รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน โดย คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพลังงาน ส านักกรรมาธิการ ๑ ส านักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่ ส านักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ค ำน ำ รายงานฉบับนี้เป็นการศึกษาการพัฒนาศักยภาพเทคโนโลยีถ่านหินในภาคอุตสาหกรรมของ ประเทศไทย โดยศึกษานโยบาย ประสบการณ์และวิธีด าเนินการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีถ่านหินใน ต่างประเทศ ศึกษาสถานการณ์การใช้ถ่านหิน และเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในภาคอุตสาหกรรมของ ประเทศไทย รวมถึงข้อก าหนดทางด้านนโยบาย ด้านกฎหมาย และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่มีผล ต่อการใช้ถ่านหิน ทบทวนและวิเคราะห์ปัญหาของการใช้ถ่านหินในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาและอุปสรรคที่ส าคัญเกี่ยวกับกิจการถ่านหินในประเทศไทย คือ ความชัดเจนขององค์กร รับผิดชอบหลัก อ านาจหน้าที่ขององค์กร กฎหมายก ากับดูแล การบังคับใช้และกระบวนการก ากับดูแล การส่งเสริมการพัฒนาใช้เทคโนโลยีถ่านหินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นกับภาค ประชาชน โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วม การพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อสามารถลดมลพิษ สร้างการยอมรับ และส่งผลสู่ความมั่นคงด้านพลังงานและเพิ่มศักยภาพการ แข่งขันให้กับประเทศ จากการศึกษาทราบถึงการพัฒนาการใช้เทคโนโลยี ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรมของ ประเทศไทย มี ๕ ด้าน คือ ด้านสังคม ด้านข้อมูลและการติดตาม ด้านองค์กรและกฎหมาย ด้านนโยบายและมาตรการ และด้านเทคโนโลยี โดยเน้นการพัฒนารูปแบบองค์กรที่เหมาะสม กฎหมาย ที่ครอบคลุมและแนวทางปฏิบัติ เครือข่ายระบบฐานข้อมูล ระบบการก ากับดูแลร่วมกับชุมชน ระบบ การติดตามการใช้ ถ่านหินทุกมิติเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และ ความสอดคล้องเหมาะสม กับบริบทด้านต่างๆของประเทศ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้าก รายนามคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ พลโท อ าพน ชูประทุม รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง พลเรือเอก ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร พลอากาศเอก อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ พลเอก ศุภกร สงวนชาติศรไกร รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ห้า พลเอก อุทิศ สุนทร พลโท พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ นายกรรณภว์ ธนภรรคภวิน เลขานุการคณะกรรมาธิการ รองเลขานุการคณะกรรมาธิการ โฆษกคณะกรรมาธิการ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้าข พลเอก ไตรรัตน์ รังคะรัตน พลเรือเอก นพดล โชคระดา พลเอก จิระเดช โมกขะสมิต ประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา ที่ปรึกษา พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ พลโท ไพโรจน์ ทองมาเอง พลเอก ภาณุวัชร นาควงษม์ ที่ปรึกษา กรรมาธิการ กรรมาธิการ พลเอก วิลาศ อรุณศรี พลอากาศเอก ศิวเกียรติ์ ชเยมะ รองศาสตราจารย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ กรรมาธิการ กรรมาธิการ กรรมาธิการ พลเอก สุรวัช บุตรวงษ์ พลเอก อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ พลตรี สันติพงศ์ ธรรมปิยะ กรรมาธิการ กรรมาธิการ กรรมาธิการ พลเรือเอก สุชีพ หวังไมตรี พลเอก ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ พลอากาศเอก สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ กรรมาธิการ กรรมาธิการ กรรมาธิการ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้าค คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามด้านพลังงานฟอสซิล ในคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พลโท อ าพน ชูประทุม ประธานคณะอนุกรรมาธิการ พลอากาศเอก อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ พลเอก ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง พลอากาศโท ธรรมนิตย์ สิงห์คะสะ อนุกรรมาธิการ พลอากาศตรี ชินรัตน์ มณีอินทร์ อนุกรรมาธิการ พลโท ชุมพร วิเชียร อนุกรรมาธิการ นายสากล บุญยะศิวะ อนุกรรมาธิการ นายกวิน ทรัพย์สุนทร อนุกรรมาธิการ พลอากาศตรี นริศ เขียวแก้ว อนุกรรมาธิการ ศาสตราจารย์จงจิตร์ หิรัญลาภ อนุกรรมาธิการ นายรัตนพัฒน์ ปีวิเศษกุลเดช เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ นายสุรวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อนุกรรมาธิการ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ง รายงานการพิจารณาศึกษา ของคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นคณะกรรมาธิการสามัญคณะ หนึ่ง ซึ่งแต่งตั้งขึ้นในคราวประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๗ วันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๑๓ ประกอบกับข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๕๗ ข้อ ๘๔ และภายหลังวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาราจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซึ่งมาตรา ๑๒๙ บัญญัติให้“สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอ านาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็น คณะกรรมาธิการสามัญ...” ประกอบกับข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๗๘ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยมีหน้าที่และอ านาจพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติกระท ากิจการ พิจารณาสอบสวน หรือ ศึกษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการพลังงาน การบริหาร การส่งเสริมพัฒนาการจัดหา การใช้การอนุรักษ์ พลังงาน รวมทั้งผลกระทบจากการจัดหาและการใช้พลังงาน ซึ่งคณะกรรมาธิการคณะนี้ประกอบด้วย (ข้อมูล ณ กรกฎาคม ๒๕๖๑) บัดนี้ คณะกรรมาธิการได้ด าเนินการพิจารณาศึกษาเรื่อง ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของ ประเทศไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง ดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติของประเทศไทย ตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๙๖ ดังนี้ ๑. การด าเนินงาน ๑.๑ คณะกรรมาธิการได้มีมติเลือกต าแหน่งต่างๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการ ๑.๑.๒ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๑.๑.๓ พลโท อ าพน ชูประทุม รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ๑.๑.๔ พลเรือเอก ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม ๑.๑.๕ พลอากาศเอก อดิศักดิ์กลั่นเสนาะ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ ๑.๑.๖ พลเอก ศุภกร สงวนชาติศรไกร รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ห้า ๑.๑.๗ พลเอก ไตรรัตน์ รังคะรัตน ประธานที่ปรึกษา ๑.๑.๘ พลเรือเอก นพดล โชคระดา ที่ปรึกษา ๑.๑.๙ พลเอก จิระเดช โมกขะสมิต ที่ปรึกษา ๑.๑.๑๐ พลเอก อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ที่ปรึกษา ๑.๑.๑๑ พลเอก อุทิศ สุนทร เลขานุการ ๑.๑.๑๒ พลโท พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ รองเลขานุการ ๑.๑.๑๓ นายกรรณภว์ ธนภรรคภวิน โฆษกคณะกรรมาธิการ ๑.๑.๑๔ พลโท ไพโรจน์ ทองมาเอง กรรมาธิการ ๑.๑.๑๕ พลเอก ภาณุวัชร นาควงษม์ กรรมาธิการ ๑.๑.๑๖ พลเอก วิลาศ อรุณศรี กรรมาธิการ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า จ ๑.๑.๑๗ พลอากาศเอก ศิวเกียรติ์ ชเยมะ กรรมาธิการ ๑.๑.๑๘ รองศาสตราจารย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ กรรมาธิการ ๑.๑.๑๙ พลเอก สุรวัช บุตรวงษ์ กรรมาธิการ ๑.๑.๒๐ พลเอก อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ กรรมาธิการ ๑.๑.๒๑ พลเอก ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ กรรมาธิการ ๑.๑.๒๒ พลตรี สันติพงศ์ ธรรมปิยะ กรรมาธิการ ๑.๑.๒๓ พลเรือเอก สุชีพ หวังไมตรี กรรมาธิการ ๑.๑.๒๔ พลอากาศเอก สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ กรรมาธิการ ๑.๒ คณะกรรมาธิการได้มีมติแต่งตั้ง นายอภิชาติอ่อนสร้อย ผู้อ านวยการกลุ่มงาน คณะกรรมาธิการการพลังงาน ส านักกรรมาธิการ ๑ ส านักงานเลขาธิการวุฒิสภา ท าหน้าที่เป็น ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมาธิการการพลังงาน ตามข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗ ข้อ ๘๖ วรรคสาม ๑.๓ คณะกรรมาธิการได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามด้าน พลังงานฟอสซิล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติ กระท ากิจการ พิจารณาสอบสวนหรือ ศึกษาเรื่องใด ๆ ด้านพลังงานฟอสซิลและปิโตรเลียม และจัดท ารายงานการพิจารณาศึกษาพร้อมทั้งข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ อีกทั้งด าเนินงานด้านอื่นใดตามที่คณะกรรมาธิการมอบหมาย ทั้งนี้ ตามข้อบังคับการ ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๘๖ ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการคณะนี้ ประกอบด้วย อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๑ พลโท อ าพน ชูประทุม ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๑.๓.๒. พลอากาศเอก อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง ๑.๓.๓. พลเอก ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนที่สอง ๑.๓.๔ พลโท ชุมพร วิเชียร อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๕ พลอากาศตรี ชินรัตน์ มณีอินทร์ อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๖ พลอากาศตรี นริศ เขียวแก้ว อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๗ พลอากาศโท ธรรมนิตย์ สิงห์คะสะ อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๘ นายกวิน ทรัพย์สุนทร อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๙ ศาสตราจารย์จงจิตร์ หิรัญลาภ อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๑๐ นายสากล บุณยะศิวะ อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๑๑ นายสุรวุฒิ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อนุกรรมาธิการ ๑.๓.๑๒ นายรัตนพัฒน์ ปีวิเศษกุลเดช อนุกรรมาธิการและเลขานุการ คณะอนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ๑.๓.๑ พลอากาศเอก อาคม กาญจนหิรัญ ๑.๓.๒ พลเอก โปฎก บุนนาค ๑.๓.๓ พลโท ยศวัฒน์ อนันต์ดิลกฤทธิ์ ๑.๓.๔ พลเรือตรี กาณฑ์ ชาตเสนีย์ ๑.๓.๕ พลตรี สุทัศน์ ศรีหิรัญ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ฉ ๑.๓.๖ นายวิโรจน์ คลังบุญครอง ๑.๓.๗ นางสาววีรุทัย มณีนุชเนตร ๑.๓.๘ นายคุณานันท์ ทยายุทธ ๑.๓.๙ นางสาวนีรัช ตุลยสุวรรณ ๑.๓.๑๐ นายเรืองชัย จินตรุ่งเรืองชัย ๑.๓.๑๑ นายสมชาย สิริพันธ์วราภรณ์ ๑.๓.๑๒ พลตรีหญิง จุริสาร เศรษฐวรางกูร ๑.๓.๑๓ นายปรีชา ออประเสริฐ ๑.๓.๑๔ ศาสตราจารย์ โจเซฟ เคดารี่ ๑.๓.๑๕ พันเอก รัฐเขต แจ้งจ ารัส ๑.๓.๑๖ นายนรพล จินันท์เดช ๑.๓.๑๗ นายประคอง พลหาญ ๑.๓.๑๘ นายพัชรดิษฐ์ สินสวัสดิ์ ๑.๓.๑๙ ว่าที่ร้อยตรี ธีระพล โชคน าชัย ๑.๓.๒๐ นายโชติศักดิ์ อาสภวิริยะ ๑.๓.๒๑ นายบุญธร อุปนันท์ ๑.๓.๒๒ นางสาวอุไรพรรณ วุฒิสิงห์ชัย ๑.๓.๒๓ นายรักไทย บูรพ์ภาค ๑.๓.๒๔ นายประสพโชค บุญมี ๑.๓.๒๕ นายอารมย์ ปงลังกา ๑.๓.๒๖ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) ๒. วิธีการพิจารณาศึกษา ๒.๑. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามด้านพลังงานฟอสซิล ได้มีการประชุม เพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน จากเอกสารข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องและเชิญบุคคล หรือผู้แทนหน่วยงานมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและแสดงความคิดเห็น จ านวน ๒๔ ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ ๑ วันอังคารที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ วันอังคารที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๓ วันอังคารที่ ๖ กุมภาพันธ์๒๕๖๑ ครั้งที่ ๔ วันอังคารที่ ๑๓ กุมภาพันธ์๒๕๖๑ ครั้งที่ ๕ วันอังคารที่ ๒๐ กุมภาพันธ์๒๕๖๑ ครั้งที่ ๖ วันจันทร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์๒๕๖๑ ครั้งที่ ๗ วันอังคารที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๘ วันอังคารที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๙ วันอังคารที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๐ วันอังคารที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๑ วันอังคารที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๒ วันอังคารที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๓ วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๔ วันอังคารที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๕ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๖ วันอังคารที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๗ วันอังคารที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๘ วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑๙ วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒๐ วันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ช ครั้งที่ ๒๑ วันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒๒ วันอังคารที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒๓ วันวันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒๔ วันอังคารที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ ๒.๒ หน่วยงานและบุคคลที่คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและติดตามด้านพลังงาน ฟอสซิล ได้เชิญมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาศึกษาของคณะ อนุกรรมาธิการ คือ ๒.๒.๑ นักวิชาการ ๑) นายอภิสิทธิ์ ซาล า อาจารย์ประจ าภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒) รองศาสตราจารย์ภิญโญ มีช านะ ผู้เชี่ยวชาญด้านเชื้อเพลิงถ่านหิน ๒.๒.๒ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกระทรวงพลังงาน ๑) นายสมบูรณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้อ านวยการส านักจัดการเชื้อเพลิงธรรมชาติ ๒) นายวุฒิพงษ์ คงเพชรศักดิ์ นักธรณีวิทยาช านาญการพิเศษ ๓) นายพิชิตชัย พงษ์ธรรม วิศวกร ๒.๒.๓ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๑) นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการนโยบายและแผน ๒) นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและ พลังงานหมุนเวียน ๓) นายนฤมิต คินิมาน ผู้อ านวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อมโครงการ ๔) นางวีนัส หลงสมบุญ ผู้อ านวยการฝ่ายเศรษฐกิจพลังงาน ๕) นายสัญชัย บุญปราบ ผู้ช่วยผู้อ านายการฝ่ายวิศวกรรมเชื้อเพลิง ๖) นายกัมปนาท แสงสุพรรณ ผู้ช่วยผู้อ านวยการฝ่ายจัดหาถ่านหิน ๗) นายนรินทร์ เผ่าวณิช ผู้ช่วยผู้อ านวยการฝ่ายวิศวกรรมโรงไฟฟ้า ๘) นายปรเมษฐ์ พยัคฆ์เทพินทร์ หัวหน้ากองจัดหาและบริหารสัญญาถ่านหิน ๙) นางใกล้รุ่ง โสฬศ วิศวกร ระดับ ๙ ๑๐) นายศิวัชญ์ ปุสวิโร วิศวกร ระดับ ๘ ๑๑) นายภัทรดนัย เสมอวงษ์ วิศวกร ระดับ ๕ ๒.๒.๔ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑) นายพันศักดิ์ ถิระมงคล นักวิชาการเชี่ยวชาญ ๒) นายถิระพล คงชนม์ นักวิชาการช านาญการ ๒.๒.๕ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ๑) นายจิรวัฒน์ บุปผาพรหม นิติกรช านาญการ ๒) นายพงษ์มนัส ศรีวิทยานันท์ วิศวกรปฏิบัติการ ๓) นางสาวชุตินันท์ โฉมฉาย วิศวกรปฏิบัติการ ๒.๒.๖ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรม ๑) นางสาวกฤตยาพร ทัพภะทัต รองผู้ว่าการการนิคมแห่งประเทศไทย ๒) นางสาวจริยา สุขะปาน ผู้อ านวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อม
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ซ ๒.๒.๗. กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ๑) นายนคร ศรีมงคล วิศวกรเหมืองแร่ ช านาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อ านวยการกองบริหาร จัดการวัตถุดิบอุตสาหกรรม ๒) นายนพพล อิศรี นักธรณีวิทยาปฏิบัติการ ๒.๒.๘ ส านักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑) นางสาวรุ่งอรุณ ญาติบรรทุง นักวิชาการสิ่งแวดล้อมช านาญการพิเศษ ๒) นายฤกษ์ชัย ปิยจิตต์ไพโรจน์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมช านาญการ ๓) นางสาวปรียานุช เลิศรัศมีมาลา นักวิชาการสิ่งแวดล้อมปฏิบัติการ ๒.๒.๙ กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑) นายสมหมาย เตชวาล รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ๒) นายมนตรี เหลืองอังคะสุต ผู้อ านวยการส านักทรัพยากรแร่ ๓) นางสาวอังศุมาลิน พันโท นักธรณีวิทยาช านาญการ ๒.๒.๑๐ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ๑) นางกฤติกา ปั้นประเสริฐ ผู้อ านวยการส านักกฎหมาย ๒) นายเอก สาตรวาหา ผู้อ านวยการส านักพิกัดอัตราศุลกากร ๓) นางสาวดาราณี ทองอินทร์ นักวิชาการศุลกากรช านาญการ ๔) นายพลสรร สายฟ้า นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ ๒.๒.๑๑ บริษัท บ้านปู จ ากัด (มหาชน) ๑) นายอัครพงษ์ ไทยานนท์ Chief strategy Business Development officer ๒) นายภาณุวัฒน์ พิทักษ์ธีระธรรม Manager-Asset and Engineering Manager ๓) นายนรินทร์ สัมพัฒนวรชัย Manager –External Relations ๒.๓ การเดินทางศึกษาดูงาน คณะกรรมาธิการได้เดินทางไปศึกษาดูงาน จ านวน ๒ ครั้ง ดังนี้ ๒.๓.๑) วันที่ ๒๖ -วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ศึกษาดูงานเกี่ยวกับการขนส่งและ ล าเลียงเชื้อเพลิงถานหินเพื่อรองรับการน าไปใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้า ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสระบุรี ๒.๓.๒) วันที่ ๔-๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ศึกษาดูงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ที่น ามาผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะเชื้อเพลิงจากถ่านหินและชีวมวลอัดแท่ง ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปัญหา อุปสรรคในการด าเนินงาน และแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ณ จังหวัดล าปาง ๒.๔ การจัดสัมมนา คณะกรรมาธิการได้จดการจัดสัมมนา เรื่อง พลังงานไทย ท าอย่างไรให้มั่นคง ยั่งยืน วันอังคารที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษา ทางเลือกในการใช้ชนิดเชื้อเพลิงให้มีความคุ้มค่าและเหมาะสมกับประเทศไทย และเพื่อศึกษา นโยบาย การก ากับดูแล แนวทางการส่งเสริมศักยภาพการผลิตจากเทคโนโลยีถ่านหิน และทิศทางการพัฒนา
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ฌ เทคโนโลยีถ่านหินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึงปลายน้ า รวมทั้ง เพื่อรับทราบโอกาส ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินในประเทศไทย ตลอดจน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสานความร่วมมือระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และประชาชน อันน าไปสู่การหามาตรการ และแนวทางในการพัฒนาพลังงานของประเทศเพื่อน าข้อมูลที่ได้จากการสัมมนามาสรุปและประมวลผล เพื่อใช้เป็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๓. ผลการพิจารณาศึกษา คณะกรรมาธิการขอรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิล ของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน โดยคณะกรรมาธิการได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการพิจารณา ศึกษาและติดตามด้านพลังงานฟอสซิล ด าเนินการพิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมาธิการได้ พิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว และได้มีมติให้ความเห็นชอบ กับรายงานดังกล่าว โดยถือเป็นรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ จากการพิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมาธิการจึงขอเสนอรายงานการ พิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการโดยมีรายละเอียดตามรายงานท้ายนี้ เพ่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ ละขอให้แจ้งไปยัง คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและด าเนินการตามแต่จะเห็นสมควรต่อไป ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและประชาชนสืบไป พลเอก (อุทิศ สุนทร) เลขานุการคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ญ บทสรุปผู้บริหาร ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีเนื่องจากการพัฒนาประเทศ และการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก สูงถึง ร้อยละ ๕๘ ของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยในจ านวนนี้มีสัดส่วนของ แอล เอ็น จี ร้อยละ ๒๐ ซึ่งตามแผนระยะยาวมีแนวโน้มที่สัดส่วน แอล เอ็น จี จะมากขึ้นเนื่องจากความสามารถในการจ่ายก๊าซ จากแหล่งอ่าวไทยลดลง นอกจากนี้ การใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป โดยไม่ กระจายให้เกิดความหลากหลาย จะท าให้การรักษาความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศไทยลด ต่ าลง การเฉลี่ยต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ให้มีเสถียรภาพ ควรปรับสัดส่วนการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จากประมาณร้อยละ ๑๕- ๒๐ ให้สูงขึ้นเป็นร้อยละ ๔๐ เพื่อให้ใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ความต้องการใช้ถ่านหินที่มีปริมาณมากขึ้นทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรม อันเป็นผลมาจากราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่นๆ มีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการและ การน าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดมาใช้อาจก่อให้เกิดมลภาวะ จึงควรมีแผนทางด้านการวิจัย และพัฒนา ด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดเป็นของตนเอง และควรมีหน่วยงานในการก ากับดูแล การส่งเสริมการใช้ ถ่านหินโดยตรง เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึง ประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจโดยมีการก ากับดูแล ตั้งแต่กระบวนการน าเข้า การขนถ่ายถ่านหิน การ น าไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จากที่กล่าวมาข้างต้นคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้ตระหนักถึงความส าคัญ และความจ าเป็นในการ เพิ่มศักยภาพความมั่นคงทางด้านพลังงาน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเห็นควรให้มี การพิจารณาศึกษา ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของประเทศในอนาคต รองรับความต้องการใช้ พลังงาน ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่น ามาใช้งาน เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้ง ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคณะอนุกรรมาธิการได้จัดท าวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษานโยบาย การก ากับดูแล แนวทางการส่งเสริม และทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีถ่าน หิน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึงปลายน้ า ๒) เพื่อศึกษา สถานการณ์การใช้ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ๓) เพื่อศึกษาปัญหา และ อุปสรรค ในการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในประเทศไทย ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึง ปลายน้ า ๔) เพื่อศึกษาทางเลือกในการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินให้มีความคุ้มค่า และเหมาะสมกับประเทศไทย โดยมีผลที่คาดว่าจะได้รับดังนี้ ๑) ได้ทราบแนวทางในการก าหนดนโยบาย การก ากับดูแล แนวทางการส่งเสริม และทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ๒) ได้ทราบปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในภาคอุตสาหกรรม และ การผลิตไฟฟ้า ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึงปลายน้ าที่เหมาะสม โดยให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ๓) ได้ข้อเสนอแนะในการเลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิงให้มีความคุ้มค่า เกิดความมั่นคง ทางด้านพลังงาน และเหมาะสมกับประเทศไทย ๔) ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายส าหรับรัฐบาล ในการ ก ากับดูแลการใช้ถ่านหินของประเทศไทยในอนาคต
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติหน้า ฎ บทสรุปและข้อเสนอแนะ รายงานฉบับนี้จัดท าขึ้นเพื่อน าเสนอแนวทางการจัดการ “ทิศทางการใช้พลังงานของไทยในอนาคต”เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน การกระจายสัดส่วนการ ใช้เชื้อเพลิงแต่ละชนิด มีผลท าให้ค่าไฟฟ้ามีราคาเหมาะสม จูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้๑) ถ่านหิน ยังคงเป็นเชื้อเพลิงที่ส าคัญ ของประเทศไทย และสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหิน เพื่อให้ราคาต้นทุนเฉลี่ยการผลิตไฟฟ้าจาก เชื้อเพลิงทุกชนิดไม่สูงกว่าปัจจุบันตามราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และ แอล เอ็น จี ที่ราคามีแนวโน้ม สูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่ดี มีความเสถียร ท าให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน ราคาถูก กว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ถึงแม้จะมีการน าเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ ก็ยังคงมีต้นทุนที่ต่ ากว่าเชื้อเพลิง ประเภทอื่น และราคาไม่ผันผวนมาก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคอื่นๆ มีราคาที่ เหมาะสม ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าและบริโภคสินค้าในราคาถูก นอกจากนั้นยังเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ด้านราคากับประเทศอื่นๆ ๒) แผนพัฒนาก าลังผลิตไฟฟ้าประเทศไทย (Thailand Power Development Plan: PDP) ซึ่งเป็นแผนแม่บทในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข ควรค านึงถึงการกระจายสัดส่วนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อท าให้ค่าไฟฟ้ามีราคาที่เหมาะสมไม่ สูงมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อประชาชน ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม จะท าให้ประเทศไทยยังคง เป็นประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ และไม่ต้องมีความกังวลเรื่องมลภาวะจากถ่านหิน ซึ่งชดเชยด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยการก าจัดมลภาวะต่างๆให้เหลือน้อยที่สุด ไม่เป็นอันตราย ต่อประชาชน และสิ่งแวดล้อม ๓) รัฐต้องก าหนดให้มีองค์กรหรือคณะกรรมการร่วมในระดับปฏิบัติเพื่อ ท าหน้าที่เป็นหน่วยงานในการบูรณาการ การก ากับดูแลในภาพรวมที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินกิจการด้าน ถ่านหินโดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม และ การยอมรับจากประชาชนในการน าถ่านหินมาใช้ ๔) รัฐต้องมีการควบคุม และก ากับดูแลให้น าเทคโนโลยี ที่มีความทันสมัยสามารถควบคุมมลภาวะได้ รวมทั้งก าหนดค่ามาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน อาทิ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ไนโตรเจนออกไซด์ (NOX) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)สารปรอท ส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการรายเดิมน าเทคโนโลยีในการลดมลพิษเข้ามาใช้ในการประกอบกิจการ และก าหนด บทลงโทษที่เข้มงวดแก่ผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ๕) รัฐต้องก าหนดแนวทางการสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของสังคม และสิทธิของชุมชน เพื่อให้การพัฒนาพลังงานของประเทศ ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประชาชน รับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะ โดยรัฐพร้อมชี้แจงทุก ประเด็นข้อสงสัยจากการก าหนดนโยบายการเลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิงที่คุ้มค่า เช่น ถ่านหิน เพื่อสร้างความ เข้าใจอันดีร่วมกันต่อไป
สารบัญ หน้า รายนามคณะกรรมาธิการ ก-ข รายนามคณะอนุกรรมาธิการ ค รายงานการพิจารณาศึกษา ง-ฌ บทสรุปผู้บริหาร ญ-ฎ บทที่ ๑ บทน า ๑.๑ หลักการและเหตุผล ๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ในการศึกษา ๒ ๑.๓ ระยะเวลาด าเนินงาน ๒ ๑.๔ วิธีด าเนินการ ๓ ๑.๕ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ๓ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ธรรมชาติถ่านหิน ๕ ๒.๒ การจ าแนกถ่านหิน ๘ ๒.๓ การส ารวจถ่านหิน ๑๐ ๒.๔ การท าเหมืองถ่านหิน ๑๑ ๒.๕ การใช้ประโยชน์จากถ่านหิน ๑๕ ๒.๖ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ถ่านหิน ๑๖ ๒.๗ การก าจัดสิ่งเจือปนในถ่านหิน ๑๘ ๒.๘ ถ่านหินกับประเทศไทย ๒๖ ๒.๙ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒๙ ๒.๑๐ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ๓๔ บทที่ ๓ วิธีการพิจารณาศึกษา ๓.๑ การเชิญบุคคลและหน่วยงานทีเกี่ยวข้องมาร่วมประชุม ๓๙ ๓.๒ การศึกษาดูงาน ๗๔ ๓.๓ การจัดสัมมนา ๑๐๗ บทที่ ๔ วิเคราะห์ผลการศึกษา ๑๑๓ ๔.๑ จุดแข็ง ๑๑๔ ๔.๒ จุดอ่อน ๑๑๙ ๔.๓ โอกาส ๑๒๐ ๔.๔ อุปสรรค ๑๒๑ บทที่ ๕ บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๑๒๕ ภาคผนวก
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑ บทที่ ๑ บทน า ๑.๑ หลักการ และเหตุผล ประเทศไทยมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีเนื่องจากการพัฒนาประเทศ และการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก สูงถึง ร้อยละ ๕๘1(๑) ของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งนี้ปริมาณส ารองก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยมี อยู่อย่างจ ากัด ท าให้ต้องน าเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศพม่าในสัดส่วนร้อยละ ๓๐ และน าเข้า แอล เอ็น จี ที่สัดส่วนร้อยละ ๒๐ ของเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ โดยที่ตามแผนระยะยาวมีแนวโน้มที่จะต้องใช้ แอล เอ็น จี เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากราคา แอล เอ็น จี สูงขึ้น ย่อมท าให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ธรรมชาติต่อหน่วยสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ การใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป โดยไม่กระจายให้เกิดความ หลากหลาย จะท าให้การรักษาความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศไทยลดต่ าลง การเฉลี่ยต้นทุน ราคาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จึงเป็นเรื่องส าคัญ และต้องมีการปรับปรุง เพื่อให้มีต้นทุนในการผลิต ไฟฟ้าต่ าที่สุด เนื่องจากไฟฟ้าเป็นต้นทุนของการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ในการพัฒนาประเทศ และ เป็นสิ่งจ าเป็นในการด ารงชีวิตของประชาชน เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศให้มีเสถียรภาพ ควรปรับสัดส่วนการใช้ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จากประมาณร้อยละ ๑๕-๒๐ ให้สูงขึ้นเป็นร้อยละ ๔๐ เพื่อให้ใกล้เคียง กับประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากถ่านหินมีราคาค่อนข้างต่ า ไม่เปลี่ยนแปลงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ ราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่นๆ และปล่อยมลพิษน้อย เมื่อใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้องในการใช้งาน นอกจากนี้ไม่เพียงแต่ภาคการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น ที่มีความต้องการทางด้านถ่านหินเพิ่มขึ้น แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ก็มีแนวโน้มของความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน กิจการที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินในหลายๆ ประเทศได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด (การเพิ่มประสิทธิภาพถ่านหิน) นับตั้งแต่กระบวนการต้นน้ าถึงปลายน้ า กล่าวคือ ตั้งแต่การท าเหมือง การขนส่ง การจัดการถ่านหินก่อนน ามาใช้และการก าจัดลดมลพิษหลังการใช้เพื่อให้มีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ส่วนมากเทคโนโลยีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการลด หรือก าจัดมลพิษที่เกิดขึ้นจากการ น าถ่านหินมาใช้รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ปัญหามลพิษที่เกิดจากการ เผาไหม้ของถ่านหิน ได้แก่ฝุ่นละออง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์และก๊าซคาร์บอน โมโนออกไซด์เป็นต้น จากความต้องการใช้ถ่านหินที่มีปริมาณมากขึ้นทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรม อันเป็นผลมาจากราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดอื่นๆมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการและการ น าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดมาใช้อาจก่อให้เกิดมลภาวะ ดังนั้นปัญหาการต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินจาก ประชาชน จึงเป็นปัญหาส าคัญมากในการด าเนินการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทย 1 1 (๑) ส านักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน, เวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาก าลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan : PDP) ของประเทศไทยฉบับใหม่ (Public Hearing), ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑, ๓
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒ ยกตัวอย่างเช่น การต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินล่าสุด ในจังหวัดกระบี่ และอ าเภอเทพา จังหวัดสงขลา ประชาชนกังวลในเรื่องของเส้นทางการเดินเรือขนส่งถ่านหิน และการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ซึ่งอาจจะ ส่งผลกระทบกับการประมง และทรัพยากรทางทะเล เป็นต้น จากการที่ประเทศไทยน าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดเข้ามาใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งท าให้ เกิดการพึ่งพาการน าเข้าเทคโนโลยีต่างๆ จึงควรมีแผนทางด้านการวิจัย และพัฒนาด้านเทคโนโลยี ถ่านหินสะอาดเป็นของตนเอง และควรมีหน่วยงานในการก ากับดูแล การส่งเสริมการใช้ถ่านหินโดยตรง เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงประชาชน เพื่อสร้าง ความมั่นใจโดยมีการก ากับดูแล ตั้งแต่กระบวนการน าเข้า การขนถ่ายถ่านหิน การน าไปใช้อย่างมี ประสิทธิภาพ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จากที่กล่าวมาข้างต้นคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้ตระหนักถึงความส าคัญ และความจ าเป็นในการ เพิ่มศักยภาพความมั่นคงทางด้านพลังงาน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเห็นควรให้มี การพิจารณาศึกษา ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของประเทศในอนาคต รองรับความต้องการใช้ พลังงาน ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่น ามาใช้งาน เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้ง ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ๑.๒ วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อศึกษานโยบาย การก ากับดูแล แนวทางการส่งเสริม และทิศทางการพัฒนา เทคโนโลยีถ่านหิน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึงปลายน้ า ๒. เพื่อศึกษาสถานการณ์การใช้ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ๓. เพื่อศึกษาปัญหา และอุปสรรค ในการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในประเทศไทย ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึงปลายน้ า ๔. เพื่อศึกษาทางเลือกในการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินให้มีความคุ้มค่า และเหมาะสมกับประเทศไทย ๑.๓ ระยะเวลาด าเนินงาน ภายในระยะเวลา ๑๒ เดือน นับตั้งแต่เดือน มกราคม-ธันวาคม ๒๕๖๑ ตารางที่ ๑-๑ แผนการด าเนินการตามช่วงเวลา กิจกรรม เดือนที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ กิ จกรรมที่ ๑ ศึ กษานโยบาย ประสบการณ์ และ วิธีด าเนินการการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีถ่านหินใน ต่างประเทศและศึกษาสถานการณ์การใช้ถ่านหิน และ เทคโนโลยีถ่านหินในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย จากเอกสารทางวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กิจกรรมที่ ๒ ศึกษาข้อก าหนดทางด้านนโยบาย ด้าน กฎหมาย และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยที่มีผลต่อ การใช้ถ่านหิน
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๓ กิจกรรม เดือนที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ กิจกรรมที่ ๓ ประเมินปัญหา และอุปสรรคในการ พัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินในประเทศไทย กิจกรรมที่ ๔ การจัดประชุมระดมความคิดเห็นจาก ผู้เชี่ยวชาญ (Focus group) กิจกรรมที่ ๕ การจัดประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความ คิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ กิจกรรมที่ ๖ จัดท าข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเบื้องต้น ส าหรับรัฐบาลที่เหมาะสมในการก ากับดูแลการใช้ถ่าน หินของประเทศไทยในอนาคต รายงานความก้าวหน้า กิจกรรมที่ ๗ รายงานฉบับสมบูรณ์ ๑.๔ วิธีการด าเนินงาน แนวคิด วิธีการ และกระบวนการท างาน การด าเนินงานศึกษาการใช้ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ไทย โดยเชิญหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนมาร่วมประชุมให้ข้อมูลประกอบการแสดงความคิดเห็น เอกสารการศึกษา งานวิจัย กฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน จัดสัมมนารับฟังความ คิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่ เพื่อวิเคราะห์เป็นบทสรุปเชิงเสนอแนะให้มีการด าเนินการที่มีประสิทธิภาพ ในการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๑.๕ ผลที่คาดว่าจะได้รับ ๑) ได้ทราบแนวทางในการก าหนดนโยบาย การก ากับดูแล แนวทางการส่งเสริม และทิศ ทางการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ๒) ได้ทราบปัญหา อุปสรรค และแนวทางในการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดใน ภาคอุตสาหกรรม และการผลิตไฟฟ้า ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ าจนถึงปลายน้ าที่เหมาะสม โดยให้เกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ๓) ได้ข้อเสนอแนะในการเลือกใช้ชนิดเชื้อเพลิงให้มีความคุ้มค่า เกิดความมั่นคงทางด้าน พลังงาน และเหมาะสมกับประเทศไทย ๔) ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายส าหรับรัฐบาล ในการก ากับดูแลการใช้ถ่านหินของประเทศ ไทยในอนาคต
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๕ บทที่ ๒ เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ถ่านหิน ในการศึกษาทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน จึงได้ทบทวน เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินในประเด็นที่เกี่ยวกับธรรมชาติของถ่านหิน การจ าแนกถ่านหิน การส ารวจถ่านหิน การท าเหมืองถ่านหิน การใช้ประโยชน์จากถ่านหิน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจาก การใช้ถ่านหิน การก าจัดสิ่งเจือปนในถ่านหิน ถ่านหินกับประเทศไทย กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๒.๑ ธรรมชาติของถ่านหิน ถ่านหิน (Coal) คือหินตะกอนชนิดหนึ่งที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากการ ตกสะสมตัวของซากพืชดึกด าบรรพ์เป็นระยะเวลายาวนานหลายล้านปี จนตะกอนได้เปลี่ยนสภาพไป และมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นธาตุคาร์บอน โดยมีธาตุอื่นๆทั้งที่เป็นก๊าซและของเหลวปนอยู่ด้วยใน สัดส่วนที่น้อยกว่า และเป็นเชื้อเพลิงธรรมชาติที่ติดไฟได้ มักมีสีน้ าตาลอ่อนจนถึงด า มีทั้งชนิดผิวมันและ ผิวด้าน น้ าหนักเบา ถ่านหินมีสารประกอบของคาร์บอนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ โดยน้ าหนัก หรือร้อยละ ๗๐ โดยปริมาตร และยังมีสารประกอบอื่นๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และก ามะถัน เป็นต้น ถ่านหินที่มีปริมาณร้อยละของคาร์บอนสูงและมีธาตุประกอบอื่นต่ า เมื่อน ามาเผาจะให้พลังงานความ ร้อนมากและถือว่าเป็นถ่านหินคุณภาพดี แหล่งถ่านหินมีกระจายอยู่เกือบทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งแหล่งที่สามารถขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ (Recoverable Reserves) มีประมาณ ๗๐ ประเทศ และจากการประมาณปริมาณส ารองของถ่านหิน ของโลกโดย Energy Information Administration ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั่วโลกมีมีปริมาณส ารองถ่านหิน ๑,๐๐๐,๙๑๒ ล้านตัน โดยพื้นที่ที่มีปริมาณส ารองถ่านหินอยู่มาก ได้แก่ ทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป โดยเฉพาะประเทศโปแลนด์เยอรมัน และทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย และประเทศทางแถบรัสเซีย ๒.๑.๑ รูปแบบการก าเนิดถ่านหิน ถ่านหินเกิดจากผลของการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติของโลก ที่กระท าต่อซากพืชที่ ตายลง และสะสมอยู่ในลุ่มน้ า หรือแอ่งน้ าต่างๆ หรืออาจเกิดจากการที่ซากพืชเหล่านี้ถูกกระแสน้ าพัด พามาแล้วสะสมตัวอยู่ในบริเวณนั้น เมื่อเวลาผ่านไปซากพืชเหล่านี้จะถูกปิดทับโดยตะกอนต่างๆ เป็นจ านวนมากขึ้นตามล าดับ ท าให้เกิดแรงบีบอัดโดยน้ าหนักของตะกอน ประกอบกับได้รับอิทธิพลของ ความร้อนภายในโลก ท าให้ซากพืชต่างๆ เหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี จนกลายเป็นถ่านหินใน ที่สุด ซึ่งสามารถสรุปได้ว่ารูปแบบในการสะสมซากพืชแล้วท าให้เกิดเป็นถ่านหินนั้น มีด้วยกัน ๒รูปแบบ(๒) คือ (๒) กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ, ประชาชาติธุรกิจ, ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๖ ๒.๑.๑.๑ เป็นการสะสมตัวของซากพืชที่เคยเจริญเติบโตอยู่ในบริเวณนั้น อาจจะเป็น ตามลุ่มน้ า หรือแอ่งน้ าตื้นๆ เมื่อมีการร่วงโรยตายลงก็จะสะสมตัวกันอยู่ภายในแอ่งน้ าแห่งนั้นกลายเป็น ชั้นถ่านหินที่เรียกว่าแหล่งการสะสมตัวอยู่กับที่ (Autochthonous Coal Deposit) ถ่านหินที่เกิดขึ้น จากการสะสมตัวแบบนี้ มักพบว่ามีชั้นดินเหนียววางตัวอยู่ใต้ชั้นถ่านหิน โดยจะมีชั้นถ่านหินสม่ าเสมอ เป็นบริเวณกว้างแม้ว่าจะมีชั้นหินดินดานแทรกสลับอยู่บ้างก็ตาม และไม่ค่อยมีสารอื่นปะปนในชั้นถ่านหิน เนื้อถ่านหินจะคงรูปซากพืชไว้อย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในถ่านหินคุณภาพต่ า (Low Rank Coal) และ คุณภาพของเนื้อถ่านหินมักไม่คงที่ตลอด ชั้นถ่านหินส่วนที่อยู่ข้างใต้จะมีลักษณะอ่อน หรืออยู่ ส่วนกลางๆ จะเป็นถ่านหินที่มีคุณภาพดีมีลักษณะเป็นมันวาว แต่ส่วนตอนบนจะมีคุณภาพของถ่านหิน ต่ าลงอีก โดยทั่วไปชั้นถ่านหินที่เกิดอยู่กับที่แบบนี้จะมีชั้นหินดินดานปิดอยู่ข้างบน แหล่งถ่านหินแบบนี้ สามารถพบได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะแหล่งขนาดใหญ่และส าคัญๆ ของโลก ที่อยู่ค่อนไปทางขั้วโลกเหนือ เป็นแหล่งที่มีการก าเนิดแบบนี้ทั้งสิ้น ๒.๑.๑.๒ เป็นการสะสมตัวของซากพืชที่เคยเจริญเติบโตในที่อื่น เมื่อมีการร่วงโรยตายลง ถูกน้ าพัดพาไปพร้อมกับตะกอนอื่นๆ และเมื่อถูกพัดพามาอยู่ในบริเวณที่เหมาะสมก็จะตกตะกอนสะสม ทับถมกันเป็นชั้นถ่านหินที่ห่างไกลจากแหล่งก าเนิดเดิม เรียกว่าแหล่งการสะสมตัวจากพืชที่เกิดที่อื่น (Allochthonous Coal Deposit) แหล่งถ่านหินแบบนี้ไม่ค่อยมีอยู่ทั่วไป แต่จะมีอยู่ในบางประเทศ โดยเฉพาะในบริเวณขั้วโลกด้านใต้ แหล่งถ่านหินแบบนี้มีอาณาบริเวณไม่ค่อยกว้างขวาง และความหนา ของชั้นถ่านหินไม่แน่นอน เนื่องจากมาจากบางส่วนของซากพืชที่ถูกน้ าพัดพาไปจากแหล่งเดิม ชั้นถ่านหิน จะมีสารอื่นๆ ปะปนอยู่มาก โดยเฉพาะสารที่เกิดจากพวกโคลนตมซึ่งท าให้มีปริมาณขี้เถ้า (Ash Content) มากกว่าแบบแรก ส่วนชั้นหินที่วางอยู่บนชั้นของถ่านหินขึ้นอยู่กับชั้นหินต้นก าเนิดที่ถูก ท าลายให้ผุกร่อน และพัดพาไปตามสายน้ า โดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดเป็นชั้นหินทราย และหินดินดาน ในกรณีที่เกิดใต้ชั้นหินทรายจะท าให้ถ่านหินที่ได้ไม่มีคุณสมบัติในการอบไล่ก๊าซ หรือท าให้เป็นถ่านโค้กได้ เพราะก๊าซที่เกิดขึ้นในกระบวนการจะมีการเล็ดลอดผ่านทางช่องว่างของหินทรายได้ ส่วนในกรณีของชั้น ถ่านหินที่มีหินดินดานปิดทับอยู่ข้างบนนั้น ก๊าซที่เกิดในระหว่างกระบวนการสลายตัวของซากพืชจะไม่ สามารถผ่านออกไปได้ ถ่านหินที่ได้จึงสามารถท าเป็นถ่านหินชนิดที่อบไล่ก๊าซ และท าถ่านโค้กได้ ๒.๑.๒ องค์ประกอบในการก าเนิดถ่านหิน ในการก าเนิดถ่านหิน ไม่ว่าจะมีรูปแบบการก าเนิดแบบใด หรือมีขนาดแตกต่างกันแค่ไหน ในแต่ละพื้นที่จะมีองค์ประกอบ หรือปัจจัยที่ส าคัญที่ท าให้เกิดการสะสมตัวคล้ายๆ กันคือ ๒.๑.๒.๑ ด้านสภาพอากาศ ต้องมีสภาพอากาศที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช และ พันธุ์ไม้ต่างๆ ซึ่งมีทั้งพืชใบเลี้ยงคู่ เช่นพืชในตระกูลเฟิร์น และพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เป็นต้น ๒.๑.๒.๒ พื้นที่ที่มีการทับถมกันนั้น ต้องเป็นบริเวณที่ไม่มีน้ าไหลเข้าออก หรือต้องเป็น บริเวณน้ านิ่ง และเป็นบริเวณที่มีก๊าซออกซิเจนจ ากัด เพื่อไม่ให้เกิดการเน่าสลายของซากพืชก่อนที่จะ กลายเป็นถ่านหิน โดยทั่วไปพบว่าบริเวณที่เหมาะสมในการเกิดถ่านหินมี ๖ บริเวณ(๓) คือ (๓) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย.2547ก. ออน-ไลน์
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๗ (๑) บริเวณที่ลุ่มชายฝั่ง (Coastal Marsh) (๒) บริเวณดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) (๓) บริเวณทะเลสาบและปากอ่าว (Lagoon and Bay) (๔) บริเวณที่ราบเชิงเขา (Piedmont Plain) (๕) บริเวณที่ราบตะกอนน้ าพา (Alluvial Plain) (๖) บริเวณแอ่งในหุบเขา (In Tramontane Basin) ๒.๑.๒.๓ ระดับความลึกของซากพืชที่สะสมอยู่ในแอ่ง ซึ่งถ้าอยู่ในระดับลึกมากๆ จะท า ให้จุลินทรีย์มาท าการย่อยสลายน้อยลง เพราะจุลินทรีย์ไม่สามารถทนต่อความร้อนที่เพิ่มขึ้นตามระดับ ความลึกภายในโลกได้ หรือถ้าอยู่ในระดับตื้นเกินไป หรือโผล่ขึ้นมาออกซิเจนอาจท าให้ซากพืชเน่าเปื่อยได้ ๒.๑.๒.๔ การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่เหมาะสม และมีความต่อเนื่อง ๒.๑.๒.๕ การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่เหมาะสมที่จะท าให้เกิดความกดดัน และ ความร้อนที่เหมาะสมอันจะท าให้ซากพืชแปรสภาพเป็นถ่านหินได้ ๒.๑.๓ กระบวนการเกิดถ่านหิน การที่ซากพืชซึ่งสะสมตัวในแหล่งต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเป็นพีต (Peat) และกลายไป เป็นถ่านหินในที่สุด จะมีกระบวนการทางชีวเคมีและความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้องดังนี้คือ ๒ .๑ .๓ .๑ ก ระบ วน ก ารท างชี วเคมี (Biochemical Reaction) ห รือเรียก ว่ า กระบวนการการก่อตัวใหม่ เป็นกระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี โดยจุลินทรีย์ จะท า การย่อยสลายซากพืช ท าให้กลายเป็นสารเนื้อเดียวกัน โดยอยู่ในรูปของสารที่มีองค์ประกอบของ คาร์บอน และไฮโดรเจนเป็นส่วนใหญ่ ในที่สุดซากพืชที่ตกตะกอนสะสมกันอยู่นั้นจะกลายเป็นพีต ซึ่งสิ่ง ส าคัญที่สุดในกระบวนการนี้คือสภาพแวดล้อมของแอ่งที่สะสมตะกอน ถ้าซากพืชจมอยู่ใต้น้ าลึกเกินไป จุลินทรีย์จะไม่สามารถท าการย่อยสลายได้ หรือถ้าตื้นเกินไปออกซิเจนในอากาศจะท าให้ซากพืชเกิดการ เน่าเปื่อยได้ ๒.๑.๓.๒ กระบวนการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความร้อน (Thermal Alteration) หรือการแปรสภาพ (Metamorphism) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากกระบวนการข้างต้น ซึ่งใน กระบวนการนี้พีตที่เกิดขึ้นจะแปรสภาพไปเป็นถ่านหิน โดยเมื่อชั้นพีตถูกปิดทับด้วยตะกอนมากขึ้น เรื่อยๆ จะท าให้ชั้นพีตจมลึกลงไปเรื่อยๆ ในระดับความลึกที่เหมาะสม ความร้อนจากภายในโลกที่ เพิ่มขึ้นตามระดับความลึกจะเป็นตัวหยุดกระบวนการก่อตัวใหม่ และจะเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากความร้อนขึ้นแทน ท าให้พีตมีการแปรสภาพไปเป็นถ่านหิน เรียกกระบวนการนี้ว่า การแปรสภาพเป็นถ่านหิน (Coalification) ๒.๑.๔ ตัวอย่างขั้นตอนการก าเนิดถ่านหิน ตัวอย่างของขั้นตอนกระบวนการก าเนิดถ่านหินของแหล่งที่มีการสะสมตัวอยู่กับที่แสดง ไว้ในภาพที่ ๒.๑ พร้อมค าอธิบาย
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๘ ล าดับแรก ถ่านหินจะเกิดบริเวณที่เป็นหนอง บึง แอ่งน้ า หรือที่ชื้นแฉะ ริมแม่น้ า ริมทะเล ที่มีระดับต่ ากว่าบริเวณรอบข้างซึ่งเกิดจากการยุบตัวลง หรือบริเวณรอบข้างมีการยกตัวสูงขึ้น เนื่องจากการปรับตัวของผิวโลก ล าดับที่สอง บริเวณนี้มีสภาพแวดล้อมที่อ านวยให้มีพืชเกิดขึ้น และ อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มีวงจรชีวิตหลายครั้ง มีทั้งเกิดขึ้นและล้มตายลง ติดต่อกันเป็นช่วงๆ ท าให้มีซากพืชต่างๆ สะสมทับถมกันเป็นจ านวนมาก ล าดับที่สาม เมื่อบริเวณนี้มีการผุพังเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของ ผิวโลก ท าให้มีตะกอนดินมาทับถมซากพืช และซากสิ่งมีชีวิตอื่น รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงสภาพสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะแห้งแล้ง น้ าท่วม การผุพังท าลาย การเคลื่อนไหวของผิวโลก การแตกแยกของแผ่นดิน เป็นต้น ท าให้ซากต่างๆ ที่สะสมอยู่ได้รับแรงกดดัน และได้รับความ ร้อนจากภายในโลก ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและฟิสิกส์ ในบริเวณดังกล่าวซากเหล่านี้จึงแปรสภาพไปเป็นพีต ล าดับที่สี่ อิทธิพลจากทั้งแรงกดดัน และความร้อนภายในโลกเป็น เวลานานๆ ท าให้ถ่านพีตถูกอัดตัวกลายเป็นถ่านหิน ซึ่งมีคุณลักษณะ แตกต่างกันในแต่ละแห่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะ และชนิดของพืชพันธุ์ไม้ ล าดับที่ห้า เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ อาจมีดินและหินมาทับถมแหล่งซาก เหล่านั้น และปกคลุมชั้นถ่านหินเอาไว้จนอยู่ในสภาพปัจจุบัน ภาพที่ ๒.๑ แสดงขั้นตอนการก าเนิดถ่านหินของแหล่งที่มีการสะสมตัวอยู่กับที่ ที่มา: (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย. ๒๕๔๗ก. ออน-ไลน์) ๒.๒ การจ าแนกถ่านหิน การจ าแนกถ่านหินมีหลายระบบ ซึ่งแตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ของการใช้งาน เช่น ระบบ อังกฤษ (Great Britain) ระบบยุโรป (Europe International) ระบบอเมริกาเหนือ (North America) และระบบออสเตรเลีย (Australia) เป็นต้น อย่างไรก็ตามระบบต่างๆ เหล่านี้ก็ยังใช้เกณฑ์แบ่งที่ คล้ายคลึงกัน เช่น ใช้ค่าความร้อน (Calorific value) และผลวิเคราะห์ทางเคมีอื่นๆ เช่น ปริมาณ คาร์บอน (Fixed carbon) ค่าความชื้น (Moisture content) และความสามารถในการระเหย (Volatile matter) ส าหรับระบบที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันได้แก่ ระบบของสมาคมทดสอบ และวัสดุ แห่งสหรัฐอเมริกา (American Society for Testing and Materials, ASTM) ซึ่งเป็นระบบการจ าแนก ถ่านหินตามล าดับชั้น (Rank) มีความชัดเจน และง่ายต่อการใช้งาน จึงเป็นที่นิยมใช้กันมากในหลาย
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๙ ประเทศ การจ าแนกถ่านหินตามล าดับชั้นจะมีการจ าแนกโดยพิจารณาความสมบูรณ์ในการเปลี่ยนสภาพ จากซากพืชไปเป็นถ่านหิน (Degree of Coalification and Metamorphism) การเปลี่ยนแปลง สัดส่วนปริมาณของสารองค์ประกอบในกระบวนการจนกลายเป็นถ่านหิน แสดงไว้ในภาพที่ ๒.๒ ซึ่งจะ เห็นว่าเมื่อกระบวนการนี้ด าเนินไปปริมาณของคาร์บอนในถ่านหินจะเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณของสารอื่นจะลดลง ระบบของสมาคมทดสอบและวัสดุแห่งสหรัฐอเมริกาได้จ าแนกถ่านหินเป็น ๔ ล าดับชั้น โดยเรียงจากประเภทที่มีคาร์บอนมากที่สุดไปน้อยที่สุดคือ แอนทราไซต์ บิทูมินัส ซับบิทูมินัส และ ลิกไนต์ คุณสมบัติทั่วไปของถ่านหินที่อยู่ในล าดับสูงคือ จะมีปริมาณคาร์บอนมาก ให้ความร้อนสูง มีไฮโดรเจนและออกซิเจนอยู่น้อย ในขณะที่ถ่านหินที่อยู่ในล าดับต่ าจะมีปริมาณคาร์บอนน้อย แต่มี ไฮโดรเจน และออกซิเจนมาก ซึ่งแต่ละล าดับชั้นถูกแบ่งย่อยลงไปอีก ตามคุณสมบัติทางเคมีและค่า ความร้อนที่ต่างกันไป ลักษณะทั่วๆ ไปของถ่านหินในแต่ละล าดับชั้นดังกล่าว สรุปได้ดังนี้คือ ภาพที่ ๒.๒ แผนภูมิแสดงสัดส่วนของสารองค์ประกอบในกระบวนการแปรสภาพเป็นถ่านหิน ที่มา: (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย. ๒๕๔๗ก. ออน-ไลน์) ๒.๒.๑ ถ่านหินแอนทราไซต์ ถ่านหินแอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินที่ถูกจัดอยู่ในล าดับสูงสุด ถือว่าเป็นถ่าน หินที่มีคุณภาพดีที่สุด มีลักษณะด าเป็นเงามัน มีความวาวสูง มีปริมาณคาร์บอนสูงถึงร้อยละ ๙๐ ขึ้นไป มีปริมาณความชื้นต่ ามาก และมีค่าความร้อนสูง มีควันน้อยแต่จุดไฟติดยาก ส่วนใหญ่มักใช้เป็นแหล่ง เชื้อเพลิงเพื่อให้ความร้อนภายในบ้าน และในอุตสาหกรรมแก้ว อุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น ๒.๒.๒ ถ่านหินบิทูมินัส ถ่านหินบิทูมินัส (Bituminous) เป็นถ่านหินเนื้อแน่น มีลักษณะแข็ง และมักจะ ประกอบด้วยชั้นถ่านหินสีด าสนิทที่มีลักษณะเป็นมันวาว มีปริมาณคาร์บอนประมาณร้อยละ ๘๐-๙๐ และมีความชื้นร้อยละ ๒-๗ ถ่านหินประเภทนี้สามารถแบ่งย่อยได้เป็น ๓ กลุ่มตามความสามารถในการ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๐ ระเหย(๔) คือประเภทที่มีความสามารถในการระเหยสูง กลาง และต่ า ถ่านหินชนิดนี้เหมาะส าหรับการ ใช้เป็นถ่านหินเพื่อการถลุงโลหะ หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าได้ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณ คาร์บอน และความสามารถในการระเหย ๒.๒.๓ ถ่านหินซับบิทูมินัส ถ่านหินซับบิทูมินัส (Sub-Bituminous) มีลักษณะสีน้ าตาลเข้มจนถึงด า เนื้อถ่านหินจะ มีความอ่อนตัวคล้ายขี้ผึ้ง ไม่แข็งมาก มีปริมาณคาร์บอนประมาณร้อยละ ๗๑-๗๗ และมีความชื้น ประมาณร้อยละ ๑๐-๒๐ ถ่านหินประเภทนี้ส่วนมากใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า หรือใช้ใน อุตสาหกรรม ๒.๒.๔ ถ่านหินลิกไนต์ ถ่านหินลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่ยังพอมีซากพืชเหลือปรากฏให้เห็นอยู่เล็กน้อย มีสีน้ าตาลเข้มจนถึงด า มีปริมาณคาร์บอนค่อนข้างน้อย และมีปริมาณความชื้นสูงถึงร้อยละ ๓๐-๗๐ ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง และถือว่าเป็นถ่านหินที่มีคุณภาพต่ า ตารางที่ ๒.๑ เปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆ ของถ่านหินแต่ละชนิด ถ่านหิน ปริมาณความร้อน ปริมาณความชื้น ปริมาณขี้เถ้า ปริมาณก ามะถัน ๑. แอนทราไซต์ สูง-มาก ต่ า ต่ า ต่ า ๒. บิทูมินัส สูง ต่ า ต่ า ต่ า ๓. ซับบิทูมินัส ปานกลาง-สูง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ๔. ลิกไนต์ ต่ า-ปานกลาง สูง สูง ต่ า-สูง ๒.๓ การส ารวจถ่านหิน จากการศึกษาอายุของถ่านหินจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก พบว่าช่วงอายุของการเกิดถ่านหินนั้นมี ตั้งแต่ยุคเดโวเนียน (Devonian) คือประมาณ ๓๕๔-๔๑๗ ล้านปี จนถึงยุคเทอร์เทียรี (Tertiary) ซึ่งมี อายุประมาณ ๑.๘-๖๕ ล้านปี โดยช่วงอายุของการเกิดถ่านหินที่พบมากที่สุดคือ ยุคคาร์โบนิเฟอร์รัส (Carboniferous) มีอายุประมาณ ๒๙๐ – ๓๕๔ ล้านปี ซึ่งถ่านหินที่เกิดในยุคนี้ส่วนใหญ่เป็นถ่านหิน ประเภทบิทูมินัส และมีส่วนที่อยู่ตื้นขึ้นมาคือ ถ่านหินประเภทซับบิทูมินัส ส่วนถ่านหินประเภทลิกไนต์ จะมีอายุอยู่ในยุคเทอร์เทียรี(๕) ในการส ารวจถ่านหินโดยทั่วไปมีกรรมวิธีเหมือนกับการส ารวจปิโตรเลียม แต่ค่อนข้าง ง่ายกว่าเนื่องจากแหล่งก าเนิดของถ่านหินอยู่ในระดับที่ตื้นกว่าปิโตรเลียม หรือในแหล่งบาง แหล่งโดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นถ่านหินประเภทลิกไนต์อาจเพียงแค่ท าการส ารวจ (๔) World Coal Institute, 2004a. On-line (๕)Coal Deposits Within the Geological Time-Scale. 2004 : On-line
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๑ เบื้องต้นทางธรณีวิทยาก็สามารถคาดคะเนถึงแหล่งถ่านหินได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้การลงทุนในการที่ จะน าถ่านหินขึ้นมาใช้เกิดความคุ้มทุน จึงต้องมีการส ารวจทางธรณีฟิสิกส์ และการเจาะส ารวจ เพื่อ ยืนยันการค้นพบ และค านวณปริมาณถ่านหินในแหล่งนั้นเสียก่อนจึงค่อยด าเนินการในขั้นต่อไป ๒.๓.๑ การส ารวจทางธรณีวิทยา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการส ารวจแหล่งถ่านหิน จะมีกรรมวิธีคล้ายกับการส ารวจ ปิโตรเลียม กล่าวคือเริ่มจากการศึกษาธรณีวิทยาพื้นฐานของพื้นที่บริเวณนั้นโดยอาศัยแผนที่ทาง ธรณีวิทยา ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อดูลักษณะภูมิประเทศ การส ารวจธรณีวิทยา ในพื้นที่ การศึกษา และวิเคราะห์หินตัวอย่าง เนื่องจากถ่านหินมีคุณสมบัติทางกายภาพที่เด่นชัด เช่น มีสีน้ าตาลหรือด า มีค่าความหนาแน่นต่ า มีน้ าหนักเบา และมักพบถ่านหินเกิดเป็นชั้นๆ แผ่เป็นบริเวณกว้าง ดังนั้นจึงอาศัยคุณสมบัติเหล่านี้เป็นข้อพิจารณาในการส ารวจถ่านหิน ๒.๓.๒ การส ารวจทางธรณีฟิสิกส์ การส ารวจทางธรณีฟิสิกส์จะให้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่กว้าง และ เสียค่าใช้จ่ายในการส ารวจน้อย เมื่อเทียบกับการเจาะส ารวจ การส ารวจทางธรณีฟิสิกส์ จะท าให้ทราบ คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของชั้นดิน และหินที่ความลึกต่างๆ โดยใช้เครื่องมือทางธรณีฟิสิกส์แล้วจึงน าข้อมูล ที่ได้ไปวิเคราะห์ค านวณเพื่อแปลความหมายในเชิงของธรณีวิทยาอีกครั้งหนึ่ง วิธีการส ารวจธรณีฟิสิกส์ ที่นิยมใช้ในการส ารวจหาแหล่งถ่านหินโดยวิธีหลักๆ จะคล้ายกับการส ารวจปิโตรเลียมคือ การวัดค่า ความโน้มถ่วงของโลก การวัดความเข้มของสนามแม่เหล็กโลก การวัดคลื่นความไหวสะเทือน เป็นต้น ซึ่งเคยได้กล่าวรายละเอียดของแต่ละวิธีไว้ในเนื้อหาเรื่องปิโตรเลียมแล้ว ๒.๔ การท าเหมืองถ่านหิน การท าเหมืองถ่านหินในโลกเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เริ่มที่มีการพัฒนาการท าเหมืองถ่านหิน ขนาดใหญ่เมื่อราวศตวรรษที่ ๑๘ โดยทั่วไปการท าเหมืองถ่านหินจะแบ่งออกเป็น ๒ แบบด้วยกันคือ การท าเหมืองแบบเหมืองเปิด (Surface Mining) และการท าเหมืองแบบเหมืองใต้ดิน (Underground Mining) ในการพิจารณาเลือกรูปแบบการท าเหมืองในแต่ละแบบนั้นมีข้อจ ากัด ข้อดีและข้อเสีย แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะต้องยึดเอาลักษณะทางธรณีวิทยาของแหล่งถ่านหิน และความคุ้มค่าทาง เศรษฐศาสตร์เป็นหลักในการพิจารณา การท าเหมืองถ่านหินในแต่ละแบบพอสรุปได้ดังนี้ ๒.๔.๑ การท าเหมืองถ่านหินแบบเหมืองเปิด การท าเหมืองถ่านหินแบบเหมืองเปิด เมื่อท าการส ารวจทางด้านธรณีวิทยา และธรณี ฟิสิกส์จนได้ข้อมูลของแหล่งถ่านหินทั้งทางด้านลักษณะโครงสร้างของชั้นหินต่างๆ ตลอดจนปริมาณถ่าน หินที่มีอยู่แล้ว จะต้องน าข้อมูลดังกล่าวมาท าการศึกษาความเหมาะสมว่า การลงทุนท าเหมืองถ่านหินใน บริเวณนี้นั้นจะมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่ และควรท าเหมืองในรูปแบบใด การท าเหมืองถ่าน หินแบบเหมืองเปิดจะเหมาะสมที่สุดในกรณีที่แหล่งถ่านหินนั้นอยู่ไม่ลึกจากผิวดินมากนัก โดยทั่วไป
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๒ เหมืองประเภทนี้มีตั้งแต่ระดับผิวดินจนถึงระดับความลึกประมาณ ๕๐๐ เมตร ซึ่งรูปแบบในการท า เหมืองแบบนี้ที่ด าเนินการอยู่มีด้วยกัน ๓ แบบ(๖) คือ ๒.๔.๑.๑ เหมืองเปิดแบบบ่อ (Open Pit Mining) โดยจะมีการเปิดหน้าดินเป็นบ่อลึก ลงไปจนถึงชั้นถ่านหิน แล้วจึงท าการขุดถ่านหินออกมาใช้งาน การท าเหมืองประเภทนี้จะแบ่งท าเป็น ชั้นๆ ซึ่งอาจจะมีชั้นเดียวหรือหลายชั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับความลึกของชั้นถ่านหิน และความสามารถของ เครื่องจักรกลที่จะน ามาใช้ท างาน ลักษณะของเหมืองจะเหมือนกับการขุดบ่อลึกลงไปเป็นขั้นบันได ดังแสดงตัวอย่างในภาพที่ ๒.๓ การท าเหมืองเป็นชั้นๆ แบบนี้จะท าให้เกิดความมั่นคงของผนังของ บ่อเหมือง และมีความปลอดภัยในการท างาน ภาพที่ ๒.๓ แสดงตัวอย่างการท าเหมืองเปิดแบบบ่อ ที่มา: (Associated Mining Consultants Limited, 2005. On-line) ๒.๔.๑.๒ เหมืองเปิดแบบเปิดหน้าดินเฉพาะส่วน (Open cast mining) การท าเหมือง แบบนี้ เป็นการลดปริมาณการเปิดหน้าดิน และใช้เนื้อที่การท าเหมืองน้อยกว่าการท าเหมืองเปิดแบบบ่อ โดยจะกองหน้าดินที่เปิดขึ้นมาไว้ข้างเหมือง เมื่อท าการขุดถ่านหินในส่วนที่ขุดออกจนหมดแล้ว ก็จะย้าย ไปท าการเปิดหน้าดินในส่วนถัดไปที่อยู่ข้างๆ โดยน าหน้าดินที่เปิดมาถมกลับในส่วนที่ท าการขุดถ่านหิน ออกหมดแล้ว ดังแสดงในภาพที่ ๒.๔ ซึ่งการท าเหมืองแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนหน้าดิน และ การฟื้นฟูสภาพเหมืองได้มาก ลักษณะของแหล่งถ่านหินที่เหมาะกับการท าเหมืองแบบนี้คือ ต้องเป็น แหล่งถ่านหินขนาดใหญ่ ชั้นถ่านหินมีความต่อเนื่อง และอยู่ในแนวราบหรือมีความลาดเอียงไม่มากนัก และต้องอยู่ในระดับความลึกที่ไม่เกินความสามารถของเครื่องมือขุด (๖) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย. ๒๕๔๗ข. ออน-ไลน์
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๓ ภาพที่ ๒.๔ แสดงตัวอย่างการท าเหมืองเปิดแบบเปิดหน้าดินเฉพาะส่วน ที่มา: (B&E International, 2005. On-line) ๒.๔.๑.๓ เหมืองเปิดตามแบบเครื่องเจาะ (Auger Mining) การท าเหมืองแบบนี้จะไม่มี การเปิดหน้าดิน จะมีเพียงการขุดเจาะเอาถ่านหินมาใช้เท่านั้น ดังแสดงในภาพที่ ๒.๕ โดยส่วนใหญ่การ ท าเหมืองแบบนี้จะเป็นการท างานต่อเนื่องจากการท าเหมืองเปิดแบบบ่อ หรือเหมืองเปิดแบบเปิดหน้า ดินเฉพาะส่วน โดยเป็นการขุดเจาะเพื่อเอาถ่านหินบริเวณที่เรียกว่าก าแพงถ่านหิน (Highwall หรือ Outcrop) โดยจะใช้เครื่องมือที่มีลักษณะเป็นสว่านเจาะตรงเข้าไปในชั้นถ่านหิน ซึ่งตัวสว่านจะเป็นตัว น าเอาถ่านหินที่ถูกเจาะออกมาในขณะที่ท าการเจาะ อย่างไรก็ตามการท าเหมืองวิธีนี้ไม่ค่อยนิยมท ากัน เนื่องจากไม่สามารถขุดเจาะให้ครอบคลุมแหล่งถ่านหินได้หมด ภาพที่ ๒.๕ แสดงตัวอย่างการท าเหมืองเปิดตามแบบเครื่องเจาะ ที่มา: (Kentucky, 2000. On-line) ๒.๔.๒ การท าเหมืองถ่านหินใต้ดิน การท าเหมืองใต้ดินเป็นการตัดสินใจภายใต้ข้อจ ากัดหลักๆ คือแหล่งถ่านหิน ซึ่งในกรณี ที่แหล่งถ่านหินอยู่ลึกจากผิวดินมาก การท าเหมืองแบบเหมืองเปิดอาจท าให้ไม่คุ้มทุนเพราะต้องมี ค่าใช้จ่ายในการขุดเปิดหน้าดินและหินออกเป็นจ านวนมากก่อนที่จะถึงชั้นถ่านหิน ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายใน การขุด และขนดินจากบริเวณเหมืองสูงกว่าราคาถ่านหินที่จะขุดได้ นอกจากนี้ยังมีข้อจ ากัดอื่นๆ ที่อาจ ต้องท าเป็นเหมืองใต้ดิน เช่น แหล่งถ่านหินอยู่ใกล้แหล่งชุมชน หรืออยู่ใกล้บริเวณที่มีการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างเข้มงวด เป็นต้น การท าเหมืองใต้ดินค่อนข้างอันตราย เนื่องจากในชั้นของถ่านหิน จะมีการสะสมตัวของก๊าซที่ไวต่อการติดไฟ เช่น ก๊าซมีเทน เมื่อท าการขุดถ่านหิน ก๊าซดังกล่าวจะถูก
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๔ ระบายออกมาสะสมในบริเวณหน้างาน ซึ่งอาจท าให้เกิดการลุกติดไฟของก๊าซดังกล่าวได้ นอกจากนี้ยังมี ปัญหาการฟุ้งกระจายของฝุ่นผงของถ่านหินในการขนย้าย ถ่านหินออกมาจากแหล่ง ซึ่งถ้าความ หนาแน่นของฝุ่นนี้สะสมตัวถึงจุดที่เหมาะสม ประกอบกับอุณหภูมิและความดันที่เหมาะสม อาจท าให้ เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นได้ รูปแบบการท าเหมืองใต้ดินดังแสดงในภาพที่ ๒.๖ ภาพที่ ๒.๖ แสดงภาพตัดขวางการท าเหมืองถ่านหินแบบเหมืองใต้ดิน ที่มา: (Australian Coal Association. 2005. On-line) โดยทั่วไปรูปแบบการท าเหมืองใต้ดินจะขึ้นอยู่กับลักษณะการวางตัวของแหล่งถ่านหินซึ่ง รูปแบบหลักๆ จะมีอยู่ด้วยกัน ๒ รูปแบบคือ ๒.๔.๒.๑ เหมืองใต้ดินแบบตามความยาวของผนังเหมือง (Longwall Mining) การท า เหมืองในลักษณะนี้เหมาะส าหรับแหล่งถ่านหินที่มีการวางตัวของสายถ่านหินในแนวค่อนข้างราบ โดยมี มุมเอียงของสายถ่านหินไม่ควรเกิน ๓๐ องศา การท าเหมืองแบบนี้ช่วยให้สามารถขุดถ่านหินได้ค่อนข้าง สะอาด และสามารถขุดได้ครอบคลุมแหล่งถ่านหินมากกว่าร้อยละ ๗๕(๗) พื้นที่ตลอดแนวการขุดถ่าน หินอาจมีความกว้างถึง ๘๐๐ ฟุต และยาวถึง ๗,๐๐๐ ฟุต มีการใช้ระบบไฮดรอลิกเป็นเสาค้ ายัน (Hydraulic Roof) ดังแสดงในภาพที่ ๒.๗ ซึ่งท าให้มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการท า เหมืองโดยวิธีอื่น ๒.๔.๒.๒ เหมืองใต้ดินแบบแบ่งเป็นห้อง (Room and Pillar) การท าเหมืองโดยวิธีนี้ เหมาะส าหรับแหล่งถ่านหินที่มีการวางตัวของสายถ่านหินในแนวราบที่มีมุมเอียงของสายถ่านหินไม่เกิน ๑๕ องศา การท าเหมืองแบบนี้สายถ่านหินจะถูกแบ่งออกเป็นห้องๆ เพื่อขุดถ่านหินออกไปโดยแต่ละ ห้องอาจกว้าง ๒๐-๓๐ ฟุต ดังแสดงไว้ในภาพที่ ๒.๘ เมื่อขุดถ่านหินออกไปแล้วจะเกิดเป็นช่องว่าง ซึ่งจะ ถูกใช้เป็นเส้นทางในการล าเลียงถ่านหินออกจากเหมือง ส่วนถ่านหินที่ยังคงเหลือไว้เป็นเหมือนเสา ส าหรับการค้ ายันอุโมงค์ (Pillar) แต่ละเสาอาจมีความกว้างถึง ๑๐๐ ฟุต การท าเหมืองโดยวิธีนี้จะ (๗) Australian Coal Association. 2005. On-line
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๕ ครอบคลุม แหล่งถ่านหินได้ประมาณร้อยละ ๕๐-๖๐(๘) แต่ถ้าต้องการขุดให้ได้ปริมาณของถ่านหิน เพิ่มขึ้น สามารถท าได้โดยการขุดเสาที่ค้ ายันอุโมงค์ในช่วงของการถอนตัวกลับหลังจากที่ขุดจนสุดแหล่ง ถ่านหินแล้ว ภาพที่ ๒.๗ แสดงรูปแบบการท าเหมืองใต้ดินแบบตามความยาวของผนังเหมือง ที่มา: (EIA. 2005d. On-line) ภาพที่ ๒.๘ แสดงรูปแบบการท าเหมืองใต้ดินแบบแบ่งเป็นห้อง ที่มา: (EIA. 2005d. On-line) (๘) Australian Coal Association, 2005. On-line
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๖ ๒.๕ การใช้ประโยชน์จากถ่านหิน การใช้ถ่านหินเป็นที่นิยมกันมากเมื่อหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ และยิ่ง เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเกิดวิกฤตราคาน้ ามันในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ท าให้มีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ทดแทนน้ ามันมากขึ้น ทั้งการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่างๆ ปริมาณ การใช้พลังงานจากถ่านหินทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔ อยู่ที่ประมาณร้อยละ ๒๘ ของการใช้พลังงาน ทั้งหมด(๙) การใช้ประโยชน์จากถ่านหินอาจแบ่งได้หลักๆ เป็น ๒ ประเภทคือ ๒.๕.๑ การใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ถ่านหินส่วนใหญ่จะถูกน ามาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยตรงคือ การใช้เป็นเชื้อเพลิงในการ ผลิตกระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ การผลิตปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น จากข้อมูลการรายงานของส านักนโยบาย และแผนพลังงานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ พบว่าในประเทศไทยใช้ถ่านหินลิกไนต์ในการผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ ๘๖ ส่วนที่เหลือร้อยละ ๑๔ ถูกน าไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ในขณะที่ภาพรวมทั่วโลกพบว่ามีการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ประมาณร้อยละ ๖๔ ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณของถ่านหินที่ขุดขึ้นมาได้นั้นจะถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง ค่อนข้างมากโดยเฉพาะการผลิตกระแสไฟฟ้า ๒.๕.๒ การใช้ถ่านหินเพื่อวัตถุประสงค์อื่น นอกจากการใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และเป็นเชื้อเพลิงส าหรับการให้ พลังงานความร้อนในอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว ยังมีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การน ามาผลิตเป็นถ่านโค้กเทียม ถ่านกัมมันต์ ปุ๋ยยูเรีย หรือการน ามา สกัดเอาน้ ามันดิบ เป็นต้น ๒.๖ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้ถ่านหิน นับตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการท าเหมืองถ่านหิน ตลอดจนการน าถ่านหินไปใช้ประโยชน์ ทุกขั้นตอนของกิจกรรมเหล่านี้จะมีการท าลายสภาพแวดล้อมตลอดเวลา ซึ่งผลกระทบต่อสภาพ แวดล้อมอันเกิดจากกระบวนการของถ่านหินนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นคือ การเตรียมพื้นที่ท าเหมือง การ เปิดหน้าดิน การขุดถ่านหิน การขนถ่ายและล าเลียงถ่านหิน ตลอดจนการน าถ่านหินไปใช้ประโยชน์ ทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่มีการท าลายสภาพแวดล้อม และปลดปล่อยสารมลพิษออกมา ในหัวข้อนี้จะ กล่าวถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการได้มา และการใช้ถ่านหินดังต่อไปนี้ ๒.๖.๑ ผลกระทบจากขั้นตอนการท าเหมือง กระบวนการเริ่มต้นของการท าเหมืองถ่านหิน หลังจากที่มีการส ารวจทั้งทางธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ และการเจาะส ารวจ จนเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าได้มีการพบแหล่งถ่านหิน และคุ้มค่าต่อการลงทุน คือการเตรียมพื้นที่ และการเปิดหน้าดินเพื่อท าเหมืองถ่านหิน โดยเฉพาะการท าเหมืองแบบเหมืองเปิด ซึ่งต้องใช้พื้นที่ค่อนข้างมาก นั่นหมายถึงปริมาณของป่าไม้ที่จะต้องถูกท าลายก็มากตามไปด้วย ผลที่ (๙) EIA,2005a. On-line
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๗ ติดตามมาคือ ความเสียหายของระบบนิเวศวิทยา ทั้งในด้านความหลากหลายของพืชพรรณไม้ รวมถึง ที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ ในพื้นที่บริเวณนั้นก็จะถูกท าลายไปด้วย เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดหน้าดิน ปริมาณเนื้อดินมหาศาลจากพื้นผิวโลกลงไปตามระดับความลึกถึงแหล่งถ่านหิน ซึ่งจะถูกขุด และถูก เคลื่อนย้ายไปยังบริเวณอื่น ผลที่ตามมาคือมลพิษจากฝุ่นที่เกิดขึ้น ทั้งในช่วงของการขุด และการขนย้าย ส่วนพื้นที่บริเวณที่ถูกขุด และพื้นที่บริเวณที่น าหน้าดินมากองถมไว้อาจเกิดการพังทลายของดิน (Erosion of Soil) ได้อันเนื่องมาจากความหนาแน่นของดินในพื้นที่นั้นๆ เปลี่ยนไป หรืออาจเกิดจาก พลังธรรมชาติเช่น ลมพายุ พายุฝน เป็นต้น นอกจากนี้ในระหว่างการท าเหมืองถ่านหินยังมีปัญหาในเรื่องของน้ าทิ้งที่ถูกปล่อยออก มาจากเหมืองถ่านหิน (Acid Mine Drainage) ซึ่งน้ าทิ้งที่ถูกปล่อยออกมาจะมีส่วนผสมของสารโลหะ หนักจ าพวกทองแดง ตะกั่ว ปรอท ออกมาด้วย (World Coal Institute, 2005c. On-line) อันจะท าให้ เกิดการแพร่กระจาย และเกิดการปนเปื้อนทั้งในบริเวณพื้นดิน และแหล่งน้ าต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง ๒.๖.๒ ผลกระทบจากการใช้ถ่านหิน การน าถ่านหินมาใช้ประโยชน์ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าส่วนใหญ่จะถูกน าไปใช้เป็น เชื้อเพลิงเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่างๆ ถ่านหินเมื่อถูกท าให้เกิดการเผาไหม้จะ ปล่อยก๊าซต่างๆ ที่เป็นมลพิษทางอากาศ ทั้งที่อยู่ในรูปของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matters) และอยู่ในรูปของออกไซด์ของก๊าซต่างๆ มากมาย เช่น ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SO2) ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) เป็นต้น อันเป็นสาเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลโดยตรงต่อมนุษย์และบรรยากาศของโลก เช่น การเกิดฝนกรด ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น ๒.๖.๒.๑ ภาวะฝนกรด (Acid Rain) เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์ทุกชนิดรวมทั้งถ่านหิน เมื่อมีการเผาไหม้จะมีการปล่อยก๊าซจ าพวก ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ ออกสู่ชั้นบรรยากาศ เมื่อก๊าซเหล่านี้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับโมเลกุลของไอน้ า และออกซิเจนในอากาศจะกลายเป็นกรดซัลฟิวริก (H2SO4) และกรดไนทริก (H2NO3) ซึ่งจะเกาะตัวเข้ากับโมเลกุลของฝน ฝุ่น หรือหิมะ แล้วตกลงสู่พื้นโลก ๒.๖.๒.๒ ปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Effect) การเผาไหม้ของพวก เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์ทุกชนิด นอกจากจะมีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนตรัสออกไซด์ แล้วยังมีก๊าซจ าพวกคาร์บอนมอนนอกไซด์ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีเทน ถูกปล่อยออกมาด้วย ซึ่งก๊าซ เหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) ผ่านทางปรากฏการณ์ก๊าซเรือน กระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศโลกประมาณ ๖ พันล้านตันต่อปี(๑๐) ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์แผ่รังสีลงมายังโลกใน รูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นคลื่นสั้นจะสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศของโลกมาได้ ท าให้พื้นผิว ทุกส่วนของโลกดูดซับเอาพลังงานจากการแผ่รังสีนี้ไว้ แต่ในขณะที่พื้นผิวของโลกมีการคายความร้อน ออกมาจะอยู่ในรูปของพลังงานความร้อนซึ่งเป็นคลื่นยาว ท าให้โมเลกุลของก๊าซต่างๆ รวมถึงโมเลกุล (๑๐) The Environment Literacy Council.2004. On-line
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๘ ของไอน้ าซึ่งมีอยู่ในชั้นบรรยากาศ จะดูดซับเอาพลังงานความร้อนที่โลกปล่อยออกมาไว้ ท าให้ความร้อน ไม่สามารถออกไปสู่นอกชั้นบรรยากาศของโลกได้จึงท าให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น ๒.๖.๒.๓ หมอกควัน (Smog) เป็นปัญหาทางด้านสภาพอากาศที่มักเกิดขึ้นในแหล่ง ชุมชน ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารมลพิษต่างๆ ที่มีอยู่ในอากาศกับแสงอาทิตย์ก่อให้เกิดเป็น ลักษณะของหมอกควันซึ่งสามารถแบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ (๑) หมอกควันแบบซัลฟิวรัส (Sulfurous Smog) หรือที่เรียกว่าหมอกเทา (Gray-Air Smog) เป็นหมอกควันที่พบมากในบรรดาเมืองอุตสาหกรรมที่มีสภาพอากาศหนาว และมี ความชื้นสูง เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน เป็นต้น สาเหตุมาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มีการใช้ถ่านหิน หรือเชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์อื่นๆ เป็นเชื้อเพลิง แล้วมีการปล่อยของเสียทั้งพวกอนุภาค และก๊าซต่างๆ ออกมาโดยเฉพาะพวกก๊าซซัลเฟอร์ออกไซด์ หมอกควันประเภทนี้จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากในช่วง ฤดูหนาว เพราะมีการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น และเป็นช่วงที่มีความชื้นสูง (๒) หมอกควันแบบโฟโตเคมิเคิล (Photochemical Smog) หรือที่เรียกว่า หมอกน้ าตาล (Brown-Air Smog) เป็นหมอกควันที่เกิดจากการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์ต่างๆ หรือ โรงไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนโมโนออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และพวกไฮโดรคาร์บอนต่างๆ หมอกควันลักษณะนี้มักเกิดในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นถึงแห้ง ๒.๗ การก าจัดสิ่งเจือปนในถ่านหิน ถ่านหินเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่ใช้กันมาก และมีปริมาณมากพอให้ใช้กันอีกนับร้อยปี ดังนั้นเพื่อ เป็นการลดปัญหาการเกิดมลพิษจากถ่านหิน จึงได้มีการคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการท าเหมือง การจัดการถ่านหินก่อนน ามาใช้ และการใช้ประโยชน์ถ่านหิน โดยให้มี ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งเทคโนโลยีนี้เรียกว่าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด (Clean Coal Technology) กระบวนการของเทคโนโลยีนี้สามารถท าได้ทั้ง ๓ ขั้นตอนคือ ก่อนการเผาไหม้ ขณะเผา และหลังการเผา(๑๑) ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๒.๗.๑ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดก่อนการเผาไหม้ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดก่อนการเผาไหม้ (Pre-Combustion) นี้ เป็นการท าความ สะอาดถ่านหินในขั้นตอนก่อนการเผาไหม้ ซึ่งอาจเรียกขั้นตอนนี้ว่าการปรับระดับถ่านหิน (Coal Upgrading) เพื่อลดปริมาณขี้เถ้า และก ามะถันที่ปะปนอยู่ในถ่านหิน ในขณะเดียวกันจะเป็นการเพิ่มค่า ความร้อนของถ่านหินด้วย การท าความสะอาดก่อนการเผาไหม้นี้มีด้วยกัน ๓ วิธี คือ (๑) การท าความสะอาดโดยวิธีทางกายภาพ (Physical Cleaning) เป็นการก าจัด สิ่งเจือปนประเภท ฝุ่นละออง ดิน หิน และสารประกอบพวกก ามะถันอนินทรีย์ ซึ่งมีเหล็กเป็น ส่วนประกอบ เช่น ไพไรติกซัลเฟอร์ (Pyritic Sulfur) เป็นต้น โดยมีวิธีการคือน าถ่านหินมาบดให้มีขนาด เล็กแล้วล้างผ่านน้ า โดยอาศัยหลักการความแตกต่างของความหนาแน่นของถ่านหินกับสารเหล่านี้ จะ (๑๑) กรมเช้ือเพลิงธรรมชาติ, 2547ข. ออน-ไลน์
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๑๙ ท าให้ สิ่งเจื อ ป น ต่ างๆ ที่ ไม่ ต้ องก า ร จ ะ ถู ก แ ย ก อ อ ก จ าก เนื้ อ ถ่ าน หิ น ซึ่ง วิ ธีนี้ จ ะท าให้ ไพไรติกซัลเฟอร์ถูกก าจัดออกได้ประมาณร้อยละ ๙๐ นอกจากนี้ยังมีวิธีท าความสะอาดถ่านหินทาง กายภาพอีกวิธีหนึ่งเรียกว่าการลอยผ่านปล่อง (Column Flotation) เป็นการท าความสะอาดถ่านหิน โดยอาศัยความแตกต่างของคุณสมบัติทางเคมีของถ่านหินซึ่งมีความสามารถในการยึดติดกับฟองอากาศ ได้แตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อให้ฟองอากาศเคลื่อนที่ผ่านผงถ่านหิน และน้ าซึ่งบรรจุในอุปกรณ์ที่เรียกว่า ปล่อง (Column) ผงถ่านหินจะติดขึ้นไปกับฟองอากาศ ทิ้งให้สิ่งเจือปนต่างๆ รวมทั้งไพไรติกซัลเฟอร์ จมอยู่ในบริเวณส่วนล่าง ภาพที่ ๒.๙ การท าความสะอาดหิน ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๒) การท าความสะอาดโดยวิธีทางเคมี (Chemical Cleaning) เป็นการใช้สารเคมีเข้า ไปท าปฏิกิริยากับผงถ่านหิน ซึ่งสารเคมีดังกล่าวมีคุณสมบัติในการก าจัดพวกสิ่งเจือปนต่างๆ ที่ไม่สามารถ ก าจัดโดยวิธีทางกายภาพได้ ภาพที่ ๒.๑๐ Chemical cleaning ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๐ (๓) การท าความสะอาดโดยวิธีทางชีวภาพ (Biological Cleaning) วิธีนี้เป็นเทคโนโลยี ที่ยังค่อนข้างใหม่ โดยใช้สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จ าพวกแบคทีเรีย และเชื้อราบางชนิดเข้าไปช่วยในการก าจัด ก ามะถันในถ่านหิน และสามารถน าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาท าการเพาะเลี้ยงเพื่อสกัดเอาเอนไซน์ที่ใช้ส าหรับ การย่อยสลายก ามะถันมาใช้ เพื่อเร่งกระบวนการก าจัดก ามะถันในถ่านหินได้ ๒.๗.๒ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดขณะเผาไหม้หรือเมื่อน าไปใช้ประโยชน์ เทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อน ามาใช้ในกระบวนการเผาไหม้ถ่านหิน หรือในขณะ ที่น าถ่านหินไปใช้ประโยชน์มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดขณะเผาไหม้ เทคโนโลยี ถ่านหินสะอาดโดยการแปรรูป และเทคโนโลยีสังเคราะห์เชื้อเพลิงสะอาด ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีจะช่วยลด ปริมาณสิ่งเจือปนต่างๆ โดยเฉพาะก ามะถันในถ่านหินลงได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดขณะเผาไหม้ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาไหม้ ถ่านหิน โดยการปรับปรุงเตาเผาและหม้อไอน้ าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ถ่านหิน และลดมลพิษ ที่เกิดจากการเผาไหม้ ซึ่งเทคโนโลยีในกลุ่มนี้ได้แก่ ๒.๗.๒.๑ เทคโนโลยีการเผาเชื้อเพลิงที่เป็นผง (Pulverized Fuel Combustion, PFC) เป็นวิธีการเผาไหม้ถ่านหินซึ่งถูกบดอย่างละเอียดแล้วพ่นเข้าไปในเตาเผาพร้อมอากาศ เมื่อถ่านหิน ติดไฟจะให้พลังงานความร้อนแก่หม้อไอน้ า และไอน้ าจะไปหมุนกังหันของเครื่องก าเนิดไฟฟ้าเพื่อผลิต ไฟฟ้าได้ ภาพที่ ๒.๑๑ Pulverized Fuel (PF) Combustion ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๑ ๒ .๗ .๒ .๒ เทคโนโลยีก ารเผ าไหม้แบบฟลูอิไดซ์เบ ด (Fluidized Bed Combustion, FBC) ส าหรับกรณีของถ่านหิน ถ่านหินจะถูกท าให้มีขนาดเล็กลงและน าเข้าสู่เตาเผาโดย ผสมกันกับตัวกลางของแข็งที่ถูกท าให้เคลื่อนที่ในลักษณะใกล้เคียงกับของเหลว (Fluidized) ซึ่งเป็นผล มาจากอากาศที่มีความเร็วจากใต้เตาเผา เมื่อถ่านหินได้รับความร้อนจากตัวกลางจะสันดาปและให้ความ ร้อนซึ่งน าไปใช้ในการผลิตไอน้ า ในกรณีที่ต้องการดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จะมีการใส่หินปูนเข้าไปผสมกับถ่านหิน และตัวกลาง ภาพที่ ๒.๑๒ Fluidized Bed Combustion ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๗.๒.๓) เทคโนโลยีการเผาไหม้ในฟลูอิไดซ์เบดภายใต้ความดัน (Pressured Fluidized Bed Combustion, PFBC) เป็นการเผาไหม้ถ่านหินแบบเดียวกับการเผาสภาพของไหล โดย อยู่ภายใต้ความดันสูง พลังงานความร้อนที่ผลิตได้จะถูกน าไปใช้ผลิตไอน้ าเพื่อขับกังหันไอน้ า ส่วนก๊าซ ร้อนที่ได้จะมีแรงดันและอุณหภูมิสูงสามารถน าไปขับกังหันก๊าซ เพื่อผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าพลังความ ร้อนร่วมได้
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๒ ภาพที่ ๒.๑๓ Pressurized Fluidized Bed Combustion Combined Cycle (PFBC) ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๗.๒.๔ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดโดยการแปรรูป (Coal Conversion) เป็น เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อแปรรูปถ่านหินให้เป็นก๊าซเชื้อเพลิง (Coal Gasification) หรือเชื้อเพลิงเหลว จากถ่านหิน (Coal Liquefaction) โดยแต่ละเทคโนโลยีจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (๑) เทคโนโลยีแปรรูปถ่านหินให้เป็นก๊าซเชื้อเพลิง (Coal Gasification Technology, CGT) เป็นกระบวนการที่ท าให้ถ่านหินเกิดปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน หรืออากาศและไอน้ า ภายใต้อุณหภูมิและความดันสูงซึ่งจะได้ก๊าซเชื้อเพลิงออกมา ประกอบด้วยไฮโดรเจน และ คาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ ก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้จะถูกน ามาท าให้สะอาดโดยการก าจัดมลพิษก่อนที่ น าไปใช้ ก๊าซเชื้อเพลิงที่ได้นี้นอกจากน ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว อาจน าไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการ สังเคราะห์แอมโมเนีย เมทานอล หรือก๊าซไฮโดรเจนได้ ภาพที่ ๒.๑๔ Coal Gasification Technology (CGT) ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๒) เทคโนโลยีเชื้อเพลิงเหลวจากถ่านหิน (Coal Liquefaction Technology, CLT) เป็นการแปรรูปถ่านหินให้อยู่ในรูปของเชื้อเพลิงเหลว (Liquid Fuel) โดยมีการแยกคาร์บอนออก (Carbonization) หรือการเติมไฮโดรเจนเข้าไป (Liquefaction) เชื้อเพลิงเหลวที่ได้จากถ่านหิน
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๓ สามารถน ามากลั่นในขบวนการกลั่นน้ ามันจะได้น้ ามันส าหรับรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จ าพวก พลาสติก และสารละลายต่างๆ ภาพที่ ๒.๑๕ Coal Liquefaction Technology (CLT) ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๗.๒.๕ เทคโนโลยีสังเคราะห์เชื้อเพลิงสะอาด (Dimethyl Ether, DME) เป็น เทคโนโลยีที่ท าให้มีการใช้ถ่านหินที่สะอาด และประหยัด ซึ่งเป็นการน าเอาก๊าซมีเทนที่ได้มาจากการท า เหมืองถ่านหินมาท าการเผาไหม้กับออกซิเจน โดยมีการหมุนเวียนน าเอาไอน้ า และคาร์บอนไดออกไซด์ มาใช้ใหม่ในกระบวนการเผาไหม้นี้ ก๊าซที่ได้จะมีคุณสมบัติคล้ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนั้น เทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อน ามาใช้ในกระบวนการเผาไหม้ถ่านหิน หรือในขณะที่น าถ่านหินไปใช้ประโยชน์มีด้วยกันหลายอย่างเช่น เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดขณะเผาไหม้ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดโดยการแปรรูป และเทคโนโลยีสังเคราะห์เชื้อเพลิงสะอาด ซึ่งแต่ละเทคโนโลยี จะช่วยลดปริมาณสิ่งเจือปนต่างๆ โดยเฉพาะก ามะถันในถ่านหินลงได้เป็นอย่างดี ๒.๗.๓ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดหลังการเผาไหม้ เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดหลังการเผาไหม้ (Post-Combustion) นี้ เป็นการก าจัด มลพิษที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ถ่านหิน ก่อนที่จะถูกปล่อยออกสู่สภาพแวดล้อม ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในรูปของ ฝุ่นละอองต่างๆ และก๊าซ เทคโนโลยีที่น ามาใช้แก่ปัญหาในขั้นตอนนี้ได้แก่ ๒.๗.๓.๑ การก าจัดฝุ่นละออง เมื่อถ่านหินถูกเผาไหม้จะมีฝุ่นละอองต่างๆ เกิดขึ้นใน กระบวนการ ดังนั้นเพื่อเป็นการก าจัดฝุ่นละอองดังกล่าว จะมีการใช้อุปกรณ์ส าหรับการดักจับฝุ่นละออง ที่เกิดนี้ ซึ่งโดยทั่วที่ใช้กันอยู่ ได้แก่ (๑) เครื่องดักจับฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) เป็นการ ก าจัดฝุ่นละอองโดยใช้หลักการไฟฟ้าสถิต โดยล าดับแรกฝุ่นละอองจะถูกให้ประจุไฟฟ้าท าให้ฝุ่นละอองมี ศักย์ไฟฟ้าค่าหนึ่ง และเคลื่อนที่เข้าสู่สนามไฟฟ้าที่มีขั้วตรงข้ามซึ่งท าให้ฝุ่นละอองถูกดูดติดเข้ากับแผ่น รวบรวม (Collector Plates) ฝุ่นละอองดังกล่าวจะถูกก าจัดออกจากระบบผ่านทางปล่องใต้เครื่อง (Hopper) ระบบนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมากในการดักจับฝุ่น
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๔ ภาพที่ ๒.๑๖ Electrostatic Precipitator ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๒) เครื่องแยกฝุ่นแบบลมหมุน (Cyclone Separator) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการ แยกฝุ่นละอองออกจากก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหิน โดยใช้หลักของแรงเหวี่ยงเพื่อให้ก๊าซซึ่งมีฝุ่น ละอองผสมอยู่เกิดการหมุนตัว จะท าให้ฝุ่นละอองซึ่งมีน้ าหนักมากกว่ารวมตัวกัน และถูกแยกออกมา ภาพที่ ๒.๑๗ Cyclone Separator ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๓) เครื่องกรองฝุ่นแบบถุง (Bag Filter) เป็นอุปกรณ์ที่มีถุงกรองเป็นตัวกรอง แยกฝุ่นละอองออกจากก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหิน
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๕ ภาพที่ ๒.๑๘ Bag filter ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๗.๓.๒ การก าจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นกระบวนการก าจัดก๊าซซัลเฟอร์ได ออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมก๊าซทิ้งหลังการเผาไหม้ โดยการฉีดส่วนผสมของน้ ากับหินปูนเข้าไปท า ปฏิกิริยากับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ผสมอยู่ในก๊าซทิ้งนั้น ผลของปฏิกิริยาดังกล่าวจะท าให้เกิดการ รวมตัวและตกตะกอนเป็นยิบซัม ซึ่งเป็นสารประกอบที่สามารถน ามาใช้ประโยชน์ได้ ภาพที่ ๒.๑๙ Flue Gas Desulfurization (FGD) ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๗.๓.๓ การก าจัดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ เป็นกระบวนการก าจัดก๊าซไนโตรเจน ออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาพร้อมก๊าซทิ้งหลังการเผาไหม้ โดยการใช้แอมโมเนียเข้าไปท าปฏิกิริยากับก๊าซ ไนโตรเจนออกไซด์ ผลของปฏิกิริยาจะเกิดเป็นไนโตรเจน และน้ า ๒.๗.๓.๔ ระบบดักจับสารปรอท เป็นเทคโนโลยีการดักจับสารปรอทด้วยการฉีดวัสดุดูด ซับ คือ ผงถ่านกัมมันต์ (Powdered Activated Carbon) เป็นตัวดูดซับไอปรอท วิธีการนี้ ท าได้โดย
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๖ การฉีดผงถ่านกัมมันต์เข้าไปในท่อระบายอากาศหลังจากห้องเผาไหม้ หรือก่อนเข้าอุปกรณ์ดักจับฝุ่น แบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator: ESP) โดยมีการออกแบบให้ท่อระบายอากาศบริเวณนั้น มีพื้นที่เพียงพอที่จะติดตั้งระบบฉีดผงถ่านกัมมันต์เพื่อดูดซับไอปรอทที่เกิดขึ้น ผงถ่านกัมมันต์ที่ดูดซับไอ ปรอทแล้ว จะถูกส่งต่อไป ผ่านอุปกรณ์ดักจับฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิต (ESP) ซึ่งผงถ่านดังกล่าวจะถูกดักจับ พร้อมฝุ่นละอองที่เกิดจากการเผาไหม้ออกมาในรูปของเถ้า ภาพที่ ๒.๒๐ ระบบดักจับสารปรอทแบบ Activated Carbon Injection ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๘ ถ่านหินกับประเทศไทย การส ารวจถ่านหินในประเทศไทยได้ด าเนินการเป็นครั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นการส ารวจแหล่งถ่านหินที่บริเวณบ้านปูด า อ าเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ โดยบริษัทถ่านหินศิลา กระบี่ ซึ่งในขณะนั้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและความต้องการใช้ถ่านหินยังไม่มากนัก การท าเหมือง ถ่านหินจึงยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร จนกระทั่งรัฐบาลมีการจัดตั้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ท าให้มีการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ถ่านหินที่มีการส ารวจพบมากในประเทศไทยประมาณร้อยละ ๙๙ เป็นถ่านหินประเภท ลิกไนต์ซึ่งมีคุณภาพค่อนข้างต่ า โดยมีถ่านหินประเภทซับบิทูมินัส และบิทูมินัสอยู่บ้าง ยกเว้น ที่พบที่ เหมืองนาด้วง จังหวัดเลย และเหมืองนากลาง จังหวัดอุดรธานี เป็นถ่านหินประเภทแอนทราไซต์ซึ่งมี คุณภาพสูง แต่มีปริมาณไม่มากนัก แหล่งถ่านหินในประเทศไทยที่ส ารวจพบโดยกรมทรัพยากรธรณี ส่วนใหญ่อยู่ทาง ภาคเหนือ และในภาคใต้บางส่วน โดยมีจ านวนทั้งหมด ๔๓ แหล่ง มีปริมาณทรัพยากรถ่านหินรวม ประมาณ ๒๐๐๗ ล้านตัน แบ่งเป็น (๑) แหล่งถ่านหินที่มีการพัฒนาแล้ว จ านวน ๑๔ แหล่ง มีปริมาณ ส ารองประมาณ ๑,๑๘๑ ล้านตัน และ (๒) แหล่งถ่านหินที่ยังไม่ได้พัฒนา จ านวน ๒๙ แหล่ง มีปริมาณ ทรัพยากรถ่านหินประมาณ ๘๒๖ ล้านตัน โดยแหล่งถ่านหินที่ใหญ่ที่สุด และมีการผลิตมากที่สุดคือ เหมืองแม่เมาะ จ.ล าปาง โดยมีปริมาณส ารองกว่าร้อยละ ๙๐ ของปริมาณถ่านหินส ารองทั้งประเทศ ซึ่ง
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๗ ถ่านหินทั้งหมดถูกน าไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ข้อมูลของแหล่งถ่านหินที่มีการพัฒนาแล้ว และยัง ไม่ได้พัฒนาดังแสดงในตารางที่ ๒.๒ และ ๒.๓ ตามล าดับ ตารางที่ ๒.๒ ตารางแสดงปริมาณส ารองของแหล่งถ่านหินที่มีการพัฒนาแล้ว สถานที่ ปริมาณส ารอง (ล้านตัน) ชื่อแอ่ง อ าเภอ จังหวัด ผลิตแล้ว คงเหลือ ภาคเหนือ นาฮ่อง แม่แจ่ม เชียงใหม่ ๒.๔๗๗ น้อยมาก บ่อหลวง ฮอด เชียงใหม่ ๑.๘๓๒ น้อยมาก ลี้ ลี้ ล าพูน ๓๙.๕๖๕ น้อยมาก แม่เมาะ แม่เมาะ ล าปาง ๓๒๒.๑๐๐ ๑,๐๖๖.๔๖๕ แม่ทาน สบปราบ ล าปาง ๓๔.๐๘๓ ๑.๙๒๐ แม่ตีบ งาว ล าปาง ๑.๖๔๓ น้อยมาก เชียงม่วน เชียงม่วน พะเยา ๔.๕๕๙ น้อยมาก แม่ละเมา แม่สอด ตาก ๑.๒๐๙ น้อยมาก แม่ตื่น แม่ระมาด ตาก ๐.๓๒๐ ๐.๙๐๐ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นาด้วง นาด้วง เลย ๐.๑๕๑ น้อยมาก นากลาง นากลาง หนองบัวล าภู ๐.๐๖๖ น้อยมาก ภาคตะวันตก หนองหญ้าปล้อง หนองหญ้าปล้อง เพชรบุรี ๑.๒๐๗ ๐.๕๑๐ ภาคใต้ กระบี่ เมือง กระบี่ ๘.๖๖๖ ๑๑๑.๓๐๗ กันตัง กันตัง ตรัง ๐.๐๑๐ น้อยมาก รวม ๔๑๗.๘๙๑ ๑,๑๘๑.๑๐๒ ที่มา: (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ. ๒๕๕๒ค. ออน-ไลน์) ตารางที่ ๒.๓ ตารางแสดงปริมาณทรัพยากรถ่านหินของแหล่งถ่านหินที่ยังไม่ได้พัฒนา สถานที่ ปริมาณส ารอง (ล้านตัน) ชื่อแอ่ง อ าเภอ จังหวัด ภาคเหนือ ปาย ปาย แม่ฮ่องสอน ๐.๑๗๔ เวียงแหง เวียงแหง เชียงใหม่ ๙๓.๐๑๙ ฝาง ฝาง เชียงใหม่ ๑.๑๒๐ สันป่าตอง สันป่าตอง เชียงใหม่ ๐.๕๐๐
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๘ สถานที่ ปริมาณส ารอง (ล้านตัน) ชื่อแอ่ง อ าเภอ จังหวัด บ่อสลี ฮอด เชียงใหม่ ๐.๔๓๒ นาทราย ลี้ ล าพูน ๑.๓๑๐ วังเหนือ วังเหนือ ล าปาง ๒๒.๐๓๐ งาว งาว ล าปาง ๔๘.๔๐๐ แจ้ห่ม-เมืองปาน แจ้ห่ม, เมืองปาน ล าปาง ๑๖.๑๘๖ แม่จาง แม่เมาะ, แม่ทะ ล าปาง ๒.๐๐๙ ห้างฉัตร ห้างฉัตร ล าปาง ๑๐.๓๒๐ เสริมงาม เสริมงาม ล าปาง ๖.๑๙๔ แม่ทะ แม่ทะ ล าปาง ๒๒.๔๘๗ พาน พาน เชียงราย ๑๐.๐๑๐ แม่ใจ แม่ใจ พะเยา ๑.๘๔๐ เชียงม่วน เชียงม่วน พะเยา ๒๕.๒๗๕ แพร่ เมือง, สูงเม่น, เด่นชัย แพร่ ๑.๖๑๒ แม่ระมาด แม่ระมาด ตาก ๓๗.๕๔๐ แม่ละเมา แม่สอด ตาก ๑๕.๕๗๕ พบพระ พบพระ ตาก ๗.๐๔๐ อุ้มผาง/ปะละทะ อุ้มผาง ตาก ๑๙.๒๓๖ ภาคกลาง บึงสามพัน บึงสามพัน เพชรบูรณ์ ๖.๘๕๐ วิเชียรบุรี วิเชียรบุรี เพชรบูรณ์ ๑.๖๕๐ ภาคตะวันตก หนองหญ้าปล้อง หนองหญ้าปล้อง เพชรบุรี ๔.๔๕๒ หนองพลับ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ๑๐.๕๒๐ ภาคใต้ เคียนซา เคียนซา สุราษฎร์ธานี ๑๕.๔๑๑ สินปุน ทุ่งใหญ่ นครศรีธรรมราช ๙๑.๐๖๐ สะบ้าย้อย สะบ้าย้อย สงขลา ๓๔๙.๘๖๐ กันตัง กันตัง ตรัง ๓.๔๒๐ รวม ๘๒๕.๕๓๒ ที่มา: (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ. ๒๕๕๒ค. ออน-ไลน์)
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๒๙ ๒.๙ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในกระบวนการการใช้ถ่านหินตั้งแต่ต้นน้ าจนถึงปลายน้ าดังกล่าวมาข้างต้น เริ่มต้นกระบวนการ ท าเหมืองถ่านหิน การขนถ่าย และล าเลียงถ่านหินตลอดจนการน าถ่านหินไปใช้ประโยชน์ ทุกขั้นตอน ของกิจกรรมเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม กล่าวคือ มลพิษทางอากาศ, มลพิษทางน้ า, มลพิษทางกลิ่น และมลพิษทางเสียง และความสั่นสะเทือน ๒.๙.๑ กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมมลพิษทางอากาศ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษทางอากาศ ได้กระจายอยู่ในกฎหมายแม่บทหลายๆ ฉบับ โดยมี พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นกฎหมายพื้นฐานที่มี ขอบข่ายครอบคลุมการป้องกัน และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการควบคุมภาวะมลพิษทุกๆ ด้าน รวมถึงการป้องกัน และรักษาคุณภาพอากาศและการควบคุมมลพิษทางอากาศด้วย เช่น ในส่วนที่ ๔ มลพิษทางอากาศ และเสียงของหมวด ๔ การควบคุมมลพิษ มาตรา ๖๘ ให้รัฐมนตรีโดยค าแนะน าของคณะกรรมการควบคุมมลพิษมีอ านาจ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาก าหนดประเภทของแหล่งก าเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุม การปล่อย อากาศเสีย รังสี หรือมลพิษ อื่นใดที่อยู่ในสภาพเป็นควัน ไอ ก๊าซ เขม่า ฝุ่น ละออง เถ้าถ่าน หรือมลพิษ อากาศ ในรูปแบบใดออกสู่บรรยากาศไม่เกินมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งก าเนิดที่ก าหนดตาม มาตรา ๕๕ หรือมาตรฐานที่ส่วนราชการใดก าหนดโดยอาศัยอ านาจตามกฎหมายอื่น และมาตรฐานนั้น ยังมีผลใช้บังคับตามมาตรา ๕๖ หรือ มาตรฐานที่ผู้ว่าราชการจังหวัดก าหนดเป็นพิเศษส าหรับเขต ควบคุมมลพิษตามมาตรา ๕๘ นอกจากนี้ยังมีกฎหมายอื่นๆ อีกหลายบทบัญญัติและข้อก าหนดที่ สามารถใช้ควบคุม และป้องกันภาวะมลพิษทางอากาศได้ เช่น - พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ - พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ก าหนดค่าปริมาณสารเจือปนในอากาศที่ระบาย ออกจากโรงงานปูนซีเมนต์ พ.ศ. ๒๕๔๙ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ก าหนดค่าปริมาณสารของเจือปนในอากาศที่ ระบายออกจากโรงงานผลิต ส่ง หรือ จ าหน่ายพลังงานไฟฟ้า พ.ศ. ๒๕๔๗ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ก าหนดให้โรงงานต่างๆต้องติดตั้งเครื่องอุปกรณ์ พิเศษ เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. ๒๕๔๔ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ก าหนดค่าปริมาณของสารเจือปนในอากาศที่ ระบายออกจากโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๙ - ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ก าหนดมาตรฐาน ควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๙
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๓๐ - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๗) ฉบับที่ ๓๖ (พ.ศ. ๒๕๕๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒.๙.๒ มาตรการ SIL ๑). คุณภาพอากาศจากการประกอบกิจการโรงงาน (กนอ.) - ข้อบังคับคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่าด้วยก าหนด ประเภทโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ต้องติดตั้งเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษเพื่อตรวจสอบ คุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. ๒๕๕๓ - ประกาศการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๗๙/๒๕๔๙ เรื่อง การก าหนด อัตราการปล่อยมลสารทางอากาศจากปล่องของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม (แก้ไขเพิ่มเติม) ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๙ - ประกาศการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ ๔๖/๒๕๔๑ เรื่อง การก าหนด อัตราการปล่อยมลสารทางอากาศจากปล่องของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ประกาศในราชกิจจา นุเบกษา วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ๒). คุณภาพอากาศจากโรงไฟฟ้าเก่าและใหม่ ๓). มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบ EIA/โรงไฟฟ้า ๓.๑ คุณภาพอากาศจากปล่อง - ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ก าหนดมาตรฐานควบคุม การปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าใหม่ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๓ - ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ก าหนดให้โรงไฟฟ้าใหม่ เป็นแหล่งก าเนิดมลพิษ ที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศ ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๓ - ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๒) เรื่อง ก าหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าเก่า ลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๒ - ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๒) เรื่อง ก าหนดให้โรงไฟฟ้าเก่าเป็นแหล่งก าเนิดมลพิษที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่ สิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๒ ๓.๒ คุณภาพอากาศในบรรยากาศทั่วไป - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๓๘) เรื่อง ก าหนด มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป ลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๗) เรื่อง ก าหนด มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศทั่วไป ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๔๗
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๓๑ - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ. ๒๕๔๔) เรื่อง ก าหนด มาตรฐานค่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศทั่วไป ในเวลา ๑ ชั่วโมง ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๔ - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒๘ (พ.ศ. ๒๕๕๐) เรื่อง ก าหนด มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓๓ (พ.ศ. ๒๕๕๒) เรื่อง ก าหนด มาตรฐานก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในบรรยากาศโดยทั่วไป ลงวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓๖ (พ.ศ. ๒๕๕๓) เรื่อง ก าหนด มาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไป ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓.๓ กฎหมายเกี่ยวกับมลพิษทางน้ า - พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๗๐ เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งก าเนิดมลพิษที่ก าหนดตามมาตรา ๖๙ มีหน้าที่ต้องก่อสร้าง ติดตั้ง หรือจัดให้มีระบบบ าบัดน้ าเสีย หรือระบบก าจัดของเสียตามที่เจ้า พนักงานควบคุมมลพิษก าหนด เพื่อการนี้ เจ้าพนักงานควบคุมมลพิษจะก าหนดให้เจ้าของ หรือผู้ ครอบครองมีผู้ควบคุมการด าเนินงานระบบบ าบัดน้ าเสีย หรือระบบก าจัดของเสียที่ก าหนดให้ท าการ ก่อสร้าง ติดตั้งหรือจัดให้มีขึ้นนั้นด้วยก็ได้ ในกรณีที่แหล่งก าเนิดมลพิษใดมีระบบบ าบัดน้ าเสีย หรือ ระบบก าจัดของเสียอยู่แล้วก่อนวันที่มีประกาศของ รัฐมนตรีตามมาตรา ๖๙ ให้เจ้าของ หรือผู้ ครอบครองแหล่งก าเนิดมลพิษแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมมลพิษ เพื่อตรวจสอบ หากเจ้าพนักงาน ควบคุมมลพิษเห็นว่าระบบบ าบัดน้ าเสีย หรือระบบก าจัดของเสียที่มีอยู่แล้ว นั้นยังไม่สามารถท าการ บ าบัดน้ าเสีย หรือก าจัดของเสียให้เป็นไปตามมาตรฐานควบคุมมลพิษจาก แหล่งก าเนิดที่ก าหนดไว้ เจ้าของ หรือผู้ครอบครองแหล่งก าเนิดมลพิษมีหน้าที่ต้องด าเนินการแก้ไขหรือ ปรับปรุงตามที่เจ้า พนักงานควบคุมมลพิษก าหนด - พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ าไทย พ.ศ. ๒๕๒๕ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ าไทยนี้มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน และ แก้ไขมลพิษทางน้ าได้แก่มาตรา ๑๑๗ และมาตรา ๑๑๙ ดังนี้ “มาตรา ๑๑๗ ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งใดล่วงล้ าเข้าไปในแม่น้ าล าคลอง บึง อ่างเก็บน้ า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือ ทะเลภายในน่านน้ าไทย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า” นอกจากนี้ในมาตรา ๑๑๗ ยังได้ระบุว่า หากบุคคลที่ฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินสองพันบาท และให้กรมเจ้าท่าออกค าสั่งให้บุคคลผู้ฝ่าฝืนรื้อถอนอาคารที่รุกล้ าแม่น้ า ล าคลอง หากไม่ปฏิบัติตามค าสั่งดังกล่าว กรมเจ้าท่ามีอ านาจรื้อถอนอาคารดังกล่าวเองได้ตามมาตรา ๑๑๘ และส าหรับมาตรา ๑๑๙ มีจุดประสงค์ที่จะคุ้มครองแม่น้ าล าคลองที่เป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ให้ตื้นเขิน หรือเกิดสิ่งเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตหรือเป็นอันตรายแก่
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๓๒ การเดินเรือ จึงได้มีการห้ามทิ้งสิ่งของที่จะเป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่กล่าวมาลงในแม่น้ า ล าคลอง เว้นแต่จะ ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ดังนี้ “มาตรา ๑๑๙ ห้ามมิให้ผู้ใดเท ทิ้ง หิน กรวด ทราย ดิน โคลน อับเฉา สิ่งของ หรือ สิ่งปฏิกูลใดๆ รวมทั้งน้ ามัน และเคมีภัณฑ์ลงในแม่น้ า ล าคลอง บึง อ่างเก็บน้ า ทะเลสาบ อันเป็น ทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ าไทยอันจะเป็น เหตุให้เกิดการตื้นเขิน หรือตกตะกอน หรือท าให้แม่น้ าล าคลอง บึง อ่างเก็บน้ า อันเป็นทางสัญจรของ ประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ าไทยสกปรกเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต หรือเป็นอันตรายแก่การเดินเรือ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ ไม่เกินสองพันบาท และต้องชดใช้เงิน ค่าใช้จ่ายที่กรมเจ้าท่าต้องเสียในการขจัดสิ่งเหล่านั้นด้วย” นอกจากนี้ยังมีกฎหมายอื่นๆ อีกหลายบทบัญญัติและข้อก าหนดที่สามารถใช้ควบคุม และป้องกันภาวะ มลพิษทางน้ าได้ เช่น - พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์การสั่งให้หยุดประกอบกิจการ โรงงานกรณีมีการระบายน้ าทิ้งออกจากโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๖ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมก าหนดให้โรงงานที่ต้องมีระบบบ าบัดน้ าเสียต้อง ติดตั้งเครื่องมือ หรือเครื่องอุปกรณ์พิเศษ และเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๙ - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) เรื่อง ก าหนดคุณลักษณะ ของน้ าทิ้งที่ระบายออกจากโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๙ - ประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง การก าหนดอัตราค่าปรับส าหรับการระบาย น้ าทิ้งออกจากโรงงานที่มีลักษณะไม่เป็นไปตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมออกตามความใน พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ - ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรฐานควบคุม การระบายน้ าทิ้งจากแหล่งก าเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๙) - ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๙) เรื่อง ก าหนดประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมเป็นแหล่งก าเนิดมลพิษที่จะต้องถูก ควบคุมการปล่อยน้ าเสียลงสู่แหล่งน้ าสาธารณะหรือออกสู่สิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ - ประกาศกรมเจ้าท่า ที่ ๑๖๔/๒๕๖๐ เรื่อง ก าหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ าทิ้ง จากแหล่งก าเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ลง วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๓.๔ กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมมลพิษทางกลิ่น ในปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องในด้านมาตรฐานควบคุมการ ปล่อยทิ้งสารมลพิษ จากแหล่งก าเนิด และกฎเกณฑ์ในการควบคุมสิ่งที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนร าคาญ ดังระบุในบทบัญญัติทางกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๓๓ พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ นอกจากนี้ ยังมีกฎกระทรวงก าหนดมาตรฐาน และวิธีการตรวจสอบกลิ่นในอากาศ จากโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๘ อาศัยอ านาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๘ (๕) แห่งพระราชบัญญัติ โรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่ในกฎกระทรวงฉบับนี้ มีระบุไว้ เพียง “บัญชีท้ายกฎกระทรวงก าหนดมาตรฐาน และวิธีการตรวจสอบกลิ่นในอากาศจากโรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๘” เท่านั้น ซึ่งครอบคลุมเพียง โรงงาน จ าพวกที่ ๑, ๒ และ ๓ ตามที่ก าหนดไว้ในบัญชีท้ายกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความใน พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งไม่รวมถึงโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าทุกขนาด เนื่องจากได้ยกเลิก ออกจากการเป็นโรงงานจ าพวกที่ ๓ แล้ว ตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๙) อีกทั้ง ในบัญชี ท้ายกระทรวง ไม่มีข้อใดระบุถึงประเภท หรือชนิดของโรงงานที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินอีกด้วย ๒.๙.๔ กฎหมายเกี่ยวกับมลพิษทางเสียง และความสั่นสะเทือน กฎหมายหลายบทบัญญัติและข้อก าหนดที่สามารถใช้ควบคุม และป้องกันภาวะมลพิษ ทางเสียง และความสั่นสะเทือนได้ เช่น - พระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามความในมาตรา ๓๒ เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้คณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีอ านาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก าหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเรื่อง ต่อไปนี้ (๑) มาตรฐานคุณภาพน้ าในแม่น้ าล าคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ า และแหล่ง น้ าสาธารณะอื่นๆ ที่อยู่ภายในผืนแผ่นดิน โดยจ าแนกตามลักษณะการใช้ประโยชน์บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ าใน แต่ละพื้นที่ (๒) มาตรฐานคุณภาพน้ าทะเลชายฝั่งรวมทั้งบริเวณพื้นที่ปากแม่น้ า (๓) มาตรฐานคุณภาพน้ าบาดาล (๔) มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป (๕) มาตรฐานระดับเสียง และความสั่นสะเทือนโดยทั่วไป (๖) มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมในเรื่องอื่นๆ การก าหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามวรรคหนึ่งจะต้องอาศัยหลักวิชาการ กฎเกณฑ์ และหลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน และจะต้องค านึงถึงความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ ในส่วนที่ ๒ เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษ มีการก าหนดการควบคุมมลพิษจาก แหล่งก าเนิด และให้ผู้ก่อมลพิษรับผิดชอบด าเนินการป้องกันมลพิษที่เกิดขึ้นด้วย - ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดลอมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๐) (๑) ค่าระดับเสียงสูงสุด ไมเกิน ๑๑๕ เดซิเบลเอ (๒) ค่าระดับเสียงเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมงไมเกิน ๗๐ เดซิเบลเอ - ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม - พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ - พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ทิศทางการใช้พลังงานฟอสซิลของไทยในอนาคต กรณีถ่านหิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หน้า ๓๔ - กฎกระทรวงก าหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท างานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. ๒๕๔๙ - พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ - กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) - ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๖ - พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ - พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ - พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ าไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นต้น ๒.๑๐ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ๒.๑๐.๑. กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ (ค.ศ. ๑๙๙๐) คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุน ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้เผยแพร่รายงานการประเมิน สถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อยืนยันถึงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอันเป็นผล มาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลก และคาดการณ์ถึงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การละลายของภูเขาน้ าแข็ง และธารน้ าแข็ง การเพิ่มขึ้นของ ระดับน้ าทะเลในมหาสมุทร การก่อตัวรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น เป็นต้น ผลการประเมิน ดังกล่าวได้น าไปสู่การเจรจาจัดท ากรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) เพื่อใช้ เป็นเวทีในการสร้างความร่วมมือจากนานาชาติในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรอบอนุสัญญ าฯ ได้ก าหนดพันธกรณีแก่ประเทศภาคีโดยใช้หลักการ “ความ รับผิดชอบร่วมกันที่แตกต่าง” หรือ “Common but differentiated responsibilities” โดยจ าแนก ประเทศภาคีเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มภาคผนวกที่ ๑ คือ ประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว ที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือน กระจกมากมาก่อน จัดเป็นกลุ่มที่มีต้องมีพันธกรณีที่เป็นรูปธรรมในการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น มี เป้าหมายการลด กลุ่มภาคผนวกที่ ๒ คือ ประเทศพัฒนาแล้ว ตามภาคผนวกที่ ๑ แต่ไม่รวมประเทศที่มี การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ (จากสังคมนิยมเป็นทุนนิยม) โดยกลุ่มนี้ จัดเป็นกลุ่มที่ต้องให้การสนับสนุน ทางการเงิน การพัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างศักยภาพ ให้แก่ประเทศก าลังพัฒนาใน การลดก๊าซเรือนกระจก และปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มนอกภาคผนวกที่ ๑ คือ ประเทศก าลังพัฒนา ประเทศไทยได้ร่วมให้สัตยาบันเป็น ภาคีในกรอบอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๗