ต�ำนานสุนทราภรณ์ 99 ๑๑ เบื้องหลัง เพลงหนึ่งในดวงใจ เพลงรักบังใบ ซึ่งเป็นเพลง “แจ้งเกิด” ของ รวงทอง ทองลั่นธม นั้น เป็นตัวอย่างของเพลงแบบ “สังคีตสัมพันธ์” คือ การผสมผสานของดนตรีไทยกับดนตรีสากล โดยนำมา จาก เพลงบังใบ ซึ่งเป็นเพลงไทยเดิม “เพลงรักหวาน อันแสนไพเราะ” ของ ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ที่เป็น “เพลงอมตะ” ยังมีอีกหลายเพลง เช่น เพลงข้องจิต ชอุ่มแต่งเนื้อร้อง ผู้แต่งทำนองคือ พลโท หม่อมหลวงขาบ กุญชร อดีตเสรีไทยสายอเมริกาคนสำคัญ ซึ่งดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ช่วง ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๐ โดยใช้นามปากกา “อ.ป.ส.” ซึ่งย่อมาจาก อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นั่นเอง
100 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ในหนังสือ “คอนเสิร์ต ๘๒ ปี ชอุ่ม ปัญจพรรค์” เล่าว่า “เพลง ‘ข้องจิต’ นี้ ทราบว่า อ.ป.ส. ไปหา ผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่านรัก แต่ไม่พบ เพราะเธอผู้นั้นไปกับคนอื่นเสียก่อน จึงระบายความโกรธ โดยดีดเปียโน รวดเดียวออกมาเป็นท�ำนอง ส่งให้ ชอุ่ม ปัญจพรรค์ ใส่บทร้อง...” เพลงหวานอีกเพลงหนึ่งคือ เพลงรักเอาบุญ ที่ขึ้นต้นว่า “เคยชิด ชื่นนาง แม่เอ๋ยไม่จาง รักเอย ; เคยชิด ชื่นเชย ไม่เคยจืดใจ ...” เพลงนี้ครูเอื้อแต่งท�ำนอง และเช่นเคย คือเป็นเพลงของผู้ชาย อีกเพลงที่โด่งดัง และมีเบื้องหลังความเป็นมาน่าสนใจมาก คือ เพลงหนึ่งในดวงใจ ที่ขึ้นต้นว่า “พี่นี้มีน้องหนึ่งในดวงใจเท่านั้น หญิงอื่นหมื่นพันจะมาเทียมทันที่ไหน แต่รักของพี่ซ่อนอยู่กลางใจ ข้างใน หนึ่งในดวงใจคือเธอคนเดียวแท้เทียว...” เพลงนี้ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์ เล่าเบื้องหลังเอาไว้ในหนังสือ “คอนเสิร์ต ๘๒ ปี ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์” ว่า “มาทราบภายหลังว่า คนสนิทของ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาขอให้ครูเอื้อแต่งเพลง รับขวัญท่านผู้หญิงวิจิตรา (ภริยาของท่าน) ซึ่งไปรักษาตัวที่อังกฤษ แล้วไม่ยอมกลับเมืองไทย เพราะน้อยใจที่จอมพลสฤษดิ์นอกใจ จนต้องส่งทูตไปขอร้องอ้อนวอน จึงยอมกลับ ท่านจอมพลฯ จึงให้ เตรียมการต้อนรับให้วงดนตรีสุนทราภรณ์บรรเลงและใช้ ‘เพลง หนึ่งในดวงใจ’ นี้เป็นเพลงรับขวัญพิเศษ ...” พลโท ม.ล.ขาบ กุญชร
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 101 ตอนนั้นครูชอุ่ม และคณะไป “ตากอากาศ” โดยไปพักที่บ้าน รับรองของกรมประมง อ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะก�ำลัง “นั่งเล่นไพ่กันสนุนสนานจน ๓ ทุ่มเศษ อาเอื้อก็ลุกขึ้นจากวง... ‘อุ่ม! แต่งเพลง!!’ อาเอื้อเรียก ฉันต้องวางไพ่มานั่งข้างๆ วงไพ่นั่นแหละ อาเอื้อก็ฮัมท�ำนอง ฉันก็ใส่เนื้อ.... ใส่ค�ำร้องเป็นช่วงๆ แต่งเพลงเสร็จ เรียบร้อยภายในชั่วโมงเศษ จากนั้นครูเอื้อก็น�ำเพลงเข้ากรุงเทพฯ ทันที...” เพลงนี้เป็นเพลงคู่ขับร้องโดย ครูเอื้อ และ ชวลี ช่วงวิทย์ นับเป็น “เพลงอมตะ” อีกเพลงหนึ่งของครูชอุ่มที่แต่งร่วมกับครูเอื้อ นอกจากเพลงหวานๆ แล้ว เพลงเด่นของครูชอุ่มอีกประเภท หนึ่งคือเพลงตามนโยบายของ “ท่านผู้น�ำ” คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เช่น เพลงวัฒนธรรม ที่ครูชอุ่มแต่งเนื้อร้อง ครูเอื้อแต่ง ท�ำนอง ค�ำร้องขึ้นต้นว่า “วัฒนธรรม วัฒนธรรม เหมือนหลักปักน�ำ ที่คอยค�้ำชาติ เฉิดฉาย ; วัฒนธรรมนั้น ท�ำให้ชาติ พ้นความมลาย ...” เพลงนี้ชื่อเดียวกับเพลงที่แต่งเนื้อร้องโดย พระราชธรรมนิเทศ (เพียร ราชธรรมนิเทศ) ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น ๑ ใน ๔ “ปุโรหิต” ประจ�ำตัวของจอมพล ป. ได้แก่ ยง-เถียร-เพียร-นวล (ยง คือ พระยาอนุมานราชธน เจ้าของนามปากกา เสฐียรโกเศศ), เถียร คือ หลวงวิเชียรแพทยาคม (เถียร วิเชียรแพทยาคม), เพียร คือ พระราชธรรมนิเทศ และ นวล คือ หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เพลงวัฒนธรรม ของพระราชธรรมนิเทศ ขึ้นต้นว่า “วัฒนธรรม จะน�ำไทยแผ่ไพศาล ไทยต้องร่วมวิทยาการเป็นใหญ่ การแต่งกาย
102 ต�ำนานสุนทราภรณ์ มีระเบียบเรียบวิไล สุขภาพอนามัยดี ทั่วกัน ...” เพลงนี้ครูเอื้อแต่งท�ำนอง เช่นเดียวกัน เป็นบทเพลงที่กระชับ มีบทกลอนเพียง ๓ บท และภาษาก็ อลังการมาก แต่ เพลงวัฒนธรรม ของครูชอุ่ม ก็ “ถูกใจ” ท่านผู้น�ำมาก ดังครูชอุ่มเล่าว่า “เพลงนี้ เมื่อออก อากาศทางวิทยุกระจายเสียงของ กรมโฆษณาการครั้งแรก ก็ได้รับ ซองเหลืองและเงินสองพันบาทจาก ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นรางวัลในความไพเราะและ มีสาระมาก ทั้งยังมีบัญชาให้บรรเลงทางวิทยุในคืนนั้นอีก ๒-๓ เที่ยว ทั้งชอุ่มและอาเอื้อดีใจมากที่ได้รับเกียรติ เงิน ๒ พันบาท เวลานั้น ซื้อทองได้ตั้ง ๕ บาททีเดียว” เพลงที่ครูชอุ่มแต่งและได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางมาก คือ เพลงหน้าที่ของเด็ก ที่สร้อยขึ้นต้นว่า “เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่ สิบอย่างด้วยกัน (ซ�้ำ) หนึ่ง นับถือศาสนา สอง รักษาธรรมเนียมมั่น ...” ครูชอุ่มเล่าว่า “วันเด็กเป็นวันส�ำคัญของโลก เป็นวันเด็กสากล รัฐบาลต้องจัดงานวันเด็กเป็นประจ�ำทุกปี ซึ่งชอุ่มเป็นผู้บริหาร ของกรมประชาสัมพันธ์ไปประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็ก ด้วยตนเองตลอดมาจนถึงเกษียณอายุ ครูเอื้อจึงให้ชอุ่มแต่งเพลง ‘หน้าที่เด็ก’ เพื่อบรรเลงในงานวันเด็ก ชอุ่มได้น�ำเอาข้อบัญญัติ ของวันเด็กสากลมาเรียบเรียงเป็นเนื้อเรื่อง และครูเอื้อได้ใส่ท�ำนอง เพลงหน้าที่เด็ก ซึ่งแพร่หลายมาจนทุกวันนี้” (เล่ม ๖ น. ๑๐๕-๑๐๖) ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 103 อีกเพลงที่ควรกล่าวถึงคือ เพลงแม่ศรีเรือน ที่ขึ้นต้นว่า “โฉม เอยโฉมนาง ขอฟังค�ำ ...” และจบลงที่ “ชาติจะเลื่องลือชา เพราะ วิชาการเรือน ดังแม่ศรีเรือน ครั้งโบราณกาล ก่อนเอย” เพลงนี้ เวส สุนทรจามร แต่งท�ำนอง และขับร้องโดย วินัย จุลละบุษปะ แต่ไม่โด่งดังเท่า เพลงแม่ศรีเรือน ที่แต่งค�ำร้องและท�ำนองโดย ครูไพบูลย์ บุตรขัน ขับร้องโดย ชาญ เย็นแข ที่ขึ้นต้นว่า “แม่ศรีเอย แม่ศรีเรือน น้องเป็นทั้งเพื่อนและเมียที่รัก บูชา...” เพลงนี้เป็นเพลง ในภาพยนตร์เรื่อง แม่ศรีเรือน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ (เล่ม ๖ น. ๔๙) ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ที่บ้านขุนรจนาเทวธรรม อดีตนายอ�ำเภอบางปลาม้า ต�ำบลโคกคราม อ�ำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเกิด “ท้องฟ้าชอุ่มฝน” ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์
104 ต�ำนานสุนทราภรณ์ จึงได้ชื่อว่า ชอุ่ม เรียนหนังสือที่อ�ำเภอบางเลน และอีกหลายโรงเรียน จนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ ๑ ได้เลขประจ�ำตัว หมายเลข ๑ และเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย รุ่นที่ ๑๑ ครูชอุ่มรักงานประพันธ์มาตั้งแต่เมื่อเป็นนักเรียน ได้แต่งเพลง เชียร์ให้โรงเรียนราชินีบูรณะ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจ�ำจังหวัด นครปฐม เมื่อเรียนอยู่ที่นั่น เมื่อเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้มีโอกาสแต่งเพลงแรกในชีวิต คือ เพลงแสนห่วง ซึ่งครูเอื้อเป็น ผู้แต่งท�ำนอง เพราะเป็น “ญาติ” กัน โดยครูชอุ่ม มีศักดิ์เป็นพี่ คุณอาภรณ์ กรรณสูต ที่ครูเอื้อหลงรัก ครูชอุ่มเล่าว่า “เป็นเพลงแรก ที่แต่ง ครูเอื้อให้ลองแต่งตามท�ำนองที่ผิวปากให้ฟัง เมื่อแต่งเสร็จ ครูเอื้อน�ำไปออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ต่อมาได้ทราบว่าชายผู้หนึ่งอยู่ที่ศรีราชา ได้ฟังเพลง ‘แสนห่วง’ ทางวิทยุจบ ก็รีบขับรถมาหาหญิงคนรักที่กรุงเทพฯ ทันที เพราะ อานุภาพของเนื้อเพลง ...” เมื่อเรียนจบ ครูชอุ่มเลือกเข้าท�ำงานที่กรมประชาสัมพันธ์ เพราะต้องการเดินตามเส้นทางของรุ่นพี่ คือ ทรง สาลิตุล ท�ำให้ต้อง รับเงินเดือนลดลงไป ๓๐ บาท ซึ่ง “มากโข” ในสมัยนั้น เพราะ ต�ำแหน่งที่ได้รับมีเงินเดือนแค่นั้น ครูชอุ่มเล่าว่า “การที่ฉันเสียสละ เงินเดือนไป ๓๐ บาท ซึ่งนับว่ามากพอดูในสมัยนั้น ฉันไม่เสียใจเลย เพราะฉันได้มีโอกาสได้แต่งละครออกแสดงทางวิทยุกระจายเสียง แต่งนิทานให้เด็กๆ ฟังตอนเช้าวันอาทิตย์ แต่งสารคดีออกอากาศ ในเวลากลางคืน อาทิตย์เว้นอาทิตย์”
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 105 นอกจากแต่งเพลง นิทาน แล้วครูชอุ่มแต่งนิยายไว้ถึง ๓๐ เรื่อง เฉพาะเรื่อง ทัดดาวบุษยา ได้น�ำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และละคร โทรทัศน์ถึง ๕ ครั้ง ครูชอุ่มจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่ออายุ ๙๑ ปี ๒ เดือน ๑๓ วัน นวนิยายเรื่อง “ทัดดาวบุษยา” ที่ครูชอุ่ม ปัญจพรรค์ แต่ง
106 ต�ำนาานสุนทราาภรณ์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 107 ๑๒ ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ นักแต่งค�ำร้องเพลง (Lyricist) ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ ที่โดดเด่นที่สุดคือ ครูแก้ว อัจฉริยะกุล ซึ่งมีผลงานที่มาก ทั้งปริมาณและสูงด้วยคุณค่า แต่ครูแก้วอยู่กับวงสุนทราภรณ์ได้ราว ๒๐ ปี ก็เกิด “ผิดใจ” กัน และจากไป หลังจากนั้น มีครูเพลงนักแต่งเนื้อร้องหลายท่าน นอกจาก ครูสุรัฐ พุกกะเวส แล้ว ที่โดดเด่นที่สุดท่านหนึ่ง คือ ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ ซึ่ง “คีตา พญาไท” น�ำผลงานและเรื่องราวมา เขียนไว้เป็นหนังสือเล่มที่ ๗ ในชุด “๘๒ ปี สุนทราภรณ์ อนุสรณ์ฝากไว้” โดยการพิมพ์เผยแพร่ครั้งนี้เป็นการพิมพ์ รวมเล่มครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๔ หนังสือเล่มนี้มีเรื่องราว มากมายตามผลงานจ�ำนวนมากของ ศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ จึงหนารวมถึง ๘๗๒ หน้า
108 ต�ำนานสุนทราภรณ์ คีตา พญาไท ตั้งฉายา ศรีสวัสดิ์พิจิตรวรการ เป็นชื่อรองของ หนังสือเล่มนี้ว่า “คีตศิลปิน ครูเพลง นักเลง กวี” ฉายา “นักเลง” น่าจะมาจาก “สมัยเรียนหนังสืออยู่นั้น ครูศรีสวัสดิ์ชอบกีฬาฟุตบอล มาก และเคยขึ้นชกมวยอาชีพที่สนามมวยราชด�ำเนินหลายครั้ง” (เล่ม ๗ น. ๙) นอกจากนั้นยังมีบุคลิกเป็นคน “ดุ” ดัง รวงทอง ทองลั่นธม เล่าถึงครูศรีสวัสดิ์ในหนังสือ “อนุทินชีวิต และเพลงของข้าพเจ้า” ว่า “... เขาเป็นนักแต่งเพลงที่มีอารมณ์รุนแรง สมกับเป็นกวีจริงๆ เขา เคยโกรธดิฉันที่ร้องเพลง ไม่ถูกใจเขา และเคยดุเสียด้วย แต่ดิฉันมี ความนิยมในผลงานของเขามากกว่าจะตอบสนองด้วยอารมณ์ใดๆ เพราะเพลงของเขามีความหวานซึ้ง ... เศร้า ... ละเอียดอ่อน ... และ มีโป๊บ้างอย่างผู้ดี เขาเขียนเพลงด้วยเขามีใจรักโดยแท้ ดูๆ เขาช่าง แปลกเหลือเกิน ... เพราะ ... เขาไม่เหมือนใครในด้านอารมณ์ ...” (เล่ม ๗ น. ๕๖๔) ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๔ จึงอายุน้อยกว่าครูเอื้อราว ๑๑ ปี เรียนจบมัธยม ๖ ที่โรงเรียน วัดสุทธิวราราม และจบมัธยม ๘ ที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เข้าเรียน ต่อที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียนได้ ๒ ปี ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารอยู่หน่วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ประจ�ำกองร้อยที่สามแยกไฟฉาย จากนั้นก็ออกไปท�ำงานหลายแห่ง งานที่เกี่ยวข้องกับการประพันธ์ คือ ได้ไปท�ำหนังสือประชาสัมพันธ์ ให้กับองค์การสวนสัตว์ เขาดินวนา แล้วลาออกไปเป็นนักเขียนที่ หนังสือพิมบางกอกโพสต์และใช้นามปากกาว่า ‘ศรีเสาวลักษณ์’ ในการเขียนกาพย์ บทกลอน กวีนิพนธ์ต่างๆ ส่งตามหนังสือพิมพ์ ฉบับต่างๆ เพราะเป็นงานที่ชอบและถนัดมาก (เล่ม ๗ น. ๑๐)
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 109 ครูศรีสวัสดิ์สร้างผลงานเพลงไว้มากมาย หลายเพลงกลายเป็น เพลงที่ประทับใจแฟนเพลงอย่างลึกซึ้ง เช่น เพลงฟ้าแดง ที่ขึ้นต้นว่า “สนธยา ฟ้าแดง สุรีย์ร้อนแรงโรยอ่อน รอนแสงหม่นมัว สกุณา เรียกหารังตัว ชะนีเรียกผัว รัวเร้าร�่ำก�ำสรวล ...” เพลงดึกคืนนี้ที่ ขึ้นต้นว่า “โอ้ดึกดื่นคืนนี้ คนดีของพี่คงฝัน โอ้เจ้าใจจอมขวัญ เธอฝัน กระสันถึงใคร ...” เพลงพรจุมพิต ที่ขึ้นต้นว่า “อยากมีชีวิตเหมือน ถูกจุมพิต ดื่มด�่ำซ�้ำซ้อน เคล้าคลอนจนอ่อนใจฝัน ...” ครูศรีสวัสดิ์แต่งเพลงเกี่ยวกับสถานที่ไว้เป็นจ�ำนวนมาก หลายเพลงกลายเป็นเพลงที่คนที่นั่นรับไว้เป็นของตนมายาวนาน เช่น เพลงพัทยาลาก่อน ที่ขึ้นต้นว่า “ลมทะเล พัดมา หาดพัทยา ครวญคลั่ง ฟังเหมือนมนต์ ภวังค์ วอนหวีดหวัง ครางว่า ...” และจบ ลงว่า “ลาแล้วลา ขอลา โอ้พัทยา ลาก่อน ชีวิตคือ ละคร ฉันมันอ่อน โลกเอย” เพลงนี้สั้น แต่ประทับใจคนพัทยาและคนไทยทั่วประเทศ นอกเหนือจากท�ำให้รุ่งฤดีแพ่งผ่องใส“นักร้องดาวรุ่ง” ของวงดนตรี สุนทราภรณ์ แจ้งเกิดทันที แน่นอนว่า ทุกเพลงที่ประทับใจ คนฟัง นอกจากเนื้อร้องที่ยอดเยี่ยม ลงตัวแล้ว ครูเอื้อมีบทบาทที่ส�ำคัญใน ฐานะผู้แต่งท�ำนอง (Composer) นอกจากนั้นยังเป็นผู้เลือกนักร้อง และฝึกร้องจน “ถึงขีด” ดังเพลง พัทยาลาก่อน หนังสือ “ร้องร�ำท�ำครัว รุ่งฤดีแพงผ่องใส” บันทึกไว้ว่า รุ่งฤดีแพ่งผ่องใส
110 ต�ำนานสุนทราภรณ์ “ครูเอื้อท่านจะเป็นผู้เลือกเพลงให้ร้อง ท่านจะมีหูพิเศษใน เรื่องนี้ นักร้องแต่ละคนร้องคีย์ไหนถึงจะเพราะ แล้วลักษณะเนื้อเสียง อย่างนี้ ต้องร้องแนวนี้ ท่านเป็นคนมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมากๆ ...” ตอนที่อัดแผ่นเสียงเพลงนี้ รุ่งฤดีไปถึงห้องบันทึกเสียงกมล สุโกศล แต่เช้าตรู่ ครูเอื้อและนักดนตรีกว่า ๑๐ ชีวิต มาถึงกัน พร้อมหน้า “เธอออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด” รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส เล่าว่า “... ยังจ�ำได้เลยว่า ที่อัด ‘เพลงพัทยา ลาก่อน’ ตอนนั้น ดิฉันยังใหม่กับวงการนี้มาก เคยร้องก็แต่ร้องให้ เพื่อนฟังหรือร้องในโรงเรียน พอรู้ว่าจะต้องอัดเสียงให้คนทั่วไปฟัง รู้สึกตื่นเต้น สั่นไปหมด กว่าจะร้องอัดเสียงออกมาส�ำเร็จได้ เล่นเอา คนที่ช่วยเหลือหลายคนปวดหัวไปตามๆ กันทีเดียวแหละ นึกแล้ว อดข�ำไม่ได้ ท�ำไมตอนนั้นพี่สั่นจนร้องไม่ได้ยังงั้น ...” (เล่ม ๗ น. ๖๑๑) ในหนังสือ “นิตยสารราชาเสียงทอง” รุ่งฤดีเล่าไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ว่า “เพลงพัทยาลาก่อน สไตล์การร้องครูเอื้อไม่บังคับ ปล่อยเราให้เป็นตัวเรา เพราะท่านอุตส่าห์ให้คนแต่ง ดูเนื้อ ลีลา แล้วว่า เพลงนี้ต้องรุ่งฤดีร้อง เพราะฉะนั้น ท่านก็ปล่อยให้เป็นลีลา ของเรา ... เราร้องที่ท่อน ‘ลาแล้วลาขอลา โอ้พัทยา ลาก่อน’ เหมือน เราลาจริงๆ ‘ชีวิตคือละคร ฉันมันอ่อนโลกเอย’” (เล่ม ๗ น. ๖๑๒) เกี่ยวกับเนื้อร้อง รุ่งฤดีกล่าวถึงสั้นๆ แต่ชัดเจนมากว่า “ครู ศรีสวัสดิ์ จะแต่งเพลงลักษณะเหมือนกวี เล่นค�ำเยอะ เล่นอักษร ‘กรีดและคว้านอารมณ์’ ไม่มีใครแต่งได้อย่างครูศรีสวัสดิ์” (เล่ม ๗ น. ๖๑๑)
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 111 ๑๓ “เหมือนบทกวี กรีดและคว้าน อารมณ์” ลักษณะบทเพลงของ ครูศรีสวัสดิ์ ที่ รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส สรุปว่า “เหมือนบทกวี เล่นค�ำเยอะ ‘กรีดและคว้านอารมณ์’ ไม่มีใครแต่งได้อย่างครูศรีสวัสดิ์” ปรากฏในบทเพลงหลาย เพลง เช่น เพลงปีศาจวสันต์ ที่ขึ้นต้นว่า “เราจากกัน วันนั้น ยังจ�ำ จากกันวันฝนพรมพร�ำ พรางม่านกรรม คล�้ำครึ้ม คลุมเวร ลมครางฝนครวญ ไพรสั่นซวน รวนระเนน ความกดดัน ขั้นเดน เหมือนจะเค้น ฆ่าตาย...” แน่นอนว่าเพลงนี้จับใจและ ประทับใจคนฟัง นอกจากเนื้อเพลงของ ครูศรีสวัสดิ์แล้ว ท�ำนองเพลงของ ครูเอื้อ และนักร้องคือ บุษยา รังสีย่อมมี ส่วนส�ำคัญยิ่ง
112 ต�ำนานสุนทราภรณ์ เช่นเดียวกับ เพลงเหมันต์ รัญจวน ที่ขึ้นต้นว่า “หวีดหวีด วอนวอนอ้อนออดโอยมา โอ้อนิจจา อ่อนอาลัย เหมันต์ครวญคลั่งฟังคล้าย เสียงใคร เสียงใครครวญใคร่ ร้องไป ร�่ำไปในสายลม...” ส่วน เพลงเพลงรักของเธอ ที่ ขึ้นต้นว่า “พี่ยังร้องเพลงรักของเธอ พี่ยังเพ้อเพลงร้างของเรา เสียงเพ้อ พร้องยังร�่ำเรียกร้องคล้องเคล้า ครวญคร�่ำค�่ำเช้าครางเคล้าลม ...” เป็นเพลงผู้ชาย ครูเอื้อแต่งท�ำนอง และขับร้องเอง ทุกเพลง“เหมือนบทกวี เล่นค�ำเยอะ ‘กรีดและคว้านอารมณ์’ ไม่มีใครแต่งได้อย่างครูศรีสวัสดิ์” จริงแท้ เพลงที่เล่นค�ำ กรีดและคว้านอารมณ์เช่นนี้ย่อมเข้าใจยาก และ“ตามอารมณ์เพลง”ได้ยากจ�ำเป็นต้องได้ท่วงท�ำนองที่น�ำพา และนักร้องที่เข้าถึงอารมณ์เพลงได้อยางลึกซึ้งเพียงพอจึงจะท�ำให้ คนฟังเข้าใจจับใจและประทับใจได้แน่นอนว่าบุคคลที่ส�ำคัญที่สุด ที่จะเชื่อมประสานสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ คือคนอย่างครูเอื้อ ดังครูศรีสวัสดิ์ ได้ “ถอดหัวใจ” เล่าไว้เองว่า “สามสิบปีแห่งดนตรีกาล อา มันช่างเป็นมหาอุปรากรชีวิต ที่เกรียงไกร เกริกกราว และยาวนานอะไรเช่นนั้น ผมตายแล้วเกิดใหม่ ก็เห็นจะไม่มีปัญญามาอ�ำนวยเพลง ก�ำกับการดนตรีและควบคุมคน บุษยา รังสี
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 113 ได้อย่างพี่เอื้อ มันเป็นสมรรถภาพ อัจฉริยภาพ สัมพันธ์กันโดยแท้ ที่มีอยู่ในตัวพี่เอื้อ พิเศษไปจากคุณธรรม ความดี ... พี่เอื้อได้อบรม สั่งสอน และแนะน�ำผมอย่างกับ ‘เพลงจงท�ำดี’ นั่นทีเดียว พี่เอื้อเป็นคนดี พี่เคยทะเลาะมากับผมหลายหน ก็แน่ละ ผมคงจะเป็นคนไม่ค่อยดีนัก เพลงของผมมันไม่ดีเสียทุกเพลงไป พี่เอื้อจะให้ผมเขียนอย่างสุนทรภู่ ผมก็ดื้อ จะเขียนอย่างศรีปราชญ์ จึงเถียงกันบ่อย ส�ำนึกแล้ว พี่เอื้อก็จะให้ผมไปเขียนให้ดีมากๆ ขึ้น นั่นเอง คนที่บอกผมว่าอย่าไปโกรธเขา เลย ก็คือ สง่า อารัมภีร หรือ พี่แจ๋ว นั่นแหละ สามสิบปีแห่งดนตรีกาลของ พี่เอื้อนั้น บรรเลงระเรื่อยรื่น ชื่นมื่น วิมานเมืองไทย พี่เอื้อเป็นคนวันเสาร์ที่ แข็งแกร่ง ยืนหยัด กวัดคันชักไวโอลิน คู่ชีพ ไฉไลตลอดกาล พี่เอื้อไม่เคยหยุด งาน พวกเรานักเขียนสองสามคน ดูจะ เขียนไม่ทันพี่เอื้อที่แต่งท�ำนองออกมา ... วงดนตรีสุนทราภรณ์ก�ำจรก�ำจาย ไพจิตรไปทุกทิศทุกทาง พวกเราชาวสุนทราภรณ์ได้แสวงหามาสร้างสรรค์ แล้วรักษาไว้ ซึ่งอมฤตภาพของเพลงไทยสากล ในรูปลีลา จังหวะต่างๆ กันเป็นร้อย เป็นพันบท แม้ชีวิตจิตใจจะไม่รู้สึก วิญญาณของประชาชาติก็จะ ส�ำนึกว่า เราได้แสวงหามาสร้างสรรค์แล้วรักษาอะไรไว้ให้ ...” (เล่ม ๗ น. ๑๐-๑๒) สง่า อารัมภีร หรือ พี่แจ๋ว
114 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ครูศรีสวัสดิ์ไม่มีประวัติการเรียนทางด้านดนตรีโดยตรง อย่างครูเพลงหลายๆ คน แต่ “อาจเป็นเพราะครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ ได้มีโอกาสไปคลุกคลีอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่ๆ ที่เป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์มาก่อนในช่วงนั้น จึงท�ำให้ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ สนใจงานด้านการเขียน ไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง และเนื่องจากเป็นผู้สนใจด้านภาษาทั้งไทยและอังกฤษ เพราะเรียนใน สายอักษรศาสตร์ ... ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ จึงมีผลงานด้านฉันทลักษณ์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ออกเผยแพร่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ อยู่เป็นประจ�ำนอกเหนือจากงานประจ�ำที่ท�ำอยู่” (เล่ม ๗ น. ๑๓) ทั้งนี้เพราะ “มัธยมภาษาของส�ำนักเทพศิรินทร์นั้นคุณภาพ คับแก้วมาตั้งแต่รุ่น ศรีบูรพา, ยาขอบ, ม.จ. อากาศด�ำเกิง โน่นแล้ว ...” (เล่ม ๗ น. ๑๕) ความดื่มด�่ำในบทกวีของ ศรีปราชญ์ ปรากฏชัดจากการเลือกใช้ นามปากกา “ศรีเสาวลักษณ์” ซึ่งอยู่ในบทแรกๆ ของ “นิราศนรินทร์” ว่า “โอ้ศรีเสาวลักษณ์ แลโลม โลกเอย แม้ว่ามีกิ่งโพยม ยื่นหล้า...” นิราศนรินทร์ แต่งโดย นายนรินทร์ธิเบศ (อิน) กวียุคต้น รัตนโกสินทร์ มีบทชมกรุงในแนวคิดเดียวกับ ก�ำสรวลศรีปราชญ์ หรือ ก�ำสรวลสมุทร ฝีมือกวีสมัยอยุธยา ที่ใช้ภาษาเก่ากว่า ลึกกว่า แต่งดงาม อลังการ และเฉียบคม เทียบเทียมกัน ซึ่งครูศรีสวัสดิ์ชื่นชอบ และน�ำมาใช้ในบทเพลงของตน
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 115 เพลงเกี่ยวกับสถานที่ที่ครู ศรีสวัสดิ์แต่ง มีมากมาย รวมทั้งเพลง ของสถาบันต่างๆ ที่โดดเด่นเข้าขั้น เป็น “เพลงอมตะ” เพลงหนึ่งคือ เพลงเพชรบุรีแดนใจ ที่ขึ้นต้นอย่าง พริ้งพรายตามสไตล์ครูศรีสวัสดิ์ว่า “บุรีเอ๋ยบุรีรมย์เรือง โฉมเอยโฉมเมือง งามประเทืองเปลืองฝัน พริ้งพราวราว พรหมภินันท์ เพชรบุรีหลั่นลอยฟ้ามา สู่ดิน ...” เพลงนี้ขับร้องบันทึกเสียงครั้งแรกโดย มัณฑนา โมรากุล หลังจากที่ลาออกจากกรมประชาสัมพันธ์ไปนานหลายปี และผู้แต่ง ท�ำนองก็คือ ครูเอื้อ เมืองที่ครูศรีสวัสดิ์แต่งเพลงให้มากที่สุด คือ สามพราน โดย แต่งเป็นเพลงสถาบัน คือโรงเรียนนายร้อยต�ำรวจสามพราน รวม ๔ เพลง ได้แก่ เพลงสามพราน (โอ้งามสามพรานปานเสกสรร เทพนิมิต ปั้นแต่งไว้ เพื่อชีวิตพราวดาวสุกใส ระเริงไปในแดนฟ้า ...) เพลง สนสามพราน (โอ้สนสยิวยืนต้นโอนอ่อน โยกคลอนพลางถอนใจใหญ่ โอ้สนครางเหมือนกับคนเป็นไข้ สนเอยอาวรณ์ไหวคล้ายเรา ...) เพลงลาแล้วสามพราน (ลาแล้วสามพราน ถิ่นสถานวิมานของข้า จ�ำร้างจ�ำไร้ไกลตา จากดินฟ้า สถาบันใจ ...) อีกเพลงหนึ่งเป็นเพลง สถานที่ คือ เพลงเยือนสามพราน (มาเยือนสามพรานแดนตระการ ดาลดื่มใจ ดังเทพนิมิตไว้แสนสดใสสล้างรมย์ ร่มกายร่มใจไปแม้เนา ในแดดลม น่าชื่นชมสมเสพสุขสมรักภิรมย์หล้าฟ้า ...) มัณฑนา โมรากุล
116 ต�ำนานสุนทราภรณ์ นอกจากนั้นมีเพลงของสถานที่และสถาบันต่างๆ มากมาย เช่น เพลงเพชรภูเก็ต (เฟื่องฝันขวัญตาอะร้าอร่าม เพชรภูเก็ตงามวาบวาม ท่ามกลางธาร ...) เพลงลาทีเพชรบูรณ์ (ลาทีเมืองศรีเมืองเรืองรื่น ร่มเย็น ไม่ตายยังเป็นเห็นกันอีกนา ตัวไกลเพชรบูรณ์พูนตา หัวใจ จะมาใกล้ แดนไร่นาป่าเขา ...) เพลงอัมพวาพัฒนา (แดนอัมพวา โสภากว่าแดนใดไหน สมแดนฤดีที่อาศัย คุ้มใจกายเรา ชาวอัมพวา อยู่มาแต่คราเล็กเยาว์ ...) เพลงมาร์ชอุตรดิตถ์ (อุตรดิตถ์มิตรเรา เริงเร้าฤดี ฝันไปในฟ้าเสรีที่มีตะวันจันทร์ฉาย ...) เพลงอุทัยธานี (ศรีเอยศรีเมืองเรืองศรี ศรีอุทัยธานีโสภีพรายพร่าง ...) เพลงเกริก วิทยาลัย (เกริกวิทยาลัย เกรียงไกรเกรียงศักดิ์ศรีทะนง ...) เพลง บางแสนโสภา (หาดบางแสนแสนโสภา งามเอ๋ยงามตาน่าชม ...) เพลงประสานมิตร(วิทยาลัยไหนชื่อลือลั่น วิทยาลัยนั่นประสานมิตร เรา ...) เพลงธรรมศาสตร์รักกัน (เพลงนี้เพลงเรา ธรรมศาสตร์พวก เราเจ้าของ ...) เพลงศิริราชขวัญ (ลา...ขอลาศิริราชขวัญ ลานิรันดร์ แต่นี้นับวัน จะพลันไร้ร้าง...) ฯลฯ
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 117 ๑๔ ปริศนา เพลงศรีปทุมวัน มีเพลงของวิทยาลัยวิชาการศึกษา ปทุมวัน เพลงหนึ่ง ชื่อ เพลงศรีปทุมวัน “ไม่แน่ว่าเป็นผลงานของใคร ระหว่าง ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ กับ ครูธาตรี (วิชัย โกกิลกนิษฐ์) ประเด็นนี้ “คีตา พญาไท” วินิจฉัยว่า“เมื่อครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ เป็นคนแต่ง ‘เพลงแก้วโกสุม’ ก็น่าจะเป็นคนแต่ง ‘เพลงศรีปทุมวัน’ นี้ด้วยเหมือนกัน” (เล่ม ๗ น. ๑๙๒) เพลงแก้วโกสุม เป็นเพลงของวิทยาลัยวิชาการศึกษา ปทุมวัน ที่ชัดเจนว่า ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ แต่งค�ำร้อง ครูเอื้อ แต่งท�ำนอง เพลงนี้ขึ้นต้นว่า “แก้วโกสุมปทุมวัน หยาดแย้มปานประชัน บัวสวรรค์พรรณกราย เลื่อมลาวัณย์ พรรณราย ชวนฝันฟายแฝงชม...”
118 ต�ำนานสุนทราภรณ์ เพลงศรีปทุมวัน ขึ้นต้นว่า “พวกเราชาวน�้ำเงิน-ชมพู เหล่าฝึกหัด ครูเกรียงไกร มา มาร่วมกายใจ เสริมศักดิ์และศรีไว้ให้คงอยู่...” ด้วยความเคารพต่อ คีตา พญาไท ผู้เขียนพิจารณาจากเนื้อร้อง เพลงนี้แล้ว เห็นว่าน่าจะเป็นผลงาน ของ ครูธาตรีมากกว่า เพราะทั้ง แนวคิด การใช้ค�ำ และการเล่นค�ำแล้ว น่าจะเป็นสไตล์ของครูธาตรีมากกว่า ครูศรีสวัสดิ์ ครูศรีสวัสดิ์แต่งเพลงเกี่ยวกับสถาบันและสถานที่ต่างๆ ไว้ จ�ำนวนมาก มัก “เล่น” กับอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการมากกว่า ใช้ภาษาที่ลึกกว่า ยากกว่า มีสัมผัสอักษรมากกว่า และมักกล่าวถึง สถานที่ เอกลักษณ์ และสัญลักษณ์น้อยกว่า เช่น เพลงดาราเภสัช ไม่มีเนื้อความเกี่ยวกับวิชาเภสัชศาสตร์ สัญลักษณ์ หรือสถานที่ ในคณะเภสัชศาสตร์เลย (เล่ม ๗ น. ๒๑๙) เพลงรักทันตแพทย์ ก็เช่น เดียวกัน (เล่ม ๗ น. ๒๒๒) เพลงลาจุฬาฯ พยาบาล ก็ไม่มีเนื้อหา วิชาการพยาบาลและสถานที่ในคณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยเลย (เล่ม ๗ น. ๒๓๑) เพลงศิริราชขวัญ ก็เป็น จินตนาการล้วนๆ ไม่รู้ด้วยซ�้ำว่าเป็นเพลงของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล หรือคณะพยาบาลศาสตร์ หรือคณะเทคนิคการแพทย์ (เล่ม ๗ น. ๒๖๒) เพลงเสน่ห์เภสัช ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล กล่าวถึงต้นไม้ ๒ ต้น คือ กระถินณรงค์ และ กอเตย (เล่ม ๗ น. ๒๖๖) เท่านั้น ฯลฯ ครูธาตรี(วิชัย โกกิลกนิษฐ์)
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 119 ลองเปรียบเทียบกับเพลงสถาบันของ ครูธาตรี จะกล่าวถึง สถานที่ สัญลักษณ์ต่างๆ มากกว่า เช่น เพลงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ขึ้นต้นว่า “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของเรา งามพร้อมสมภูมิล�ำเนา ...” จะกล่าวถึงสีม่วง ทองกวาว อ่างแก้ว (เล่ม ๓ น. ๑๖๓) เพลงมนต์ มัฆวาน ของโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ขึ้นต้นว่า “เหล่าชายฉกรรจ์ ใฝ่ฝันนักรบ ครันครบมุ่งเพียรเรียนเรื่อยมา ...” ก็กล่าวถึง ซัมเมอร์, วันเสาร์, ถิ่นมัฆวาน (เล่ม ๓ น. ๑๗๙) เพลงถิ่นอาร์มทอง ของ โรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ขึ้นต้นว่า “ในถิ่นอาร์มทอง เราปองสม ดังหวังมา...” ก็กล่าวถึง รั้วแดงก�ำแพงเหลือง, ดาวทอง, ศาลาวงกลม (เล่ม ๓ น. ๑๘๒) เพลงลาแล้ว จปร. ที่ขึ้นต้นว่า “ลาก่อน ต้องจร จากไกล แต่ตัวจากไป หัวใจไม่เลือน ...” ก็กล่าวถึง “หอนอน หอกิน, รั้วงาม, สนามเล่น, ถิ่น จปร., ถิ่นมัฆวาน (เล่ม ๓ น. ๑๘๕) เป็นต้น เพลงศรีปทุมวัน ใช้ค�ำง่ายๆ ไม่เล่นสัมผัสอักษร กล่าวถึง สัญลักษณ์ชาวน�้ำเงิน-ชมพู เหล่าฝึกหัดครู, พระเกี้ยวธรรมจักร เป็นสไตล์ของครูธาตรี ไม่ใช่สไตล์ของครูศรีสวัสดิ์ อีกเพลงหนึ่งที่ขอกล่าวถึงคือ เพลงด�ำกฤษณา ซึ่งเป็นเพลงที่ ครูศรีสวัสดิ์แต่งทั้งค�ำร้องและท�ำนอง ขับร้องโดย รวงทอง ทองลั่นธม เพลงนี้น่าสงสัยว่าจะมีความเข้าใจผิดหรือสับสนกับค�ำว่า “ด�ำฤษณา” ซึ่งพจนานุกรมฯ ให้ความหมายว่า “ความปรารถนา, ความดิ้นรน, ความอยาก, ความเสน่หา ภาษาสันสกฤษ คือ “ตฤษณา” และบาลี คือ “ตัณหา” ส่วนค�ำว่า “ด�ำกฤษณา” ไม่มีในพจนานุกรมฯ ต�ำราอ้างอิงสมุนไพรไทย เล่ม ๓ (น. ๕๖-๕๙) กล่าวถึง ประโยชน์ของกฤษณาที่เป็นไม้หอมว่ามี “กลิ่นหอมชวนดมคล้ายกลิ่น
120 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ไม้จันทน์... เมื่อเผาไฟให้เปลวไฟโชติช่วงและมีกลิ่นหอม ชาวอาหรับ และชาวปาร์ซี นิยมน�ำไม้หอมมาเผาไฟ เพื่ออบห้องให้มีกลิ่นหอม ไม้หอมชนิดรองลงไปมีเนื้อไม้และสีอ่อนกว่า ในตลาดเรียกว่า กฤษณา (dhum) ชนิดนี้เมื่อน�ำมากลั่นได้น�้ำมันระเหยง่าย เรียกว่า น�้ำมันกฤษณา (agar attar) มีกลิ่นหอมเหมือนกุหลาบ ในยุโรปนิยม น�ำมาปรุงเป็นน�้ำหอมชนิดคุณภาพดี ผงไม้หอมใช้โรยบนเสื้อผ้า หรือบนร่างกายเพื่อฆ่าหมัดและเหา ยาพื้นบ้านของอินเดีย และอีก หลายประเทศในทวีปเอเชียใช้ไม้หอมเป็นส่วนผสมในยาหอม ยาบ�ำรุง ยากระตุ้นหัวใจ และยาขับลม นอกจากใช้ไม้หอมแล้วยังใช้ สิ่งสกัดด้วยแอลกอฮอล์ของไม้หอมเป็นยาอีกด้วย ในแหลมมลายู ใช้ไม้หอมเป็นส่วนผสมในเครื่องส�ำอางและใช้บ�ำบัดโรคผิวหนัง หลายชนิด” ในต�ำราการแพทย์แผนไทย ไม่ปรากฏว่ามีการใช้กฤษณาเป็น ยาบ�ำรุงก�ำหนัด เรื่องเกี่ยวกับความรักในเรื่องพระศิวะจากวรรณกรรม เรื่อง กามนิต ก็เป็นเรื่องของความรักของพระศิวะที่ทรงดื่มยาพิษ เพื่อช่วยโลกให้พ้นภัย ไม่เกี่ยวข้องกับตัณหาราคะแต่อย่างใด เพลงนี้ ที่เนื้อร้องกล่าวถึง “อาหารป่าโลกีย์” จึงน่าจะเป็นความเข้าใจผิด ค�ำขยายเพลงนี้ก็น่าจะไม่ถูกต้อง (เล่ม ๗ น. ๕๗๙-๕๘๒) ครูศรีสวัสดิ์มีผลงานที่น่าชื่นชมมากมาย นอกจากการแต่ง ค�ำร้องแล้ว มีหลายเพลงที่ครูศรีสวัสดิ์แต่งทั้งค�ำร้องและท�ำนอง เช่น เพลงกุหลาบแดง ที่ขึ้นต้นว่า “กุหลาบแดง เด่นดอกดวง งามเหมือนจะทวง ดวงจิตภมร...” (เล่ม ๗ น. ๕๖๕) เพลงเกิดเป็น ไทย (เราหนอเราเกิดมา พอสองตาลืมได้...) เพลงแก้วตา (แดดร้อน แล้ว เย็นแล้วแก้วตา...) เพลงครวญ (ครวญเอ๋ยครวญไป ใจเอ๋ยใจ
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 121 คราง...) เพลงดวงฤทัย (ดวงฤทัย นี่ใครผลาญ ทรมาน คว้านล้วง ทรวงเล่น...” เป็นต้น ครูศรีสวัสดิ์มีผลงานมากมาย แต่ยังน้อยกว่า ครูแก้ว อัจฉริยะกุล มาก การที่หนังสือเล่มนี้หนากว่าเล่มของครูแก้ว เพราะผู้เขียน พยายามค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมาบรรยาย ขยายความ เพื่อเพิ่ม ความรู้และอรรถรสในการฟังเพลง เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับ เพลง ปากลัด ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ ที่ชาวมอญอพยพหนี พม่าเข้าไทยราว ๔ หมื่นเศษ และ เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือ ร.๔) เสด็จ เป็นแม่กอง พร้อมด้วยกรมพลวงพิทักษ์มนตรีออกไปรับถึงชายแดน แล้วให้ตั้งรกรากที่สามโคก (ปทุมธานี), ปากเกร็ด และพระประแดง นั้น ร.๔ ทรงประสูติเมื่อ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ พ.ศ. นั้น พระองค์ จึงมีพระชนมพรรษาเพียง ๑๐ พรรษาเท่านั้น แสดงถึงสายพระเนตร อันยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชบิดา ที่ทรงเตรียมพระโอรสเพื่อปกครองแผ่นดินตั้งแต่ยังมีพระชนมพรรษา เพียง ๑๐ พรรษาเท่านั้น
122 ต�ำนาานสุนทราาภรณ์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 123 ๑๕ สุนทรียะ มาร์เก็ตติ้ง หนังสือชุด “๘๒ ปี สุนทราภรณ์อนุสรณ์ฝากไว้” เล่มที่ ๘ ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายในชุดชื่อว่า “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง กรณี ศึกษา เสรีเซ็นเตอร์ : สุนทราภรณ์” เป็นเรื่องราวของการ น�ำวงดนตรีสุนทราภรณ์ไปท�ำ “การตลาด” ให้กับศูนย์การค้า เสรีเซ็นเตอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็น “งานครีเอทีฟ” หรือ “งานสร้าง สรรค์” ของผู้เขียนคือ คุณไพบูลย์ ส�ำราญภูติ นักบริหาร ธุรกิจ นักการตลาดมืออาชีพ ซึ่งเวลานั้นเป็นผู้บริหาร ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ที่ก�ำลัง “ซบเซา” ให้ “มีชีวิตชีวา” ขึ้นมา
124 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ดังที่ คุณเสนีย์แดงวัง ประธาน กรรมการบริษัทลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จ�ำกัด (มหาชน) ได้เขียนค�ำนิยม ไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า “เมื่ออาจารย์ ไพบูลย์ ส�ำราญภูติได้เข้าไปบริหารงาน ในด้านอสังหาริมทรัพย์ ของกลุ่มธุรกิจ พรีเมียร์ (โอสถสภา) โดยเฉพาะที่ ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ (พาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์) โดยน�ำวงดนตรี สุนทราภรณ์ไปแสดง ฟรีคอนเสิร์ต ตามแผน Music Marketing ที่ได้ผลดีเกินคาด จนศูนย์การค้า เสรีเซ็นเตอร์ได้กลับคืนฟื้นชีพมาอีกครั้งหนึ่ง” (เล่ม ๘ น. ๓๒) หนังสือ “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” คือการ “ถอดบทเรียน” จาก “ความส�ำเร็จ” นี้ออกมาเป็นหนังสือเล่มหนาพอสมควร นั่นคือความ หนารวมทั้งสิ้น ๕๐๘ หน้า นับเป็นต�ำราวิชาการตลาดจากตัวอย่าง ของจริงที่ควรค่าแก่การอ่าน ทั้งเพื่อเป็นต�ำราประกอบการศึกษาวิชา การตลาด และเพื่อประดับความรู้เรื่องราวของวงดนตรีสุนทราภรณ์ หนังสือเล่มนี้ ไม่เพียงเล่าเรื่องราวของการท�ำการตลาด ให้แก่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์แต่ที่ส�ำคัญคือเป็นการศึกษาและ จัดระบบให้แก่ผลงานของครูเอื้อ สุนทรสนาน และวงดนตรี สุนทราภรณ์จนมีความถูกต้อง สมบูรณ์มากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการ “สังคายนา” ใหญ่ครั้งหนึ่งของวงดนตรี สุนทราภรณ์เลยทีเดียว โดยเป็น “ประสบการณ์ตรง” ของ อาจารย์ คุณเสนีย์แดงวัง
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 125 ไพบูลย์“ที่ได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเองในเวลา ๓ ปีเต็ม” ซึ่งน่า ยินดีส�ำหรับคนไทยและสังคมไทยที่อาจารย์ไพบูลย์ได้เขียนเล่าเอาไว้ เพื่อ “เหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับศูนย์การค้า เสรีเซ็นเตอร์ก็อาจกลายเป็นต�ำนานที่เล่าขานกันต่อๆ ไป จะถือว่า เป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังหรืออะไรก็ได้ แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะ นับวันเหตุการณ์แบบนี้ คงจะเกิดขึ้นได้ยากเต็มที” (เล่ม ๘ น. ๓) คุณไพบูลย์ได้รับการติดต่อให้เข้าไปบริหารศูนย์การค้าแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งเวลานั้นศูนย์การค้าแห่งนี้ “ก�ำลังประสบปัญหา ที่จะต้องแข่งขันกับโครงการซีคอนสแควร์ของกลุ่มธุรกิจซอโสตถิกุล (เจ้าของรองเท้านันยาง และโครงการสยามสแควร์ ที่มีโรงภาพยนตร์ ที่ทันสมัยมากในอดีต คือ สยาม ลิโด้ และ สกาลา มีเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ อยู่บนถนนศรีนครินทร์ด้วยกัน และอยู่ดักหน้าลูกค้าก่อนจะมาถึง ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์เสียด้วย” (เล่ม ๘ น. ๕-๖) คุณไพบูลย์ส�ำราญภูติ
126 ต�ำนานสุนทราภรณ์ คุณไพบูลย์เป็นนักบริหารมืออาชีพ มีประสบการณ์มากมาย “เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาก่อนหลายแห่ง เช่น บริษัทเอสโซ่ แสตนดาร์ด แห่งประเทศไทย จ�ำกัด (บริหารด้านสถานีบริการ จ�ำหน่ายน�้ำมันใน กทม.) บริษัท สากลเคหะธนาธร จ�ำกัด ..., หมู่บ้าน เสนานิเวศน์ ..., หมู่บ้านศรีนครแลนด์, หมู่บ้านเชียงใหม่แลนด์, เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์, นิคมอุตสาหกรรมบางปู” (เล่ม ๘ น. ๕) คุณไพบูลย์วิเคราะห์ธุรกิจของศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ และ คู่แข่งโดยรอบอย่างเป็นระบบรอบด้าน ออกตระเวนไปดูของจริง จนทะลุปรุโปร่ง พบ “โจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย” มากมาย โดยเฉพาะเมื่อ ไปเปรียบเทียบกับศูนย์การค้าอย่างซีคอนสแควร์ ซึ่ง “ได้เปรียบ เพราะมีพื้นที่ใหญ่กว่ามาก หน้ากว้างติดถนนใหญ่ยาวกว่า มีร้านค้า กิจกรรมหลากหลายกว่า และมีกลุ่มลูกค้ามากกว่าผสมกันทุกระดับ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ผู้มีรายได้ปานกลาง ระดับต�่ำ และระดับสูงอีกด้วย” (เล่ม ๘ น. ๒๑) ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์(พาราไดซ์พาร์ค ถนนศรีนครินทร์)
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 127 ในที่สุด ได้ข้อสรุปฟันธงว่าต้องยึด “กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเดิม และปรับแผนการท�ำกิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงในด้านการส่งเสริม การตลาด และการส่งเสริมการขาย เพื่อดึงดูด จูงใจ ชักชวน ให้ลูกค้า เข้าศูนย์ โดยเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าวัยท�ำงาน ซึ่งเป็น พ่อ แม่ หรือ ครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ อยู่ในวัยเรียนเป็นส�ำคัญ ... กิจกรรมที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ที่ท�ำกันในตอนนั้น ก็จะเป็นโรงเรียนกวดวิชา, โรงเรียน สอนพิเศษ, โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ, โรงเรียนสอนกีฬา วิชาป้องกัน ตัว เช่น มวยไทย, คาราเต้, เทควันโด, สอนงานศิลปะ ดนตรี ขับร้อง เต้นร�ำ บัลเลต์ ฯลฯ และจัดเตรียมร้านอาหาร และตลาดสดติดแอร์ เพื่อบริการบรรดาผู้ปกครองที่มารับส่งลูกๆ เรียนพิเศษโดยเฉพาะ” (เล่ม ๘ น. ๒๔) เมื่อคิดจะลองเอาโรงเรียนสอนดนตรีเข้าไปในศูนย์การค้า คุณไพบูลย์คิดถึงโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่าง สยามดนตรียามาฮ่า ก็พบว่า “ล�ำบาก” เพราะช่วงนั้น “สยามดนตรียามาฮ่า มีนโยบายที่ จะขยายไปในแนวทางการสร้างดีลเลอร์ หรือตัวแทนจ�ำหน่าย มากกว่าลงทุนท�ำเอง” (เล่ม ๘ น.๒๕) ตัวเลือกที่สอง คือ ดร.สุกรี เจริญสุข ผู้สร้างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ซึ่ง สามารถด�ำเนินการจนประสบความ ส�ำเร็จด้วยดี แต่ต่อมาก็ “ปิดฉาก” ลง ตามหลักอนิจจัง เมื่อศูนย์การค้า เสรีเซ็นเตอร์ “เปลี่ยนเจ้าของ และ เปลี่ยนผู้บริหารชุดใหม่ โดย (โรงเรียน ดร.สุกรีเจริญสุข
128 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ดนตรีของ ดร.สุกรี) ย้ายไปอยู่ที่ชั้น ๔ ของศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งขันกับศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์มาตั้งแต่ต้น” (เล่ม ๘ น. ๓๕) กิจกรรมต่อไป คือ การจัดแสดง ดนตรีเพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าศูนย์การค้า ซึ่งเดิมมักจะเน้นไปที่การแสดงดนตรี ของพวกวัยรุ่น ซึ่งมิใช่ “กลุ่มลูกค้า เป้าหมาย” คือ “คนท�ำงานอายุ ประมาณ ๓๕ ปี ขึ้นไป” ซึ่งปกติมักจัด กันที่หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรม แห่งประเทศไทย หรือศาลาเฉลิมกรุง คุณไพบูลย์จึงไปปรึกษากับ สุเทพ วงศ์ก�ำแหง ในฐานะที่เป็น “ศิลปิน แห่งชาติและเป็นนายกสมาคมนักร้องแห่งประเทศไทย รวมทั้งเป็น พี่เอื้อยอยู่ในวงการ... เพราะต้องจัดหาวงดนตรี และบรรดานักร้อง ทั้งหลายทั้งปวง แวะเวียนกันไปขับร้องกันเป็นประจ�ำทุกอาทิตย์ ตลอดทั้งปี” (เล่ม ๘ น. ๓๖) มีการพิจารณาเลือกวงดนตรี ๓ วง แต่ “ไม่ลงตัว” และมา “ลงตัว” ที่ วงสุนทราภรณ์ ซึ่งก็มี “เงื่อนปม” ให้ต้องแก้ไขอีกมาก พอสมควร เพราะเดิมวงดนตรีสุนทราภรณ์ ถือก�ำเนิดจาก “วงดนตรี บริษัทไทยฟิล์ม ที่ครูเอื้อยกเข้ามาสังกัดกรมโฆษณาการ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ตามค�ำชักชวนของหลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นวันก่อตั้งวงดนตรีสุนทราภรณ์” สุเทพ วงศ์ก�ำแหง
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 129 วงดนตรีนี้ ครูเอื้อเป็นหัวหน้าวงจนเกษียณอายุราชการ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ โดยถ้าไปบรรเลงเป็นทางการก็ใช้ชื่อว่า วงดนตรี กรมโฆษณาการ ในตอนแรก และเปลี่ยนเป็น วงดนตรีกรม ประชาสัมพันธ์เมื่อชื่อกรมเปลี่ยน แต่เริ่มตั้งชื่อเป็น วงสุนทราภรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ เมื่อ “รับงานราษฎร์” และมีการแยกบทบาทกัน ชัดเจน โดยวงดนตรีเดียวกันนั้นเอง ครูเอื้อได้เตรียมการหลังเกษียณไว้อย ่างดีโดยการตั้ง โรงเรียนสุนทราภรณ์การดนตรีขึ้นในปีพ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งเป็นปีที่ เกษียณอายุแต่ครูเอื้อได้ต่ออายุราชการ ๒ ปีวงดนตรีสุนทราภรณ์ จึงเป็นอิสระจากราชการกรมประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๔ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเพราะนักร้องที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ยังรับราชการ อยู่ในกรมประชาสัมพันธ์ต่อไปอีกหลายปีจึงเกิดปรากฏการณ์ วงดนตรีสุนทราภรณ์๒ วง อยู่หลายปี
130 ต�ำนาานสุนทราาภรณ์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 131 ๑๖ สุนทราภรณ์ ในศูนย์การค้า วงดนตรีสุนทราภรณ์ ยุคหลังจากที่ ครูเอื้อ เกษียณ อายุจากกรมประชาสัมพันธ์มี ๒ วง คือ วงของกรมประชาสัมพันธ์กับวงสุนทราภรณ์ของครูเอื้อ วงของกรมประชาสัมพันธ์ มีชื่อว่า วงดนตรีสังข์สัมพันธ์ ต่อมาเปลี่ยนเป็น สังคีตสัมพันธ์ มีโลโก้เป็นรูปเทวดาเป่าสังข์ สวมเสื้อทีมใหญ่เป็นสีเขียว ส่วน วงสุนทราภรณ์ ของครูเอื้อ ตราโลโก้เป็นตราดั้งเดิมคือ รูปท้าวปัญจสิขรดีดพิณ และ เสื้อทีมเป็นสีเลือดหมูดั้งเดิม
132 ต�ำนานสุนทราภรณ์ วงดนตรีสังข์สัมพันธ์ หรือ สังคีตสัมพันธ์ ของกรมประชาสัมพันธ์เป็นวงดนตรี “ที่สามารถบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์ได้ทุกเพลง นักดนตรีทุกคนเป็นนักดนตรีของกรมประชาสัมพันธ์ โน้ตเพลงก็เป็น โน้ตชุดเดียวกันกับที่เคยเล่นกันมาตั้งแต่ครั้งที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นหัวหน้าวงและสร้างไว้ใช้บรรเลง ที่ส�ำคัญก็คือนักร้องทุกคนล้วน แต่เป็นตัวจริงเสียงจริงที่เคยร้องเพลงสุนทราภรณ์ เคยสังกัดวงดนตรี สุนทราภรณ์มาก่อนด้วยกันทุกคน” (เล่ม ๘ น. ๔๒) นักร้องที่เป็นที่รู้จักและนิยมของแฟนเพลงส่วนใหญ่ในเวลานั้น ยังรับราชการอยู่ในกรมประชาสัมพันธ์ เช่น วินัย จุลละบุษปะ, ศรีสุดา รัชตะวรรณ, วรนุช อารีย์, เลิศ ประสมทรัพย์, สมศักดิ์ เทพานนท์, มาริษา อมาตยกุล ส่วนวงดนตรีสุนทราภรณ์ของครูเอื้อ นักร้อง ส่วนใหญ่เป็นรุ่นใหม่ ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเท่า เช่น บรรจงจิตต์ พัฒนาสันต์, เจือนศักดิ์ น้อยสุวรรณ, พรศุลี วิชเวช ผู้ว่าจ้างที่ต้องการ วงสุนทราภรณ์ไปบรรเลงในงานต่างๆ มักก�ำหนดตัวนักร้องที่ชื่นชอบ ด้วย วงดนตรีที่ได้ไปบรรเลงจึงมักเป็นวงสังข์สัมพันธ์หรือสังคีตสัมพันธ์เป็นส่วนมาก วงดนตรีสุนทราภรณ์จึงไม่เข้มแข็งมั่นคงเช่นเดิม โดย เฉพาะเมื่อครูเอื้อเริ่มป่วยและจากไป แต่ยังประคับประคองตัวต่อมาได้โดย มีครูด�ำ หรือ ครูพูลสุข สุริยพงษ์รังสี ซึ่งเป็นหลานตาของครูเอื้อมารับ หน้าที่ และมี ครูสริยงยุทธ ท�ำหน้าที่ หัวหน้าวง ครูพูลสุข สุริษพงษ์รังสี
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 133 ครูสริยงยุทธเป็นนักดนตรีรุ่น เดียวกับครูเอื้อ เป็นศิษย์พระเจนดุริยางค์รุ่นเดียวกัน “เป็นนักเปียโน ฝีมือฉกาจหาใครทานได้ยาก จึงมีทั้ง อาวุโสและบารมี เป็นที่รู้จักยาวนาน เท่าครูเอื้อ สุนทรสนาน และเป็น นักดนตรีที่ได้ร่วมวง อส. ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มาโดยตลอด และยังได้รับพระราชทานเสมาเงินเนื่องในโอกาส ๖๐ ปี วงสุนทราภรณ์” (เล่ม ๘ น. ๔๘) เพลงต่างๆ ที่เป็นผลงานของวงดนตรีสุนทราภรณ์สูงด้วยคุณค่า ของทั้งคีตศิลป์และดุริยางคศิลป์ จับใจผู้คนมายาวนาน แม้จะไม่ ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งเหมือนสมัยที่ครูเอื้อยังอยู่ แต่ก็ยัง “ครองใจ” คนจ�ำนวนไม่น้อย ดัง รายการชีวิตกับเพลง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ สี ได้ขอให้วงดนตรีสุนทราภรณ์ไปออกรายการเป็นประจ�ำทุกเดือน รายการวิทยุ “ชีวิตกับเพลง” ของ เมธียิ่งยวด ดีเจชื่อดัง ก็เปิดเพลง ของสุนทราภรณ์เป็นประจ�ำ ในที่สุดอาจารย์ไพบูลย์ ก็ตัดสินใจเลือกวงดนตรีสุนทราภรณ์ ไปท�ำ“สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” ให้กับศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ไม่เลือก บรรดานักร้องชื่อดังเวลานั้น เพราะ “ล้วนแต่เป็นนักร้องอิสระ ไม่ได้ สังกัดค่าย การติดตามดูแลการฝึกซ้อมน่าจะไม่ราบรื่น ที่ส�ำคัญก็คือ งบประมาณค่าใช้จ่ายที่สูงเอาการ” (เล่ม ๘ น. ๕๐) ครูสริยงยุทธ
134 ต�ำนานสุนทราภรณ์ แต่ในตอนแรก ครูพูลสุข สุริษพงษ์รังสีหรือ ครูด�ำ หัวหน้า วงดนตรีสุนทราภรณ์ ไม่กล้ารับปาก “เพราะไม่แน่ใจว่าลูกค้าที่มา ซื้อข้าวซื้อของในศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ จะให้ความสนใจ จะฟังและ ชมการแสดงของวงดนตรีสุนทราภรณ์หรือไม่ หากลูกค้ามัวแต่เดินไป เดินมา วงดนตรี นักดนตรี นักร้อง ก็คงหมดก�ำลังใจแน่ๆ ที่ส�ำคัญ วงดนตรีสุนทราภรณ์เคยเล่นแต่งานบอล งานเต้นร�ำ หรือเป็นสถานที่ ที่จ�ำกัด เป็นสัดเป็นส่วน ไม่เคยคิดที่จะต้องมาเล่นในศูนย์การค้า แบบนี้มาก่อนเลย” แต่ในที่สุดครูด�ำก็รับ เมื่อได้รับฟังแผนงานและรายละเอียด ต่างๆ ซึ่งมีการวางแผนและเตรียมการอย่าง “มืออาชีพ” โดยแท้ คือ ประการที่หนึ่ง การจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้ เป็นการจัดดนตรีใน แนวใหม่ที่มีความทันสมัย ระบบแสง สี เสียง บรรยากาศเป็นกันเอง สะดวก อากาศเย็นสบาย เพราะอยู่ในศูนย์การค้าติดแอร์ ไม่ใช่ แบบดนตรีในสวนที่สวนลุมพินี หรือสังคีตศาลา ประการที่สอง เป็นฟรีคอนเสิร์ต ไม่เก็บเงินค่าดู และจัดเป็น ประจ�ำตลอดปี ท�ำให้วางแผนที่จะเข้าชมได้ตามใจชอบ ประการที่สาม มีเก้าอี้นั่งที่ระบุหมายเลข โดยลูกค้าจะต้องมา ลงทะเบียนจองตามที่ก�ำหนด เพื่อให้เป็นระเบียบ ไม่ต้องแย่งชิงที่นั่ง หรือจองที่นั่งกันแบบไทยๆ คือเอากระเป๋าหรือถุงข้าวของวางบนเก้าอี้ แทนตัว ล่าสุดเห็นในเว็บไซต์โดยใช้รองเท้าวางจองคิวในโรงพยาบาล แห่งหนึ่ง ส่วนเจ้าตัวนั่งรออยู่บนเก้าอี้ ไม่ต้องยืนเข้าคิวให้เมื่อยขา
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 135 ประการที่สี่ จะพิมพ์สูจิบัตรขนาด ๑๖ หน้ายก บอกรายชื่อ เพลง นักร้อง เรื่องราว รายละเอียดของเพลง และเนื้อเพลงแต่ละ เพลง แจกให้ฟรี ติดมือเอาไว้อ่าน ร้องคลอ และถือกลับบ้านอีกด้วย ประการที่ห้า การแสดงจะเริ่มเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. ซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด เพราะมารับประทานอาหารกลางวัน ที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์แล้วมาดูคอนเสิร์ตได้สบาย โดยลงทะเบียน จองล่วงหน้า การแสดงจะสิ้นสุดเวลา ๑๖.๓๐ น. ก็น่าจะเป็นเวลาที่ เดินซื้อของกินของใช้ หิ้วกลับได้พอดี ประการที่หก การบรรเลงในแต่ละครั้ง จะมีเพลงที่คัดสรรให้ เข้ากับแนวของเพลงประมาณ ๓๐ เพลง เป็นอย่างต�่ำต่อครั้ง ประการที่เจ็ด เพลงที่จะใช้บรรเลงจะมีทีมงานคอยคิด ก�ำหนด แนวเรื่อง แนวเพลง ให้เล่น ที่เรียกว่า Theme เช่น วันเกิดครูเอื้อ สุนทรสนาน (เดือนมกราคม); วันเกิดครูแก้ว อัจฉริยะกุล (เดือน พฤษภาคม); เพลงเกี่ยวกับวันนักขัตฤกษ์ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันลอยกระทง; เพลงเกี่ยวกับสถาบัน: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; สถาบัน ๔ เหล่าทัพ: นายร้อย จปร. , นาย เรือ, นายเรืออากาศ, ต�ำรวจ; เพลงเกี่ยวกับความรัก; เพลงเกี่ยวกับ การท่องเที่ยว เรียกว่า ได้ฟัง อิ่มทั้งหู ได้ความรู้ ความเพลิดเพลิน พร้อมกันไปด้วย ประการที่แปด รายการนี้จะจัดตลอดทั้งปี ทุกบ่ายวันเสาร์ โดยเซ็นสัญญากันตลอดทั้งปี ในอัตราค่าจ้างที่เป็นธรรม ซึ่งมากกว่า ที่วงดนตรีสุนทราภรณ์เคยได้รับ เพราะต้องท�ำการบ้าน ต้องซักซ้อม เพลงที่คิดค้นกันมาให้บรรเลง
136 ต�ำนานสุนทราภรณ์ โปสเตอร์คอนเสิร์ต “เพลงรักจากใจ สุนทราภรณ์ ปี๒๕๖๒” ที่ศูนย์การค้า เสรีเซ็นเตอร์หรือ พาราไดซ์พาร์ค
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 137 ประการที่เก้า ในกรณีที่ต้องเชิญนักร้องอาวุโสในวงการ เช่น รวงทอง ทองลั่นธม, รุ่งฤดี แพ่งผ่องใส, ดาวใจ ไพจิตร หรือนักร้อง ศิษย์เก่าของ ครูเอื้อ สุนทรสนาน จากกรมประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะ เป็น วินัย จุลละบุษปะ, ศรีสุดา รัชตะวรรณ, วรนุช อารีย์, มาริษา อมาตยกุล ฯลฯ ก็จะมีงบพิเศษให้เป็นครั้งคราวไป ประการที่สิบ ทางศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ จะโฆษณา ประชาสัมพันธ์รายการฟรีคอนเสิร์ตนี้อย่างต่อเนื่องตลอดปี สรุปว่า รายการฟรีคอนเสิร์ตนี้ ทุกคน วิน วิน วิน (๓ วิน) กันหมด คือทีมงานของศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ออกแรงในการติดต่อประสานงานมากเหมือนเมื่อก่อน วงดนตรีสุนทราภรณ์มีงานเล่นประจ�ำเป็นหลักแหล่ง แฟน เพลงสุนทราภรณ์ทุกกลุ่มทุกรุ่นก็จะได้สัมผัสกับฟรีคอนเสิร์ตอย่าง ใกล้ชิด และมีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสาย หากเป็นรายการลีลาศ ร�ำวง ส่วนร้านค้าที่เป็นหุ้นส่วนส�ำคัญของศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ก็น่าจะได้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เข้ามาอุดหนุนซื้อของกันอีกด้วย (เล่ม ๘ น. ๕๓-๕๕)
138 ต�ำนานสุนทราภรณ์ “... จึงขอให้พยายามรักษาอุดมคติที่วางไว้ แต่ต้นว่า วงดนตรีสุนทราภรณ์นี้จะปฏิบัติเพื่อ ศิลปะแท้ๆ คือ หมายความว่า จะเล่นดนตรีเพื่อให้ เป็นศิลปะที่ดี ให้เป็นที่นิยมของประชาชน และเพื่อ ให้ประชาชนได้มีความบันเทิง ให้ประชาชนรู้จักว่า ดนตรีคืออะไร นั่นก็เป็นหน้าที่ของศิลปินที่ดี ...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานแก่วงดนตรีสุนทราภรณ์ วันครบรอบ ๓๐ ปี วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ 138 ต�ำนานสุนทราภรณ์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 139 ๑๗ พระบรมราโชวาท งานส่งเสริมการตลาดด้วยดนตรีสุนทราภรณ์ของ อาจารย์ไพบูลย์ ส�ำราญภูติ เป็นงานทางความคิด ที่ใช้วิชาการ และการเตรียมการอย่างเป็นระบบโดยแท้ ตั้งแต่การตั้งชื่อ โครงการว่า “รายการสุนทราภรณ์ร�ำลึก” และเปิดโรงปฐมฤกษ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ ด้วยธีม (Theme) ชื่อ “เอื้อ สุนทรสนาน กับผลงานเพลงอมตะตลอดกาล” โดย เลือกแนวเพลงที่เป็นผลงานการขับร้องของครูเอื้อล้วนๆ ตั้งแต่ เพลงของเรา, เพลงโยสลัม, เพลงยอดดวงใจ, เพลง คิดถึง, เพลงใจรัก, เพลงนางฟ้าจ�ำแลง, เพลงระบ�ำชาวไร่, เพลงในฝัน, เพลงยามดึก, เพลงด�ำเนินทราย, เพลงชะตาฟ้า, เพลงพระเจ้าทั้งห้า, เพลงแด่ที่รักใคร่ ฯลฯ
140 ต�ำนานสุนทราภรณ์ การเริ่มเบิกโรงปฐมฤกษ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นการปรับแผนจากเดิมจะจัดตอนบ่ายวันเสาร์ เป็นเย็น วันอาทิตย์แทน ตั้งแต่ ๑๗.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ณ เวทีการแสดงชั้น ๒ ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ นอกจากเลือกเพลงที่จะสร้างความ ประทับใจแก่ผู้ฟัง ผู้ชมซึ่งจะค่อยๆ ลืมเลือน ไปในเวลาไม่ช้า สิ่งที่จะด�ำรงอยู่ที่ส�ำคัญ คือสูจิบัตรขนาด ๑๖ หน้ายก ๓๐ หน้า ที่มีเนื้อเพลง และประวัติความเป็นมาของ เพลงที่จะบรรเลงแต่ละเพลง สูจิบัตรของรายการปฐมฤกษ์ มีการ อัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานแก่วงดนตรีสุนทราภรณ์ ในวันครบรอบ ๓๐ ปี เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๒ มาเพื่อเป็น “พระบรมราโชวาท” และเพื่อความเป็นสิริมงคล “.... จึงขอให้พยายามรักษาอุดมคติที่วางไว้แต่ต้นว่า วงดนตรี สุนทราภรณ์นี้จะปฏิบัติเพื่อศิลปะแท้ๆ คือ หมายความว่า จะเล่น ดนตรีเพื่อให้เป็นศิลปะที่ดี ให้เป็นที่นิยมของประชาชน และเพื่อให้ ประชาชนได้มีความบันเทิง ให้ประชาชนรู้จักว่าดนตรีคืออะไร นั่นก็ เป็นหน้าที่ของศิลปินที่ดี ...” “.... จงนึกว่า สุนทราภรณ์เป็นครอบครัวใหญ่ ต้องเห็นใจกัน นับวันครอบครัวนี้จะใหญ่ขึ้นทุกที มีผู้มาสมทบมากขึ้น และการปฏิบัติ เพื่อชื่อสุนทราภรณ์ ดนตรีสุนทราภรณ์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เป็น สูจิบัตรสุนทราภรณ์ร�ำลึก
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 141 ของเอื้อ สุนทรสนาน แต่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” “ขอให้วงดนตรีสุนทราภรณ์ อยู่ยงต่อไป ด้วยความสามัคคี ด้วยความตั้งใจเชิดชูความดี และให้เป็นศิลปะโดยแท้ ...” ส�ำหรับประวัติของเพลง เช่น เพลงเพลงของเรา ที่ครูเอื้อแต่ง ท�ำนอง และ ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ แต่งค�ำร้อง มีประวัติสั้นๆ ว่า “เพลงนี้ประพันธ์ขึ้น เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๒ เพื่อใช้ ในวันเกิดของวงดนตรีสุนทราภรณ์ครบ ๓๐ ปี ค�ำร้องที่ครูศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ แต่งขึ้น มีถ้อยค�ำที่สัมผัสทั้งค�ำและเสียงหลายตอน ซึ่งมีความหมายที่เหมาะสมมาก เช่น พระพรเทพพลีเวทย์หวาน หรือ หวานปานทิพย์ ลิบฟ้า ท่วงท�ำนองที่ให้ก็ฟังแล้วสนุกและเร้าใจ ไม่น้อยเลย...” การจัดคอนเสิร์ตอย่างมีแนวคิดชัดเจน และมีการศึกษา ค้นคว้า จัดท�ำสูจิบัตรอย่างตั้งใจ และอย่างมืออาชีพ คอนเสิร์ตที่มุ่งท�ำเพื่อ “การตลาด” ตามแนวคิด “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” จึงเป็นคอนเสิร์ต ที่มี “สารัตถประโยชน์” ต่อแฟนเพลงผู้ชมและต่อสังคมโดยแท้ หลังรายการเบิกโรงปฐมฤกษ์ในวันอาทิตย์ที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ แล้ว รายการสุนทราภรณ์ร�ำลึกก็มีก�ำหนดการต่อเนื่องไป จนสิ้นปี โดยครั้งที่ ๒ จัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นรายการ “รวงทอง ทองลั่นธม : เจ้าของเสียงน�้ำเซาะหิน” ซึ่ง รวงทองยังเป็น “แม่เหล็ก” ให้แก่แฟนเพลงสุนทราภรณ์จ�ำนวนมาก และการจัดก็มีการเตรียมการอย่างดี
142 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ครั้งต่อๆ ไป จัดต่อเนื่องไปจนสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๓๘ โดยมี ชื่อรายการได้แก่ เชื่อผู้น�ำ ชาติพ้นภัย : สุปาณีพุกสมบุญ, เพลงรักหวานซึ้ง : วรนุช อารีย์, บทเพลงแห่งความหลัง, ลีลาศกับ สุนทราภรณ์, ขี่ควายขี่เก๋งก็เหมือนกัน : เลิศ ประสมทรัพย์, เพ็ญศรีพุ่มชูศรีฝากใจกับจันทร์, ท�ำนองเอื้อ เนื้อแก้ว, กวีรส ในบทเพลง, สุนทราภรณ์กับเพลงสถาบัน, เอื้อ สุนทรสนาน ชอุ่ม ปัญจพรรค์ : อาหลานสร้างสรรค์เพลง, ลีลาศใต้แสงจันทร์ วันลอยกระทง : พรีเมียร์พระราม ๙, วินัย จุลละบุษปะ ศรีสุดา รัชตะวรรณ : น�้ำตาลใกล้มด, ๕๖ ปีวงดนตรีสุนทราภรณ์, โปรดฯ ให้บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์, จังหวะชีวิต, คิดถึงละคร และ เที่ยวทั่วไทย รายการนี้มีผู้ชมผู้ฟังเป็นขาประจ�ำที่เหนียวแน่นมาก “จึงไม่ ต้องการฟังเพลงซ�้ำ และต้องการเพลงลึกๆ ที่ไม่ค่อยเคยได้ยินได้ฟัง กันมาก่อน ซึ่งก็เป็นผลดีต่อวงดนตรีสุนทราภรณ์เองโดยตรง ที่ได้น�ำ เพลงหลายเพลงมาจัดท�ำโน้ตใหม่ ต่อเพลงใหม่ จนได้รับค�ำชมและ กล่าวขวัญกันทั่วหน้า” (เล่ม ๘ น. ๖๑) งานนี้ผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญอยู่เบื้องหลัง คือ รัษฎา เอี่ยมมีศรี เจ้าของนามแฝง “เขมราษฎร์” ซึ่งได้เขียนเล่าเรื่องราวไว้ว่า “ผมโชคดี ที่ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมท�ำโครงการฟรีคอนเสิร์ต สุนทราภรณ์ร�ำลึก ที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ถนนศรีนครินทร์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๓๙ กว่า ๖๐ ครั้ง หน้าที่หลักของผม คือ การวางแผนงาน ก�ำหนดแนวทางของเพลง และชื่อของรายการใน แต่ละตอน ติดต่อประสานงานกับนักร้องรับเชิญในแต่ละครั้ง โดยใน
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 143 ช่วงแรกนั้น มี คุณจารุลินทร์ มุสิกะพงษ์ เป็นผู้คิดและก�ำหนดเพลงให้ หลังจาก นั้นผมก็เหมาเองเพียงคนเดียว” อาจารย์ไพบูลย์ สรุปชี้ประเด็น ส�ำคัญของงานนี้ว่า “เพลงในแต่ละตอนที่ก�ำหนด ให้บรรเลงนั้น เกือบทั้งหมดจะไม่ซ�้ำกัน เพราะต้องแสดงทุกวันเสาร์ในแต่ละสัปดาห์ เดือนละประมาณ ๔-๕ ครั้ง ผมจึงให้แฟนเพลง ผู้ฟัง ผู้ชม ได้เห็นและประจักษ์ถึง ความยิ่งใหญ่ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ ที่มีเพลงเป็นของตัวเอง มากมายกว่า ๒,๐๐๐ เพลง จึงไม่ต้องการเน้นเล่นให้เฉพาะเพลงที่ฮิต หรือเพลงที่ติดตลาดทั่วไป จากแนวคิดนี้ ผมและทีมงาน ต้องท�ำงานหนัก ที่ต้องค้นคว้าหาข้อมูล เพื่อก�ำหนดแนวทาง ก�ำหนดเพลง และท�ำสูจิบัตรแจกฟรี รวมทั้งวงดนตรี สุนทราภรณ์ โดยเฉพาะ ครูด�ำ หรือ คุณพูลสุข สุริยพงษ์รังษี หัวหน้าวง ก็ต้องท�ำงานกันหนักขึ้น โชคดีที่ทุกคน ตั้งใจท�ำงานนี้อย่างจริงจัง อย่างน่า ปลื้มใจ ทั้งส่วน ทีมงาน พิธีกร นักร้อง นักดนตรี คุณจารุลินทร์มุสิกะพงษ์ คุณพูลสุข สุริยพงษ์รังษี
144 ต�ำนานสุนทราภรณ์ การจัดคอนเสิร์ตตามแนวคิด “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” ปี๒๕๖๓ 144 ต�ำนานสุนทราภรณ์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 145 เพลงหลายเพลง ต้องเขียนโน้ตขึ้นมาใหม่ เพราะต้นฉบับ สูญหาย เพลงหลายเพลงนักร้องต้องต่อใหม่ เพราะไม่เคยร้อง หรือ เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เป็นอันว่าผลของสุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง โดยน�ำเอาวงดนตรี สุนทราภรณ์ เพลงสุนทราภรณ์ ไปใช้ที่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ ได้รับ ความส�ำเร็จ เป็นที่กล่าวขวัญกันมากแม้กระทั่งทุกวันนี้ อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า แนวคิดหรือแผนงาน ของคนเก่าคนเดิมนั้น ไม่ควรมองข้าม ควรให้ความส�ำคัญหรือยอมรับ แล้วน�ำมาวิเคราะห์ แก้ไข ปรับใช้ ให้เหมาะสม ไม่ควรทิ้งไปโดย ไร้ประโยชน์ การศึกษาวิจัยก็เป็นเรื่องส�ำคัญและจ�ำเป็นมากในด้านวิชาการ อย่างน้อยก็เป็นแผนที่เดินทาง (Road Map) อยู่แต่ว่าจะอ่านและ ตีความ จะได้ไม่หลงทางกันอย่างไรมากกว่า ไม่ควรท�ำงานโดย อาศัยประสบการณ์ หรือความเชื่อมั่นเฉพาะตัว หรือกึ๋นเพียงอย่าง เดียว ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ และอีกหลายโครงการที่ผมได้ มีโอกาสท�ำ และประสบความส�ำเร็จ ในระดับหนึ่งนั้น ก็เพราะ ผมเห็นความส�ำคัญ น�ำสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาผสมกันให้สอดคล้อง เหมาะสมลงตัว จึงจะออกดอกออกผลเป็นไปอย่างที่ต้องการ จะเรียกว่าเป็น Mix Strategies การผสมกลยุทธ์ หรือกลยุทธ์ ลูกผสม ก็น่าจะได้ ไม่ผิดกติกาอันใด
146 ต�ำนานสุนทราภรณ์ อาจารย์ไพบูลย์ ส�ำราญภูติผู้น�ำวงดนตรีสุนทราภรณ์มาท�ำการตลาด ตามแนวคิด “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” 146 ต�ำนานสุนทราภรณ์
ต�ำนานสุนทราภรณ์ 147 ๑๘ วิชาการตลาด กับสุนทราภรณ์ น่ายินดีที่การน�ำ วงดนตรีสุนทราภรณ์ มา “ท�ำการ ตลาด” แก่ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ของ อาจารย์ไพบูลย์ ส�ำราญภูติ ไม่เพียงท�ำให้ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ฟื้นจาก สภาพซบเซาเท่านั้น แต่ยังมีผลส�ำคัญยิ่งต่อการพัฒนาวง ดนตรีสุนทราภรณ์ให้กลับมาอยู่ในความนิยมของสังคมไทย เพราะการน�ำวงดนตรีสุนทราภรณ์มาท�ำการตลาดตาม แนวคิด “สุนทรียะมาร์เก็ตติ้ง” ของอาจารย์ไพบูลย์ เป็นการ ด�ำเนินการอย่างเป็นระบบและตามหลักวิชาการด้านการตลาด อย่างดียิ่ง
148 ต�ำนานสุนทราภรณ์ ส่วนผสมทางการตลาด (Marketing mix) ตามทฤษฎีของ ฟิลิป คอตเลอร์(Philip Kotler) ที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ประกอบด้วย ๔ พี (๔ P) ได้แก่ (๑) ตัวผลิตภัณฑ์ หรือสินค้า (Product) (๒) ราคา (Price) (๓) ช่องทางการจ�ำหน่าย (Place) และ (๔) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) หลักการดังกล่าวนี้ อาจารย์ไพบูลย์ได้น�ำมาใช้ในการวิเคราะห์ “ส่วนผสมทางการตลาด” ของวงดนตรีสุนทราภรณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง และวางแผนการด�ำเนินงานอย่างมืออาชีพ ท�ำให้เกิดผลในการพัฒนา วงดนตรีสุนทรภรณ์อย่างเป็นระบบครบวงจร มีลักษณะที่เรียกว่าเป็น “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable development) อย่างน่าทึ่ง พีตัวที่หนึ่ง คือ ตัวผลิตภัณฑ์หรือสินค้า คือวงดนตรีสุนทราภรณ์ นั้น “มีคนสบประมาทว่า เป็น Dead Product” เพราะเป็นแบรนด์เก่า ยี่ห้อเก่า อยู่ในตลาดเก่า จากกลุ่มลูกค้าเก่า (แก่) ... (เล่ม ๘ น.๘๙) แต่อาจารย์ไพบูลย์มองว่าวงดนตรีสุนทราภรณ์ “ถือได้ว่าเป็นสมบัติ ชาติ เป็นหน้าตา เป็นศักดิ์ศรี ของวงดนตรี ครูเพลง นักดนตรี นักร้อง ไทยที่มีผลงานสู่สาธารณะมากมาย มีระยะเวลายาวนานต่อเนื่องกัน นานเกือบ ๖๐ ปี (ตอนนั้นยังไม่ถึง พ.ศ. ๒๕๔๒) นานกว่าวงดนตรีใด ในโลก ...” (เล่ม ๘ น. ๙๐) จึงเข้าต�ำรา สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย