The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tuahuay, 2022-11-03 20:53:33

รายงานการพิจารณาศึกษา ผลกระทบจากการถมทะเล ตามโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด

สำนักกรรมาธิการ ๑

รายงาน
การพิจารณาศกึ ษาผลกระทบจากการถมทะเล
ตามโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด

โดย
คณะอนกุ รรมาธิการดา้ นการคมนาคมทางน้าและการพาณชิ ยนาวี

ในคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา

สำนกั กรรมำธกิ ำร ๑
สำนกั งำนเลขำธิกำรวุฒิสภำ

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วฒุ สิ ภา

พลเอก ยอดยทุ ธ บุญญาธิการ
ประธานคณะกรรมาธิการ

พลโท จเรศกั ณ์ิ อานุภาพ นายกาํ พล เลิศเกยี รตดิ ํารงค พลเอก ธวัชชยั สมทุ รสาคร
รองประธานคณะกรรมาธกิ าร รองประธานคณะกรรมาธกิ าร รองประธานคณะกรรมาธกิ าร

คนท่ีหน่ึง คนที่สอง คนท่ีสาม

นายวริ ัตน เกสสมบรู ณ นางจิรดา สงฆป ระชา นายสวุ รรณ เลศิ ปญญาโรจน
รองประธานคณะกรรมาธกิ าร เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ รองเลขานกุ าร
คณะกรรมาธกิ าร
คนทีส่ ่ี

นายซากีย พทิ ักษค ุมพล หมอ มหลวงสกลุ มาลากลุ พลอากาศเอก มนสั รูปขจร
โฆษกคณะกรรมาธิการ รองโฆษกคณะกรรมาธกิ าร ประธานท่ปี รกึ ษา
คณะกรรมาธกิ าร

พลตรี กลชัย สุวรรณบูรณ นายอปุ กติ ปาจรยี างกรู นายสุรสิทธ์ิ ตรีทอง
ท่ีปรึกษาคณะกรรมาธิการ ที่ปรกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ

นายอมร นลิ เปรม พลเรอื เอก ชมุ นุม อาจวงษ พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร
ท่ีปรึกษาคณะกรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร กรรมาธกิ าร

พลเรอื เอก พัลลภ ตมศิ านนท นายสรุ เดช จริ ัฐิตเิ จรญิ
กรรมาธิการ กรรมาธกิ าร

คณะอนุกรรมาธิการดา นการคมนาคมทางน้ํา
และการพาณชิ ยนาวี

พลเรือเอก พลั ลภ ตมิศานนท
ประธานคณะอนุกรรมาธิการ

พลเรือเอก พงศกร กุวานนท นายนคร น. กุลศรีรัตน
อนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ

วา ท่ีรอยตรี ดร.เลศิ ณรงค สวุ รรณ นายวฒั กร ชาติวิวัฒนพรชัย
อนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ

นายจิตตชิ ัย รจุ นกนกนาฏ นาวาตรี สมนึก สุขวณิช
อนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ

พลเรือตรี สมเจตน คงรอด นาวาตรี กัมพล จริ ะสถิตย ร.น.
อนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ

นางวไิ ลรตั น ศิริโสภณศิลป ดร.มนตชัย พินิจจิตรสมุทร
อนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ

นายชูพงศ สายสรอย
อนุกรรมาธิการ

รายชอื่ ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ ารดานการคมนาคมทางนํา้ และการพาณชิ ยนาวี

๑. นายสรุ สิทธิ์ ตรที อง ท่ีปรึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร
๒. นายธนกฤต แกวเจริญโรจน ที่ปรกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร
๓. นายภณ รกั ตระกลู ทป่ี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ
๔. พลเรอื เอก สรุ ินทร เรงิ อารมณ ท่ปี รึกษาคณะอนุกรรมาธกิ าร
๕. พลเรอื เอก จมุ พล ลมุ พกิ านนท ทปี่ รกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร
๖. เรอื ตรี สรุ พล มีเสถยี ร ทป่ี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร
๗. นายประวิทย จุลวฒั นพงษ ท่ีปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ าร
๘. นายประสงค หวังรตั นปราณี ทีป่ รึกษาคณะอนกุ รรมาธกิ าร
๙. นายรัก ลาภานนั ต ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ
๑๐. นายวีรวัชร รตั นมาโนชญว งศ ทป่ี รกึ ษาคณะอนกุ รรมาธิการ
๑๑. นายนรินทรศกั ย สทั ธาประสิทธ์ิ ท่ปี รึกษาคณะอนุกรรมาธกิ าร
๑๒. นาวาเอก นนั ทพิ ัฒน วงศยะลา ทีป่ รึกษาคณะอนุกรรมาธิการ
๑๓. พลเอก ธวชั ชยั สมุทรสาคร ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ



บทสรุปผบู้ รหิ าร
(Executive Summary)

ตำมที่รัฐบำลได้มอบหมำยให้กำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นหน่วยงำน
ผู้รับผิดชอบในกำรดำเนินกำรภำยใต้แผนงำนหลักของกำรพัฒนำพ้ืนที่บริเวณชำยฝ่ังทะเลตะวันออก
โดยโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ระยะท่ี ๓ เป็นหนึ่งในโครงกำรพัฒนำโครงสร้ำง
พ้ืนฐำนในพ้ืนที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภำคตะวันออก ( Eastern Economic Corridor : EEC)
เพอ่ื รองรบั กำรลงทุนของรัฐ มีเปำ้ หมำยในกำรพัฒนำท่ำเทยี บเรอื สำหรบั รองรบั กำรขนถ่ำยกำ๊ ซธรรมชำติ
และสินค้ำเหลวในกลุ่มอุตสำหกรรมปิโตรเคมี โดยเปิดโอกำสให้ภำคเอกชนมีส่วนร่วมในกำรลงทุน
และนำควำมเช่ียวชำญด้ำนนวัตกรรมและเทคโนโลยีเขำ้ มำชว่ ยในกำรดำเนนิ งำน เพ่ือให้เกิดควำมมั่นคง
ด้ำนพลังงำนของประเทศ ซึ่งรูปแบบในกำรก่อสร้ำงโครงกำรกำหนดให้ต้องมีกำรถมทะเลเพื่อขยำย
พ้ืนท่ีท่ำเรือประมำณ ๑,๐๐๐ ไร่ โดยสิ่งก่อสร้ำงถำวรของเขตท่ำเม่ือแล้วเสร็จจะยื่นจำกชำยฝั่ง
เป็นระยะทำง ๔,๗๖๗ เมตร โดยได้มีกำรลงนำมสัญญำร่วมลงทุนระหว่ำงกำรนิคมอุตสำหกรรมกับ
บริษัทกัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอลจำกัด โดยกำรดำเนินโครงกำรดังกล่ำวจึงเป็นท่ีมำของ
กำรศึกษำกำรเปลี่ยนแปลงเขตทำงทะเล และผลกระทบต่อกำรกัดเซำะชำยฝั่งทะเลโดยเทียบ เคียง
จำกโครงกำรถมทะเลขยำยท่ำเรือมำร์ทลักทู (Maasvlakte2) และกำรเปลี่ยนแปลงเขตทำงทะเล

จำกกำรถมทะเลเพื่อสร้ำงชำยหำด Zandmotor รวมถึงกรณกี ำรถมทะเลขยำยพน้ื ที่เกำะสิงคโปรบ์ ริเวณ
ช่องแคบยะโฮร์ที่เป็นคดีฟ้องร้องระหว่ำงประเทศมำเลเชีย – ประเทศสิงคโปร์ เม่ือเปรียบเทียบ
กับโครงกำรถมทะเลเพื่อสร้ำงท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ระยะที่ ๓ ท่ีมีกำรถมทะเลและอำจจะ
ส่งผลกระทบสำคัญท้ังต่อเส้นเขตแดนทำงทะเล หำกวัดควำมกว้ำงนับจำกเส้นฐำนปกติ
และกำรเปลี่ยนแปลงทิศทำงกระแสน้ำท่ีก่อให้เกิดปัญหำกำรกัดเซำะชำยฝ่ังในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เกิด
ทะเลอำณำเขตของไทยมีพน้ื ทีเ่ พ่มิ ข้ึนโดยรวมท้ังหมด ๒๘ ตำรำงกโิ ลเมตร แม้กำรเพิม่ ข้นึ ของอำณำเขต
ทำงทะเลจะไม่เข้ำลักษณะเงื่อนไขตำมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย มำตรำ ๑๗๘
ที่จะต้องขอควำมเห็นชอบจำกรัฐสภำ เน่ืองจำกเป็นกำรกระทำโดยรัฐวิสำหกิจซ่ึงเป็นหน่วยงำนรัฐ
ของไทยฝ่ำยเดียวกับบริษัทเอกชนที่เป็นคู่สัญญำ และไม่มีผลกระทบต่อเขตเศรษฐกิจจำเพำะและไหล่
ทวีปของไทยจึงไม่เป็นประเด็นปัญหำท่ีจะนำไปสู่ควำมขัดแย้งระหว่ำงประเทศบ้ำนเพื่อนที่มีอำณำเขต
ทำงทะเลประชิดกับเขตทำงทะเลของไทย แต่อำจจะกระทบสิทธิเสรีภำพของเรือต่ำงชำติ หรือรัฐอ่ืน
ท่ีจะใช้พื้นที่บริเวณดังกล่ำว รวมถึงอำจจะเกิดปัญหำกำรรุกล้ำอำณำเขตทำงทะเลเพิ่มขึ้น เช่น ปัญหำ

กรณีกำรสร้ำงบ้ำนลอยน้ำ (Seasteading) บริเวณชำยขอบทะเลอำณำเขตนอกชำยฝ่ังภูเก็ต ช่วงเดือน
เมษำยน พ.ศ. ๒๕๖๒

นอกจำกนั้น ผลกำรศึกษำยังพบว่ำกำรก่อสร้ำงท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ระยะที่ ๓
อำจจะส่งผลกระทบต่อกำรกัดเซำะชำยฝั่งด้ำนตะวันออกของโครงกำร บริเวณหำดแสงจันทร์ท่ีกรมเจ้ำท่ำ
สร้ำงเป็นเขื่อนกันคลื่นนอกฝ่ัง ทำให้เม็ดทรำยซึ่งเดิมเคยถูกพัดไปเติมเกลี่ยตลอดแนวชำยหำดแสงจันทร์
ในแต่ละปีถูกโครงสร้ำงของท่ำเรือมำบตำพุดซึ่งวำงตัวในแนวทิศเหนือ - ใต้ขวำงกั้นไว้ ส่งผลให้
ฝ่ังตะวันตกเกิดทรำยทับถมพอกพูนข้ึนเร่ือย ๆ จำกอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ในขณะท่ี
ฝ่ังตะวันออกบริเวณหำดแสงจันทร์เม็ดทรำยถูกกัดเซำะหำยไปเร่ือย ๆ จนทำให้สูญเสียสภำพชำยหำด
ยำวต่อเนื่องที่สวยงำม ดังน้ัน กำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทยควรพิจำรณำแก้ปัญหำสภำพ

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | ก

หำดแสงจันทร์ท่ีมีลักษณะผิดธรรมชำติ ให้คืนสภำพใกล้เคียงลักษณะเดิมที่เป็นชำยหำดยำวเรียบ
ต่อเน่ืองไปตำมธรรมชำติ ด้วยกำรดูดทรำยที่สะสมงอกทับถมด้ำนฝั่งตะวันตกของท่ำเรือในแต่ละปี
ไปพ่นเติมปรับสมดุลชำยหำดฝ่ังตะวันออกในลักษณะเช่นเดียวกันกับวิธีการรักษาแนวชายฝั่งของ
ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วยวิธีธรรมชาติโดยกำรสร้ำงชำยหำด Zandmotor รวมถึงควรให้หน่วยงำนที่
เก่ียวข้อง เชน่ กรมเจ้ำท่ำและกรมอทุ กศำสตร์ ควรเร่งออกประกำศในสว่ นที่แต่ละหน่วยงำนรับผิดชอบ
ให้มีควำมทันสมัยและเป็นไปตำมอนุสัญญำระหว่ำงประเทศว่ำด้วยควำมปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล
ค.ศ.1974 (SOLAS 1974) เชน่ เปลี่ยนแปลงแผนที่เดนิ เรือใหท้ ันสมัย และออกประกำศชำวเรือใหท้ รำบ

ถึงแก้ไขแผนที่ดังกล่ำว ตลอดจนคำเตือนตำมมำตรฐำนควำมปลอดภัยในกำรเดินเรือ อีกทั้งสำนักงำน
คณะกรรมกำรนโยบำยเขตพัฒนำพิเศษภำคตะวันออก (สกพอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงำนท่ีกำกับ ดูแล
โครงสร้ำงพื้นฐำนขนำดใหญ่ ใน ๓ จังหวัดของพื้นที่ภำคตะวันออก ได้ตระหนักถึงควำมสำคัญ
ของผลกระทบจำกกำรถมทะเลท่ีจะมีส่งผลต่อกำรเปล่ียนแปลงต่ออำณำเขตทำงทะเลของประเทศ
และจะต้องติดตำม กำกบั ดูแล ศึกษำประเมินผลกระทบตำ่ ง ๆ ของหน่วยเจ้ำของโครงกำรอย่ำงจริงจัง
และให้ชัดเจนในทุกข้ันตอน ซึ่งคณะกรรมำธิกำรกำรคมนำคม วุฒิสภำ ได้เล็งเห็นถึงควำมสำคัญ
ต่อกำรพัฒนำโครงกำรดังกล่ำว จึงมีควำมประสงค์ที่จะพิจำรณำศึกษำเรื่อง กำรพิจำรณำศึกษำ
ผลกระทบจำกกำรถมทะเลตำมโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด เพื่อศึกษำสถำนะในกำร
พัฒนำโครงกำร กำรวิเครำะห์ และประเมินผลกระทบที่อำจจะเกิดข้ึน ตลอดจนผลกระทบต่อ
กำรเปล่ียนแปลงเส้นเขตแดนทำงทะเล เพ่ือนำเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภำและหน่วยงำนที่เก่ียวข้อง
เพ่อื พิจำรณำปรับปรุงแกไ้ ขตำมทเี่ หน็ สมควรต่อไป

หน้า | ข คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา

สารบัญ

หน้า

บทท่ี ๑ บทน้า ๑

๑.๑ ควำมเปน็ มำและเหตุผลในกำรศกึ ษำ ๑

๑.๒ วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรศกึ ษำ ๙

๑.๓ ขอบเขตของกำรพิจำรณำ ๙

๑.๔ นยิ ำมศพั ทเ์ ฉพำะ ๙

๑.๕ ประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะไดร้ ับ ๑๐

บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง ๑๑

๒.๑ กฎหมำยทเ่ี กยี่ วข้องกบั เขตทำงทะเล ๑๑

๒.๒ กฎหมำยทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั กำรถมทะเลและส่งิ แวดลอ้ มทำงทะเล ๒๓

๒.๓ กรณีศกึ ษำและงำนวชิ ำกำรทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั กำรเปลีย่ นแปลงเส้นเขตทำงทะเล

และส่ิงแวดล้อมทำงทะเล ๒๖

๒.๔ คำวนิ ิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญเก่ยี วกับของเขตควำมหมำยของหนงั สอื สญั ญำ

ตำมรฐั ธรรมนญู ๓๓

๒.๕ กำรใชแ้ บบจำลองกำยภำพ (Physical model) ในกำรวเิ ครำะห์ผลกระทบ

ตอ่ ส่งิ แวดล้อมจำกกำรกอ่ สรำ้ งเข่อื นกันคลนื่ ทำ่ เทียบเรอื และกำรถมทะเล ๓๘

บทท่ี ๓ วิธีการและการดา้ เนนิ การพิจารณาศกึ ษา ๔๑

๓.๑ รปู แบบศกึ ษำ ๔๑

๓.๒ กำรกำหนดผู้ใหข้ อ้ มลู สำคญั (Key Informants) ๔๒

๓.๓ วธิ ีกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ๕๔

๓.๔ วธิ กี ำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู ๕๔

บทที่ ๔ ผลการพิจารณาศกึ ษา ๕๗

๔.๑ สถำนะกำรดำเนนิ กำรโครงกำรพัฒนำทำ่ เรอื อุตสำหกรรมมำบตำพดุ ระยะที่ ๓ ๕๗

๔.๒ ผลกระทบตอ่ อำณำเขตทำงทะเลไทย ๕๙

๔.๓ ควำมเปน็ หนังสอื สญั ญำทมี่ บี ทเปลย่ี นแปลงอำณำเขตไทยตำมรฐั ธรรมนญู

แหง่ รำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มำตรำ ๑๗๘ ๖๓

๔.๔ ผลกระทบตอ่ กำรกดั เซำะชำยฝ่งั ทะเลและแนวทำงกำรแก้ไขปญั หำ ๖๔

บทท่ี ๕ บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ ๖๗

๕.๑ สรปุ ผลกำรพิจำรณำศกึ ษำ ๖๗

๕.๒ ข้อเสนอแนะ ๗๑

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา หน้า | ค

สารบญั (ตอ่ )

หนา้

บรรณานุกรม ๗๕

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก ขอ้ มูลเกี่ยวกบั โครงการพัฒนาท่าเรอื อตุ สาหกรรมมาบตาพดุ

ภาคผนวก ข การประกาศอา่ วประวตั ศิ าสตร์ เส้นฐานตรงและนา่ นนา้ ภายในของประเทศไทย

ภาคผนวก ค การรอ้ งเรยี นคดั ค้านการถมทะเลตามโครงการพฒั นาทา่ เรอื อตุ สาหกรรมมาบตาพดุ

ระยะที่ ๓

ภาคผนวก ง ค้าพพิ ากษากรณกี ารถมทะเลของประเทศสิงคโปร์ชอ่ งแคบยะโฮรต์ ามค้าฟอ้ ง

ของมาเลเซีย

ภาคผนวก จ ส้าเนาเอกสารการอนญุ าตให้ปลกู สงิ่ ปลกู สรา้ งลว่ งลา้ ลา้ น้า ส้าหรบั โครงการพฒั นา

ท่าเรอื อตุ สาหกรรมมาบตาพดุ ระยะที่ ๓

ภาคผนวก ฉ กรณีสรา้ งบา้ นลอยนา้ Seasteading

หน้า | ง คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา

สารบัญภาพ

หนา้

ภาพที่ ๑ โครงกำรพฒั นำท่ำเรอื อตุ สำหกรรมมำบตำพดุ ๒

ภาพที่ ๒ ทต่ี ง้ั ของโครงกำรพฒั นำท่ำเรืออตุ สำหกรรมมำบตำพดุ ๓

ภาพที่ ๓ กำรถมทะเลขยำยท่ำเรอื มำรท์ ลักทู (Maasvlakte2) ชำยหำด Zandmotor ๕

ภาพที่ ๔ กำรเปลย่ี นแปลงเขตทำงทะเลทเ่ี ปลี่ยนแปลงไปของทำ่ เรอื มำรท์ ลกั ทู ๖

ภาพท่ี ๕ กำรถมทะเลสร้ำงชำยหำด Zandmotor และเขตทำงทะเลท่เี ปล่ยี นแปลงไป ๗

ภาพที่ ๖ สภำพของหำดแสงจนั ทร์ ฝง่ั ตะวันออกของท่ำเรืออตุ สำหกรรมมำบตำพุด ๘

ภาพที่ ๗ ทิศทำงของกระแสนำ้ ส่งผลต่อกำรกดั เซำะชำยฝั่ง ๘

ภาพท่ี ๘ ผงั เขตทำงทะเลตำมอนุสญั ญำสหประชำชำติวำ่ ดว้ ยกฎหมำยทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ ๑๒

ภาพท่ี ๙ เสน้ ฐำนและอำ่ วประวตั ิศำสตรข์ องประเทศไทย ๑๖

ภาพท่ี ๑๐ กำรประกำศไหลท่ วปี ของประเทศไทย ดำ้ นอ่ำวไทย ๑๗

ภาพที่ ๑๑ กำรประกำศไหลท่ วปี ของประเทศกมั พูชำ ๑๘

ภาพท่ี ๑๒ กำรประกำศไหล่ทวปี ของประเทศมำเลเซีย ๑๙

ภาพท่ี ๑๓ เขตทำงทะเลของไทย ๒๐

ภาพท่ี ๑๔ ประกำศเขตทำงทะเลของไทยและประเทศเพือ่ นบ้ำนทไ่ี ด้กอ่ ให้เกดิ พ้นื ที่

อ้ำงสิทธิทบั ซอ้ น ๒๑

ภาพที่ ๑๕ พนื้ ท่ีพฒั นำร่วมระหวำ่ งไทยกับมำเลเซีย ๒๒

ภาพท่ี ๑๖ พน้ื ท่ีทบั ซอ้ นสว่ นบนและพน้ื ทที่ บั ซ้อนสว่ นลำ่ งระหวำ่ งประเทศไทยกับกมั พูชำ ๒๓

ภาพที่ ๑๗ เขตเศรษฐกิจจำเพำะของสหรำชอำณำจกั รและเขตทำงทะเลของประเทศใกลเ้ คียง ๒๗

ภาพที่ ๑๘ กำรถมทะเลขยำยพืน้ ทขี่ องประเทศสิงคโปร์ ๒๘

ภาพที่ ๑๙ กำรถมทะเลของประเทศสงิ คโปรช์ อ่ งแคบยะโฮรต์ ำมคำฟอ้ งของมำเลเซยี ๒๙

ภาพที่ ๒๐ โครงการถมทะเลเพื่อสรา้ งเกาะเทียมประเทศมาเลเชีย ๓๑

ภาพท่ี ๒๑ โครงการถมทะเลเพอื่ สรา้ งเกาะเทยี ม 3 เกาะนอกชายฝง่ั ตอนใตข้ องเมืองจอรจ์ ทาวน์

ในรัฐปนี งั ๓๓

ภาพที่ ๒๒ แบบจำลองทำงกำยภำพ ๔๐

ภาพท่ี ๒๓ กำรเดนิ ทำงลงไปสำรวจพื้นท่ีโครงกำรพฒั นำทำ่ เรอื อุตสำหกรรมมำบตำพุด ๕๓

ภาพท่ี ๒๔ แผนภำพแสดงขั้นตอนกระบวนกำรศึกษำ ๕๕

ภาพที่ ๒๕ ระยะหำ่ งฝง่ั ของเขตท่ำเรือมำบตำพดุ ๕๘

ภาพท่ี ๒๖ ผลกระทบของโครงกำรท่ำเรอื อุตสำหกรรมมำบตำพดุ ระยะท่ี ๑ ระยะท่ี ๒

ต่ออำณำเขตทำงทะเล ๖๐

ภาพท่ี ๒๗ กำรเปล่ียนแปลงพ้ืนทที่ ะเลอำณำเขตและเสน้ แนวทะเลของไทยจำกผลกระทบ

ของโครงกำรทำ่ เรืออตุ สำหกรรมมำบตำพดุ ระยะท่ี ๓ ต่ออำณำเขตทำงทะเล ๖๑

ภาพที่ ๒๘ บำ้ นลอยน้ำ (Seasteading) ๖๒

ภาพท่ี ๒๙ กำรสรำ้ งเคลอ่ื นกนั คลน่ื เพือ่ แกป้ ญั หำกำรกดั เซำะชำยฝง่ั หำดแสงจนั ทร์ ๗๐

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา หนา้ | จ

บทท่ี ๑
บทน้า

๑.๑ ความเปน็ มาของการพจิ ารณาศกึ ษา

ท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดมีที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสำหกรรมมำบตำพุด ตำบลมำบตำพุด
อำเภอเมอื ง จังหวัดระยอง จัดต้ังข้นึ ตำมนโยบำยรัฐบำลตั้งแต่ต้นปี ๒๕๒๔ ภำยใตโ้ ครงกำรพฒั นำพ้นื ที่
บริเวณชำยฝัง่ ทะเลภำคตะวนั ออก (Eastern Seaboard Development Program : ESB) โดยกำหนด
แนวทำงพัฒนำพ้นื ทีเ่ ปำ้ หมำยทม่ี ำบตำพุด จังหวัดระยอง และแหลมฉบัง จังหวัดชลบรุ ี ให้เปน็ ศนู ยก์ ลำง
กำรพัฒนำเศรษฐกิจของประเทศแห่งใหม่ ในสว่ นของโครงกำรพัฒนำทำ่ เรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดน้ัน
รัฐบำลได้มอบหมำยให้กำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นหน่วยรับผิดชอบดำเนินกำร
แบ่งออกเป็น ๓ ระยะได้แก่

โครงการระยะที่ ๑
ตำมมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ ๑๖ กุมภำพันธ์ ๒๕๓๑ ดำเนินกำรถมที่ในทะเลได้พื้นที่

เพ่อื กำรอุตสำหกรรมจำนวน ๑,๔๐๐ ไร่ เพอ่ื ก่อสร้ำงทำ่ เทยี บเรอื สำหรับสินค้ำเหลว ๑ ท่ำ และท่ำเทียบเรือ
สำหรับสนิ ค้ำทัว่ ไป ๒ ท่ำ กำรก่อสร้ำงแลว้ เสรจ็ ตำมกำหนดเม่อื เดือนกมุ ภำพันธ์ ๒๕๓๕ มพี ิธเี ปิดใช้งำน
อยำ่ งเปน็ ทำงกำรเมือ่ วนั ท่ี ๒๘ กันยำยน ๒๕๓๖

โครงการระยะที่ ๒
ตำมมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ ๒๙ ธันวำคม ๒๕๓๕ ดำเนินกำรขุดลอกร่องน้ำ

ทำงเดินเรือ และพ้ืนที่กลับเรือให้เหมำะสมกับขนำดของเรือ เพ่ือเพิ่มควำมปลอดภัยกำรเดินเรือ
ในร่องน้ำ นำวัสดุที่ขุดได้ไปถมให้เกิดพื้นที่ในกำรประกอบอุตสำหกรรมประมำณ ๑,๔๗๐ ไร่ โครงกำร
แล้วเสรจ็ เม่ือเดอื นเมษำยน ๒๕๔๒

โครงการระยะที่ ๓
ตำมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันท่ี ๓๐ ตุลำคม ๒๕๖๑ ซึ่งอนุมัติหลักกำรโครงกำรพัฒนำ

ท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดระยะท่ี ๓ โดยจะถมทะเลสร้ำงท่ำเรือและพ้ืนท่ีอุตสำหกรรมเพ่ิมข้ึนอีก
๑,๐๐๐ ไร่ เพื่อรองรับกำรขนถ่ำยก๊ำซธรรมชำติและวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสำหกรรมปิโตรเคมี
และต่อมำเมื่อวันท่ี ๑ ตุลำคม ๒๕๖๒ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำรลงทุนโครงกำรขยำยพื้นท่ีนิคม
อุตสำหกรรมมำบตำพุดและได้มีกำรลงนำมสัญญำร่วมลงทุนระหว่ำงกำรนิคมอุตสำหกรรมกับบริษัท
กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอลจำกัด เพ่ือดำเนินกำรตำมโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรม
มำบตำพุดระยะที่ ๓ ตอ่ ไป คำดว่ำจะเปิดใหบ้ รกิ ำรไดใ้ นปี ๒๕๖๘ รายละเอียดตามภาคผนวก ก

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา หน้า | ๑

ภาพที่ ๑ โครงการพฒั นาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด
ท่ีมา : การนิคมอตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทย

ปัจจุบันโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ระยะที่ ๓ ถือเป็นหนึ่งในโครงกำร
โครงสรำ้ งพ้ืนฐำนหลักทีส่ ำคญั ของเขตพัฒนำพเิ ศษภำคตะวันออก ตำมพระรำชบญั ญตั เิ ขตพัฒนำพเิ ศษ
ภำคตะวนั ออก พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึง่ เป็นกำรพัฒนำพื้นท่ใี นเขต ๓ จงั หวดั คือจังหวัดฉะเชงิ เทรำ จังหวัดชลบรุ ี
และจังหวัดระยอง ต่อเนื่องมำจำกระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภำคตะวันออก ( Eastern Economic
Corridor : EEC) ภำยใต้กำรกำกับดูแลระดับนโยบำยโดยคณะกรรมกำรนโยบำยเขตพัฒนำพิเศษ
ภำคตะวันออก ซ่ึงนำยกรัฐมนตรีเป็นประธำนกรรมกำรฯ และมีสำนักงำนคณะกรรมกำรนโยบำย
เขตพัฒนำพิเศษภำคตะวันออก (สกพอ.) ซึ่งเป็นหน่วยธุรกำรของคณะกรรมกำรโดยทำหน้ำที่กำกับ
ตดิ ตำม และรำยงำนควำมคบื หน้ำกำรพัฒนำของ EEC ต่อคณะกรรมกำร

เนื่องจำกท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดมีตำบลท่ีต้ังอยู่บนพ้ืนท่ีริมชำยฝ่ังทะเลของจังหวัดระยอง
ซ่ึงโดยลักษณะทำงภูมิศำสตร์ของชำยฝ่ังทะเลภำคตะวันออกในพ้ืนท่ีจังหวัดระยองน้ัน มีลักษณะเป็น
ทะเลเปดิ คือเปน็ ชำยฝ่ังทะเลที่เปิดออกสู่อำ่ วไทย ตามภาพที่ ๒

หน้า | ๒ คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา

ภาพที่ ๒ ทตี่ ังของโครงการพฒั นาท่าเรอื อตุ สาหกรรมมาบตาพดุ
ท่มี า : กรมอุทกศาสตร์ กองทพั เรือ

แต่เม่ือพิจำรณำถึงเขตทำงทะเลประเภทต่ำง ๆ ตำมท่ีกำหนดไว้ในอนุสัญญำสหประชำชำติ
ว่ำด้วยกฎหมำยทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ หรือ UNCLOS 1982 ซ่ึงไทยก็เข้ำเป็นภำคีอนุสัญญำน้ีด้วยแล้ว
ชำยฝั่งทะเลภำคตะวันออกส่วนนี้ ไม่ได้อยู่ในเขตอ่ำวไทยตอนในซ่ึงไทยประกำศเมื่อปี ๒๕๐๒
เป็นอ่ำวประวัติศำสตร์ และไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ส่วนท่ีไทยประกำศเป็นเส้นฐำนตรงและน่ำนน้ำภำยใน
ตำมท่ีประเทศไทยได้ประกำศไว้แล้วจำนวน ๔ พ้ืนที่ด้วยกันซ่ึงมี รายละเอียดตามภาคผนวก ข
ด้วยลักษณะเช่นน้ีทำให้ชำยฝั่งทะเลของจังหวัดระยองซ่ึงเป็นที่ต้ังของท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดทั้งหมด
ถอื เป็นเส้นฐำนปกติ (Normal baseline) ท่ีใช้วดั ควำมกวำ้ งของทะเลอำณำเขตซงึ่ ไทยประกำศกำหนด
ควำมกว้ำงไว้ ๑๒ ไมล์ทะเล (ประมำณ ๒๒.๒ กิโลเมตร) ตำมกฎหมำยทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ ข้อ ๓
และข้อ ๕ นอกจำกน้นั แล้วตำมกฎหมำยทะเล ข้อ ๑๑ ในเร่ืองของท่ำเรือกำหนดไว้ว่ำ “เพื่อควำมมุ่งประสงค์
ในกำรกำหนดขอบเขตของทะเลอำณำเขต สิ่งก่อสร้างถาวรตอนนอกสุดของเขตท่าเรือซ่ึงประกอบ
เปน็ สว่ นอันแยกออกมิไดข้ องระบบการทา่ นัน ใหถ้ ือว่าประกอบเป็นส่วนของฝ่ังทะเลสิง่ ติดต้ังนอกฝั่ง
และเกำะเทียมมิให้ถือว่ำเปน็ สิ่งกอ่ สรำ้ งถำวรของเขตทำ่ ” ดังนั้นตำมกฎหมำยทะเลแลว้ สิง่ กอ่ สรำ้ งถำวร
ตอนนอกสุดของเขตท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดซ่ึงประกอบเป็นส่วนอันแยกออกมิได้ของระบบ
กำรท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด จะถือเป็นส่วนของฝั่งทะเลซ่ึงจะเป็นเส้นฐำนปกติ (Normal baseline)
ท่ีใช้วัดควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขตของไทยด้วย เมื่อกลับมำพิจำรณำถึงโครงกำรพัฒนำท่ำเรือ

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา หน้า | ๓

อุตสำหกรรมมำบตำพุดท้ัง ๓ ระยะตำมท่ีกล่ำวมำแล้ว และพิจำรณำให้ละเอียดถึงขอบเขตขนำดพ้ืนที่
กำรถมทะเลกว่ำ ๒,๘๗๐ ไร่ของโครงกำรระยะที่ ๑ และระยะ ๒ ซ่ึงแล้วเสร็จตั้งปี ๒๕๔๒
และจะถมเพ่ิมข้ึนอีกประมำณ ๑,๐๐๐ ไร่สำหรับโครงกำรระยะที่ ๓ ปรำกฏว่ำส่ิงก่อสร้ำงถำวรตอนนอกสุด
ซ่ึงประกอบเป็นส่วนอันแยกออกมิได้ของระบบกำรท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดของโครงกำร
แตล่ ะระยะจะปรำกฏ โดยมีรำยละเอยี ดดงั นี้

- โครงกำรระยะที่ ๑ แล้วเสร็จปี ๒๕๓๕ ถมทะเลเป็นพ้ืนที่ ๑,๔๐๐ ไร่ สิ่งก่อสร้ำงถำวร
ตอนนอกสดุ อยู่หำ่ งชำยฝั่ง ๒,๙๘๓ เมตร

- โครงกำรระยะท่ี ๒ แล้วเสร็จปี ๒๕๔๒ ถมทะเลเป็นพ้ืนท่ี ๑,๔๗๐ ไร่ สิ่งก่อสร้ำงถำวร
ตอนนอกสดุ อย่หู ำ่ งชำยฝั่ง ๓,๔๒๒ เมตร

- โครงกำรระยะที่ ๓ มีกำหนดแล้วเสร็จปี ๒๕๖๘ จะก่อสร้ำงต่อจำกพื้นท่ีโครงกำระยะท่ี ๑
โดยจะถมทะเลเพิ่มขึ้นอีก ๑,๐๐๐ ไร่ เม่ือแล้วเสร็จจะทำให้สิ่งก่อสร้ำงถำวรตอนนอกสุดอยู่ห่ำงชำยฝ่ัง
๔,๗๖๗ เมตร ด้วยลักษณะกำรก่อสร้ำงท่ีต้องถมทะเลเป็นพื้นที่ขนำดใหญ่ย่ืนออกไปในทะเลห่ำงจำก
ชำยฝัง่ หลำยกิโลเมตรเชน่ น้ี ยอ่ มสง่ ผลกระทบสำคญั อยำ่ งนอ้ ย ๒ ประกำร

๑. กระทบต่ออาณาเขตทางทะเลของไทย เนื่องดว้ ยสงิ่ ก่อสรำ้ งถำวรตอนนอกสุดของเขตท่ำเรอื
อุตสำหกรรมมำบตำพุดตำมโครงกำรแต่ละระยะนั้นอยู่ห่ำงชำยฝั่งหลำยกิโลเมตร ย่อมทำให้เส้นฐำนปกติ
ที่ใช้วัดควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขตมีกำรเปลี่ยนแปลง ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อเส้นเขตแดนทำงทะเลด้วย
ดังท่ีเคยเกิดกรณีลักษณะเช่นนี้ในต่ำงประเทศ เช่น กรณีกำรถมทะเลขยำยท่ำเรือมำร์ทลักทู
(Maasvlakte2) ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของท่ำเรือเมือง Rotterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีกำรถมทะเล
ออกไปเป็นพ้ืนที่กว่ำ ๑๗ ตำรำงกิโลเมตร และกำรสร้ำงหำดทรำย Zandmotor๑ เพ่ือเป็นโครงการ
นารอองในการรักษาแนวชายฝั่งของประเทศโดยวิธีธรรมชาติ ทำให้กำรถมทะเลขยำยท่ำเรือมำร์ทลักทู
(Maasvlakte2) และกำรสร้ำง Zandmotor ดังกล่ำวมีผลกระทบต่ออำณำเขตของประเทศเนเธอร์แลนด์
โดยทำให้เส้นฐำนปกติ (Normal baseline) บริเวณดังกล่ำวต้องเปล่ียนไปและทำให้กระทบเส้นทะเล
อำณำเขตและเขตต่อเน่ือง อย่ำงไรก็ดีในโครงกำรท่ำเรือมำร์ทลักทู (Maasvlakte2) ดังกล่ำวทำให้เส้น
ฐำนปกติ (Normal baseline) บริเวณดังกล่ำวต้องเปลี่ยนไปและทำให้กระทบเส้นทะเลอำณำเขต
ดังน้ัน เม่ือเปรียบผลกระทบที่เกิดข้ึนต่อเส้นทะเลอำณำเขตในกรณีของ ท่ำเรือมำร์ทลักทู
(Maasvlakte2) กับกรณีของท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดแล้ว มีโอกำสที่จะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง ในกำรศึกษำผลกระทบจำกกำรถมทะเลของโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรม
มำบตำพุด ระยะที่ ๓ จะมคี วำมเหมำะสม ครบถ้วน ตอ่ กำรประเมนิ ผลลัพธ์ได้ชัดเจนเพียงใด และทผี่ ่ำนมำ
ก็ยังไม่ปรำกฏว่ำหน่วยงำนท่ีรับผิดชอบได้มีกำรศึกษำผลกระทบของกำรถมทะเลต่อกำรเปล่ียนแปลง
เส้นเขตแดนทำงทะเลตำมกฎหมำยทำงทะเลระหว่ำงประเทศ ซ่ึงจะต้องพิจำรณำให้รอบคอบ
ตำมบทบญั ญตั ิ มำตรำ ๑๗๘ ของรฐั ธรรมนญู แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐

๑ (“Sand Engine”) หรือเคร่ืองยนต์ทราย โดยการนาทรายมาถมและอาศยั กระบวนการตามธรรมชาตขิ องคล่ืน ลม และกระแสนาชอวยพัดพาทรายไป
เสริมตลอดแนวชายฝ่ังจนเกิดชายหาด

หนา้ | ๔ คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา

ภาพท่ี ๓ การถมทะเลขยายทา่ เรอื มารท์ ลักทู (Maasvlakte2)
ทมี่ า : Recent Changes in the Dutch Baseline: The inseparable Connection of Human

Activities and Natural Process 2012

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หนา้ | ๕

ภาพท่ี ๔ การเปลยี่ นแปลงเขตทางทะเลทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปของทา่ เรือมาร์ทลกั ทู
ที่มา : Recent Changes in the Dutch Baseline: The inseparable Connection of Human

Activities and Natural Process 2012

หนา้ | ๖ คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา

ภาพที่ ๕ การถมทะเลสร้างชายหาด Zandmotor (“Sand Engine”) และเขตทางทะเลท่ี
เปลยี่ นแปลงไป

ท่มี า : Recent Changes in the Dutch Baseline: The inseparable Connection of Human

Activities and Natural Process 2012

๒. ผลกระทบต่อทิศทางกระแสน้าท้าให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง เพรำะนับจำกโครงกำร
ท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ระยะที่ ๒ แล้วเสร็จ ต้ังแต่ปี ๒๕๔๒ เป็นต้นมำ ปรำกฏว่ำชำยหำดฝ่ัง
ตะวันออกของโครงกำร เชน่ หำดแสงจันทร์ ต้องถูกกัดเซำะเป็นอยำ่ งมำกจนตอ้ งสรำ้ งเปน็ เขอื่ นกันคลน่ื
นอกฝั่งเพ่ือป้องกันกำรกัดเซำะตลอดแนวของชำยหำด จนทำให้สูญเสียสภำพของกำรเป็นชำยหำด
ทีส่ วยงำม ตามภาพท่ี ๖

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | ๗

ภาพที่ ๖ สภาพของหาดแสงจันทร์ ฝ่ังตะวันออกของทา่ เรืออุตสาหกรรมมาบตาพดุ
ทม่ี า : การนิคมอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย

จำกสภำพของหำดแสงจันทร์ ซ่ึงอยู่ฝั่งตะวันออกของท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ท่ีลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงใต้พัด ตามภาพท่ี ๗ ทำให้เกิดกำรกัดเซำะตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ หลังโครงกำรพัฒนำท่ำเรือ
อตุ สำหกรรมมำบตำพุดทัง้ ระยะที่ ๑ และ ๒ แล้วเสร็จ หน่วยงำนรัฐแก้ปัญหำนี้ ด้วยกำรสรำ้ งเขื่อนกันคล่ืน
นอกฝ่งั เป็นชว่ ง ๆ จงึ เกดิ ชำยหำดเว้ำแหวง่ เป็นช่วง ๆ ผิดธรรมชำติ

หนา้ | ๘ ภาพที่ ๗ ทศิ ทางของกระแสน้าส่งผลตอ่ การกัดเซาะชายฝัง่
ทม่ี า : การนคิ มอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา

แต่ที่สำคัญคือ เม่ือปรำกฏข่ำวรัฐบำลเดินหน้ำก่อสร้ำงโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรม
มำบตำพุดระยะที่ ๓ ตั้งแต่เดือนตุลำคม ๒๕๖๒ เป็นต้นมำ ซ่ึงจะต้องมีกำรถมทะเลเพิ่มขึ้นอีกกว่ำ
๑,๐๐๐ ไร่ ทำให้หลำยฝ่ำยเกิดข้อกังวลว่ำ กำรถมทะเลเพิ่มขึ้นดังกล่ำวอำจส่งผลกระทบอย่ำงรุนแรง
ต่อสิ่งแวดล้อม และก่อให้เกิดปัญหำกำรกัดเซำะชำยฝ่ังเพิ่มมำกข้ึน จนปรำกฏเป็นข่ำวกำรร้ องเรียน
ในเรื่องน้ีเช่นกรณีกำรร้องเรียนคัดค้ำนกำรถมทะเลตำมโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด
ระยะท่ี ๓ ของกลุ่มองค์กรเอกชน องค์กรประชำชนในพื้นท่ีรวมถึง มกี ำรนำเสนอผลกระทบด้ำนต่ำง ๆ
ของภำคเอกชน รายละเอยี ดตาม ภาคผนวก ค

ด้วยผลกระทบที่สำคัญ ๒ ประกำรตำมท่ีกล่ำวมำข้ำงต้น ประกอบกับโครงกำรพัฒนำท่ำเรือ
อุตสำหกรรมมำบตำพุดนั้นถือเป็นโครงสร้ำงพ้ืนฐำนหลักที่สำคัญของเขตพัฒนำพิเศษภำคตะวันออก
ดังนั้น คณะอนุกรรมำธิกำรด้ำนกำรคมนำคมทำงน้ำและกำรพำณิชยนำวี ในคณะกรรมำธิกำร
กำรคมนำคม วุฒิสภำ เล็งเห็นควำมสำคัญและจำเป็นที่จะพิจำรณำศึกษำผลกระทบจำกกำรถมทะเล
ตำมโครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด เพ่ือได้รับทรำบสถำนะในกำรพัฒนำโครงกำร
ตลอดจนวิเครำะห์ และประเมินผลกระทบที่อำจจะเกิดขึ้นจำกกำรพัฒนำโครงกำรโดยกำรถมทะเล
ท้ังผลกระทบต่ออำณำเขตทำงทะเลของไทย ตลอดจนผลกระทบต่อกำรกัดเซำะชำยฝั่งท ะเล ท้ังนี้
เพอื่ ให้ขอ้ เสนอแนะกับหน่วยงำนที่เกยี่ วข้องในกำรดำเนนิ กำรในลำดับต่อไป
๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา

๑. เพ่ือศกึ ษำสถำนะกำรดำเนนิ โครงกำรพัฒนำท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพดุ
๒. เพือ่ ศกึ ษำผลกระทบตอ่ อำณำเขตทำงทะเลของไทยท่ีอำจเกิดขน้ึ จำกโครงกำรพฒั นำทำ่ เรือ
อตุ สำหกรรมมำบตำพดุ
๓. เพื่อศึกษำผลกระทบต่อกำรกัดเซำะชำยฝ่ังทะเลท่ีอำจเกิดข้ึนจำกโครงกำรพัฒนำท่ำเรือ
อุตสำหกรรมมำบตำพุด
๔. เพ่ือเสนอแนะแนวทำงแก้ปัญหำและดำเนินโครงกำรหรือกิจกรรมทำงทะเลให้สอดคล้อง
ตำมขอ้ กำหนดของมำตรฐำนสำกล
๑.๓ ขอบเขตของการพิจารณา
กำรศึกษำครั้งนี้มุ่งศกึ ษำผลกระทบจำกโครงกำรพัฒนำทำ่ เรอื อุตสำหกรรมมำบตำพดุ ซึ่งต้ังอยู่
ในเขตพื้นที่ตำบลมำบตำพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง โดยทำกำรศึกษำจำกข้อกฎหมำย
เอกสำรงำนวิจัย ตลอดจนกำรชแ้ี จงข้อมูลจำกหน่วยงำนทเ่ี กี่ยวข้อง ทงั้ นี้ เน้ือหำจะครอบคลุมกฎหมำย
ระหว่ำงประเทศ รัฐธรรมนูญ กฎหมำยว่ำด้วยกำรพัฒนำโครงกำรต่ำง ๆ ของรัฐ กฎหมำยที่เกี่ยวข้อง
กบั กำรกอ่ สรำ้ งทำ่ เรือของไทย รวมท้งั แนวคิดทเี่ กยี่ วขอ้ งกับกำรประเมินผลกระทบสงิ่ แวดล้อมเปน็ สำคัญ

๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะ
๑) เส้นฐำนปกติ (Normal Baseline) หมำยถึง เส้นแนวน้ำลดตลอดชำยฝ่ังตำมท่ีได้หมำยไว้

ในแผนทีท่ ี่ใชม้ ำตรำสว่ นใหญ่ท่ีรัฐชำยฝ่งั ยอมรับนับถอื ซ่งึ ใช้วัดควำมกวำ้ งของเขตทำงทะเลเขตต่ำง ๆ
๒) เส้นฐำนตรง (Straight Baselines) หมำยถึง เส้นที่ลำกเช่ือมจุดที่เหมำะสมของฝ่ังทะเล

ในกรณีแนวฝ่ังทะเลเว้ำแหว่งและตัดลึกเข้ำมำมำก หรือเป็นกรณีมีเกำะเรียงรำยตำมชำยฝั่งทะเล
ในบริเวณใกล้ชดิ ติดกับฝ่ังทะเล หรอื บริเวณดินดอนสำมเหล่ียมปำกแมน่ ้ำ ปำกแม่น้ำ อำ่ ว อ่ำวประวัติศำสตร์
ซงึ่ ใช้วัดควำมกวำ้ งของเขตทำงทะเลเขตต่ำง ๆ

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | ๙

๓) น่ำนน้ำภำยใน (Internal Water) หมำยถึง น่ำนน้ำทำงด้ำนแผ่นดินของเส้นฐำนแห่งทะเล
อำณำเขต โดยรัฐชำยฝ่ังมีอำนำจอธิปไตยเหนือน่ำนน้ำภำยในของตนอย่ำงเต็มที่ (Full Sovereingty)
เช่นเดียวกับที่รัฐชำยฝั่งมีอำนำจอธิปไตยเหนือดินแดน เว้นแต่กำรใช้สิทธิกำรผ่ำนโดยสุจริตเฉพำะ
ในกรณมี กี ำรลำกเส้นฐำนตรงทม่ี ีผลเปน็ กำรปดิ ลอ้ มบรเิ วณซึง่ ไม่เคยถือเป็นนำ่ นนำ้ ภำยในมำก่อน

๔) ทะเลอำณำเขต (Territorial Sea) หมำยถึง ทะเลที่อยู่หลังเส้นฐำนตรงหรือเส้นฐำนปกติ
แล้วแต่กรณี มีควำมกว้ำงไม่เกิน ๑๒ ไมล์ทะเลนับจำกเส้นฐำน โดยรัฐชำยฝั่งมีอำนำจอธิปไตย
เหนือทะเลอำณำเขต และขยำยไปถึงห้วงอำกำศเหนือทะเลอำณำเขต ตลอดจนพื้นดินท้ องทะเล
กบั ดินใต้ผวิ ดนิ แหง่ ทอ้ งทะเล แต่ตอ้ งยอมใหเ้ รือท้งั ปวงใชส้ ทิ ธกิ ำรผ่ำนโดยสจุ รติ ในทะเลอำณำเขต

๕) กำรประเมินผลกระทบทำงส่ิงแวดล้อม (EIA) หมำยถึง กำรวิเครำะห์ผลกระทบจำกโครงกำร
หรือกิจกำรประเภทต่ำงๆ ที่อำจเกิดข้ึนต่อสภำพแวดล้อมท่ีอำจมีผลกระทบต่อโครงกำรท้ังในทำงบวก
และทำงลบ เพ่ือเตรียมกำรปอ้ งกนั และแกไ้ ขกอ่ นกำรตดั สนิ ใจดำเนินโครงกำรหรือกิจกำรน้นั ๆ

๖) แบบจำลองทำงคณิตศำสตร์ LITPACK หมำยถึง โปรแกรมสำเร็จรูปใช้ในกำรจำลอง
ทำงคณิตศำสตร์ (Numerical / Mathematical Model) เพื่อประเมินผลกระทบส่ิงแวดล้อมท่ีจะเกิดข้ึน
กับแนวชำยฝ่งั บรเิ วณข้ำงเคยี งเน่ืองจำกกำรกอ่ สรำ้ งในทะเล

๗) กำรสร้ำงแบบจำลองทำงกำยภำพ (Physical model) หมำยถึง กำร “ย่อ” ขนำด
ของโครงสร้ำงจริงลงมำในอัตรำส่วนท่ีเหมำะสม เพื่อให้สำมำรถก่อสร้ำงลงในแอ่งคลื่น (Wave basin)
ซ่ึงมกี ำรตดิ ตง้ั เครื่องกำเนดิ คลนื่ และเซนเซอร์ตำ่ ง ๆ ไว้ เพื่อทำกำรตรวจวัดและนำผลต่ำง ๆ ไปวเิ ครำะห์
ต่อไป

๘) ไมล์ทะเล (Nautical Mile) หมำยถึง ระยะทำงท่ีใช้วัดระยะในกำรเดินเรือและเดินอำกำศ
ไดจ้ ำกกำรวัดระยะตำมแนวเส้น“เส้นแวง” (Longitude) ณ แนวเส้นศูนยส์ ูตร โดย ๑ ลิปดำมีค่ำเท่ำกับ
๑.๘๕๒ กิโลเมตร หรือ ๒,๐๒๕ หลำ และใช้หน่วยวัดควำมยำวกฎหมำยระหว่ำงประเทศ โดยเฉพำะ
กฎหมำยระหวำ่ งประเทศวำ่ ดว้ ยทะเล ใช้วดั ควำมกวำ้ งของอำณำเขตทำงทะเลต่ำง ๆ

๑.๕ ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ
๑) ได้รับทรำบสถำนะกำรดำเนนิ โครงกำรพัฒนำทำ่ เรอื อตุ สำหกรรมมำบตำพดุ
๒) ได้รับทรำบผลกระทบต่ออำณำเขตทำงทะเลของไทย ท่ีเกิดขึ้นจำกโครงกำรพัฒนำท่ำเรือ

อุตสำหกรรมมำบตำพดุ
๓) ได้รับทรำบผลกระทบต่อกำรกัดเซำะชำยฝ่ังทะเล ที่เกิดขึ้นจำกโครงกำรพัฒนำท่ำเรือ

อุตสำหกรรมมำบตำพุด
๔) ข้อเสนอแนะแนวทำงแก้ปัญหำและดำเนินโครงกำรหรือกิจกรรมทำงทะเลให้สอดคล้อง

ตำมมำตรฐำนสำกล

หนา้ | ๑๐ คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา

บทท่ี ๒
เอกสารและงานวิชาการท่เี กยี่ วข้อง

ในกำรศึกษำคร้ังน้ี มีเอกสำร แนวคิด ทฤษฎี และงำนที่เก่ียวข้องกับกำรพิจำรณำศึกษำ
ผลกระทบจำกกำรถมทะเลตำมโครงกำรพฒั นำท่ำเรืออตุ สำหกรรมมำบตำพุด ดงั น้ี

๒.๑ กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้องกับเขตทางทะเล
๒.๑.๑ เขตทางทะเล
๒.๑.๑.๑ อนุสญั ญาสหประชาชาติวา่ ด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (UNCLOS 1982)
ความเป็นมา
อนุสัญญำสหประชำชำติว่ำด้วยกฎหมำยทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (United Nations

Convention on the Law of the Sea, 1982 หรือ UNCLOS 1982) เป็นผลผลิตจำกกำรประชุม
สหประชำชำติว่ำด้วยกฎหมำยทะเลคร้ังท่ีสำมซ่ึงจัดขึ้นในระหว่ำงปี ค.ศ. ๑๙๗๓ ถึง ค.ศ. ๑๙๘๒
โดยอนุสัญญำฉบับน้ีมีผลใช้บังคับเมื่อ ๑๖ พฤศจิกำยน ค.ศ. ๑๙๙๔ และปัจจุบันมีภำคีสมำชิก
มำกถึง ๑๖๔ ประเทศ และถือเป็นกฎหมำยแม่บทท่ีกำหนดกฎเกณฑ์เก่ียวกับกำรใช้ท้องทะเลของโลก
และประเด็นทำงกำรบริหำรจัดกำรทะเลไว้อย่ำงครบถ้วนซึ่งรวมท้ังเรื่องเขตทำงทะเล และกำรอนุรักษ์
ส่ิงแวดล้อมด้วย โดยไดร้ วบรวมประเดน็ เก่ำท่ีปรำกฏอยู่ในอนุสญั ญำกรุงเจนีวำ ค.ศ. ๑๙๕๘ ซงึ่ มอี ยู่ ๔ ฉบับ
แล้วนำมำปรับปรุงเรียบเรียงใหม่ และมีท้ังประเด็นใหม่ท่ีไม่เคยปรำกฏเป็นเอกสำรทำงกฎหมำย
เช่น เขตเศรษฐกิจจำเพำะ บริเวณพื้นท่ี และยังมีประเด็นที่เก่ียวกับควำมปลอดภัยในกำรเดินเรือ
ควำมม่ันคงทำงทะเล และภำวะมลพิษจำกแหล่งต่ำง ๆ ในทะเลเป็นผลของกำรนำเอำบทบัญญัติของทะเล
เกือบทุกเรื่อง เข้ำมำรวบรวมไว้ในเอกสำรฉบับเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็นภำคต่ำง ๆ ทั้งหมด ๑๗ ภำค
๖ ผนวก อย่ำงเป็นระบบ ซ่ึงประกอบด้วย ทะเลอำณำเขตและเขตต่อเนื่องช่องแคบที่ใช้สำหรับ
กำรเดินเรือระหว่ำงประเทศ รัฐหมู่เกำะ เขตเศรษฐกิจจำเพำะไหล่ทวีป ทะเลหลวง ระบอบรอบเกำะ
ทะเลปิดหรือก่ึงปิด สิทธิของรัฐไร้ฝ่ังทะเลท่ีจะออกไปสู่และเข้ำมำจำกทะเล และเสรีภำพในกำรผ่ำน
บริเวณพืน้ ท่ี กำรคุ้มครองและกำรรักษำสิ่งแวดล้อมทำงทะเล กำรวิจยั วทิ ยำศำสตร์ทำงทะเล กำรพฒั นำ
และกำรถ่ำยทอดเทคโนโลยีทำงทะเล กำรระงับข้อพิพำท บทบัญญัติท่ัวไป บทบัญญัติสุดท้ำย
และภำคผนวก ซ่ึงประกอบด้วย ชนิดพันธ์ุที่ย้ำยถ่ินอยู่เสมอ คณะกรรมำธิกำรกำหนดขอบเขตของไหล่ทวีป
เงือ่ นไขพ้ืนฐำนในกำรตรวจหำ กำรสำรวจ และกำรแสวงประโยชน์ ธรรมนญู ของวิสำหกจิ กำรประนอม
ธรรมนูญศำลกฎหมำยทะเลระหว่ำงประเทศ อนุญำโตตุลำกำร อนุญำโตตุลำกำรพิเศษ กำรเข้ำร่วม
ขององค์กำรระหว่ำงประเทศ และควำมตกลงเก่ียวกับกำรอนวุ ัติภำค ๑๑ ของอนุสัญญำสหประชำชำติ
ว่ำด้วยกฎหมำยทะเล ฉบับลงวนั ที่ ๑๐ ธันวำคม ค.ศ. ๑๙๘๒

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา หนา้ | 11

เขตทางทะเล (Maritime Zones )๒

ในเรือ่ งของเขตทำงทะเลน้ันจำเป็นต้องทรำบถึงจุดเริ่มต้นที่ใช้ในกำรวัดควำมกว้ำง

ของเขตทำงทะเลเขตต่ำงๆ ท่ีเรียกว่ำ “เส้นฐำน (Baseline)” เสียก่อน ซึ่งเส้นฐำนน้ีมีอยู่ ๒ ชนิด คือ
เส้นฐำนปกติ (Normal baseline) และเส้นฐำนตรง (Straight Baselines)๓ โดยใช้วัดควำมกว้ำง

ของทะเลอำณำเขต เขตต่อเน่ือง ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพำะ จำกเส้นฐำนท่ีอยู่ชำยฝ่ังออกไป

ถึงทะเลหลวง ตำมท่ีกำหนดไวใ้ นขอ้ ๓ ข้อ ๕ และข้อ ๑๑ ของอนุสญั ญำฯ โดยมรี ำยละเอียด ดังนี้

ภาพที่ ๘ ผงั เขตทางทะเลตามอนุสญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒
ที่มา : http://www.mkh.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id

๔๗&Itemid=๑๕๓&lang=th#internalwater

- เสน้ ฐาน
ขอ้ ๕ เสน้ ฐำนปกติ
เวน้ แต่กรณีท่อี นุสญั ญำน้ีบญั ญัติไว้เปน็ อย่ำงอ่ืน เสน้ ฐำนปกติสำหรบั วัดควำมกวำ้ ง
ของทะเลอำณำเขตได้แก่ เส้นแนวน้ำลดตลอดฝั่งตำมที่ได้หมำยไว้ในแผนที่ซึ่งใช้มำตรำส่วนใหญ่
ทร่ี ฐั ชำยฝ่งั ยอมรบั นบั ถือเป็นทำงกำร
ขอ้ ๑๑ ท่ำเรือ
เพ่ือควำมมุ่งประสงค์ในกำรกำหนดขอบเขตของทะเลอำณำเขต ส่ิงก่อสร้ำง
ถำวรตอนนอกสุดของเขตท่ำซ่งึ ประกอบเปน็ สว่ นอนั แยกออกมิไดข้ องระบบกำรท่ำนัน้ ใหถ้ อื วำ่ ประกอบเปน็
สว่ นของฝง่ั ทะเล สิ่งติดตงั้ นอกฝั่งและเกำะเทยี มมิใหถ้ อื วำ่ เปน็ ส่งิ กอ่ สรำ้ งถำวรของเขตท่ำ

๒ อาจใช้คาวาอ “อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone)” แทนได้
๓ กรณี เสน้ ฐานตรง ยงั มีกรณีพิเศษอื่นๆ อีก เชนอ ปากแมนอ า (อนุสญั ญาฯ ขอ้ ๙) อาอ วและออาวประวตั ศิ าสตร์ (อนสุ ัญญาฯ ข้อ ๑๐) ) พืนที่เหนอื
นาขณะนาลด (อนุสญั ญาฯ ขอ้ ๑๓) และ เส้นฐานหมูเอ กาะ (อนสุ ัญญาฯ ขอ้ ๔๗)

หนา้ | 12 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา

ขอ้ ๑๖ แผนทีแ่ ละรำยกำรพิกัดทำงภูมิศำสตร์
๑. เสน้ ฐำนซึ่งใชว้ ัดควำมกวำ้ งของทะเลอำณำเขตทีก่ ำหนดข้ึนตำมข้อ ๗ ขอ้ ๙
และข้อ ๑๐ หรือขอบเขตท่ีเกิดจำกเส้นฐำนน้ัน หรือเส้นกำหนดขอบเขตต่ำงๆ ซึ่งลำกขึ้นตำมข้อ ๑๒
และข้อ ๑๕ จะต้องนำไปแสดงบนแผนท่ีที่ใช้มำตรำส่วนเดียวหรือหลำยมำตรำส่วนที่เพียงพอ
ตอ่ กำรยนื ยนั ตำแหน่งทแ่ี น่นอนของเสน้ เหล่ำนัน้ หรือมิฉะนนั้ กอ็ ำจใชร้ ำยกำรพิกัดทำงภูมศิ ำสตรข์ องจุดตำ่ ง ๆ
ซงึ่ ระบุมูลฐำนทำงยอี อเดซีแทนก็ได้๔
- ทะเลอาณาเขต

ขอ้ ๓ ควำมกวำ้ งของทะเลอำณำเขต
รฐั ทุกรัฐมีสิทธิกำหนดควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขตของตนได้จนถึงขอบเขตหน่ึง
ซึ่งไม่เกนิ ๑๒ ไมลท์ ะเล โดยวัดจำกเส้นฐำนทกี่ ำหนดขึน้ ตำมอนุสญั ญำน้ี
อนุสัญญำสหประชำชำติว่ำด้วยกฎหมำยทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ ได้กำหนดควำมกว้ำง
ของทะเลอำณำเขตว่ำต้องไม่เกนิ ๑๒ ไมล์ทะเลโดยวัดจำกเสน้ ฐำน (baseline)
รัฐชำยฝ่ังมีอำนำจอธิปไตยเหนือทะเลอำณำเขตของตน ซึ่งหมำยควำมรวมถึง
อำนำจอธิปไตยในห้วงอำกำศ (air space) เหนือทะเลอำณำเขต อำนำจอธิปไตยเหนอื พ้ืนดนิ ท้องทะเล
(sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) แห่งทะเลอำณำเขตด้วย [อนุสัญญำฯ ข้อ ๒ (๑) และ (๒)]
โดยมีข้อยกเว้นในกำรใช้อำนำจอธิปไตยของรัฐชำยฝั่งเหนือทะเลอำณำเขต คือ “กำรใช้สิทธิกำรผ่ำน
โดยสุจริต” (right of innocent passage) ของเรือต่ำงชำติในทะเลอำณำเขตของรัฐชำยฝ่ัง (อนุสัญญำฯ
ข้อ ๑๗) ซึ่งกำรผ่ำนโดยสุจริตนั้นจะต้องไม่เป็นกำรเสื่อมเสียต่อสันติภำพ ควำมสงบเรียบร้อย
หรอื ควำมมน่ั คงต่อรัฐชำยฝ่งั [อนุสัญญำฯ ข้อ ๑๙(๑)]

- เขตต่อเน่ือง
ขอ้ ๓๓ เขตต่อเน่อื ง
เขตตอ่ เนื่องมิอำจขยำยเกินกว่ำ ๒๔ ไมลท์ ะเลจำกเสน้ ฐำน ซ่ึงใช้วัดควำมกวำ้ ง
ของทะเลอำณำเขต (อนสุ ัญญำฯ ขอ้ ๓๓ วรรคสอง)
รัฐชำยฝั่งอำจดำเนินกำรควบคุมท่ีจำเป็นเพ่ือป้องกันกำรฝ่ำฝืนกฎหมำย
และข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกำกร (customs) กำรคลัง (fiscal) กำรเข้ำเมือง (immigration) หรอื กำรสุขำภิบำล
(sanitation) ภำยในอำณำเขต หรอื ทะเลอำณำเขตของตน และลงโทษกำรฝ่ำฝนื กฎหมำยและขอ้ บงั คบั
ดังกล่ำวซึ่งได้กระทำภำยในอำณำเขต หรือทะเลอำณำเขตของตน รัฐชำยฝั่งมีหน้ำที่ในกำรคุ้มครอง
วัตถโุ บรำณหรอื วตั ถุทำงประวัตศิ ำสตรท์ ี่พบใตท้ ะเลในเขตต่อเน่อื ง (อนสุ ัญญำฯ ขอ้ ๓๐๓)

๔ Baseline Publicity and Charting Requirements: An Overlooked Issue in the UN Convention on the Law of the Sea. Journal,
Ocean Development & International Law. At
https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/00908320903510068?scroll=top&needAccess=true
In the case of ports, Article 11 of the LOSC, there is no specific mention of permissibility of using closing lines across their
mouths, nor, consequentially, is there a reference to Article 11 in the context of charts and publicity under Article 16. Most
commentators, however, assume that there is an implicit right to use such baselines at ports. See infra sec. III.A. If this is the
case, there is an implicit publicity duty, as a casus omissus matter, under Article 16 in the case of ports that have enclosed
mouths.

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา หน้า | 13

- เขตเศรษฐกิจจา้ เพาะ
ขอ้ ๕๗ เขตเศรษฐกจิ จำเพำะ
บริเวณท่ีประชิดและอยู่เลยไปจำกทะเลอำณำเขต โดยเขตเศรษฐกิจจำเพำะ
จะต้องไม่ขยำยออกไปเกิน ๒๐๐ ไมล์ทะเลจำกเส้นฐำน ซ่ึงใช้วัดควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขต
(อนสุ ัญญำฯ ข้อ ๕๕ และขอ้ ๕๗)
รัฐชำยฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเพื่อควำมมุ่งประสงค์ในกำรสำรวจ (exploration)
และกำรแสวงประโยชน์ (exploitation) กำรอนุรักษ์ (conservation) และกำรจดั กำร (management)

ทรัพยำกรธรรมชำติ ท้ังที่มีชีวิตหรือไมม่ ีชีวิตในน้ำเหนือพื้นดินทอ้ งทะเล (water superjacent to the
sea-bed) และในพน้ื ดินท้องทะเล (sea-bed) กับดินใต้ผิวดิน (subsoil) ของพ้นื ดินท้องทะเลนน้ั และมีสิทธิ
อธิปไตยในส่วนท่ีเก่ียวกับกิจกรรมอื่นๆ เพื่อกำรแสวงประโยชน์ และกำรสำรวจทำงเศรษฐกิจในเขต
อำทเิ ชน่ กำรผลิตพลงั งำนจำกนำ้ (water) กระแสน้ำ (currents) และลม (winds) [อนสุ ัญญำฯ ข้อ ๕๖
วรรคหน่ึง (เอ)] รัฐชำยฝ่ังมีสิทธิแต่ผู้เดียว (exclusive rights) ในกำรสร้ำงหรืออนุญำตให้สร้ำง
และควบคุมกำรสร้ำงเกำะเทียม (artificial islands) สิ่งติดต้ัง (installations) และส่ิงก่อสร้ำง
(structures) เพือ่ ทำกำรสำรวจ และแสวงประโยชน์จำกทรัพยำกรธรรมชำติทไี่ ม่มชี ีวิตในเขตเศรษฐกิจ
จำเพำะ หรือควบคุมกำรใช้สิ่งติดต้ังหรือส่ิงก่อสร้ำงอันอำจเป็นอุปสรรคต่อกำรใช้สิทธิของรัฐชำยฝ่ัง
ในเขตเศรษฐกิจจำเพำะ โดยสิทธิและกำรปฏิบัติหน้ำท่ีของตนภำยใต้อนุสัญญำว่ำด้วยเขตเศรษฐกิจ
จำเพำะ รัฐชำยฝง่ั จะตอ้ งคำนึงตำมควรถงึ สิทธิและหน้ำที่ของรัฐอื่นๆ และจะต้องปฏิบัตกิ ำรในลักษณะ
ทสี่ อดคล้องกบั บทบญั ญัตขิ องอนุสัญญำฯ นี้ [อนุสญั ญำฯ ข้อ ๕๖(๒)]

รัฐอ่ืน ๆ ยอ่ มมเี สรีภำพในกำรเดนิ เรือ (freedom of navigation) กำรบนิ ผำ่ น

(freedom of over flight) กำรวำงสำยเคเบิลและท่อใต้ทะเล (freedom of the laying of submarine
cables and pipelines)

- ไหล่ทวีป
ขอ้ ๗๖ ไหลท่ วีป
พื้นดินท้องทะเล (sea bed) และดินผิวใต้ดิน (subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล
ซึ่งขยำยเลยทะเลอำณำเขตของรัฐตลอดส่วนต่อออกไปตำมธรรมชำติ (natural prolongation) ของดินแดน
ทำงบกของตนจนถึงริมนอกของขอบทวีป (continental margin) มีระยะทำงไม่เกิน ๓๕๐ ไมล์ทะเล
จำกเส้นฐำน (baseline) หรือเลยออกไปไม่เกิน ๑๐๐ ไมล์ทะเลจำกเส้นชันควำมลึก (contouring)
๒,๕๐๐ เมตรรฐั ชำยฝ่งั มีสทิ ธิอธปิ ไตย (sovereign rights) เหนอื ทรพั ยำกรธรรมชำติบนและใตไ้ หลท่ วปี
ไม่ว่ำจะเป็นทรัพยำกรธรรมชำติที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต โดยมีลักษณะพิเศษ ๒ ประกำรคือ เป็นสิทธิ
แต่เพียงผู้เดียว (exclusive rights) กล่ำวคือ หำกรัฐชำยฝั่งไม่สำรวจหรือแสวงประโยชน์จำกทรัพยำกร
บนหรอื ใตไ้ หลท่ วีปแล้ว รัฐอืน่ จะสำรวจหรอื แสวงประโยชนจ์ ำกทรพั ยำกรบนหรอื ใตไ้ หลท่ วีปโดยมิไดร้ บั

ควำมยินยอมอย่ำงชัดแจ้งจำกรัฐชำยฝ่ังมิได้ สิทธิของรัฐชำยฝ่ังเหนือไหล่ทวีปน้ีไม่ได้ข้ึนอยู่กับ
กำรครอบครอง (occupation) ไมว่ ำ่ อยำ่ งแท้จรงิ หรือเพียงในนำมหรือกับกำรประกำศอยำ่ งชดั แจ้งใด ๆ
กล่ำวคือ สิทธขิ องรัฐชำยฝงั่ เหนือเขตไหล่ทวีปนนั้ เป็นสิทธิที่รัฐชำยฝั่งมีอย่แู ต่ดง้ั เดมิ (inherent rights)
โดยไมต่ อ้ งทำกำรประกำศเข้ำยดึ ถือเอำแต่อย่ำงใด รัฐชำยฝง่ั ได้สทิ ธิอธิปไตยดังกลำ่ ว มำโดยอตั โนมัติ

หนา้ | 14 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา

- ทะเลหลวง
ข้อ ๘๖ ทะเลหลวง
ทะเลหลวง หมำยถึง ทุกสว่ นของทะเลซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพำะ
(exclusive economic zone) ในทะเลอำณำเขต (territorial sea) หรือในน่ำนน้ำภำยใน (internal
water) ของรฐั หรือในน่ำนนำ้ หม่เู กำะ (archipelagic waters) ของรฐั หมู่เกำะ เปน็ ทนี่ ำ่ สังเกตว่ำหว้ งนำ้
(water column) และผิวน้ำเหนือไหล่ทวีปที่อยู่นอกเขตเศรษฐกิจจำเพำะยังคงเป็นเขตทะเลหลวง
ถึงแม้ไหล่ทวปี และทรัพยำกรบนไหล่ทวีปจะตกอยู่ภำยใต้สทิ ธิอธิปไตย (sovereign rights) ของรัฐชำยฝั่งกต็ ำม

ทะเลหลวงเปิดใหแ้ กร่ ฐั ท้ังปวง ไม่ว่ำรฐั ชำยฝงั่ (coastal state) หรอื รฐั ไร้ฝง่ั ทะเล (landlocked states)
เสรีภำพแห่งทะเลหลวงเป็นเสรีภำพที่ตกอยู่ภำยใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้โดย

อนุสัญญำและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ อำทิ เสรีภำพในกำรเดินเรือ (freedom
of navigation) เสรภี ำพในกำรบนิ ผ่ำน (freedom of overflight) เสรภี ำพในกำรทำประมง (freedom
of fishing) เสรีภำพในกำรวำงสำยเคเบิ้ลและท่อใต้ทะเล (freedom to lay submarine cable and
pipeline) เสรีภำพในกำรสร้ำงเกำะเทียม (freedom to construct artificial islands) เช่น เสรีภำพ
ในกำรทำประมงในทะเลหลวง คือ จะต้องร่วมมือกันเพื่อกำหนดมำตรกำรในกำรอนุรักษ์และจัดกำร
ทรัพยำกรที่มีชีวิตในท้องทะเล นอกจำกน้ีเสรีภำพในกำรใช้ทะเลดังกล่ำว ยังต้องคำนึงตำมควร
ถงึ ประโยชนแ์ ละสทิ ธิของรฐั อ่ืนด้วย

- บริเวณพืนที่ (Area)
ขอ้ ๑ กำรใชค้ ำศพั ทแ์ ละขอบเขต

(๑) “บริเวณพืน้ ท”่ี หมำยถงึ พืน้ ดนิ ทอ้ งทะเลและพืน้ มหำสมุทรและดนิ ใต้ผวิ ดนิ

ทอ่ี ยู่พ้นขอบเขตของเขตอำนำจแห่งชำติ อันเปน็ เปน็ มรดกรว่ มของมนุษยชำติ
๒.๑.๑.๒ เขตทางทะเลและการประกาศเขตทางทะเลของไทย
- เขตทางทะเลของไทย
๑) เส้นฐานและอ่าวประวัติศาสตร์ ซึ่งน่ำนน้ำหรือพื้นที่หลังเส้นฐำนและเส้น

ที่ลำกปิดปำกอ่ำวประวัตศิ ำสตร์มสี ถำนะทำงกฎหมำยเปน็ น่ำนน้ำภำยใน และใช้เสน้ ดังกล่ำวเปน็ จดุ เร่ิม
วัดควำมกวำ้ งของเขตทำงทะเล

บริเวณที่ ๑ จำกแหลมลิง จังหวัดจันทบุรี โอบรอบนอกหมู่เกำะช้ำง เกำะกูด
และเข้ำบรรจบชำยฝ่ังท่ีหลกั เขตแดนไทย – กมั พูชำ ท่ี ๗๓ ทีแ่ หลมสำรพดั พิษ จังหวดั ตรำด

บรเิ วณที่ ๒ จำกแหลมใหญ่ จังหวดั สรุ ำษฎรธ์ ำนี โอบรอบนอกผ่ำนหม่เู กำะต่ำง ๆ
เกำะสมยุ เกำะพงนั แล้วโอบรอบนอกเกำะต่ำง ๆ ที่อยู่เหนือข้ึนไปด้ำนนอกสุดบรรจบฝ่ัง แหลมหน้ำถ้ำ
จงั หวัดชุมพร

บริเวณที่ ๓ อยู่ทำงด้ำนทะเลอันดำมัน โดยเริ่มต้นจำกตอนใต้เกำะภูเก็ต

โอบรอบเกำะตำ่ งๆ ทีใ่ กล้ฝง่ั ลงไปจนเข้ำบรรจบฝัง่ ท่ีหลกั เขตแดนไทย - มำเลเซีย ท่ี ๑ ท่ผี ำขำว จงั หวดั สตลู
บริเวณที่ ๔ อยู่ด้ำนอ่ำวไทย โดยเร่ิมจำกเกำะกงออก (เป็นเกำะหนงึ่ อยู่ตอนใต้

เกำะสมุย และเป็นจุดฐำนจุดหน่ึงของระบอบเส้นฐำนตรงบริเวณท่ี ๒) ผ่ำนเกำะกระ เกำะโลซิน
และเข้ำบรรจบฝั่งท่ีจะเขตแดนไทย - มำเลเซีย ณ ปำกน้ำโกลก จังหวัดนรำธิวำส อ่ำวประวัติศำสตร์
ตำมประกำศสำนักนำยกรัฐมนตรีเรื่อง อ่ำวไทยตอนในประกำศ เม่ือวันที่ ๒๒ กันยำยน พ.ศ. ๒๕๐๒

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หนา้ | 15

ซ่ึงมีสถำนะทำงกฎหมำยเป็นน่ำนน้ำภำยในเช่นกัน อน่ึง บริเวณที่จัดทำโครงกำรเป็นบริเวณที่ไม่ได้
มีกำรประกำศเสน้ ฐำนตรงแตอ่ ยำ่ งใด จึงใช้หลักเกณฑแ์ นวน้ำลดต่ำสุดท่ีชำยฝ่ังทหี่ มำยในแผนที่

ภาพท่ี ๙ เสน้ ฐานและอา่ วประวัตศิ าสตรข์ องประเทศไทย
ท่ีมา : ประกาศส้านกั นายกรัฐมนตรี เร่อื งเส้นฐานตรงและนา่ นนา้ ภายในของประเทศไทยบรเิ วณที่ส่ี๕

๕ ดัดแปลงเป็นภำพสี ดูต้นฉบับไดจ้ ำกรำชกจิ จำนุเบกษำ เลม่ ท่ี ๑๐๙ ตอนท่ี ๘๙ ลงวันท่ี ๑๙ สิงหำคม ๒๕๓๕

หนา้ | 16 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา

๒) ทะเลอาณาเขต พระบรมรำชโองกำรกำหนดควำมกวำ้ งของทะเลอำณำเขต
ของประเทศไทยประกำศเมอื่ วันท่ี ๖ ตุลำคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ประกำศน้ีกำหนดควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขต
ของประเทศไทย ขยำยออกไป ๑๒ ไมล์จำกเส้นฐำนที่ใช้วัดควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขตและอำนำจ
อธิปไตยของประเทศไทยขยำยออกไปจนสดุ ขอบนอกของทะเลอำณำเขต

๓) เขตต่อเนื่อง พระบรมรำชโองกำรกำหนดควำมกว้ำงของเขตต่อเน่ือง
ถดั ออกไปจำกทะเลอำณำเขต โดยมีควำมกวำ้ ง ๒๔ ไมลท์ ะเลนบั จำกเสน้ ฐำน เม่ือวนั ที่ ๑๔ สิงหำคม ๒๕๓๘

๔) ไหล่ทวีป พระบรมรำชโองกำรประกำศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย

ด้ำนอ่ำวไทยประกำศ เมื่อวันท่ี ๑๘ พฤษภำคม ๒๕๑๖ เส้นท่ีประกำศนี้ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อน
กับประเทศกัมพูชำ เวียดนำมและมำเลเซีย ซึ่งต่อมำได้มีควำมตกลงแบ่งเขตไหล่ ทวีปกับเวียดนำม
และควำมตกลงจัดตั้งพื้นที่พัฒนำร่วมไทย - มำเลเซยี ในพ้ืนที่อ้ำงสิทธิทับซ้อนระหว่ำงไทยกับมำเลเซีย
สำหรบั กัมพชู ำนนั้ ได้มกี ำรจดั ทำบนั ทกึ ควำมเขำ้ ใจไทย - กัมพชู ำ วำ่ ด้วยพืน้ ทอ่ี ้ำงสทิ ธทิ ับซอ้ นทำงทะเล
ในไหล่ทวีป ซ่ึงต่อไปเรียกว่ำ “MOU 2544” ซ่ึงจะเป็นกำรเจรจำแบ่งเขตทำงทะเลในพื้นท่ีตอนบน
และจัดตง้ั เขตพฒั นำรว่ มในพน้ื ที่ตอนลำ่ ง ซ่งึ จะไดก้ ล่ำวในขอ้ ต่อไป

ภาพท่ี ๑๐ การประกาศไหล่ทวีปของประเทศไทย ดา้ นอ่าวไทย
ที่มา : พระบรมราชโองการประกาศกา้ หนดไหล่ทวปี ของประเทศไทยด้านอา่ วไทย
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๙๐ ตอนที่ ๖๐ ลงวนั ท่ี ๑ มิถนุ ายน ๒๕๑๖

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หน้า | 17

ภาพที่ ๑๑ การประกาศไหลท่ วปี ของประเทศกมั พชู า
https://www.un.org/Depts/los/LEGISLATIONANDTREATIES/PDFFILES/KHM_1982_Decree.pdf๖

๖Decree of the Council of State of the People’s Republic of Kumpuchea on 13 July 1982 ดไู ด้ที่
https://www.un.org/Depts/los/LEGISLATIONANDTREATIES/PDFFILES/KHM_1982_Decree.pdf

หนา้ | 18 คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา

ภาพที่ ๑๒ การประกาศไหลท่ วีปของประเทศมาเลเซยี
ทมี่ า : https://www.researchgate.net/figure/West-Malaysias-EEZ-and-CS-Adapted-

from-Haller-Trost-1998_fig1_237373426

๕) เขตเศรษฐกิจจ้าเพาะ พระบรมรำชโองกำรประกำศเขตเศรษฐกิจจำเพำะ
ของประเทศไทย คร้ังท่ี ๑ เมื่อวันท่ี ๒๓ กุมภำพันธ์ ๒๕๒๔ จำกประกำศจะเห็นว่ำเป็นกำรกำหนด
โดยหลกั กำรตำมบทบัญญัตขิ องอนสุ ญั ญำว่ำเขตเศรษฐกจิ จำเพำะจะมีควำมกวำ้ งไม่เกิน ๒๐๐ ไมลท์ ะเล
นับจำกเสน้ ฐำนที่ใช้วดั ควำมกว้ำงของทะเลอำณำเขตประเทศไทยก็ประกำศเต็มที่ตำมหลกั กำรดังกลำ่ ว
โดยมิได้กำหนดค่ำพิกัดของส่วนท่ีอยู่ตรงข้ำมหรือประชิดกับประเทศเพ่ือนบ้ำน เหตุผลเร่ืองนี้
น่ำจะเป็นเร่ืองเก่ียวกับท่ำทีทำงกฎหมำยในกำรเจรจำเร่ืองเขตทับซ้อนท่ีจะต้องมีกำรเจรจำกันต่อไป
ในอนำคต เวยี ดนำม และกมั พชู ำ ก็ประกำศในลักษณะนี้ก่อนหนำ้ แลว้

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หน้า | 19

ภาพที่ ๑๓ เขตทางทะเลของไทย
ที่มา : http://mkh.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=47:2010-

03-22-17-58-25&catid=8&lang=th&Itemid=153

ประเทศไทยได้มีกำรประกำศเขตเศรษฐกิจจำเพำะครั้งท่ี ๒ คือ ประกำศเขตเศรษฐกิจจำเพำะ
ของรำชอำณำจักรไทยด้ำนอ่ำวไทยที่ประชิดกับเขตเศรษฐกิจจำเพำะของมำเลเซีย ประกำศเม่ือ วันที่
๑๖ กุมภำพันธ์ ๒๕๓๑ เหตุผลของกำรประกำศ คือ เพ่ือสนับสนุนท่ำทีทำงกฎหมำยของฝ่ำยไทย
ในกำรเจรจำประมงกับมำเลเซีย กำรประกำศเขตเศรษฐกิจจำเพำะครั้งท่ี ๓ ซึ่งเป็นกำรประกำศครั้งสุดท้ำย
คือ ประกำศเขตเศรษฐกิจจำเพำะของประเทศไทยด้ำนทะเลอันดำมันซ่ึงประกำศเมื่อวันท่ี ๑๘ กรกฎำคม
๒๕๓๑ กำรประกำศนี้ คือกำรยืนยันเขตแดนทำงทะเลระหว่ำงประเทศไทยกับพมำ่ อินเดีย อินโดนเี ซีย
และมำเลเซยี ซึ่งได้ทำควำมตกลงกันแล้ว ตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๑๒ – ๒๕๒๖

หนา้ | 20 คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา

ภาพท่ี ๑๔ ประกาศเขตทางทะเลของไทยและประเทศเพือ่ นบ้านท่ไี ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ พนื ท่ีอา้ งสทิ ธิทับซอ้ น
ท่ีมา : Victor Prescolt and clve Schofeld

๒.๑.๑.๓ ความตกลงระหว่างประเทศ
๑) ควำมตกลงจัดตั้งพ้ืนท่ีพัฒนำร่วมไทย - มำเลเซีย ในพื้นที่อ้ำงสิทธิทับซ้อน

ควำมตกลงนี้เรียกกันว่ำ MOU เชียงใหม่ เมอื่ วันท่ี ๒๐ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๒๒ พน้ื ที่พฒั นำรว่ มเป็นพ้ืนทคี่ ำบเกีย่ ว
ระหว่ำงประเทศซึ่งเกิดจำกกำรอ้ำงสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันและตกลงพัฒนำและแสวงประโยชน์ร่วมกัน
เช่นบริเวณท่ีไทยและมำเลเซียอ้ำงสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันในบริเวณอ่ำวไทยตอนล่ำง MTJDA หรือ
MTJA Malaysia - Thailand Joint Development Area ครอบคลุมพื้นท่ี ประมำณ ๗,๒๕๐ ตำรำงกิโลเมตร
โดยอยู่ห่ำงจำกจังหวัดสงขลำประมำณ ๒๖๐ กิโลเมตร ห่ำงจำกจังหวัดปัตตำนี ๑๘๐ กิโลเมตร
และจำกเมืองโกตำบำรู รัฐกลันตัน ประเทศมำเลเซียประมำณ ๑๕๐ กิโลเมตร จำกกำรศึกษำข้อมูล
ดำ้ นธรณวี ิทยำธรณฟี สิ ิกส์ และจำกกำรประเมนิ ผลข้อมูลกำรสำรวจในปัจจุบัน มีควำมเป็นไปได้ทจี่ ะพบ
กำ๊ ซธรรมชำตใิ นพืน้ ท่พี ฒั นำรว่ มสงู ถึง ๑๐ ลำ้ นล้ำนลกู บำศกฟ์ ุต (ขอ้ มลู จำกกรมเช้อื เพลิงธรรมชำติ)

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | 21

ภาพที่ ๑๕ พืนท่ีพฒั นารว่ มระหว่างไทยกับมาเลเซยี
ท่มี า : กองยทุ ธศาสตร์และแผนงาน กรมศลุ กากร
http://planinter.customs.go.th/cont_strc_simple.php?lang=th&top_menu=&curren

t_id=14232832404e505e4e

๒) บันทึกควำมเข้ำใจไทย - กัมพูชำ ว่ำดว้ ยพื้นท่ีอ้ำงสิทธิทับซ้อนทำงทะเลในไหล่ทวีป
ซงึ่ ต่อไปเรียกวำ่ “MOU ๒๕๔๔” เปน็ บันทกึ ควำมเข้ำใจที่กำหนดกรอบและกลไกในกำรเจรจำเพอื่ หำขอ้ สรปุ
เร่อื งกำรปักปนั เขตแดน (delimitation) ทำงทะเลในพ้ืนท่อี ำ้ งสทิ ธทิ บั ซ้อนส่วนบนทอี่ ยเู่ หนอื เส้นละติจดู
๑๑ องศำเหนือ โดยมีพื้นที่ประมำณ ๑๐,๐๐๐ ตร.กม. ซ่ึงต่อไปเรียกพื้นท่ีส่วนนี้ว่ำ “พ้ืนที่ทับซ้อน
ส่วนบน” และเร่ืองกำรพัฒนำร่วมทรัพยำกรปิโตรเลียมสำหรับพื้นที่อ้ำงสิทธิทับซ้อนส่วนล่ำงที่อยู่ใต้
เส้นละติจูด ๑๑ องศำเหนือ ในลักษณะพื้นท่ีพัฒนำร่วม (Joint Development Area: JDA) โดยมีพื้นท่ี
ประมำณ ๑๖,๐๐๐ ตร.กม. ซึ่งต่อไปเรียกพื้นท่ีส่วนน้ีว่ำ “พ้ืนท่ีทับซ้อนส่วนล่ำง” โดยต้องดำเนินกำร
ทั้งสองเรื่องในลักษณะท่ีไม่แบ่งแยกออกจำกกัน (indivisible package) และให้มีคณะกรรมกำรร่วม
ด้ำนเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ดำเนินกำรพิจำรณำและเจรจำร่วมกันในเรื่องน้ี
ทั้งน้ีได้ตกลงกันว่ำ MOU ปี ๒๕๔๔ และกำรดำเนินกำรท้ังหมดตำม MOU ปี ๒๕๔๔ จะไม่กระทบ
ต่อกำรอ้ำงสิทธิทำงทะเลของแต่ละฝ่ำย ไทยและกัมพูชำได้มีกำรเจรจำและดำเนินกำรตำม MOU
ปี ๒๕๔๔ แม้คณะรฐั มนตรีในสมัยรฐั บำล นำยอภสิ ทิ ธ์ิ เวชชำชีวะ ไดม้ ีมติเห็นชอบในหลกั กำรให้ยกเลิก
MOU ปี ๒๕๔๔ และให้นำเรื่องเสนอต่อรัฐสภำเพื่อขอควำมเห็นชอบโดยให้กระทรวงกำรต่ำงประเทศ
พิจำรณำข้อกฎหมำยท่ีเกี่ยวข้องอย่ำงรอบคอบ แต่จนถึงปัจจุบัน MOU ปี ๒๕๔๔ ยังไม่ถูกยกเลิก
อยำ่ งเป็นทำงกำรแต่อยำ่ งใด

หน้า | 22 คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา

ภาพที่ ๑๖ พืนทท่ี บั ซ้อนส่วนบนและพนื ท่ีทับซ้อนสว่ นล่างระหว่างประเทศไทยกบั กัมพูชา
ทีม่ า : กรมเชอื เพลงิ ธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน

๒.๒ กฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การถมทะเลและสิง่ แวดลอ้ มทางทะเล
๒.๒.๑ กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องกบั การถมทะเลและสิ่งแวดล้อมทางทะเล
๒.๒.๑.๑ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ ข้อ ๒๓๗

บัญญัติให้รฐั ยอมรับอนสุ ัญญำและควำมตกลงพิเศษเก่ยี วกับกำรคุ้มครองและรักษำส่ิงแวดลอ้ มทำงทะเล
ท่ีทำไว้ก่อน และข้อตกลงที่อำจทำขึ้นเพ่ือส่งเสริมหลักกำรทั่วไปท่ีระบุไว้ในอนุสัญญำฯ น้ี หมำยถึง
บรรดำกฎหมำยท่อี อกโดยองคก์ ำรทำงทะเลระหวำ่ งประเทศ (International Maritime Organization:
IMO) เช่น MARPOL และ SOLAS เป็นต้น ซ่ึงประเทศไทยได้ออกกฎหมำยอนุวัติกำรเป็นกฎหมำย
ภำยในเป็นส่วนใหญ่แล้ว ซึ่งรวมถึงพระรำชบัญญัติกำรเดินเรือในน่ำนน้ำไทย พระพุทธศักรำช ๒๔๕๖
และพระรำชบัญญตั สิ ง่ เสริมและรักษำคณุ ภำพสง่ิ แวดลอ้ ม พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วย

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หน้า | 23

๒.๒.๑.๒ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖
เป็นกฎหมำยกำหนดหลักเกณฑ์เพ่ือควำมปลอดภัยในกำรเดินเรือ กำรเดินเรือ กำรจอดเรือ กำรล่วงลำน้ำ
กำรเทท้ิง กำรขนส่งสินค้ำอันตรำย และกำรสำธำรณสุข รวมทงั้ อนุรักษ์ส่ิงแวดลอ้ มทำงทะเล และกำรถมทะเล
ในเขตนำ่ นนำ้ ไทย ซ่ึงมีบำงมำตรำบังคับใช้ในเขตตอ่ เนือ่ งด้วย ในสว่ นของกำรถมทะเลถอื เปน็ กำรลว่ งลำ้
ลำน้ำประเภทหน่ึง ในมำตรำ ๑๑๗ ห้ำมมิให้ผู้ใดปลูกสร้ำงอำคำรหรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้ำไปเหนือน้ำ
ในน้ำ และใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่ำงเก็บน้ำ ทะเลสำบ อันเป็นทำงสัญจรของประชำชน
หรือที่ประชำชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภำยในน่ำนน้ำไทยหรือบนชำยหำดของทะเลดังกล่ำว

เว้นแต่ จะได้รับอนุญำตจำกกรมเจ้ำท่ำ แนวทำงกำรดำเนินงำนตำมพระรำชบัญญัติกำรเดินเรือ
ในน่ำนน้ำไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ.๒๕๖๐ จะไม่มีกำรกำหนดรูปแบบของส่ิงล่วงล้ำลำน้ำไว้ แต่จะไประบุไว้
ในกฎกระทรวงฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตำมควำมในพระรำชบัญญัติกำรเดินเรือในน่ำนน้ำไทย
พระพุทธศักรำช ๒๔๕๖ และประกำศกรมเจ้ำท่ำ ท่ี ๒๕๑/๒๕๔๑ ว่ำส่ิงล่วงล้ำลำน้ำประเภทใด
สำมำรถทจี่ ะอนุญำตได้ใน ๙ ประเภท ไดแ้ ก่

๑. ทำ่ เทยี บเรือ ตอ้ งมีช่องโปรง่ ระหวำ่ งเสำไมน่ ้อยกวำ่ ๓ เมตร
๒. สะพำนปรบั ระดับและโปะ๊ เทยี บเรอื
๓. สะพำนขำ้ มแม่น้ำหรือสะพำนขำ้ มคลอง
๔. ท่อหรอื สำยเคเบลิ
๕. เขือ่ นกนั นำ้ เซำะ
๖. คำนเรือ
๗. โรงสูบนำ้

๘. กระชงั เลย้ี งสตั ว์นำ้
๙. ปะกำรงั เทียม ซ่งึ จะอนญุ ำตให้เฉพำะหนว่ ยงำนของรฐั เทำ่ น้นั
๒.๒.๑.๓ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๓๕
เป็นกฎหมำยท่ีเก่ียวกับกำรส่งเสริมและรักษำคุณภำพสิ่งแวดล้อมแห่งชำติที่มีอยู่เดิมและแก้ไขเพ่ิมเติม
รองรับบทบญั ญัติมำตรำ ๕๘ ของรฐั ธรรมนญู แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดมำตรกำร
ควบคุม และแก้ไขปัญหำสิ่งแวดล้อม เพ่ือประโยชน์ต่อกำรดำรงชีพของประชำชน และควำมสมบูรณ์
สบื ไปของมนุษยชำติและให้ตอ้ งมีกำรจดั ทำรำยงำนกำรวิเครำะห์ผลกระทบสงิ่ แวดล้อม สำหรบั โครงกำร
ห รื อ กิ จ ก ำ ร ที่ อ ำ จ ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ ชุ ม ช น อ ย่ ำ ง รุ น แ ร ง ทั้ ง ท ำ ง ด้ ำ น คุ ณ ภ ำ พ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม
ทรัพยำกรธรรมชำติและสุขภำพ ให้เป็นตำมที่กำหนดในประกำศกระทรวง โดยต้องดำเนินกำรศึกษำ
และประเมินผลกระทบตอ่ คุณภำพส่งิ แวดล้อมและสุขภำพของประชำชนหรอื ชุมชน และจัดให้มกี ำรรับฟัง
ควำมคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชำชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อนำมำประกอบกำร
พิจำรณำดำเนินกำรหรืออนุญำตตำมกฎหมำย ซึ่งเป็นไปตำมประกำศกระทรวงทรัพยำกรธรรมชำติ

และสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงกำร กิจกำร หรือกำรดำเนินกำร ซึ่งต้องจัดทำรำยงำนกำรประเมิน
ผลกระทบส่ิงแวดล้อม และหลกั เกณฑ์ วิธีกำร และเงื่อนไขในกำรจัดทำรำยงำนกำรประเมินผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม เม่ือวันท่ี ๑๙ พฤศจิกำยน พ.ศ.๒๕๖๑ และประกำศกระทรวงทรัพยำกรธรรมชำติ
และส่งิ แวดลอ้ ม เรือ่ ง กำหนดโครงกำร กิจกำร หรอื กำรดำเนินกำร ซ่ึงต้องจดั ทำรำยงำนกำรประเมินผล

หน้า | 24 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา

กระทบส่ิงแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีกำร และเงื่อนไขในกำรจัดทำรำยงำนกำรประเมินผลกระทบ
สิ่งแวดล้อม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เมือ่ วันที่ ๒๘ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๕๖๒

๒.๒.๒ กฎหมายอ่ืนที่เกยี่ วข้อง
๒.๒.๒.๑ พระราชบญั ญตั ิการทา่ เรือแหง่ ประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๔
พระรำชบัญญัติน้ีกำหนดแนวทำงกำรบริหำรงำน ภำยในกำรท่ำเรือแห่งประเทศไทย

และกิจกำรท่ีเกยี่ วขอ้ งกับกำรพำณิชยนำวี โดยมีขอบเขตกำรใช้ บังคับกับท่ำเรือของรัฐทีร่ ัฐเป็นเจ้ำของ
และผู้บริหำรเอง เช่น ท่ำเรือกรุงเทพ และท่ำเรือของรัฐ ท่ีรัฐให้เอกชนดำเนินกำร เช่น ท่ำเรือน้ำลึกสงขลำ

ท่ำเรือพำณิชย์แหลมฉบัง ทำ่ เรือเชียงแสน ท่ำเรือเชียงของ และท่ำเรือระนอง ซึ่งเปน็ ทำ่ เรอื ท่อี ย่ภู ำยใต้
บังคับกำรกำกับดูแลของ กำรท่ำเรือแห่งประเทศไทยท้ังสิ้น แต่ในส่วนของท่ำเรือเอกชน ไม่ว่ำจะเป็น
ท่ำเรือของเอกชนที่ให้บริกำรแก่ตนเอง หรือท่ำเรือของเอกชนที่เป็นท่ำเทียบเรือสำธำรณะท่ีให้บริกำร
แก่บคุ คลอน่ื จะอยภู่ ำยใต้บังคบั ของประกำศคณะปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ ๕๘ ท้ังส้นิ ยกเวน้ ทำ่ เรือท่มี กี ฎหมำยเฉพำะ
ในกำรดำเนนิ งำนภำยในเป็นของตนเอง

นอกจำกนั้น กำรประกำศใช้พระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพำณิชยนำวี พ.ศ. ๒๕๒๑
ท่ีมีสำระสำคัญเก่ียวกับกำรกำกับดูแลกิจกำรท่ำเรือ กิจกำรอู่เรือ ซ่ึงพระรำชบัญญัติฉบับนี้ได้บัญญัติ
ให้ผู้ประกอบกิจกำรท่ำเรือ ผู้ประกอบกำรกิจกำรอู่เรือต้องจดทะเบียนต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำท่ีด้วย ซ่ึงต่อมำ
พระรำชบัญญัติฉบับนี้ได้มีกำรแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติโดยพระรำชบัญญัติส่งเสริมกำรพำณิชยนำวี
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ ในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับกำรจดทะเบียนของผู้ประกอบกิจกำรท่ำเรือและกิจกำร
อู่เรือ ส่วนท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุด ซึ่งอยู่ภำยใต้กำรกำกับดูแลของกำรนิคมอุตสำหกรรม
แหง่ ประเทศไทย (กนอ.) ซึง่ มีฐำนะเป็นรัฐสำหกิจ โดย กนอ. เปน็ เจ้ำของท่ำเรือมำบตำพุดมีสำนักงำนท่ำเรือ

อตุ สำหกรรมมำบตำพุดเป็นผู้บรหิ ำรและจัดกำรทำ่ เรอื ซงึ่ ปัจจุบันกำรดำเนินกิจกำรหรือกำรประกอบกิจกำร
ภำยในท่ำเรืออุตสำหกรรมมำบตำพุดนั้น กนอ. ได้ดำเนินงำนภำยใต้พระรำชบัญญัติกำรนิคมอุตสำหกรรม
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมถึง ประกำศ ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั กำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย

๒.๒.๒.๒ พระราชบัญญัตโิ รงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕
กำรควบคุมมลพิษจำกแหล่งกำเนิด คือ โรงงำนอุตสำหกรรมปิโตรเคมี โดยหำก
โรงงำนอุตสำหกรรมปิโตรเคมใี ดตง้ั อยู่ในพื้นทข่ี องกำรนคิ มอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย ยอ่ มอยู่ภำยใต้
กำรกำกับ ดูแลของกำรนคิ มอตุ สำหกรรมประเทศไทย เชน่ เดียวกบั โรงงำนอุตสำหกรรมปโิ ตรเคมี ดังนนั้
กำรต้ังโรงงำนอุตสำหกรรมปิโตรเคมีในนิคมอุตสำหกรรมมำบตำพุดย่อมเป็นไปตำมหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขต่ำง ๆ ตำมพระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ.๒๕๓๕ เว้นแต่กำรกระทำใด ๆ ท่อี ยู่ในอำนำจของ
ผู้ว่ำกำรกำรนิคมอุตสำหกรรมแห่งประเทศไทยตำมบทบัญญัติ มำตรำ ๙ แห่งพระรำชบัญญัติกำรนิคม
อุตสำหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วยเหตุนี้ป้องกันมลพิษทำงทะเลที่เกิดจำก
อุตสำหกรรมปิโตรเคมี กำรห้ำมมิให้ปล่อยสำรพิษต่ำง ๆ ลงในทะเล หรือกำรกำหนดค่ำมำตรฐำน

คุณภำพน้ำ ย่อมต้องพิจำรณำบทบัญญัติต่ำง ๆ ในพระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้อำนำจ
แก่รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงอุตสำหกรรมในกำรออกกฎกระทรวง เพื่อกำหนดมำตรฐำนและวิธีกำร
ควบคุมกำรปล่อยของเสีย มลพิษ หรือส่ิงใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ท้ังน้ีหำกโรงงำน
อุตสำหกรรมปิโตรเคมีใดประกอบกิจกำรในพื้นท่ีนิคมอุตสำหกรรมมำบตำพุด ประกอบกิจกำรขัดต่อ
บทบัญญัติของกฎหมำย เช่น ไม่มีกำรบำบัดของเสียก่อนท้ิงจนเกิดผลกระทบต่อสภำพแวดล้อม

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | 25

ตำมบทบัญญัติมำตรำ ๓๙ แห่งพระรำชบัญญัติโรงงำน พ.ศ.๒๕๓๕๗ ให้อำนำจปลัดกระทรวง
อตุ สำหกรรมส่งั ใหห้ ยดุ ประกอบกิจกำรโรงงำนทั้งหมดหรอื เพยี งบำงส่วนจนกวำ่ จะมีกำรแก้ไข ปรับปรุง
หรือปฏิบัติให้ถูกต้อง จำกกรณีผลกำรศึกษำโครงกำรก่อสร้ำงท่ำเรือมำบตำพุด ระยะที่ ๓ จึงว่ำ
มกี ำรศึกษำมำตรกำรทำงกฎหมำยเกยี่ วกบั กำรกำจัดมลภำวะจำกสำรพิษต่ำง ๆ กำรกำหนดคำ่ มำตรฐำน
รวมถึงกำรกำหนดแนวทำงกำรปฏิบัติ กำกับดูแล ตลอดจนสภำพบังคับหำกมีกำรฝ่ำฝืนไว้อย่ำงชัดเจน
ซงึ่ คำดว่ำจะควบคมุ และลดมลพิษทำงทะเลทีเ่ กดิ จำกโรงงำนอุตสำหกรรมภำยใต้โครงกำรพัฒนำทำ่ เรือ
อตุ สำหกรรมมำบตำพุด ระยะที่ ๓

๒.๓ กรณีศึกษาและงานวิชาการที่เก่ียวข้องกับการถมทะเลของประเทศต่าง ๆ และกรณีที่มีการ
เปลี่ยนแปลงเสน้ เขตทางทะเล และสิง่ แวดล้อมทางทะเล

๒.๓.๑ กรณีการขยายท่าเรือมาร์ทลักทู (Massvlakte 2) และสร้างหาดทราย
Zandmotor (“Sand Engine”)๘

ในกำรขยำยท่ำเรือมำร์ทลักทู (Massvlakte 2) ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินกำรขยำย
ท่ำเรือ Rotterdam ด้ำนตะวันตกออกไปในทะเลเหนือ (North Sea) อีก โดยเช่ือมต่อกับท่ำเรือ
มำร์ทลักวัน(Massvlakte 1) ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งท่ำเรือ Rotterdam ท่ีมีกำรถมทะเลอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่
ปี ค.ศ. ๑๙๗๓ โดยไดน้ ำทรำยจำกพ้ืนทอ้ งทะเลมำถมเป็นเกำะซ่ึงมีพื้นท่ีประมำณ ๒๐ ตำรำงกิโลเมตร
และออกมำจำกชำยฝ่ังประมำณ ๕ กโิ ลเมตร๙ และสรำ้ งหำดทรำย Zandmotor ซึ่งเป็นโครงกำรนำร่อง
ในกำรรักษำแนวชำยของประเทศ เพ่ือป้องกันน้ำท่วม คล่ืน และพำยุ รวมทั้งเป็นสถำนท่ีพักผ่อน
ซ่ึงตั้งอยู่เหนือท่ำเรือมำร์ทลักทูเล็กน้อย โดยกำรนำทรำยมำถม และอำศัยกระบวนกำรตำมธรรมชำติ
ของคล่ืน ลม และกระแสน้ำช่วยพัดพำทรำยไปเสริมตลอดแนวชำยฝ่ังจนเกิดชำยหำดของประเทศ
เนเธอร์แลนด์ ซ่ึงทั้งสองโครงกำรดังกล่ำว ทำให้เส้นฐำน (Baseline) ตำมแนวชำยฝ่ังเปลี่ยนแปลงไป
รวมทั้งจะมีกำรแสดงกำรแปลงเปลี่ยนเส้นฐำนน้ันลงในแผนที่เดินเรือ (Nautical Chart) และเมื่อ
เส้นแนวน้ำลด ๐ เมตร ปรำกฏในแผนที่เดินเรือจะมีผลักให้แนวชำยฝ่ังย่ืนออกไปในทะเล โดยเฉพำะ

๗ มำตรำ ๓๙ ในกรณีทผ่ี ู้ประกอบกิจกำรโรงงำนใดจงใจไม่ปฏิบตั ติ ำมคำสั่งของ พนักงำนเจำ้ หน้ำทต่ี ำมมำตรำ ๓๗ โดยไม่มเี หตอุ ันควรหรือในกรณที ี่
ปรำกฏว่ำกำรประกอบกจิ กำร ของโรงงำนใดอำจจะก่อใหเ้ กดิ อันตรำย ควำมเสยี หำยหรือควำมเดือดรอ้ น อย่ำงร้ำยแรงแก่บุคคลหรอื ทรัพยส์ นิ ทอ่ี ยู่
ในโรงงำนหรือท่ีอยใู่ กลเ้ คยี งกับโรงงำนใหป้ ลัดกระทรวงหรอื ผู้ซง่ึ ปลดั กระทรวง มอบหมำยมอี ำนำจส่ังให้ผู้ประกอบกจิ กำรโรงงำนน้ันหยุดประกอบ
กิจกำรโรงงำนทั้งหมดหรือบำงส่วน เป็นกำรช่ัวครำว และปรับปรุงแก้ไขโรงงำนน้ันเสียใหม่หรือปฏิบัติให้ถูกต้องภำยในระยะเวลำที่กำหนด ถ้ำผู้
ประกอบกิจกำรโรงงำนได้ปรับปรุงแก้ไขโรงงำนหรือปฏิบัติให้ถูกต้องภำยใน ระยะเวลำที่กำหนดแล้ว ให้ปลัดกระทรวงหรือผู้ซ่ึงปลัดกระทรวง
มอบหมำยสั่งให้ประกอบกิจกำร โรงงำนต่อไปได้ ถ้ำผู้ประกอบกิจกำรโรงงำนไม่ปรับปรุงแก้ไขโรงงำนหรือ ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ภำยใน เวลำท่ี
กำหนด ให้ปลัดกระทรวงหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมำยมีอำนำจส่ังปิดโรงงำนได้ และในกรณีที่เป็นโรงงำนจำพวกท่ี ๓ ให้คำส่ังปิดโรงงำน
ดงั กล่ำวมผี ลเป็นกำรเพกิ ถอนใบอนญุ ำตดว้ ย
๘ RECENT CHANGES IN THE DUTCH BASELINE: THE INSEPARABLE CONNECTION OF HUMAN ACTIVITIES AND NATURAL
PROCESSES,
Leendert Dorst Hydrographic Service of the Royal Netherlands Navy [email protected] Alex Oude Elferink Netherlands
Institute for the Law of the Sea of Utrecht University [email protected] Thijs Ligteringen Hydrographic Service of the
Royal Netherlands Navy [email protected] (In the framework of UNCLOS, the impact of these two projects on the
baseline is, in the first place, determined by Article ๕ (“Normal baseline”)
๙Maritime limits and boundaries ดไู ดท้ ่ี https://english.defensie.nl/topics/hydrography/maritime-limits-and-boundaries. The
baseline and the zones change when a new 0-metre depth line appears in the nautical charts. For example, the
construction of Maasvlakte 2 pushed the Dutch coastline westward. Consequently, the Netherlands gained 55 square
kilometres of territorial sea.

หนา้ | 26 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา

กรณีของท่ำเรือมำร์ทลักทู (Massvlakte 2) จะมีพ้ืนที่ในทะเลอำณำเขตเพิ่มขึ้น ๕๕ ตำรำงกิโลเมตร
ซ่ึงนอกจำกจะส่งผลกระทบต่ออำณำเขตทำงทะเลของประเทศเนเธอร์แล นด์ทุกเขตแล้วยังส่งผลต่อ
กำรเส้นแบ่งเขตทำงทะเลของประเทศโดยรอบ อำทิ สหรำชอำณำจักร เยอรมนี เบลเยียม อย่ำงไรก็ดี
ทำงเนเธอร์แลนด์ได้ทำกำรศึกษำผลกระทบกรณีเส้นแบ่งแดนโดยพบว่ำโครงกำรมำร์ทลักทูจะไม่ส่งผล
ต่อเขตแดนทำงทะเลต่อประเทศใกล้เคียง เน่ืองจำกประเทศเหล่ำนี้ได้ทำสนธิสัญญำระหว่ำงกัน
โดยกำหนดให้กำรแบ่งเส้นเขตแดนจะยึดเอำเส้น Fixed line ซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงตำมกำรถมทะเล
ที่เกิดขึ้นในภำยหลัง ตามภาพที่ ๑๗ ซึ่งทำให้กรณีของกำรขยำยท่ำเรือ มำร์ทลักทูจึงไม่เกิด

กำรร้องเรียนในเร่ืองเส้นเขตแดนทำงทะเลของประเทศโดยรอบ สำหรับกำรเปลี่ยนแปลงของเส้นฐำน
บริเวณ Zandmotor ไม่ไดร้ บั ผลกระทบในเร่ืองอำณำเขตทำงทะเล เน่ืองจำกมขี นำดเลก็ กวำ่

ภาพท่ี ๑๗ เขตเศรษฐกิจจา้ เพาะของสหราชอาณาจกั รและเขตทางทะเลของประเทศใกลเ้ คียง
ท่มี า : http://www.defensie.nl/english/navy/hydrographic_service

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา หน้า | 27

๒.๓.๒ กรณี สิงคโปรก์ บั มาเลเซยี
กรณีกำรถมทะเลของสิงคโปร์ สิงคโปร์น้ันเป็นประเทศที่มีกำรขยำยพื้นท่ีออกไป

ทำงทะเลมำอย่ำงต่อเน่ือง หำกนับต้ังแต่ปี ๑๙๗๓ สิงคโปร์มีพ้ืนที่เพ่ิมขึ้นมำถึง ๕๑.๕ ตำรำงกิโลเมตร
หรือประมำณร้อยละ ๙ ของพ้ืนท่ีดั้งเดิมของประเทศ ตามภาพที่ ๑๘ กำรถมทะเลของสิงคโปร์น้ัน
ก็ส่งผลต่อเส้นทำงกำรเดินเรือขนสินค้ำที่เข้ำมำใช้บริกำรท่ำเรือของมำเลเ ซียในช่องแคบยะโฮร์
และมำเลเซียยังได้รับผลจำกทิศกระแสนำ้ ที่เปลีย่ นทำใหเ้ กดิ กำรกัดเซำะชำยฝ่งั ต่อมำในปี ค.ศ. ๒๐๐๓
สิงคโปร์ได้ทำกำรถมทะเลบริเวณช่องแคบยะโฮร์ ตามภาพที่ ๑๙ มำเลเซียได้ทำกำรฟ้องไปยัง

ศำลกฎหมำยทะเลระหว่ำงประเทศ (Internal Tribunal for the law of the sea) และมีกำรตกลง
ประนีประนอมจัดทำควำมตกลง โดยศำลได้พิพำกษำตำมยอมให้ Singapore ต้องจ่ำยค่ำใช้จ่ำย
ในกำรสร้ำงกำแพงกันคลื่นป้องกันกำรกัดเซำะ (Scour Protection) เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ เหรียญสิงคโปร์
และค่ำชดเชยให้แก่ชำวประมงมำเลเซียเป็นเงิน ๓๔๗,๔๐๐ รงิ กิต รวมท้ังเปล่ียนโครงสร้ำงแนวชำยฝั่ง
ในกำรถมทะเลให้มคี วำมโคง้ มนให้มีองค์กรรว่ มดูแลเรอื่ งส่ิงแวดลอ้ ม อกี ทงั้ ต้องรับผดิ ชอบค่ำบำรุงรักษำ
ควำมลึกของระดบั น้ำตลอดแนวกำรถมทะเล รายละเอยี ดตามผนวก ง

ภาพที่ ๑๘ การถมทะเลขยายพนื ท่ีของประเทศสงิ คโปร์
ท่มี า : https://sandcrisis.weebly.com/international-security-threats.html

หน้า | 28 คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒิสภา

ภาพท่ี ๑๙ การถมทะเลของประเทศสงิ คโปรช์ อ่ งแคบยะโฮรต์ ามคา้ ฟอ้ งของมาเลเซีย
ทีม่ า : https://www.pinterest.com/pin/81909286948823243/

๒.๓.๓ การถมทะเลเพอื่ สร้างพ้ืนทขี่ องสาธารณรัฐประชาชนจนี
สาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าไปถมทะเลสร้างเกาะทับปะการัง รวมทังยังได้กออสร้าง

ฐานทัพทางทหารขึนบนเกาะบางแหองที่สร้างขึนด้วย ซึ่งนักวิชาการบางทอานถือเป็น “กิจกรรมท่ีละเมิด
ปฏิญญาวอาด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ พ.ศ. 2545 ระหวอางอาเซียนและจีนอยอางร้ายแรง
กิจกรรมเหลอานีทาให้สภาพแวดล้อมทางทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลของภูมิภาค
เสียหายจนไมออาจแก้ไขได้ ฟิลิปปินส์ได้ขอให้สาธารณรัฐประชาชนจีน ใสอใจข้อเรียกร้องของภูมิภาค
และประชาคมโลกที่ต้องการให้สาธารณรัฐประชาชนจีนยุติกิจกรรมท่ีกาลังดาเนินอยูอและปฏิบัติ
ตามความในขอ้ 5 ของปฏิญญาดงั กลอาว”๑๐

๑๐ ผมู้ ีสว่ นไดเ้ สยี ในทะเลจีนใต้ หาทางแกไ้ ขการถมทะเลของจีนเพ่อื สรา้ งพืน้ ท่ีและความลม้ เหลวในการอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทาง
ชีวภาพ

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หน้า | 29

ในวันท่ี 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2016 ศาลอนุญาโตตุลาการระหวอางประเทศได้มีคาชีขาด
ในคดีพิพาทระหวอางประเทศฟิลิปปินส์และสาธารณรัฐประชาชนจีน ในคดีทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นคาชีขาด
ประกอบไปด้วยประเด็นท่ีวอา คากลอาวอ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ของจีนขัดตอออนุสัญญาสหประชาชาติ
วาอ ด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ซึ่งจนี ไดร้ อวมลงนามไว้ และประเด็นในทางสงิ่ แวดลอ้ ม ซึง่ คาตดั สินของศาล
อนุญาโตตุลาการถาวรดังกลอาว กลอาวไวอ้ ยอางชัดเจนถึงพันธกรณีในการป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ทางทะเล พันธกรณีในการประเมินผลกระทบทางส่ิงแวดล้อมและพันธกรณีในการใช้ความระมัดระวัง
ตามสมควร๑๑ นอกจากนียังกระทบในประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ จากการที่เรือขุดของจีน
ได้ขุดทรายในหมอูเกาะสแปรตลีเพิ่มขึนอีก 2,000 เอเคอร์ (800 เฮกตาร์ หรือ 8 ตารางกิโลเ มตร)
นับตังแตอปลายปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา โดยตัวอออนปะการังและปลาจะชอวยขยายพันธ์ุแนวปะการัง
ตามชายหาดท่ีถูกคุกคามได้ และบริเวณนีเป็นท่ีอยอูของสัตว์ทะเลท่ีใกล้จะสูญพันธ์ุ นานาชนิด
เชอน หอยมือเสือ พะยูนและเตอาสายพันธ์ุตอาง ๆ รวมทังแนวปะการัง ปะการังนาตืนก็ถูกขุดลอก
เพ่ือนามาสรา้ งเกาะเทียมในบริเวณใกล้เคียงดว้ ย

๒.๓.๔ การถมทะเลของประเทศมาเลเซีย๑๒(เป็นการสร้างในทะเลอาณาเขตของท่ีมี
ความตกลงกนั แลว้ เชอน ยะโฮร์ ปนี งั ไมอมีกรณเี ขตแดน) โดยโครงการเกาะใหมอจุดแรกอยอูทีย่ ะโฮร์ ตอนใต้
สุดของประเทศตรงชอองแคบที่ตออเช่ือมกับสิงคโปร์พอดี มีชื่อวอา โครงการ Forest City นอกจากนียังมี
โครงการโครงการถมทะเลเพอ่ื สร้างเกาะเทียม 3 เกาะนอกชายฝง่ั ตอนใตข้ องเมอื งจอรจ์ ทาวนใ์ นรฐั ปนี ัง
ในรูปแบบท่ีคล้ายคลงึ กบั โครงการเกาะปาล์ม Palm Island

https://ipdefenseforum.com/th/2016/06/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0
%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A
7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1/

๑๑กฤษฎากร วอ่ งวฒุ ิกลุ , วเิ คราะหค์ าตดั สนิ ของศาลอนญุ าโตตลุ าการในคดีพพิ าททะเลจีนใตร้ ะหวา่ งฟิลิปปินสแ์ ละจีนผา่ นมมุ มองดา้ น

กฎหมายส่งิ แวดลอ้ มระหวา่ งประเทศ วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ปีที่ 47 ฉบบั ที่ 1 (2561) ดไู ดท้ ี่

http://www.aviation.go.th/airtrans/airlaw/LawOfTheSeaT.html

๑๒ มาเลเซยี ยกเลกิ โครงการถมทะเล Melaka... - Reporter Journey ...

https://www.facebook.com/reporterjourney/posts/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B
9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%
E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8
%96%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5-melaka-
gateway%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%B
1%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%
B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-
%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B
8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7/16219395079

78368/ และ Nikkei ASEANCanceled $10.5bn Malaysia port project plays down China role

Melaka Gateway faced scrutiny amid rising number of Belt and Road deals,

https://asia.nikkei.com/Business/Transportation/Canceled-10.5bn-Malaysia-port-project-plays-down-China-

role?fbclid=IwAR3V0aSTvfJwhqgaBT16W9Mp3PkdmbPL8XfvE5g7VkYzmQw8qXZZkO8yoBA

หนา้ | 30 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา

๒.๓.๔.๑ ฟอเรสต์ซิตี Weekend Focus: ‘มหาเธร์’ ขวางโปรเจ็กต์แสนล้าน
‘ฟอเรสต์ซิตี’ ลั่นตอางชาติหมดสิทธิ์ซือ - ไมอออกวีซอาให้อยอู ๑๓ฟอเรสต์ซิตี เป็นโครงการพัฒนา
อสังหาริมทรัพย์ขนาดยักษ์โดยบริษัท Country Garden Pacificview (CGPV) ซึ่งเป็นกิจการรอวมทุน
ระหวอางบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Country Garden ของจีนกับบริษัท Esplanade Danga 88 สัญชาติ
มาเลเซียท่ีสุลตอาน อิบราฮิม อิสมาอีล แหองรัฐยะโฮร์ทรงเป็นผู้ถือหุ้นใหญอ โครงการนีจะใช้งบประมาณ
ราว 100,000 ลา้ นดอลลาร์สหรัฐ เนรมิตบ้านพักและอพาร์ตเมนต์หรูขนึ บนเกาะ 4 เกาะ ซึง่ เกิดจาก
การถมทะเล โดยคาดวอาจะสามารถรองรับผอู้ ยอูอาศัยได้ถงึ 700,000 คน เม่ือโครงการแลว้ เสร็จในปี 2035

ด้วยระยะเวลาเดินทางจากสิงคโปร์เพียง 1 ชั่วโมง คาดวอาฟอเรสต์ซิตีจะสามารถดึงดูด ทังนักลงทุน
และพวกเศรษฐีกระเป๋าหนักซึ่งมองหาตัวเลือกราคาถูกกวอา แตอมีส่ิงอานวยความสะดวกครบครัน
ทังสนามบิน ทอาเรือ ศูนย์การค้า โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล หรือแม้กระท่ังศูนย์พักพิงผู้อพยพ
ตามภาพท่ี ๒๐

อยอางไรก็ตาม โครงการนีถูกคัดค้านโดยชาวรัฐยะโฮร์สอวนหน่ึงซ่ึงไมอพอใจท่ีฟอเรสต์ซิตี
ทาทอาจะกลายเป็น ‘อาณานิคมใหมอ’ ของจีน และยังมีเสียงเตือนจากนักอนุรักษ์วอาการถมทราย
สร้างเกาะเทยี มจะสองผลกระทบรนุ แรงตออ ระบบนเิ วศและการประมง

ภาพที่ ๒๐ โครงการถมทะเลเพื่อสร้างเกาะเทียมประเทศมาเลเชยี
ท่ีมา https://mgronline.com/around/detail/9610000090052?fbclid=IwAR19gO4o3a

wxryg2LKKdCxjGrnyGevFi4yCWo_QK2vFqtTbHEJQpsNCRe9U

๑๓

https://mgronline.com/around/detail/9610000090052?fbclid=IwAR19gO4o3awxryg2LKKdCxjGrnyGevFi4yCWo
_QK2vFqtTbHEJQpsNCRe9U

คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | 31

โครงการถมทะเลเพือ่ สร้างเกาะเทยี มประเทศมาเลเชยี Forest City
๒.๓.๔.๒ โครงการถมทะเลเพ่ือสร้างเกาะเทียม 3 เกาะนอกชายฝ่ังตอนใต้

ของเมืองจอร์จทาวน์ในรัฐปีนัง (Penang South Reclamation – PSR)๑๔ โดยมาเลเซียมีโครงการ
ถมทะเลสร้างเกาะใหมอเพ่ือเรองพัฒนาพืนท่ีเศรษฐกิจใหมอ ในรูปแบบท่ีคล้ายคลึงกับโครงการเกาะปาล์ม
Palm Island ที่ดูไบ ซึ่งเน้นรูปทรงการออกแบบท่ีสวยงาม วางแผนกาหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ท่ีจะบรรจุลงในพืนท่ีแตอละสอวนไว้ลอวงหน้า จัดเป็นอภิโครงการด้วยมูลคอาการลงทุนระดับแสนล้านบาท
ขึน 2 จุดพร้อมๆ กันชอวงต้นเดือนกรกฎาคม 2562 นายเชา กอน เยว (Chow Kon Yeow) มุขมนตรี
รัฐปนี ังได้แถลงวอา กระทรวงพลงั งาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่ิงแวดล้อม และการเปล่ียนแปลงสภาพ
ภมู ิอากาศของมาเลเซียได้อนมุ ัติการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดลอ้ ม (The Environmental Impact
Assessment – EIA) ตออ โครงการถมทะเลเพือ่ สรา้ งเกาะเทยี ม 3 เกาะนอกชายฝั่งตอนใต้ของเมืองจอรจ์
ทาวน์ในรัฐปีนัง (Penang South Reclamation – PSR) แล้ว โดยโครงการ PSR มีพืนท่ีรวมทังหมด
4,500 เอเคอร์ หรือ ประมาณ 190 ล้านตารางฟุต ซ่ึงในเกาะดังกลอาวจะมีการสร้างเขื่อน โรงงาน
ไฟฟ้าสาหรบั ใช้ในเกาะ เขตอุตสาหกรรม สานักงาน และเขตทอี่ ยออู าศยั โดยเกาะแรกที่จะเริม่ ดาเนินการ
มีพืนท่ีรวมทังหมด 2,300 เอเคอร์ ซึ่งจะใช้เวลาถมทะเลประมาณ 3 ปี และมีคอาถมทะเลประมาณ
60 ริงกิตตออตารางฟุต โดยจะเป็นพืนที่อุตสาหกรรมคล้ายกับ The Bayan Lepas Free Industrial Zone
ในขณะท่ีเกาะท่ีสองซ่ึงมีพนื ทีร่ วมทังหมด 1,400 เอเคอร์ จะเปน็ พนื ทส่ี าหรบั ธุรกิจการเงนิ การบริการ
ธรุ กิจตาอ ง ๆ และการทอองเที่ยว สวอ นเกาะท่สี ามซ่ึงมีพนื ที่รวมทงั หมด 800 เอเคอร์ จะเป็นพืนทีส่ าหรับ
อสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน รวมทังอุตสาหกรรมการทอองเท่ียวแบบใหมอทังนี ผู้ดาเนินโครงการ
จะต้องปฏิบัติตามเง่ือนไข 72 ประการ อาทิ การสร้างบ้านราคาถูกในเขต Bayan Lepas เพื่อชดเชย
ให้กับชาวประมงมากกวอา 900 คน ท่ีได้รับผลกระทบการปลูกปะการังเทียมเพ่ือรักษาระบบนิเวศ
ทางทะเล และจดั หาทรายมาจากแหลงอ ทเ่ี หมาะสมถูกตอ้ ง เป็นต้น

๑๔ มาเลเซียผา่ น EIA โครงการถมทะเลในรฐั ปีนงั , https://www.bangkokbanksme.com/en/malaysia-eia

หน้า | 32 คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา

ภาพที่ ๒๑ โครงการถมทะเลเพ่อื สร้างเกาะเทยี ม 3 เกาะนอกชายฝัง่ ตอนใต้ของเมืองจอรจ์ ทาวน์ในรฐั ปีนัง
ท่มี า https://www.bangkokbanksme.com/en/malaysia-eia

๒.๔ ค้าวนิ ิจฉยั ศาลรัฐธรรมนูญเกยี่ วกบั ขอบเขตความหมายของหนังสอื สญั ญาตามรัฐธรรมนูญ
๒.๔.๑ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐
มำตรำ ๕๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ บัญญัติว่ำ

“กำรดำเนินกำรใดของรัฐหรือท่ีรัฐจะอนุญำตให้ผู้ใดดำเนินกำร ถ้ำกำรนั้นอำจมีผลกระทบต่ อ
ทรัพยำกรธรรมชำติ คุณภำพส่ิงแวดล้อม สุขภำพ อนำมัย คุณภำพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใด
ของประชำชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่ำงรุนแรง รัฐต้องดำเนินกำรให้มีกำรศึกษำและประเมิน
ผลกระทบต่อคุณภำพสิ่งแวดล้อมและสุขภำพของประชำชนหรือชุมชน และจัดให้มีกำรรับฟัง
ควำมคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชำชนและชุมชนที่เก่ียวข้องก่อน เพื่อนำมำประกอบกำร
พจิ ำรณำดำเนนิ กำรหรอื อนญุ ำตตำมทกี่ ฎหมำยบญั ญัติ

มำตรำ ๑๗๘ พระมหำกษัตริย์ทรงไว้ซ่ึงพระรำชอำนำจในกำรทำหนังสือสัญญำ
สันติภำพ สญั ญำสงบศึก และสญั ญำอืน่ กบั นำนำประเทศหรือกบั องค์กำรระหวำ่ งประเทศ

หนังสือสัญญำใดมีบทเปล่ียนแปลงอำณำเขตไทย หรือเขตพ้ืนท่ีนอกอำณำเขต
ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนำจตำมหนังสือสัญญำหรือตำมกฎหมำยระหว่ำงประเทศ
หรือจะต้องออกพระรำชบัญญัติเพื่อให้กำรเป็นไปตำมหนังสือสัญญำ และหนังสือสัญญำอื่นท่ีอำจมี
ผลกระทบต่อควำมม่ันคงทำงเศรษฐกิจ สังคม หรือกำรค้ำหรือกำรลงทุนของประเทศอย่ำงกว้ำงขวำง
ต้องได้รับควำมเห็นชอบของรัฐสภำ ในกำรน้ี รัฐสภำต้องพิจำรณำให้แล้วเสร็จภำยในหกสิบวันนับแต่
วันที่ได้รับเรื่อง หำกรัฐสภำพิจำรณำไม่แล้วเสร็จภำยในกำหนดเวลำดังกล่ำว ให้ถือว่ำรัฐสภำ
ให้ควำมเหน็ ชอบ

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หนา้ | 33

หนังสอื สัญญำอ่ืนทอ่ี ำจมผี ลกระทบต่อควำมมน่ั คงทำงเศรษฐกจิ สงั คม กำรค้ำ กำรลงทุน
ของประเทศอย่ำงกว้ำงขวำงตำมวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญำเก่ียวกับกำรค้ำเสรีเขตศุลกำกรร่วม
หรือกำรให้ใช้ทรัพยำกรธรรมชำติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยำกรธรรมชำติทั้งหมด
หรือบำงส่วน หรือหนังสือสัญญำอ่ืนตำมท่ีกฎหมำยบัญญัติให้มีกฎหมำยกำหนดวิธีกำรท่ีประชำชน
จะเข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรแสดงควำมคิดเห็นและได้รับกำรเยียวยำท่ีจำ เป็นอันเกิดจำกผลกระทบ
ของกำรทำหนังสอื สัญญำตำมวรรคสำมดว้ ย

เ มื่ อ มี ปั ญ ห ำ ว่ ำ ห นั ง สื อ สั ญ ญ ำ ใด เ ป็ น ก ร ณี ต ำ ม ว ร ร ค ส อ ง ห รื อ ว ร ร ค ส ำ ม ห รื อ ไ ม่
คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศำลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งน้ี ศำลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ
ภำยในสำมสบิ วันนบั แต่วนั ท่ีได้รบั คำขอ

๒.๔.๒ คา้ วนิ ิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญท่ี ๑๑/๔๒๑๕
คำว่ำ “หนังสือสัญญำ” แมจ้ ะมิได้บัญญัติควำมหมำยไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็อำจกล่ำวไดว้ ่ำ

หนังสือสัญญำตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔ มีควำมหมำยครอบคลุม
ไปถึงควำมตกลงทุกประเภทท่ีประเทศไทยทำข้ึนกับนำนำประเทศหรือกับองค์กำรระหว่ำงประเทศ
หนังสือสัญญำดังกล่ำวต้องมีลักษณะเป็นสัญญำท่ีทำขึ้นเป็นหนังสือ และเป็นสัญญำที่อยู่ภำยใต้บังคับ
ของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔
กล่ำวถึง “หนังสือสัญญำสันติภำพ สัญญำสงบศึก และสัญญำอื่น” ดังนั้นคำว่ำ “สัญญำอื่น” ย่อมหมำยถึง
หนังสือสัญญำท่ีทำกับนำนำประเทศหรือกับองค์กำรระหว่ำงประเทศ ซ่ึงต้องอยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำย
ระหว่ำงประเทศเช่นเดียวกับหนังสือสัญญำสันติภำพและหนังสือสัญญำสงบศึก จะเป็นหนังสือสัญญำ
ภำยใต้บังคบั ของกฎหมำยภำยในของประเทศใดประเทศหนึ่งมิได้

เมื่อไดค้ วำมว่ำหนังสือสญั ญำตำมรฐั ธรรมนูญแหง่ รำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔
หมำยถึงสัญญำหรือควำมตกลงที่อยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ จึงจำเป็นต้องพิจำรณำว่ำ
สัญญำหรือควำมตกลงระหว่ำงประเทศตำมกฎหมำยระหว่ำงประเทศน้ัน มีลักษณะประกำรใดบ้ำง
ตำมกฎหมำยระหว่ำงประเทศท่ีเกี่ยวกบั สนธิสัญญำหรือควำมตกลงระหว่ำงประเทศ ซึง่ มีที่มำจำกจำรีต
ประเพณีและแนวปฏิบัติของนำนำประเทศท่ีได้ยึดถือกันมำเป็นเวลำช้ำนำน จนกระทั่งได้มีกำรจัดทำ
ประมวลเป็นอนุสัญญำข้ึนมำภำยในกรอบของกำรประชุมสหประชำชำติ ได้แก่ อนุสัญญำกรุงเวียนนำ
ว่ำด้วยกฎหมำยสนธิสัญญำ ค.ศ. ๑๙๖๙ และอนุสัญญำกรุงเวียนนำว่ำด้วยกฎหมำยสนธิสัญญำระหว่ำงรัฐ
และองค์กำรระหวำ่ งประเทศ หรือระหว่ำงองคก์ ำรระหว่ำงประเทศ ค.ศ. ๑๙๘๖ อนุสญั ญำทัง้ สองฉบับ
ซ่ึงเป็นที่ยอมรับของนำนำประเทศ ไดก้ ำหนดลกั ษณะของสนธสิ ัญญำหรอื ควำมตกลงระหว่ำงประเทศไวว้ ่ำ
“สนธิสัญญำ” ตำมอนุสัญญำท้ังสองฉบับหมำยถึง “ควำมตกลงระหว่ำงประเทศที่ทำข้ึนเป็นหนังสือ
ระหว่ำงรัฐต่ำงๆ หรือระหว่ำงรัฐกับองค์กำรระหว่ำงประเทศ หรือระหว่ำงองค์กำรระหว่ำงประเทศ
ด้วยกัน และอยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ ไม่ว่ำจะทำข้ึนเป็นฉบับเดียวหรือสองฉบับ
หรอื หลำยฉบับผนวกเขำ้ ดว้ ยกัน และไมว่ ่ำจะเรยี กช่ืออย่ำงไร” ควำมหมำยของ “สนธิสัญญำ”ตำมอนสุ ัญญำ
ท้งั สองฉบับดังกล่ำวจึงครอบคลุมถงึ ควำมตกลงระหว่ำงประเทศทุกรูปแบบ เช่น สนธิสัญญำ อนุสัญญำ
ควำมตกลง ข้อตกลง หนังสือแลกเปลี่ยน พธิ สี ำร กรรมสำรทั่วไป กรรมสำรสุดท้ำย เป็นตน้ ดงั นั้น คำว่ำ

๑๕ยออ คาวนิ จิ ฉยั ศาลรฐั ธรรมนูญท่ี 11/2542
http://appthca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?whichLaw=jud&year=2542&lawPath=cc_23226

หนา้ | 34 คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา

“หนังสอื สัญญำ” ตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔ หมำยถึง ควำมตกลง
ระหว่ำงประเทศท่ีประเทศไทยได้ทำขึ้นเป็นหนังสือกับนำนำประเทศ หรือกับองค์กำรระหว่ำงประเทศ
โดยมีควำมมุ่งหมำยเพ่ือให้เกิดผลผูกพันทำงกฎหมำยระหว่ำงกันตำมกฎหมำยระหว่ำงประเทศ
ไม่ว่ำควำมตกลงน้ันจะจัดทำขึ้นในรูปแบบใดและใช้ช่ืออย่ำงไร และมีควำมหมำยเช่นเดียวกับคำว่ำ
“สนธิสัญญำ” ดังทก่ี ลำ่ วแลว้ โดยมีลกั ษณะ คอื

๑. ทำขึ้นระหว่ำงรัฐ หรือระหว่ำงรัฐกับองค์กำรระหว่ำงประเทศ หรือระหว่ำงองค์กำร
ระหว่ำงประเทศดว้ ยกันเอง

๒. ควำมตกลงนนั้ ต้องทำเป็นหนงั สอื
๓. เปน็ ควำมตกลงสองฝ่ำยหรอื หลำยฝ่ำยทมี่ ีเจตนำก่อใหเ้ กิดพันธะผูกพันทำงกฎหมำย
๔. ควำมตกลงนัน้ ต้องอย่ภู ำยใต้บังคับของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ
เมื่อหนังสือแจ้งควำมจำนงขอรับควำมช่วยเหลือทำงวิชำกำรและกำรเงินท่ีรัฐบำลไทย
มีไปถึงกองทุนกำรเงินระหว่ำงประเทศ เป็นหนังสือสัญญำท่ีจะต้องได้รับควำมเห็นชอบของรัฐสภ ำ
ตำมมำตรำ ๒๒๔ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ หรือไม่
เป็นปัญหำเกี่ยวกับอำนำจหน้ำที่ขององค์กรตำมรัฐธรรมนูญตำมมำตรำ ๒๖๖ ของรัฐธรรมนูญ
แห่งรำชอำณำจักรไทย ศำลรัฐธรรมนญู รบั เรื่องไว้พจิ ำรณำวนิ จิ ฉยั ได้
ศำลรัฐธรรมนูญพิจำรณำแล้วมีควำมเห็นว่ำ หนังสือแจ้งควำมจำนงขอรับควำม
ช่วยเหลือทำงวิชำกำรและกำรเงินท่ีรัฐบำลไทยมีไปถึงกองทุนกำรเงินระหว่ำงประเทศนั้น ไม่มีลักษณะ
เป็นสนธิสัญญำหรอื หนังสอื สญั ญำตำมมำตรำ ๒๒๔ ของรัฐธรรมนญู แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐
เน่อื งจำกเปน็ กำรดำเนนิ กำรเพยี งฝำ่ ยเดยี วของรัฐบำลไทยเพอ่ื ขอใชส้ ทิ ธิของตนในฐำนะที่เป็นรฐั สมำชิก
ในกำรขอใช้ทรัพยำกรท่ัวไปของกองทุนกำรเงินระหว่ำงประเทศ และกองทุนก็ไม่ได้มีหนังสือตอบรับ
ตำมรูปแบบของควำมตกลงระหว่ำงประเทศ อีกทั้งกองทุนเองก็ไม่ถือว่ำหนังสือแจ้งควำมจำนง
เป็นหนังสือขอทำควำมตกลงที่ทั้งสองฝ่ำยต้องกำรให้เกิดผลผูกพันกันตำมกฎหมำยระหว่ำงประเทศ
ดังนั้น หนังสอื แจ้งควำมจำนงขอรบั ควำมช่วยเหลอื ทำงวิชำกำรและกำรเงินทร่ี ัฐบำลไทยมไี ปถงึ กองทุน
กำรเงินระหว่ำงประเทศ จึงไม่เป็นหนังสือสัญญำตำมมำตรำ ๒๒๔ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ จึงไมต่ ้องได้รับควำมเหน็ ชอบของรฐั สภำแต่อย่ำงใด
๒.๔.๓ คา้ วนิ จิ ฉัยศาลรัฐธรรมนญู ท่ี ๓๓/๔๓๑๖
ประเทศไทยได้ร่วมลงนำมในอนุสัญญำว่ำด้วยควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ เมื่อวันท่ี
๑๒ มิถนุ ำยน ๒๕๓๕ ในครำวประชุมสหประชำชำติวำ่ ด้วยสิ่งแวดล้อมและกำรพัฒนำ ณ กรุงรโิ อเดอจำเนโร
ประเทศบรำซิลโดยมีผแู้ ทนรฐั บำลของประเทศตำ่ ง ๆ ร่วมลงนำมท้ังหมด ๑๕๗ ประเทศแตก่ ำรลงนำมดงั กลำ่ ว
จะมีผลผูกพันต่อเม่ือประเทศไทยได้ให้สัตยำบันแล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมำยให้หน่วยงำน
ท่ีเก่ียวข้องพิจำรณำก่อนกำรให้สัตยำบันอนุสัญญำ ปรำกฏว่ำหน่วยงำนท่ีเกี่ยวข้องต่ำงมีควำมเห็น
แตกต่ำงกันว่ำอนุสัญญำเป็นหนังสือสัญญำท่ีมีบทเปลี่ยนแปลงเขตอำนำจแห่งรัฐ หรือจะต้อง
ออกพระรำชบัญญัติ เพ่ือให้กำรเป็นไปตำมสัญญำซ่ึงมีปัญหำว่ำ ต้องได้รับควำมเห็นชอบของรัฐสภำ
ตำมรัฐธรรมนญู แห่งรำชอำณำจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔ วรรคสองหรอื ไม่

๑๖ สรปุ คาวินจิ ฉยั ศาลรฐั ธรรมนญู ท่ี๓๓/๒๕๔๓http://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/download/article/file_import/center-
law33_43.pdf

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒสิ ภา หนา้ | 35

คำว่ำ “หนังสือสัญญำ” แมจ้ ะมิได้บญั ญัตคิ วำมหมำยไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็อำจกลำ่ วได้ว่ำ
หนังสือสัญญำตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔ มีควำมหมำยครอบคลุม
ถึงควำมตกลงทุกประเภทท่ีประเทศไทยทำขึ้นกับนำนำประเทศหรือกับองค์กำรระหว่ำงประเทศ โดยมี
ควำมมุง่ หมำยเพื่อใหเ้ กิดผลผกู พนั ทำงกฎหมำยระหวำ่ งกันตำมกฎหมำยระหวำ่ งประเทศ หนังสอื สญั ญำ
ดังกล่ำวต้องมีลักษณะที่ทำข้ึนเป็นหนังสือและเป็นสัญญำท่ีอยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ
โดยท่ีรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๒๒๔ กล่ำวถึง หนังสือสัญญำสันติภำพ สัญญำสงบศึกและสัญญำอื่น ดังน้ัน
คำวำ่ “สัญญำอน่ื ” ยอ่ มหมำยถึง หนงั สอื สญั ญำท่ที ำกับนำนำประเทศ หรือกบั องคก์ ำรระหวำ่ งประเทศ

ซึ่งต้องอยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำยระหว่ำงประเทศเช่นเดียวกับหนังสือสัญญำสันติภำพและหนังสือ
สัญญำสงบศึกจะเป็นหนังสือสัญญำภำยใต้บังคับของกฎหมำยภำยในของประเทศใดประเทศหน่ึงมิได้
ดังน้ัน อนุสัญญำว่ำด้วยควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ จึงเป็นหนังสือสัญญำตำมควำมหมำยของรัฐธรรมนูญ
แห่งรำชอำณำจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๒๔

เม่ืออนุสัญญำมีข้อกำหนดว่ำ “ภำคีคู่สัญญำแต่ละฝ่ำยจะพยำยำมสร้ำงสภำพกำรณ์
เอ้ืออำนวยต่อกำรเขำ้ ถึงทรพั ยำกรพนั ธุกรรมโดยภำคีคสู่ ญั ญำอน่ื ๆ เพอ่ื กำรใชป้ ระโยชน์ที่ไม่มผี ลกระทบ
ส่ิงแวดล้อม และจะพยำยำมไม่กำหนดข้อจำกัดซ่ึงขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของอนุสัญญำฯ เท่ำกับ
เป็นกำรเปล่ียนแปลงเขตอำนำจแห่งรัฐในกำรใช้ทรัพยำกรพันธุกรรมของตน ซึ่งเดิมมีอำนำจอธิปไตย
อยำ่ งสมบรู ณ์ และขอบเขตของอนุสญั ญำฯ มำตรำ ๔ กำหนดวำ่

(๑) ในกรณีองค์ประกอบของควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพให้อนุสัญญำฯ ใช้บังคับ
ภำยในพื้นท่ที อ่ี ยใู่ นเขตอำนำจของรัฐภำคี

(๒) ในกรณีกรรมวิธีและกิจกรรมซึ่งดำเนินกำรภำยใต้อำนำจหรือกำรควบคุมของรัฐภำคี

ไม่ว่ำจะมีผลกระทบเกิดขึ้น ณ ท่ีใดให้อนุสัญญำฯ ใช้บังคับท้ังภำยในและนอกเขตอำนำจดังกล่ำว
ดังน้ัน กำรเข้ำเป็นภำคีอนุสัญญำฯ จะมีผลกระทบต่อกำรใช้ประโยชน์และกำรแบ่งปันผลประโยชน์
ที่ได้จำกกำรใชท้ รัพยำกรพันธุกรรมระหว่ำงประเทศไทยกับรัฐภำคีอื่น เป็นกำรให้สิทธิและกำรถูกจำกัด
สิทธิไปพร้อมกัน ซ่ึงจะต้องมีกำรออกกฎหมำยหรือปรับปรุงกฎหมำยภำยในที่ใช้บังคับอยู่ให้สอดคล้อง
กับวตั ถุประสงค์หลักกำรและขอบเขตของอนุสัญญำฯ เห็นได้ว่ำเป็นกำรเปลี่ยนแปลงเขตอำนำจแหง่ รัฐ
ในกำรใช้ทรัพยำกรพันธุกรรม และเป็นหนังสือสัญญำท่ีมีบทเปลี่ยนแปลงเขตอำนำจแห่งรัฐ ซ่ึงจะต้อง
ไดร้ ับควำมเหน็ ชอบของรฐั สภำ

หน้า | 36 คณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม วุฒสิ ภา

๒.๔.๔ ค้าวนิ ิจฉยั ศาลรฐั ธรรมนญู ที่ ๖ - ๗/๒๕๕๑๑๗

ประธำนวุฒิสภำ และประธำนสภำผู้แทนรำษฎร ได้ส่งควำมเห็นของสมำชิกวุฒิสภำ
และสมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎร ขอให้ศำลรฐั ธรรมนูญวินจิ ฉัยชี้ขำด เก่ียวกบั คำแถลงกำรณ์ร่วมไทย - กัมพูชำ
ฉบับลงวันท่ี ๑๘ มิถุนำยน ๒๕๕๑ ว่ำเป็นหนังสือสัญญำที่ต้องได้รับควำมเห็นชอบของรัฐสภำ
ตำมรฐั ธรรมนูญ มำตรำ ๑๙๐ หรือไม่ โดยคำแถลงกำรณ์ร่วมไทย - กมั พูชำ หรือ Joint Communique น้ี
สนบั สนนุ กัมพชู ำขนึ้ ทะเบียนปรำสำทพระวหิ ำรเป็นมรดกโลก ศำลรัฐธรรมนญู ไดก้ ำหนดประเดน็ วนิ จิ ฉยั
ชี้ขำด ๒ ประเด็น คือ เป็นหนังสือสญั ญำหรอื ไม่ และหำกเปน็ หนงั สือสัญญำแล้ว ถอื เป็นหนังสือสญั ญำ
ตำมรัฐธรรมนูญ แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๑๙๐ วรรคสอง ท่ีต้องผ่ำนกำรเห็นชอบ
จำกรฐั สภำหรือไม่

ประเดน็ ท่ี ๑ คำแถลงกำรณร์ ่วมเปน็ หนังสอื สญั ญำตำมรัฐธรรมนูญแหง่ รำชอำณำจกั รไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๑๙๐ หรอื ไม่ โดยศำลพจิ ำรณำแล้วเห็นว่ำ คำว่ำ "หนังสือสัญญำ" ตำมรฐั ธรรมนูญ
แห่งรำชอำณำจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๑๙๐ หมำยถึงควำมตกลงระหว่ำงประเทศทุกรูปแบบท่ี
จัดทำข้ึนระหว่ำงประเทศไทยกบั ตำ่ งประเทศ หรือ องค์กำรระหว่ำงประเทศในรูปแบบที่เป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร
และอยู่ภำยใต้บังคับของกฎหมำยระหว่ำงประเทศ ไม่ว่ำจะบันทึกในเอกสำรฉบับเดียวหรือหลำยฉบับ
และไม่ว่ำจะเรียกช่ือว่ำอย่ำงไร อันเป็นควำมหมำยตรงกับคำว่ำ "treaty" ตำมอนุสัญญำกรุงเวียนนำว่ำ
ดว้ ยกฎหมำยสนธิสญั ญำ ค.ศ. ๑๙๖๙ และตรงกบั ทศ่ี ำลรฐั ธรรมนูญเคยมคี ำวนิ จิ ฉยั ไว้แลว้ ในคำวินจิ ฉัย
ท่ี ๑๑/๒๕๔๒ และคำวนิ ิจฉยั ที่ ๓๓/๒๕๔๓

คำแถลงกำรณร์ ว่ มดังกล่ำว ประกอบด้วยกำรกระทำระหวำ่ งรัฐตอ่ รฐั เป็นลำยลักษณ์อักษร
โดยผู้มีอำนำจ ทำหนังสือสัญญำของท้ัง ๒ ประเทศ ซ่ึงปกติคำแถลงกำรณ์ร่วมท่ีไม่ต้องกำรให้มีผล
ทำงกฎหมำยน้ันไม่มีควำมจำเป็นต้องลงนำม แต่ในแถลงกำรณ์ร่วมดังกล่ำวกลับมีรัฐมนตรีว่ำกำร
กระทรวงกำรต่ำงประเทศ เปน็ ผู้ลงนำม นอกจำกนยี้ ังมคี วำมมงุ่ หวงั ใหเ้ กดิ ผลทำงกฎหมำย โดยพจิ ำรณำ
จำกพันธกรณที ี่ทัง้ สองฝำ่ ยจัดทำแผนบรหิ ำรจัดกำรพืน้ ทีร่ ว่ มกัน คำแถลงกำรณร์ ่วม จงึ เขำ้ องค์ประกอบ
ของลักษณะควำมตกลงระหว่ำงประเทศ โดยที่ทั้ง ๒ ฝ่ำย ต่ำงสงวนสิทธิซึ่งกันและกัน เม่ือคำแถลงกำรณ์
ดงั กล่ำวไม่ได้กำหนดให้อย่ภู ำยใต้กฎหมำยภำยในของรัฐใดรัฐหน่ึง จึงต้องอยู่ภำยใตบ้ ังคับของกฎหมำย
ระหว่ำงประเทศ เมื่อแถลงกำรณ์ดังกล่ำวเป็นข้อตกลงจำกกำรประชุมร่วมกันระหว่ำงผู้ที่มีอำนำจ
ทำควำมตกลงผูกพันประเทศไทย และกัมพูชำได้ จึงเข้ำข่ำยหนังสือสัญญำตำมรัฐธรรมนูญ
แห่งรำชอำณำจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๑๙๐

ประเด็นที่ ๒ หำกคำแถลงกำรณ์ร่วมไทย - กัมพูชำ หรือ Joint Communique
เป็นหนังสือสัญญำแล้ว ถือเป็นหนังสือสัญญำตำมรัฐธรรมนูญตำมรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย
พ.ศ. ๒๕๕๐ มำตรำ ๑๙๐ วรรคสอง ท่ีต้องผ่ำนกำรเห็นชอบจำกรัฐสภำหรือไม่ โดยศำลพิจำรณำแล้ว
เห็นว่ำ มำตรำ ๑๙๐ วรรคสอง ได้บัญญัติถึงหนังสือสัญญำ ๕ ประเภท ท่ีต้องได้รับควำมเห็นชอบ
จำกรัฐสภำ เน่ืองจำกเป็นหนังสือสัญญำท่ีมีควำมสำคัญ สมควรได้รับกำรพิจำรณำโดยรอบคอบ
จำกคณะรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ำยบริหำรและรัฐสภำที่เป็นฝ่ำยนิติบัญญัติ และเป็นตัวแทนของประชำชน
ทเี่ ป็นเจ้ำของอำนำจอธปิ ไตย

๑๗คาวินิจฉยั ศำลรฐั ธรรมนูญที่ ๖-๗/๒๕๕๑ วันท่ี ๘ กรกฎำคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ดไู ดท้ ่ี
https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/ewt_dl_link.php?nid=2311

คณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา หน้า | 37


Click to View FlipBook Version