยงั คงมีปัญหาการพดู สว่ นการรับฟัง และความเข้าใจนนั้ พอ
ทําได้ แม้จะไมด่ ีนกั แตผ่ ้ปู ่ วยก็พอเรียนรู้ได้ ความเข้าใจภาษาของผ้ปู ่ วยรายนีม้ ีปัญหาเพราะข้อจํากดั ทาง
จํานวนคาํ ศพั ท์และความเข้าใจรูปประโยคกบั เป็นเดก็ ท่ีคอ่ นข้างดอื ้ ทําให้การสอนและปรับพฤตกิ รรมทําได้
คอ่ นข้างยาก

ความเข้าใจตามวาจา (Understanding by verbal communication) ความเข้าใจแบบนี ้ในเดก็
ปกติ จะเกิดตงั้ แตป่ ลายขวบปี ที่หนงึ่ ตอ่ ขวบปี ท่ีสอง ก่อนที่การมีภาษาพดู จะเกิดขนึ ้ แตใ่ นผ้ปู ่ วย ASD จะมี
อายมุ ากกวา่ นีม้ าก บางคนอาจจะเกิน 5 ขวบไปแล้วก็ได้

57

จากตวั อยา่ งกรณีศกึ ษานนั้ เมื่อพบวา่ เริ่มเข้าใจพฤตกิ รรมของผ้ปู ่ วยได้ยาก บางทีก็เหมือนรู้เร่ือง
บางทีก็ไม่ สามารถใช้แนวทางในบทนี ้ศกึ ษาเพื่อทําความเข้าใจวิธีคดิ ของผ้ปู ่ วย ประกอบการวางแผนปรับ
พฤตกิ รรมได้

58

บทท่ี 7 ปัญหาการใช้ภาษาของผู้ป่ วย ASD

ปัญหาการใช้ภาษาในผ้ปู ่ วย ASD นนั้ มีหลายประการ ตงั้ แตร่ ุนแรงมาก คอื ไมม่ ีความเข้าใจและ
ไมส่ ามารถใช้ภาษาได้เลย ระดบั ปานกลาง คอื มีลกั ษณะการใช้ภาษาที่แปลกไปจากคนปกติ จนระดบั ที่ดี
มาก ๆ คอื มีปัญหาการใช้ไวยากรณ์ไมถ่ กู ต้อง หรือไมถ่ กู กาลเทศะเทา่ นนั้

ขณะเดียวกนั การศกึ ษาเรื่องภาษาในคนจะมีนกั วชิ าการหลายสาขาเข้ามามีสว่ นร่วม โดยแตล่ ะ
สาขาตา่ งก็ศกึ ษาตามความชํานาญและทฤษฏีพืน้ ฐานของตวั เอง ทงั้ นีเ้พราะ ภาษาเป็นหวั ข้อทางวิชาการ
ที่มีประเดน็ ให้ศกึ ษามาก ทําให้มีข้อค้นพบและทฤษฏีที่แยกกนั อยใู่ นสาขาวิชาตา่ ง ๆ

ในบทนีจ้ ะเป็นการรวบรวม ปัญหาเชงิ พฤตกิ รรม และการใช้ภาษาในผ้ปู ่ วย ASD มานําเสนอเพื่อ
เปรียบเทียบกบั ข้อค้นพบหรือทฤษฎีตา่ ง ๆ โดยจะเปรียบเทียบกบั พฤตกิ รรมท่ีปกตกิ บั ผดิ ปกติในพฤตกิ รรม
แตล่ ะพฤตกิ รรมไป

ความผดิ ปกตใิ นการใช้ภาษาในผ้ปู ่ วย ASDจําแนกตามลกั ษณะได้เป็น 2ลกั ษณะคือความผิดปกติ
ใน ความเข้าใจภาษา (receptive language) และ การพดู (expressive language)

ความผดิ ปกตใิ น receptive language ของผู้ป่ วย ASD มดี งั นี ้

1.ไมเ่ ข้าใจความหมายของคํา (word)

2.เข้าใจคาํ คาํ ละ หนง่ึ ความหมายไมเ่ ข้าใจความหมายท่ีสองหรือความหมายแฝง

3. เข้าใจประโยคเฉพาะที่มีการเรียงคําอยา่ งที่เคยรู้มา (word order)

4. มีข้อจํากดั ในการเข้าใจความหมายของประโยค

5. ความเข้าใจภาษาไมแ่ นน่ อน บางทีก็เข้าใจบางทีก็ไมเ่ ข้าใจ

1.ไม่เข้าใจความหมายของคา (word)
ผ้ปู ่ วย ASD จะมีปัญหาในการสร้าง symbolic meaning ของคํา โดยไมเ่ ข้าใจความหมายของคําท่ี
ได้ยิน หรือคาํ ท่ีตวั เองพดู ออกมา ลกั ษณะการพดู ในกรณีนีจ้ ะเป็นการพดู ด้วยการเลียนเสียง หรือจําตาม
เหตกุ ารณ์ทงั้ หมดวา่ ต้องออกเสียงเชน่ นี ้โดยทว่ั ไปเดก็ ปกตจิ ะเร่ิมจบั ได้วา่ เสียงนนั้ เป็นคํา (semantic unit)

59

ตงั้ แต่ 6 เดือนแรก เชน่ คาํ วา่ พอ่ ป่ าป๊ า หรือชื่อตวั เอง หลงั 6 เดอื นไปแล้วจะเร่ิมเข้าใจความหมายของคาํ
บางคําท่ีได้ยนิ บอ่ ย ๆ สว่ นมากจะเป็นคาํ นาม ในขวบปี แรก อาจจะเข้าใจคาํ ศพั ท์ได้ตงั้ แต่ 10 – 220 คํา
เม่ืออายุ ประมาณ 6 ปี เดก็ จะมีความเข้าใจคาํ ศพั ท์มากถึง 14,000 คาํ (40)

นอกจากในเชงิ ปริมาณแล้ว ชนดิ ของคาํ ก็ยงั มีความสําคญั เชน่ คาํ เกี่ยวกบั วตั ถุ (object word) ซง่ึ
ก็คือคาํ นาม คําเกี่ยวกบั การกระทํา (action word) ตรงกบั คาํ กริยา คําขยาย (state word) ชดุ คํานี ้
ใกล้เคียงกบั คาํ วเิ ศษณ์ หรือมีคําท่ีมีความหมายเฉพาะตวั เดก็ เชน่ โอ้โฮ แทนความสําเร็จ ,ใหญ่ ,เลก็ คาํ
เกี่ยวกบั บคุ คลและสงั คม ( personal-social word ) ชดุ นีจ้ ะเป็นคาํ ที่เกี่ยวกบั อารมณ์ความรู้สกึ และ
เร่ืองราวทางสงั คม เชน่ ‚ไม‛่ ‚อยา่ ‛ ‚ขอ‛ ‚ขอบคณุ ‛ ซงึ่ จะมีทงั้ เง่ือนไขทางสงั คมและคาํ พดู , คําที่ทําหน้าที่
ตามไวยากรณ์ (function word) คาํ ชดุ นีจ้ ะเป็ นไปตามไวยากรณ์ของแตล่ ะภาษา(25, 41)

การเรียนรู้คาํ เหลา่ นี ้ก้าวหน้าอยา่ งรวดเร็วในชว่ งอายุ 1-2 ปี มีการศกึ ษาพบวา่ ในเดก็ วยั เตาะแตะ
จะมีชดุ คาํ นามมากที่สดุ คอื มากกวา่ 50 เปอร์เซ็นต์ สว่ นคําชดุ ตอ่ มาก็ลดหลน่ั กนั ไปตามลําดบั

ในบางราย อาจจะดเู หมือนมีความเข้าใจความหมายของคาํ เชน่ เม่ือสอนให้รู้จกั บตั รภาพ เป็นช่ือ
สตั ว์ชนดิ หนงึ่ ก็เข้าใจได้ หยิบได้ถกู ทกุ ครัง้ แตพ่ อเห็นของจริง หรือเปลี่ยนเป็นบตั รภาพสตั ว์เดมิ แตเ่ ป็น
ภาพใหม่ ก็อาจจะไมเ่ ข้าใจลกั ษณะเชน่ นีแ้ สดงวา่ เดก็ ยงั ไมเ่ ข้าใจความหมายของคาํ ท่ีสมบรู ณ์ เป็นลกั ษณะ
การจบั คขู่ ้อมลู ท่ีเหน็ กบั คําท่ีได้ยิน แตก่ ็แสดงให้เหน็ ความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมลู ได้ระดบั หนง่ึ

2.ความเข้าใจคา คาละ 1 ความหมาย ไม่เข้าใจความหมายท่สี อง หรือความหมายแฝง
ในผ้ปู ่ วย ASD เมื่อเข้าใจภาษา จะเข้าใจความหมายของคาํ ได้ โดยคําหนง่ึ ผ้ปู ่ วยจะเช่ือมโยงได้
เพียงหนง่ึ ความหมายเทา่ นนั้ เชน่ เมื่อสอนให้รู้จกั ชื่อรถ พอถามผ้ปู ่ วยวา่ ‚ไอตมิ รสอะไร‛ ผ้ปู ่ วยก็อาจจะ
ตอบวา่ ‚รถโตโยต้า‛ เป็นต้น การสอนความหมายที่สองและสามของ คาํ แตล่ ะคาํ ให้ผ้ปู ่ วยจะคอ่ นข้างยาก
ถ้าเทียบกบั เดก็ ปกติ

ลกั ษณะเชน่ นีเ้ป็นลกั ษณะที่พบได้บอ่ ยและบางครัง้ ก็เป็นเร่ืองขํา ๆ ในความไมเ่ ข้าใจภาษาของเดก็
ปัญหานีน้ บั ได้วา่ เป็นปัญหาในการจดั ระบบการเรียนรู้ เพราะในเดก็ ปกติ จะเรียนรู้ได้วา่ คาํ หนงึ่ คาํ นนั้ มีได้
หลายความหมาย และของหนงึ่ อยา่ งนัน้ ก็อาจจะมีได้หลายชื่อ เชน่ หมาหรือแมว ก็เรียกได้อีกอยา่ งหนง่ึ วา่
สตั ว์เลีย้ ง เป็นต้น ความเข้าใจที่สมบรู ณ์แบบนีจ้ ะเห็นได้ชดั ในเดก็ อนบุ าล ซง่ึ กอ่ นหน้านนั้ ในเดก็ ปกตกิ ็ยงั
อาจจะมีความสบั สนได้หากไมไ่ ด้รับการสอน สว่ นเดก็ ASD นนั้ จะเรียนรู้เรื่องนีไ้ ด้ยากมาก

60

3. เข้าใจประโยคเฉพาะท่มี ีการเรียงคาอย่างท่ีเคยรู้มา (word order)
การเรียงคํา เป็นจดุ เร่ิมต้นของไวยากรณ์ ซงึ่ การเรียงคาํ นีจ้ ะมีความแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะภาษา
เชน่ ภาษาญี่ป่ นุ และภาษาอ่ืนบางภาษา จะเรียงคําในประโยคบอกเลา่ เป็น ประธาน กรรม และกริยา การ
เรียงคํานีม้ ีสามารถ แปลความหมายเป็นเนือ้ เรื่อง เชน่ เป็นการบอกวา่ ใคร ทําอะไร กบั ใคร โดยความคดิ
ของผ้พู ดู ต้องการจะสื่อเชน่ นนั้ แตก่ ารสร้างภาษานนั้ จะเป็นไปตามหลกั ภาษาของแตล่ ะประเทศลกั ษณะนี ้
แสดงให้เหน็ วา่ ความคดิ ของคนนนั้ แม้จะเหมือนกนั แตพ่ อสร้ างเป็นภาษาแล้วจะตา่ งกนั

ในผ้ปู ่ วยASDหากได้ยนิ การเรียงคําแบบใดบอ่ ย ๆ ก็จะจําได้และเข้าใจความหมายของการเรียงคํา
เชน่ นนั้ หากเปล่ียนเป็นการเรียงคําแบบอื่นก็จะไมเ่ ข้าใจ เชน่ ผ้ปู ่ วยรายหนง่ึ หากถามวา่ “ชอบเชียงใหมม่ ยั๊ ”
จะไมเ่ ข้าใจคําถาม ไมส่ ามารถตอบคําถามท่ีเรียงคําแบบนีไ้ ด้ แตถ่ ้าถามใหมว่ า่ “เชียงใหมช่ อบมย๊ั ” จะตอบ
ได้วา่ “เชียงใหม่ ชอบครับ” การวางแผนเพื่อสอนภาษาให้ผ้ปู ่ วย ASD จงึ ต้องทําความเข้าใจ คาํ พดู ท่ีพอ่ แม่
พดู กบั ผ้ปู ่ วย เป็นประจําเพ่ือทราบวา่ ผ้ปู ่ วยเรียนรู้การเรียงคาํ แบบใดด้วย

4. มีข้อจากัดในความเข้าใจความหมายของประโยค
ในการส่ือสารระหวา่ งคนเรานนั้ ประโยคแตล่ ะประโยคท่ีเราพดู กนั จะมีความหมายได้ 4 ลกั ษณะ
คอื

ความหมายตามสาระ (content meaning) หมายถงึ ความหมายท่ีเป็นไปตามสาระของประโยค
เชน่ ‚หยิบนํา้ ให้แม่หนอ่ ย‛ ก็หมายถงึ หยิบนํา้ ให้แม่

ความหมายตามวตั ถปุ ระสงค์ ( intentional meaning ) หมายถงึ ความหมายที่เป็นไปตาม ความ
ต้องการของผ้พู ดู เชน่ ‚หยบิ นํา้ ให้แมห่ นอ่ ย‛ ความหมายตามวตั ถปุ ระสงค์ คอื ให้ทําตามท่ีแมบ่ อก หรือทํา
ตามคําสงั่ ความหมายในลกั ษณะนี ้สมั พนั ธ์กบั รูปประโยค เชน่ เมื่อคนหนง่ึ พดู ด้วยประโยคคาํ ถาม อีกคน
หนงึ่ ก็ต้องตอบเป็นต้น

ความหมายตามนยั สําคญั (significant meaning) หมายถึง ความหมายตามความสําคญั เชน่ แม่
ตวาดลกู วา่ ‚หยดุ เดยี๋ วนีน้ ะ‛ นยั สําคญั ของประโยคนี ้คอื เป็นคําสงั่ เดด็ ขาด

ความหมายตามการตคี วาม (interpretative meaning) หมายถงึ ความหมายท่ีไมต่ รงตามคําพดู
แฝงท่ีซอ่ นอย่ใู นประโยค เชน่ คําอปุ มาอปุ มยั สํานวน สภุ าษิต หรือคาํ กระแนะกระแหน เป็นต้น

61

ในเดก็ ปกติ จะสามารถเข้าใจความหมายสามอยา่ งแรกได้ไมย่ ากนกั ขนึ ้ กบั ประสบการณ์การเรียน
รู้ สว่ นในความหมายที่ส่ี นนั้ เป็นการเรียนรู้ในเดก็ โต แตใ่ นผ้ปู ่ วย ASD จะมีความลําบากในการเรียนรู้และ
เข้าใจความหมายทงั้ ส่ีเป็นอยา่ งย่งิ ตวั อยา่ งเชน่ เดก็ ท่ีได้รับการฝึกพดู ระยะแรกจะพดู ตามทกุ คําที่ผ้ฝู ึกสอน
พอถงึ คราวท่ีคนสอนตงั้ คําถามก็จะทวนคําถามโดยเข้าใจวา่ เมื่อมีคนพดู ต้องพดู ตามไมเ่ ข้าใจวา่ เมื่อถกู ถาม
ต้องตอบ

5.ความเข้าใจท่ีไม่แน่นอน บางทกี เ็ ข้าใจบางทีก็ไม่เข้าใจ
ผ้ปู ่ วย ASDบางคนจะมีความสามารถในการเข้าใจภาษาไมแ่ นน่ อนบางครัง้ ก็เห็นได้ชดั วา่ เข้าใจคาํ
ที่พอ่ แมพ่ ดู โดยไมไ่ ด้มีทา่ ทางประกอบแตบ่ างครัง้ คาํ เดมิ ในสถานการณ์เหมือนเดมิ ก็กลบั ไมเ่ ข้าใจ ลกั ษณะ
เชน่ นีท้ ําให้เกิด ความลําบากในการประเมินหรือวิเคราะห์ความเข้าใจของผ้ปู ่ วย ซง่ึ ต้องอาศยั การคาดคะเน
เลก็ น้อย ตา่ งจากเดก็ ปกติ ที่เม่ือเข้าใจภาษาพดู แล้วก็จะเข้าใจตลอดเวลา การไมต่ อบสนองหรือตอบสนอง
ไมถ่ กู ต้อง จะมีเหตทุ ี่อธิบายได้ เชน่ ดอื ้ หรือท้าทาย สําหรับเดก็ ASD แม้จะทําได้ทกุ ครัง้ แตถ่ ้าในภาพรวม
สามารถทําตามคําสงั่ ได้หรือ มีความเข้าใจภาษาเป็นสว่ นมากก็ควรสรุปในเบอื ้ งต้นวา่ เข้าใจภาษา ในทาง
กลบั กนั ถ้าในภาพรวมสว่ นมากแสดงวา่ ไมเ่ ข้าใจภาษาก็ควรสรุปวา่ ไมเ่ ข้าใจเชน่ กนั

ความผดิ ปกตใิ น expressive language ของผู้ป่ วย ASD มีดงั นี ้

1. พดู คําที่ไมเ่ ป็นภาษา (neologism)

2. พดู ทวนคาํ (echolalia)

3. พดู คนเดยี ว

4. มี socialized speech จํากดั

5. เรียบเรียงประโยคผดิ พลาดตามรูปแบบท่ีเคยชนิ

6. พดู จากความจํา

1.พูดคาท่ีไม่เป็ นภาษา (neologism)
Neologism เป็นการออกเสียงท่ีเป็นคําแตไ่ มม่ ีความหมาย ลกั ษณะเสียงท่ีเปลง่ ออกมาจะเป็นเสียง
ท่ีมีความซบั ซ้อนในการใช้อวยั วะ ไมใ่ ชเ่ สียงที่เราจะเลียนแบบได้งา่ ย ๆ ซง่ึ ต้องระวงั เพราะบางครัง้ การออก
เสียงของผ้ปู ่ วยที่ฟังไมอ่ อก กลายเป็นคาํ ที่มีความหมาย แตเ่ สียงที่เดก็ เปลง่ ออกมา จะฟังไมช่ ดั อยา่ งมาก

62

เชน่ ผ้ปู ่ วยรายหนง่ึ พดู ได้หลายคําแล้ว แตค่ าํ ที่เรียกพอ่ จะเรียกวา่ ‚ก๋อแจ้ะ‛ ซง่ึ คณุ พอ่ ยืนยนั วา่ เป็นคําท่ี
ลกู ใช้เรียกตวั เองแน่ ๆ เพราะคล้ายกบั ช่ือเลน่ ของพอ่ ในขณะท่ีคาํ อื่นพดู ได้ชดั และมีความหมาย จงึ ไมไ่ ด้
แก้ไข เมื่อเวลาผา่ นไปเสียงที่ไมช่ ดั นีก้ ็ชดั ขนึ ้ และเป็ นอยา่ งที่คณุ พอ่ บอก

2.การพดู ทวนคา (echolalia)
Echolalia เป็นรูปแบบการใช้ภาษาที่พบได้ในเดก็ ปกติ ระยะเร่ิมต้นพฒั นาภาษา ซง่ึ Jean Piaget
ได้ศกึ ษาไว้และเรียกภาษาลกั ษณะนีว้ า่ egocentric speech ซงึ่ echolalia มี 2 ลกั ษณะ คือ

Immediate echolalia เป็นการทวนคําทนั ที และ delay echolalia เป็นการนําคําท่ีเคยจําได้จากที่
ใดที่หนง่ึ มาพดู ทวน ในเวลาที่ไมถ่ กู กาลเทศะ Piaget ได้ให้ความเหน็ วา่ การพดู ทงั้ สองลกั ษณะเป็นการ
เรียนรู้และฝึกฝนของเดก็ ปกตเิ พ่ือพฒั นาสกู่ ารใช้ภาษาท่ีสมบูรณ์ (socialized speech) ตอ่ ไป

ในผ้ปู ่ วย ASD จะพบ echolalia ทงั้ สองแบบได้บอ่ ย สว่ นมากมกั จะเกิดกบั คําถาม คอื เม่ือพอ่ แม่
ถามเดก็ ก็จะทวนคาํ แทนท่ีจะตอบ ซงึ่ การทวนคําถามนีจ้ ะพบในเดก็ ปกตนิ ้อยมาก อาจจะเกิดได้ในตอนเริ่ม
ฝึกภาษาใหม่ ๆ เมื่อเดก็ ถกู ถามเป็นครัง้ แรกในชีวติ ยงั ไมเ่ ข้าใจวา่ ต้องตอบ เชน่ พอ่ ถามลกู อายุ 1 ปี ขณะ
เลน่ กนั วา่ “นกร้องไง” ซงึ่ เป็นครัง้ แรกที่เดก็ ถกู ถามให้คดิ หาคาํ ตอบ เดก็ ทวนคํากลบั วา่ “นกร้องไง” ครัน้ พอ
สอนให้รู้จกั ตอบ เดก็ ปกตกิ ็จะรู้วิธีตอบในทนั ที เม่ือถามวา่ สตั ว์ตวั อ่ืนร้องอยา่ งไร ก็จะตอบได้เลย ขณะท่ี
เดก็ ASD จะทําได้ยากมาก หรือเดก็ ปกตบิ างคน เมื่อถกู ถามคําถามที่ตอบไมไ่ ด้ก็จะใช้การทวนคาํ ถาม แต่
จะสง่ ภาษาทา่ ทางที่ทําให้คสู่ นทนาทราบวา่ เดก็ ไมร่ ู้คําตอบ เชน่ ขมวดควิ ้ เอียงคอ ฯลฯ

ในผ้ปู ่ วย ASD การพดู ทวนนีอ้ าจจะมีได้ 2 ลกั ษณะ คือ ทวนเพราะไมเ่ ข้าใจ intention meaning
และทวนเม่ือหาคาํ ตอบไมไ่ ด้ การแยก 2 ลกั ษณะออกจากกนั สามารถประเมินได้จากภาพรวม คือ หากเดก็
สามารถตอบคําถามตา่ ง ๆ ได้แล้ว ก็แสดงวา่ เข้าใจ intention meaning ได้ดี การทวนคําถามก็นา่ จะเป็น
การไมร่ ู้คาํ ตอบ แตถ่ ้าทวนทกุ คาํ ถามหรือเกือบทกุ คาํ ถามก็นา่ จะเป็น การไมเ่ ข้าใจ intention meaning
มากกวา่ โดยเดก็ ASD จะไมส่ ามารถ สง่ ภาษาทา่ ทางเพื่อสื่อวา่ ไมร่ ู้คาํ ตอบ

3. การพดู กับตวั เอง หรือพูดคนเดียว
ผ้ปู ่ วย ASD บางคน จะพดู กบั ตวั เองบอ่ ย ๆ ในขณะทีอยคู่ นเดยี ว หรือทําบางสิ่งบางอยา่ ง การพดู
คนเดยี วนนั้ หากเป็นไปได้ควรดใู นรายละเอียด เพราะแตล่ ะคนอาจจะพดู ด้วยสาเหตุหรือกลไกตา่ งกนั เชน่

63

ผ้ปู ่ วยรายหนง่ึ เดนิ ไปท่ีสนามหญ้าในโรงเรียน แล้วถอนหญ้าด้วยทา่ ทางรุนแรง พร้อมกบั บน่ ถงึ ครู
ทา่ นหนง่ึ อยคู่ นเดียว เม่ือครูอีกทา่ นเข้าไปถาม จงึ ได้ความวา่ ผ้ปู ่ วยรายนี ก้ ําลงั ระบายความโกรธท่ีนกึ ได้วา่
ครูคนแรกทําบางอยา่ งที่เขาไมพ่ อใจ แตเ่ หตกุ ารณ์นีเ้กิดเม่ือสามเดือนท่ีแล้ว การพดู เชน่ นีจ้ ะเป็นเหมือนการ
รําพงึ รําพนั ในคนปกติ

อีกลกั ษณะหนง่ึ คือ พดู เหมือนสง่ั ตวั เอง เชน่ จะหยบิ ของในตู้ ก็จะบอกตวั เองเป็นจงั หวะ

‚เอาเก้าอีม้ าตอ่ ขา‛ แล้วก็ไปหยบิ เก้าอีม้ าตอ่ ขา

‚เปิดตู้ เอาขนมออกมา‛ แล้วก็ทําตามที่พดู

‚ปิดต้ดู ้วย‛ ปิดต้ตู ามที่พดู

ลกั ษณะการพดู แบบนี ้ จะมีความใกล้เคยี งกบั การพดู แบบ egocentric speech ท่ี Piaget ได้เคย
ศกึ ษาไว้ คือ monologue และ collective monologue ซง่ึ ไมค่ อ่ ยเหน็ ในเดก็ ปัจจบุ นั ขณะเดียวกนั การพดู
แบบนีอ้ าจจะเกิดจาก การเรียนรู้แบบยดึ ตดิ ก็ได้

การแยกวา่ การพดู นนั้ เป็นการเรียนรู้แบบยดึ ตดิ หรือ egocentric speech จะต้องพิจารณาจาก
ความเข้าใจภาษา คือ ในกรณีของ egocentric speech ผ้ปู ่ วยจะเข้าใจคาํ และความหมายได้หลายคาํ แล้ว
สว่ นลกั ษณะเรียนรู้แบบยดึ ตดิ นนั้ ผ้ปู ่ วยมกั จะยงั ไมเ่ ข้าใจคําและ ความหมายเหมือนท่ีเรียกวา่ พดู แบบนก
แก้วนกขนุ ทอง

4.การมี socialized speech จากัด
Socialized speech เป็นรูปแบบของภาษาที่พฒั นาตอ่ จาก egocentric speech ตามแนวคดิ ของ
Piaget เป็นการใช้ภาษาเพ่ือการสนทนาระหวา่ งกนั พฒั นาในเดก็ ตงั้ แตเ่ ล็ก มีลกั ษณะและการใช้ 5 แบบ
คอื

Adapted information เป็นการพดู เพื่อแลกเปล่ียนข้อมลู ความคดิ ที่เดก็ คดิ หรืออยากนําเสนอให้คู่
สนทนารับรู้ หากพจิ ารณาจากไวยากรณ์จะพบวา่ รูปแบบนีจ้ ะเป็นประโยคบอกเลา่

Criticism เป็นการพดู เพื่อแสดงความเห็น ในลกั ษณะวพิ ากษ์วิจารณ์ การกระทําของคสู่ นทนาการ
พดู ลกั ษณะนี ้จะต้องผา่ นการคดิ วเิ คราะห์กอ่ นจึงจะสามารถทําโดย เดก็ จะนําเอาประสบการณ์เกา่ มาเป็น
เกณฑ์ในการวิจารณ์ และมกั มีการตดั สนิ วา่ ถกู หรือผิด ปนอยดู่ ้วยเสมอ รูปประโยคจะเป็นประโยคบอกเลา่

64

Command, requests and threats เป็นการพดู เพ่ือเรียกร้อง หรือขอให้อีกคนทําส่ิงใดสิง่ หนงึ่ ซงึ่
เป็นการพดู ท่ีมี intentional meaning ชดั เจน และรูปประโยค จะเป็นประโยคคาํ สงั่ ซง่ึ ขนึ ้ ต้นด้วย คาํ กริยา

Question เป็นการตงั้ คําถาม ตามความสงสยั ที่เกิดขนึ ้ หลงั จากการค้นพบของ Piaget มีการศกึ ษา
รวบรวมชดุ คาํ ถามที่เดก็ ถาม เรียกวา่ wh. question คือ what, where, when, why, how, whom, whose
ชดุ คาํ ถามนี ้คาํ ถาม how และ why จะเป็นคําถามที่เดก็ พฒั นาหลงั สดุ

Answer เป็นการตอบคําถาม ซง่ึ ในเดก็ ASD มกั จะไมเ่ ข้าใจวา่ เม่ือถกู ถามต้องตอบจะใช้การทวน
คาํ ถามมากกวา่

ในผ้ปู ่ วย ASD บางคนจะมีข้อจํากดั ในการพฒั นา socialized speech คอื ไมส่ ามารถพฒั นาบาง
แบบได้แตบ่ างคนก็พฒั นาได้โดยมีการพฒั นาอยา่ งช้าๆและพฒั นาได้ทีละแบบๆ ขณะท่ีเดก็ ปกติ จะพฒั นา
คอ่ นข้างเร็ว และทกุ แบบเกิดพร้อม ๆ กนั การพฒั นา socialized speech นีม้ กั จะเป็นไปตามรูปแบบท่ีพอ่
แมใ่ ช้บอ่ ย รูปแบบใดท่ีได้ยินบอ่ ยมกั จะพฒั นาได้กอ่ นรูปแบบที่ไมค่ อ่ ยได้ยิน

5.เรียบเรียงประโยคผิดพลาดตามรูปแบบท่ีเคยชนิ
ในเดก็ ปกตเิ ม่ือพฒั นาการทางภาษา เข้าสรู่ ะยะ linguistic การสื่อสารจะเริ่มมีความซบั ซ้อน คาํ
เพียงคาํ เดยี วจะมีความหมายแทนเนือ้ ความ หรือสงิ่ ท่ีเดก็ ต้องการ เชน่ เม่ือเดก็ พูดวา่ ‚นํา้ ‛ อาจจะหมายถึง
จะกินนํา้ หรือ นํา้ หก ก็ได้ตามแตส่ ถานการณ์ในขณะนนั้ การใช้คํา ๆ เดยี วแทนเนือ้ ความนนั้ มีช่ือเรียกวา่
holophrase ซงึ่ แสดงให้เหน็ วา่ ความคดิ ของเดก็ นนั้ ก้าวหน้าไปมากกวา่ การใช้ภาษา

หลงั จากนนั้ ไมน่ าน เดก็ ปกตจิ ะเริ่มนําคํา สองคาํ มารวมกนั เพ่ือสื่อความหมาย เรียกวา่ telegraph
speech การเชื่อมคําสองคําเข้าด้วยกนั นี ้นกั วิชาการด้านพฒั นาการเดก็ ท่ีศกึ ษาพฒั นาการทางภาษา
พบวา่ มีการจบั คคู่ ําหลาย ๆ แบบเชน่

Agent-action เชน่ ‚แมต่ ี‛

Action-object เชน่ ‚เอาหนม‛

Agent-object เชน่ ‚แมร่ ถ‛ (หมายถึง ให้แมเ่ ข็นรถ)

Action-location เชน่ ‚ทงิ ้ หยะ‛ (เอาของไปทงิ ้ ถงึ ขยะ) เป็นต้น

65

ในผ้ปู ่ วย ASD รูปแบบการเชื่อมคํา จะเป็นไปตามท่ีเดก็ ได้รับฟังในชีวิตประจําวัน เมื่อสมองจบั
รูปแบบการเรียงคาํ และแปลความหมายได้ ความเข้าใจของผ้ปู ่ วยก็จะยดึ ตดิ กบั บทสรุปแบบตายตวั ปรับ
เปล่ียนได้ยาก ลกั ษณะเชน่ นี ้จะเกิดได้กบั เดก็ ปกติเพียงระยะสนั้ ๆ ในเดก็ ปกตอิ ายุ 1 ขวบเศษ หากเรียนรู้
วา่ เวลาของของ ให้พดู วา่

‚ขอ..(ช่ือของ)..หนหู นอ่ ย‛ พอต้องการขอความชว่ ยเหลือ เดก็ อาจจะใช้ประโยคผิดเป็น ‚ขอ ชว่ ย
หนหู นอ่ ย‛ ซง่ึ การเรียงคาํ ผดิ แบบนี ้ เป็นการเรียงคาํ ผดิ ไวยากรณ์ ซงึ่ ในเดก็ ปกตสิ ามารถแก้ไขได้ง่าย ตา่ ง
จากผ้ปู ่ วย ASD ที่แก้ไขความเข้าใจท่ียดึ ตดิ เชน่ นีไ้ ด้ยากมาก

ตวั อยา่ งเชน่ ผ้ปู ่ วยรายหนงึ่ เป็นเดก็ ชาย อายรุ าว 7 ปี เร่ิมพดู ได้ มีการพดู ผิดไวยากรณ์ คือ เวลา
ต้องการกินอะไรจะพดู วา่ ‚เอา..(ช่ืออาหาร)...กิน‛ เชน่ ‚เอากล้วยกิน‛ หรือ ‚เอานํา้ กิน‛ ซง่ึ ทางบ้านก็เข้าใจ
วา่ ผ้ปู ่ วยต้องการกินกล้วย หรือกินนํา้ เม่ือซกั ประวตั กิ ารพดู คยุ พบวา่ เวลาพอ่ แมต่ ้องการให้ลกู เอาอะไรมา
กิน จะบอกลกู วา่ ‚เอา..(ช่ืออาหาร).มากิน‛

การเรียงคําซํา้ กบั ท่ีเคยได้ยินมาแบบนี ้ อาจจะมีลกั ษณะคล้ายการยดึ ตดิ เป็น process แตท่ ่ีแยก
ออกมา นําเสนอต่างหาก เพราะในการใช้ภาษาจะเห็นเป็น pattern ของการเรียงคํา ซงึ่ คาํ แตล่ ะคําอาจจะ
เป็นคนละคํากนั ก็ได้ แตถ่ ้าเป็น process ที่ไมใ่ ชภ่ าษา การกระทํามกั จะเหมือนกนั แม้กระทง่ั ในรายละเอียด

คําท่ีปรากฏในการพดู แบบนี ้ แม้จะเป็นคนละคํา ก็จะเป็นคําชนิดเดยี วกนั ในการประเมนิ อาจจะ
ต้องมองจากรูปประโยคตามหลกั ไวยากรณ์ ซงึ่ จะพบเป็นรูปประโยคเดียวกนั เชน่ เดก็ บางคน เวลาพดู
กบั พอ่ แม่ จะใช้รูปแบบของประโยคคาํ สงั่ มากเป็นพเิ ศษ บางคนก็จะใช้รูปแบบประโยคคาํ ถาม คําสง่ั และ
คําถาม ท่ีผ้ปู ่ วยใช้ จะไมซ่ ํา้ กนั ในกรณีนีส้ ามารถสะท้อนให้เหน็ รูปแบบการพดู ท่ีพอ่ แมใ่ ช้เป็นหลกั ในการ
สนทนากบั ผ้ปู ่ วยได้ด้วย

6. การพูดจากความจา
เป็นลกั ษณะการนําประโยคท่ีเคยได้ยินมาพดู โดยตรงเพ่ือ ส่ือความหมายที่ต้องการโดยไมส่ ามารถ
สร้างประโยคที่สอดคล้องกบั ความคดิ ท่ีต้องการได้ เชน่ ผ้ปู ่ วยรายหนงึ่ เม่ือเบื่อเรียน หรือเบื่อกิจกรรมแล้ว
อยากจะหยดุ ทําก็จะร้องเพลง ‚ขอเวลาสามนาทีบอกกบั พ่ีตรงไปตรงมา‛ ครูและพี่เลีย้ งก็จะทราบวา่ เดก็ คน
นีต้ ้องการหยดุ การทํากิจกรรมแล้ว ตอ่ มาก็พฒั นา จากการร้องเพลงเป็น การบอกวา่ ‚ปวดฉ่ี‛ ซง่ึ มีทงั้ ท่ีปวด

66

ฉี่จริง ๆ กบั ปวดฉ่ีหมายถึง อยากหยดุ กิจกรรม ครูและพ่ีเลีย้ งก็สามารถประเมินได้วา่ ครัง้ ใดผ้ปู ่ วยหมายถงึ
อะไร

อีกลกั ษณะหนง่ึ คือ เปลง่ เสียงโดยไมเ่ ข้าใจความหมายหรือมีความคดิ แตอ่ ยา่ งไร แตเ่ สียงที่เปลง่
เป็นคาํ ที่เป็นภาษา การพดู ในลกั ษณะนีบ้ างทีมีคนอธิบายวา่ เป็นการพดู แบบ นกแก้ว นกขนุ ทอง (parrot
like) เชน่ เดก็ ท่ีถกู ฝึกให้อา่ นบตั รคํา ก็อาจจะออกเสียงได้ตามบตั รใบท่ีใช้เป็นประจํา พอเปล่ียนบตั รก็ไม่
สามารถออกเสียงเดมิ ได้ เป็นลกั ษณะการจําวา่ ใบนีต้ ้องออกเสียงนี ้

ลกั ษณะความเข้าใจ และการใช้ภาษาท่ีผดิ ปกติ ที่นําเสนอมาทงั้ หมดนีอ้ าจจะพบได้หลาย ๆ แบบ
ในผ้ปู ่ วยคนเดียวกนั และไมจ่ ําเป็นต้องพบทกุ แบบ เม่ือพจิ ารณากลไกการเกิดความผิดปกตดิ ้วย Human
Information Processing Model จะเหน็ ได้วา่ ผ้ปู ่ วยกลมุ่ นี ้จะใช้การดงึ ข้อมลู จากความจํา มาใช้มากกวา่
นําข้อมลู จากความจํามาประมวล (คดิ ) ใหม่

67

ส่วนท่ี 3

68

บทท่ี 8 การฝึ กผู้ป่ วย ASD และ early intervention

เป็นที่ยอมรับกนั ในนกั วชิ าการวา่ การรักษาผ้ปู ่ วยASDนนั้ ต้องใช้การรักษาหลายๆ แบบร่วมกนั การ
รักษาที่มีหลายแบบนนั้ หากจดั เป็นกลมุ่ ใหญ่ ๆ จะมี 3 กลมุ่ คือการฝึกตา่ ง ๆ การให้ยาและ การรักษาทาง
เลือก

การฝึกนนั้ มีหลายแบบ ทงั้ ท่ีเป็นไปตามหลกั การของผ้เู ช่ียวชาญวิชาชีพตา่ ง ๆ เชน่ นกั ฝึกพดู นกั
อาชีวบาํ บดั นกั การศกึ ษาพเิ ศษ และการฝึกที่มีผ้พู ฒั นาเฉพาะเพื่อฝึกเดก็ ASD การฝึกของนกั วิชาชีพนนั้
สามารถใช้ได้กบั ความผดิ ปกตอิ ื่น ๆ ที่มีอาการ ได้ตามอาการและอาการแสดงท่ีเกี่ยวข้องกับความชํานาญ
อีกทางหนงึ่ ด้วย

สําหรับการฝึกท่ีเกิดจากผ้เู ก่ียวข้องที่สนใจออกแบบการฝึกเฉพาะสําหรับเดก็ ASD จะเป็นการฝึกท่ี
พฒั นาโดยนกั วิชาการหลายสาขาอาชีพ เชน่ จิตแพทย์ นกั จติ วทิ ยา และนกั วชิ าชีพที่พฒั นาการฝึกในกลมุ่
แรก การฝึ กเหลา่ นีจ้ ะออกแบบมาเพ่ือฝึกเดก็ ASD โดยเฉพาะเม่ือสําเร็จแล้ว บางครัง้ ก็มีการนําไปใช้กบั
ความผิดปกตอิ ื่น ๆ ในภายหลงั

ในบทนีจ้ ะกลา่ วถงึ การฝึกท่ีออกแบบเฉพาะสําหรับผ้ปู ่ วย ASD ในสว่ นของตวั กิจกรรม และความ
เป็นมาของโปรแกรมที่ใช้ในตา่ งประเทศ เปรียบเทียบกบั โปรแกรมท่ีใช้ใน โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยป
ถมั ภ์ ในประเดน็ ของปัจจยั ความสําเร็จ และการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ในการพฒั นา

การพฒั นาการฝึ กแบบต่าง ๆ
การพฒั นาการฝึกผ้ปู ่ วย ASD มีมานานแล้ว ตงั้ แตเ่ ริ่มมีการรายงาน โดยกลมุ่ นกั วชิ าการกลมุ่ แรก

เป็นนกั จิตวิทยาท่ีเน้นหลกั การทางพฤตกิ รรมศาสตร์ผ้บู กุ เบกิ การฝึก ในแนวนี ้คือ Ivar Lovaas เขาได้สร้าง
โปรแกรมการฝึกโดยใช้หลกั การของ operant condition หลงั จากนนั้ ก็มี อีกหลายทา่ นท่ีได้พฒั นาแบบฝึก
ของตวั เอง ในระยะหลงั เมื่อเกิดการตน่ื ตวั ในการขยายตวั ของ ASD ได้มีการการพฒั นาวธิ ีฝึกผ้ปู ่ วย มีเพิม่
มากขนึ ้

การฝึกแบบตา่ ง ๆ นนั้ มีข้อจํากดั สําคญั คือ การวดั ผลความสําเร็จ และคาํ อธิบายในเชิงกลไกการ
รักษา ปัญหาการวดั ผลนนั้ เกิดจาก ASD เป็นความผิดปกตทิ ่ีมีปัญหาพฤตกิ รรมหลายอยา่ งและหลายด้าน
การวดั ผลจงึ ทําได้ยาก ประกอบกบั ความเรือ้ รังการแสดงให้เหน็ วา่ ผ้ปู ่ วยดีขนึ ้ จงึ มกั จะแสดงผลได้เพียงบาง

69

ด้านเทา่ นนั้ ไมส่ ามารถแสดงผลในภาพรวมได้ นอกจากปัจจยั เกี่ยวกบั ความผดิ ปกตแิ ล้ว ปัจจยั ด้านวิธีการ
ก็มีข้อจํากดั จากประเดน็ ทางจริยธรรมด้วย เพราะไมส่ ามารถควบคมุ confounding factor หรือศกึ ษาแบบ
case control เชน่ ให้ฝึกด้วยวิธีเดยี วห้ามใช้วธิ ีอ่ืนได้ หรือฝึกเดก็ กลมุ่ อีกกลมุ่ ไมฝ่ ึก ในสว่ นของข้อจํากดั
ด้านคาํ อธิบายกลไกการรักษา นนั้ เป็นเพราะยงั ไมม่ ีคําอธิบาย กลไกการเกิดพยาธิสภาพได้อยา่ งสมบรู ณ์
คําอธิบายกลไกการรักษาจงึ ทําได้ในระดบั หนงึ่ เทา่ นนั้

ตัวอย่างการฝึ กท่พี ฒั นาขนึ้ ในต่างประเทศ

Lovaas Model
พฒั นาโดย Ole Ivar Lovaas, Ph.D. (8 May 1927 – 2 August 2010) นกั จติ วิทยาคลนิ กิ ชาว

อเมริกนั นบั เป็นโปรแกรมแรก ๆ ในการฝึกผ้ปู ่ วย ASD ปัจจบุ นั ยงั คงมีการใช้อยา่ งแพร่หลาย ได้รับการ
ยอมรับวา่ เป็นการฝึกท่ีสามารถพฒั นาผ้ปู ่ วยได้ ขณะเดยี วกนั ก็ยงั มีข้อถกเถียงในเรื่องประสิทธิภาพและ
คา่ ใช้จา่ ยอยู่(30)

เทคนิคของ Lovaas มีพืน้ ฐานมาจากทฤษฎีพฤตกิ รรมศาสตร์ และถือวา่ เขาเป็นนกั วิชาการรุ่น
แรก ๆ ในยคุ บกุ เบกิ ของวงการพฤตกิ รรมศาสตร์ เทคนิคนีม้ ีช่ือทวั่ ไปวา่ Apply Behavior Analysis (ABA)
ซง่ึ เป็นเทคนคิ ที่ใช้ได้ทงั้ ในเดก็ ปกติ และเดก็ พเิ ศษในหลายกรณี นอกจากในการรักษาผ้ปู ่ วย ASD แล้ว
ยงั นยิ มใช้ในนกั การศกึ ษาระยะแรกไมค่ อ่ ยใช้ในการแพทย์ และการสาธารณสขุ แตใ่ นระยะหลงั นกั วชิ าการ
ทางการแพทย์ก็เริ่มสนใจเร่ืองการปรับพฤตกิ รรม ทําให้บางทา่ นใช้คาํ วา่ ABA เป็นชื่อเฉพาะสําหรับการฝึก
ผ้ปู ่ วย ASD (31)

ABA อาศยั หลกั และทฤษฎีทางพฤตกิ รรมศาสตร์ในแนวของ Skinner ท่ีถือวา่ พฤตกิ รรมจะเพ่ิมหรือ
ลด เกิดจากผลของการกระทํานนั้ ๆ (operant condition) ดงั นนั้ เทคนคิ ของ Lovaas จงึ เน้นท่ีการให้รางวลั
หรือการลงโทษ โดยในระยะแรกของการพฒั นานนั้ เน้นเทคนคิ เชิงลบ เชน่ การใช้ไฟฟ้ าจี ้(42), การตะคอก
หรือใช้เสียงดงั เพื่อลดพฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ แตเ่ ม่ือได้รับคําวิจารณ์อยา่ งมากจงึ คอ่ ย ๆ พฒั นาไปสกู่ าร
ใช้กลไกของการให้รางวลั ปัจจบุ นั เทคนคิ ที่ใช้เป็นไปในทางบวกมากขนึ ้

เทคนคิ ของ Lovaas ได้รับการพฒั นาตอ่ เนื่อง การวิจยั และพฒั นานนั้ ดําเนินการโดย Lovaas และ
University of California ในขณะนีไ้ ด้มีสถาบนั ของ Lovaas เองทําหน้าท่ีเผยแพร่และฝึกอบรมเจ้าหน้าท่ี

70

เพ่ือไปทําหน้าที่ฝึกผ้ปู ่ วย รายละเอียดของการรักษาแบบ Lovaas model นีส้ ามารถหาได้จาก เวป็ ไซด์ ของ
Lovaas institute (www.lovaas.com)

การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ของโปรแกรม ได้มีการตพี ิมพ์ในปี ค.ศ. 1987 พบวา่ การฝึกโดยใช้ ผ้ฝู ึกฝึก
ผ้ปู ่ วยแบบตวั ตอ่ ตวั สปั ดาห์ละ 35-40 ชวั่ โมง ทําให้ผ้ปู ่ วยพฒั นาระดบั สตปิ ัญญา (IQ) ได้จนถึงระดบั ปกติ
การศกึ ษานีถ้ ือได้วา่ เป็นการศกึ ษาแรก ๆ ที่มีการดาํ เนนิ การอยา่ งเป็นระบบ และถกู อ้างอิงเสมอ ๆ ในงาน
วชิ าการตา่ ง ๆ อยา่ งไรก็ตาม การศกึ ษานีย้ งั มีจดุ ออ่ นท่ีถกู วจิ ารณ์ อยมู่ าก ทงั้ ระเบียบวิธีวจิ ยั , การเลือกกลมุ่
ตวั อยา่ ง ฯลฯ (43)

การศกึ ษาของ Lovaas ถือวา่ เป็นการศกึ ษาสําคญั ท่ีแสดงให้เห็นวา่ ผ้รู ักษาสามารถฝึกเดก็ กลมุ่ นี ้
ให้มีพฒั นาการท่ีดีขนึ ้ ได้ และสามารถแสดงให้เห็นได้โดยการวดั IQ แม้วา่ IQ จะไมไ่ ด้เป็นเคร่ืองมือวดั
อาการของ ASD ก็ตาม ทงั้ นีเ้พราะ IQ เป็นปัจจยั บวกในการพยากรณ์โรค การท่ีเราสามารถฝึกเดก็ ให้มี IQ
เพ่ิมขนึ ้ ก็เทา่ กบั เราเพิ่มโอกาสให้เดก็ มีการพยากรณ์โรคดีขนึ ้ ระยะหลงั มีความนิยมใช้การวดั ผล IQ เพื่อ
สะท้อนความก้าวหน้าของเดก็ ในหลาย ๆ รายงาน

หากไมม่ ีรายงานของ Lovaas หรือพบวา่ แม้จะฝึกหนกั อยา่ งไร อาการก็จะไมด่ ีขนึ ้ ความผิดปกตนิ ี ้
คงยงั เป็นความผดิ ปกตทิ ่ีไมม่ ีความหวงั ผลการศกึ ษาของ Lovaas นอกจากจะแสดงให้เห็นวา่ เดก็ ASD นนั้
ดีขนึ ้ ได้ด้วยการฝึก ยงั ทําให้เกิดการยอมรับวา่ การฝึกเดก็ กลมุ่ นีใ้ ห้ ได้ผล ต้องใช้วธิ ีการที่เข้มข้น (intensive)
จนมีการเรียกการฝึกสําหรับเดก็ ASD วา่ Early Intensive Behavior Intervention (EIBI)

การวดั ความก้าวหน้าของเดก็ โดยใช้ คา่ IQ ตามท่ี Lovaas ใช้นนั้ มีมากขนึ ้ ในการศกึ ษาระยะหลงั
แม้จะมีบางรายงานกลบั พบวา่ คา่ IQ กลบั ลดลง เพราะกอ่ นหน้านีย้ งั มีความเหน็ กนั วา่ การวดั IQ ในเดก็
ASD จะไมไ่ ด้คา่ ความสามารถท่ีแท้จริง และไมไ่ ด้สะท้อนการดขี นึ ้ ของอาการเพราะ กลมุ่ เดก็ ASD จะมีคา่
IQ ได้ทกุ ระดบั การท่ีเราพบวา่ การฝึกทําให้ IQ เปล่ียนได้นนั้ เป็นเพียงการวดั มติ เิ ดียว แตก่ ็เป็นหลกั ฐาน
หนงึ่ ที่สะท้อนให้เหน็ วา่ ASD กบั intellectual disability (mental retardation หรือ ปัญญาออ่ น) นนั้ เป็น
ความผิดปกตคิ นละกลมุ่ กนั เพราะในการฝึกเดก็ intellectual disability เราไมส่ ามารถทําให้ IQ เปล่ียนไป
แตท่ ําให้มีความสามารถเตม็ ที่ตามศกั ยภาพของเดก็ จนสามารถใช้ชีวิตได้อยา่ งมีคณุ ภาพเทา่ นนั้

71

DIR/Floortime
เป็นโปรแกรมการฝึกท่ีรู้จกั กนั ดีในประเทศไทยมีกลมุ่ นกั วิชาการที่เผยแพร่วธิ ีฝึก และเป็นท่ีนิยมใช้

อยา่ งแพร่หลายในระยะหลายปี ที่ผา่ นมา โปรแกรมนีพ้ ฒั นาโดย นพ. Stanley Greenspan (June 1, 1941
– April 27, 2010) กมุ ารแพทย์และจติ แพทย์เดก็ ชาวอเมริกนั จาก George Washington University

Greenspan เป็นจติ แพทย์เดก็ มีชื่อเสียง และมีผลงานมากมายเป็นท่ีประจกั ษ์ ได้พฒั นาโปรแกรม
นี ้โดยมีแนวคดิ พืน้ ฐาน ท่ีเรียกวา่ DIR โดย

D ยอ่ มาจาก Development ซงึ่ เขาได้จดั แบง่ ขนั้ ตอนพฒั นาการของเดก็ ออกเป็น 6 ระยะ คือ

stage 1: Self-regulation and interest in the world

stage 2: Intimacy, engagement, & falling in love

stage 3: Two-way communication

stage 4: Complex communication

stage 5:Emotional ideas

stage 6: Emotional & logical thinking

I ยอ่ มาจาก individual different คอื ให้มองความสามารถและคณุ ลกั ษณะของเดก็ แตล่ ะคน ๆ ไป
เพราะเดก็ แตล่ ะคนจะมีความแตกตา่ งกนั เป็นรายบคุ คล ตามปัจจยั ทางชีวภาพ และการเรียนรู้ที่ผา่ นมา

R ยอ่ มาจาก relationship-base ซง่ึ หมายถงึ การพฒั นาเดก็ ต้องอาศยั ความสมั พนั ธ์โดยเฉพาะ
อยา่ งย่ิงกบั คนเลีย้ ง ซง่ึ ท่ีเป็นหลกั ก็คอื พอ่ แม่

สว่ น floortime เป็นชื่อเรียกที่หมายถึง เทคนคิ ท่ีจะใช้บรรยากาศสบาย ๆ เหมือนนง่ั เลน่ บนพืน้ พอ่
แมเ่ ลน่ กบั ลกู อยา่ งสนกุ สนานร่าเริง คอ่ ย ๆ เข้าหาและปรับพฤตกิ รรมเดก็ จนได้พฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค์ โดย
พฤตกิ รรมที่พงึ ประสงคน์ นั้ จะต้องสอดคล้องกบั ลําดบั ของพฒั นาการ

72

การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิของ floortime นนั้ มีไมม่ ากนกั และยงั ไมม่ ีงานที่ถกู อ้างองิ บอ่ ยครัง้ เหมือน
ของ Lovaas ข้อมลู ในรายละเอียดสามารถค้นหาเพ่มิ เตมิ ได้จากเว็ปไซดข์ อง floortime และ Greenspan
(www.icdl.com และ http://stanleygreenspan.com)

หลงั จากการเผยแพร่ การฝึ กแบบนี ้ได้มีผ้วู ิเคราะห์ เปรียบระหวา่ งแนวทางของ นพ. Greenspan
กบั ของ Lovaas วา่ ตา่ งกนั ที่จดุ เน้น แนวทางของ Greenspan นนั้ ให้ความสําคญั กบั อารมณ์ ความรู้สกึ นกึ
คดิ ของเดก็ และปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งแมก่ บั เดก็ จงึ เรียกแนวทางของ Green span วา่ relationship-base
model ขณะท่ีของ Lovaas จะเน้นที่เป้ าหมายเชงิ พฤตกิ รรม โดยไมใ่ ห้ความสําคญั กบั ความรู้สกึ ของเดก็
แม้เดก็ จะไมพ่ อใจ หรือร้องไห้แตถ่ ้ายอมปฏิบตั ติ ามเงื่อนไขเชงิ พฤตกิ รรมที่ผ้รู ักษากําหนดก็ถือวา่ ใช้ได้ แนว
ของ Lovaas อาจจะเรียกอีกชื่อหนง่ึ ได้วา่ เป็น behavioral base model การจดั กลมุ่ เชน่ นี ้ ชว่ ยให้เข้าใจ
บรรยากาศ และเทคนคิ วิธีการฝึก ที่แตกตา่ งกนั ชดั เจนขนึ ้

ในการศกึ ษาวิจยั เปรียบเทียบผลของการรักษาพบวา่ กลมุ่ behavioral baseนนั้ จะได้ผลดีกวา่ กลมุ่
ที่เป็น relationship-base อยพู่ อสมควร แตเ่ น่ืองจากข้อจํากดั ของการศกึ ษา จงึ อาจจะเร็วไปท่ีจะสรุป
ในตอนนี ้

Higashi Model
พฒั นาโดยครูชาวญ่ีป่ นุ Dr. Kiyo Kitahara (1925-1989) โดยเร่ิมต้นหลงั จากเธอเปิดโรงเรียนเป็น
ของตวั เอง และได้ชว่ ยเหลือเดก็ นกั เรียนคนหนง่ึ ท่ีเธอก็ไมท่ ราบวา่ เป็นเดก็ พิเศษ และในภายหลงั จงึ ได้
ทราบวา่ เดก็ คนนีเ้ป็น autistic ตอ่ มาเธอก็ได้ดแู ลเดก็ พเิ ศษอีกหลายคน จากความสําเร็จ ความเมตตาและ
ความพยายามหาทางชว่ ยเหลือในครัง้ นนั้ ทําให้ชื่อเสียงของเธอเป็นที่รับรู้ทว่ั ไป พอ่ แมข่ องเดก็ พเิ ศษจํานวน
มากได้เดนิ ทางมายงั โรงเรียนของเธอ เพื่อให้ลกู ได้รับการศกึ ษา

หลงั จากนนั้ วิธีการชว่ ยเหลือของเธอก็ได้รับการพฒั นาขนึ ้ เรียกวา่ Daily Life Therapy และได้รับ
การยกยอ่ งจาก Bowling Green State University, Ohio โดยได้รับปริญญา ดษุ ฎีบณั ฑติ กิตตมิ ศกั ดิ์ สาขา
ครุศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1980 ตอ่ มาโรงเรียนในแนวของ Dr. Kiyo Kitahara นนั้ ได้เปิดดาํ เนนิ การขนึ ้ ในหลาย
ประเทศ เชน่ อเมริกา และองั กฤษ ศกึ ษาเพิม่ เตมิ ได้จาก เวป็ ไซด์ของของ Higashi (www.musashino-
higashi.org/dr.kitahara-english.htm และ www.bostonhigashi.org หรือ เวป็ ไซดข์ อง national autistic
society :www.autism.org.uk)

73

Holding Therapy
เป็นการฝึกที่ปัจจบุ นั เหน็ ตรงกนั แล้ววา่ ไมไ่ ด้ผล แตม่ ีประเด็นท่ีนา่ สนใจ ที่มกั ไมไ่ ด้รับกลา่ วถึงอยู่
ประเดน็ หนง่ึ การรักษาแบบนี ้ไมไ่ ด้เป็นการฝึก แตเ่ ป็นการกอดกนั ระหวา่ งฝึก พฒั นาโดยนกั วทิ ยาศาสตร์
รางวลั โนเบล Nikolaas "Niko" Tinbergen (15 April 1907 – 21 December 1988) ซง่ึ ได้รับรางวลั ใน
สาขา Physiology or Medicine ในปี ค.ศ. 1973 ร่วมกบั นกั วทิ ยาศาสตร์อีก 2 ทา่ น คือ Karl von Frisch
และ Konrad Lorenz

การรักษาที่ Tinbergen คดิ ขนึ ้ เป็นการให้พอ่ แมก่ อดลกู แนน่ ๆและนาน ๆในขณะที่ฝึกลกู ให้สบตา
ซงึ่ ในปัจจบุ นั การฝึกแบบนีจ้ ะพสิ จู น์แล้ววา่ ไมไ่ ด้ผลในการพฒั นาผ้ปู ่ วย แต่ประเดน็ ที่นา่ สนใจและไมค่ อ่ ยมี
คนกลา่ วถงึ คือ วิธีท่ีเขาเลือกใช้เป็นวิธีที่ได้มาจากทฤษฎีหนง่ึ ของเขา คอื super normal stimuli

Super normal stimuli เป็นการค้นพบวา่ การใสส่ ่ิงเร้าให้มากกวา่ ท่ีธรรมชาตกิ ําหนด จะกระต้นุ
สญั ชาตญิ าณบางอยา่ งในสิ่งมีชีวติ ท่ีแสดงออกเป็นพฤตกิ รรม เชน่ การกกไขข่ องนก เขาได้ทดลองทําไข่
ปลอมท่ีมีขนาด และลวดลาย เดน่ กวา่ ไขจ่ ริงไปปนกบั ไขจ่ ริงแล้วให้นกฟัก ปรากฏวา่ นกได้ไปฟักไขท่ ่ีเป็นไข่
ปลอมมากกวา่ ไขจ่ ริง

การทดลองนีแ้ สดงให้เห็นความจริงตามธรรมชาตไิ ด้ 2 ประการ ประการแรก ธรรมชาตไิ ด้กําหนด
พฤตกิ รรมที่เป็นสญั ชาตญิ าณไว้กบั ส่ิงมีชีวติ แตล่ ะชนดิ แล้ว คือ นกต้องฟักไข่ ประการที่สอง พฤตกิ รรมนีจ้ ะ
ถกู กระต้นุ ให้แสดงออกด้วยสิ่งเร้าท่ีถกู กําหนดไว้แล้วเชน่ เดยี วกนั คอื ขนาดและลวดลายของไข่ ถ้าเรารู้วา่
สิง่ เร้าใด เป็นสิ่งเร้าท่ีถกู กําหนดมากอ่ นแล้ว เราทําให้สง่ิ เร้านนั้ มีความเข้มมากกวา่ ธรรมชาติ ก็จะกระต้นุ
พฤตกิ รรมนนั้ ได้

ดงั ได้กลา่ วไปแล้วในบทท่ีแล้ววา่ พฤตกิ รรมที่ผิดปกตขิ องผ้ปู ่ วย ASD นนั้ มีชดุ หนง่ึ ท่ีเป็นพฤตกิ รรม
ที่มีในเดก็ ปกติ แตไ่ มม่ ีในผ้ปู ่ วย ASD คือ ชดุ พฤตกิ รรมทีเก่ียวกบั attachment เม่ือนํามาเทียบกบั วิธีการ
กระต้นุ ด้วยจํานวนชวั่ โมงมาก ๆ ของ Lovaas ,super normal stimuli ,การกอดกนั อยา่ งผิดธรรมชาตขิ อง
Tinbergen และ attachment ท่ีเป็นสญั ชาติญาณพืน้ ฐานทางสงั คมระหวา่ งแมล่ กู ข้อค้นพบทงั้ หมดนี ้จะมี
ความเช่ือมโยงกนั หรือไมเ่ ป็นประเดน็ ท่ีนา่ จะมีการศกึ ษาตอ่ เพราะการค้นพบความเช่ือมโยงนี ้ จะนําไปสู่
หนทางการรักษาท่ีดขี นึ ้

74

Son-Rise Program
เป็นโปรแกรมการฝึกแบบหนง่ึ ท่ี มีคาํ วิจารณ์ในทางลบอยมู่ ากพอสมควร พฒั นาโดย Barry Neil
Kaufman และ Samahria Lyte Kaufman ซงึ่ เป็นพอ่ แมข่ องผ้ปู ่ วย ASD ท่ีมีระดบั IQ เพียง 30 ทงั้ สองได้
เขียนหนงั สือชื่อ Son-Rise ในปี ค.ศ. 1976 และสร้างองค์กรชื่อ The Autism Treatment Center of
America และ Option Institute เพ่ือดาํ เนินการเผยแพร่และจดั บริการ

โปรแกรมนีใ้ ช้หลกั การเรียกวา่ relationship-base treatment เน้นจดุ สําคญั ท่ีความเป็นเอกบคุ คล
ของเดก็ และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งพอ่ แมก่ บั เดก็ ซง่ึ ผ้รู ู้บางทา่ นเห็นวา่ แนวทางนีค้ ล้ายคลงึ กบั floortime ท่ี
พฒั นาขนึ ้ ในภายหลงั

ผลสมั ฤทธ์ิของโปรแกรมเป็นประเดน็ ที่มีข้อกงั ขาอยมู่ ากเพราะยงั ไมม่ ีการศกึ ษาที่เป็นวิทยาศาสตร์
มารองรับ ขณะเดียวกนั ทาง Autism Treatment Center of America ก็ได้พยายามทําการศกึ ษาวจิ ยั แตย่ งั
ได้รับความเชื่อถือน้อยอยู่(44)

Early Start Denver Model (ESDM)
เป็นโปรแกรมการรักษาที่เพิง่ พฒั นาขนึ ้ และมีการรายงานผลการศกึ ษาในปี ค.ศ. 2010 จดั ฝึกอบรม
บคุ ลากรโดย UC Davis MIND Institute(45)

เป็นโปรแกรมใหม่ท่ีใช้หลกั การของพฒั นาการร่วมกบั การปรับพฤตกิ รรม แสดงผลการรักษาให้เห็น
ได้วา่ ผ้ปู ่ วยมีพฒั นาการที่ดขี นึ ้ มีระดบั สตปิ ัญญาสงู ขนึ ้

เน่ืองจากมีการรายงานตพี ิมพ์เพียงฉบบั เดียวแตม่ ีการพฒั นาท่ีเป็นระบบ จงึ เป็นอีกโปรแกรมหนงึ่ ท่ี
นา่ สนใจตดิ ตามความก้าวหน้าในการพฒั นาตอ่ ไป

TEACCH
เป็นโปรแกรมการรักษาที่มีมานานแล้ว มีชื่อเตม็ ๆ วา่ Treatment and Education of Autistic
and related Communication Handicapped Children เป็นโปรแกรมที่พฒั นาตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1964 นบั เป็น
กลมุ่ ที่พฒั นาโปรแกรมการฝึกในยคุ เริ่มแรกอีกโปรแกรมหนง่ึ ดําเนินการโดย University of North Carolina

โปรแกรมนีเ้ป็นอีกโปรแกรมหนงึ่ ที่มีการศกึ ษาวิจยั อยา่ งเป็นระบบมากพอสมควรมีจดุ เดน่ คอื นํา
วิธีการเรียนรู้ของเดก็ มาสร้างเป็นแบบฝึก เชน่ เมื่อทราบวา่ ผ้ปู ่ วยกลมุ่ นีม้ ีความจําดีทําตามลําดบั ท่ีเรียนรู้ได้

75

ก็ออกแบบการสอนท่ีมีแบบแผนแนน่ อนตายตวั (structure) การออกแบบกิจกรรม ท่ีมีแบบแผนตายตวั นี ้
ภายหลงั มีการศกึ ษาพบวา่ เป็นหนง่ึ ในปัจจยั ความสําเร็จ

นอกจากการออกแบบเป็นแบบแผนตายตวั แล้ว ยงั มีการใช้สื่อการเรียนรู้ ท่ีเป็นภาพมาชว่ ยในการ
สื่อสาร เพราะทราบวา่ ผ้ปู ่ วยกลมุ่ นีเ้ป็น visual learner เป็นต้น โปรแกรมนีเ้ป็นท่ีนิยมในวงการการศกึ ษา
สําหรับใช้ในผ้ปู ่ วยท่ีเป็นเดก็ โต และสามารถเรียนรู้ทกั ษะท่ีสลบั ซบั ซ้อนได้(44)

ปัจจบุ นั มีโปรแกรมยอ่ ย ๆ อีกหลายโปรแกรม เชน่ มีการพฒั นาเป็นรูปแบบของ early intervention
ด้วย โปรแกรมนี ้มีการพฒั นากิจกรรมที่ใช้กบั ผ้ปู ่ วยอยา่ งตอ่ เนื่อง จากเดมิ ท่ีเน้นการปรับพฤตกิ รรม ระยะ
หลงั เร่ิมมีการพฒั นาการสร้างความคดิ และสร้างความเข้าใจเพิ่มไปด้วย

PECS
โปรแกรมนีม้ ีชื่อเตม็ ๆ วา่ Picture Exchange Communication System พฒั นาขนึ ้ ในปี ค.ศ.
1985 เป็นการสร้างกระบวนการส่ือสารให้กบั ผ้ปู ่ วยโดยใช้ภาพแทนการพดู จากวิธีการเรียนรู้แบบ visual
learner สามารถใช้ได้กบั ผ้ปู ่ วย ASD และที่มีปัญหาการสื่อสารอื่น เป็นการส่ือสารทางเลือกที่ชว่ ยให้ผ้ปู ่ วย
มีคณุ ภาพชีวิตดขี นึ ้

เดมิ การใช้การส่ือสารทางเลือกนี ้ ถกู จดั อยใู่ น การรักษาท่ีไมใ่ ชม่ าตรฐาน ตามคมู่ ือของ National
Institute of Mental Health (NIMH) (1997) แตเ่ มื่อมีการศกึ ษาถึงผลสมั ฤทธ์ิในภายหลงั กลบั พบว่า เป็นวธิ ี
ท่ีชว่ ยให้ผ้ปู ่ วย ส่ือสารกบั คนทว่ั ไปได้ดขี นึ ้ โปรแกรมนีน้ ิยมใช้ในนกั การศกึ ษา ใช้ได้กบั เดก็ ทกุ อายุ และใน
ความผดิ ปกตหิ ลายอยา่ ง(44)

Early Intervention (EI)
Early intervention เป็นแนวคดิ ในการให้ความชว่ ยเหลือ ผ้ปู ่ วยที่มีปัญหาพฒั นาการทกุ ชนิด โดย

เห็นตรงกนั วา่ การให้ความชว่ ยเหลือทนั ทีที่วินิจฉยั จะมีผลดีที่สดุ ตอ่ พฒั นาการ EI จงึ มีองคป์ ระกอบสําคญั
สองประการ คอื การวินจิ ฉยั ท่ีเร็วท่ีสดุ และให้ความชว่ ยเหลือทนั ที

ในผ้ปู ่ วย ASD การวินจิ ฉยั โดยเร็วที่สดุ นนั้ ดีขนึ ้ เป็นลําดบั มีการพฒั นาแบบคดั กรอง เคร่ืองมือคดั
กรอง และเกิดความต่ืนตวั อยา่ งมาก สว่ นการให้ความชว่ ยเหลือนนั้ จะเหน็ วา่ มีอย่หู ลายแบบ แตล่ ะแบบก็
เหมาะกบั กลมุ่ อายทุ ี่ตา่ งกนั ซงึ่ ขณะนีย้ งั ไมม่ ีการกําหนดนิยามที่ชดั เจนวา่ การกระต้นุ เมื่ออายเุ ทา่ ไรจะ
เรียกวา่ เป็น early intervention และเมื่ออายเุ ทา่ ไรไมค่ วรเรียก อยา่ งไรก็ตามในระบบการศกึ ษา จะมี

76

การปรับหลกั สตู รสําหรับเดก็ พิเศษ รวมทงั้ ผ้ปู ่ วย ASD เรียกวา่ การศกึ ษาพเิ ศษ หรือ special education
program

ในกรณีนี ้มีการดําเนินการในประเทศองั กฤษ ที่แยกการฝึกผ้ปู ่ วย ก่อนเข้าระบบการศกึ ษาออกมา
เป็นกระบวนการตา่ งหาก ซงึ่ นา่ สนใจและ อาจจะถือเป็นการฝึกกระต้นุ พฒั นาการ โดยมีเป้ าหมายเพื่อ
เตรียมผ้ปู ่ วยให้มีความสามารถใกล้เคียงกบั เดก็ ปกติ ก่อนเข้าระบบโรงเรียน โปรแกรมนีเ้รียกวา่ early bird
program

Early bird program เป็นการฝึกท่ีพฒั นาขนึ ้ ในประเทศองั กฤษ โดย National Autistic Society
( NAS ) เร่ิมดาํ เนนิ การในปี ค.ศ. 1997(46) เป็นการฝึกเป็นเวลา 3 เดอื นสําหรับพอ่ แมท่ ่ีลกู ยงั ไมเ่ ข้าโรงเรียน
เพื่อให้ความชว่ ยเหลือ ก่อนเข้าระบบการศกึ ษา มีเป้ าหมายเพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจ, ฝึกพอ่ แมใ่ นการ
สร้างพฤตกิ รรมที่เหมาะสม และจดั การกบั พฤตกิ รรม ที่ไมเ่ หมาะสมให้กบั ลกู , พฒั นาขีดความสามารถใน
การสื่อสารของผ้ปู ่ วย ปัจจบุ นั ยงั คงดําเนนิ การอยู่ และมีการนําไปใช้ในบางประเทศ เชน่ นวิ ซีแลนด์เป็นต้น

ขนั้ ตอนปฏิบตั ใิ นการฝึกนนั้ จะใช้วิธีการหลายแบบผสมกนั เชน่ ใช้ TEACCH, PEC technique
เป็นต้น จดุ ท่ีนา่ สนในโครงการนี ้คอื การบริหารจดั การเจ้าหน้าที่ในโครงการจะต้องเป็นนกั วชิ าชีพ และเข้า
รับการอบรมกบั NAS ก่อนจะได้รับใบอนญุ าตให้เป็นครูฝึกในโครงการ และปฏิบตั หิ น้าที่เป็นครูฝึกของพอ่
แมผ่ ้ปู ่ วย โดยใบอนญุ าตนีม้ ีอายจุ ํากดั เจ้าหน้าที่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางผ้ดู ําเนินการกําหนด เพ่ือควบคมุ
คณุ ภาพ และรักษาสถานะภาพไว้

นอกจากที่ประเทศองั กฤษแล้ว ในโปรแกรม ESDM(45) ของอเมริกาจะเน้นการดําเนนิ การกบั กลมุ่
วยั เตาะแตะ (toddler) หรืออายนุ ้อยกวา่ 30 เดอื น จะเหน็ ได้วา่ ชว่ งอายขุ องโปรแกรม early intervention
นนั้ จะมีการใช้กนั จะเป็นชว่ งเวลาตา่ งกนั เลก็ น้อย แตจ่ ะไมเ่ กินอายทุ ่ีเข้าโรงเรียน

การศึกษาผลสาเร็จของ early intervention
ดงั ได้กลา่ วไปแล้ววา่ การศกึ ษาผลสําเร็จของการฝึกนนั้ มีข้อจํากดั ในสว่ นของ early intervention

ก็เป็นเชน่ เดียวกนั อยา่ งไรก็ตาม มีการรายงานความสําเร็จของ โปรแกรมการฝึกแบบตา่ ง ๆ ตามแนวทาง
ของแตล่ ะโปรแกรม ซง่ึ ยงั ขาดข้อกําหนดวา่ โปรแกรมสําหรับเดก็ วยั ใด ควรเรียกช่ืออยา่ งไร แตเ่ ป็นท่ีเข้าใจ
ร่วมกนั โดยปริยายวา่ หากเป็นเดก็ กอ่ นวยั เรียนมกั จะเรียกวา่ เป็น early intervention เชน่ โปรแกรมของ
TEACCH จะมีโปรแกรมยอ่ ยหลายแบบ ทงั้ สําหรับเดก็ โต และเดก็ ก่อนวยั เรียน เป็นต้น

77

ในการพฒั นาโปรแกรม early intervention นีไ้ ด้มีผ้ทู ําการศกึ ษาปัจจยั ที่ ทําให้การฝึกแตล่ ะชนิด
ประสบความสําเร็จไว้หลายรายงาน Stahmer (2007)(47)ได้รวบรวมผลการศกึ ษาปัจจยั ของความสําเร็จของ
โปรแกรมการฝึกผ้ปู ่ วยไว้ดงั นี ้

 การฝึกกระต้นุ นนั้ ทําโดยเร็วที่สดุ หรือทนั ทีที่ทราบวา่ มีความผิดปกติ
 มีการออกแบบการให้ความชว่ ยเหลือเป็นรายบคุ คลตามความต้องการเฉพาะตวั
 โปรแกรมต้องสร้างเสริมการนําบทเรียนท่ีได้ไปใช้ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ (generalization)
 สภาพแวดล้อมต้องมีโครงสร้างและการทํางานท่ีแนน่ อนเป็นกิจวตั ร (structure environment หรือ

routine)
 โปรแกรมจะต้องมีเป้ าหมายในการพฒั นาการสื่อสาร ทกั ษะสงั คมและการเลน่ การเรียนรู้ การดแู ล

ตวั เอง และการควบคมุ พฤตกิ รรม
 มีชวั่ โมงฝึกตอ่ สปั ดาห์สงู ประมาณ 20-30 ชว่ั โมงตอ่ สปั ดาห์
 พอ่ แมม่ ีสว่ นร่วมในการฝึกมาก
 เจ้าหน้าที่ผ้ปู ฏิบตั ติ ้องมีการศกึ ษาและได้รับการฝึกอบรมมาอยา่ งดี
 สามารถจดั การให้เดก็ เข้าร่วมกิจกรรมได้เป็นอยา่ งดี
 มีการประเมนิ ตอ่ เนื่องเพ่ือปรับปรุงแผนการดําเนินงานตลอดเวลา

การถอดบทเรียนของ รพ.ยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ์
รพ.ยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ์ เดมิ ชื่อ โรงพยาบาลสําโรง เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชเดก็

และวยั รุ่น เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2510 เพ่ือให้บริการผ้ปู ่ วยจิตเวชเดก็ แบบผ้ปู ่ วยใน จากเดมิ ท่ีมีหนว่ ยงาน
ให้บริการด้านจิตเวชเดก็ แบบผู้ป่ วยนอกอยแู่ ล้ว คือ ศนู ย์สขุ วิทยาจติ ( ปัจจบุ นั คอื สถาบนั สขุ ภาพจิตเดก็
และวยั รุ่นราชนครินทร์ ) แตม่ ีผ้ปู ่ วยจํานวนหนง่ึ ที่การรักษาแบบผ้ปู ่ วยนอกยงั ไมเ่ พียงพอ กรมการแพทย์
กระทรวงสาธารณสขุ จงึ เปิดโรงพยาบาล สําโรง ขนึ ้ อีกหนงึ่ แหง่ ที่ ต.ปากนํา้ อ.เมือง สมทุ รปราการ

เม่ือเปิดให้บริการไประยะหนง่ึ มีผ้ปู ่ วย ASD ( ขณะนนั้ ใช้คาํ วา่ autistic หรือ autism ) มารับการ
รักษา ศ.พญ.เพ็ญแข ล่มิ ศลิ า แพทย์ประจําในขณะนนั้ ได้รับผ้ปู ่ วยไว้และให้การรักษาตงั้ แตย่ งั ไมค่ อ่ ยมี
คนรู้จกั ความผดิ ปกตนิ ี ้ การดําเนนิ การกบั ผ้ปู ่ วยกลมุ่ นีม้ ีเรื่อยมา จนถงึ ปัจจบุ นั ตลอดระยะเวลาของการ
ทํางาน รพ. ได้มีประสบการณ์ในการรักษาและพฒั นาโปรแกรมตา่ ง ๆ เป็นระยะ ซง่ึ ในภายหลงั ได้เผยแพร่

78

ความรู้ให้กบั รพ.เครือขา่ ย แตก่ ารถา่ ยทอดในขณะนนั้ เป็นการถา่ ยทอดแนวทางปฏิบตั ิ ไปยงั เจ้าหน้าท่ี
โดยตรง ไมไ่ ด้มีการสร้างแนวคดิ เชงิ ทฤษฎีเหมือนในตะวนั ตก

การถอดบทเรียนในที่นี ้ เป็นการนํานวตั กรรมหนง่ึ ท่ีเรียกวา่ “การนําเดก็ ออกจากโลกของตวั เอง”
และแผนการรักษาแบบผ้ปู ่ วยในที่ ศ.พญ.เพญ็ แข ได้พฒั นาขนึ ้ ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2532 มาแปลงเป็นแนวคดิ ทาง
ทฤษฎี (explicit knowledge) เพ่ืออธิบายขนั้ ตอน และกลไกการเรียนรู้ท่ีเกิดกบั เดก็ อนั นําไปสกู่ ารพฒั นา
และพร้อมเข้าโรงเรียนตอ่ ไป

กจิ กรรมสาหรับผู้ป่ วยนอก (นาเดก็ ออกจากโลกของตวั เอง)

กิจกรรมในโปรแกรมการรักษา(ตามแบบดงั้ เดมิ ) นีม้ ีกิจกรรม 6 ชดุ ประกอบด้วย

ชดุ ท่ี 1 กระต้นุ ประสาทสมั ผสั

ชดุ ที่ 2 กระต้นุ สมั พนั ธภาพ

ชดุ ที่ 3 ฝึกทําตามคําสง่ั งา่ ย ๆ

ชดุ ที่ 4 ทางด้านภาษา- การเคล่ือนไหว ปากและลิน้

ชดุ ที่ 5 กระต้นุ ทางภาษา

ชดุ ท่ี 6 การชว่ ยเหลือตวั เอง

โปรแกรมนีเ้ป็นลกั ษณะการให้ผ้ปู กครอง เป็นผ้ฝู ึกผ้ปู ่ วยเองที่บ้าน โดยมีผ้เู ช่ียวชาญเป็นผ้ฝู ึกสอน
โปรแกรมลกั ษณะนีใ้ นภายหลงั ในตา่ งประเทศเรียกกนั วา่ ‚ parent mediated program‛ ซงึ่ ได้รับความ
นิยม หลงั จากมีอบุ ตั กิ ารณ์ของผ้ปู ่ วยกลมุ่ นีเ้พิ่มขนึ ้ เชน่ early bird program ในประเทศองั กฤษ ที่ให้
ความรู้และพฒั นาทกั ษะของผ้ปู กครอง โดยมีการฝึกอบรม และมีผ้เู ช่ียวชาญ ไปชว่ ยเป็นผ้ฝู ึกสอน ให้กบั
พอ่ แมใ่ นการฝึกผ้ปู ่ วยท่ีบ้านใช้การบนั ทกึ วดิ ีโอขณะพอ่ แมอ่ ยกู่ บั ลกู ชว่ ยให้ผ้ฝู ึกเห็นความเป็นไประหวา่ งฝึก

รพ.ยวุ ประสาทฯ ได้พฒั นาโปรแกรมนี ้ เพื่อใช้ในการรักษาผ้ปู ่ วยทกุ ราย และเป็นสว่ นหนงึ่ ของ
โครงการวิจยั ระยะยาวร่วมกบั รร.สาธิตแหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ โดยผ้ปู ่ วยในโครงการจะต้องผา่ น
การฝึกแบบนี ้กอ่ นนําเข้ามาเป็นผ้ปู ่ วยใน ที่ฝึกในห้องเรียนจําลองท่ีเรียกวา่ ห้องเตรียมความพร้อม การฝึก
ในระยะนนั้ ไมไ่ ด้กําหนดชว่ งเวลาตายตวั เป็นการฝึกก่อนรับเข้าเป็นผ้ปู ่ วยใน

79

วธิ ีฝึ ก

ในแตล่ ะชดุ จะมีใบงาน สําหรับให้พอ่ แมบ่ นั ทกึ ผล ทุกชดุ กิจกรรมจะมีกิจกรรมยอ่ ย เช่น ชดุ กระต้นุ
ประสาทสมั ผสั จะมีกิจกรรมยอ่ ย คือ นวดแขน, นวดขา ฯลฯ

กิจกรรมยอ่ ยแตล่ ะกิจกรรมพอ่ แมต่ ้องทํากบั ผ้ปู ่ วยวนั ละ 10ครัง้ แบบสมุ่ ตามโอกาสและบรรยากาศ
ไมใ่ ช่ ทําทีเดยี ว ครบ10 ครัง้ เลย

ในแตล่ ะครัง้ ท่ีทํา ให้ประเมินผลเป็น 3 ลกั ษณะ คือ

ผ้ปู ่ วยไมร่ ่วมมือ หรือทําไมไ่ ด้ จะบนั ทกึ เป็นเคร่ืองหมาย x

ผ้ปู ่ วยทําได้ แตต่ ้องให้ความชว่ ยเหลือ จะบนั ทกึ ด้วยเครื่องหมาย ถกู หนง่ึ อนั

ผ้ปู ่ วยทําได้ด้วยตวั เอง ให้ความชว่ ยเหลือน้อยมากหรือไมต่ ้องชว่ ยเลย บนั ทกึ ด้วยเครื่องหมาย ถกู
2 อนั

ระยะแรก เป็นการบนั ทกึ ด้วยเคร่ืองหมาย แตต่ อ่ มา ได้เพิ่มการบนั ทกึ ด้วยการระบายสีให้แตกตา่ ง
กนั ทําให้เห็นความสําเร็จใจการฝึกได้ชดั เจนขนึ ้ ตามตวั อยา่ งในบทที่ 2

การฝึกนนั้ พ่อแม่ จะเป็นผ้ฝู ึกผ้ปู ่ วยท่ีบ้านโดยโรงพยาบาลเป็นผ้มู อบหมายกิจกรรม ตามโปรแกรม
การฝึกนี ้พอ่ แมแ่ ตล่ ะคนจะต้องกระต้นุ ลูกด้วยจํานวนครัง้ ที่คอ่ นข้างมากหากได้กิจกรรม 10 กิจกรรมก็ต้อง
กระต้นุ ลกู ประมาณ 100 ครัง้ ตอ่ วนั

เม่ือผ้ปู ่ วยผา่ นการฝึกในชดุ นําเดก็ ออกจากโลกของตวั เองแล้ว ทางรพ.ก็จะนดั พบแพทย์เป็นผ้ปู ่ วย
นอก โดยให้พอ่ แมเ่ ป็นคนฝึกลกู ไปพลาง ๆ ที่บ้าน เพื่อรอรับเข้าเป็นผ้ปู ่ วยใน

กจิ กรรมสาหรับผู้ป่ วยใน
การออกแบบกิจกรรม สําหรับผ้ปู ่ วยใน จะทําวอร์ดให้มีลกั ษณะเหมือนห้องเรียนจําลอง เรียกใน
สมยั นนั้ วา่ ห้องเตรียมความพร้อมมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อเตรียมผ้ปู ่ วยให้มีความพร้อมทางวิชาการระดบั อนบุ าล
ขณะเดียวกนั ในกระบวนการนนั้ ก็จะมีพฒั นาการทางสงั คมสอดแทรกอยู่ โดยผ้ปู ่ วยที่จะได้รับการรักษา
แบบผ้ปู ่ วยในนี ้จะต้องมีการพฒั นาใน 3 ด้าน คือ

80

1. มีสงั คมกบั คนรอบตวั พอสมควร แม้จะมีพฤตกิ รรม ที่ไมเ่ หมาะสมอยบู่ ้างก็ได้ แตต่ ้องไมถ่ ึงกบั
แยกตวั ไมม่ ีสงั คมเลย

2. มีทกั ษะการส่ือสารพอประมาณแม้จะพดู ไมไ่ ด้แตต่ ้องทําตามคําสง่ั ได้ ไมว่ า่ จะเป็นวาจา ทา่ ทาง
หรือเป็นกิจวตั รประจําวนั

3.มีสมาธิ คอื สามารถจดจอ่ กบั การพดู ของผ้อู ื่น ไมว่ ่ิงซกุ ซน พอจบั ให้อยนู่ ิง่ หรือนงั่ โต๊ะได้

การพฒั นาวอร์ด ให้มีลกั ษณะเป็นห้องเรียนนนั้ ได้รับความชว่ ยเหลือจาก อ.ละออ ชตุ กิ รณ์ เป็น
ผ้จู ดั การอบรม และวางระบบ โดยใช้พยาบาลประจําวอร์ด ทําหน้าท่ีเป็นครูในห้องเรียนจําลอง สาเหตทุ ่ี
พฒั นาระบบห้องเรียนจําลองนีเ้พราะ ทางรพ.ยวุ ประสาทฯ มีความรู้จากการดแู ลผ้ปู ่ วยวา่ ผ้ปู ่ วยกลมุ่ นีถ้ ้า
สอนอยา่ งไร ก็จะได้ผลอยา่ งนนั้ ผ้ปู ่ วย ไมส่ ามารถปรับประสบการณ์จากสถานท่ีหนงึ่ ไปอีกสถานท่ีหนงึ่ ได้ที่
ในทางตะวนั ตกเรียกวา่ ขาดการ generalization (เป็นลกั ษณะของ การเรียนรู้แบบยดึ ตดิ ) จงึ ทําห้องเรียน
จําลองให้เหมือนห้องเรียนในสมยั นนั้

สาระที่สอนในห้องเรียนจําลองนีจ้ ะมี 2 สว่ น คอื สว่ นท่ีเป็นวชิ าการใช้หลกั วิชาการศกึ ษาปฐมวยั
(อนบุ าล) ในสมยั นนั้ ซง่ึ ยงั มีลกั ษณะเป็นแบบเรียนเขียนอา่ น นงั่ โต๊ะเก้าอีอ้ ยู่ตา่ งจากในสมยั นี ้ท่ีการจดั การ
เรียนการสอนในระดบั อนบุ าลใช้หลกั child centerเน้นกิจกรรม,การพดู คยุ และความคดิ สร้างสรรคม์ ากกวา่
สาระที่คณุ ครูกําหนด

สว่ นท่ีสองเป็นเร่ืองของสงั คมและการสื่อสาร โดยนํากิจกรรมบางชดุ จาก การนําเดก็ ออกจากโลก
ของตวั เอง มาปรับใช้ เชน่ การเรียกชื่อกนั ในตอนเช้าให้ผ้ปู ่ วยขานช่ือตวั เอง หรือยืนขนึ ้ เมื่อพยาบาลเรี ยกช่ือ
เป็ นต้น

ผ้ปู ่ วยในห้องเรียนจําลองนีม้ ีจํานวนหนง่ึ ท่ีมีพฒั นาการดขี นึ ้ ทดสอบผา่ นเกณฑ์ ได้รับการคดั เลือก
ให้เข้าร่วมในโครงการวิจยั ร่วมกบั รร.สาธิตแหง่ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ปัจจบุ นั หลายคนได้รับปริญญา
และประสบความสําเร็จในการทํางาน ถงึ แม้จะต้องได้รับความชว่ ยเหลืออยา่ งตอ่ เนื่องบ้างก็ตาม

การพัฒนาต่อเน่ือง
ในปี พ.ศ. 2547 รพ.ได้นํากิจกรรมการฝึกทงั้ สองสว่ น คือ การนําเดก็ ออกจากโลกของตวั เอง และ
ห้องเตรียมความพร้อมมาพฒั นาเป็นหลกั สตู ร ‚ฝึกผ้ปู กครองเป็นผ้รู ่วมบาํ บดั ‛ โดยออกแบบให้เป็น การฝึก

81

ผ้ปู กครอง ระยะ 12 สปั ดาห์ (3 เดอื น) ระยะเวลา 12 สปั ดาห์นีไ้ ด้ แนวคดิ มาจากการดาํ เนนิ การของ early
bird program โดยเห็นวา่ เป็นเวลาท่ีนานพอท่ีพอ่ แมจ่ ะปรับวธิ ีการใช้ชีวติ ในบ้าน และสร้างความเคยชิน
ใหม่ ขณะเดยี วกนั รอบระยะเวลาเชน่ นีม้ ีผลตอ่ การบริหารจดั การ จะทําให้สามารถจดั การฝึกได้ปี ละ 4 รอบ
เพราะ 1 ปี มี 52 สปั ดาห์ 1 รอบการฝึก จงึ มี 13 สปั ดาห์ ในสปั ดาห์ที่ 13 จะเป็นการประเมนิ พอ่ แมใ่ นกลมุ่
เดมิ และเตรียมการสําหรับกลมุ่ ใหม่ การออกแบบเชน่ นีม้ ีผลตอ่ การบริหารอตั รากําลงั เจ้าหน้าที่ด้วย

การบริหารอตั รากําลงั ในการฝึกแบบนี ้ ใช้เจ้าหน้าที่ไมม่ าก เหมาะกบั การใช้ในระบบสาธารณสขุ
ของประเทศไทย ที่มีอตั รากําลงั น้อย ทีมผ้รู ักษาหนง่ึ ทีมประกอบด้วยเจ้าหน้าท่ี 1-3 คน ควรเป็นพยาบาล
วิชาชีพทงั้ หมด หรือหากชํานาญแล้วอาจจะเป็นพยาบาลวชิ าชีพเป็นหลกั ร่วมกบั เจ้าหน้าที่อื่นก็ได้ ทีมหนง่ึ
สามารถฝึกพอ่ แมไ่ ด้ 8-15 ครอบครัว ขนึ ้ กบั ความชํานาญของเจ้าหน้าท่ี และความรุนแรง โดยเฉพาะความ
ซน (อาการ hyperactive ) ของผ้ปู ่ วย

การจดั การโปรแกรมเป็นชว่ งเวลา 12 สปั ดาห์นี ้ทําให้โปรแกรมการฝึกนีม้ ีลกั ษณะเป็น package
program ที่สามารถฝึกอบรม และถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยงั เจ้าหน้าท่ีได้ง่ายกวา่ เดมิ ท่ีไมก่ ําหนดรอบเวลา
ของการฝึกท่ีแนน่ อน

เป้ าหมายในการอบรม คือพอ่ แม่ หรือคนเลีย้ งที่เป็นหลกั จะเข้ารับการฝึกอบรมภาคปฏิบตั ิ สปั ดาห์
ละ 1-2 วนั ๆ ละ 6-8 ชว่ั โมง ทําให้จํานวนชว่ั โมงฝึกตอ่ สปั ดาห์ ใกล้เคียงกบั ปัจจยั ของความสําเร็จท่ีพบใน
งานวิจยั การฝึกนนั้ พอ่ แมจ่ ะต้องฝึกกบั ลกู ของตวั เอง ทําให้เกิดทงั้ การสร้างความชํานาญในตวั พอ่ แม่ และ
การชว่ ยเหลือผ้ปู ่ วย รวมทงั้ การสร้างความผกู พนั กบั ผ้ปู ่ วยไปในตวั

ในแตล่ ะสปั ดาห์ พอ่ แมจ่ ะได้รับการบ้าน เป็นกิจกรรมชดุ ท่ีต้องฝึกลกู ท่ีบ้าน สปั ดาห์ตอ่ มา ทีมงาน
ครูฝึก จะประเมนิ ความก้าวหน้าทางทกั ษะของพอ่ แม่ การออกแบบการฝึกให้มีการบ้าน และตรวจการบ้าน
ทกุ สปั ดาห์นนั้ ทําให้จํานวนชวั่ โมงท่ีฝึกตอ่ สปั ดาห์ ใกล้เคียงกบั ปัจจยั ของความสําเร็จที่พบ และการฝึกท่ี
ต้องใช้เวลาในแตล่ ะวนั มากเชน่ นี ้พอ่ แมต่ ้องปรับวิธีการใช้ชีวิตในบ้านพอสมควร

จากประสบการณ์ในอดตี พบวา่ พอ่ แมม่ กั จะเคยชนิ กบั การทํางานบ้าน มากกวา่ การฝึกลกู พอฝึก
ไปสกั ระยะ ก็จะหา่ งจากการฝึ กลกู ไป กลบั ไปทํางานบ้านเหมือนเดมิ การออกแบบในลกั ษณะนีจ้ งึ แฝงการ
ปรับพฤตกิ รรมพอ่ แมไ่ ปด้วย และความใกล้ชดิ สามารถทําให้เจ้าหน้าท่ีสงั เกตอาการ และการปรับตวั ของ
พอ่ แมไ่ ด้ด้วย เชน่ บางรายท่ีมีอาการซมึ เศร้า ก็จะพบได้จากความใกล้ชดิ ในระยะยาวนีด้ ้วย

82

เม่ือจบ หลกั สตู ร 12 สปั ดาห์ พอ่ แมจ่ ะต้องสอบภาคปฏิบตั ิ กบั ทีมงาน เพื่อประเมนิ ทกั ษะเป็น
สําคญั หากไมบ่ รรลเุ ป้ าหมายจะต้องเข้ารับการฝึกซํา้ อีก 1 รอบ สว่ นผ้ปู ่ วยนนั้ หากมีอาการรุนแรงมกั จะไม่
คอ่ ยมีการเปล่ียนแปลง แม้พอ่ แมจ่ ะมีทกั ษะเพม่ิ ขนึ ้ แล้ว ผ้ปู ่ วยจะได้รับการฝึกเพมิ่ จากเจ้าหน้าท่ี ซง่ึ อาจจะ
เกิดในระยะแรก ๆ ของการเข้ารับการฝึกอบรมเลยก็ได้หากเจ้าหน้าท่ีเห็นวา่ ผ้ปู ่ วยมีอาการมากอยา่ งชดั เจน

ผลของการฝึ กชดุ ใหมน่ ี ้เป็ นที่นา่ พอใจชไมพร พงษ์พานชิ (2551)(48) และอารีย์ ชศู กั ด์ (2554)(49) ได้
รายงานการศกึ ษาผลของโปรแกรมการฝึกพบวา่ ความเครียดของพอ่ แมล่ ดลงและพฒั นาการของผ้ปู ่ วยดขี นึ ้
ตามลําดบั

ถอดบทเรียน
1. โปรแกรมที่ รพ.ยวุ ประสาทฯ ได้พฒั นาและใช้มาตลอดนี ้ เป็นลกั ษณะ behavioral base ที่ให้
ความสําคญั กบั ความสมั พนั ธ์ ( relationship-base ) ด้วย เห็นได้จากการยอมให้พอ่ แมช่ ว่ ยในการสร้าง
พฤตกิ รรมใหม่ และหากทําไมไ่ ด้ก็ให้ยอมรับและบนั ทกึ ไว้วา่ ทําไมไ่ ด้ ซง่ึ ในที่สดุ การบนั ทกึ ตามแบบบนั ทกึ
พฤตกิ รรมท่ีออกแบบไว้นนั้ จะทําให้ผ้รู ักษาเหน็ ความก้าวหน้าได้เอง

2. การให้ความสําคญั กบั ความสมั พนั ธ์นนั้ เป็นข้อกําหนดในขนั้ ตอนปฏิบตั ิ คือ การกํากบั ให้เกิด
พฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงคน์ นั้ จะไมใ่ ช้กระบวนการเชงิ ลบเป็นอนั ขาด เป็นผลจาการเรียนรู้ของ รพ. วา่ ถ้าเรา
กระทํารุนแรงกบั ผ้ปู ่ วย ไมว่ า่ จะด้วยวิธีใด จะสร้างการเรียนรู้เชิงกระบวนการ ให้กบั ผ้ปู ่ วยไปในตวั เชน่ ถ้า
เวลาเราไมพ่ อใจ ในพฤตกิ รรมใดพฤตกิ รรมหนงึ่ ของผ้ปู ่ วยแล้วเราตีเขา ภายหลงั เมื่อเขาไมพ่ อใจพฤตกิ รรม
ของเรา เขาก็จะตเี รา โดยเข้าใจวา่ เป็นการกระทําที่เหมาะสมทํากบั ผ้อู ื่นได้ หรือ ถ้าเราแสดงความยินดเี ป็น
การให้รางวลั ด้วยการเอามือขยีผ้ มผ้ปู ่ วย ภายหลงั เมื่อผ้ปู ่ วยยนิ ดใี นการกระทําของเรา ก็จะเอามือมาขยี ้
ผมเราเชน่ กนั

3. ชดุ กิจกรรมทงั้ 6 เป็นการเอาการเลน่ ท่ีพอ่ แมเ่ ลน่ กบั ลกู ในชว่ งอายุ 0-2 ปี มาถอดเป็นกิจกรรม
สงั เกตได้จากมีการฝึกเลน่ จบั ปดู าํ , ปไู ต,่ จ๊ะเอ๋ การเลน่ เหลา่ นีต้ ามขนั้ ตอนพฒั นาการเป็นการเรียนสําหรับ
เดก็ ลกั ษณะการเลน่ ตามเสียงเพลง แม้จะยงั ไมเ่ ข้าใจคาํ นี ้ ในหลกั การพฒั นาภาษาถือวา่ เดก็ เกิด ความ
เข้าใจ semantic unit คือ เดก็ สามารถจบั กลมุ่ เสียงได้วา่ กลมุ่ นีเ้ป็น กลมุ่ เสียงท่ีมีความหมาย

4. การเรียนรู้การสื่อสาร และความหมายของการส่ือสารตามโปรแกรมนี ้ จะมีทงั้ ความหมายตาม
สาระ และความหมายตามวตั ถปุ ระสงค์ เชน่ กิจกรรมให้ทําตามคําสงั่ เมื่อพอ่ แมบ่ อกให้เดก็ ยกมือขนึ ้ เดก็

83

ก็จะต้องยกมือขนึ ้ จงึ ถือวา่ ทําได้การท่ีเดก็ สามารถยกมือขนึ ้ ตามที่สง่ั ได้ แสดงวา่ สมองเข้าใจ ความหมาย
เชงิ วตั ถปุ ระสงค์

5. กิจกรรมทงั้ 6 ชดุ จะมีชดุ ที่เน้นภาษาอยหู่ ลายชดุ คอื ชดุ ทําตามคําสงั่ ชดุ กระต้นุ ภาษา และชดุ
กระต้นุ การเคลื่อนไหวปากและลนิ ้ โดยชดุ กระต้นุ ภาษา จะเน้นการสอนช่ือวตั ถซุ ง่ึ เป็นคาํ นาม ชดุ ทําตาม
คําสง่ั จะเป็นคํากริยา และชดุ เคลื่อนไหวปากและลนิ ้ เป็นเรื่องของ motor การกระต้นุ ภาษาดงั กลา่ วเป็นการ
สร้าง declarative process ให้กบั การประมวลผลของสมองโดยตรง ทงั้ word, word order และ meaning
ซง่ึ ในเดก็ ปกตกิ ็จะมีกระบวนการนีเ้ชน่ กนั และความสามารถนีเ้องเป็นความสามารถที่จะได้รับการตอ่ ยอด
เป็นความคดิ และความเข้าใจที่เป็นภาษา (declarative process)ในอนาคต

6. กิจกรรมทงั้ 6 ชดุ จะเป็นกิจกรรมท่ีต้องใช้คน เป็นผ้ฝู ึก ไมส่ ามารถใช้เครื่องมือ หรือคอมพวิ เตอร์
ชว่ ยได้ การใช้คนเป็นผ้ฝู ึกนนั้ จะมีองค์ประกอบทางสงั คมที่เป็นนามธรรมแฝงอยตู่ ามธรรมชาติ เชน่ การ
สง่ ผา่ นอารมณ์ความรู้สกึ ตอ่ กนั , การชีช้ วนให้ดหู รือสนใจส่ิงเดยี วกัน ซง่ึ เป็นองค์ประกอบที่เคร่ืองมือใด ๆ ก็
ทดแทนไมไ่ ด้ และเป็นกระบวนการปกตใิ นการเลีย้ งเดก็

7. การฝึกตามโปรแกรมนี ้มี intensity สงู เชน่ กนั แม้จะไมไ่ ด้เป็นชวั่ โมงตอ่ สปั ดาห์ แตห่ ากนบั เป็น
จํานวนครัง้ ตอ่ วนั ก็จะพบวา่ มี intensity สงู มาก เชน่ เรียนรู้คาํ นามเพียงวนั ละ 10 คํา พอ่ แมก่ ็ต้องเลน่ กบั
ลกู 100 ครัง้ ตอ่ วนั ซงึ่ มากกวา่ การเลีย้ งเดก็ ปกตหิ ลายเทา่ ซงึ่ ในความจริง กิจกรรมที่ได้รับจะมากวา่ 10
กิจกรรมอยแู่ ล้ว เม่ือคํานวณกลบั เป็นชวั่ โมงตอ่ สปั ดาห์ก็นา่ จะใกล้เคยี งกบั ปัจจยั ความสําเร็จ

8. การฝึกตามโปรแกรมนี ้ การบนั ทกึ พฤตกิ รรมจะถือเป็นขนั้ ตอนที่มีความสําคญั สงู การท่ีพอ่ แม่
บอกเลา่ วา่ ได้ฝึกแล้วจะถือวา่ ยงั ไมม่ ีหลกั ฐาน ทงั้ นีก้ ารบนั ทกึ พฤตกิ รรมนีจ้ ะมีผลสองประการ ประการแรก
คอื เป็นการบนั ทกึ ความก้าวหน้าทางพฤตกิ รรมของผ้ปู ่ วย หากผ้ปู กครองไมม่ ีการบนั ทกึ มีเพียงคําบอกเลา่
จากการซกั ประวตั ิ จะไมเ่ หน็ อตั ราสว่ นของความสําเร็จที่เกิดจากตวั เดก็ เอง และการที่ผ้ปู กครองต้องให้
ความชว่ ยเหลือ ซงึ่ มีความหมายตา่ งกนั และการท่ีผ้ปู ่ วยทําได้ ไมว่ ่าจะทําเองหรือผ้ปู กครองต้องให้ความ
ชว่ ยเหลือนนั้ จะสะท้อนกระบวนการทางสงั คมระหวา่ งเดก็ และผ้ฝู ึกได้เป็นอยา่ งดี

ประการที่สอง การบนั ทกึ นีจ้ ะเป็นการเตือน หรือการตรวจสอบตวั เองของผ้ปู กครองไปในตวั เพราะ
วนั ใดท่ีไมม่ ีการฝึก ผ้ปู กครองก็จะทราบได้ด้วยตวั เองวา่ วนั นีไ้ ม่ได้ฝึก หรือฝึกน้อยเกินไป ซง่ึ ในที่สดุ แล้วจะ
กลายเป็นการปรับพฤตกิ รรมของพอ่ แมไ่ ปด้วย

84

การประยุกต์ใช้ในหน่วยบริการ
จากการนิเทศตดิ ตามโครงการสร้างเครือขา่ ยการรักษาผ้ปู ่ วย ASD ในระบบบริการสาธารณสขุ ของ
ประเทศไทยพบวา่ เม่ือได้นําโปรแกรมการฝึกไปใช้ในชมุ ชนหรือหนว่ ยบริการอื่นแล้วพบวา่ มีการดดั แปลง
วิธีการตา่ งไปจากต้นแบบบ้างเล็กน้อย สอดคล้องกบั การศกึ ษาของ Stahmer (2007)

การปรับเปล่ียนนนั้ นา่ จะ เกิดจากข้อจํากดั ด้านทรัพยากร และเนื่องจากเป็นการฝึก ไมเ่ หมือนการ
ให้ยา และข้อจํากดั ของพืน้ ท่ี ทําให้เจ้าหน้าที่ต้องดดั แปลงการปฏิบตั ทิ ่ีไมต่ รงกบั ต้นแบบ ซงึ่ เป็นส่ิงที่เป็นไป
ได้ ในกรณีนีอ้ าจจะมีข้อดอี ยดู่ ้วย เชน่ รพ.กาฬสนิ ธ์ุ ที่ได้นําเอาวธิ ีฝึกจากหลาย ๆ ที่มารวมกนั และฝึกผ้ปู ่ วย
จนได้รับความสําเร็จ จนเป็นขา่ วทางหนงั สือพิมพ์ อยา่ งไรก็ตาม การปรับกิจกรรมตามความเหมาะสมของ
พืน้ ที่ ควรยดึ หลกั ดงั นี ้

1. ปัจจยั ของความสําเร็จ กลา่ วคือ ไมว่ า่ จะปรับตวั กิจกรรมเป็นอยา่ งไร ก็ควรยดึ ปัจจยั ความสําเร็จ
เทา่ ที่มีการศกึ ษาไว้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงใน สว่ นของความถ่ีหรือชวั่ โมงการฝึก

2. ตวั กิจกรรมนนั้ ควรยดึ หลกั วา่ “พฤตกิ รรมใด ควรเกิดในวยั ใดก็ต้องพฒั นาให้เกิดตามวยั นนั้ ๆ”
ซง่ึ เป็นหลกั ทว่ั ไปของการกระต้นุ พฒั นาการ ขณะเดยี วกนั ต้องออกแบบให้สมั พนั ธ์กบั ตวั เดก็ คือ ไมข่ ้าม
ขนั้ ตอน โดยนําพฤตกิ รรมที่เดก็ เลก็ กวา่ ผ้ปู ่ วยต้องทําได้มาฝึกให้ก่อนแล้ววางแผนพฒั นาตอ่ เนื่องให้ไลท่ นั
เดก็ ปกติ เชน่ หากผ้ปู ่ วยยงั พดู ไมไ่ ด้ ก็ต้องพจิ ารณาดวู า่ เข้าใจภาษาหรือยงั เพราะหากยงั ไมเ่ ข้าใจภาษา
สมองก็ยอ่ มไมม่ ีข้อมลู ในการสร้างภาษาพดู และพจิ ารณาดวู า่ ผ้ปู ่ วยใช้อวยั วะที่เกี่ยวกบั การพดู ได้คลอ่ ง
หรือไม่ เชน่ เป่ าลม , หอ่ ปากเป็นรูปร่างตา่ ง ๆ, กระดกลนิ ้ หากยงั ทําไมไ่ ด้ก็ยงั ไมค่ วรเน้นที่การพดู ให้เน้นท่ี
การรับฟังและความเข้าใจภาษา และเตรียมความพร้อมของอวยั วะก่อนเป็นต้น

3. เป้ าหมายหลกั นอกจากพฒั นาพฤตกิ รรมให้เกิดตามวยั แล้ว ควรเน้นให้ครบทงั้ สี่องค์ประกอบ

3.1 สงั คม พฤตกิ รรมทางสงั คมท่ีเดก็ เรียนรู้นนั้ จะเกิดจากการมีสงั คมกบั ผ้ฝู ึก ซงึ่ เกิดได้
จากการมีปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั ดงั นนั้ กิจกรรมทกุ กิจกรรมท่ีฝึกควรมีผ้ฝู ึกประจําเพ่ือพฒั นาความสมั พนั ธ์
ทางอารมณ์ การส่ือสาร จนรู้ใจกนั

3.2 อารมณ์ การกําหนดกิจกรรมให้มีผ้ฝู ึกที่เป็นผ้ฝู ึกประจํา จะเพิม่ โอกาสในการเกิดการ
เรียนรู้เชิงอารมณ์ระหวา่ งกนั ได้โดยปริยาย ซง่ึ ในเรื่องของอารมณ์นีม้ ีปัจจยั ทางชีวภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง บาง
ราย อาจจะจําเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพ่ือให้ยาที่มีฤทธิ์ในการควบคมุ อารมณ์ร่วมด้วย

85

3.3 สตปิ ัญญา สว่ นนีอ้ าจจะสงั เกตได้จากพฤตกิ รรมที่เดก็ แสดงออก เดก็ ASD บางคนจะ
แสดงพฤตกิ รรมท่ีเหน็ ได้วา่ เขาเข้าใจสิ่งรอบตวั แม้จะยงั ไมเ่ ข้าใจภาษา การจดั กิจกรรมท่ีให้ความรู้เชิงสาระ
ที่เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ โดยสงั เกตจากการตอบสนอง แม้จะเป็นความจํา ไมใ่ ชค่ วามเข้าใจแท้
ๆ ก็จะเป็นการให้ข้อมลู เป็นต้นทนุ ไว้กอ่ น เชน่ การรู้จกั ภาพสตั ว์เฉพาะภาพท่ีสอน พอเปล่ียนภาพแต่เป็น
สตั ว์เดมิ หรือไปเจอของจริงจะไมเ่ ข้าใจ ก็สามารถพฒั นาตอ่ ได้โดยสอนคาํ เดมิ กบั บตั รภาพใหม่ หรือสตั ว์ท่ี
เป็นของจริง เพื่อเป็นการเพิ่มข้อมลู ให้กบั เดก็

3.4 การส่ือสาร จะเป็นกระบวนการที่ แฝงอยใู่ นทกุ กิจกรรม เชน่ เดียวกบั อารมณ์ และ
สตปิ ัญญาอยแู่ ล้วการส่ือสารด้วยทา่ ทางที่ชดั เจน ซํา้ เดมิ ทงั้ นํา้ เสียงหางเสียง สว่ นนีจ้ ะเกี่ยวข้องกบั อารมณ์
และการส่ือสารเชงิ วตั ถปุ ระสงคส์ ว่ นการบอกด้วยคําที่ชดั เจนจะเป็นการสอนความเข้าใจภาษาโดยตรง เชน่
การชี ้ร่วมกบั บอกให้หยิบของ จะมีสว่ นผสมของการสอนภาษาโดยตรง คือ การรู้ชื่อของ และองคป์ ระกอบ
ที่มองไมเ่ หน็ อื่น ๆ เชน่ ความเข้าใจเชงิ วตั ถปุ ระสงค์ การเช่ือฟัง ไมด่ อื ้ ไมต่ อ่ ต้าน การมีสงั คม หากทําให้
บรรยากาศของการฝึกมีความสนกุ สนานและผ้ปู ่ วยแสดงอารมณ์ร่วมได้อยา่ งเหมาะสม ย่ิงแสดงให้เห็นวา่ มี
ความใกล้เคียงกบั ปกตมิ ากขนึ ้

86

บทท่ี 9 การพฒั นาภาษาในผู้ป่ วย ASD

จากท่ีได้นําเสนอไปในบทท่ี 6 วา่ ความเข้าใจสถานการณ์รอบตวั ของผ้ปู ่ วย ASD นนั้ มี 3 ลกั ษณะ
คือ เข้าใจตามบริบท, เข้าใจจากภาษาทา่ ทาง และเข้าใจจากภาษา ความเข้าใจส่ิงรอบตวั ทงั้ 3 แบบ พบได้
ในเดก็ ปกตแิ ละคนทว่ั ไป เชน่ เดก็ เลก็ จะรู้ได้วา่ พอ่ แมก่ ําลงั จะออกนอกบ้านและร้องตาม จากการแตง่ ตวั
โดยไมต่ ้องมีใครสอน

ในความเข้าใจทงั้ 3 แบบนนั้ แบบที่ถือวา่ พฒั นาสงู ที่สดุ คอื ความเข้าใจด้วยภาษา และ การมี
ภาษานนั้ เป็นปัจจยั สําคญั ในการพยากรณ์โรค ของ ASD และมีผ้ปู ่ วย ASD จํานวนมากที่แม้ในระยะแรก
จะไมค่ อ่ ยมีสงั คม และไมม่ ีภาษาแตใ่ นที่สดุ ก็สามารถพดู ได้ และสนทนาส่ือสารได้เหมือนคนปกติ แสดงให้
เห็นวา่ มีผ้ปู ่ วยจํานวนหนงึ่ ที่พฒั นาภาษาขนึ ้ ได้ แม้จะช้ากวา่ เดก็ ปกตอิ ยา่ งมากก็ตาม

การมีภาษาของคนเรานนั้ ยงั เป็นปริศนาทางวิทยาศาสตร์ท่ีนกั วทิ ยาศาสตร์ และนกั วชิ าการสาขา
ตา่ ง ๆ ยงั ไมเ่ ข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้ มีเพียงการศกึ ษาและ ทดลองท่ีพอแสดงให้เห็นได้บ้างวา่ มีขนั้ ตอนอยา่ งไร
หลงั จากเกิดการต่ืนตวั ในเรื่อง ASD ก็มีการศกึ ษาเปรียบเทียบการเรียนรู้ภาษาของ ผ้ปู ่ วย ASD กบั ผ้ปู ่ วย
ที่มีความผิดปกตทิ างภาษาอื่น และเดก็ ปกตมิ ากขนึ ้

ประเดน็ ที่เป็นลกั ษณะเฉพาะของภาษา คอื เป็นความสามารถของคน ท่ีเก่ียวข้องกบั วฒั นธรรม
และวิวฒั นาการของสงั คม ไมเ่ หมือน การนงั่ ยืน เดนิ ท่ีเดก็ ทกุ วฒั นธรรมจะทําเหมือน ๆ กนั แตภ่ าษา
นนั้ แม้จะเป็นความสามารถเดียวกนั คอื พดู ฟัง อา่ น เขียน แตม่ ีรายละเอียดตา่ งกนั มาก

ความแตกตา่ งนนั้ มีตงั้ แตค่ าํ และความหมายของคาํ ในภาษาตา่ ง ๆ ในภาษาหนงึ่ เสียงก็จะเป็น
แบบหนง่ึ เชน่ เสียง s ท้ายคาํ ในภาษาองั กฤษจะเป็น คําพหพู จน์ ซงึ่ ไมม่ ีในภาษาไทย หรือเสียงวรรณยกุ ต์
ที่กําหนดความสงู ตํ่าของคาํ ทําให้ความหมายเปล่ียนไปก็มีเฉพาะในภาษาไทย ไมม่ ีในภาษาองั กฤษ สว่ น
การเรียงคาํ ในแตล่ ะภาษาก็มีความแตกตา่ งกนั เชน่ ในภาษาญ่ีป่ นุ ประโยคบอกเลา่ จะเรียงเป็น ประธาน
กรรม กริยา ซง่ึ ตา่ งจากทงั ้ ภาษาไทยและองั กฤษ(40,50)

ดงั ได้นําเสนอไปแล้ววา่ ความเข้าใจคาํ และความหมายของการเรียงคาํ เป็น ปัญหาสําคญั ประการ
หนง่ึ ในการเรียนภาษาของผ้ปู ่ วย ASD การนําผลการศกึ ษาเร่ืองภาษา ในผ้ปู ่ วย ASD จากตา่ งประเทศมา

87

ใช้ตรง ๆ เพื่อชว่ ยเหลือผ้ปู ่ วยในประเทศไทย อาจจะมีข้อจํากดั แม้จะมีความรู้ที่เป็นกลาง สามารถประยกุ ต์
ได้กบั เดก็ ทกุ วฒั นธรรม แตก่ ็มีอีกสว่ นหนงึ่ ท่ี อาจจะต้องพฒั นาองค์ความรู้โดยเจ้าของภาษาเอง

ในบทนีจ้ ะนําเสนอ เทคนคิ การวิเคราะห์เพ่ือ ทําความเข้าใจกบั การเรียนรู้โดย ใช้เทคนคิ การเก็บ
ข้อมลู ด้วยการบนั ทกึ พฤตกิ รรมตามบทที่ 6 และวิธีการพฒั นาภาษาเดก็ ASD ด้วยกรณีตวั อยา่ ง

การวิเคราะห์ข้อมูล
ในที่นีว้ ตั ถปุ ระสงคใ์ นการวเิ คราะห์ข้อมลู นนั้ ก็เพื่อให้ทราบวา่ ขณะนี ้ผ้ปู ่ วย อาศยั ความเข้าใจด้วย
คาํ พดู หรือไมอ่ ยา่ งไร ทงั้ นีเ้ม่ือผ้ปู ่ วยพฒั นาถงึ ระดบั หนงึ่ เริ่มมีความคดิ อา่ นเป็นของตวั เอง และเร่ิมมีสงั คม
กบั ผ้อู ่ืนจะเร่ิมเห็น พฤตกิ รรมท่ีจบั รูปแบบไมไ่ ด้ซงึ่ ในความจริง พฤตกิ รรมท่ีจบั รูปแบบไมไ่ ด้นนั้ มีที่มา มไิ ด้
เกิดลอย ๆ แตท่ ่ีมานนั้ เป็นความคดิ และความเข้าใจเฉพาะตวั เดก็ แตล่ ะคนขนึ ้ กบั ทกั ษะทางภาษา ศกั ยภาพ
และประสบการณ์

การนําข้อมลู เชงิ พฤตกิ รรมจาก การบนั ทกึ ข้อมลู แบบบนั ทกึ ประจําวนั มาวเิ คราะห์นนั้ จะต้องคดิ
อยา่ งเป็นวิทยาศาสตร์ คือข้อสรุปเบอื ้ งต้นไมค่ วร ถือเป็นข้อเท็จจริง ควรถือเป็นสมมตฐิ านไว้กอ่ น แล้วคอ่ ย
วางแผนเพื่อทดสอบสมมตฐิ านวา่ เป็นเชน่ นนั้ จริงหรือไม่ ตวั อยา่ งเชน่

ในผ้ปู ่ วยรายหนง่ึ หากพบวา่ เวลาเราบอกเดก็ วา่ “หยิบ..หมอน.(ส่ิงของ)..ให้..พอ่ .(บคุ คล)...หนอ่ ย”
แล้วเดก็ ทําได้ อาจจะเกิดได้จากความเข้าใจได้ทงั้ 3 ลกั ษณะ การทดสอบเพ่ือให้ทราบแนช่ ดั วา่ เดก็ เข้าใจได้
อยา่ งไร สามารถทําได้โดย นําหมอนไปวางคกู่ บั สิง่ อ่ืน แล้วสงั่ ใหมโ่ ดยไมใ่ ห้เดก็ เห็นทา่ ทางของผ้สู ง่ั เพ่ือ
ตรวจสอบวา่ เดก็ หยิบถกู หรือไม่ ถ้าถกู ทกุ ครัง้ ก็แสดงวา่ นา่ จะเข้าใจคําวา่ หมอน ซงึ่ เป็นคํานาม ถ้าถกู เป็น
บางครัง้ ก็ต้องถือวา่ ยงั ไมเ่ ข้าใจ

การท่ีเดก็ เข้าใจคํานามได้หนงึ่ คาํ แสดงวา่ สมองพร้อมจะเรียนคํานามแล้ ว ควรจะสอนคาํ นามอื่น ๆ
ให้ได้อีกหรืออาจจะเข้าใจคาํ นามอื่น ๆ อยแู่ ล้วแตเ่ รายงั ไมท่ ราบซง่ึ ต้องตรวจสอบตอ่ ไปขณะเดียวกนั ความ
เข้าใจประโยค “หยบิ ...ให้...หนอ่ ย” ก็มีคาํ ท่ีต้องตรวจสอบอยู่ 3 คําโดยมีคําสําคญั สองคาํ คือ หยิบ กบั ให้
คําวา่ หนอ่ ย เป็นคาํ ท่ีไมม่ ีความหมาย

การตรวจสอบเพ่ือให้ได้ข้อมลู ที่ชดั เจนวา่ เดก็ เข้าใจ คําทงั้ สามคาํ และเข้าใจความหมายของการ
เรียงคาํ อยา่ งถกู ต้อง หรือจบั เสียงแบบรวบยอด (semantic unit) เหมือนเดก็ เล็กท่ีเวลาพอ่ แมเ่ ลน่ ด้วยการ

88

บอกวา่ “ยมิ ้ หวาน” หรือ “ตาหวาน” เดก็ ก็จะยมิ ้ หรือหยีตาโดยอาจจะเข้าใจคาํ วา่ ตา หรือยมิ ้ แตย่ งั ไมเ่ ข้าใจ
คาํ วา่ หวาน แตพ่ อได้ยินเสียง ยมิ ้ หวาน หรือ ตาหวานก็ทําทา่ ได้ถกู ต้อง

ในการตรวจสอบนนั้ สามารถใช้วิธีเดยี วกนั โดยนําคําท่ีต้องการตรวจสอบไปสร้างประโยค หรือสง่ั
ในเง่ือนไขอื่น ๆ หากทําได้ก็แสดงวา่ นา่ จะเข้าใจคาํ แตล่ ะคํา และเข้าใจความหมายของการเรียงคาํ แล้ว
เชน่ สงั่ เดก็ วา่ “หยบิ แก้ว” โดยไมบ่ อกวา่ ไปให้ใคร ถ้าเดก็ เดนิ ไปหยิบแก้ว แล้วทําทา่ งง เหมือนไมร่ ู้จะทํา
อะไรตอ่ ก็แสดงวา่ เข้าใจคําวา่ หยิบ และแก้ว แตถ่ ้าเดก็ ไปหยิบแก้วแล้วมาย่ืนให้ผ้สู งั่ ก็สนบั สนนุ วา่ นา่ จะ
เข้าใจคําวา่ หยิบ และแก้ว แล้วเชน่ กนั แตก่ ารปฏิบตั นิ นั้ เดก็ อาจจะผสมการคาดเดาจากบริบท หรือนําเอา
ความเข้าใจจากประสบการณ์เดมิ เข้ามาประกอบด้วย

ในการทําตามคาํ สงั่ ได้ หากนําคาํ ไปตรวจสอบแล้วพบวา่ เข้าใจ เชน่ เม่ือบอกให้ “หยิบ” ของที่รู้จกั
ในสถานการณ์ที่ไมเ่ ป็นกิจวตั ร แล้วเดก็ ไปหยิบได้ถกู ก็แสดงวา่ นา่ จะเข้าใจคําวา่ หยบิ หากทดสอบหลาย ๆ
ครัง้ ผลก็เป็นเชน่ เดียวกนั ก็จะเป็นการยืนยนั ได้มากขนึ ้ วา่ เข้าใจคําวา่ “หยบิ ” ซงึ่ เป็นคํากริยาแล้ว การเข้าใจ
คํากริยาก็เป็นเชน่ เดยี วกบั คํานาม คอื อาจจะมีคํากริยาท่ีเดก็ เข้าใจอยอู่ ีก โดยเรายงั ไมท่ ราบ หรือในเวลานี ้
ก็สามารถสอนคาํ กริยาได้ โดยใช้กิจกรรมทําตามคําสง่ั ซง่ึ ตามหลกั ไวยากรณ์ คาํ สงั่ จะเป็นคาํ กริยาทงั้ หมด

การทดสอบเชน่ นีด้ เู ผนิ ๆ เหมือนจะยงุ่ ยาก แตใ่ นความเป็นเป็นเร่ืองท่ีทําไมย่ าก อาศยั เพียงความ
ชา่ งสงั เกตของพอ่ แมก่ ็พอจะสนั นิษฐานหรือสรุปได้วา่ เดก็ เข้าใจคําใด หรือไม่ ถ้าในกรณีที่เดก็ เริ่มพดู ได้บ้าง
จะทําให้สรุปได้ชดั เจนขนึ ้

เมื่อใช้การวเิ คราะห์ในลกั ษณะนีก้ ็จะได้ข้อสรุปที่สําคญั คือ จะพบวา่ คาํ และความเข้าใจของผ้ปู ่ วย
นนั้ จําแนกได้เป็น 4 แบบ คือ

1.คําที่พดู ได้และเข้าใจ

2.คําท่ีพดู ไมไ่ ด้แตเ่ ข้าใจ

3.คาํ ที่พดู ได้แตไ่ มเ่ ข้าใจ

4.คําที่พดู ไมไ่ ด้ และไมเ่ ข้าใจ

89

คาํ ทงั้ 4 แบบนี ้ในเดก็ ปกติ พอ่ แมจ่ ะทราบได้เองโดยปริยาย และในการเลีย้ งเดก็ ปกติ พอ่ แมก่ ็จะ
พดู โดยใช้คาํ ท่ีลกู เข้าใจ มาสื่อสารกนั มากกว่าพดู ด้วยคําท่ีไมเ่ ข้าใจอยแู่ ล้ว การเรียงคาํ ก็จะเป็นแบบเดียว
คือ พอ่ แมเ่ ดก็ ปกตมิ กั จะพดู กบั ลกู ด้วยรูปแบบประโยค ท่ีมีการเรียงคาํ ที่ลกู เข้าใจ มากกวา่ การเรียงคําที่
สลบั ซบั ซ้อน ซงึ่ กระบวนการนีเ้ป็นไปเองตามธรรมชาตขิ องการพฒั นาเดก็ แตใ่ นเดก็ ASD บอ่ ยครัง้ พอ่ แม่
มกั จะพดู ด้วยประโยคหรือคําที่สลบั ซบั ซ้อน จนไมส่ ามารถพฒั นาการส่ือสารได้เตม็

ในเดก็ ปกตเิ ม่ือพอ่ แมเ่ ดก็ ปกตทิ ราบวา่ คาํ ใดลกู เข้าใจ การเรียงประโยคแบบใดท่ีลกู เข้าใจ ก็จะพดู
ด้วยคาํ ท่ีลกู เข้าใจด้วยรูปประโยคท่ีลกู เข้าใจเชน่ กนั ลกั ษณะการพดู แบบนี ้เป็นลกั ษณะที่เกิดตามธรรมชาติ
โดยมีการศกึ ษาการใช้ภาษาระหวา่ งแมล่ กู ในวฒั นธรรมตา่ ง ๆ พบวา่ ขณะท่ีผ้ใู หญ่พดู กบั เดก็ ทารกนนั้ จะมี
รูปแบบการใช้ภาษาตา่ งจากการพดู ในสถานการณ์ปกติ ลกั ษณะการพดู แบบนีเ้รียกวา่ baby talk หรือ
motherese ซงึ่ เป็นไปเองตามธรรมชาติ มีการนําความรู้นีไ้ ปสร้างทฤษฎีเพื่ออธิบายการมีภาษาของคน แต่
ยงั ไมไ่ ด้ข้อยตุ ิ ลกั ษณะของการพดู แบบ motherese นีม้ ีผ้แู ยกแยะองค์ประกอบไว้ เชน่ เสียงจะสงู กวา่ ปกติ
เลก็ น้อย คาํ สนั้ กะทดั รัด เป็นต้น

การพดู ของพอ่ แมก่ บั ผ้ปู ่ วย ASD ที่ทําให้เดก็ ASD เข้าใจภาษา และส่ือสารกนั ได้ก็จะมีลกั ษณะ
คล้ายคลงึ กนั แตไ่ มเ่ น้นที่การใช้เสียงแบบทารก จะเน้นท่ีการเลือกคําศพั ท์ และรูปประโยคคล้ายกบั การพดู
ภาษาไทยเพื่อส่ือสารกบั ชาวตา่ งชาตทิ ี่เพ่ิงเรียนรู้ภาษาไทยใหม่ ๆ การพดู จะเป็นการใช้ประโยคสนั้ ๆ เลือก
เฉพาะคําที่เดก็ เข้าใจ ไมม่ ีคําสร้อยหรือคาํ ท่ีไมจ่ ําเป็น เมื่อพอ่ แมพ่ ดู ได้เหมาะสมก็จะเป็นการชว่ ยให้ผ้ปู ่ วย
ASD ซง่ึ มีข้อจํากดั ในการเรียนรู้ภาษา ทําความเข้าใจภาษาได้งา่ ยขนึ ้ ขณะเดียวกนั เมื่อต้องการสอนความ
เข้าใจคําใหม่ หรือการเรียงคําใหม่ ก็สามารถดดั แปลงได้ เชน่ กนั

กรณีตวั อย่าง
ด.ช. สอง

ด.ช.สอง ปัจจบุ นั อายุ 6 ปี ได้รับการวินจิ ฉยั เมื่ออายุ 2 ปี มารดาเร่ิมสงสยั ตงั้ แตอ่ ายุ 1 ปี 9 เดอื น
โดยสงั เกตวา่ ด.ช. สอง มีสายตาเหมอ่ ลอย ไมส่ นใจคน ไมส่ บตา อ้มุ แล้วบดิ ตวั เรียกไมห่ นั ตามเสียง ได้พบ
แพทย์ที่รพ.แหง่ หนง่ึ ในตา่ งจงั หวดั และได้รับการสง่ ตอ่ มารักษาท่ีรพ.ยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ์

90

ด.ช.สอง ได้รับการรักษาหลายวิธี ทงั้ การให้ยารับประทาน การศกึ ษาพเิ ศษ ฝึกพดู กิจกรรมบําบดั
และการใช้ neurofeedback ในการนําเสนอนีจ้ ะเน้นเฉพาะการพฒั นาความคดิ ความเข้าใจสิ่งรอบตวั และ
ภาษา โดยจะกลา่ วถงึ ประเดน็ อื่นพอสงั เขป

การให้ความช่วยเหลือ และรูปแบบการพฒั นาภาษามีดงั นี้

ช่วงอายุ 2-3 ปี

การช่วยเหลือท่ไี ด้รับ มารดาได้รับการฝึกอบรมตามหลกั สตู ร ฝึกผ้ปู กครองเป็นผ้รู ่วมบาํ บดั

ภาษา และพฤตกิ รรม เร่ิมออกเสียง คําง่าย ๆ เชน่ มาม๊า กินนม ก.ไก่ ข.ไข่ รู้จกั ช่ือคนรอบตวั
ชอบเต้นตามเพลง ชอบอา่ น ก.ไก่ ก่อนฝึกต้องอา่ น ก.ไก่ กอ่ น จงึ จะอารมณ์ดแี ละมีสมาธิ พดู ตาม และ
พดู เร่ืองของตวั เองโดยไมใ่ ชก่ ารสนทนา การตอบถามยงั ไมเ่ ป็นธรรมชาติ เหมือนจําวา่ ต้องตอบตามขนั้ ตอน
ลกั ษณะการพดู ไมช่ ดั เจนวา่ เข้าใจความหมายของสิ่งที่พดู หรือไม่คล้ายการออกเสียงอยา่ งท่ีเคยทํามากกวา่
เลน่ สมมตไิ ด้

เร่ิมเข้าเรียน แบบไมเ่ ตม็ เวลา ชอบอา่ นอกั ษร ก.ไก่ A B C นบั 1-10

ช่วงอายุ 3 – 4 ปี

การช่วยเหลือท่ไี ด้รับ นํากิจกรรมที่ได้รับการฝึกจากหลกั สตู ร ไปฝึกตอ่ ท่ีบ้าน โดยให้มารดาเป็นผู้
ฝึก ใช้กิจกรรมทางการศกึ ษา เชน่ การเรียนรู้ตวั อกั ษร ชื่อสตั ว์ จบั คขู่ องใช้ จบั คภู่ าพเหมือน ในการฝึกนั้นให้
บนั ทกึ ผล เป็น 3 ประการ คอื กิจกรรมที่ใช้ พฤตกิ รรมการตอบสนอง ระยะเวลาท่ีมีสมาธิในการฝึก

ดาํ เนนิ การศกึ ษาวิเคราะห์ ความเข้าใจคาํ ศพั ท์และความเข้าใจประโยคท่ีคนอื่นพดู ด้วย โดยใช้การ
วิเคราะห์ที่นําเสนอข้างต้น

ผลลัพธ์เชิงพฤตกิ รรม ยงั มีโลกของตวั เองอยู่ ทําเร่ืองซํา้ ๆ ทําตามคาํ สง่ั ไมไ่ ด้ (ไมเ่ ข้าใจคาํ สง่ั )
ไมน่ ิ่ง รือ้ ของและทําตามใจตวั เองสนใจแตส่ ่ิงท่ีตวั เองชอบ ในชว่ งท่ีมารดาเป็นคนฝึกกิจกรรมสามารถเรียนรู้
ตามกิจกรรมทางการศกึ ษาที่สอนได้ สามารถทํากิจกรรมการฝึกกบั แมไ่ ด้นาน เฉล่ียวนั ละประมาณ 30-45
นาที ความจําดี จําบตั รภาพอกั ษร ก – ฮ เลข 1-10 ได้


Click to View FlipBook Version