การครองคน
ยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ให้สิทธิเสรีภาพในความคิดของผู้อื่น ให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงานทุกคน
เคารพในความแตกต่างและความหลากหลายของคนในสังคมไม่แบ่งแยก
แบ่งฝ่าย มีเป้าหมายเป็นหนึ่งเดียว มีความศรัทธาและเชื่อว่าคนทุกคน
มีศักยภาพในตัวเองที่เป็นพลังในการขับเคลื่อนงาน เพียงแต่ต้องให้โอกาส
ซึ่งกันและกัน และก้าวไปด้วยกัน ดังนั้น จึงพยายามชักชวน เชื้อเชิญภาคี
เครือข่ายทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมทุกเรื่อง อย่างให้เกียรติเขา ได้แก่
การค้นหาปัญหา การวิเคราะห์ปัญหา หาสาเหตุ การวางแผนการดำเนินงาน
และการประเมินผล สามารถร่วมบริหารจัดการด้านงบประมาณ งานแผนงาน
โครงการต่างๆ การจัดกิจกรรม และการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีทักษะ ในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาแก่ผู้อื่น
รวมถึงการพัฒนาแบบผสมผสานกับหน่วยงานด้านเกษตร กศน. อบต.
เทศบาล สาธารณสุข และสามารถที่จะเป็นผู้นำในกลุ่มและนอกกลุ่ม
ได้ทุกสถานการณ์
นอกจากนี้ ควรมีความสามารถในการประสานงานทั้งในและนอก
องค์กรมีการปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการสื่อสาร มีความสามารถ
ในการประสานแหล่งทุนต่าง ๆ เพื่อการดำเนินงาน เช่น ประสานงานกับ
เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ
หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เพื่อนำองค์ความรู้และข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์
ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิได้ เป็นต้น
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 11
การครองงาน
ได้ยึดมั่นในหลัก"อิทธิบาท 4" หลักแห่งความสำเร็จ ซึ่งประกอบ
ไปด้วย "ความพอใจ ความเพียร ความตั้งใจ ความไตร่ตรอง" คือ
มีความพอใจในสิ่งที่ทำ มีความตั้งใจเอาใจใส่ ความพยายามและสติปัญญา
ไตร่ตรองอย่างรอบคอบเพื่อประสบความสำเร็จในงาน พยายามศึกษา
หาความรู้ใส่ตัวเอง เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อมีหน่วยงานใด ๆ
มีการเชิญเข้าร่วมประชุม/อบรม และพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ
จะเข้าร่วมเสมอ เพราะคิดว่าการเรียนรู้ การใฝ่หาความรู้ อยู่ตลอดเวลา
จะทำให้เราได้รับสิ่งใหม่ ๆ เพื่อไปปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทันโลก
ที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังเน้นการเยี่ยมบ้านเพื่อ ชวนคิด ชวนคุยและ
ชวนทำต่อไป เชื่อว่างานทุกงาน ปัญหาทุกปัญหา ย่อมมีทางออกทางแก้
เพียงแต่เราต้องใช้สติ ความรู้และปัญญา จัดการกับเรื่องนั้น ๆ จึงมีการถอด
บทเรียนทุกครั้งที่ดำเนินงาน โดยมีการถอดบทเรียนก่อนทำ ระหว่างทำ และ
หลังทำ เพื่อนำผลสำเร็จมาต่อยอด นำข้อผิดพลาดมาแก้ไข
ดังนั้นสิ่งทีเข้าใจและตระหนักร่วมกันก็คือ "การก้าวไปด้วยกัน"
ซึ่งเหตุนี้เองที่ทำให้มีพลังในการขับเคลื่อนงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชุมชน
ของเรา จนทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านเกิดความเชื่อถือไว้วางใจและชื่นชม
อาสาด้ วยใจ รับใช้ชุ มชน
ทำ ง า น ไ ม่ ห วั ง ผ ล
อุ ทิ ศตนเพื่ อส่วนรวม
12 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ
เคารพในความแตกต่างและความหลากหลายของคนในสังคม ไม่แบ่งแยก
สร้างความเท่าเทียมกัน
การทำงานเป็นทีม การให้เกียรติ มีความไว้เนื้อเชื่อใจ และความเชื่อถือ
ซึ่งกันและกัน
ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ร่วมคิด ร่วมทำ
ร่วมแก้ปัญหา ร่วมรับผิดชอบ และร่วมรับผลประโยชน์
มีจิตสาธารณะ ยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
มีการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้นก่อนที่เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่
ให้ความช่วยเหลือ
มีทักษะในการคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เข้าถึงและได้รับการ
ช่วยเหลือที่รวดเร็วและถูกต้อง เช่น การวางแผนการปฎิบัติงานการสำรวจ
ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย และการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เป็นต้น
ทำงานทุกอย่างด้วยความใส่ใจ รู้หน้าที่ ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ
มีทักษะในการสื่อสารและการประสานงานที่ดี
เป็นคนตรงไปตรงมา เปิดเผย จริงใจ ซื่อสัตย์ โปร่งใจ ตรวจสอบได้
มีทักษะในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนาแก่ผู้อื่น
รวมถึงการพัฒนาแบบผสมผสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการเป็น
อาสาสมัครแก่คนรุ่นต่อไป
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 13
มีการปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการทำงาน
การทำงานของ อพม. ควรเข้าถึงผู้นำชุมชน ทั้งท้องที่และท้องถิ่น
เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ ทำให้การประสาน
ขอความร่วมมือเป็นไปอย่างราบรื่น
ปลดล็อคข้อจำกัดที่มีอยู่และปลดปล่อยศักยภาพในตัวตน
สร้างความเจริญเติบโตในตัวตน และกำหนดเป้าหมายในการทำงาน
ไม่หยุดที่จะเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจ ให้มีชีวิตอยู่อย่าง รู้คุณค่า
และมุ่งมั่นการทำงานให้มีผลสัมฤทธิ์
มีความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างการพัฒนาด้านจิตใจทั้งตนเองและผู้อื่น
พัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายผนึกกำลังทางสังคมจากทุกภาคส่วน
และเสริมสร้างธรรมภิบาล
ครอบครัวให้การสนับสนุนในการเข้ามาทำงานเป็น อพม. และหนุนเสริม
ทั้งกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์
14 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
อพม. จังหวัดระนอง
จังหวัดระนอง มีการจัดตั้งชมรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ จังหวัดระนอง และมีกองทุน เพื่อให้การดูแลสวัสดิการแก่
สมาชิก สร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานแก่ อพม. ในพื้นที่ ได้แก่
กรณีเสียชีวิต มีค่าจัดการศพ 5,000 บาท และพวงหรีด 1 อัน
กรณีเจ็บป่วย เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จ่าย 100 บาท
ไม่เกิน 5 คืน
ของเยี่ยมผู้ป่วย 300 บาท
นอกจากนี้ ชมรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จังหวัดระนอง ได้ขอจดทะเบียนเป็นองค์กรสาธารณะประโยชน์ ทำให้
สามารถขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ
คนในชุมชนได้
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 15
คุณค่าที่เกิดขึ้น
“ อะไรก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข ก็ทำไปเถอะค่ะ เพราะชีวิต
คนเราอยู่ได้ไม่นาน ก็ดูแลครอบครัว คนในชุ มชน สังคม
ดูแลเพื่ อมนุษย์ด้วยกันให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้ น ”
“ เราทำงานอย่าหวังสิ่งตอบแทน แล้วเราจะมี
ความสุขมากกว่า ผลตอบแทนจะตามมาทีหลัง
โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ”
“ ปัญหาทุกอย่างไม่มองว่าเป็นอุ ปสรรคในการทำงาน
แต่เป็นข้อท้าทายให้เราพัฒนา ปัญหาคือยาชู กำลัง
มารไม่มี บารมีไม่เกิด ”
“ เกิดมาเพื่ อสิ่งนี้ เกิดมาเพื่ อช่วยเหลือคนอื่ น
ไม่ได้เกิดมาเพื่ อทำอะไรเพื่ อตนเอง ”
“ มีความสุขทางใจ ไม่เครียด ปล่อยวางหมด
ทุกอย่าง เห็นครอบครัวที่ลำบากเขาดีขึ้ น รู้สึก
ดีใจ ภูมิใจ เป็นความสุขที่จับต้องไม่ได้ ”
“มีความสุข มีความภาคภูมิใจ ที่ได้ทำงานให้คนใน
ชุ มชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเห็นเขามีความสุข เราก็มี
ความสุขเรามีความพร้อม ครอบครัวมีความพร้อม
พ่อแม่เป็นแบบอย่างมา สามีให้การสนับสนุน ให้
โอกาสเราทำงานเพื่ อสังคม นี่คือสิ่งที่ภาคภูมิใจ
ม า ก ที่ สุ ด ”
1 6 I เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม
ข้อดีที่ชีวิตจะได้รับ เมื่อคุณเกิดคำถามว่า
" ทำงานจิตอาสา " จะได้อะไรบ้าง ?
ถ้าวันหยุดของคุณไม่ใช่วันหยุดที่เหมือนกับคนอื่น มีช่วงปิดเทอม
ที่ไม่รู้จะออกไปไหน หรือเบื่อที่จะต้องเอาเวลาลาพักร้อนไปกินไปเที่ยว
ลูกเดียว คุณลองใช้โอกาสนี้เปลี่ยนมุมมองชีวิตคุณด้วยการทำงานจิตอาสา
ดูสักครั้ง อาจไปเป็นครูบนดอย ออกไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นงาน “เสียตังค์น้อย แต่ใช้แรงมาก” อย่างน้อยสักครั้ง
หนึ่งในชีวิตที่ลองอุทิศตัวเองเพื่อสังคมบ้าง คุณจะได้รับสิ่งดี ๆ อย่างน้อยก็
7 ข้อต่อไปนี้ ที่จะทำให้ชีวิตคุณมีความหมายมากขึ้น
1.ได้สร้างเกียรติประวัติให้ตัวเอง ถ้าคุณเป็นคนที่กำลังหาตำแหน่งงานว่าง
คุณลองเสียสละเวลาสักนิดก่อนร่อนใบสมัครงานไปเข้าโครงการจิตอาสา
ต่าง ๆ สักพักหนึ่งดูสิ คุณจะรู้ว่าแค่กรอกประวัติการทำงานจิตอาสาเข้าไป
มันก็มีชัยมากกว่าการถือทรานสคริปต์งาม ๆ ให้นายจ้างดู นั่นก็เพราะ
นายจ้างเขาต้องการจ้างคนที่มีทัศนคติที่ดี ไม่เห็นแก่ตัว เพื่องานที่ดีสำหรับ
องค์กรเขาไงล่ะ
2.ได้สุขภาพที่ดี สุขภาพทางด้านจิตใจและอารมณ์จะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดมาก
อย่างน้อยคุณจะรู้สึกดีที่ได้ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ มีพื้นฐานจิตใจที่ดีจากการ
เมตตาคนอื่น มีสุขภาพกายที่ดีจากการทุ่มเทพลังกาย รู้สึกภาคภูมิใจ
ในตัวเองที่เป็นส่วนหนึ่งได้ขับเคลื่อนให้ภารกิจประสบความสำเร็จ การทำ
อะไรเพื่อผู้อื่น นอกจากจะสร้างสังคมให้น่าอยู่แล้ว ยังก่อให้เกิด
ความอิ่มเอมใจ ความรู้สึกมีคุณค่า ซึ่งเมื่อสุขภาพใจสมบูรณ์แล้ว
สุขภาพกายก็แข็งแรงตามไปด้วย
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 17
3. ได้ส่งต่อความรักให้กับคนอื่น เห็นการเติบโตจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น
ตอนต้น หรือรู้สึกว่าไลฟ์สไตล์ที่คุณเป็นอยู่นี้มันเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต
งานจิตอาสาจะช่วยให้คุณรู้จักคำว่า “ผู้ใหญ่” มากขึ้น การเป็นผู้ใหญ่
หมายความว่าอะไร ? มันก็หมายความว่า ถ้าตอนนี้คุณได้เป็นจิตอาสา
และคุณก็มีลูกเป็น จิตอาสา ก็เท่ากับว่าคุณกำลังสร้างคุณลักษณะให้ลูก
มีความเห็นแก่ตัวน้อยลงต่อเพื่อนมนุษย์ ซึ่งคุณลักษณะนี้จะติดตัว
พวกเขาไปตลอดชีวิต เมื่อพวกเขามีลูกมีหลาน เขาก็จะส่งต่อคุณลักษณะ
นี้ ไปอีก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีมากที่โลกอยู่ได้ก็เพราะยังมีการส่งต่อเรื่องดี ๆ
ต่อกัน มีน้ำใจระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างไม่จบสิ้น
4. เคารพคนอื่นมากขึ้น การเป็นอาสาสมัคร นอกเหนือจากการอุทิศตัวเอง
แล้ว ยังหมายถึงการเคารพเพื่อนอาสาสมัครคนอื่น ๆ ที่คุณต้องใช้ชีวิต
ร่วมกัน ทำงานร่วมกันตลอดเวลาด้วย ซึ่งมันเป็นพื้นฐานที่ดีให้คุณได้
เรียนรู้ไว้ก่อนที่จะไปทำงานกับองค์กรอื่น หรือสมัครงานเข้าบริษัทอื่น
5. ได้เจอเพื่อนใหม่ เอาเข้าจริงแล้วงานจิตอาสาก็คืองานที่จะได้ออกไป
พบปะสังคมที่กว้างขึ้น พบปะผู้คนที่มีความคิดเหมือนกัน เหมือนกับการ
เข้าปาร์ตี้งานหนึ่งที่เรียนรู้ตัวเองไปด้วย เรียนรู้คนอื่นไปด้วย แถมยังได้
คอนเนคชั่นมากขึ้นจากคนที่คุยถูกคอกันเอง ถ้าคุณกำลังหาเพื่อนใหม่
อยากได้เพื่อนดี ๆ เพิ่มขึ้น งานจิตอาสาคือโอกาสของคุณที่จะได้พบปะกับ
ผู้คนมากหน้าหลายตาในแบบเห็นตัวตน
เห็นทุกข์สุขด้วยกัน เมื่อได้มา
ทำงานร่วมกัน ซึ่งโอกาสดี ๆ แบบนี้
ถ้าคุณไม่ได้เข้ามาเป็นอาสาสมัคร
สักครั้ง คุณกับพวกเขาก็อาจจะเดิน
สวนทางกัน ไม่กล้ารู้จักกัน
พลาดโอกาสดี ๆ ต่อกันเพียง
เพราะเห็นกันแต่ผิวเผินนั่นเอง
18 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
กิจกรรมจิตอาสาเป็นเหมือนกับสนามฝึกที่สอนให้คุณรู้จักการปรับตัว
ให้เข้ากับผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว และตั้งใจรับผิดชอบงานในบทบาท
หน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม สิ่งนี้จะช่วย
หล่อหลอมจิตใจแห่งการให้หรือสร้างจิตอาสาในตัวคุณ ทั้งนี้ หากเกิด
ปัญหาขึ้นในทีม ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไข ร่วมไม้ร่วมมือ และยึดเอา
ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
6. ได้เพิ่มพูนทักษะความรู้ งานอาสาสมัครเป็นงานที่มีแค่ตัวเปล่า ๆ ก็ทำได้
แม้จะไม่มีเงินหรือความรู้ติดตัวมาเลย ดังนั้น โอกาสนี้ถือเป็นโอกาสดี
ที่คุณจะได้พัฒนาตัวเองไปด้วยจากการลงมือทำงานในด้านต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานธุรการ งานด้านเอกสาร งานด้านประสานงาน
และการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เป็นต้น
7. ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น การทำงานอาสาสมัครเป็นการเปิดโอกาสให้คุณรู้จัก
ตนเองมากขึ้น เพราะกิจกรรมจิตอาสาแต่ละประเภทมีความแตกต่าง
หลากหลาย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชอบ
กิจกรรมกลางแจ้ง จนกระทั่งคุณได้มีโอกาสไปปลูกต้นไม้ หรือไปแจกของ
ให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น
การทำกิจกรรมจิตอาสายังเป็นพื้นที่ให้คุณได้ไปตามความฝัน และ
ความปรารถนา ซึ่งคุณอาจได้ค้นพบงานอดิเรกหรืองานที่คุณรักในอนาคต
เช่น บางคนชอบสุนัข มีความสุขที่ได้ไปช่วยสุนัขจรจัดและหาที่อยู่ให้มัน
บางคนชอบไปอยู่กับธรรมชาติ และทำให้ธรรมชาติงดงามขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ งานอาสาสมัครเป็นงานที่ทำให้คุณได้ทำในสิ่งที่แปลกใหม่
ลดความซ้ำซากจำเจจากงานประจำที่ทำอยู่ ส่งผลให้คุณค้นพบศักยภาพ
และความสามารถที่ซ่อนอยู่ หรือไม่เคยรู้มาก่อน รวมทั้งอาจเกิดความคิด
สร้างสรรค์แปลกใหม่ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการทำงานประจำ หรือการ
พัฒนาองค์กรในด้านต่างๆ
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 19
ปัญหาและอุปสรรค
หน่วยงานบางหน่วยงานเมื่อลงพื้นที่ มักไปให้ความคาดหวังกับผู้ประสบ
ปัญหาทางสังคม แต่ไม่สามารถดำเนินการตามที่แจ้งไว้ ทำให้ผู้ประสบ
ปัญหาทางสังคมเกิดความไม่พอใจ และขาดความเชื่อมั่นในตัวเจ้าหน้าที่
และ อพม.
อพม. ขาดความรู้ ความเข้าใจ และข้อมูลเกี่ยวข้องกับภารกิจของ
กระทรวงฯ รวมทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์อื่นๆของประชาชน ทำให้เมื่อลง
พื้นที่ไม่สามารถให้ข้อมูลความชัดเจนแก่ผู้นำชุมชน และผู้ประสบปัญหา
ทางสังคมได้อย่างถูกต้องครบถ้วน
อพม. ขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะ ในการเขียนโครงการ เพื่อขอรับ
การสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งต่างๆ เช่น กองทุนต่าง ๆ
ขาดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนจากภาคเอกชน
ในพื้นที่
ไม่มีค่าตอบแทนให้กับ อพม.
20 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
ข้อเสนอแนะ
การสรรหา อพม. ควรมาจากความสมัครใจและมีใจรัก มีจิตอาสา ที่จะ
ปฏิบัติหน้าที่ อพม. และควรมีช่วงอายุระหว่าง 18 - 55 ปี เพื่อให้
คนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นอาสาสมัครเพิ่มมากขึ้น
ควรให้ อสม. มาสมัครเป็น อพม. อีกตำแหน่งหนึ่ง เนื่องจากมีบทบาท
ภารกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเช่นเดียวกัน และจะทำให้เกิด
การช่วยเหลือ ดูแลประชาชนอย่างครบวงจร
ควรมีการฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ ภารกิจ
ของ อพม. รวมทั้ง ความรู้และทักษะ ที่จำเป็นเกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่
ให้แก่ อพม.เก่าและ อพม.ใหม่ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ
มีความสามารถและศักยภาพที่สูงขึ้น
ควรมีการอบรมการใช้เทคโนโลยี การใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่สามารถ
นำมาใช้ในการปฎิบัติงาน เช่น การค้นหาข้อมูล การเก็บข้อมูล การติดต่อ
ประสานงาน เป็นต้นเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ
ควรมีการจัดตั้งเป็นชมรม อพม. และกองทุน อพม. รวมทั้งขอรับรอง
เป็นองค์กรสาธารณะประโยชน์
ควรสร้างและพัฒนา อพม. ให้มีตัวตนที่ชัดเจน มีที่ยืนในชุมชน เป็นที่รู้จัก
ยอมรับและเชื่อถือของผู้นำชุมชน คนในชุมชนและภาคประชาสังคม
ทำให้ ตัว อพม. เกิดความภาคภูมิใจในความเป็น อพม. และเป็นการ
จุดประกาย และแรงบันดาลใจให้คนสนใจสมัครเป็น อพม. มากยิ่งขึ้น
ควรมีสวัสดิการ ค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้แก่ อพม. เพื่อสร้างขวัญและ
กำลังใจ
ควรมี อพม. ที่มีความถนัด เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้สามารถ
ปฏิบัติงานตรงตามกลุ่มเป้าหมายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 21
บอกต่อ...
" คนที่ยังไม่สมัครเป็น อพม. ให้สมัคร เพราะได้ดูแล
ครอบครัวตนเอง และคนในชุมชนตนเอง ช่วยกัน
เป็นหูเป็นตา ครอบครัวผู้ด้อยโอกาสครอบครัวเราก็ไม่ได้
ลำบากอะไรในการทำงานก็ไม่ได้ใช้เงินส่วนตัว เพียงแต่
ให้เป็นตัวแทนของกระทรวง พม. เป็นกระบอกเสียง
ให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้คนรุ่นใหม่
มาสมัคร อายุไม่เกิน55 ปี ทำแล้วมีความสุข อะไรก็ได้
ที่ทำแล้วมีความสุข ก็ทำไปเถอะค่ะ เพราะชีวิตเราอยู่ได้
ไม่นาน ก็ดูแลสังคม ดูแลเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ดูแลครอบครัว คนในชุมชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีค่ะ "
22 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 23
อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(อพม.)
อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เกิดขึ้นเพื่อ
สนับสนุนและส่งเสริมให้อาสาสมัครที่มีอยู่อย่างหลากหลายในชุมชนและ
หมู่บ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เนื่องจากได้พิจารณาว่าภารกิจด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์ มีขอบเขตกว้างขวางเกี่ยวข้องกับประชากรทุกกลุ่ม ซึ่งในที่นี้ได้
พิจารณาจากกลุ่มอาสาสมัครที่มีอยู่ในชุมชนเป็นลำดับแรก ปัจจุบันอาสา
สมัครที่มีอยู่ในชุมชนท้องถิ่นมีหลายประเภท และปฏิบัติงานหลากหลายด้าน
เช่น อาสาสมัครสาธารณสุข อาสาสมัครต่อต้านยาเสพติด อาสาสมัครคุม
ประพฤติ ฯลฯ
ซึ่งอาสาสมัครเหล่านี้ล้วนปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์ทั้งสิ้น การส่งเสริมให้กลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ได้เข้าใจ
ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้
เรียนรู้ถึงบทบาทหน้าที่ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานเพื่อการพัฒนา
สังคมในท้องถิ่นของตนเองและเป็นอาสาสมัครเพื่อพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในหมู่บ้านและชุมชนของตน จะทำให้เกิดเครือข่าย
การทำงานในระดับพื้นที่ที่จะเป็นพื้นฐานพลังสำคัญในการพัฒนาสังคมไปสู่
สังคมแห่งสันติสุข เอื้ออาทร น่าอยู่และยั่งยืน
24 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
1.ความหมายอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสา
สมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีชื่อย่อว่า “อพม.” และ
มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Social Development and Human
Security Volunteer” และมีชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า “SDHSV” หมายถึง
บุคคลที่ทำประโยชน์เพื่อสังคมด้วยความสมัครใจ ได้แก่ อพม.จังหวัด
อพม.กรุงเทพมหานคร และ อพม.อื่นๆ ตามที่กระทรวงมีประกาศกำหนด
โดยผู้ที่จะเป็น อพม. ได้ต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรอาสาสมัครพัฒนา
สังคมและความมั่นคงของมนุษย์และจะได้รับวุฒิบัตรอาสาสมัครพัฒนา
สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บัตรประจำตัวอาสาสมัครพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์ และขึ้นทะเบียนเป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์
2. คุณสมบัติของบุคคลที่อาจได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรมเป็น
อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกอบด้วย
มีสัญชาติไทย
มีอายุตั้งแต่สิบแปดปีบริบูรณ์ขึ้นไป
มีชื่อในทะเบียนบ้านและอาศัยอยู่ในจังหวัดที่ประสงค์จะเป็นอาสา
สมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
มีความรู้ในขั้นสามารถอ่านออกเขียนได้
เป็นบุคคลที่สมัครใจเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานตามภารกิจของ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์ด้วยความเต็มใจ
มีความซื่อสัตย์สุจริตมีคุณธรรมและมีความประพฤติดี
ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง
เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เป็นผู้มีเวลาให้กับการทำงานในบทบาทอาสาสมัครพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 25
3. ผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการฝึกอบรมเป็น
อพม.
ในกรุงเทพมหานคร ให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเป็นผู้ดำเนิน
การ
ในจังหวัดอื่น ให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ
4. สิ่งที่ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรอาสาสมัครพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์จะได้รับ คือ
วุฒิบัตรอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
บัตรประจำตัวอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(มีอายุ 5 ปี นับแต่วันที่ออกบัตร)
การขึ้นทะเบียนเป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์
5. การพ้นสภาพอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(อพม.)
ตาย
ลาออก
เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
กอพม.จังหวัด หรือ กอพม.กทม. แล้วแต่กรณี มีคำสั่งให้พ้นสภาพ
(ตามระเบียบกระทรวง ฯ ว่าด้วย อพม. พ.ศ.2557 ข้อ 31)
อันเกิดจากการมีพฤติกรรมไม่รักษาจรรยาบรรณของ อพม. หรือมี
ความประพฤติเสียหายที่อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียศักดิ์ศรีของ
อพม.
ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ความผิด ลหุโทษ
หรือความผิดที่กระทำโดย ประมาท
26 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
6. สิทธิประโยชน์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(อพม.)
ประกาศเกียรติคุณ โล่ประกาศเกียรติคุณ หรือเข็มเชิดชูเกียรติ ตาม
หลักเกณฑ์ ขั้นตอน หรือวิธีการ ที่ กอพม. ประกาศกำหนด (ระเบียบฯ
ข้อ 32)
การเสนอชื่อเพื่อขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ตามหลัก
เกณฑ์การขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญ
ยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่
สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์)
การพัฒนาความรู้และทักษะ เพื่อยกระดับเป็นอาสาสมัครที่มีความ
เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (ตามระเบียบข้อ 28) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจ
และศักยภาพของ อพม.นั้น
การสนับสนุนงบประมาณและหรือการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
ตามบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบตามระเบียบนี้ และตาม
ประกาศกระทรวง โดยความเห็นชอบของกรมบัญชีกลาง
สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามที่กระทรวงหรือหน่วยงานอื่นจะได้กำหนด
ประชาชนทั่วไปกับการเป็น อพม. ได้ในกรณีพิเศษบุคคลที่ประกอบ
คุณงามความดี คุณประโยชน์ และเสียสละบำเพ็ญประโยชน์ด้านการ
พัฒนาสังคมอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ อาจได้รับการพิจารณาแต่ง
ตั้งให้เป็น “อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กิตติมศักดิ์” มีสิทธิได้รับวุฒิบัตรกิตติมศักดิ์และเข็มอาสาสมัครพัฒนา
สังคมและความมั่นคงของมนุษย์กิตติมศักดิ์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่
กอพม. กำหนด (ระเบียบฯ ข้อ 34)
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 27
7. กรอบแนวทางการคัดเลือกอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์ดีเด่น และ ดีเด่นพิเศษ
อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดีเด่น
การพิจารณาคัดเลือกอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์ (อพม.) ดีเด่นเป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวง
การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2557 ข้อ 32 (1) ความ
ว่า “อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(อพม.) ที่เคยได้
รับปฎิบัติงานดีเด่นต่อเนื่อง สม่ำเสมอ รวมระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า
ไม่น้อยกว่า 3 ปี มีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาคัดเลือก เพื่อรับประกาศ
เกียรติคุณอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดีเด่น
ประจำปี”
อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดีเด่นพิเศษ
การพิจารณาคัดเลือกอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์ (อพม.).ดีเด่นพิเศษเป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2557 ข้อ 32
(2) ความว่า “อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.)
ที่เคยได้รับประกาศเกียรติคุณอามสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์ ดีเด่นประจำปี ตามข้อ 32 (1) และยังคงปฎิบัติงานดีเด่นอย่างต่อ
เนื่อง สม่ำเสมอ รวมระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ไม่น้อยกว่าห้าปี
มีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาคัดเลือก เพื่อขอรับโล่ประกาศเกียรติคุณอาสา
สมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดีเด่นพิเศษประจำปี และ
เข็มเชิดชูเกียรติอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดีเด่น
พิเศษ ประจำปี”
28 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
8. จรรยาบรรณอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
อพม. ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยรักษาจรรยาบรรณอาสาสมัครพัฒนา
สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดังต่อไปนี้
ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความศรัทธาโดยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ความเป็นธรรม เสมอภาคโดยไม่ เลือกปฏิบัติ และมีมนุษยธรรมต่อ
เพื่อนมนุษย์ มีจิตมุ่งบริการประชาชนกลุ่มเป้าหมายด้วยความเต็มใจ
เสียสละ ซื่อสัตย์ สุจริตตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
รักษาความลับของผู้รับบริการ เว้นแต่กรณีที่ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์
ต่อผู้รับบริการกระบวนการให้บริการ และหรือได้รับอนุญาตจากผู้รับ
บริการเพื่อเป็นข้อมูลทางสังคม และหรือเพื่อเป็นวิทยาทาน โดยไม่มี
เจตนาให้ร้ายต่อผู้รับบริการ
ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม วัฒนธรรมอันดีงาม และ
ปฏิบัติตนให้เป็นที่นับถือขอประชาชน
ไม่เรียกร้องหรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยอาศัยตำแหน่งหรือ
บทบาทหน้าที่
รักษาและเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างผู้ร่วมงานและผู้มีส่วน
เกี่ยวข้อง
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 29
9. บทบาทหน้าที่และภารกิจของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์ (อพม.)
บทบาทหน้าที่และภารกิจของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ (อพม.) มีทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่
ชี้เป้า-เฝ้าระวัง หมายถึง การเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายที่
ประสบปัญหา ข้อมูลด้านสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนเพื่อนำ
ไปสู่การดำเนินงาน เพื่อป้องกัน แก้ไขปัญหา ซึ่งภารกิจที่จะนำไปสู่
การชี้เป้า-เฝ้าระวัง คือการสำรวจและรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย
และผู้รับบริการ การเฝ้าระวัง การส่งเสริมและแก้ไขปัญหาด้านสังคม
เบื้องต้น และการรายงานสถานการณ์ทางสังคมของชุมชน
เชื่อมกลุ่มเดิม-เสริมสร้างกลุ่มใหม่ อพม.จะเป็นผู้ทำหน้าที่ประสาน
การดำเนินงานกับเครือข่ายในระดับชุมชน นอกชุมชน ทั้งภาครัฐและ
เอกชน เพื่อร่วมกันในการดำเนินงาน เพื่อการพัฒนาสังคมและความ
มั่นคงของมนุษย์ของชุมชน เป็นกลไกเชื่อมโยงการทำงานระหว่าง
ภาครัฐกับท้องถิ่น ภารกิจที่จะนำไปสู่การเชื่อมกลุ่มเดิม-เสริมสร้าง
กลุ่มใหม่ คือ การประสานงาน การส่งต่อผู้รับบริการและการให้ความ
ร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติงานตามภารกิจของกระทรวงการ
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนราชการและเอกชนที่
เกี่ยวข้อง
ร่วมใจทำแผนชุมชนแผนชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะ
ทำให้การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เกิดขึ้นอย่างเป็น
รูปธรรม ดังนั้น ภารกิจของ อพม.คือการเป็นผู้ผลักดันหรือกระตุ้นให้
ชุมชนร่วมมือ ร่วมใจกัน ระดมความคิด เพื่อจัดทำแผนของชุมชน
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ
มนุษย์ เช่น การจัดทำแผนสวัสดิการชุมชน
30 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
แนวทางปฏิบัติภารกิจชี้เป้า - เฝ้าระวัง
1. การจัดหาข้อมูลชุมชน
(ข้อมูลสภาพชุมชน/กลุ่มเป้าหมาย/สถานการณ์
ทางสังคม/ศักยภาพชุมชน)
สำรวจตามแบบฟอร์ม
ขอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สังเกตการณ์/วงสนทนา/การประชุม
2. การจัดเก็บรวบรวมข้อมูล
บันทึกในสมุดบันทึกประจำวัน
จัดทำเป็นแฟ้มข้อมูล
ทำสมุดทะเบียนแยกประเภทข้อมูล
เก็บข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ
3. การนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
นำเสนอข้อมูล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้
ป้องกันแก้ไขและพัฒนาชุมชน
ประกอบการจัดทำแผน/โครงการ/กิจกรรม
ของชุมชน
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 31
แนวทางปฏิบัติภารกิจชี้เป้า - เฝ้าระวัง
1. การจัดหาข้อมูลของชุมชน
ข้อมูลสภาพชุมชนได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานของชุมชน เช่น ที่ตั้ง เนื้อที่
ภูมิประเทศ อาณาเขต ประชากร สภาพทางเศรษฐกิจ สถานการณ์
สังคมและบริการพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้คนในชุมชนเห็นสภาพ
ที่แท้จริงของชุมชนชัดเจนและตรงกัน และคนภายนอกเห็นสภาพและ
เข้าใจชุมชน
สำรวจข้อมูลตามแบบสำรวจที่หน่วยราชการจัดให้ เช่น แบบ
สำรวจผู้ประสบปัญหาทางสังคมของ พม. หรือทำแบบสำรวจเอง
ตามประเด็นที่ต้องการทราบ โดยออกเดินสำรวจเองหรือหาคน
ช่วยสำรวจ
ขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลชุมชน ข้อมูลศักยภาพ
ชุมชนจาก อบต.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พัฒนาชุมชน อำเภอ หรือข้อมูล
กลุ่มเป้าหมายจาก อบต. พมจ. สาธารณสุขอำเภอ/จังหวัด ซึ่งสามารถ
ประสานขอได้ ทั้งแบบทำหนังสือติดต่อเป็นทางการและการเข้าไปขอ
โดยตรง
32 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ข้อมูลผู้ด้อยโอกาสและผู้ต้องการความ
ช่วยเหลือทุกประเภท เช่น เด็กกำพร้า เด็กถูกทอดทิ้ง เด็กยากจน
เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ วัยรุ่นที่มีปัญหาความประพฤติ
ผู้สูงอายุ คนพิการ สตรีหม้าย ครอบครัวยากจน ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้ติด
ยาเสพติด เป็นต้น เนื้อหาของข้อมูลควรประกอบด้วย ชื่อ-สกุล และ
บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด อายุ บ้านเลขที่ สภาพความ
เป็นอยู่ การประกอบอาชีพปัญหาและความต้องการ การช่วยเหลือ
ที่ได้รับและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ทราบสภาพ
ปัญหา สาเหตุ ความเดือดร้อนของผู้ประสบปัญหา และแนวโน้มของ
ปัญหา เพื่อการดำเนินงานวางแผนป้องกันและแก้ไข
สังเกตสถานการณ์ชุมชนโดยการเดินเยี่ยมเยียนตามบ้าน
การนั่งเฝ้าดูและรับฟังการพูดคุยของชาวบ้านในชุมชน เช่น
ศูนย์กลางของชุมชน ร้านค้า ร้านอาหาร วัด สถานที่ที่มี
การจัดงานต่าง ๆ ซึ่งจะมีการพูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ในชุมชน
ร่วมเวทีประชาคมของชุมชนหรือร่วมวงสนทนาหรือการประชุม
ของกลุ่ม/องค์กรต่าง ๆ ของชุมชน ซึ่งจะมีการนำเสนอและพูดคุย
ข้อมูลต่าง ๆ ของชุมชน
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 33
ข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมและปัญหาของชุมชน ได้แก่ ข้อมูลปัญหา
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของชุมชนที่จะ
ก่อให้เกิดปัญหาต่อชุมชน เช่น ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่ เหมาะสมของ
วัยรุ่น การตั้งครรภ์ในวัยเรียน การติดยาเสพติด การแพร่ระบาดของ
ยาเสพติดในชุมชน การมีร้านเกมส์ สถานบันเทิงต่าง ๆ ในชุมชน
ข้อมูลศักยภาพของชุมชน ได้แก่ ข้อมูลสิ่งดีดีที่มีอยู่ในชุมชน เช่น คนดี
คนเก่ง คนที่มีความรู้ ความสามารถในด้านต่าง ๆ ผู้นำ/แกนนำต่าง ๆ
หน่วยงาน กลุ่ม/องค์กร/สถาบัน ที่จะช่วยเหลือชุมชน รวมทั้ง
ภูมิปัญญา วัฒนธรรม ประเพณี และทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ที่
จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการดูแลช่วยเหลือและพัฒนาคน ตลอดจน
การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ข้อมูลศักยภาพของชุมชน
ทำให้ทราบถึงความสามารถของชุมชนในการป้องกัน/แก้ไขปัญหา
นอกจากนี้จะต้องมีการจัดหาข้อมูลที่เป็นจุดอ่อนของชุมชนที่จะเป็น
อุปสรรคหรือข้อจำกัดในการพัฒนาชุมชนด้วย เช่น สภาพภูมิประเทศ
ที่ไม่เอื้อต่อการทำมาหากิน การติดต่อสื่อสารกับภายนอกที่ยากลำบาก
การแตกความสามัคคีของชุมชน เป็นต้น
34 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
2. การจัดเก็บรวบรวมข้อมูล
ข้อมูลชุมชน แนวทางการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลชุมชน สามารถ
ดำเนินการได้หลายวิธี เช่น
บันทึกข้อมูลชุมชนที่หาได้โดยวิธีการต่าง ๆ ในสมุดบันทึก
ประจำวัน (Diary)
จัดทำเป็นแฟ้มโดยนำเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาจัดเข้าแฟ้ม
หรือคัดลอกข้อมูลตามประเด็นเนื้อหาที่ต้องการโดยการเขียนหรือ
การพิมพ์ แล้วจัดเข้าแฟ้ม ทั้งนี้ให้ทำใบปะหน้าแฟ้มว่าภายใน
แฟ้ม มีข้อมูลอะไร ของใครบ้าง รวมทั้งข้อมูลที่ได้จากการดำเนิน
การสำรวจเอง
ทำสมุดทะเบียน ลงข้อมูลชุมชนต่าง ๆ ที่จำเป็น โดยออกแบบ
ตารางสมุดทะเบียน ตามประเด็นหัวข้อข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บ
ทำระบบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ประเด็นหัวข้อข้อมูลอาจเช่นเดียว
กับสมุดทะเบียน หรืออาจสแกนภาพเอกสารข้อมูลต่าง ๆ
ลงเครื่องคอมพิวเตอร์
จัดเก็บข้อมูลไว้ในแผ่นดิสก์เพื่อสะดวกต่อการพกพาข้อมูลไปร่วม
ประชุมชี้แจง หรือประสานงานกับหน่วยงาน รวมทั้งเผยแพร่
หน่วยงาน/บุคคลที่เกี่ยวข้อง
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 35
ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย แนวทางการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย
สามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น
บันทึกข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ได้สำรวจ พบเห็นหรือดำเนินการ
ช่วยเหลือในสมุดบันทึกประจำวัน (Diary) ของตนเอง
ทำสมุดทะเบียนกลุ่มเป้าหมายโดยแยกกลุ่มเป้าหมายแต่ละ
ประเภท เช่น สมุดทะเบียน กลุ่มเป้าหมายเด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ
ผู้ป่วยเอดส์ สตรีหม้าย หรือบันทึกไว้ในสมุดเล่มเดียวกัน แต่แบ่ง
หน้ากระดาษลงแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
จัดแฟ้มเก็บแบบบันทึกประวัติของผู้รับบริการแต่ละรายแยกแฟ้ม
ตามประเภทของกลุ่มเป้าหมาย (การเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่ม
เป้าหมายแต่ละประเภท จะต้องมีการจัดลำดับความสำคัญ
เร่งด่วนผู้ที่ต้องดำเนินการช่วยเหลือ และจะต้องมีการบันทึก
ข้อมูลการติดตามผลการช่วยเหลือด้วย)
36 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
ข้อมูลสถานการณ์ทางสังคม-ปัญหาของชุมชน แนวทางการจัดเก็บ
รวบรวมข้อมูลสถานการณ์ทางสังคม ปัญหาของชุมชน สามารถ
ดำเนินการได้หลายวิธี เช่น
บันทึกข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมที่เป็นแนวโน้มที่จะทำให้เกิด
ปัญหา หรือมีผลกระทบต่อชุมชน ตลอดจนปัญหาต่างๆของ
ชุมชนที่พบเห็น จากการสำรวจ การออกเดินเยี่ยมเยียน
การสังเกต รวมทั้งข้อมูลที่ได้จากเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ลงในสมุด
บันทึกประจำวัน (Diary) ของตนเอง
จัดแฟ้มบันทึกข้อมูลสถานการณ์ทางสังคม
ปัญหาของชุมชน แยกแฟ้มตามประเด็นของสถานการณ์หรือ
ประเด็นปัญหา ระบุช่วงเวลาการเกิดสถานการณ์ทางสังคมหรือ
ปัญหาของชุมชนให้ชัดเจน รวมทั้งการจัดการป้องกันแก้ไขปัญหา
ของชุมชนด้วย
จัดเก็บข้อมูลสถานการณ์ทางสังคม-ปัญหาของชุมชนลงใน
คอมพิวเตอร์
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 37
ข้อมูลศักยภาพของชุมชน แนวทางการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล
ศักยภาพของชุมชน สามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น
ทำสมุดทะเบียนศักยภาพของชุมชนแยกเป็นประเภท ได้แก่
ทุนมนุษย์ (แกนนำ ปราชญ์ คนเก่ง คนมีความรู้ความสามารถ
ในด้านต่างๆ คนที่ชุมชนเคารพเชื่อถือให้การยอมรับ ยกย่อง)
ทุนองค์กร/สถาบัน/กลุ่มชมรมต่าง ๆ ในชุมชน กองทุนต่าง ๆ
วัด โรงเรียน อบต. ฯลฯ
ทุนภูมิปัญญา วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ
ทุนทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งที่คนในชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
และช่วยกันดูแลรักษา (แหล่งน้ำ ป่า ชุมชน ต้นไม้ พืชผล
ต่างๆ)
จุดอ่อนของชุมชน เช่น สภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้อต่อการทำ
มาหากิน การติดต่อสื่อสารกับภายนอกที่ยากลำบาก การแตก
ความสามัคคีของชุมชน เป็นต้น
จัดเก็บข้อมูลศักยภาพชุมชนลงในคอมพิวเตอร์ โดยแยกไฟล์
ข้อมูลตามข้อมูลศักยภาพชุมชน
จัดเก็บข้อมูลศักยภาพชุมชนไว้ในแฟ้ม โดยแยกข้อมูลเป็นกลุ่ม ๆ
ตามประเภทของศักยภาพของชุมชน
38 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
3. การนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์
ข้อมูลชุมชน กลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลสถานการณ์ทางสังคม-ปัญหาของ
ชุมชนและข้อมูลศักยภาพของชุมชน อพม. สามารถนำเสนอเพื่อไปสู่
การใช้ประโยชน์เพื่อการชี้เป้า-เฝ้าระวัง โดยการแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
โดยตรงหรือทำหนังสือ แจ้งข้อมูลพร้อมระบุความต้องการช่วยเหลือ หรือ
นำเสนอข้อมูลในที่ประชุมของกลุ่ม-ชมรม/องค์กร ชุมชน หรือต่อเวที
ประชาคม หรือนำเสนอข้อมูลในการจัดทำแผนชุมชนหรือการจัดทำ
แผนงาน/โครงการ/กิจกรรมของชุมชน
นำเสนอสถานการณ์ทางสังคมของชุมชน เพื่อให้หน่วยงาน/องค์กร/
บุคคลที่เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
ภารกิจ เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กวัยรุ่นประพฤติตนไม่เหมาะ
สม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน ตำรวจ องค์กรท้องถิ่น และ
ฝ่ายปกครองจะได้ร่วมกันหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา
นำเสนอข้อมูลกลุ่มเป้าหมายและข้อมูลปัญหาของชุมชน เพื่อให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือ เช่น ข้อมูลผู้พิการผู้สูงอายุ
ที่จำเป็นต้องเร่งให้การช่วยเหลือ เรียงลำดับความสำคัญเร่งด่วน
นำเสนอข้อมูลปัญหาความต้องการของชุมชน และกลุ่มเป้าหมาย
ที่ต้องดำเนินการในการจัดทำแผนชุมชน เพื่อผลักดันให้ได้รับการ
สนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยการนำข้อมูล
ชุมชน ข้อมูลศักยภาพชุมชนเพื่อประกอบการจัดทำโครงการ/
กิจกรรมด้วย
ใช้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายเพื่อการออกเยี่ยมเยียน ให้การช่วยเหลือ
ส่งเรื่องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการติดตาม
ผลการช่วยเหลือ
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 39
แนวทางปฏิบัติการเชื่อมกลุ่มเดิม-เสริมสร้างกลุ่มใหม่
(การประสานงาน)
การเป็นแกนนำหลักในการ การรวบรวมและจัดทำ
ขับเคลื่อนงานสวัสดิการ ทะเบียนเครือข่ายภายใน
สังคมในชุมชน และภายนอกชุมชน
ส่งเสริมให้มีโครงสร้าง จดบันทึกข้อมูลกลุ่ม
อพม.ในระดับตำบลที่ อาสาสมัครและเครือข่าย
เข้มแข็ง ที่มีการติดต่อ ประสาน
สนับสนุนเพิ่มจำนวน งาน ร่วมปฏิบัติงาน
ระดับหมู่บ้าน ประเด็นข้อมูล สถานที่
ตั้ง หมายเลขโทรศัพท์
ภารกิจ/ความสามารถ/
ภารกิจ บริการ
การเชื่อมกลุ่มเดิมเสริม
การประสานการปฏิบัติกับ สร้างกลุ่มใหม่ การประสานการปฏิบัติกับ
เครือข่ายภายใน เครือข่ายภายนอก
พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยน ติดต่อประสานงานขอ
ข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลกลุ่มให้บริการ
นำเสนอข้อมูลเพื่อ เข้าร่วมงาน/กิจกรรมที่
กระตุ้นให้เครือข่าย เครือข่ายขอความร่วมมือ
ดำเนินงานเพื่อชุมชน สนับสนุนภารกิจของ
ร่วมประชุม/เวทีหารือ เครือข่าย: การสำรวจ
ระดมความคิดเห็น ข้อมูล การติดตามผลผู้
สนับสนุนการดำเนินงาน ประสบปัญหา
ของเครือข่าย ส่งเรื่องขอรับบริการจาก
ประสานขอรับการ เครือข่าย
สนับสนุนจากเครือข่าย
40 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
แนวทางปฏิบัติ เชื่อมกลุ่มเดิม-เสริมสร้างกลุ่มใหม่
1. การเป็นแกนนำหลักในการขับเคลื่อนงานสวัสดิการสังคมในชุมชน
ร่วมส่งเสริมให้มีโครงสร้าง อพม.ที่เข้มแข็งในระดับตำบล เช่น มีการ
จัดตั้งชมรม อพม.ในระดับตำบล
ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการเพิ่มจำนวน อพม. ระดับหมู่บ้าน
อย่างน้อยหมู่บ้านละ 3-5 คน
2. การรวบรวมข้อมูลและจัดทำทะเบียนเครือข่ายภายในและภาย
นอกชุมชน
เพื่อให้มีข้อมูลเครือข่ายที่สามารถประสานขอความร่วมมือ
สนับสนุนการปฏิบัติงานหรือเข้าร่วมปฏิบัติงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตประชาชนและสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
จดบันทึกข้อมูลกลุ่มอาสาสมัครและกลุ่มเครือข่ายทั้งภายในชุมชน
และภายนอกชุมชนที่มีการติดต่อประสานงานการร่วมปฏิบัติงาน
การเข้าร่วมประชุมหรือร่วมกิจกรรมด้วย เพื่อเป็นทะเบียนเครือข่าย
การดำเนินงานการพัฒนาสังคมและสวัสดิการสังคม ประเด็นข้อมูล
ประกอบด้วยชื่อบุคคล/หน่วยงาน สถานที่ติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์
ตำแหน่ง/ภารกิจ หน้าที่ความรับผิดชอบ/ความสามารถ/บริการ (กรณี
เป็นกลุ่ม/องค์กร/หน่วยงานให้มีข้อมูลชื่อผู้ที่ติดต่อประสานงานด้วย)
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 41
3. การประสานการปฏิบัติกับเครือข่ายภายใน
เพื่อขอรับการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของ อพม.หรือ
อพม.เข้าไปมีส่วนร่วมในภารกิจ/กิจกรรมของเครือข่าย หรือเป็นการ
ร่วมกันดำเนินงานเพื่อประชาชนและชุมชน เรื่องที่ประสาน เช่น เรื่อง
ข้อมูลชุมชน สถานการณ์ปัญหาสังคม หาแนวทางการแก้ปัญหา
การทำแผนชุมชน การประสานให้เกิดการนำแผนไปปฏิบัติ เป็นต้น
พบปะ พูดคุย สร้างความคุ้นเคยสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
นำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบทบาทภารกิจของเครือข่าย เพื่อกระตุ้น
ให้มีการดำเนินงานเพื่อชุมชน
ร่วมจัดประชุม/เวทีหารือ ระดมความคิดเห็นเพื่อดำเนินการแก้ไข
ป้องกันปัญหา และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
สนับสนุนการดำเนินงานของเครือข่าย เช่น การเข้าร่วมประชุม/เวที
หารือ ระดมความคิดเห็น การให้ข้อมูลที่เครือข่ายมอบหมาย เช่น
การสำรวจข้อมูลการเยี่ยมเยียนติดตามผล
ประสานขอรับการสนับสนุนการปฏิบัติงานของ อพม.เช่น การขอ
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การส่งเรื่องผู้ประสบปัญหาขอรับความช่วยเหลือ
จาก อบต.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อนามัย เป็นต้น สามารถทำได้ทั้งแบบ
ที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ คือ พาผู้ประสบปัญหาไปติดต่อ
ด้วยตนเอง
42 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
4. การประสานการปฏิบัติกับเครือข่ายภายนอก
เพื่อขอรับการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของ อพม. เช่น ข้อมูล
งบประมาณ/วัสดุ อุปกรณ์ บุคลากร บริการช่วยเหลือและบริการที่ดี
แก่ผู้ประสบปัญหา หรือ อพม.เข้าไปมีส่วนร่วมในภารกิจ/กิจกรรมของ
เครือข่าย หรือเป็นการร่วมกันดำเนินงานเพื่อประชาชนและชุมชน
เข้าไปติดต่อประสานงาน สอบถามข้อมูลการให้บริการ
ทำความคุ้นเคยกับผู้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้อง สร้างสัมพันธภาพที่ดี
ต่อกัน
เข้าร่วมงาน/กิจกรรมที่เครือข่ายภายนอกเชิญ/ขอความร่วมมือ เช่น
การประชุม สัมมนา อบรม เป็นต้น
สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของเครือข่ายภายนอก เช่น การสอบ
ข้อเท็จจริงผู้ประสบปัญหา การติดตามผล การสำรวจข้อมูล
การประสานกับเครือข่ายภายในชุมชน เป็นต้น
การส่งเรื่องขอรับบริการจากเครือข่ายภายนอก สามารถประสานงาน
ได้ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ อาจสอบถาม ขอคำแนะนำ
ทางโทรศัพท์ในประเด็นที่จะขอรับความช่วยเหลือจะทำได้แบบไหน
อย่างไร หรือควรจะต้องขอรับบริการจากหน่วยงานไหน โดย อพม.
ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างผู้ขอรับบริการกับ
เครือข่าย ที่มีบริการช่วยเหลือกรณีที่ อมพ.ไม่ทราบว่าจะติดต่อขอรับ
บริการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้จากหน่วยงานไหน ให้ขอคำแนะนำ
จาก สนง.พมจ.
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 43
ร่วมใจทำแผนชุมชน
แผนชุมชน คือ การกำหนดถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อพัฒนา หรือแก้ไขปัญหา
ของชุมชนอย่างเป็นระบบ โดยคนในชุมชนร่วมกันคิด ร่วมกันค้นหา เรียนรู้
ร่วมกัน ร่วมกันกำหนดกิจกรรม สามารถใช้แผนชุมชนเป็นกรอบในการดำเนิน
งาน หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ/เอกชน เป็นเพียงหน่วยงานที่คอยให้การ
สนับสนุนเท่านั้น
ประโยชน์ของแผนชุมชน แผนชุมชนจะช่วยให้การดำเนินงานต่าง ๆ
ของชุมชนประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีเป้าหมาย กระบวนการขั้นตอน
ระยะเวลาและบทบาทหน้าที่ของผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน รวมทั้ง
ทรัพยากร ที่จำเป็นต้องใช้ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น ภารกิจของ อพม.
ในการจัดทำแผนชุมชน คือการชักชวน กระตุ้นให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
ในการจัดทำแผนชุมชน ผลักดัน สนับสนุน ชุมชนร่วมมือ ร่วมใจกันระดมความ
คิดเห็น ค้นหาปัญหาความต้องการ เรียนรู้หาแนวทางแก้ไขป้องกันปัญหา
หรือพัฒนาชุมชนร่วมกัน เพื่อกำหนดเป็นแผนของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เช่น
การจัดทำแผนสวัสดิการชุมชน
44 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
ภารกิจการร่วมใจทำแผนชุมชน
การรวบรวมข้อมูลและจัดระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
รวบรวมข้อมูลที่ได้จากภารกิจชี้เป้า เฝ้าระวังที่สามารถบ่งชี้ระดับปัญหา และเป็น
ประโยชน์ต่อการทำแผนชุมชน
ประสาน/หาแนวร่วมเพื่อรวบรวมและจัดระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
จัดทำรายงานข้อมูลเครือข่ายที่จะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน
การผลักดันและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำแผนชุมชน
พูดคุย ชักชวน ให้ประชาชนเห็นความสำคัญและประโยชน์รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมทำ
แผนชุมชน
ประสานผลักดัน กลุ่ม/แกนนำให้ทำความเข้าใจกับประชาชนและเชิญชวนมามีส่วนร่วม
ทำแผนชุมชน
ส่งเสริม สนับสนุนให้ชุมชนตระหนักถึงปัญหาของชุมชนเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนสนใจ
และเข้ามามีส่วนร่วมทำแผน
การร่วมจัดทำแผนชุมชน
ร่วมดำเนินการจัดเวทีชาวบ้านเพื่อจัดทำแผนชุมชน อาทิ เตรียมข้อมูล ประสานเชิญ
ผู้เข้าร่วมภาคี ที่ปรึกษาการจัดเวที เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ สถานที่ กำหนดวันเวลา
และดำเนินการจัดเวทีชาวบ้าน
เข้าร่วมเวทีชาวบ้านนำเสนอประเด็นปัญหา ความคิดเห็น แนวทางแก้ไขป้องกัน ส่งเสริม
และพัฒนา
การผลักดันแผนชุมชนไปสู่ปฏิบัติ 45
ร่วมจัดทำรายละเอียดของแผน และเขียนโครงการ
ประสานผลักดันให้ทุกภาคีร่วมดำเนินการตามแผนชุมชน
ติดตามผลและเผยแพร่ผลสำเร็จให้ประชาชนรับทราบ
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I
ภารกิจการร่วมใจทำแผนชุมชน
1. การรวบรวมและจัดระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
รวบรวมข้อมูลที่ได้จากภารกิจการชี้เป้า-เฝ้าระวัง จากข้อมูล
กลุ่มเป้าหมายและข้อมูลสถานการณ์ทางสังคม ปัญหาของชุมชน
ที่สามารถบ่งชี้ ประเด็นปัญหา สถานการณ์ทางสังคมที่มีแนวโน้ม
จะก่อให้เกิดปัญหา และข้อมูลทั่วไป ข้อมูลศักยภาพของชุมชน
ที่เป็นประโยชน์ ต่อการจัดทำแผนชุมชน
ประสานหารือหาแนวทางร่วมเพื่อรวบรวมและจัดระบบข้อมูล
ที่เกี่ยวข้อง
จัดระบบข้อมูลเครือข่ายที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน
งานเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสภาวการณ์ที่เป็นอยู่และพัฒนาชุมชน
2. การผลักดันและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำแผนชุมชน
พูดคุย ชักชวนประชาชนในชุมชนให้เห็นความสำคัญและประโยชน์
ของการจัดทำแผนชุมชน เพื่อให้เข้ามาร่วมเสนอปัญหา ความต้องการ
และความคิดเห็นในเวทีชาวบ้าน เพื่อร่วมกันทำแผนชุมชน
ประสานกลุ่มที่เกี่ยวข้องที่จะมีส่วนร่วมในการทำแผนชุมชน ได้แก่
กลุ่มผู้นำ กรรมการหมู่บ้าน เพื่อผลักดันให้เกิดการชี้แจง ทำความ
เข้าใจกับประชาชน และเชิญชวนมามีส่วนร่วมในการทำแผนชุมชน
แลกเปลี่ยนสถานการณ์ของชุมชนโดยการให้ข้อมูลแก่ประชาชน/
กลุ่ม/องค์กรในชุมชน หรือการจัดเวทีชาวบ้าน เพื่อกระตุ้นให้
ประชาชนสนใจและเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนชุมชน
46 I เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม
3. การร่วมจัดทำแผนชุมชน
ร่วมมือกับกลุ่มผู้นำ กรรมการหมู่บ้านดำเนินการจัดเวทีชาวบ้าน
เพื่อร่วมกันจัดทำแผนชุมชน เริ่มตั้งแต่การเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
การประสานจัดหาผู้เข้าร่วมระดมความคิดเห็น (ประชาชนในชุมชน)
การประสาน อบต.หน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้องขอสนับสนุน
นักวิชาการ หรือเจ้าหน้าที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาหรือพี่เลี้ยง ให้คำ
แนะนำ ในการจัดทำแผน การจัดเตรียมผู้รับผิดชอบ การจัดเวที
ชาวบ้าน การเตรียมสถานที่และอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการจัดเวที
ชาวบ้าน การกำหนดวันจัดเวทีชาวบ้าน การนัดหมายผู้เข้าร่วมเวที
และการดำเนินการจัดเวทีชาวบ้าน
เข้าร่วมเวทีชาวบ้านนำเสนอประเด็นปัญหาความต้องการ และ
แนวทางแก้ไข ป้องกัน ส่งเสริมหรือพัฒนา โดยวิเคราะห์จากข้อมูล
ที่มีอยู่ทุกด้านเพื่อหาแนวร่วมสนับสนุน ให้นำเสนอเข้าแผนชุมชน
ร่วมจัดทำรายละเอียดของแผนและเขียนโครงการ
4. การผลักดันแผนชุมชนไปสู่การปฏิบัติ
ประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามแผน
เพื่อผลักดันให้มีการปฏิบัติตามแผนชุมชน
ติดตามผลการดำเนินงานตามแผนชุมชน นำไปประชาสัมพันธ์
ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชนในชุมชนได้รับทราบ
และเห็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมของการจัดทำแผนชุมชน
ที่มา : คู่มือการฝึกอบรมอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(อพม.) พุทธศักราช 2558.
เสริมพลัง อพม. สานต่ อการพัฒนาสังคม I 47
คณะผู้จัดทำ
ที่ปรึกษา
นางสาวมนิดา ลิ่มนิจสรกุล
(ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10)
นายพงษภัทร แสงพิทูร
(นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ)
ผู้จัดทำ
นางสาวพนิดา แซ่ตั้ง (นักพัฒนาสังคมชำนาญการ)
ออกแบบปก-รูปเล่ม
นางสาวนิศากร หนูนวล (นักพัฒนาสังคม)
จัดพิมพ์และเผยแพร่
สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
33 หมู่ที่ 1 ตำบลขุนทะเล อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84100
โทรศัพท์ : 0-7735-5022-3
โทรสาร : 0-7735-5705
E-mail : [email protected]
Website : http://tpso-10.m-society.go.th
Facebook : ศูนย์วิชาการพัฒนาสังคม สสว.สิบ สุราษฎร์ธานี
Line : @tpso10surat
ปีที่ผลิต : สิงหาคม 2564
พิมพ์ที่ : สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10
ทีมโฆษก พม.
(จังหวัดสุราษฎร์ธานี)
กับการขับเคลื่อนงาน
ในพื้นที่
เรียบเรียงโดย
นางสรัลชนา หงษ์วิวัฒน์
ตำแหน่ง นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ
คำนำ
การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) เป็นการรวบรวม
องค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสารมา
พัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กร สามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนา
ตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอันจะส่งผลให้
องค์กรมีความสามารถเชิงแข่งขันสูงสุด โดยเป้าหมายที่สำคัญของการจัดการ
ความรู้มุ่งพัฒนาใน 3 ประเด็น ได้แก่ พัฒนางาน พัฒนาคนและการเป็นองค์กร
แห่งการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10 เป็นองค์กรหลัก
ในการส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการด้านการพัฒนาสังคมแก่ภาคีเครือข่าย
ในระดับพื้นที่ ศึกษา วิเคราะห์ สถานการณ์เพื่อคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์
ทางสังคมและผลกระทบ การถ่ายทอดความรู้ด้านการพัฒนาสังคมในระดับ
พื้นที่ รวมถึงเป็นศูนย์เรียนรู้ ศูนย์บริการวิชาการในระดับพื้นที่กลุ่มจังหวัด
โดยมีจังหวัดพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง พังงา
กระบี่ ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช
สำหรับการดำเนินงานในปี 2564 สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุน
วิชาการ 10 ได้ดำเนินโครงการศูนย์บริการวิชาการพัฒนาสังคมและ
จัดสวัสดิการสังคม โดยมีกิจกรรมการจัดการความรู้และการถ่ายทอดความรู้
ซึ่งได้พิจารณาคัดเลือกประเด็นการขับเคลื่อนงานที่มีความโดดเด่นและ
เป็นหนึ่งกิจกรรมที่มีการบูรณาการการทำงานของ พม.จังหวัดสุราษฎร์ธานี คือ
การขับเคลื่อนการทำงานของ “ทีมโฆษก พม.สุราษฎร์ธานี” เพื่อนำมาจัดทำ
เป็นชุดความรู้สำหรับถ่ายทอดให้แก่หน่วยงานที่มีความสนใจสามารถนำไปใช้
ประโยชน์ได้ต่อไป
ในโอกาสนี้ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10 ขอขอบคุณ
คณะทำงานทีมโฆษก พม.จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ให้การสนับสนุนองค์ความรู้
และข้อมูลสำหรับการจัดการความรู้ในครั้งนี้ และขอขอบคุณ
นางสาวมนิดา ลิ่มนิจสรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10
ที่ให้คำแนะนำและสนับสนุนการจัดการความรู้ดังกล่าว
ทั้งนี้ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดการความรู้ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ
ผู้ที่สนใจหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางาน
หรือประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องตามบริบทงานได้อย่างเหมาะสมต่อไป
คณะผู้จัดทำ
สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10
สิงหาคม 2564
สารบัญ หน้า
คำนำ 1
สารบัญ 4
บทนำ 6
ความเป็นมา 6
ทำความรู้จัก “การประชาสัมพันธ์” 7
8
ความหมายของการประชาสัมพันธ์ 10
ลักษณะของการประชาสัมพันธ์ 13
ความสำคัญของการประชาสัมพันธ์ 14
การสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ 15
ทำความเข้าใจ “โฆษก” 16
ประเภทของโฆษก 16
ลักษณะหรือคุณสมบัติของผู้เป็นโฆษก 17
การขับเคลื่อนคณะทำงานทีมโฆษกพม.จังหวัดสุราษฎร์ธานี 18
กลไกการขับเคลื่อนในพื้นที่ 21
บทบาทหน้าที่ทีมโฆษก / ทีมประชาสัมพันธ์ 23
คำสั่ง เรื่อง คณะทำงานทีมโฆษก พม.จังหวัดสุราษฎร์ธานี 27
CIO กับการกำกับการทำงานในพื้นที่ 29
Model การขับเคลื่อนงาน 31
ช่องทางการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน One Home 32
การสนับสนุนการขับเคลื่อนงาน 33
ปัญหา อุปสรรค จากการขับเคลื่อนงาน
แนวทางการพัฒนางานต่อไป
บรรณานุกรม
บทนำ
เป็นที่แน่นอนว่าการสื่อสารเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความเข้าใจ
ทั้งส่วนของตนเองและการสร้างความเข้าใจระหว่างบุคลคลอื่นที่เปรียบเสมือนเส้นใย
ที่เชื่อมร้อยกลุ่มบุคคล ผ่านการถ่ายทอด ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก
ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่างๆ ที่อาจเป็นการพูดการเขียน
การส่งข้อความ การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ การจัดกิจกรรม หรือการแสดงไปยังผู้รับสาร
โดยอาจใช้วิธีการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมและความจำเป็น
ในขณะนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและสามารถมีปฏิกิริยา
ที่ตอบสนองกันได้ รวมถึงเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามเป้าประสงค์ที่มีร่วมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสื่อสารของหน่วยงานซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสื่อสารกันภายใน
องค์กรสำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย
เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่หน่วยงานต้องมีการสื่อสารให้คนภายนอกองค์กรได้รับรู้
รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ภารกิจบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน การรับรู้กิจกรรม
ที่มีความเกี่ยวเนื่องของหน่วยงานที่ต้องการสื่อสารให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบต่อไป
และด้วยปัจจุบันสังคมมีความเป็นพลวัตร อยู่ท่ามกลางยุคสมัยแห่งดิจิตอล ส่งผลให้
ช่องทางการติดต่อสื่อสารในรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพล
ต่อการกระจายข่าวสารและคนในสังคมสามารถเข้าถึงข่าวสารมากยิ่งขึ้น การสื่อสาร
จึงมีอิทธิพลไม่ว่าจะเป็นการชักจูงทางใดทางหนึ่ง การสร้างพลังแห่งการรวมกลุ่ม
การสร้างแรงกดดันที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง การสร้างความรวดเร็วในการรับรู้
ข่าวสารที่เป็น Real Time แม้ว่าช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างจะเปิดโอกาสให้กับ
ผู้ที่ต้องการสื่อสาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราในลักษณะปัจเจกชน หรือองค์กร
จะมีกลไกใดที่จะสามารถขับเคลื่อนการสื่อสารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ
ตรงตามเป้าประสงค์ที่ได้ตั้งไว้
ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ | 1
ทั้งนี้ การสื่อสารและการประชาสัมพันธ์จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็น
อย่างยิ่งไม่เฉพาะแต่หน่วยงานภาคธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงหน่วยงาน
ภาครัฐที่มีบทบาทในการสร้างความเข้าใจประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิ
หรือการนำเสนอบทบาทภารกิจงานของหน่วยงานให้แก่ประชาชนหรือสาธารณชน
รับทราบ เพื่อขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ได้
เป็นที่แน่นอนว่าการสื่อสารเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความเข้าใจ
ทั้งส่วนของตนเองและการสร้างความเข้าใจระหว่างบุคลคลอื่นที่เปรียบเสมือนเส้นใย
ที่เชื่อมร้อยกลุ่มบุคคล ผ่านการถ่ายทอด ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก
ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่างๆ ที่อาจเป็นการพูดการเขียน
การส่งข้อความ การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ การจัดกิจกรรมหรือการแสดงไปยังผู้รับสาร
โดยอาจใช้วิธีการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมและความจำเป็นใน
ขณะนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันและสามารถมีปฏิกิริยาที่
ตอบสนองกันได้ รวมถึงเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามเป้าประสงค์ที่มีร่วมกัน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งการสื่อสารของหน่วยงานซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการสื่อสารกันภายในองค์กร
สำหรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานของหน่วยงานให้เป็นไปตามเป้าหมายเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการที่หน่วยงานต้องมีการสื่อสารให้คนภายนอกองค์กรได้รับรู้ รับทราบ
ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ภารกิจบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน การรับรู้กิจกรรมที่มี
ความเกี่ยวเนื่องของหน่วยงานที่ต้องการสื่อสารให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบต่อไป
2 | ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่
และด้วยปัจจุบันสังคมมีความเป็นพลวัตร อยู่ท่ามกลางยุคสมัยแห่งดิจิตอล
ส่งผลให้ช่องทางการติดต่อสื่อสารในรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาท
และมีอิทธิพลต่อการกระจายข่าวสารและคนในสังคมสามารถเข้าถึงข่าวสาร
มาก ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น การสื่อสารจึงมีอิทธิพลไม่ว่าจะเป็นการชักจูงทางใดทางหนึ่ง
การสร้างพลังแห่งการรวมกลุ่ม การสร้างแรงกดดันที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
การสร้างความรวดเร็วในการรับรู้ข่าวสารที่เป็น Real Time
แม้ว่าช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างจะเปิดโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการ
สื่อสาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราในลักษณะปัจเจกชน หรือองค์กรจะมี
กลไกใดที่จะสามารถขับเคลื่อนการสื่อสารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ
ตรงตามเป้าประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ ทั้งนี้ การสื่อสารและการประชาสัมพันธ์จึงมี
ความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งไม่เฉพาะแต่หน่วยงานภาคธุรกิจเพียง
อย่างเดียว แต่หมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทในการสร้างความ
เข้าใจประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิ หรือการนำเสนอบทบาท
ภารกิจงานของหน่วยงานให้แก่ประชาชนหรือสาธารณชนรับทราบ
เพื่อขับเคลื่อนงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ได้
ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ | 3
ความเป็นมา
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีบทบาทภารกิจ
ด้านการส่งเสริมพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ สร้างเครือข่ายทุกภาคส่วน
ในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม รวมถึงการจัดระบบสวัสดิการที่เหมาะสม
กับบริบทของประเทศไทยเพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันและมีความมั่นคงใน
ชีวิต เพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง
ของมนุษย์ที่ว่า “สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ” และเป็นที่แน่นอนว่าการรับรู้
ของประชาชน การเข้าถึงการช่วยเหลือ การเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการที่
กระทรวงการพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้จัดให้นั้น จำเป็นต้องใช้วิธีการ
ในการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ การประชาสัมพันธ์จึงเป็นกลไกที่สำคัญ
ในการขับเคลื่อนงานและมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นความสำคัญ
ของการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ จึงสร้างกลไกในระดับ
จังหวัดให้มีโฆษกประจำ พม. จังหวัด มีหน้าที่ขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์
ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์ และโครงการ/กิจกรรมต่างๆ ที่ขับเคลื่อนโดยหน่วยงาน
ในสังกัด พม. (One Home) ในพื้นที่จังหวัด ตลอดจนการบูรณาการด้านข้อมูล
ข่าวสารที่เป็นภาพรวม และสามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่ประชาชนได้
อย่างรวดเร็ว
4 | ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่
ทั้งนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง 5
ของมนุษย์จังหวัด (One Home) ใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนที่อยู่ในเขต
ความรับผิดชอบสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 10 ประกอบด้วย
จังหวัดกระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ภูเก็ต ระนอง และสุราษฎร์ธานี
ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานทีมโฆษกของจังหวัด
ทั้งในรูปแบบที่มีคำสั่งคณะทำงานและมีการมอบหมายงานแต่ไม่ได้จัดตั้งคำสั่ง
คณะทำงาน พร้อมทั้งมีการขับเคลื่อนงาน ชี้แจงบทบาททีมโฆษกจังหวัดแก่
คณะทำงานหรือผู้เกี่ยวข้อง และมีการติดตามรายงานผลการปฏิบัติงานต่อ
หัวหน้าหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง สำหรับการขับเคลื่อนงานของทีม พม.จังหวัด
สุราษฎร์ธานี โดยบูรณาการการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมในการจัดตั้งคณะ
ทำงานทีมโฆษก พม. จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้น เพื่อขับเคลื่อนงานด้าน
การประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจงานของกระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์และ งานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะทำงานทีมโฆษก
พม. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วยที่ปรึกษาคณะทำงาน ทีมโฆษก และทีม
ประชาสัมพันธ์ ต่อมา ภายหลังมีนโยบายให้คัดเลือกผู้บริหารเทคโนโลยี
ระดับสูง (Chief Information Officer : CIO) ประจำสำนักงานพัฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็น
กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านการประชาสัมพันธ์ในภาพการดำเนินงาน
ของ พม.จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงการสร้าง Model แนวทางการขับเคลื่อน
งานทีมโฆษก พม. จังหวัดสุราษฎร์ธานี และช่องทางการประชาสัมพันธ์ของ
แต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ก่อนที่จะไปถึง Model แนวทางการขับเคลื่อนงาน
ทีมโฆษก พม. จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้น ลองทำความเข้าใจความหมายและ
ความสำคัญของโฆษกและประชาสัมพันธ์กันก่อน
ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ |
ทำความรู้จัก “การประชาสัมพันธ์”
การประชาสัมพันธ์ ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสื่อสารที่สำคัญ
อย่างหนึ่งของหน่วยงานที่หน่วยงานจะสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานให้
บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือหน่วยงานไม่สามารถอยู่ในสังคมได้หรืออยู่ได้
ยากหากปราศจากการยอมรับและความเข้าใจจากสาธารณชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ในสังคม หน่วยงาน/องค์การจึงมีความจำเป็นที่ต้องให้ความสนใจต่อการ
ทำความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประชาชนหรือสาธารณชน
โดยผ่านสื่อต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สาธารณชนมีทัศนคติ ความเชื่อ
มุมมองที่ดีต่อองค์กรที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานขององค์กรต่อไป ทั้งนี้
การประชาสัมพันธ์จึงถูกใช้เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ บุคลากร สถานที่ แนวคิด
และกิจกรรมการดำเนินงานต่างๆ ขององค์การ
ความหมายของการประชาสัมพันธ์
การประชาสัมพันธ์ (Public Relation) เป็นการติดต่อสื่อสารจาก
องค์การไปสู่สาธารณชนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและประชามติ
จากสาธารณชนที่มีต่อองค์การ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อถือ
ภาพลักษณ์ ความรู้ และแก้ไขข้อผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
6 | ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่
ลักษณะของการประชาสัมพันธ์
1.การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way communication)
เป็นการสื่อสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับเกี่ยวกับข่าวสารขององค์การที่ต้องการ
สื่อสารให้สาธารณชนรับทราบและเข้าใจ และยังเป็นการสื่อสารย้อนกลับ
จากผู้รับ คือ สาธารณชน ไปยังองค์การเกี่ยวกับความคิดเห็นที่เกี่ยวกับ
องค์การ
2.การประชาสัมพันธ์อาจมีกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม (Multiple target
group) เช่น พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ชุมชน รัฐบาล หรือหน่วยงานต่างๆ
เป็นต้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์ว่าต้องการ
ประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายใดบ้าง
3.การประชาสัมพันธ์เป็นการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ ทั้งนี้ การประชาสัมพันธ์
ต้องตั้งอยู่บนหลักความจริงเพื่อมุ่งให้เกิดความเชื่อถือและปฏิบัติตามด้วย
ความสมัครใจ
4. การประชาสัมพันธ์เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่ องและสม่ำเสมอ
โดยคาดหวังผลต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อให้สาธารณชนมีความศรัทธา
และมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อองค์การเพื่อให้องค์การสามารถดำเนินกิจการ
อยู่ในระยะยาวได้
5.การประชาสัมพันธ์เป็นการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการ
วางแผน ควบคุม และประเมินผลของการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้มั่นใจ
ว่าการดำเนินการประชาสัมพันธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผล
ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ | 7
ความสำคัญของการประชาสัมพันธ์
งานประชาสัมพันธ์เป็นงานสื่อสัมพันธ์ที่มีความสำคัญ และเป็นงานที่มี
ขอบเขตกว้างขวาง มีระบบงานที่ซับซ้อน แต่งานประชาสัมพันธ์จะช่วยส่งเสริม
ลักษณะความเป็นผู้นำขององค์การและบุคคล ทั้งยังช่วยให้เกิดความเข้าใจ
ความร่วมมือทั้งจากพนักงานภายในและจากประชาชนภายนอกด้วย นับว่า
งานประชาสัมพันธ์มีคุณค่าต่อสถาบันต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งพอจะสรุป
ความสำคัญของการประชาสัมพันธ์ได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. การประชาสัมพันธ์ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างค่านิยมของหน่วย
งานได้ดีขึ้น หมายถึง การสร้างความรู้สึกประทับใจที่บุคคลหลายๆ กลุ่ม
มีต่อหน่วยงานนั้นๆ รวมทั้งลูกจ้าง ลูกค้า ผู้บริโภค ชุมชน พ่อค้าและรัฐบาล
โดยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มชนเหล่านี้ เผยแพร่ชี้แจงข่าวสารให้
ประชาชนเห็นคุณความดีให้เกิดความเลื่อมใสและสร้างความผูกพันทางใจ
เช่น การที่หน่วยงานประสบความสำเร็จมีกำไรพอควร และแบ่งส่วนของ
กำไรให้กับพนักงานในรูปของเงินเดือนที่สูงพอควร ตลอดจนมีสวัสดิการต่าง
ๆ ให้เหมาะสมตามอัตภาพ ขณะเดียวกันก็เป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบ
ต่อชุมชน เป็นเพื่อนบ้านที่ดี มีนโยบายส่งเสริมพนักงานให้มีตำแหน่งและ
ความรับผิดชอบสูง มีการฝึกอบรมและพัฒนาพักงาน
2.การประชาสัมพันธ์ช่วยป้องกันรักษาชื่อเสียงของหน่วยงาน หมายถึง
มีการพัฒนาปรับปรุงตัวเอง รวมทั้งสินค้าและบริการต่าง ๆ ให้ตรงกับ
ความต้องการของประชาชนแล้วโอกาสที่ประชาชนจะได้รับความไม่สะดวก
เกิดความเข้าใจผิด หรือมองในแง่ร้ายซึ่งจะเป็นผลในการนำไปวิพากษ์
วิจารณ์ให้เกิดเสียชื่อเสียงย่อมไม่มี หรือมีน้อยมากเพราะเรา ได้ตรวจสอบ
ความคิดเห็นทัศนคติของประชาชนและทำการปรับปรุงอยู่เสมอ
8 | ทีมโฆษก พม. ( จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) กับการขับเคลื่อนงานในพื้นที่