The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by vetarmyschoolbook, 2023-01-20 01:42:10

วิชา สหกรณ์ ชั้นนายร้อย

วิชา สหกรณ์

แผนกวิชาการเกษตร กองการศึกษา โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก วิชา สหกรณ์ หลักสูตร ชั้นนายร้อย เอกสารประกอบการศึกษา


ค ำน ำ เอกสารประกอบการศึกษา วิชาการสหกรณ์ เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียน โดยอยู่ในความ รับผิดชอบของแผนกวิชาการเกษตร กองการศึกษา โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก มีเนื้อหา ส าคัญเกี่ยวกับวิวัฒนาการสหกรณ์ ประวัติศาสตร์สหกรณ์ตั้งแต่สมัยโบราณ องค์กรกลางต่างๆที่เกี่ยวกับ สหกรณ์ การแก้ไขเพิ่มเติมปรับปรุง พระราชบัญญัติสหกรณ์ พุทธศักราช ๒๕๖๒ ฉบับที่ ๓ ตลอดจน สารสนเทศสหกรณ์ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้น าไปใช้ตัดสินใจในการด าเนินชีวิตได้ แผนกวิชาการเกษตร กองการศึกษา โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก ได้พิจารณาว่า ปัจจุบันเอกสารประกอบการฝึกอบรมในวิชาดังกล่าวมีความล้าสมัย ซึ่งไม่ได้ปรับปรุงมาเป็นเวลานาน จึงได้ รวบรวมเรียบเรียงและจัดท าเนื้อหาให้ทันกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลง การจัดท าเอกสารประกอบการศึกษา ส าเร็จได้ด้วยดี ทั้งนี้คณะผู้จัดท าเอกสารประกอบการศึกษาหวังว่าผู้ศึกษาจะได้รับประโยชน์จากเอกสาร ประกอบการศึกษานี้ไม่มากก็น้อย หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดท าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ จะน าไปพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาต่อไป ร้อยเอกหญิง ระพีพร สกุลทิพย์ อาจารย์ประจ าแผนกวิชาการเกษตร กองการศึกษา โรงเรียนทหารการสัตว์ กรมการสัตว์ทหารบก ผู้ด าเนินการปรับปรุง ๒๒ กันยายน ๒๕๖๕


สำรบัญ บทที่ หน้า บทที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสหกรณ์ 1 - 19 บทที่ ๒ ประวัติศาสตร์สหกรณ์ ๒0 - 49 บทที่ ๓ การจัดตั้งสหกรณ์ โครงสร้างสหกรณ์ และการแบ่งประเภทของสหกรณ์ 50 – 61 บทที่ ๔ กฎหมายที่เกี่ยวกับสหกรณ์ 62 - 91 บทที่ ๕ การผสมผสานสหกรณ์ และ องค์การกลางต่างๆของสหกรณ์ 92 - 100 บทที่ ๖ ปัญหาของสหกรณ์ในประเทศไทย 101 - ๑03 บทที่ ๗ สารสนเทศสหกรณ์ ๑04 บรรณานุกรม ๑05


๑ ที่มา : https://www.cpd.go.th/king9.html ที่มา : http://www.coopbanggruay.com/ default.aspx?submenu=true&type=link&id=B000000002&MainSubMenu_id=H000000002 บทที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสหกรณ์ ความหมายของสหกรณ์ (Co-operatives) ๑) พระราชด ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ พระราชทานพระราชด ารัสแก่ผู้น าสหกรณ์ที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖ ไว้ตอนหนึ่งว่า สหกรณ์นี้มีความหมาย ค าว่า “สน” ก็ด้วยกัน “กรณ์” การท า ท างานท ากิจการต่างๆ หมายความว่า “สหกรณ์” แปลว่าการท างานร่วมกันการท างานร่วมกันนี้ลึกซึ้งมาก เพราะว่าจะต้องร่วมมือกันในทุก ด้าน ทั้งในด้านงานการที่ท าด้วยร่างกาย ทั้งในด้านงานการที่ท าด้วยสมอง และงานการที่ท าด้วยใจ ทุกอย่างนี้ขาด ไม่ได้ ต้องพร้อม… ๒) ความหมายตามพระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ พระบิดาแห่งการ สหกรณ์ไทย ประทานค าแปล “สหกรณ์เป็นวิธีการจัดการรูปหนึ่ง ซึ่งบุคคลหลายคนรวมกันเข้าด้วยความสมัครใจ ในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่ากัน และโดยความมีสิทธิเสมอหน้ากันหมด เพื่อ จะบ ารุงตนให้เกิดความจ าเริญ ในทางทรัพย์”


๒ ที่มา : http://www.coopbanggruay.com/default.aspx?submenu=true&type=link&id=B000000002&MainSubMenu_id=H000000002 ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ที่มา : https://www.ica.coop/ Cooperation is a form of organization where in persons voluntarily associate together as human beings, on the basis of equality, for the promotion of economic interests, of themselves. ๓) พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ “สหกรณ์หมายความว่า คณะบุคคลซึ่งรวมกันด าเนินกิจการเพื่อ ประโยชน์ ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยช่วยตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และได้จดทะเบียนตาม พระราชบัญญัตินี้ ๔) ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ “สหกรณ์ หมายถึง องค์การทางเศรษฐกิจและสังคม ที่สมาชิกร่วมกันจัดตั้งขึ้น ด้วยการลงทุนร่วมกัน จัดการรวมกันในการผลิต การจ าหน่ายสินค้า หรือบริการตามความ ต้องการ หรือผลประโยชน์อย่างเดียวกันของบรรดาสมาชิก สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิ์ออกเสียงได้หนึ่งเสียง ในการ บริหารสหกรณ์ โดยไม่ขึ้นกับจ านวนหุ้นที่ถืออยู่ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์โคนม (กฎ) คณะบุคคลซึ่งร่วมกันด าเนินกิจการเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยช่วยตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและ กันและได้จดทะเบียนว่าด้วยกฎหมายสหกรณ์ ๕) องค์การกรรมกรระหว่างประเทศ (ไอ.แอล.โอ) กล่าวว่า “สหกรณ์คือสมาคมของคนซึ่งมักมีเบี้ยน้อยหอยน้อย ผู้ได้มา รวมกันเข้าโดยความสมัครใจ เพื่อให้ได้สามัญประโยชน์ทางทรัพย์ โดยจัดตั้งองค์การธุรกิจที่มีการควบคุมแบบประชาธิปไตยลงเงิน ไปสมทบในทุนที่ต้องการ โดยเสมอภาคและยอมรับความเสี่ยงภัย และผลประโยชน์ในกิจการนี้ตามส่วนที่ยุติธรรม ๖) องค์การสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ( The International Cooperative Alliance : ICA) ปี ๑๙๙๕ แถลงการณ์ว่าด้วยเอกลักษณ์ของการสหกรณ์“สหกรณ์เป็น องค์การอิสระของบุคคล ซึ่งรวมกันทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม โดยการด าเนินวิสาหกิจที่เป็นเจ้าของ ร่วมกัน และควบคุมตามแนวทางประชาธิปไตย”


๓ ที่มา : https://www.cpd.go.th/king9.html A co-operative is an autonomous association of persons united voluntarily to meet their common economic, social, and cultural needs and aspirations through a jointlyowned and democratically-controlled enterprise. ๗) สมุดเอนไซโคลเดีย บริแตนนิกา อธิบายศัพท์“สหกรณ์คือ ชุมนุมชนที่ร่วมกันเป็น องค์การด้วยความ สมัครใจและยึดถือหลักประชาธิปไตยเป็นที่ตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจัดหาสินค้ามาจ าหน่ายแก่สมาชิกและการรับ ใช้แก่สมาชิก หรือเพื่อให้สมาชิกประกอบการผลิตเพื่อจ าหน่าย หรือจัดหาทุนให้สมาชิกกู้ยืม หรือรวมวัตถุประสงค์ เหล่านี้เข้าด้วยกัน และในขณะเดียวกันเฉลี่ยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการนี้ให้สมาชิกตามส่วนซึ่งได้ตกลงเห็น พ้องกันว่าเป็นการเที่ยงธรรมสาหรับสมาชิกแต่ละคนและสาหรับหมู่คณะ ลักษณะมูลฐานของสหกรณ์ โดย ฮานส์ มงค์เนอร์ (Hans H Munkner) ชาวเยอรมันนี ๑) กลุ่มบุคคลที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างเดียวกัน ๒) เจตนารมณ์ที่จะช่วยตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ๓) จัดตั้งองค์การธุรกิจขึ้น และร่วมกันด าเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ๔) วัตถุประสงค์ขององค์การธุรกิจนี้คือ ส่งเสริมผลประโยชน์ของสมาชิกและ ครอบครัว อุดมการณ์สหกรณ์ จากการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง อุดมการณ์ หลักการ และวิธีการสหกรณ์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน ๒๕๕๔ได้ ศึกษาแถลงการณ์ขององค์การสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ (The International CooperativeAlliance : ICA) ว่าด้วยเอกลักษณ์ของสหกรณ์สรุปได้ ดังนี้ อุดมการณ์สหกรณ์ คือ “ความเชื่อร่วมกันที่ว่าการช่วยตนเอง และ การช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามหลักการสหกรณ์จะน าไปสู่การกินดี อยู่ดี มีความเป็นธรรม และสันติสุขในสังคม” ค่านิยมทางสหกรณ์ (Cooperative Value)


๔ สัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ (The International Cooperative Alliance : ICA) ได้ก าหนด ความส าคัญของค่านิยมทางสหกรณ์ไว้ใน แถลงการณ์ว่าด้วยเอกลักษณ์ของการสหกรณ์ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๘ ดังนี้ “ สหกรณ์อยู่บนฐานค่านิยมของการพึ่งพาและรับผิดชอบตนเอง ประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความเที่ยง ธรรม และความสามัคคี สมาชิกสหกรณ์ตั้งมั่นอยู่ในค่านิยม ทางจริยธรรมแห่งความซื่อสัตย์ เปิดเผยรับผิดชอบ ต่อสังคม และเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ตามแบบแผนที่สืบทอดมาจากผู้ริเริ่มการสหกรณ์” ค่านิยมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาความคิดที่เป็นรากฐานหรือแก่นแท้ของขบวนการสหกรณ์ อันเป็น สิ่งที่อยู่เบื้องหลังหลักการสหกรณ์ ขบวนการสหกรณ์มีประวัติความเป็นมาที่ลึกซึ้งและเป็นที่รับรู้กัน อย่างกว้างขวาง ตลอดเวลา หลายชั่วอายุคนที่ผ่านมาได้มีนักทฤษฎีในหลายภูมิภาคของโลกที่ศึกษาและ แสดงความคิดที่มีอิทธิพล ต่อความคิดทางสหกรณ์ และมีไม่น้อยที่ความคิดเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับค่านิยมทาง สหกรณ์นอกจากนั้น การที่ สหกรณ์ทั่วโลกได้มีพัฒนาการอยู่ในท่ามกลางระบบความเชื่อต่างๆ รวมทั้ง ความเชื่อทางศาสนาหลักๆ และ ตรรกวิทยา เมื่อผู้น าของสหกรณ์ได้รับอิทธิพลของความเชื่อเหล่านั้น ย่อมแน่นอนว่าการกล่าวถึงค่านิยมทางสหกรณ์ จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ทางจริยธรรมที่เหมาะสมได้ผลที่ตามมาก็คือการที่จะเข้าถึง การตกลงเรื่องค่านิยมทางสหกรณ์ จึงมีความซับซ้อนและเป็นงานหนักที่ไม่สามารถมองเห็นผลตอบแทนใด ๆ ที่เป็น รูปธรรมโดยตรง ระหว่างปี ค.ศ.๑๙๙๐ ถึง ๑๙๙๒ สมาชิกของสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ (ICA) ร่วมกับ หน่วย งานวิจัยอิสระ โดยการอ านวยการของ Mr.Sven Ake Book นักวิจัยทางสหกรณ์ชาวสวีเดน ได้ร่วมกันศึกษาถึง ธรรมชาติของค่านิยมทางสหกรณ์ และได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ ค่านิยมทางสหกรณ์ในโลก แห่งการเปลี่ยนแปลง (Cooperative Values in a Changing World) ซึ่งเขียนโดย Mr.Book และ ICA เป็นผู้จัดพิมพ์ ควบคู่ไปกับหนังสือ เล่มนี้ยังมีหนังสือชื่อ Co-operative Principles : Today and Tomorrow เขียนโดย W.P.Watkins ที่ได้ให้ แนวคิดทางทฤษฎี งใช้เป็นรากฐานในการพัฒนาแถลงการณ์ ว่าด้วยเอกลักษณ์ของการสหกรณ์ หนังสือทั้งสองเล่ม ได้ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งได้อย่างมาก ค่านิยมทางสหกรณ์ที่ปรากฏตามแถลงการณ์ว่าด้วยเอกลักษณ์ของการสหกรณ์ นั้น ปรากฏถ้อยค า เป็น ๒ ส่วน ส่วนแรก เป็นค่านิยมที่ใช้ในการด าเนินงานปกติ ส่วนที่สอง เป็นค่านิยมพื้นฐานทางจริยธรรม ตามแนวความคิด ทางสหกรณ์ที่สืบทอดกันมา ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป ค่านิยมทางสหกรณ์ - ส่วนที่ ๑ “ สหกรณ์อยู่บนฐานค่านิยมของการพึ่งพาและรับผิดชอบตนเอง ประชาธิปไตย ความเสมอภาคความ เที่ยงธรรม และความสามัคคี” “การพึ่งพาและรับผิดชอบตนเอง” ตั้งอยู่บนรากฐานความเชื่อมั่นว่าคนทุกคนมีความสามารถ และความ พยายามอย่างสูงที่จะควบคุมตนเอง นักสหกรณ์เชื่อว่าการพัฒนาในปัจเจกบุคคลจะมีความสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการ ร่วมมือกับคนอื่นๆ เพราะล าพังคนเพียงคนเดียวย่อมมีข้อจ ากัดในการคิด การท า และการบรรลุถึงผลสัมฤทธิ์ขั้นสูงที่ ปรารถนา แต่การร่วมมือกับคนอื่นๆ และมีความรับผิดชอบร่วมกัน แต่ละคนย่อมได้รับผลที่มีค่ากว่า(ท าเองตาม ล าพัง) และย่อมส่งผลต่อส่วนรวมในระบบเศรษฐกิจ(โดยเฉพาะในระบบตลาดและมักเกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามามี บทบาท) สมาชิกแต่ละคนของสหกรณ์จะมีส่วนในการพัฒนากิจกรรมของสหกรณ์ ผ่านทางทักษะที่ใช้ในการ เสริมสร้างการเติบโตของสหกรณ์ หรือจากการได้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่สมาชิกรุ่นหลังได้รับจากสหกรณ์ หรือจาก การได้เห็นถึงประโยชน์ที่ตกถึงชุมชนที่สหกรณ์เป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วย จากมุมมองเหล่านี้จึงกล่าวได้ว่า สหกรณ์ เป็น สถาบันที่ให้ความส าคัญแก่การศึกษา และการพัฒนาผู้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับสหกรณ์อยู่เสมอ


๕ สหกรณ์ตั้งอยู่บนฐานของประชาธิปไตย และ ความเสมอภาค หน่วยที่เป็นรากฐานของ สหกรณ์คือสมาชิก ซึ่ง อาจหมายถึงมนุษย์รายบุคคล หรือเป็นกลุ่มของมนุษย์ก็ได้ ส่วนประกอบของความเป็นมนุษย์นี้เป็นส่วนประกอบ ส าคัญที่ท าให้สหกรณ์มีความแตกต่างไปจากหน่วยธุรกิจที่ควบคุมโดย “ผลประโยชน์ของเงินทุนเพราะสหกรณ์ให้ ความส าคัญแก่ “คน” ตามแนวทางประชาธิปไตยที่มีความเสมอภาคกัน เคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน และมี กระบวนการพิจารณาโดยให้การยอมรับในความเห็นส่วนใหญ่ โดยที่ยังเห็นความส าคัญของเสียงส่วนน้อยส าหรับ สหกรณ์ต่างๆ แล้วสมาชิกสหกรณ์มีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วม มีสิทธิที่จะได้รับการบอกกล่าวสิทธิในการได้รับรู้ และการร่วมในการตัดสินใจสมาชิก แต่ละรายสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในแนวทางที่เท่าเทียมกันเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้บางครั้งในทางปฏิบัติจะ เป็นเรื่องยากและท้าทายส าหรับสหกรณ์ขนาดใหญ่ หรือ สหกรณ์ขั้นสูงก็ตามความจริง แล้วทุกๆ สหกรณ์ก็ล้วนแต่ตระหนักถึงความพยายามที่จะสร้างและธ ารงรักษา “ความเสมอภาค” อยู่เสมอและใน หนทาง สุดท้ายก็มักก าหนดเป็นกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายไว้เพื่อเปิดทางให้ทุกคนมีส่วนในการก ากับดูแลธุรกิจของตน ในท านองเดียวกัน การตระหนักถึงความเที่ยงธรรม ในสหกรณ์ก็ยังคงด าเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ความเที่ยง ธรรม ที่ส าคัญที่สุดน่าจะพิจารณาจากสิ่งที่สมาชิกได้รับในทางปฏิบัติจากสหกรณ์ สมาชิกทั้งหลายควรได้รับการ ปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม เพื่อประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับอันเนื่องมาจากการมีส่วนร่วมในสหกรณ์ ผ่านการเฉลี่ยคืน ตามส่วนแห่งการอุดหนุน การจัดสรร ประโยชน์ไปสู่บัญชีทุนส่วนตัวในบัญชี เงินส ารองของสหกรณ์ หรือการได้รับ ส่วนลดต่าง ๆ ค่านิยมในทางปฏิบัติประการสุดท้าย คือ ความสามัคคี (หรือความเป็นปึกแผ่น) ค่านิยมเรื่องนี้ ได้รับการยอม รับมาตลอดในประวัติศาสตร์และในขบวนการสากล ในทุกๆ สหกรณ์ “ ความสามัคคี” (ปึกแผ่น)จะเป็นเครื่อง ประกันว่าการกระท าของสหกรณ์ใดๆ จะปรากฏชัดเจนถึงความจ ากัดในประโยชน์ส่วนตนสหกรณ์เป็นมากกว่า ประชาคมของมวลสมาชิก(รวมคน) หากแต่มีความเหนียวแน่น รวมใจ)สมาชิกสหกรณ์จะมีความรับผิดชอบและ ส านึกอยู่เสมอว่ามวลสมาชิกทั้งหลายจะต้องได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้) ผลประโยชน์ของ ส่วนรวมจะอยู่ในส านึกตลอดเวลา นอกจากนั้นความส านึกในความเป็นธรรมนี้จะใช้กับลูกจ้างของสหกรณ์ด้วยไม่ว่า เขาจะเป็นสมาชิกสหกรณ์หรือไม่ก็ตาม และยังใช้กับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกแต่มีกิจกรรมร่วมกับสหกรณ์อีกด้วย ความสามัคคีหรือความเป็นปึกแผ่นนี้ ยังหมายรวมถึงการที่สหกรณ์ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิทธิประโยชน์ ของสมาชิกโดยรวมอีกด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ การที่สินทรัพย์ทางการเงินและ ทางสังคมจะเป็น กรรมสิทธิ์ร่วมของมวลสมาชิก ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมและการรวมพลังกันของมวลสมาชิก ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า สหกรณ์ไม่เพียงเป็นการรวมกันของปัจเจกบุคคลเท่านั้น หากแต่ยังยืนยันถึงการผนวกความ แข็งแกร่งของทุกคนเข้าด้วยกันพร้อมกับส านึกในความรับผิดชอบที่มีร่วมกันด้วย ยิ่งกว่านั้นความสามัคคีหรือความเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่นนี้ ยังมีความหมายถึงการที่นักสหกรณ์ และ สหกรณ์ จะต้องอยู่เคียงข้างกันเสมอ มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าในการสร้างขบวนการที่มีเอกภาพไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ ในทางปฏิบัติไม่ว่าสหกรณ์ใดๆก็ตามมักจะพยายามสนองความ ต้องการของสมาชิกในสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ดีที่สุด หรือในระดับราคา ต่ าสุดเสมอได้มีการท างานร่วมกันและ ความพยายามที่จะน าเสนอความชัดเจนในบทบาทนี้) ต่อสาธารณะและรัฐบาล ในความเป็นจริงแล้วจะพบความเป็น เอกภาพนี้เสมอในสหกรณ์ทั้งหลายแม้ว่าแต่ละสหกรณ์อาจจะมีความแตกต่างกันในวัตถุประสงค์และเนื้อหาในการ ด าเนินงานก็ตาม ค่านิยมทางสหกรณ์ - ส่วนที่ ๒ เนื้อหาของค่านิยมส่วนนี้ตามแถลงการณ์ของICA กล่าวว่า สมาชิกสหกรณ์ตั้งมั่นอยู่ในค่านิยมทางจริยธรรม แห่ง ความซื่อสัตย์ เปิดเผย รับผิดชอบต่อสังคม และเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ตามแบบแผนที่สืบทอดมาจากผู้ริเริ่มการ


๖ สหกรณ์” อาจกล่าวได้โดยไม่ผิดเพี้ยนว่า ค่านิยมทางจริยธรรมของสหกรณ์ ข้างต้นนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อกิจกรรม ของธุรกิจเอกชนและรัฐวิสาหกิจบางประเภท โดยเฉพาะในกรณีที่การด าเนินธุรกิจของ องค์การเหล่านั้นอยู่ในพื้นที่ที่ มีประเพณีปฏิบัติแบบสหกรณ์ ค่านิยมเหล่านี้เป็นความส าคัญพื้นฐานในสหกรณ์หลายประเภทที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงคริส ศตวรรษที่ ๑๙ และยังคงค่าความส าคัญอยู่แม้ในภาวะที่สหกรณ์ มีการเติบโตและมีพัฒนาการในระยะเวลาของการ ถูกรบกวนอย่างหนักก็ตาม สหกรณ์ที่ก าเนิดขึ้นในช่วงคริสศตวรรษที่ ๑๙ เช่น สหกรณ์ผู้บริโภค ตามแบบของผู้น ารอชเดล ล้วนมีความ มั่นคงอย่างสูงในความซื่อสัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีส่วนร่วมอยู่ในกิจกรรมทางการตลาด ได้แก่ ความซื่อสัตย์ใน การชั่งตวงวัดในคุณภาพสินค้า และในราคาที่เป็นธรรม ส าหรับสหกรณ์คนงานนั้น ตลอดระยะเวลาของ ประวัติศาสตร์ ได้สร้างระบบความซื่อสัตย์ผ่านทางการจัดการที่เปิดเผย สหกรณ์ด้านการเงิน เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งใน เรื่องนี้ที่มีข้อพิสูจน์จากทั่วโลกในเรื่องการด าเนินงานที่ซื่อสัตย์โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการค านวณดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ตรงไปตรงมา สหกรณ์การเกษตร ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาก็เป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ได้เช่นกัน โดยพิจารณาจาก การประกันคุณภาพผลผลิตภายใต้ตราสินค้าที่ เชื่อถือได้ของสหกรณ์ นอกเหนือจากความซื่อสัตย์ที่สหกรณ์มีให้แก่มวลสมาชิกแล้วกับบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็มิได้มี ความย่อหย่อนกว่ากัน ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่จ าเป็นต้องมีข้อสงสัยในเรื่องของความล าเอียงที่มีต่อเรื่องความเปิดเผย เพราะสหกรณ์เป็นองค์การสาธารณะที่เปิดเผยข่าวสารที่เกี่ยวกับกิจกรรมของตนเสมอทั้งต่อสมาชิกเอง ต่อ สาธารณชน และต่อรัฐบาล เพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ค่านิยมทางจริยธรรมอีกประการหนึ่งมาจากความสัมพันธ์พิเศษที่มีอยู่ระหว่างสหกรณ์และชุมชน สหกรณ์เปิด กว้างส าหรับสมาชิกของชุมชน และมีพันธะสัญญาที่จะช่วยเหลือปัจเจกบุคคลในการช่วยเหลือ ตนเองสหกรณ์เป็น สถาบันที่มีความเป็นหนึ่งและมีแรงยึดเหนี่ยวกันอย่างแน่นแฟ้น ในชุมชนใดชุมชนหนึ่งหรือหลายชุมชนในเวลา เดียวกัน นับเป็นประเพณีปฏิบัติของสหกรณ์ที่จะตระหนักถึงคุณภาพชีวิต ของคนในชุมชนนั้นๆ การด าเนินงานใดๆ ของสหกรณ์จึงมีข้อผูกพันที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเต็มที่ ภายใต้ขอบเขตของก าลังเงินที่จะท าได้ สหกรณ์ จ านวนมากได้แสดงให้เห็นถึงความเอื้ออาทรที่มีต่อผู้อื่น มีการสนับสนุนทั้งก าลังคนและก าลังคนในการพัฒนาชุมชน ของตน มีการให้การสนับสนุนการพัฒนาสหกรณ์ในโลกส่วนที่ก าลังพัฒนาความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นเป็นสิ่งที่นัก สหกรณ์ทั้งหลายล้วนภูมิใจ และเป็นค่านิยมที่ส าคัญที่ต้องกล่าวไว้ด้วยประการหนึ่ง โดยสรุปแล้ว ความซื่อสัตย์ เปิดเผย รับผิดชอบต่อสังคม และเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ล้วนเป็นค่านิยมที่อาจจะพบอยู่ ในองค์การต่างๆ อยู่บ้างแต่ว่าค่านิยมเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เสมอในวิสาหกิจสหกรณ์ มีความแจ่มชัดต่อเนื่อง และไม่อาจปฏิเสธได้เลย หลักการสหกรณ์ (Cooperative Principles) สัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ (The International Cooperative Alliance : ICA) ได้แถลงการณ์ ของ ICA เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ เรื่อง เอกลักษณ์ของสหกรณ์ (Cooperative Identity) ให้ความหมายของหลักการ สหกรณ์ว่า “หลักการสหกรณ์ เป็นแนวทางที่สหกรณ์ยึดถือปฏิบัติเพื่อให้คุณค่าของสหกรณ์ เกิดผลเป็นรูปธรรม “The Co-operative principles are guidelines by which co-operatives put their values into Practice.”


๗ หลักการที่ ๑ การเป็นสมาชิกโดยสมัครใจและเปิดกว้าง (1st Principle : Voluntary and Open Membership) “สหกรณ์เป็นองค์การโดยสมัครใจที่เปิดรับบุคคลทุกคนซึ่งสามารถใช้บริการของสหกรณ์ได้ โดยปราศจากการ กีดกันทางเพศ สังคม เชื้อชาติ การเมือง หรือศาสนา และบุคคลนั้นต้องเต็มใจรับผิดชอบในฐานะสมาชิก” “Co-operatives are voluntary organization, open to all person able to use their Services and willing to accept the responsibilities of membership, without gender, social, racial,Political or religious discrimination.” ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๑ ๑.๑ สหกรณ์ให้ความส าคัญแก่คนซึ่งสมัครใจที่จะเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์หรือออกจากสหกรณ์ ๑.๒ สหกรณ์เปิดรับบุคคลซึ่งสามารถใช้บริการของสหกรณ์ และเต็มใจรับผิดชอบในฐานะสมาชิก โดย ปราศจากการกีดกันในเรื่องเพศ สังคม เชื้อชาติ การเมือง หรือศาสนา วิธีการน าหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๑ ไปใช้ ๑) การรับสมัครสมาชิกต้องเป็นไปโดยการเปิดกว้างไม่กีดกันในเรื่องของเพศ สังคม เชื้อชาติการเมือง หรือศาสนา ๒) การเข้าและออกจากการเป็นสมาชิก ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของ ตนเอง ไม่ใช่ เพราะถูกบีบบังคับหรือข่มขู่จากผู้อื่น ตนเองเป็นผู้ตัดสินใจโดยอิสระ ทั้งนี้ควรเกิดจากความเลื่อมใสในคุณค่าของ สหกรณ์และมองเห็นประโยชน์ที่ได้จากสหกรณ์ ๓) คุณสมบัติของสมาชิกจะถูกก าหนดไว้ในข้อบังคับของสหกรณ์ และสอดคล้องกับการ จัดตั้งสหกรณ์แต่ละประเภท ๔) การพิจารณาผู้ที่จะเป็นสมาชิกสหกรณ์ให้ได้สมาชิกที่มีคุณภาพจะก าหนด คุณสมบัติ และวิธีการรับสมัครที่ก าหนดไว้ในข้อบังคับของสหกรณ์ สหกรณ์อาจปฏิเสธการรับสมาชิก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความ เดือดร้อนแก่เพื่อนสมาชิกได้ หลักการที่ ๒ การควบคุมโดยสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย (2nd Principle: Democratic Member Control) “สหกรณ์เป็นองค์การประชาธิปไตยที่ควบคุมโดยมวลสมาชิก ซึ่งมีส่วนร่วม อย่างจริงจังในการก าหนด นโยบาย และการตัดสินใจของสหกรณ์ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนสมาชิกต้องมีความรับผิดชอบต่อ มวลสมาชิก สมาชิกของสหกรณ์ขั้นปฐมมีสิทธิออกเสียงเท่าเทียมกัน (หนึ่งคนหนึ่งเสียง) ส่วนสหกรณ์ในระดับอื่นก็ จัดให้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย” "Co-operatives are democratic organizations controlled by their members, who actively participate in setting their policies and making decisions. Men and women serving as elected representatives are accountable to the membership. In primary co-operatives members have equal voting rights (one member, one vote), and co-operatives at other levels are also organized in a democratic manner." ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๒ ๒.๑ สหกรณ์เป็นองค์การประชาธิปไตยที่ควบคุมโดยมวลสมาชิก ในการก าหนดนโยบาย การ ควบคุมดูแล และการตัดสินใจ โดยสมาชิกทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการออกเสียงลงมติหนึ่งคนหนึ่งเสียง (ในขั้น


๘ ปฐม) ใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน โดยไม่ค านึงถึงจ านวนหุ้นของสมาชิกแต่ละคน และไม่สามารถออกเสียงแทน กันได้ ๒.๒ สมาชิกทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ในการเลือกและรับเลือกเป็นกรรมการ เพื่อท าหน้าที่บริหารงาน สหกรณ์แทนสมาชิก วิธีการน าหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๒ ไปใช้ ๑) การออกเสียงหรือลงมติโดยยึดหลักเสียงข้างมากในการพิจารณาตัดสินใจ มีการ ก าหนดวิธีการออกเสียง ไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับ หรือระเบียบ เช่น การเลือกตั้ง หรือการถอดถอนกรรมการ ใช้เสียง ข้างมากของสมาชิกหรือตัวแทนสมาชิกที่มาประชุมใหญ่เป็นเกณฑ์ตัดสิน เว้นแต่ในกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ และการเลิกสหกรณ์ต้องออกเสียงไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓ ของ สมาชิกที่มาประชุมใหญ่ เป็นต้น ๒) สมาชิกมีสิทธิออกเสียงเท่าเทียมกันคนละหนึ่งเสียง และไม่สามารถออก เสียงแทนกันได้ หากผลการออกเสียงมีคะแนนเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มได้อีก ๑ เสียง เพื่อเป็น การชี้ขาด โดยไม่ละเลยเสียงข้างน้อย ๓) มีการก าหนดโครงสร้างสหกรณ์ แผนงาน งบประมาณประจ าปีของสหกรณ์ การจัดสรรก าไรสุทธิ โดยค านึงถึงโอกาสในการมีส่วนร่วมในการ แสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงได้สะดวก และ เป็นไปตามลักษณะของกิจกรรมในการด าเนินงาน ๔) การออกเสียงหรือการลงมติในสหกรณ์ระดับอื่นสามารถจัดการได้ตาม ความเหมาะสม แต่ต้องเป็นไปตามครรลองของวิถีประชาธิปไตย เช่น คะแนนเสียงของแต่ละสหกรณ์ที่เป็นสมาชิก ชุมนุมสหกรณ์ อาจต่างกันตามจ านวนของสมาชิกหรือปริมาณธุรกิจก็ได้ หลักการที่ ๓ การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจโดยสมาชิก (3rd Principle: Member Economic Participation) “มวลสมาชิกพึงร่วมทุนกับสหกรณ์ของตนอย่างเท่าเทียมกัน และควบคุมการใช้เงินทุน ตามวิถีประชาธิปไตย โดยปกติอย่างน้อยส่วนหนึ่งของทุน ต้องมีทรัพย์สินส่วนรวมของสหกรณ์ และ สมาชิกจึงได้ผลตอบแทนจากเงินทุน (ถ้ามี) อย่างจ ากัด ภายใต้เงื่อนไขของความเป็นสมาชิก เหล่าสมาชิกจะจัดสรรเงินส่วนเกินเพื่อจุดมุ่งหมายบางอย่าง หรือทั้งหมดดังต่อไปนี้ คือเพื่อพัฒนาสหกรณ์ของตนโดยอาจจัดเป็นกองทุนส ารองซึ่งอย่างน้อยส่วนหนึ่งจะไม่น ามา แบ่งปันกัน เพื่อจัดสรรประโยชน์ให้สมาชิกตามส่วนธุรกรรมที่ตนท ากับสหกรณ์ และเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอื่นๆ ที่ มวลสมาชิกเห็นชอบ” “Members contribute equitably to, and democratically control, the capital of their Cooperative. At least part of that capital is usually the common property of the co-operative. Members usually receive limited compensation, if any, on capital subscribed as a condition of Membership. Members allocate surpluses for any or all of the following purposes: developing Their co-operative, possibly by setting up reserves, part of which at least would be indivisible;benefiting members in proportion to their transactions with the co-operative; and supporting Other activities approved by the membership.”


๙ ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๓ ๓.๑ สมาชิกเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของสหกรณ์โดยการถือหุ้นในสหกรณ์ ซึ่งมูลค่าหุ้นใน สหกรณ์จะมีมูลค่าคงที่ และได้รับเงินปันผลในอัตราจ ากัด ๓.๒ การท าธุรกิจของสหกรณ์เป็นการมุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของสมาชิกเป็นหลักสหกรณ์ไม่ แสวงหาก าไรจากสมาชิกเพราะสมาชิกเป็นทั้งเจ้าของสหกรณ์ และ ผู้ใช้บริการ (Co-Owner and Customer) ๓.๓ เมื่อน าทุนที่รวมกันมาด าเนินธุรกิจจนมีก าไร หรือส่วนเหลื่อมทางธุรกิจแล้ว การจัดสรรก าไรสุทธิ ของสหกรณ์ ให้จัดสรรเป็นทุนส ารองก้อน ส่วนที่เหลือให้จัดสรรเป็นเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืนหรือทุนเพื่อสนับสนุน กิจกรรมอื่นๆ ที่สมาชิกเห็นชอบ วิธีการน าหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๓ ไปใช้ ๑ )สมาชิกต้องถือหุ้นในสหกรณ์เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นเจ้าของ และเพื่อสิทธิในการ ได้รับการบริการจากสหกรณ์ โดยได้รับผลตอบแทนจากการถือหุ้นในอัตราที่จ ากัด และ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข้า มาแสวงหาก าไรจากการถือหุ้นในสหกรณ์ จึงไม่ให้สมาชิกคนหนึ่งคนใด ถือหุ้นเกินหนึ่งในห้าของหุ้นทั้งหมด ๒) การจัดสรรเงินส่วนเกินสุทธิ (ถ้ามีก าไรสุทธิ) อันเกิดจากการด าเนินธุรกิจ ของสหกรณ์สหกรณ์อาจจะน ามาจัดสรรโดยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ คือเป็นเงินส ารองเพื่อขยายกิจการหรือ พัฒนาสหกรณ์ไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของก าไรสุทธิจ่ายเป็นเงินปันผลตามหุ้นที่ช าระแล้ว แต่ต้องไม่เกินอัตราที่ ก าหนดในกฎกระทรวงส าหรับสหกรณ์แต่ละประเภทจ่ายเป็นเงินเฉลี่ยคืนให้แก่สมาชิกตามส่วนธุรกิจที่สมาชิกได้ท า ไว้กับสหกรณ์ในระหว่างปีจ่ายเป็นเงินโบนัสแก่กรรมการและเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ไม่เกินร้อยละสิบของก าไรสุทธิ จ่ายเป็นทุนสะสมไว้ เพื่อด าเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดของสหกรณ์ ตามที่ก าหนดในข้อบังคับ หลักการที่ ๔ การปกครองตนเอง และความเป็นอิสระ ( 4th Principle: Autonomy and Independence) “สหกรณ์เป็นองค์การอิสระที่ช่วยตนเองภายใต้การควบคุมของสมาชิก หากสหกรณ์นั้นๆ ท าข้อตกลงร่วมกับ องค์การอื่นๆ รวมถึงรัฐบาล หรือแสวงหาทุนจากแหล่งภายนอกต้องมั่นใจได้ว่าการกระท าของสหกรณ์เช่นนั้นอยู่ ภายใต้การควบคุมแบบประชาธิปไตย โดยมวลสมาชิกรวมถึงด ารงความเป็นอิสระไว้ได้ “Co-operatives are autonomous, self-help organizations controlled by their Members. If they enter into agreements with other organizations, including governments, or raise Capital from external sources, they do so on terms that ensure democratic control by their Members and maintain their co-operative autonomy.” ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๔ ๔.๑ สหกรณ์มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก หมายถึง การบริหารจัดการโดยมีสิทธิและอ านาจใน การควบคุมการด าเนินงานสหกรณ์อย่างเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากการเมืองหรือภายนอก รวมทั้งน า หลักการบริหารแบบธรรมาภิบาลและการตรวจสอบควบคุมภายในที่ดีมาใช้ในการบริหารจัดการสหกรณ์เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการด าเนินงานสูงสุด ๔.๒ เป็นอิสระ หมายถึง การท านิติกรรมใดๆ รวมทั้งการท าสัญญาข้อตกลงกับหน่วยงานราชการ และหน่วยงานอื่นๆ สหกรณ์ต้องเป็นอิสระในการตัดสินใจตามเงื่อนไขที่สหกรณ์ยอมรับได้ ดังนั้นสหกรณ์ต้องด ารงไว้ ซึ่งอ านาจในการบริหารสหกรณ์ที่ได้รับมาจากมวลสมาชิกและต้องรักษาดุลยภาพในการบริหารเพื่อให้เกิด เสถียรภาพในการปกครองตนเอง


๑๐ วิธีการน าหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๔ ไปใช้ ๑) ในการปกครองตนเองต้องมีโครงสร้างการบริหารงานอย่างชัดเจน และมีระบบการ ตรวจสอบฝ่ายบริหาร โดยที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งผู้ตรวจสอบกิจการ ซึ่งอาจเป็นสมาชิกหรือบุคคลภายนอก หรือนิติ บุคคลก็ได้ ๒) การปกครองตนเองและความเป็นอิสระ สหกรณ์ต้องมีความสามารถ ในการดูแล ตนเองคุ้มครองตนเอง บริหารงานเอง และตัดสินใจในการด าเนินงานเองได้ โดยมวลสมาชิกตามมติที่ประชุมใหญ่ ๓) ความเป็นอิสระของสหกรณ์ต้องอยู่ภายใต้ข้อก าหนดแห้งกฎหมาย ๔) การท านิติกรรมใดๆ รวมถึงการได้รับความช่วยเหลือ สนับสนุนจากรัฐ หรือ บุคคลภายนอกต้องอยู่ในเงื่อนไขที่สหกรณ์ยอมรับได้ หลักการที่ ๕ การศึกษา ฝึกอบรม และสารสนเทศ (5th Principle: Education, Training And Information) “สหกรณ์จึงให้การศึกษา และการฝึกอบรมแก่บรรดาสมาชิก ผู้แทนจากการเลือกตั้ง ผู้จัดการ และ เจ้าหน้าที่ เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นสามารถช่วยพัฒนาสหกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิผล สหกรณ์จึงให้ข่าวสาร ความรู้แก่ประชาชน ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน และผู้น าทางความคิด เกี่ยวกับคุณลักษณะ และประโยชน์ของการสหกรณ์” "Co-operatives provide education and training for their members, elected representatives, managers, and employees so they can contribute effectively to the development of their cooperatives. They inform the general public-particularly young people and opinion leadersabout the nature and benefits of co-operation." ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๕ ๕.๑ มุ่งให้การศึกษาแก่สมาชิกและบุคคลทั่วไป รวมถึงผู้ที่จะเป็นสมาชิกสหกรณ์ให้มีความรู้และความ เข้าใจในสหกรณ์ รวมทั้งความส านึกในความเป็นเจ้าของ ตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกเพื่อการมีส่วนร่วมใน กิจกรรมสหกรณ์ให้พัฒนาอย่างยั่งยืน ๕.๒ มุ่งให้การฝึกอบรมแก่บุคลากรสหกรณ์พัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะ เพื่อให้การด าเนินงาน สหกรณ์มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ๕.๓ สารสนเทศมุ่งเน้นการให้ข่าวสารข้อมูลการประชาสัมพันธ์ แก่สาธารณชนในทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ทราบถึงประโยชน์ คุณลักษณะ ความเคลื่อนไหวในสหกรณ์ และการสร้างภาพพจน์ที่ดี วิธีการน าหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๕ ไปใช้ ๑) มีการจัดสรรก าไรสุทธิของสหกรณ์ เพื่อเป็นทุนการศึกษาอบรมอย่างเหมาะสม และ พอเพียงรวมทั้งสนับสนุนการศึกษาวิจัยทางสหกรณ์ด้วย ๒) มีการพัฒนาบุคลากรของสหกรณ์ในทุกระดับ เพื่อเพิ่มพูนความรู้อย่างเป็นระบบ และ ต่อเนื่อง ๓) มีการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารในรูปแบบสื่อต่างๆ เพื่อให้ความรู้ ความ เข้าใจและการสร้างทัศนคติที่ดีแก่สมาชิก เยาวชน ผู้น าทางความคิด และประชาชนทั่วไป ๔) มีคณะกรรมการการศึกษา ท าหน้าที่ในการจัดท าแผน และด าเนินการฝึกอบรม บุคลากรสหกรณ์และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์


๑๑ ๕) ควรมีแผนกสมาชิกสัมพันธ์ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของ สหกรณ์และรับฟังข้อคิดเห็นรวมทั้งข้อมูลที่ส าคัญจากสมาชิกเป็นการสื่อสารแบบสองทาง (Two-ways communication) หลักการที่ ๖ การร่วมมือระหว่างสหกรณ์ (6th Principle: Co-operation Among Co- operatives) “สหกรณ์จึงให้บริการแก่มวลสมาชิกอย่างเต็มที่ และสร้างความเข้มแข็งแก่ขบวนการสหกรณ์ โดยร่วมมือกัน เป็นขบวนการตามโครงสร้างระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และ ระดับนานาชาติ “Co-operatives serve their members most effectively and strengthen the co-Operative movement by working together through local, national, regional, and international Structures.” ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๖ ๖.๑ การร่วมมือระหว่างสหกรณ์ใช้หลักการเดียวกันกับการร่วมมือของมวลสมาชิก ซึ่งก่อให้เกิดการ ประหยัดด้วยขนาด ( Economy of scale) เพื่ออ านวยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมแก่สมาชิกอย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ขบวนการสหกรณ์ ๖.๒ สร้างขบวนการสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง มีการรวมตัวกันของสหกรณ์ ระดับท้องถิ่นเพื่อท า กิจกรรมหรือท าธุรกิจระหว่างกัน ไม่ใช่เป็นการแข่งขันกับสหกรณ์ด้วยกันเอง)จากนั้นให้มีการรวมตัวกันของสหกรณ์ ในแนวดิ่งขึ้นเป็นระดับชาติ ระดับภูมิภาคต่างๆ จนถึงระดับนานาชาติ วิธีการน าหลักสหกรณ์ข้อที่ ๕ ไปใช้ ๑) มีการรวมตัวกัน หรือเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างสหกรณ์ เช่น การรวมกันซื้อ การรวมกัน ขายหรือรวมถึงการฝากเงิน การกู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์ การใช้ปัจจัยการผลิต การสร้างเครื่องหมายการค้า การ ขนส่งร่วมกัน ฯลฯ ๒) สหกรณ์ในระดับเดียวกัน อาจมีการควบเข้ากันเป็นสหกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้น ๓) สหกรณ์ในระดับท้องถิ่นสามารถรวมกันจัดตั้งเป็นชุมนุมสหกรณ์ระดับจังหวัด และ ระดับชาติได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ให้เป็นเอกภาพ เพื่อแพร่ขยายอุดมการณ์สหกรณ์ คือ การช่วยตนเองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันไปสู่ทุกหนแห่งในโลก หลักการที่ ๗ การเอื้ออาทรต่อชุมชน (7th Principle: Concern for Community) “สหกรณ์จึงด าเนินงาน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของชุมชนของตน ตามนโยบายที่มวลสมาชิกให้ความเห็นชอบ” “Co-operatives work for the sustainable development of their communities Through policies approve by their members.” ประเด็นส าคัญของหลักการสหกรณ์ข้อที่ ๗ ๗.๑ สหกรณ์เป็นองค์การทางเศรษฐกิจและสังคม และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่สหกรณ์ตั้งอยู่ฉะนั้น การด าเนินการของสหกรณ์จึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชุมชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม การช่วยเหลือเกื้อกูลพึ่งพาอาศัย เอื้ออาทรกันระหว่างสหกรณ์กับชุมชนจะส่งผลให้การพัฒนาสหกรณ์และชุมชนเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน ๗.๒ สหกรณ์ฟังด าเนินกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต กิจกรรมการแปรรูป กิจกรรมทางสังคมต่างๆ เช่น ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่จ าเป็น สนับสนุนให้มีการลดการใช้สารเคมีการปลูกจิตส านึกเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม


๑๒ ๗.๓ อาศัยหลักภราดรภาพ หมายถึง การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติ อยู่อย่างมีแบบแผน มีความรัก ใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่น้อง เคารพกฎ กติกา ของสังคม มีความเป็นประชาธิปไตย ที่น ามาซึ่งสันติสุขของชุมชน วิธีการน าหลักสหกรณ์ข้อที่ ๒ ไปใช้ ๑) มีการจัดสรรก าไรสุทธิ เป็นทุนสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ๒) สนับสนุนกิจกรรมของชุมชนที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่าชุมชนการขุด ลอกแหล่งน้ า การสร้างศาลาชุมชน ฯลฯ ๓) การส่งบุคลากรสหกรณ์เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อประโยชน์ทางสังคมกับหน่วยงานอื่น ๔) การด าเนินกิจกรรมต่างๆ ของสหกรณ์ต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อ คุณค่าของสหกรณ์ (Co-operatives Values) เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ นักวิชาการสหกรณ์ และ ผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบันต่างๆ ได้ร่วมประชุมกันและให้ความหมายของอุดมการณ์สหกรณ์ว่าเป็นมีความสะดวก มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ยิ่งขึ้น สหกรณ์หลายสหกรณ์ก็อาจรวมกลุ่มกันในรูปชุมนุมสหกรณ์หรือสหกรณ์ขั้นสูงเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันใน ท านองเดียวกับบุคคลธรรมดารวมกลุ่มกันในสหกรณ์ขั้นปฐม จากความหมายดังกล่าวท าให้พอมองเห็นได้ว่า เมื่อกล่าวถึงอุดมการณ์สหกรณ์จะเห็นองค์ประกอบ ๒ ส่วน ส าคัญ คือ หนึ่ง จุดหมายปลายทาง ซึ่งได้แก่การกินดีอยู่ดี และมีสันติสุขของประชาชน สอง ก็คือ อุดมคติที่ยึดถือ เพื่อน าไปสู่จุดหมายปลายทางนั้นองค์ประกอบที่สองนี่เองดูจะเป็นสาระส าคัญที่มีบทบาทเด่นชัดในความหมายของ อุดมการณ์สหกรณ์ นั่นคือ การช่วยตนเอง โดยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Self help through mutual help)ที่ เป็นอุดมคติของนักสหกรณ์ที่จะต้องยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่น เป็นสิ่งที่นักสหกรณ์ผู้บุกเบิกสหกรณ์ได้ค้นพบว่านี่ แหละคือหัวใจ ขององค์การที่เรียกว่า “สหกรณ์” อีกทั้งยังได้รับการพัฒนาเป็นแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาชุมชน อุดม คติเกี่ยวกับการช่วยตนเอง และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นส าคัญ นอกจากความหมายของค าว่า อุดมการณ์ สหกรณ์แล้ว ยังมีค าว่าคุณค่าสหกรณ์ (Cooperative Values) ที่ใช้กันเป็นสากลซึ่งองค์การสัมพันธภาพสหกรณ์ ระหว่างประเทศได้ให้ความหมายไว้ว่า “สหกรณ์อยู่บนพื้นฐานแห่งคุณค่าของการช่วยตนเอง ความรับผิดชอบต่อตนเอง ความเป็นประชาธิปไตย ความ เสมอภาค ความเที่ยงธรรม และความเป็นเอกภาพ สมาชิกสหกรณ์เชื่อมั่นในคุณค่าทางจริยธรรมแห่งความสุจริต ความเปิดเผย ความรับผิดชอบต่อสังคมและความเอื้ออาทร ต่อผู้อื่นโดยสืบทอดประเพณีปฏิบัติของผู้ริเริ่มการ สหกรณ์ "Co-operatives are based on the values of self-help, self-responsibility, democracy,equality, equity and solidarity. In the tradition of their founders, co-operative members believe in the ethical values of honesty, openness, social responsibility and caring for others." คุณค่าของสหกรณ์แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนที่ ๑ คุณค่าที่เป็นพื้นฐานของสหกรณ์ ได้แก่ ๑) การช่วยตนเอง (Self-Help) ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่รวมกลุ่มกันตั้งสหกรณ์หรือที่สมัครเข้าเป็น สมาชิกภายหลังต้องมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยตนเองและกระท าทุกอย่างในทางที่ถูกที่ชอบ เพื่อช่วยตนเองให้ได้ทั้งใน การประกอบอาชีพและการด ารงชีพ ค าว่า “ตนเอง” ในที่นี้หมายถึง ครอบครัวของตนด้วยความขยันและประหยัด นับว่าเป็นบันไดขั้นต้นของการช่วยตนเอง กล่าวคือ ขยันในการท างานหรือประกอบอาชีพเพื่อหารายได้มาจับจ่ายใช้ สอย และประหยัดในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้มีเงินออมไว้ส าหรับลงทุนขยายกิจการงานของตน หรือส าหรับการใช้


๑๓ จ่ายอันจ าเป็น หรือฉุกเฉินในวันหน้า เมื่อทุกคนที่รวมกลุ่มกันมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยตนเอง และปฏิบัติตามหลักการ และวิธีการสหกรณ์ คือการร่วมมือกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เช่น การถือหุ้น และการ ฝากเงินในสหกรณ์จะช่วยให้สหกรณ์มีเงินทุนส าหรับให้เงินกู้แก่สมาชิกที่มีความจ าเป็นต้องใช้เงินเกินรายได้ของตน เป็นการชั่วคราว ในกรณีของสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือ สหกรณ์จะมีเงินทุนส าหรับจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์การเกษตรมา จ าหน่ายหรือรวบรวมผลิตผลจากสมาชิก เพื่อจัดการจ าหน่ายในกรณีของสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น การที่สมาชิกมี ความเต็มใจได้รับเลือกเป็นกรรมการด าเนินการของสหกรณ์ก็เป็นตัวอย่างของการร่วมมือช่วยเหลือกันในสหกรณ์ โดยมีมูลฐานมาจากการช่วยตนเอง กล่าวคือบรรดาสมาชิกเลือกผู้แทนเข้ามาบริหารสหกรณ์ในฐานะที่สหกรณ์เป็น องค์การของสมาชิก อนึ่ง การช่วยตนเองนี้ยังหมายถึง การช่วยตนเองของสหกรณ์แต่ละสหกรณ์ด้วยที่จะสามารถ ตั้งอยู่และด าเนินการเพื่อประโยชน์แก่สมาชิกได้ตามวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ และเพื่อให้การด าเนินงานมีความ สะดวก มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น สหกรณ์หลายสหกรณ์ก็อาจรวมกลุ่มกันในรูปชุมนุมสหกรณ์หรือ สหกรณ์ขั้นสูงเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในท านองเดียวกับบุคคลธรรมดารวมกลุ่มกันในสหกรณ์ขั้นปฐม ๒) ความรับผิดชอบต่อตนเอง (Self-Responsibility) เป็นหลักการพื้นฐานของการรวมกลุ่มบุคคล หลายคนเข้าเป็นสหกรณ์บุคคลทุกคนนั้นต้องมีจิตส านึกและตระหนักอยู่เสมอว่าการประพฤติปฏิบัติของตนจะต้อง จ ากัดอยู่ในขอบเขตแห่งสิทธิและหน้าที่ของตนเท่านั้น และ ต้องเคารพต่อสิทธิและหน้าที่ของผู้อื่นด้วย หากเกิด ความผิดพลาดหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่นโดยตั้งใจ หรือมิได้ตั้งใจก็ตามตนยอมรับผิดและชดใช้ความเสียหายด้วยความ เต็มใจเสมอ ความรับผิดชอบต่อตนเองจึงเป็นจิตส านึกของคนที่มีความระมัดระวังในการประพฤติปฏิบัติของตนให้ อยู่ในท านองคลองธรรม ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และหากเกิดขึ้นก็ยินดียอมรับผิดชดใช้ความเสียหาย โดย ไม่ต้องมีผู้ใดมาบังคับ ๓) ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นหลักการพื้นฐานที่สหกรณ์น ามาใช้ในการด าเนินงานและการ ควบคุมของสหกรณ์สหกรณ์จึงได้ชื่อว่าเป็นองค์การธุรกิจที่ด าเนินงานตามหลักประชาธิปไตย กล่าวคือสมาชิกใน ฐานะเจ้าของและผู้ได้รับประโยชน์จากสหกรณ์จะต้องมีส่วนร่วมในการด าเนินงานของสหกรณ์ด้วยความเต็มใจเสมอ เช่น การมีส่วนร่วมในการถือหุ้นในสหกรณ์ การใช้บริการของสหกรณ์ การเข้าประชุมใหญ่แสดงความคิดเห็น และ ออกเสียงลงคะแนน ในญัตติต่างๆ ตามหลักความเสมอภาค คือคนหนึ่งมีหนึ่งเสียง และให้ถือเสียงข้างมากเป็นมติ ของที่ประชุม เป็นต้น ๔) ความเสมอภาค (Equality) เป็นหลักการพื้นฐานอีกประการหนึ่งของสหกรณ์ ในการ รับรองความเท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกัน อย่างไรหรือไม่สมาชิก ทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบของสหกรณ์อย่างเท่าเทียมกันในการใช้บริการของสหกรณ์ หรือใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการประชุมของสหกรณ์ หรือสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการด าเนินการของสหกรณ์ หากมีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย และข้อบังคับของสหกรณ์ ๕) ความเที่ยงธรรม (Equity) เป็นหลักการพื้นฐานของสหกรณ์ในการจัดสรร และจ าแนกผลได้ทาง เศรษฐกิจหรือรายได้สุทธิหรือก าไรสุทธิที่เกิดจากการด าเนินงานของสหกรณ์อย่างเป็นธรรมและยุติธรรม เช่น การ จ ากัดอัตราเงินปันผลตามหุ้นไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป การจ่ายเงินเฉลี่ยคืนตามส่วนของธุรกิจที่สมาชิกได้ กระท ากับสหกรณ์ในระหว่างปี การจัดสรรเป็นทุนส ารองซึ่งถือว่าเป็นเงินทุนส่วนรวมของสมาชิกทุกคนซึ่งจะ แบ่งแยกมิได้ และการจัดสรรเป็นทุนเพื่อการศึกษาฝึกอบรมและทุนสาธารณประโยชน์ เป็นต้น ๖) ความเป็นเอกภาพ (Solidarity) เป็นหลักการพื้นฐานของสหกรณ์ในการช่วยให้สมาชิกสามารถช่วย ตนเองได้ นั่นคือความเป็นปึกแผ่นในการผนึกก าลังกันของสมาชิกทุกคน ไม่ว่า ก าลังกาย (แรงงาน) ก าลังความคิด (ปัญญา) และก าลังทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง) ความเป็นเอกภาพ ในสหกรณ์ในที่สุดก็หมายถึงความรัก ความสามัคคี


๑๔ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันนั่นเอง ทั้งใน ระดับบุคคลธรรมดา คือสมาชิกสหกรณ์ขั้นปฐมและระดับนิติบุคคลคือ สหกรณ์ประเภทต่างๆ ที่รวมตัวกันเป็นชุมนุมสหกรณ์ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับระหว่างประเทศ เป็น ต้น ส่วนที่ ๒ คุณค่าของการเป็นสมาชิกสหกรณ์ ๗) สมาชิกสหกรณ์จะต้องมีความซื่อสัตย์ (Honesty) สมาชิกจะต้องมีความซื่อสัตย์ หรือมีความภักดี (Loyalty) ต่อสหกรณ์ อุดหนุนธุรกิจของสหกรณ์ เช่น เป็นคนตรงต่อเวลา ไม่ผิดนัดช าระหนี้ไม่ขายผลิตผลให้ผู้อื่น ไม่ท าตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสหกรณ์ ๘) สมาชิกสหกรณ์จะต้องเป็นผู้ที่เปิดเผย (Openness) สมาชิกสหกรณ์จะต้องเป็นคนไม่มีลับลมคมใน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลของตน โดยไม่ปิดบังต่อสหกรณ์เกี่ยวกับการมีหนี้สิน การมีทรัพย์สินการมี ผลิตผลเหลือขาย การมีที่ดินท ากิน เป็นต้น ๙) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อสังคม (Social responsibility) การรับผิดชอบต่อสังคมของสมาชิก คือ คิดถึงหัวอกของคนอื่น ไม่ท าให้สังคมมีปัญหาไม่ท าตัวอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ท าลายสิ่งแวดล้อม ไม่ตัดไม้ท าลายป่าไม่ใช้ สารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่เผาขยะแห้งและซังข้าว ไม่ท าลายถนนให้ช ารุดเสียหาย ช่วยพัฒนาคูคลอง พัฒนาวัด โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีอนามัย และบ าเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ๑๐) สมาชิกสหกรณ์จะต้องเอื้ออาทรต่อผู้อื่น (Caring for others) การเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ได้แก่ การ เห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจรรยาบรรณ มีพรหมวิหารธรรมต่อผู้อื่น เช่น เอื้ออาทรต่อเด็ก คนชรา คนพิการเป็น ผู้ผลิตต้องเอื้ออาทรต่อผู้บริโภค ไม่เอาผักฉีดสารเคมีไปขาย เป็นผู้บริโภคต้องเอื้ออาทรต่อผู้ผลิต ไม่กดราคาสินค้า คุณค่าของการเป็นสมาชิกสหกรณ์ ในการตั้งมั่นอยู่ในคุณค่าทางจริยธรรมแห่งความซื่อสัตย์ เปิดเผยรับผิดชอบต่อ สังคม และเอื้ออาทรต่อผู้อื่นนั้น จะต้องเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดมาจากผู้ริเริ่มการสหกรณ์ด้วย ข้อเปรียบเทียบระหว่างสหกรณ์กับองค์กรธุรกิจรูปอื่น ๑. สหกรณ์กับห้างหุ้นส่วน บริษัทจ ากัด ๑.๑ วัตถุประสงค์ การรวมกันเป็นสหกรณ์มีความมุ่งหมายเพื่อต้องการให้บริการแก่สมาชิกเป็นส่วนใหญ่ ส่วนบริษัทจ ากัดและห้างหุ้นส่วนรวบรวมผู้ถือหุ้นจัดตั้งขึ้น เพื่อท าการค้ากับบุคคลภายนอก ๑.๒ ลักษณะการรวม สหกรณ์เป็นองค์กรของผู้มีก าลังทรัพย์น้อย ไม่อาจถือเอาทุนเป็นหลักในการรวมได้ สหกรณ์ถือว่าการรวมคนเป็นหลักส าคัญ และเพื่อให้กลุ่มคนที่รวมกันมีก าลังเข้มแข็ง สหกรณ์จึงต้องมีการก าหนด และคัดเลือกลักษณะตลอดจนคุณสมบัติของสมาชิกที่จะเข้าร่วมในสหกรณ์ ส่วนในบริษัทจ ากัดและห้างหุ้นส่วนนั้น ถือหลักการรวมทุนเป็นส าคัญ บุคคลที่มีเงินสามารถเข้าถือหุ้นของบริษัทได้ ไม่เลือกว่าบุคคลนั้นจะมีลักษณะนิสัย อย่างไรหรืออยู่ใกล้ไกลเพียงใด ส่วนการรวมกันของบริษัทจ ากัด หรือห้างหุ้นส่วนเป็นการรวมผู้ที่มีก าลังทรัพย์อยู่ แล้ว ให้มีจ านวนทุนมากขึ้นในการน าไปลงทุนเพิ่ม มีจุดมุ่งหมายในการแสวงหาก าไรสูงสุด ๑.๓ หุ้นและมูลค่าหุ้น หุ้นของสหกรณ์ไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องก าหนดจ านวนทุนเรือนหุ้นไว้ก่อนที่จะ จดทะเบียนเป็นสหกรณ์ ดังนั้น สหกรณ์จึงมีหุ้นที่จะจ าหน่ายให้แก่สมาชิกใหม่อยู่เสมอ ราคาหุ้นของสหกรณ์จะคงที่ มูลค่าหุ้นของสหกรณ์ มักก าหนดไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีก าลังทรัพย์น้อยเข้าเป็นสมาชิกได้ ส าหรับหุ้นของบริษัท จ ากัด กฎหมายบังคับให้ต้องก าหนดจ านวนทุนเรือนหุ้น และต้องมีผู้จองหุ้นไว้ครบจ านวนก่อนขอจดทะเบียนตั้งขึ้น เป็นบริษัทด้วยเหตุนี้ถ้ากิจกรรมของบริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงก็มีผู้ต้องการซื้อหุ้นของบริษัทจึงอาจขึ้นลงได้ เหมือนสินค้าอย่างหนึ่ง นอกจากนี้มูลค่าหุ้นของบริษัทมักก าหนดไว้สูงเพื่อให้เงินทุนตามจ านวนที่ต้องการโดยคนถือ หุ้นจะมีจ านวนมากหรือน้อยไม่ถือเป็นข้อส าคัญ


๑๕ ๑.๔ การควบคุมและการออกเสียง สหกรณ์ถือหลักการรวมคนจึงให้ความเคารพต่อสิทธิของบุคคลเป็น ส าคัญ ด้วยเหตุนี้สมาชิกของสหกรณ์ทุกคนไม่ว่าจะถือหุ้นมากหรือน้อยย่อยมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนให้สหกรณ์ได้ คนละหนึ่งเสียงเหมือนกันหมดยกเว้นผู้แทนสหกรณ์ในระดับชุมนุมสหกรณ์อาจให้มีเสียงเพิ่มขึ้นตามระบบสัดส่วน ตามที่ก าหนดในข้อบังคับของชุมนุมสหกรณ์นั้นก็ได้ (มาตรา ๑๐๖) และสมาชิกต้องมาใช้สิทธิออกเสียงด้วยตนเอง จะมอบให้บุคคลอื่นมาออกเสียงแทนไม่ได้ ดังนั้นอ านาจในสหกรณ์จึงตกอยู่กับเสียงข้างมากของสมาชิก ส่วนบริษัท จ ากัด และห้างหุ้นส่วน ซึ่งถือหลักการรวมทุนจึงให้ความเคารพในเงินทุนค่าหุ้นเป็นส าคัญ โดยการให้สิทธิออกเสียง ตามจ านวนหุ้นที่ถือ และยังสามารถมอบให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาออกเสียงแทนได้ อ านาจในบริษัทจึงตกอยู่กับผู้ถือ หุ้นมาก กล่าวคือทุนมีบทบาทในการประชุมด้วยนั่นเอง ๑.๕ การแบ่งก าไร จากการที่สมาชิกท าธุรกิจซื้อขายกับสหกรณ์จึงท าให้เกิดก าไรหรือเงินส่วนเกินขึ้น ดังนั้นการแบ่งก าไรของสหกรณ์จึงเท่ากับการจ่ายคือส่วนที่สหกรณ์รับเกินให้สมาชิกในรูปการจ่ายเงินเฉลี่ยคืน ตาม ส่วนแห่งปริมาณธุรกิจที่สมาชิกท ากับสหกรณ์และจ านวนหุ้นที่ถือ ส าหรับบริษัทจ ากัดจะท าการติดต่อซื้อขายกับ บุคคลภายนอกสมาชิกบริษัทลงทุนถือหุ้นในบริษัทจ ากัด หรือห้างหุ้นส่วนจ ากัด จึงถือหลักการแบ่งเงินปันผลตามหุ้น ที่ถือ ไม่ได้ค านึงถึงว่าผู้ถือหุ้นจะมีการติดต่อซื้อขายกับบริษัทหรือไม่ ตารางแสดงข้อดี – ข้อเสียของรูปแบบสหกรณ์ ข้อดี ข้อเสีย ๑. สมาชิกจะได้ซื้อสินค้าราคาถูก และจ าหน่ายสินค้า ของสมาชิกโดยมิต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ๑. การระดมทุนท าได้ยาก สมาชิกส่วนใหญ่มักมีเงินทุน จ ากัด ๒. สมาชิกได้รับความรู้และได้รับการสนับสนุนในการ ประกอบอาชีพ ๒. การจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้เข้ามาด าเนินงานใน สหกรณ์มีจ ากัด จึงท าให้ประสบปัญหาด้านการจัดคนที่มี ประสบการณ์เขามาบริหารจัดการ ๓. ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ตลอดจนเงิน ปันผลที่สมาชิกได้รับก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ๓. เลิกกิจการได้ง่าย ถ้าสมาชิกไม่ให้ความร่วมมือกัน อย่างจริงจัง ตารางแสดงข้อดี – ข้อเสียของรูปแบบองค์กรบริษัท ข้อดี ข้อเสีย ๑. สามารถระดมทุนได้มาก เพิ่มทุนโดยการออกหุ้นและ น ามาขายเพิ่ม ๑. มีขั้นตอนฝนการจัดตั้งยุ่งยาก มีกฎเกณฑ์บังคับมาก ๒. มีความมั่นคงกว่าเจ้าของกิจการคนเดียวและธุรกิจ แบบห้างหุ้นส่วน ๓. มีการแข่งงานกันท าตามหน้าที่ การท างานเป็นระบบ ๔. สามารถเปลี่ยนเจ้าของง่าย โดยการเข้าซื้อหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์ ๕. ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจ ากัดในหนี้สินของบริษัท ๒. มีอิสระในการด าเนินกิจการน้อยกว่าองค์กรธุรกิจ รูปแบบอื่น เมื่อต้องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ บริษัท จะต้องหารือในที่ประชุม และการเปลี่ยนแปลงบาง ประการจะต้องแจ้งต่อส านักงานพาณิชย์จังหวัด หรือกรม พัฒนาธุรกิจการค้าด้วย


๑๖ ตารางเปรียบเทียบการด าเนินงานระหว่าง สหกรณ์ กับ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท จ ากัด ลักษณะ สหกรณ์ ห้างหุ้นส่วน/บริษัท จ ากัด วัตถุประสงค์ ด าเนินธุรกิจและบริการเพื่อช่วยเหลือ สมาชิกในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด าเนินธุรกิจเพื่อการค้า ทุรกิจกับ บุคคลภายนอกเพื่อแสวงหาก าไรให้มาก ที่สุด ลักษณะการรวมกัน มุ่งด้านการรวบรวมคนมากกว่าทุน มุ่งด้านการรวบรวมทุนต้องการทุนในการ ด าเนินงานมาก หุ้นและมูลค่าหุ้น ราคาหุ้นคงที่และมีอัตราต่ าเพื่อให้ทุกคน สามารถเข้าถือหุ้นได้ หุ้นมีจ านวนไม่จ ากัด ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงตามฐานะของ กิจการ จ านวนหุ้นมีจ ากัด การควบคุม และ การออกเสียง ควบคุมตามแบบประชาธิปไตย สมาชิกออก เสียงได้คนละหนึ่งเสียง (ยกเว้นระดับชุมนุม สหกรณ์) และออกเสียงแทนกันไม่ได้ ออกเสียงได้ตามจ านวนหุ้นที่ถือและออก เสียงแทนกันได้ การแบ่งก าไร การแบ่งก าไรจะแบ่งตามความมากน้อยของ การท าธุรกิจกับสหกรณ์ และจ านวนหุ้นที่ถือ การแบ่งก าไร แบ่งตามจ านวนหุ้นที่ถือ ถือหุ้นมากได้เงินปันผลคืนมาก ๒. สหกรณ์กับรัฐวิสาหกิจ การด าเนินงานของรัฐวิสาหกิจ จะด าเนินการโดยรัฐบาลหรือในนามของรัฐบาลไม่ใช่ กิจกรรมของเอกชน งานของรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องสาธารณูปโภค เช่น การรถไฟ การสื่อสาร ไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ เป็นต้น กิจการเหล่านี้มุ่งในด้านให้สวัสดิการแก่ประชาชน ส่วนสหกรณ์นั้นเป็นของ สมาชิกด าเนินธุรกิจ เพื่อต้องการจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแก่สมาชิก ๓. สหกรณ์กับองค์กรการกุศล องค์กรการกุศลมีจุดมุ่งหมายเพื่อสงเคราะห์ผู้ยากจนหรือทุพพลภาพให้พ้นจาก ความยากล าบาก เป็นการช่วยเหลือจากภายนอก ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมให้ช่วยตนเอง จึงอาจจะท าให้ผู้ได้รับการ สงเคราะห์มีลักษณะนิสัยอ่อนแอลงไปอีก ส่วนสหกรณ์นั้นส่งเสริมให้สมาชิกมีลักษณะนิสัยเข้มแข็งนอกจากนี้ ประโยชน์ที่ได้รับจากสหกรณ์ย่อมถาวรกว่าการช่วยเหลือขององค์กรการกุศล ๔. สหกรณ์กับสหภาพแรงงาน ในสภาพแรงงานบรรดาลูกจ้างจะรวมกันโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้เกิดก าลังเป็น ปึกแผ่น เพื่อต่อรองกับนายจ้างในเรื่องผลประโยชน์ของการท างานหรือสวัสดิการของลูกจ้าง บางครั้งอาจใช้วิธีการ รุนแรงเพื่อบังคับให้นายจ้างปฏิบัติตามที่ลูกจ้างเรียกร้อง ส าหรับการร่วมมือกันแบบสหกรณ์นั้นสมาชิกจะร่วมมือกัน จัดการประกอบการขึ้น แล้วสมาชิกก็อาศัยบริการนั้นให้เป็นประโยชน์แก่อาชีพหรือการครองชีพของสมาชิกร่วมมือ กันการท างานของสหกรณ์เป็นวิธีการที่ไม่ก่อความเดือดร้อนหรือเรียกร้องให้ใครช่วยแต่จะติดต่อกับบุคคลภายนอก เกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายตามปกติ แนวความคิดที่ส าคัญทางสหกรณ์ ถวิล เลิศประเสริฐ (๒๕๒๓ : ๑๓-๑๕) ได้รวบรวมแนวคิดส าคัญที่เกี่ยวกับสหกรณ์ โดยเห็นว่าส านักต่างๆ อาจมีความแตกต่างกันบางประการเกี่ยวกับจุดยืนของสหกรณ์ เรื่องประชาธิปไตย และแนวคิดในการจัดการ ซึ่งอาจ แบ่งเป็น ๕ ส านักใหญ่ ๆ ดังนี้ ๑. ส านักวิสาหกิจสหกรณ์(The Cooperative Enterprise School) บางทีเรียกว่า “Pace Makers” หรือ “Cooperative Yardstick School” ความคิดของส านักนี้ถือว่าสหกรณ์เป็นสมาคมแห่งความสมัครใจของหน่วย เศรษฐกิจอิสระ สมาชิกเป็นผู้จัดตั้ง ลงทุน จัดการ เป็นเจ้าของ และด าเนินการเพื่อประโยชน์ของสมาชิกผู้อุดหนุน


๑๗ สหกรณ์มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้า ปกป้อง คุ้มครอง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและชาวนา ผู้น า ค ว ามคิดที่ ส าคัญ ได้แก่ ชุลซ์ เดลิท ซ์ (Hermann Schulze-Delitzsch) ไรฟ์ไฟเซน (Friedrich Wilhelm Raiffeisen) พลังเกตต์ (Horace Plankett) เป็นต้น ๒. ส านักจักรภพสหกรณ์ (The Cooperative Commonwealth School) แนวคิดส านักนี้เกิดมาพร้อมๆ กับการก าเนิดของลัทธิสังคมนิยม ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ที่ไม่ได้พอใจกับการร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตาม วิธีของสหกรณ์เท่านั้น แต่มีวัตถุประสงค์ระยะยาวที่จะขจัดการแข่งขัน และก าจัดระบบทุนนิยม เห็นว่าสหกรณ์ควร มีจุดมุ่งหมายครอบคลุมทุกด้าน และแทรกซึม กิจกรรม ทั้งมวลแห่งชีวิต ความคิดนี้ถือเป็นอุดมการณ์ ความใฝ่ฝัน อันสูงสุด แต่ไม่มีการน ามาปฏิบัติเป็นจริงเป็นจังในสมัยนี้ แต่ก็มีการจัดสหกรณ์แบบเบ็ดเสร็จในชุมชนบางประเทศ เช่น นิคมแบบคิบบุตซ์ (Kibbutz Settlement) ในอิสราเอล เป็นต้น ผู้น าส าคัญตามแนวคิดนี้ ได้แก่ โอเวน (Robert Owen) แซงค์ ซิมอง (Henry Saint Simon) ฟู ริเอ ร์ (Charles Fourier)บ ลังก์ (Louis Blanc) จืด (Charles Gide) เป็นต้น ๓. ส านักทุนนิยมแปลงรูป (The School of Modified Capitalism) แนวคิดส านักนี้เชื่อว่าโดยเนื้อแท้ สหกรณ์เป็นทุนนิยม และท าหน้าที่หลักในการควบคุมระบบทุนนิยม และฉุดรั้งไม่ให้เติบกล้า เกินไป ขณะเดียวกัน สหกรณ์จะช่วยดึงดูดนักลงทุน สถานการณ์ที่เศรษฐกิจไม่ดี ไม่มีก าไรแน่นอน สหกรณ์ไม่ควรขจัดก าไร แต่พยายาม ให้ทุกคนเป็นนักค้าก าไร การสหกรณ์จึงเป็นลัทธิทุนนิยม แปลงรูป ผู้สนับสนุนส่วนใหญ่อยู่อเมริกาเหนือ ๔. ส านักสหกรณ์สังคมนิยม (The Socialist Cooperative School) นักสหกรณ์ส านักนี้ เชื่อว่าสหกรณ์เป็น สถาบันสังคมนิยม สหกรณ์เป็นสถาบันสาธารณะ หรือเป็นหุ้นส่วนย่อยของรัฐ ซึ่งมีการวางแผนจากส่วนกลาง สหกรณ์ช่วยเสริมกิจการของรัฐวิสาหกิจ ส านักนี้ยึดแนวทฤษฎีของมาร์กซ - เลนิน (Marxist -Leninist) ซึ่งเชื่อว่า สหกรณ์เป็นก้าวส าคัญในการสนับสนุนความก้าวหน้าของลัทธิสังคมนิยม โดยใช้สหกรณ์เป็นเครื่องมือเปลี่ยนระบบ เศรษฐกิจจากทุนนิยมไปสู่สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ในที่สุด ส านักนี้ครอบคลุมประเทศในยุโรปตะวันออก และ ประเทศที่ก าลังพัฒนา อีกหลายประเทศ ๕. ส านักภาคสหกรณ์(The Cooperative Sector School) แนวคิดนี้เห็นว่า สหกรณ์เป็นองค์ประกอบของ ภาคเศรษฐกิจที่มีลักษณะพิเศษในตัวของมันเอง แตกต่างจากธุรกิจเอกชน และ รัฐวิสาหกิจของรัฐบาล แต่มีลักษณะ บางอย่างของทั้งธุรกิจเอกชน และรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลผสมกัน สหกรณ์จึงเป็นส่วนประกอบหนึ่งในสามส่วนของ ระบบเศรษฐกิจ ที่ต้องอยู่ร่วมกัน ผู้น าในส านักนี้ ได้แก่ ดร.ยอร์ช โฟเกต์ ซึ่งมีผู้สนับสนุนแนวคิดนี้อย่างมาก จากแนวคิดสหกรณ์ที่มีความแตกต่างกันนี้ น่าจะยอมรับได้ว่า ที่แท้จริงสหกรณ์มีได้ทั้งในระบบเศรษฐกิจ สังคมนิยม หรือทุนนิยม สอดคล้องกับความคิดของศาสตราจารย์เปรอสส์ และ ลาแวร์น (W. Preuss and Bernhard Lavergne) ว่า “การสหกรณ์ หมายถึง สหกรณ์อิสระที่ตัดสินนโยบายเศรษฐกิจของตนเองและสหกรณ์ที่ ด าเนินการโดยรัฐ ซึ่งได้ก าหนดเป้าหมายเศรษฐกิจไว้ แน่นอน ภายใต้การวางแผนระดับชาติของรัฐบาล” สหกรณ์กับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความสอดคล้องระหว่างการสหกรณ์กับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงปรัชญาของเศรษฐกิจแบบพอเพียง เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยชะลอและหยุดยั้ง ความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยของประชาชน ให้รู้จักด ารงตนอยู่บนความ พอเพียง ความพอประมาณ มีเหตุผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองภายใต้เงื่อนไขความรู้คู่คุณธรรมน าไปสู่ชีวิต เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สมดุล มั่นคง ยั่งยืน ซึ่งมีเป้าประสงค์ที่สอดคล้องกับอุดมการณ์สหกรณ์ ที่ต้องการให้ ประชาชนมีการกินดีอยู่ดี มีความเป็นธรรม และสันติสุขในสังคมโดยการช่วยตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน


๑๘ ที่มา : https://www.cpd.go.th/king9.html ตารางเปรียบเทียบความสอดคล้องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักการสหกรณ์ เศรษฐกิจพอเพียง การสหกรณ์ พอประมาณ อุดมการณ์ช่วยตนเอง ขยัน ประหยัด หลักการสหกรณ์ข้อ ๓ (จ ากัดอัตราการ จ่ายเงินปันผล อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก อัตราดอกเบี้ยเงินกู้) มีเหตุผล หลักการสหกรณ์ ๗ ข้อ ภูมิคุ้มกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การออม การจัดสรรเงินส ารอง หลักการสหกรณ์ ข้อ ๓,๕,๖ ความรู้ หลักการสหรณ์ข้อ ๕ คุณธรรม คุณค่าของสหกรณ์ รับผิดชอบต่อตนเอง ความเสมอภาค จริยธรรมแห่งความสุจริต ความรับผิดชอบต่อสังคม ซื่อสัตย์ เสียสละ สามัคคี มีวินัย หลักการ สหกรณ์ข้อ ๗ สหกรณ์อยู่บนทางสายกลางของระบบเศรษฐกิจที่มีอุดมการณ์แห่งการช่วยตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีคุณลักษณะของความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล และการมีภูมิคุ้มกัน ในตัวที่ดี โดยอาศัยความรู้ สร้างภูมิปัญญา ให้สมาชิกร่วมกันคิดวางแผน ร่วมกันรับผิดชอบ คู่คุณธรรมที่สั่งสมจาก ประสบการณ์ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นองค์ประกอบในการพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบ น าไปสู่การปฏิบัติด้วยความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน และแบ่งปันประโยชน์ต่อสมาชิกและสังคม เพื่อความ สมดุล มั่นคง และยั่งยืนต่อการด ารงชีวิตอย่างพอเพียงที่ส าคัญที่สุดทุกคนควรเข้าใจ “ค านิยาม” ว่าความพอเพียง จะต้องประกอบด้วย ๓ ห่วง และ ๒ เงื่อนไข โดย ๓ ห่วง คือ ๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและ ผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ ๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดย พิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนค านึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระท านั้นๆ อย่างรอบคอบ ๓. การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะ เกิดขึ้นโดยค านึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในอนาคตทั้งใกล้และไกล


๑๙ ส่วน ๒ เงื่อนไข คือ การตัดสินใจและการด าเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ระดับพอเพียง นั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน ประกอบด้วย - เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านความรอบคอบ ที่จะน าความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนปฏิบัติ - เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการด าเนินชีวิตกระบวนการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการ ขับเคลื่อนจากครอบครัวพอเพียง เลี้ยงชุมชน ชุมชนพอเพียง เลี้ยงประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายให้บุคคล ชุมชน ประเทศชาติ มีภูมิคุ้มกัน สามารถด าเนินชีวิตได้ในทุกสถานการณ์


๒๐ ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Industrial_Revolution บทที่ ๒ ประวัติศาสตร์สหกรณ์สากล และ ประวัติศาสตร์สหกรณ์ไทย ประวัติศาสตร์สหกรณ์สากล จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สหกรณ์สากล อยู่ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญ คือ การปฏิวัติทางอุตสาหกรรม (The Industrial Revolution) อันเป็นผลมาจากการค้นคิดประดิษฐ์เครื่องจักรไอ น้ า และพัฒนาไปสู่พัฒนาการอื่นๆ เช่น การใช้เป็นเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการ ทอผ้าในอังกฤษ) การใช้เป็นเครื่องจักรไอน้ าส าหรับรถไฟในการคมนาคมทางบก การใช้เป็นเครื่องจักรส าหรับเรือกล ไฟ ในการคมนาคมทางน้ า ซึ่งท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คือเกิด ภาวการณ์ว่างงาน (Unemployment) และ เศรษฐกิจ ตกต่ า (Depression) การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงครั้งนี้ เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ในมณฑลแลงแคชเชอร์ (Lancashire) ต้องประสบกับปัญหาความเดือดร้อนอย่างมาก ชื่อได้ว่าเป็นทศวรรษแห่งความหิวโหย (The hungry Forties) คนงานชายหญิงและเด็กต้องท างานตั้งแต่เวลา 5 นาฬิกา ถึง เวลา ๑๘ นาฬิกา โดยได้รับค่าจ้างเพียง เล็กน้อย ความอดอยากกระจายออกไปในแทบจะทุกกลุ่มของสังคมแต่กลุ่มคนที่เดือดร้อนที่สุดได้แก่ช่างทอผ้า สักหลาดเพราะได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าของโรงงานทอผ้าสักหลาดน าเอาเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคน (Disrupt technology) และมีการปลดคนงานออกจากโรงงาน ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยต้องเลิกล้มกิจการไป สภาพสังคมทั่วไปมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น ๒ ฝ่าย ผู้ประกอบการ/เจ้าของกิจการ จึงเป็นกลุ่มนายทุน คหบดี และ ฝ่ายกรรมกร โดยเป็นรอยต่อระหว่างระบบทุนนิยม (Capitalism) กับ ระบบพาณิชยนิยม (Merchantilism)นายทุน พยายามแสวงหาก าไรจากการลงทุนมากที่สุด มีการผลิตที่ได้ผลผลิตจ านวนมาก ลดต้นทุน ให้ได้ก าไรมากที่สุด จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ แม้จะมีข้อดีคือท าให้เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษเติบโตอย่าง รวดเร็ว และมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ก็ได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมที่ต้องแก้ไข ตามมา เช่น ปัญหาการว่างงานอันเนื่องมาจากการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบของ นายจ้างต่อลูกจ้างเนื่องจากมีแรงงานส่วนเกินจ านวนมาก ปัญหาความเสื่อมโทรมของสังคมอันเนื่องมาจากการ ว่างงาน ผลกระทบดังกล่าวมิใช่มีเฉพาะในกลุ่มคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้าเท่านั้น เพราะแม้แต่ ชาวประมง และเกษตรกร ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย สถานการณ์เช่นนี้มีอยู่ทั่วไปในยุโรป แต่รุนแรง มากที่สุดในประเทศ อังกฤษ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม


๒๑ Adam Smith ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/ บรรดากรรมกรที่ถูกบีบคั้นทั้งหลายจึงร่วมกันแสวงหาหนทางที่จะปลดเปลื้องความยากจนของพวกตน ประกอบกับเวลานั้นมีผู้น าทางความคิด นักเศรษฐศาสตร์ที่มีความคิดอยากจะช่วยพยุงฐานะของสังคมให้ดีขึ้น ได้ เสนอแนวทางปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม มีกลุ่มต่างๆ เกิดขึ้นมีชื่อเรียกต่างๆ กันและ ด าเนินกิจกรรมต่างๆ กัน เกิดความพยายามหลายรูปแบบ ในแนวความคิดด้านกระแสทุนนิยมในขณะนั้นอาจจัด ออกได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่เห็นว่าทุน นิยมเป็นความชั่วร้ายของสังคมที่ควร ท าลายล้างให้หมดสิ้นไป เรียกว่าเป็นกลุ่มที่มีความคิดในเชิงปฏิวัติ (Revolution) ซึ่งเป็นรากเหง้าของลัทธิสังคม นิยมแบบมาร์คซ์-เลนิน (Marxism-Leninism) กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ยังมองเห็นส่วนดีของทุนนิยมว่าเป็นระบบที่เกื้อหนุน ต่อการพัฒนาความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ แต่ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมเนื่องจากยังมีรากฐานความคิดที่เป็นปัจเจกบุคคลนิยม (Individualism) อยู่สูงควรจะปรับไปสู่ความคิดที่เป็นสมาคมนิยม (Associationism) มากขึ้น กลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่มที่มี ความคิดในเชิงปฏิรูป (Reformation) ซึ่งเป็นพื้นฐานของความคิดแบบสหกรณ์นิยม (Cooperativism) เช่น อดัม สมิธ (Adam Smith: ๑๗๒๓ - ๑๗๙๐) ซึ่งเขียนหนังสือชื่อ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nations)ในปี ค.ศ. ๑๗๗๖ ซึ่งสนับสนุนการประกอบการอย่างเสรีโดย เอกชน การแบ่งงานกันท าตามความถนัดโดย ที่รัฐบาลควรมีบทบาทแต่น้อย จึงได้มีผู้พยายามที่จะหาทางช่วยเหลือและแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวให้ดีขึ้น ด้วย วิธีการต่างๆ เช่น ท าการแจกอาหารในหมู่คนยากคนจน หรือตั้งโรงงานท าขนมปังเพื่อน าออกขายในราคาถูก หรือไม่ ก็ตั้งนิคมการเกษตรเพื่อผลิตอาหารส าหรับเลี้ยงคนงานเองหรือตั้งร้านค้าคล้ายๆ กับร้านสหกรณ์ในปัจจุบัน บุคคลแรกที่ท าให้คนทั่วไปรู้จักค าว่า “สหกรณ์” คือ โรเบอร์ต โอเวน(Robert Owen) ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้ก าเนิด การสหกรณ์ขึ้นในโลก และได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งการสหกรณ์” โอเวนเกิดที่เมืองนิวทาวน์ (Newtown) เขตมอนโกเมอรีเชียร์ (Montgomeryshire) ต อน ก ล างข องแ ค ว้น เว ล ส์ (Wales) ประเทศอังกฤษ(United Kingdoms) เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ.๑๗๗๑ เป็นบุตรคนที่หกในมารดาพี่น้องทั้งหมดเจ็ดคน บิดา เป็นช่างท าอานม้า และ ค้าขายเครื่องเหล็ก ส่วนมารดาของเขา Karl Marx Vladimir Lenin


๒๒ มาจากครอบครัวเกษตรกรที่ร่ ารวยครอบครัวหนึ่งของเมืองนิวทาวน์ โอเว่นได้เข้าเรียนในท้องถิ่นและจบการศึกษาขั้นต้น ตอนอายุได้ ๙ ขวบ แม้ว่าเขาไม่ได้จบการศึกษา ขั้นสูงแต่มีความเฉลียวฉลาดอ่านเขียนได้ เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ โอเว่นถูกส่งไปเป็นเด็กฝึกงานกับธุรกิจเสื้อผ้าขนาดใหญ่ ในเมืองสแตมฟอร์ด และหลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กับร้านเสื้อผ้าอื่นๆ ในกรุงลอนดอนอีกประมาณ ๓ - ๔ ปีก็ได้ย้ายไปตั้งหลักปักฐานที่เมืองแมนเชสเตอร์ในฐานะลูกจ้างของแซทเทอร์ฟิลด์ พ่อค้าขายส่งและขายปลีกเสื้อผ้า โอเวนประสบความส าเร็จอย่างรวดเร็ว เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี เขาได้เป็นหุ้นส่วนของกิจการโรงงานปั่นฝ่ายที่ แมนเชสเตอร์ที่มีคนงานประมาณ ๕๐๐ คน ต่อมาโรงงานของโอเวนได้กลายเป็นโรงงานที่ดีที่สุดในบริเทนใหญ่ โอ เวนได้พัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของเครื่องปั่นฝ้าย และถือว่าโอเวนเป็นช่างปั่นฝ้ายคนแรกในอังกฤษ ใน ค.ศ. ๑๗๙๕ โอเว่นได้ลาออกมาเป็นหุ้นส่วนในการจัดตั้งโรงงานทอผ้า โดยท าหน้าที่เป็นผู้จัดการ โรงงานชอร์ลตัน ทวิสท์ คัมปานี ต่อมาเมื่อโอเว่นได้เดินทางไปที่เมืองกลาสโกที่สก๊อตแลนด์ เขาได้แต่งงานกับคาโร ลีน บุตรสาวคนโตของเดวิด เดล เจ้าของโรงงานทอผ้าที่เมือง นิวลานาร์ค (New Lanark) ซึ่งในขณะนั้นเดวิด เดล ก าลังมองหาผู้สืบทอดอุดมการณ์ในการบริหารจัดการในโรงงานด้วยนโยบายคุ้มครองสวัสดิการโรงงานเด็ก เมื่อโอ เวนแสดงอุดมการณ์นี้ได้ เดวิดจึงยอมให้โอเว่นแต่งงานกับคาโรลีน ที่สก็อตแลนด์ เมื่อปี ค.ศ.๑๗๙๙ และใน ปี ค.ศ. ๑๘๐๐ เดวิดก็ยอมขายโรงงานทอผ้าที่นิวลานาร์คให้โอเวน โอเวนเป็นนายจ้างที่มีความหวังดีต่อกรรมกรจึงได้ ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ทั่วไปของคนงานให้ดีขึ้นโดยใช้โรงงานของเขาเป็นที่ทดลองความคิดเกี่ยวกับ คน กับ สภาพแวดล้อม หลักการที่โอเว่นน ามาใช้กับโรงงานที่นิวลานาร์คก็คือ ลักษณะนิสัยของคนจะถูกก าหนดโดย ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อปัจเจกบุคคลนั้นๆ ดังนั้น การศึกษาจึงเป็นหัวใจส าคัญที่จะสร้างความมีเหตุผล ลักษณะนิสัยของมนุษย์ และหน้าที่ของนักการศึกษาก็คือการท าให้มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นคุณประโยชน์ทั้งในทางจิตใจ และร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ ควรละเว้นการลงโทษทางกายภาพ จ ากัดการใช้แรงงานเด็ก มนุษย์นั้นเป็นคนดีตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงสามารถเติบโตและมั่งคั่งสมบูรณ์ได้เมื่อสิ่งชั่วร้ายถูกขับไล่ออกไป อนึ่ง สิ่งแวดล้อมที่โอเวนเห็นว่าส าคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการอบรมหรือโดย การตกลงใจกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันหรือโดยกฎหมาย ใน ค.ศ.๑๙๑๓ และ ค.ศ.๑๘๑๔ โอเว่นได้เขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มที่ส าคัญได้แก่ The Foundation of Character และ A New View of Society ซึ่งตีพิมพ์ตามล าดับ ในปีถัดมา โอเว่นได้ผลักดันให้ รัฐบาลอังกฤษออกกฎหมายควบคุมโรงงานคือห้ามโรงงานทอผ้าใช้เด็กอายุต่ ากว่า ๑๐ ปี ท างาน และห้ามเด็กต่ า กว่า ๑๘ ปี ท างานกลางคืน แต่กฎหมายได้มีการจ ากัดแรงงานเด็กเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นที่พอใจแก่โอเว่นเท่าใดนัก หลังจากนั้นโอเว่นได้หาวิธีช่วยเหลือกรรมกรอื่นๆ โดยสอนให้รู้จักการช่วยตนเอง โอเว่นเสนอโครงการ ตามความคิดดังกล่าวต่อสภาจังหวัดลานาร์ค คือ โครงการก่อตั้ง หรือ “ชุมชนสหกรณ์” (Co-operatives Community) ขึ้นเพื่อผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ โดยไม่ใช่เครื่องจักรให้เป็นทรัพย์สินของชมรม ซึ่งเป็นของส่วนรวม เป็นการป้องกันมิให้มีสภาพนายทุนปะปนอยู่ในชมรมการจัดตั้งชมรมสหกรณ์นี้จะต้องใช้เงินทุนและที่ดินเป็นจ านวน มาก โอเว่นจึงพยายามเผยแพร่แผนการจัดตั้งชมรมสหกรณ์ เพื่อให้คนทั่วไปได้เข้าใจสหกรณ์ในฐานะสมาคมเพื่อ เศรษฐกิจ แต่โอเว่นยังไม่สามารถจัดตั้งชมรมสหกรณ์ในประเทศอังกฤษได้ เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับสภาพสังคมใน สมัยนั้น โครงการชุมชนสหกรณ์ของโอเว่นยังคงเป็นเพียงโครงการในกระดาษอยู่จนถึงปี ค.ศ.๑๘๒๔ จึงได้เริ่มมีเค้า ของความจริงเมื่อประเทศสหรัฐอเมริกายอมให้คนต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินในอเมริกา


๒๓ ที่มา : https://my-indiana-home.com/travel/new-harmony-southern-indiana-utopia/ ที่มา : http://www.labour-values.com/owen/owen-7.html ในปี ค.ศ.๑๘๒๕ โอเว่นจึงได้เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา และ ทดลองจัดตั้งชุมชนสหกรณ์ขึ้นครั้ง แรกที่นิวฮาโมนี รัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา ให้ชื่อว่า นิวฮาโมนี (New Harmony) โดยโอเว่นลงทุนเอง แต่สุดท้ายก็ ต้องล้มเลิกไปพร้อมกับการขาดทุนอย่างมาก จนโอเว่นต้องถอนตัวจากหุ้นส่วนโรงงานทอผ้า เนื่องจากหุ้นส่วนของ โอเว่นไม่พอใจ ซึ่งเกิดปัญหาเนื่องจากไม่ได้คัดเลือกสมาชิกและไม่มีกิจกรรมเพียงพอให้คุ้มกับค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการปกครองและศาสนา ค.ศ.๑๘๓๓ โอเว่นได้จัดตั้งสถานแลกเปลี่ยน แรงงานที่ยุติธรรมแห่งชาติเมื่อเห็นว่างานด้านชุมชน สหกรณ์ไม่ได้ผล โอเว่นก็ได้เดินทางเข้าลอนดอนและ ท างานเป็นนักเขียนมีหนังสือพิมพ์ของตนเอง ชื่อ The Crisis เพื่อเผยแพร่ความคิดของตน และแสดงปาฐกถาใน ที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลานี้ โอเว่นได้เสนอแนวความคิดในเรื่อง ส านักงานแลกเปลี่ยนแรงงานอันเที่ยงธรรม (The Equitable Labour Exchange)แ ล ะ บั ต ร แ รงง า น (Labour Notes) ขึ้นเพื่อการขจัดก าไรด้วยความคิดที่ว่า ก าไร เป็นบ่อเกิดของความเลวร้ายทั้งปวง และที่มาของ ก าไรเกิดจากการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน การที่จะลบล้างก าไรเสียก็คือ การยกเลิกเงินตราโดยใช้ บัตรแรงงานแทน เพื่อแปลงแนวคิดไปสู่การปฏิบัติ ซึ่ง ด าเนินการในรูปแบบของร้านสหกรณ์ เพื่อเป็นศูนย์กลางให้สมาชิกน าผลผลิตจากผลงานของตนมาแลกเปลี่ยนซื้อ ขายโดยจ่ายเป็นบัตรแรงงานแทนเงินตรา แต่ก็ล้มเหลวในเวลาต่อมาเนื่องจากหลายสาเหตุประกอบกัน เช่น สมาชิก ไม่ซื่อสัตย์โดยแจ้งราคาเกินกว่าราคาที่แท้จริง และน าสินค้าชั้นเลวเข้ามาจ าหน่าย ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเข้ามาซื้อขาย โดยเก็งก าไร ซื้อถูกแล้วน าไปขายแพงที่ร้านของตัวเอง แม้จะมีการทดลองตั้งสถานแลกเปลี่ยน ในช่วงท้ายของชีวิต โอเว่นทุ่มเทชีวิตของเขาให้กับงานด้านแรงงาน จนได้รับการยกย่องนับถือจากกลุ่ม ผู้ใช้แรงงาน เป็นคนส าคัญคนหนึ่งกลุ่มผู้น าสหภาพแรงงาน (Trade Union) หลังจากโอเว่นถึงแก่กรรมและมีการ ก่อตั้งสหภาพสหกรณ์ขึ้นแล้วสหภาพสหกรณ์ของประเทศ อังกฤษ ได้จารึกข้อความบนหลุมศพของโอเว่นว่า the


๒๔ ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Fourier Father of Co-operatives อันเป็นการยกย่อง โอเวนในฐานะที่เป็นผู้ปลูกฝังความคิดทางสหกรณ์ประดุจเป็นเชื้อ ยีสต์ในขนมปัง ชาร์ล ฟูริเอร์ (Charles Fourier, ค.ศ. ๑๗๗๒ - ๑๘๓๗) ฟู ริเอ ร์ เป็ น ช า ว ฝ รั่งเศ ส เกิ ด ที่ เมื อง เบ ซั ว ซ อง (Besencon) เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ค.ศ.๑๗๗๒ เป็นลูกหลานของชนชั้น กลาง เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี เกิดการปฏิวัติการปกครองในประเทศฝรั่งเศส เป็นเหตุให้ทรัพย์สมบัติที่ได้จากบิดา มารดา สูญเสียไป แต่ชีวิตเขาก็รอด พ้นจากการประหารด้วยเครื่องกิโยติน(guillotine) อย่างหวุดหวิด ฟูริ เอร์ ต้องหนีเอาชีวิตรอด และสูญเสียทรัพย์สินไปมากมาย ต้องใช้ชีวิตใน ประเทศต่างๆ ในยุโรป และกลับมาเป็นทหารที่กรุงปารีส ฟูริเอร์ เป็นผู้มี ประสบการณ์ชีวิตมาก เนื่องจากการเดินทางไปต่างประเทศ หลังจากนั้น ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ รู้สึกเอือมระอาต่อสภาพของบ้านเมือง และเห็นว่าการ ปฏิวัติของฝรั่งเศส (French Revolution) ไม่ได้ท าให้ฐานะคนจนดีขึ้น เลย ได้รู้ได้เห็นสภาพบ้านเมืองขณะนั้น และรับรู้ถึงความเห็นแก่ตัวของพ่อค้า จึงเกิดความเบื่อหน่ายและมีความ ปรารถนาที่จะได้เห็นสังคมแบบใหม่ คนแบบใหม่ ที่มีเสรีภาพและความเข้าใจกัน ฟูริเอร์สนใจในปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมของชาวฝรั่งเศส มีความคิดเห็นว่าการแลกเปลี่ยน ซื้อขายสินค้า ระหว่างผู้ผลิต และผู้บริโภค ซึ่งเต็มไป ด้วยคนกลางเป็นการแสวงหาก าไรโดยไม่มีขอบเขตจ ากัด การแข่งขันกันอย่างเสรีของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ท าให้ผู้ อ่อนแอทางเศรษฐกิจเสียเปรียบอย่างมาก ฟูริเอ มีความปรารถนาเช่นเดียวกับโอเว่น ที่จะปรับปรุงพัฒนาความ เป็นอยู่ของคนจนให้ดีขึ้น และเชื่อเช่นเดียวกันว่า ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหา จนกว่าสิ่งแวดล้อมจะถูกเปลี่ยนแปลง การ ร่วมมือกัน และแบ่งปันผลที่เกิดจากแรงงานอย่างเที่ยงธรรม เป็นทางออกที่สอดคล้องกัน แต่โดยวิธีการของฟูริเอร์ จะแตกต่างจากวิธีการของโอเว่นอยู่บ้าง ฟูริเอร์มีความคิดที่จะให้คนงานและเจ้าของกิจการเป็นคนเดียวกัน เพื่อให้คนงานมีความพอใจที่จะไป ท างาน เพื่อตนเอง) ให้รู้สึกว่าการไปท างานเหมือนไปงานเลี้ยง เป็นแรงงานที่น่าพิสมัย (Attractive Labour) โดย เสนอให้จัดตั้งนิคมหรือเป็นสังคมใหม่ที่เรียกว่า “ฟาลังสแตร์” (Phalanstere) ถือเป็นสังคมในฝัน เป็นนิคมสหกรณ์ ชนิดสมบูรณ์แบบ ที่สามารถผลิตและบริโภคทุกอย่างเองภายในฟาลังสแตร์รอบๆฟาลังสแตร์จะมีที่ดินท า การเกษตรและมีโรงงานอุตสาหกรรมส าหรับผลิตเสื้อผ้าและสิ่งของจ าเป็นที่สมาชิกต้องการเป็นลักษณะนิคมเลี้ยง ตัวเองได้มีอาคารที่ประกอบไปด้วย ห้องนอน ห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก ห้องอ่านหนังสือ โรงละคร ห้อง เล่นกีฬา เป็นต้น เจ้าของฟาลังสแตร์คือ สมาชิกที่อาศัยอยู่ทุกคนแต่ไม่มีการยกเลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของ เอกชน ซึ่งจะต้องถือหุ้นแต่ละคนอาจถือหุ้นไม่เท่ากันก็ได้มีผู้จัดการดูแล และควบคุมกิจการที่ได้มาจากการเลือกตั้ง การบริหารงานของนิมคมยึดหลักประชาธิปไตย เมื่อผลการด าเนินงานมีก าไร ต้องแบ่งออกเป็น ๑๒ ส่วน ได้แก่ ผู้ ลงทุนหรือผู้ถือหุ้น ๔ ส่วน แรงงาน ๕ ส่วน ผู้ด าเนินงาน หรือผู้จัดการ ๓ ส่วน


๒๕ ที่มา : https://fr.wikipedia.org/wiki/Phalanst%C3%A8re ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/William_King_(physician) อย่างไรก็ดี แนวคิดของฟูริเอร์ จะแตกต่างกับโอเว่นอยู่บ้าง ก็คือฟริเอร์ไม่ประสงค์จะเลิกล้มกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินของปัจเจกชน แต่จะแปลงรูปเป็นการถือหุ้น ซึ่งจะท าให้ความขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับคนงานหมดไป ขณะที่แนวคิดของโอเว่น ทรัพย์สินทั้งหมดต้องตกเป็นของชุมชนสหกรณ์ ฟูริเอร์ยังเห็นว่าสมาชิกถือหุ้นมากน้อย ในฟาลังสแตร์ต่างกันได้ และยังสามารถได้รับเงินค่าหุ้นคืน เมื่อออกจากฟาลังสแตร์ ความแตกต่างอีกประการหนึ่ง ของฟูริเอร์ กับ โอเว่น คือ ความเห็นในเรื่องทุน ฟูริเอร์ แบ่งผลตอบแทนทุนตามผลผลิต คือ แบ่งผลตอบแทนให้ เจ้าของทุนในรูปก าไรนั่นเอง ถ้าผลิตได้มาก ผลตอบแทนทุนก็มากตามส่วนไปด้วย ขณะที่โอเว่นแบ่งผลตอบแทนให้ ทุนในรูปดอกเบี้ย หรือจัดสรรให้เป็นอัตราส่วนตายตัว กับปริมาณทุนที่ลงทุน (ไม่ใช่ตามผลผลิต) ซึ่งความคิดเหล่านี้ ถือเป็นที่ยอมรับของวงการสหกรณ์ในปัจจุบันท าให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ทางสหกรณ์อีกท่านหนึ่ง ฟูริ เอร์ใฝ่ฝันว่าจะมีฟาลังสแตร์ หรือ นิคมสหกรณ์เกิดขึ้นมากๆ เป็นหน่วยสังคมใหม่ เท่ากับเป็นการสร้างสังคมใหม่ให้ เป็นสวรรค์ในเมืองมนุษย์ (Utopian Communities) เลยทีเดียว นอกจากนี้ผลพลอยได้ก็คือการกระจายประชาชน ไปยังชนบทแทนที่จะมากระจุกตัวแต่ในเมืองใหญ่ แนวคิดของฟูริเอร์ถูกน าไปปฏิบัติครั้งแรกในฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา หลายแห่งที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่นิคมบรูกฟาร์ม (Brook Farm) ในเมืองบอสตัน (Boston) รัฐแมตซาชูเสต(Massachusetts) ประเทศ สหรัฐอเมริกา(United States) อย่างไรก็ดี ฟาลังสแตร์ ของ ฟูริเอร์ก็เลิกล้มไปหมดในที่สุด ทั้งนี้เพราะสมาชิกขาด ความเลื่อมใสในอุดมคติ ไม่เข้าใจในวัตถุประสงค์ คิดว่าเป็นการลงทุนซื้อหุ้นเพื่อท าก าไร ขาดความรับผิดชอบ ตลอดจนผู้บริหารขาดความรู้ความช านาญในการจัดการ ถึงกระนั้น ความคิดของฟูริเอร์นับว่ามีคุณค่าต่อการ สหกรณ์มาก นายแพทย์วิลเลี่ยม คิง (Dr.William King) เป็น อายุรแพทย์ชาวอังกฤษ แห่งเมืองไบรตัน (Brighton) เป็นแพทย์ ปริญญาจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์(Cambridge University) ขณะศึกษาวิชาแพทย์อยู่นั้น เขามีความสนในวิชาเศรษฐศาสตร์ และป ระวัติศ าสต ร์ โดยเฉพ าะเรื่องสหกรณ์ เป็นผู้ที่สนใจ สถานการณ์บ้านเมือง และคลุกคลีอยู่กับ คนงานในโรงงาน อุตสาหกรรมมากและสนใจติดตามความคิดของโอเวนมาตลอด เขา มองสหกรณ์ตามแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific) ซึ่งก็จะรู้ว่ามี ขอบเขตแค่ไหน และปฏิบัติจริงได้อย่างไร จึงเห็นว่า เห็นว่าโอเวน


๒๖ ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Rochdale_Society_of_Equitable_Pioneers นั้นท าการใหญ่เกินไปในครั้งเดียว ไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติที่ควรจะค่อยเป็นค่อยไป นายแพทย์คิงเสนอว่า ควรก่อตั้ง เป็นสมาคมจ าหน่ายสินค้าเล็กๆ ที่มีการสะสมทุนขึ้นเองภายในก่อน ซึ่งไม่มีอยู่ในความคิดของโอเวน) ระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๓๐ ดังนี้แล้วจึงค่อยขยายไปเป็น“นิคมสหกรณ์” ตามแบบของโอเวนในโอกาสต่อไป เริ่มต้นจากการที่คนงานควร ถอนตัวออกจากตลาดแรงงาน แล้วหันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว ในการท าธุรกิจควรรวมตัวกันจัดตั้งร้านแบบสหกรณ์ ขึ้น เมื่อร้านสหกรณ์มีก าไรจะไม่น ามาแบ่งกัน แต่จะเก็บไว้เป็นทุนเพื่อให้เพิ่มพูนทุกๆ ปี สมาชิกที่ต้องเพิ่มหุ้นทุกปี ด้วยเงินปันผลก็ให้ถือไว้เป็นหุ้น ในปี ค.ศ.๑๘๒๗ คิง ได้ร่วมมือกับคนงานในเมืองไบรตัน จัดตั้ง “สมาคมการค้าสหกรณ์” (Cooperative Trading Association) เป็นสถานที่เผยแพร่กิจการตามแนวความคิดของเขา ดังนั้น นายแพทย์คิง ได้ก าหนด หลักเกณฑ์หรือกรอบในการปฏิบัติส าหรับพวกคนงานไว้ ๕ - ๖ ประการด้วยกัน คือ ๑. พึ่งตนเองด้วยการเป็นเจ้าของเงินทุนและเจ้าของกิจการเสียเอง ๒. ตั้งร้านค้าขึ้นมาใหม่พร้อมกับแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้หมดไป ๓. จะต้องขายสินค้าด้วยเงินสดเพียงอย่างเดียว ๔. จะต้องมีการลงบัญชีอย่างถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ๕. จะต้องซื่อสัตย์สุจริตและเสียสละท าประโยชน์เพื่อส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตัว ๖. จะต้องจัดให้มีการศึกษาอบรมแก่สมาชิก ระหว่างปี ค.ศ.๑๘๒๘ - ๑๘๓๐ ได้ออกวารสารรายเดือน ชื่อ “นักสหกรณ์แห่งเมืองไบรตัน” (The Brighton Cooperator) โดยเป็นบรรณาธิการเอง ซึ่งถือว่า เป็นนิตยสารทางสหกรณ์เล่มแรก อธิบายหลัก วิธีการสหกรณ์ ด้วย ถ้อยค าที่ง่ายๆ เป็นที่เข้าใจได้แก่คนทั่วไป นอกเหนือจากการจ าหน่ายสินค้า ในปี ค.ศ.๑๘๓๐ มีสมาคมการค้า สหกรณ์ในประเทศอังกฤษ จ านวน ๓๐๐ สมาคม แต่ในที่สุดก็มีอันต้องเลิกกิจการไป เพราะหลักการของนายแพทย์ คิงยังมีจุดอ่อนหลายประการ เช่น การเก็บก าไรไว้ทั้งหมดโดยไม่คืนแก่สมาชิกซึ่งขัดกับหลักธรรมชาติของคนที่ ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีหากเห็นว่าโอเว่น และ ฟูริเอร์เป็นผู้น าทางความคิดสหกรณ์ในทางทฤษฎี อย่างน่ายกย่อง นายแพทย์คิงเองก็ควรได้รับการยกย่องว่าได้พยายามท าให้สหกรณ์เป็นวิถีทางที่สามารถปฏิบัติได้ ซึ่งถือเป็นบทเรียนและช่วยวางแนวทางแก่ขบวนการสหกรณ์ที่ดียิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหกรณ์ผู้บริโภคหรือร้าน สหกรณ์ได้ก่อตั้งส าเร็จขึ้นเป็นแห่งแรก จากแนวคิดของ โรเบิร์ต โอเว่น (Robert Owen) และนายแพทย์วิลเลียม คิง (Dr.Williarn King) ที่ เกี่ยวกับสหกรณ์ ซึ่งมีการเผยแพร่ไปสู่ชาวเมืองรอชเดล เป็นเวลานานหลายปีก่อนการก่อตั้งสหกรณ์รอชเดล ใน ระหว่างปี ค.ศ.๑๘๓๐ - ค.ศ.๑๘๓๓ ชาวรอชเดลได้พยายามเปิดร้านสหกรณ์มาแล้ว ๒ ครั้ง แต่ก็ล้มเหลว


๒๗ ปี ค.ศ. ๑๘๔๔ ยังมีชาวเมืองกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ยังเลื่อมใสความคิดของโอเวน เป็นกลุ่มช่าง ทอผ้า ที่รวมตัวกันเป็นคณะสหกรณ์สมาคมแห่งแรกที่ด าเนินการประสบผลส าเร็จ และเป็นแบบฉบับในโลกนี้ก็คือ “ร้านสหกรณ์แห่งเมืองรอชเดล” (Rochdale Society of Equitable Pioneers) เมืองรอชเดล (Rochdate) อยู่ใน ตรอกคางคก (Toad Lane) มณฑลแลงคชเชียร์ ทางเหนือของเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ การเริ่ม ด าเนินการด้วยคณะผู้น าของรอชเดลในขณะนั้นมีอยู่หลายคนที่มีบทบาทมากได้แก่ James Smithies และ Charles Howarth ซึ่งมีความมั่นคงในแนวความคิดทางสหกรณ์มาก และมักพยายามใช้โอกาสที่มี ในการชักจูงอธิบายคนงาน ให้เข้าใจ และเลื่อมใสวิธีการสหกรณ์ ทั้งยังได้ร่างโครงการของรอชเดล (The Rochdale Programme) หรือ Law the First ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการท างานด้วย และประสบปัญหาในด้านการซื้อหาเครื่องอุปโภคอันจ าเป็นแก่การ ครองชีพ เช่น ราคาแพง มีการปลอมปน และถูกเบียดเบียนในการชั่ง ตวง วัด การรวมตัวกันจัดตั้งสหกรณ์ เพื่อช่วย ตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และไม่ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอุตสาหกรรมและพ่อค้า ซึ่งมีอ านาจการผลิต ทางการค้าในสมัยนั้น จึงได้ร่วมกันจัดตั้งเป็นสมาคม เช่าโกดังเก็บสินค้าชั้นล่าง เลขที่ ๓๑ ในตรอกคางคก โดยเสีย ค่าเช่าปีละ ๑๐ ปอนด์ ประกอบด้วยผู้ริเริ่ม ๒๘ คน โดยรวมทุนกันจัดตั้งร้านค้าเครื่องอุปโภคบริโภคขึ้น ทุนค่าหุ้น เพียง ๒๘ ปอนด์ มีการประชุมใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๔๔ เลือกตั้งคณะ ผู้ด าเนินกิจการ สหกรณ์ชุดแรก ประกอบด้วยประธาน เหรัญญิก และเลขานุการ เป็นเจ้าหน้าที่ และกรรมการด าเนินการ ๕ คน กรรมการควบคุม ๓ คน ผู้สอบบัญชี ๒ คน และอนุญาโตตุลาการ ๕ คน หลังจากนั้นมีการประชุมครั้งที่ ๒ เมื่อวัน พฤหัสบดีที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ.๑๘๔๔ ซึ่งถือเป็นวันก่อตั้งสหกรณ์ เปิดร้านในเย็นวันที่ ๒๑ ธันวาคม ค.ศ.๑๘๔๔ ใช้ ชื่อว่า “Rochdale Society of Equitable Pioneers” โดยจัดหาสินค้าที่จ าเป็น ๕ อย่างมาจ าหน่าย ตามรายการ ดังนี้ เนยอ่อน ๒๘ ปอนด์ ราคา ๒ ปอนด์ ๑ ชิลลิ่ง ๑ เพนนี น้ าตาล ๕๖ ปอนด์ ราคา ๑ ปอนด์ ๑๔ ชิลลิ่ง - เพนนี แป้ง ๖ ฮันเดรดเวท ราคา ๑๑ ปอนด์ - ชิลลิ่ง ๖ เพนนี ข้าวโอ๊ต ๑ ถุง ราคา ๑ ปอนด์ ๗ ชิลลิ่ง - เพนนี เทียนไข ๒๔ ห่อ ราคา - ปอนด์ ๙ ชิลลิ่ง ๑ เพนนี รวม ๑๖ ปอนด์ ๑๑ ชิลลิ่ง ๑ เพนนี โดยจัดซื้อในราคาขายส่งมาขาย ให้แก่สมาชิก และให้สมาชิกเสียสละเวลามา ช่วยกิจการของร้าน ท าให้ร้านสหกรณ์แห่งเมือง รอชเดลเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ ปีค.ศ. ๑๘๕๕ มีสมาชิกเพิ่มเป็น ๗๔ คน มีเงินค่าหุ้น ๑๘๑ ปอนด์ ขายสินค้าได้รวม ๗๑๐ ปอนด์ และมีก าไรสุทธิ ๒๒ ปอนด์ อีก ๑๐ ปีให้หลัง มี สมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น ๑ ,๕๐๐คน เงินค่าหุ้น ๑๑,๐๓๒ ปอนด์ ขายสินค้าได้ ๔๔,๙๐๒ ปอนด์ และมีก าไร ๓,๑๐๖ ปอนด์และอีก ๑๐ ปีต่อมา คือ ปี ค.ศ.๑๘๖๕ มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น ๕,๓๒๖


๒๘ ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Philippe_Buchez คน เงินค่าหุ้น ๗๔,๗๗๙ ปอนด์ ขายสินค้าได้ ๑๙๖,๒๘๔ ปอนด์ และได้ก าไรสูงถึง ๒๕,๑๕๖ ปอนด์ นอกจากนี้ยังมี การท าธุรกิจกับบุคคลภายนอกด้วย นักสหกรณ์รอชเดล หรือที่เรียกกันว่า “ผู้น าแห่งรอชเดล” การด าเนินงานของสหกรณ์นี้ได้ผลดี นักสหกรณ์ รอชเดลจึงประกาศหลักปฏิบัติของตนในชื่อ Rule of Conduct ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติไว้ ๗ ประการ ซึ่งมีสาระส าคัญ หลายประการที่ถูกยึดถือเป็นหลักการสหกรณ์สากลมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ๑. การเปิดรับสมาชิกทั่วไป(Open Membership) ๒. การควบคุมแบบประชาธิปไตย(Democratic Control) ๓. การเฉลี่ยคืนส่วนเกินตามส่วนแห่งการซื้อ(Distribution of Surplus in Proportion to Trade) ๔. การจ่ายดอกเบี้ยแก่เงินทุนในอัตราจ ากัด(Payment of Limited Interest on Capital) ๕. การเป็นกลางทางการเมืองและศาสนา(Political and Religious Neutrality) ๖. การท าการค้าด้วยเงินสด (Cash Trading) ๗. การส่งเสริมการศึกษา (Promotion of Education) แม้จะล่วงเลยมาเป็นเวลานาน แต่ร้านสหกรณ์รอชเดล ก็ยังคงอยู่และกลายเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่านั้น วิธีการของร้านสหกรณ์ส าหรับผู้บริโภคแบบนี้ได้แพร่หลายออกไปสู่ประชาชนกลุ่มอื่นๆ ปัจจุบันร้านสหกรณ์ที่ถือ หลักการส าคัญๆ อย่างเดียวกันนี้ มีอยู่ในประเทศต่างๆ เป็นจ านวนมาก ร้านสหกรณ์แห่งแรกของโลกที่ด าเนินงานได้ ส าเร็จ และกลายเป็นต้นแบบและแบบอย่างของร้านสหกรณ์ของโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะ ๑) สามารถเปิดร้านจ าหน่ายสินค้าในหมู่สมาชิกได้ส าเร็จด้วยการร่วมทุนและร่วมก าลังกันโดยไม่ต้องพึ่งพา บุคคลภายนอกแต่อย่างใด ๒) แก้ปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางได้ด้วยการร่วมมือกันท าธุรกิจเสียเอง ๓) ยกฐานะความเป็นอยู่ของสมาชิกให้สูงขึ้น ด้วยสามารถซื้อของได้ถูกลง ด้วยการมีอาชีพและมีงานท า และ ด้วยการให้การศึกษาแก่สมาชิก ๔) สร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมในสังคมขึ้น เพราะไม่ถูกกดขี่และถูกเอาเปรียบต่อไป ๕) สร้างสันติสุขให้เกิดแก่ชุมชนและสังคมได้ เพราะสมาชิกส่วนใหญ่มีการศึกษาและมีรายได้สูงขึ้นความ เหลื่อมล้ าในสังคมมีน้อยลง และนอกจากนั้นสมาชิกสหกรณ์ก็ประพฤติตัวดีขึ้นด้วย คือ เลิกดื่ม และเลิกเล่นการพนัน ท าให้มีรายได้จากการประหยัดมากขึ้น และหันมาเอาใจใส่ต่อชีวิตและความเป็นอยู่ในครอบครัวมากขึ้นเป็นการ ปฏิวัติทางเศรษฐกิจและสังคมไปในตัว ฟิลิป บูเช (Phillip Buchez, ค.ศ. ๑๗๙๕ - ๑๘๖๕) ขณะที่ ประเทศอังกฤษ มีนายแพทย์คิง เป็นผู้น าเผยแพร่สหกรณ์ ตลอดจน จัดตั้งสมาคมสหกรณ์ขึ้นมากมาย ฝรั่งเศสในเวลาใกล้เคียงกันได้มี ฟิลิป บูเช ซึ่งให้ทัศนะความคิดทางสหกรณ์ของฟูริเอร์ว่า กว้างขวาง เกินไป เช่นเดียวกับคิง ที่เห็นว่าแนวคิดของโอเว่น เป็นเรื่องที่ปฏิบัติ ไม่ได้ฟิลิปเห็นว่าฟาลังสแตร์ของฟูริเอร์ใหญ่โตเกินไป ควรรวบรวม รายย่อยเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาสนใจรวบรวมช่างฝีมือ ขนาดเล็กเป็นสมาคมผู้ผลิต ฟิลิป บูเช มีอาชีพเป็นนักเขียนสนใจ


๒๙ ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Louis_Blanc เรื่องเศรษฐกิจและสังคม ได้เผยแพร่ความคิดทาง สหกรณ์ผู้ผลิตให้คนอื่นทราบเป็นครั้งแรก ในหนังสือพิมพ์ชื่อว่า “Le Producteur” หรือ The Producer ได้วางหลักการส าคัญของสหกรณ์ผู้ผลิตไว้ ๔ ข้อ ส าคัญ คือ ๑) บุคคลผู้เข้ารวมกันเป็นสหกรณ์ ควรเลือกตั้งตัวแทนจ านวน ๑ หรือ ๒ คน จากมวลสมาชิกเพื่อไปท า หน้าที่บริหาร ท านิติกรรมต่าง ๆ ของสหกรณ์ ๒) ให้ตัวแทนสหกรณ์ได้รับเงินตอบแทนติดต่อกัน ในรูปเงินเดือน หรือให้ตามปริมาณงานที่กระท าหรือให้ ตามฝีมือข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักการแบ่งเงินปันผลนั่นเอง ๓) เงินทุนที่ได้จดทะเบียน ซึ่งเพิ่มขึ้นในแต่ละปี จะต้องไม่จัดสรร แต่ควรเป็นของสหกรณ์ เพื่อความมั่นคง ของสหกรณ์เอง ๔) สหกรณ์จะไม่จ้างคนงานที่ไม่ใช่สมาชิกสหกรณ์ เป็นเวลานานเกินกว่า ๑ ปี หลักการที่ส าคัญที่สุดของ ฟิลิป ฟูเช คือ หลักการแบ่งก าไร กล่าวคือ เมื่อมีก าไร ๑ ใน ๕ หรือร้อยละ ๒๐ ของก าไร ต้องกันไว้เป็นเงินสะสม มาแบ่งปันกันไม่ได้เก็บไว้ใช้เป็นทุนสหกรณ์ภายหน้า ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๘๐ กันไว้เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามเจ็บป่วยและเงินส่วนใหญ่ต้องแบ่งปันกันในรูปเงินปันผลตามส่วนแห่ง แรงงานที่สมาชิกแต่ละคนได้กระท าให้สหกรณ์ระหว่างปี นายแพทย์ คิง ถือเป็นผู้วางแนวทางปฏิบัติแก่สหกรณ์ ผู้บริโภค ขณะที่ บูเช เป็นผู้วางแนวทางปฏิบัติส าหรับสหกรณ์ผู้ผลิต แต่บูเชได้ทดลองก่อตั้งสมาคมสหกรณ์ผู้ผลิต เป็นสมาคมช่างฝีมือเพียง ๑ สมาคม เท่านั้น ไม่กว้างขวางอย่างนายแพทย์คิง แต่หลักการของบูเซเรื่องการให้เงินปัน ผลยังคงยึดถือเป็นหลักปฏิบัติของสหกรณ์ในปัจจุบัน หลุยส์ บลังก์ (Louis Blance, ค.ศ. ๑๘๑๑ - ๑๘๘๒) บลังก์ เขาเป็นทั้งนักเขียน และทนายความชาวฝรั่งเศส บิดาเป็นชาวฝรั่งเศส แต่มารดาเป็นชาวสเปน ขณะเดียวกันก็เป็นนักการเมือง โดยร่วมอยู่ใน คณะรัฐบาลฝรั่งเศสใน ค.ศ. ๑๘๔๘ ความคิดของ บลังก์ สิ่งเลวร้าย ทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นผลจากการแข่งขัน การแข่งขันนี้เองเป็นเหตุ แห่งความยากจน และการเสื่อมโทรมศีลธรรมจรรยา การก าจัดผลการ แข่งขันให้หมดสิ้นไป จ าเป็นต้องถอนรากถอนโคน และ สร้างรากฐาน ชีวิตสังคมขึ้นใหม่แทนที่เขาเองเลื่อมใสในความคิดของฟิลิป บูเช และ เห็นว่าสหกรณ์ผู้ผลิตน่าจะมีผลดีแก่คนงานในฝรั่งเศสแทนการแข่งขัน แบบทุนนิยม จึงเสนอรัฐบาลให้ตั้งโรงงานสังคม (Social workshop) หรือโรงงานแห่งชาติ(national workshop) ที่เกิดจากผู้ผลิตในอาชีพ เดียวกัน ทั้งในการเกษตรและอุตสาหกรรม รวบรวมกันตั้งสหกรณ์ ผู้ผลิตขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลต้องสนับสนุนในเรื่องทุน เขาต้องการให้โรงงาน สังคมที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของรัฐบาลประมาณ ๒ ปี หลังจากนั้น โรงงานสังคมจะเลือกผู้น าของเขาเอง และ กลายเป็นสหกรณ์ผู้ผลิตที่สามารถปกครองตัวเองได้อย่างแท้จริง มีผู้แย้งว่าการเข้าแทรกแซงของรัฐนี้ จะเป็นการ ท าลายเสรีภาพหรือไม่ บลังก์ตอบว่า “เสรีภาพที่ปราศจากโอกาสที่จะใช้ก็คือการกดขี่ เมื่อบุคคลโง่และไม่มีเครื่องมือ หาเลี้ยงชีพ เขาก็ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ที่รวยกว่า หรือการศึกษาดีกว่า เท่ากับว่าเสรีภาพเขาหมดไปแล้ว การเข้า แทรกแซงของรัฐจึงเป็นสิ่งจ าเป็น...” โรงงานสังคมของบลังก์แตกต่างจากโรงงานทั่วๆ ไปตรงที่มีความเป็น ประชาธิปไตย และความเสมอภาคมากกว่าโรงงานอื่นโรงงานสังคมของเขาที่จัดตั้งขึ้น ได้แก่ โรงงานสังคมของช่าง ตัดเสื้อ ท าเครื่องแบบ และอานม้าให้รัฐบาล หลังจากนั้นรัฐ ได้อนุมัติงบประมาณให้จัดตั้งโรงงานสังคมขึ้นอีกหลาย


๓๐ ที่มา : https://ess.hypotheses.org/444 แห่ง แต่แผนการของเขานี้เองท าให้พวกนายจ้างโกรธแค้นมาก หาทางขัดขวางด้วยประการทั้งปวง จนกระทั่งโรงงาน เหล่านี้ค่อยเลิกล้มไปในที่สุด ศ าสต ราจารย์ช าร์ลส์ จี๊ด (Prof.Charles Gide, ค.ศ . ๑๘๔๗ - ๑๙๓๒)ชาร์ลส์ จี๊ด เป็นชาว ฝรั่งเศส เกิดที่เมืองอูแซ (Uzes) เมื่อ วันที่ ๒๙ มิถุนายน ค.ศ. ๑๘๔๗ เป็นบุตรของนายกเทศมนตรี เมืองอูแซ จี๊ด เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง จบปริญญาเอกทางกฎหมาย เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๒ เป็นอาจารย์ด้านกฎหมาย แต่สนใจทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และปัญหาสังคมมากกว่ากฎหมายเขาเคยเขียนหนังสือทาง เศ รษ ฐศ าสต ร์ เรื่องป ระ วัติ สิท ธิเศ รษ ฐกิ จ (History of Economic Doctrines) ในปี ค.ศ. ๑๘๗๔ เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์วิชา เศรษฐศาสตร์ ที่คณะนิติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยบอร์โด และต่อมาเป็น ศาสตราจารย์วิชาสหกรณ์ที่วิทยาลัยคอลเลจ เดอ ฟร็องส์ (College de France) เมื่อโรเบิร์ต โอเวน ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของการสหกรณ์ ซึ่งเน้นไปที่สหกรณ์ผู้ผลิต (Producer’s Cooperative) หรือสหกรณ์คนงาน แต่ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ จุด ถือได้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิสหกรณ์ผู้บริโภค(Doctrine of Consumers’ Cooperative) แนวคิดสหกรณ์ในทางทฤษฎีผู้บริโภค มีความละเอียดและมีขั้นตอนขณะที่ ฟูริเอร์ มีแนวคิดสหกรณ์ผู้บริโภคที่หยาบกว่ามาก จุดเคยบรรยายทฤษฎีทางสหกรณ์ของตนเอง ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๘๕ - ๑๙๐๐ มีค าบรรยายที่รวมเป็นเล่ม ได้แก่ “Conferences Propagation on Cooperation” หรือ สัมมนาว่าด้วย การเผยแพร่การสหกรณ์ ซึ่งมีสาระส าคัญตอนหนึ่งว่า “การสหกรณ์นั้นถ้าได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง จะท าให้ เกิดโครงร่างเศรษฐกิจขึ้นใหม่ในสังคม และที่ส าคัญมากได้เขียนหนังสือ “สหกรณ์ผู้บริโภค(Consumers’ Cooperative Societies) จี๊ด ได้ร่วมก่อตั้ง “ส านักพิมส์” (School of Nimes) ซึ่งเป็นที่รวมของนักสหกรณ์ผู้บริโภคในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๘๕ และที่ส าคัญ เขากล้าประกาศตัวออกจาก ๒ ส านัก ที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น ได้แก่ ส านักลิเบอรัลและ ส านักมาร์กซิสท์ ซึ่งเท่ากับเป็นการวางรากฐานให้แก่ลัทธิสหกรณ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงค ากล่าวลอยๆ เท่านั้นจึงถือ เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิสหกรณ์สมัยปัจจุบันที่แท้จริง เขาถึงแก่กรรมที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๓๒ ที่ฝังศพ คือ เมืองนิมส์ (Nimes) แต่ก่อนถึงแก่กรรมเพียงปีเดียว เขาได้ตั้ง “สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาการ สห ก รณ์” (International Institute for the study of Cooperation) มีก า รป ระชุม ค รั้งแ รกที่ บ าสเซิ ล (Baste)ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศเยอรมัน เป็นต้นก าเนิดของ สหกรณ์เครดิต ซึ่งเป็นแหล่งก าเนิดของสหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์ ออมทรัพย์รูปต่างๆ นั้น ก็เกิดมาจากความยากจนของชาวนาและผู้ผลิตขนาดเล็กเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะถูกกดขี่กิน แรง และถูกเอาเปรียบแบบในอังกฤษ แต่เกิดจากความแห้งแล้งอันรุนแรงและยาวนานในช่วงปี ค.ศ.๑๘๔๖ และ ค.ศ.๑๘๔๘ ท าให้ผู้คนอดอยากและมีสัตว์ล้มตายเป็นจ านวนมาก และซ้ าร้ายยังถูกสินค้าการเกษตรราคาถูกจาก อเมริกาตีตลาดอีกด้วย ท าให้เกษตรกรขนาดเล็กจ านวนมากตกอยู่ในภาวะล าบาก เพราะผลิตได้ไม่พอจ่าย มีหนี้สิน ล้นพ้นตัว ที่นาที่ไม่ถูกยึด แล้วกลายไปเป็นกรรมกรผู้ขายแรงงาน (ขั้นต่ า) ในที่สุดหรือไม่บางคนที่ยังมีที่ดินเป็นของ ตนเองอยู่ ก็ไม่มีทุนรอนและสัตว์พาหนะที่จะท าการเพาะปลูกอย่างเดิมได้ จึงยากจนและเป็นหนี้ ดังนั้น รัฐบาล ท้องถิ่น องค์การการกุศล และองค์การศาสนาในแคว้นต่างๆ จึงได้หาทางช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ขึ้น โดยแจก อาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่คนยากจน รวมทั้งได้ตั้งโรงงานผลิตขนมปังราคาถูกออกจ าหน่าย และตั้งสมาคมจ าหน่าย


๓๑ ที่มา : https://de.wikipedia.org/wiki /Hermann_Schulze-Delitzsch เมล็ดพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ราคาถูกให้แก่เกษตรกรอีกด้วย แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกไป เพราะท าได้ไม่ตลอด เนื่องจาก ขาดแคลนทั้งเงินทุนและขาดแคลนผู้สนับสนุน แสดงให้เห็นว่าการสังคมสงเคราะห์ หรือการช่วยเหลือแบบให้เปล่า นั้น ไม่สามารถจะช่วยเหลือคนยากคนจนในระยะยาวได้ เพราะขาดหลักการด าเนินงานที่ส าคัญ เช่น ๑) ขาดแกนกลางหรือศูนย์รวมก าลังของตนเอง (องค์การธุรกิจของตนเอง) ๒) ขาดการพึ่งตนเอง (แรงจูงใจ ๓) ขาดการประหยัด (ยากจน) ๔) ขาดความส านึกในการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีระบบ (ความสมัครใจ ๕) ขาดความรับผิดชอบต่อการแก้ปัญหาร่วมกัน การร่วมมือกัน) และ ๖) ขาดการศึกษา (ความโง่เขลา) ภายใต้ภาวการณ์บีบคั้นทางด้านเศรษฐกิจและสังคมดังกล่าว ท าให้มีผู้ค้นคิดหาทางที่จะช่วยเหลือคนยากจน เหล่านี้ขึ้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งมีอยู่หลายคน ส าหรับสหกรณ์เครดิตที่เกิดขึ้นในประเทศเยอรมันนั้น มี ๒ ประเภท คือ สหกรณ์เครดิตในเมือง (Urban Credit Society) และ สหกรณ์เครดิตในชนบท(Rural Credit Society) โดยมี เฮอร์มัน ชูลส์ เดลิทซ์ (Hermann Schulze Delitzsch) เป็นผู้ริเริ่มสหกรณ์เครดิตในเมือง หรือธนาคารประชาชน (People’s Bank) และ เฟรดริค วิลเฮม ไรฟไฟเซน (Friedrich Wilhelm Raiffeisen) เป็น ผู้ริเริ่มสหกรณ์เครดิตในชนบทและสหกรณ์รูปนี้คือรูปแบบที่มีการน ามาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่เรียกว่า สหกรณ์หาทุน สหกรณ์เครดิตในเมือง (Urban Credit Society) สหกรณ์รูป นี้มีก าเนิดขึ้นในย่านธุรกิจด้านตะวันออกของประเทศเยอรมันซึ่งขณะนั้น เรียกว่า ปรัสเซีย (Prussia)ใน ปี ค.ศ.๑๘๕๒ ที่เมืองเดลิทซ์ (Delitzsch) โดยการริเริ่มของ ชูลส์ เดลิทซ์ ซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภาปรัสเซีย และในปี ค.ศ.๑๘๔๘ ได้เป็นประธานกรรมาธิการสอบสวนภาวะของกรรมกร ช่างฝีมือ และ ผู้ประกอบการค้าขนาดเล็กของตนเองจากการท างานใน หน้าที่ดังกล่าวท าให้เขารับทราบถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามาจาก ภาวะหนี้สินความคิดที่จะตั้งสมาคมให้กู้ยืมแก่บุคคลเหล่านี้จึงเกิดขึ้น โดย ในระยะแรกเริ่มต้นได้ก่อตั้งในลักษณะการสงเคราะห์ก่อน แต่การ ด าเนินการไม่ได้ผลดีจึงมีการปรับรูปแบบให้บรรดาช่างฝีมือ กรรมกร และ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก รวมตัวกันเป็นสมาคมของตนในลักษณะการช่วย ตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นต้นแบบของสหกรณ์เครดิตใน เมือง และด้วยเหตุที่มีการจัดหาเงินทุนให้สมาชิกกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ย พอควรจึงเท่ากับเป็นธนาคารของสมาชิก จึงเรียกกันว่าเป็น ธนาคาร ประชาชน (People’s Bank) สหกรณ์แบบนี้จะรับสมาชิกไม่จ ากัดแต่ ต้องเป็นผู้มีความประพฤติดีเป็นที่เชื่อถือของสมาชิกอื่น ในระยะแรกใช้ หลักความรับผิดไม่จ ากัด ต่อมาเมื่อกฎหมายเปิดโอกาสให้จึงหันมาใช้ หลักความรับผิดจ ากัด และเป็นสหกรณ์ชนิดที่มีหุ้น การกู้ยืมส่วนมาก เป็นระยะสั้น และต้องมีหลักประกันอาจเป็นบุคคลหรือหลักทรัพย์ก็ได้ ส ห ก รณ์ เค รดิ ตใน ช น บ ท (Rural Credit Society) สหกรณ์รูปนี้มีก าเนิดในซีกตะวันตกของเยอรมันแถบแคว้นไรน์ ซึ่งเป็น


๓๒ ด้านเกษตรกรรมในชนบท โดยไรฟไฟเซนซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเฮดเดรสดอฟ(Heddesdorf) แห่งนครนอยวีด (Neuwied) ได้สนับสนุนให้มีการตั้งสมาคมจ าหน่ายมันฝรั่งและขนมปังแก่คนยากจนในราคาถูกขึ้นก่อน ในปี ค.ศ. ๑๘๔๘ เพื่อช่วยสงเคราะห์คนจน แล้วจึงขยายผลแนวความคิดไปสู่การให้เงินกู้และจัดหาปัจจัยการผลิตมาจ าหน่าย อย่างไรก็ตามการด าเนินงานตามแนวนี้พบว่าไม่ได้ผลอย่างถาวร ไรฟไฟเซนจึงมีการปรับปรุงวิธีการเสียใหม่ให้ เกษตรกรมีการรวมตัวกันช่วยตนเองโดยใช้หลักความรับผิดไม่จ ากัดเป็นประกันความเชื่อมั่นแก่เจ้าหนี้ โดยสหกรณ์ เครดิตในชนบทสมาคมแรกที่มีลักษณะเป็นสหกรณ์ที่แท้จริง ตั้งขึ้นที่ อันเฮาเซน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเขตเว สเตอร์วัล เมื่อปีค.ศ.๑๘๖๒ และ เป็นต้นแบบของสหกรณ์รูปนี้ต่อมา สหกรณ์เครดิตแบบไรฟไฟเซนมีลักษณะ ส าคัญ ดังนี้ ๑) เป็นสหกรณ์ขนาดเล็กในหมู่มีสมาชิกเพียง ๒๐ - ๓๐ คน เพราะ ต้องการผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็น อย่างดีเนื่องจากใช้หลักความรับผิดไม่จ ากัด (สมาชิกรับผิดชอบในหนี้สินทั้ง ปวงของสหกรณ์อย่างไม่จ ากัดจ านวน) หุ้นมีมูลค่าต่ าหรือไม่มีเลย และสมาชิกมีความรับผิดชอบต่อหนี้สินร่วมกันแบบไม่จ ากัด ๒) เงินกู้ที่ให้แก่สมาชิกเป็นเงินกู้เพื่อการผลิตทางการเกษตร อัตราดอกเบี้ยต่ า และไม่มีเงินปันผล หรือ เหมาะสมกับการเกษตรที่ท านอกเหนือจากการให้เงินกู้แล้วยังท าหน้าที่จัดหา วัสดุ/พันธุ์พืชและสัตว์มาจ าหน่าย ให้สมาชิกด้วย ๓) ให้เงินกู้ระยะยาว มีระยะเวลาช าระคืนนาน ระหว่าง ๑ - ๑๐ ปี โดยแบ่งช าระเป็นงวดๆ ๔) ก าไรสหกรณ์จะถูกกันไว้เป็นทุนส ารองทั้งหมดโดยไม่มีการแบ่งปันกัน ๕) เจ้าหน้าที่สหกรณ์ท างานให้เปล่า โดยไม่มีผลตอบแทนใดๆ ๖) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมอาชีพ และส่งเสริมศีลธรรมในหมู่สมาชิก ๗) นิยมให้แก่ผู้มีลักษณะนิสัยดี คือ มีความสามารถในหน้าที่การงาน มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นคน ประหยัด มีความตั้งใจจริง มีความขยันหมั่นเพียร มีคุณธรรม เป็นที่เชื่อถือแก่บุคคลทั่วไป ๘) ยึดหลักเรื่อง Self-help and mutual-help and self-support ตามแนวทางของ Delitzsch มา ด าเนินการ อย่างไรก็ตามมักเป็นที่รู้กันว่า สหกรณ์รูปนี้ท าหน้าที่ให้เงินกู้เป็นหลักในประเทศไทยจึงเรียกว่า สหกรณ์หาทุน ซึ่งมีการขยายตัวอย่างมากในช่วง ๔๐ ปีแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ก่อนที่จะพัฒนาการไปสู่สหกรณ์เครดิตเพื่อผลิต กรรม และสหกรณ์อเนกประสงค์ทางการเกษตรในที่สุด ในช่วงของการมีแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้ว


๓๓ ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/N._F._S._Grundtvig สหกรณ์ผู้ผลิตนมเนยในเดนมาร์ก ประเทศเดนมาร์ก ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของสหกรณ์เกษตรกรรม เพราะมี ความก้าวหน้าในทางสหกรณ์ด้านนี้เป็นอย่างมาก การสหกรณ์ของเดนมาร์กเริ่มด้วยสหกรณ์แปรรูปทางเกษตรกรรม และ จ าหน่ายผลผลิตเกษตรกรรม เช่น สหกรณ์นมเนย สหกรณ์ท าเหล้าองุ่น สหกรณ์ท าหมูเบคอน เป็นต้น ใน สหกรณ์เหล่านี้สหกรณ์นมเนยได้ริเริ่มขึ้นก่อนและประสบผลส าเร็จเป็นอย่างดี เป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่นๆ ตาม ประวัติการก่อตั้งสหกรณ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๘๘๒ ที่เมือง Hjedding อยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตกของ Jutland วิธีการ สหกรณ์นมเนยเริ่มตั้งแต่สหกรณ์ท้องถิ่นและสหกรณ์มีความรับผิดชอบไม่จ ากัด ทุนที่ใช้ก็จากธนาคารเอกชนและ จากเงินที่เรียกเก็บจากสมาชิก สมาชิกแต่คนเลี้ยงวัวนมของตนเอง นมสดที่เกินความต้องการของสมาชิกก็ส่งให้ สหกรณ์ สหกรณ์จ่ายค่านมเป็นรายเดือนตามคุณภาพ และส่งนมสดเข้าโรงงานท าเป็นเนยแล้วจัดการจ าหน่ายต่อไป ปลายปีเมื่อมีก าไรก็จะน าก าไรมาแบ่งปันให้สมาชิกตามส่วนมากน้อย ของปริมาณนมสดที่สมาชิกแต่ละคนส่งให้สหกรณ์ตลอดปี การที่ เดนมาร์กเห็นคุณค่าของวิธีการสหกรณ์ และได้รวมกันจัดตั้งเป็น สหกรณ์ขึ้นนั้น จากโรงเรียนมัธยมชนบท (folk high school) ที่ก่อตั้ง ขึ้นตามแนวคิดของ ท่านสังฆราชกรุณฑริก (Bishop Grundtwig ๑๗๘๓ - ๑๘๘๒) ผู้ประกอบอาชีพการเกษตร และเป็นสมาชิก สหกรณ์ถึงร้อยละร้อย ดังนั้นการสหกรณ์ของเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาก อาจกล่าวได้ว่าเจริญที่สุดในโลกก็ว่าได้ ดังนั้นพลเมืองของเขาจึงมี รายได้สูงพอๆ กับอเมริกา มีความอยู่ดีกินดี มีความสงบสุขและมีสันติ สุขสูงสุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย สหกรณ์รูปส าคัญของพวกเขา คือ สหกรณ์ผู้ผลิตนมเนย สามารถน าผลิตผลออกจ าหน่ายได้ทั่วโลก เหตุที่ สหกรณ์ในเดนมาร์กเจริญก้าวหน้ามาก เพราะ ๑) มีผู้น าที่เข้มแข็ง ซื่อสัตย์และเสียสละ ๒) พลเมืองเดนมาร์กเป็นคนขยันหมั่นเพียร เข้มแข็ง และมีระเบียบวินัย ๓) มีการร่วมมือกันในการจัดตั้งสหกรณ์อย่างเข้มแข็ง จริงจัง ซื่อสัตย์ สุจริต และเสียสละ ๔) มีการจัดการปฏิรูปที่ดินอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ ๕) รัฐตั้งธนาคารสหกรณ์ขึ้นมาเพื่อช่วยพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ให้เกิดผล ๖) มีการส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์อย่างจริงจังจนเจริญก้าวหน้า สหกรณ์ผู้ผลิตนมในอินเดีย อินเดียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ มีพลเมืองมาก และมีคนจนมาก คือมีพื้นที่รวม ๑,๓๐๐,๐๐๐ ตารางไมล์ มีพลเมือง ๑,๓๐๐ ล้านคน และมีคนจนถึง ๓๕๐ ล้านคน ดังนั้น รัฐบาลของอินเดียทุกยุค ทุกสมัยจึงได้ยึดเอาการสหกรณ์เป็นเครื่องมือส าคัญในการพัฒนาประเทศ เพื่อยกมาตรฐานความเป็นอยู่ของพลเมือง ให้สูงขึ้น ปี ๒๕๕๐ อินเดียมีสหกรณ์ด าเนินการอยู่ประมาณ ๔๕๐,๐๐๐ สหกรณ์ มีสมาชิกรวม ๒๕๐ ล้านคน แต่ที่ ส าคัญคือสหกรณ์ผู้ผลิตนม สหกรณ์ผู้ผลิตน้ าตาล และสหกรณ์ผู้ผลิตปุ๋ย เพราะสหกรณ์เหล่านี้มีปริมาณธุรกิจมาก มี ก าไรมาก สามารถช่วยเหลือคนยากคนจนได้มาก และยังสามารถช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนและสังคมที่ อยู่รอบข้างได้มากด้วย เช่น สหกรณ์ผู้ผลิตนมแห่งต าบลไกรา แห่งเมืองอานันท์ (Anand) ในแคว้นกุจราต ซึ่ง สามารถผลิตนมได้ถึงวันละ ๑,๒๐๐,๐๐๐ ลิตร (ปี ค.ศ. ๑๙๙๕) จึงมีทุนมาก มีผลงานมาก และมีก าไรมาก ซึ่งต่อมา ได้น าก าไรที่เกิดขึ้นไปช่วยเหลือสังคมที่อยู่รอบข้างได้อีกมากมาย เช่น ๑) ตั้งธนาคารสหกรณ์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนยากคนจนและพัฒนาการสหกรณ์ ๒) ตั้งโรงเรียนทั้งระดับประถมและมัธยมขึ้นมา เพื่อให้คนยากคนจนได้เรียนหนังสือ


๓๔ ที่มา : https://pt.wikipedia.org/wiki/ Luigi_Luzzatti ๓) ตั้งวิทยาลัยพัฒนาชนบท (เทียบเท่ามหาวิทยาลัย) ขึ้นมาในเขตสหกรณ์ ๔) ตั้งโรงพยาบาลคนและโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นมา เพื่อให้บริการแก่บุคคลทั่วไป ๕) สร้างถนนเป็นร้อยๆ ไมล์ ๖) สร้างระบบชลประทานให้แก่ท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง และ ๗) สร้างบริการสาธารณะอื่นๆ ขึ้นมาอีกมากมาย โดยใช้ทุนของสหกรณ์เอง จนกลายเป็นตัวอย่างของการพัฒนารูปแบบของสหกรณ์ผู้ผลิตนมขึ้นมา ทั้งในและต่างประเทศในโอกาส ต่อมา คือ ขั้นแรก ตั้งสหกรณ์ผู้ผลิตนมตามแบบของอานันท์ หรือ ANAND MODEL ให้แก่รัฐต่างๆ เกือบทั่ว ประเทศ ซึ่งก็ประสบผลส าเร็จอย่างน่าชื่นชมเช่นกัน เสร็จแล้วยังเผื่อแผ่ส่งคนไปช่วยจัดตั้งสหกรณ์ผู้ผลิตนมให้แก่ ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ศรีลังกา เนปาล บังคลาเทศ อียิปต์ ซูดาน และทานซาเนีย ด้วย ก าเนิดสหกรณ์คนงานในประเทศฝรั่งเศส สหกรณ์คนงานหรือสหกรณ์แรงงานแห่งแรก ก าเนิดขึ้นที่เมือง กีส ก่อตั้งโดย อังเดร โกแดง ซึ่งมีบทบาทส าคัญในการพัฒนาสหกรณ์รูปนี้ในประเทศฝรั่งเศส แม้จะไม่โดดเด่นเหมือน สหกรณ์รูปอื่น ๆ ใน ระยะเวลาที่ผ่านมา แต่สหกรณ์รูปนี้ก็ได้พัฒนาอยู่ในกลุ่มเกษตรกร กลุ่มงานหัตถกรรมและ อุตสาหกรรม และเป็นรูปแบบที่คาดว่าจะมีความส าคัญในคริสศตวรรษที่ ๒๑ ประวัติสหกรณ์ในประเทศอิตาลีสหกรณ์เครดิตทั้ง ๒ แบบของเยอรมัน ได้ ท าให้เกิดสหกรณ์เครดิตขึ้น ในประเทศอื่นๆ ทั้งที่ได้น าหลักการไปใช้โดยไม่มีการ ดัดแปลงหรือมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพแต่ละท้องที่และที่ส าคัญที่สุด สหกรณ์เครดิตแบบลุซชัตติ (Luzzatti) ในประเทศอิตาลี ตั้งขึ้นโดย ลุยจิ ลุซชัดติ (Luigi Luzzatti) ในปี ค.ศ.๑๘๘๖ เป็นสหกรณ์เครดิตในเมืองมิลาน หรือ เรียกว่า ธนาคารประชาชน นอกจากนั้นยังมีการจัดตั้งสหกรณ์เช่านา ปี ค.ศ.๑๘๘๖ เป็น สหกรณ์ที่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกท านาร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหา ๒ ประการคือ ๑) ช่วยคนว่างงาน ๒) ขจัดปัญหาเจ้าของที่ดินและคนกลางที่เอารัดเอาเปรียบด้าน ผลผลิตของชาวนา ประวัติสหกรณ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นอีกประเทศหนึ่งที่กิจการสหกรณ์เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านเกษตรกรรมมีประวัติวิวัฒนาการเป็นของตนเอง แม้ว่าจะได้แนวความคิดมาจากยุโรปก็ตาม ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา สหกรณ์แบ่งตามประเภทใหญ่ได้ ๓ ประเภท คือ ๑. สหกรณ์เกษตรกรรม แนวโน้มความส าคัญเพิ่มมากขึ้นของสหกรณ์ประเภทนี้ เริ่มในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ เป็นต้นมา ๒. สหกรณ์ผู้บริโภค เป็นสหกรณ์ที่มีจ านวนถึง ๕๐ % ของจ านวนสหกรณ์ทั้งหมดและจ านวนมากกว่า ครึ่งหนึ่งของสหกรณ์ผู้บริโภคทั้งหมดเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ของชาวเมืองในระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๕๑- ๑๙๖๒ สหกรณ์ ออมทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง ๒ เท่า ๓. สหกรณ์บริการทางธุรกิจ สหกรณ์ประเภทนี้แบ่งออกเป็น - สหกรณ์บริการทางธุรกิจ - สหกรณ์บริการเกี่ยวกับหัตถกรรม การตลาด และการจัดหา - สหกรณ์ขายส่งส าหรับผู้ประกอบการขายปลีก


๓๕ ที่มา : https://www.aveleyman.com/ ActorCredit.aspx?ActorID=65629 ประวัติศาสตร์สหกรณ์ไทย การสหกรณ์ไทยเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากกรุงรัตนโกสินทร์ได้เริ่มมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจของชนบท เริ่มเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบแลกเปลี่ยนสินค้าต่อสินค้า (barter System) มาสู่ระบบ เศรษฐกิจเพื่อการค้า (Commercial economic activities) ความต้องการเงินทุนเพื่อขยายการผลิตทาง เกษตรกรรมและการครองชีพจึงมีเพิ่มขึ้น ชาวนาที่ไม่มีเงินทุนของตนเองต้องไปกู้ยืมจากนายทุนท าให้ต้องเสีย ดอกเบี้ยในอัตราสูงและถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อนายทุน มีปัญหาหนี้สินที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ผลผลิตที่ได้จากการ ท าการเกษตรไม่มีความแน่นอน เพราะต้องพึ่งสภาพดินฟ้าอากาศ ประกอบกับรายได้จากการขายผลผลิตต้องน าไป ช าระหนี้แก่พ่อค้านายทุนจนในที่สุด บางรายได้ไม่มีเหลือที่มาท ากินต้องเสียกรรมสิทธิ์ให้แก่เจ้าหนี้กลายเป็นผู้เช่าที่ นาแทนท าให้ชาวนายากจนและเป็นหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ปัญหาความยากจนของชาวนาท าให้รัฐบาลในขณะนั้นคิดหาวิธีช่วยเหลือด้านการจัดหาเงินทุนมาให้ชาวนาได้ กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ า เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเงินทุนของเกษตรกร โดยน าแนวทางวิธีการสหกรณ์มาใช้เป็น เครื่องมือในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยสหกรณ์ไทยมีวิวัฒนาการและเหตุการณ์ส าคัญ สรุปได้ดังต่อไปนี้ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ.๒๔๕๖ เมื่อแบงค์สยามกัมมาจล จ ากัด (ถือเป็นธนาคารแห่งแรกในประเทศไทย ต่อมา เปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารไทยพาณิชย์) ประสบภาวะวิกฤต กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงการคลัง) ต้องเข้าช่วยเหลือ โดยเพิ่มหุ้นและทุนให้จึงถือโอกาสปรับปรุง แบงค์สยามกัมมา จล ให้เป็นธนาคารที่ประชาชนสามารถกู้ยืมเงินไปลงทุนทางการเกษตร และ ปลดเปลื้องหนี้สินได้ ตามแบบอย่างของธนาคารแห่งเบงกอล ธนาคารแห่งมัทราส และธนาคารแห่งบอมเบย์ ของ ประเทศอินเดียในสมัยนั้น พ.ศ.๒๔๕๗ ในปลายรัชกาลที่ ๕ โดยก าหนดวิธีการที่จะช่วยชาวนาในด้านเงินทุนไว้๒ วิธี คือ วิธีที่ ๑ จัดตั้งธนาคารเกษตรเพื่อให้เงินกู้แก่ชาวนา แต่ขัดข้องในเรื่องเงินทุน และหลักประกันเงินกู้ ความคิดนี้จึงระงับไป วิธีที่ ๒ วิธีการสหกรณ์ประเภทหาทุน วิธีนี้เกิดจากรัฐบาลโดยกระทรวงพระคลัง มหาสมบัติ ในปัจจุบันคือกระทรวงการคลัง ได้เชิญ Sir Bernard Hunter หัวหน้าธนาคารแห่งมัดราส ประเทศ อินเดียเข้ามาส ารวจหาลู่ทางช่วยเหลือชาวนา ได้เสนอว่าควรจัดตั้ง “ธนาคารให้กู้ยืมแห่งชาติ” ด าเนินการให้กู้ยืมแก่เกษตรกร โดยให้ บริษัท แบงค์สยามกัมมาจล จ ากัด เป็นธนาคารให้กู้ยืมเงินแก่ ราษฎรไปเป็นทุนในการผลิตและปลดเปลื้องหนี้สิน โดยตั้งเป็น ธนาคารให้กู้ยืมแห่งชาติ (National Loan Bank) ใช้ที่ดินและ หลักทรัพย์อื่นเป็นหลักประกัน เพื่อป้องกันมิให้ชาวนาที่กู้ยืมเงิน ทอดทิ้งที่นาหลบหนี้สิน ส่วนการควบคุมเงินกู้และการเรียกเก็บ เงินกู้ ท่านได้แนะน าให้จัดตั้งเป็นสมาคมที่เรียกว่า “Co-operatives Society” โดยมีหลักการร่วมมือ กัน เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งค านี้ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ได้ทรงบัญญัติศัพท์ เป็นภาษาไทยว่า “สมาคมสหกรณ์” ซึ่งใช้พระราชบัญญัติสมาคม พ.ศ.๒๔๕๗ เป็นกฎหมายคุ้มครอง สหกรณ์ จึงกล่าวได้ว่า ประเทศไทยเริ่มศึกษาวิธีการสหกรณ์ขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗


๓๖ ที่มา : http://wannachaiblog.blogspot.com/2015/11 /blog-post.html พ.ศ.๒๕๕๘รัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลง กรมสถิติพยากรณ์ เป็นกรมพาณิชย์และสถิต พยากรณ์ ประกอบด้วยส่วนราชการ ๓ ส่วน คือ การพาณิชย์ การสถิติพยากรณ์ และการสหกรณ์ การจัดตั้งส่วนราชการสหกรณ์นี้ ก็เพื่อจะให้มีเจ้าหน้าที่ด าเนินการทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้น รัฐบาล ได้ให้จัดตั้ง “แผนกการสหกรณ์” สังกัด กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อ รับผิดชอบด้านการสหกรณ์โดยเฉพาะ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ.๒๔๕๘ แต่งตั้งให้ “พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เป็นอธิบดีกรมพาณิชย์และ สถิติพยากรณ์ และเป็นนายทะเบียนสหกรณ์ด้วย ขณะนั้นได้ทรงพิจารณาเลือกแบบอย่างสหกรณ์เครดิตที่ จัดตั้งกันอยู่ในต่างประเทศ หลายแบบในที่สุดก็ทรงเลือก แบบไรฟ์ไฟเซน สาเหตุที่ทรงเลือกรูปแบบบสหกรณ์นี้ คือ มีจุดมุ่งหมายที่จะอุปถัมภ์คนจนผู้ประกอบกสิกรรม ย่อมๆ สหกรณ์เพื่อการกู้ยืมเงินที่มีขนาดเล็กสมาชิกจะได้ มีความรับผิดชอบร่วมกัน ท าให้สะดวกแก่การควบคุม ส าหรับประเทศไทยจากการที่พระองค์ได้ทรงเป็นผู้ บุกเบิกริเริ่มงานสหกรณ์ ขึ้นในป ระเทศไทยบุคคล ทั้งหลายในขบวนการสหกรณ์ จึงถือว่าพระองค์เป็น “พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย พ.ศ.๒๔๕๙ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ได้ส่งนายเคเบิล (J.A. Cable) กับข้าราชการ ๒ นายได้แก่ นายเสริม ชูโต และนายประดิษฐ์ สุจริตกุล(ภายหลังเป็นพระเสริมพาณิชย์ และพระ ประดิษฐ์สหการ) ได้ส ารวจความเป็นอยู่ของประชาชน ในจังหวัดพิษณุโลก พร้อมเผยแพร่วิธีการ สหกรณ์ไปด้วย การพิจารณาเลือกพื้นที่อ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกเป็นพื้นที่ทดลองจัดสหกรณ์ เป็นแห่งแรกเนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีผู้คนไม่หนาแน่น ความเป็นอยู่ของราษฎรที่ค่อนข้างยากจน รวมถึงมีพื้นที่ว่างมาก พอที่จะให้ราษฎรสามารถจับจองเพื่อท านาได้ และเป็นราษฎรที่เพิ่งอพยพมา จากทางใต้ จึงต้องการช่วยเหลือผู้อพยพ ซึ่งประกอบอาชีพการเกษตรให้ตั้งตัวได้ รวมทั้งเพื่อเป็น การชักจูงราษฎรในจังหวัดอื่น ที่มีผู้คนหนาแน่นให้อพยพมาในจังหวัดนี้ และเข้าท าประโยชน์ใน ที่ดินอย่างเต็มที่ ที่ส าคัญส่วนราชการขณะนั้นให้การสนับสนุนมากดังจะเห็นได้จากข้อความตอน หนึ่งที่พระประกาศสหกรณ์แต่เขียนประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดสหกรณ์ไว้ในหนังสือ ๕๐ ปีของ การจัดสหกรณ์ ว่า “การริเริ่มจัดตั้งสหกรณ์หาทุนในจังหวัดพิษณุโลกเป็นแห่งแรกนั้นพระยาสุรบ ดินทร์ สุรินทร์ฤาไชย (พร จารุจินดา) สมุหเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกเป็นผู้สนใจงานสหกรณ์และ ได้ร้องให้จัดตั้งเป็นตัวอย่างในจังหวัดพิษณุโลกก่อนจึงได้มีการทดลองจัดตั้งสหกรณ์หาทุนขึ้นเป็น แห่งแรกของอ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ใช้ชื่อว่า “สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จ ากัดสินใช้


๓๗ ที่มา : https://www.025798899.com/news/1710 เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ.๒๔๕๙ จดทะเบียนเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (ถือเป็นวันสหกรณ์แห่งชาติ) มีพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์เป็นนายทะเบียนรับจดทะเบียนนับเป็นการเริ่มต้นการสหกรณ์ในประเทศ ไทยอย่างสมบูรณ์ โดยจดทะเบียนภ ายใต้พระราชบัญ ญัติสม าคม ซึ่งได้มีการตราเป็น พระราชบัญญัติสมาคมแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๔๕๙ ส าหรับใช้จดทะเบียนสหกรณ์ไปก่อนเป็นการ ชั่วคราว เพื่อเพิ่มบัญญัติพิเศษผนวกเข้ากับพระราชบัญญัติสมาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ว่าด้วยสมาคมสิ่งที่ เรียกว่า “สหกรณ์เพื่อให้อ านาจแก่กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ในการรับจดทะเบียนและตรวจ ตราควบคุมสหกรณ์โดยเฉพาะ ในระยะแรกตั้งสหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จ ากัดสินใช้ มีสมาชิกจ านวน ๑๖ คน ทุนด าเนินงาน ๓,๐๘๐ บาท ซึ่งเป็นเงินจากค าธรรมเนียมแรกเข้า ๘๐ บาท และเงินทุนจ านวน ๓,๐๐๐ บาท ได้อาศัยเงินกู้ จากแบงค์สยามกัมมาจล จ ากัด ซึ่งก็คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยมีกระทรวงพระคลัง มหาสมบัติ เป็นผู้ค้ าประกัน และเสียดอกเบี้ยธนาคารในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี คิดดอกเบี้ยจาก สมาชิกในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี ก าหนดให้สมาชิกส่งคืนเงินต้นในปีแรก จ านวน ๑,๓๐๐ บาท แต่ เมื่อครบก าหนดสมาชิก


๓๘ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ.๒๔๕๘ สามารถส่งเงินต้นคืนได้ถึง ๑,๕๐๐ บาท ทั้งส่งดอกเบี้ยได้ครบทุกรายการแสดงให้เห็นว่าการน า วิธีการสหกรณ์เข้ามาช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของชาวนาได้ผล และจากความส าเร็จของสหกรณ์ วัดจันทร์ ไม่จ ากัดสินใช้ รัฐบาลจึงได้คิดขยายกิจการสหกรณ์ไปยังจังหวัดอื่นๆ แต่การจัดตั้งสหกรณ์ ในระยะแรกนั้น นอกจากจะมีข้อจ ากัดเรื่องเงินทุนแล้วยังมีข้อจ ากัดในทางกฎหมายด้วย เพราะ พระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ท าให้การจัดตั้งสหกรณ์ไม่กว้างขวาง พอที่จะขยาย สหกรณ์ออกไป หากจะให้การจัดตั้งสหกรณ์เจริญก้าวหน้า และมีความมั่นคง จะต้องออกกฎหมาย ควบคุมให้มีขอบเขตกว้างขวาง พ.ศ.๒๔๖๓ กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงพาณิชย์ และ แผนกงานสหกรณ์ ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “กรมสหกรณ์” สังกัดกระทรวงพาณิชย์ และถือเป็นปี ก าเนิดของกรมสหกรณ์ และงานตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ อยู่ภายใต้แผนกงานสหกรณ์ได้รับการ จัดตั้งให้เป็นกองบัญชี พ.ศ.๒๔๖๕ รัฐบาลได้ส่งพระราชวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (นายทะเบียนสหกรณ์) เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมกับที่ปรึกษากระทรวงพาณิชย์ นายอาร์ เอส เลอเมย์ (Mr.R.S.Le may) และเจ้าพนักงานสักทองอีกสองคนคือพระประกาศสหกรณ์สดับเทียน และเจ้าพนักงานสหกรณ์อีก ๒ คนคือพระประกาศสหกรณ์ (สดับ วีรเกียร) และ พระพิจารพาณิชย์ (พิจารณ์ ปัญยวนิช) เดินทางไปศึกษาดูงานด้านสหกรณ์ที่ประเทศพม่าและประเทศอินเดีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๕ เพื่อน าความรู้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการจัดการด้านสหกรณ์ในประเทศไทย พ.ศ.๒๔๗๑ ประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. ๒๔๗๑ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๑ ถือเป็นพระราชบัญญัติสหกรณ์ฉบับแรกที่ ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้สหกรณ์ร่วมกลุ่มการก่อตั้ง เป็นชุมนุมสหกรณ์ สันนิบาตสหกรณ์ มีการรวมกลุ่มกัน จัดตั้งและจดทะเบียนเป็นชุมนุมสหกรณ์ ฯลฯ และได้มี การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.๒๔๗๑ อีก ๓ ครั้งนับว่าการประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ช่วยให้การจัดตั้งสหกรณ์ได้ ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง


๓๙ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ.๒๔๗๕ มีการเปลี่ยนชื่อกระทรวงพาณิชย์ เป็นกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม สหกรณ์ย้ายไป สังกัดกระทรวงเกษตรและพาณิชยการ พ.ศ.๒๔๗๖ กลุ่มสหกรณ์ย้ายไปสังกัดทบวงเกษตราธิการ ตามการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระทรวง เกษตรพาณิชยการ เป็นกระทรวงเศรษฐการ มีแบ่งส่วนงานเป็น ๒ ทบวง คือ ตกลงพาณิชย์และ คมนาคม และทบวงเกษตราธิการ พ.ศ. ๒๔๗๗ มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.๒๔๗๗ เพื่อเปิดทางให้สามารถรับจด ทะเบียนสหกรณ์ได้คลอบคลุมทุกประเภท ไม่เฉพาะแต่เพียงสหกรณ์หาทุนเท่านั้น และมีการ ปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมเพิ่มเติม โดยยกสถานะทบวงเกษตราธิการ เป็น กระทรวงเกษตราธิ การ พ.ศ.๒๔๗๘ มีการริเริ่มจัดตั้งสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินที่จังหวัดปทุมธานี และได้จัดตั้ง สหกรณ์ประเภทใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายประเภท เช่น สหกรณ์บ ารุงที่ดิน สหกรณ์การขาย สหกรณ์นิคมฝ้าย สหกรณ์หาทุนและ บ ารุงที่ดิน พ.ศ.๒๔๘๐ ร้านสหกรณ์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกที่อ าเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่อว่าร้าน สหกรณ์บ้านเกาะ จ ากัดสินใช้ มีสมาชิกแรกตั้ง ๒๗๙ คน และได้มีการจัดตั้งร้านสหกรณ์ในลักษณะ นี้ขึ้นอีกหลายแห่ง เพื่อช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ โดยจัดตั้งขึ้นทั้งในส่วน ราชการ รัฐวิสาหกิจ และส่วนของประชาชน พ.ศ. ๒๔๙๑ มีการจดทะเบียนร้านสหกรณ์เพิ่มขึ้นคือ “ร้านสหกรณ์พระนคร จ ากัดสินใช้” เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๙๑ ระยะแรกเปิดด าเนินกิจการอยู่ภายในกระทรวงสหกรณ์ ต่อมาได้ย้ายไป เปิดส านักงานที่สี่แยกราชประสงค์ ถนนราชด าริ กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๙๒ สหกรณ์ออมทรัพย์และเครดิตส าหรับคนมีเงินเดือนก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก คือ “สหกรณ์ ข้าราชการสหกรณ์ จ ากัดสินใช้” จดทะเบียนเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๙๒ โดยข้าราชการ สหกรณ์และพนักงานธนาคารเพื่อสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมในหมู่สมาชิกสหกรณ์ และให้สมาชิกกู้ยืมเมื่อต้องการ เริ่มมีการจัดตั้งสหกรณ์ประมงขึ้นเป็นครั้งแรกชื่อ “สหกรณ์ประมงพิษณุโลก จ ากัดจังหวัด พิษณุโลก เป็นสหกรณ์ประเภทประมงน้ าจืดในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ พ.ศ. ๒๔๙๓ มีการจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์อุตสาหกรรมยางแผ่น ในหมวดสหกรณ์อุตสาหกรรมเป็น ครั้งแรกชื่อ “อุตสาหกรรมยางแผ่นนาท่าม จ ากัดสินใช้” เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ตั้งอยู่ที่บ้านโพธิ์ อ าเภอเมืองตรัง มีสมาชิก ๑๓๓ คน


๔๐ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๔๙๔ มีการแบ่งส่วนราชการกรมสหกรณ์ ประกอบด้วย๑) ส านักงานเลขานุการกรม ๒) กองสหกรณ์ธนกิจ ๓) กองสหกรณ์ผู้ผลิต ๔) กองสหกรณ์ผู้บริโภค ๕) กองสหกรณ์นิคม ๖) กอง วิชาการและส่งเสริมสหกรณ์ ๗) กองควบคุมสหกรณ์ ๘) กองควบคุมเงินทุนส่งเสริมการสหกรณ์ ๔) กองตรวจบัญชี ตามพระราชกฤษฎีการจัดวางระเบียบราชการกรมสหกรณ์ กระทรวงเกษตราธิการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ พ.ศ. ๒๔๙๕ ยกสถานะกรมสหกรณ์ขึ้นเป็น กระทรวงการสหกรณ์ ประกอบด้วยส่วนราชการ คือ ๑)ส านักงานเลขานุการรัฐมนตรี ๒) ส านักงานปลัดกระทรวงการสหกรณ์ ๓) กรมตรวจบัญชี สหกรณ์ ๔)กรมสหกรณ์ที่ดิน ๕) กรมสหกรณ์พานิชย์ 5) กรมสหกรณ์ธนกิจ และกองบัญชีเป็นส่วน ราชการระดับกองสังกัดกรมสหกรณ์ มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นส่วนราชการ ระดับกรม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ถือว่าเป็นปีสถาปนาของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการจดทะเบียนจัดตั้ง “สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทย จ ากัดสินใช้” เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ถือเป็นต้นก าเนิดของ “ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด และ“ชุมนุมร้านสหกรณ์แห่งประเทศไทย จ ากัด” ในปัจจุบัน สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทยจ ากัด สินใช้ ถือว่าเป็นศูนย์กลางของร้านสหกรณ์ทั่วประเทศ ท าหน้าที่ขายสินค้า เครื่องอุปโภค บริโภคส่ง ให้แก่สหกรณ์สมาชิกทั่วประเทศ มีการจดทะเบียนจัดตั้ง สหกรณ์ประมงประเภทน้ าเค็ม เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ “สหกรณ์ประมงกลาง จ ากัด”เพื่อด าเนินการจัดหาทุน จ าหน่ายสัตว์น้ าและผลิตภัณฑ์แปร รูปและจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือประมง พ.ศ. ๒๔๙๗ มีการก าหนดประเภทสหกรณ์โดยกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ ๒๔๗๑ เพิ่มขึ้นอีก ๒๒ ประเภท เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยเฉพาะสหกรณ์ขายส่งที่เป็นศูนย์กลางของ สหกรณ์ทั่วประเทศท าหน้าที่ซื้อขายสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภคส่งให้แก่สหกรณ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ มีการจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์บริการศึกษาในหมวดสหกรณ์บริการ ชื่อ “สหกรณ์ บริการการศึกษา จ ากัดสินใช้” เมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ตั้งอยู่ที่ปากตรอกเชียงกง ถนน เจริญกรุงต าบล สัมพันธวงศ์ อ าเภอ สัมพันธวงศ์ จังหวัด พระนคร พ.ศ. ๒๔๙๙ คณะเศรษฐศาสตร์และสหกรณ์ ได้ย้ายการสอนจากกระทรวงสหกรณ์ ไปรวมอยู่ใน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙


๔๑ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๐๒ จัดตั้งสหกรณ์ขนาดใหญ่เป็นแห่งแรก ชื่อว่า “สหกรณ์เครดิตเพื่อผลิตกรรม” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ถือว่าเป็นสหกรณ์ต้นแบบของสหกรณ์ระดับอ าเภอในเวลาต่อมา ณ อ าเภอปาก ช่อง จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๐๔ มีการบรรจุแผนพัฒนาสหกรณ์ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็น ครั้งแรกตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ พ.ศ. ๒๕๐๗ มีการยุบเลิกกระทรวงสหกรณ์และตอนหน่วยงานทั้งหมดไปสังกัดกระทรวง พัฒนาการแห่งชาติที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยแบ่งส่วนราชการเป็นกรมสหกรณ์ที่ดินรับผิดชอบดูแลสหกรณ์ บ ารุงที่ดินสหกรณ์นิคม สหกรณ์เช่าที่ดิน และสหกรณ์เข่าซื้อที่ดินเป็นต้น กรมสหกรณ์พาณิชย์และ ธนกิจรับผิดชอบดูแลสหกรณ์เครดิตเพื่อผลิตกรรม สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ร้านค้า เป็นต้นกรม ตรวจบัญชีสหกรณ์ รับผิดชอบดูแลกองงานนายทะเบียน สหกรณ์กองฝึกอบรมสหกรณ์ กอง วิชาการ และ กองเศรษฐการสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในหลวง รัชกาลที่ ๙ เสด็จแปรพระราชฐานประทับ ณ พรราชวังไกลกังวล อ าเภอหัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ และเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในบริเวณใกล้เคียง พระองค์ทรงทราบถึงความ เดือดร้อนของเกษตรกร กลุ่มชาวสวนผักชะอ า จ านวน ๘๓ ครอบครัว ขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะ น าไปประกอบอาชีพ พระองค์จึงทรงรับเกษตรกรเหล่านี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และโปรดเกล้าฯ ให้ ฯพณฯ องคมนตรี หม่อมหลัวเดช สนิทวงศ์ ซึ่งขณะนั้นด ารงต าแหน่งประธานคณะกรรมการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้จัดหาที่ดินท ากินในเขตจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์น ามาจัดสรรให้เกษตรกรดังกล่าวและด าเนินการตามโครงการไทย - อิสราเอลเพื่อ พัฒนาชุมชน (หุบกะพง) โดยเลือกที่ดินบริเวณหุบกะพง อ าเภอชะอ า จังหวัดเพชรบุรี เป็นที่ตั้งของ ศูนย์สาธิตและทดลอง การเกษตรของโครงการ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหมู่บ้านสหกรณ์ตัวอย่าง ในโครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี มีการจดทะเบียนจัดตั้งชุมนุมสหกรณ์หาทุนขึ้น ๒ แห่ง คือ “ชุมนุมสหกรณ์หา ทุนเชียงใหม่และ ชุมนุมสหกรณ์หาทุนอุตรดิตถ์” เมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ พ.ศ.๒๕๐๖ คณะสงฆ์คณะเยซูอิตแห่งคาทอลิก จัดสัมมนาระดับชาติเรื่องการพัฒนาเครดิตยู เนี่ยนที่บ้านเซเวียร์ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้แทนจากประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกงและ ไทยเครดิตยูเนี่ยนจึงได้เริ่มขึ้นในประเทศไทยเป็นต้นมา


๔๒ ที่มา : https://www.cultthai.coop/cultthai /index.php/2017-05-24-02-43-05/cu-history1-2 เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๐๗ บาทหลวงอัลเฟรด บอนแนงค์และนายแพทย์ ชวลิตจิตรานุเคราะห์ ได้จัดตั้ง สมาคม "ศูนย์กลางเทวา" ขึ้นที่ สลัมห้วยขวาง เพื่ออบรมศึกษาผู้ใหญ่และช่วยคนยากจนโดย วิธีเครดิตยูเนี่ยน ขณะนั้นเครดิตยูเนี่ยน ได้เริ่มแพร่หลายไป มากแล้วในต่างประเทศ คุณพ่อบอนแนงค์ ทราบดีถึง คุณประโยชน์อันมหาศาลของวิธีการเครดิตยูเนี่ยน จึงได้ส่ง นายอัมพร วัฒนวงศ์ เจ้าหน้าที่ของสมาคมศูนย์กลางเทวา ไป ศึกษางานพัฒนาและเครดิตยูเนี่ยน ณ สถาบันเซียร์โซลิน ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗- พ.ศ. ๒๕๐๘) แผนกที่ศึกษานั้นสอนเรื่องการพัฒนาคนโดยวิธีการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. ๒๕๐๘ นายอัมพร วัฒนวงศ์ จึงได้กลับมาจุดประกายเครดิตยูเนี่ยนขึ้น โดยพยายาม ชักชวนรวมกลุ่มคนในแนวคิดใหม่ของการพัฒนาวิธีการนี้แก่ชาวบ้านในชุมชนที่ตั้งของสมาคม จนกระทั่งสามารถจัดตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยนขึ้นส าเร็จ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๘ ด้วยจ านวน สมาชิกแรกเริ่ม ๑๓ คน เงินทุนรวม ๓๖๐ บาท โดยใช้ชื่อว่า “กลุ่มเครดิตยูเนี่ยนแห่งศูนย์กลางเท วา นับเป็นเครดิตยูเนี่ยนแห่งแรกในประเทศไทย จากนั้นเป็นต้นมา ขบวนการเครดิตยูเนี่ยนก็แพร่ ขยายและก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย จ ากัด เป็น ศูนย์กลางของขบวนเครดิตยูเนี่ยน ในปัจจุบัน เป็นการรวบรวมคนจากชุมชนแออัดห้วยขวางดิน แดง ขบวนการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนในเมืองไทย จึงก าหนดให้วันที่ ๒๕ กรกฎาคม เป็นวัน “เครดิตยูเนี่ยนไทย” และนับได้ว่า บาทหลวงอัลเฟรด บอนแนงค์คือ บิดาแห่งเครดิตยูเนี่ยนไทย พ.ศ. ๒๕๐๙ หลังจากที่ได้มีการจัดตั้งธนาคารเพื่อการสหกรณ์ขึ้นแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ธนาคารแห่งนั้นยังมีปัญหาอยู่มากไม่อาจท าหน้าที่ได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพต่อการที่ จะเอื้ออ านวยสินเชื่อให้เกษตรใต้ รัฐบาลจึงได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ขึ้น เพื่อท าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร ส าหรับ ส าหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรมหรืออาชีพที่ เกี่ยวข้องเนื่องกับเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มรายได้หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรหรือครอบครัว ของเกษตรกร โดยมีนายจ าเนียรสาระนาค เป็นผู้จัดการ ธ.ก.ส. คนแรกได้วางรากฐานการ ด าเนินงานพร้อมทั้งอุดมการณ์การท างานให้แก่พนักงาน ธ.ก.ส.


๔๓ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๐๙ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ในขณะนั้น จึงได้ข้อสรุป เสนอแนวทางการจัดตั้ง “สหภาพสหกรณ์” โดยจะใช้ชื่อว่า “สันนิบาตสหกรณ์” แทน ค าว่า“สหภาพสหกรณ์” เพื่อป้องกันความสับสน ระหว่างค าว่าสหภาพ (Union) กับสหภาพ แรงงาน พ.ศ. ๒๕๑๑ “สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย” ได้ถือก าเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ จากจุดเริ่มต้นโดยมีประชุมของคณะผู้เริ่มก่อตั้ง จ านวน ๒๔ คน มีนายปกรณ์ อังคุสิงห์ ปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ในขณะนั้นเป็นประธานฯ ได้มีมติด าเนินการขอจดทะเบียน จัดตั้งขึ้นเป็น “ชุมนุม สหกรณ์” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าแก่ กิจการของบรรดาสหกรณ์ทั่วประเทศ ตลอดจนอ่านวยความ สะดวกให้เกิดแก่กิจการของสหกรณ์ให้บริการฝึกอบรมแก่ เจ้าหน้าที่สหกรณ์รวมทั้งเป็นศูนย์ทางการเงินด้วย ระยะแรก ใช้ทุนด าเนินงานจากเงินสะสมช่วยจัดสหภาพสหกรณ์เพื่อใช้ ในการบริหารจัดการและได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ใช้ชื่อว่า “สันนิบาตสหกรณ์จ ากัดสินใช้” หมายเลขทะเบียน ๑๖/๑๑๒๘ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ จากนายทะเบียนสหกรณ์ในสมัยนั้น คือ พันเอกสุรินทร์ ชลประเสริฐ รองปลัดกระทรวง พัฒนาการแห่งชาติ ตามหนังสือที่ พก๐๒๐๓/๒๒๑ ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ จดทะเบียนเป็น สมาคมสหกรณ์ประเภทชุมนุมสหกรณ์มีนายประกรณ์ อังศุสิงห์ เป็นประธานกรรมการด าเนินการ คน แรก มีนายทนุ สาตราภัย เป็นรองประธานกรรมการด าเนินการ ในวันที่มีการจดทะเบียนนั้นได้มีการ ประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการด าเนินการเพื่อให้มีคณะกรรมการเตรียมการก่อสร้างอาคาร ส านักงานสันนิบาตสหกรณ์ฯโดยมี นายเทพ ไสยานนท์ เป็นประธานฯ ก าหนดแผนงานการ จัดสร้างใน วงเงินไม่เกิน ๖ ล้านบาท โดยให้ก่อสร้างขึ้นในบริเวณศูนย์ฝึกอบรมของกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ถนนพิชัย เขตดุสิต (ที่ตั้งเดิมในปัจจุบัน) จึงถือว่าได้ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ เป็นวันเริ่มต้นของ ขบวนการสหกรณ์ไทยและเป็นวันก าเนิด “สันนิบาตสหกรณ์ฯ” ภายใต้ชื่อว่า “สันนิบาตสหกรณ์แห่ง ประเทศไทย จ ากัดสินใช้พร้อมๆ กับได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างอาคารส านักงานสันนิบาตสหกรณ์ฯ โดยมี ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติสมัยนั้น นายพจน์ สารสิน เป็นประธาน ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๑๑ ประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๑๑ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ และให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ที่ใช้อยู่เดิมเพื่อเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้น และมีการขยายการด าเนินธุรกิจให้ เป็นเอนกประสงค์เปิดโอกาสให้มีการควบรวมสหกรณ์ขนาดเล็ก มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ขบวนการสหกรณ์ขึ้นโดยการควบรวมสหกรณ์หาทุน สหกรณ์ข้าว สหกรณ์บ ารุงดิน หรือสหกรณ์ ประเภทอื่น ที่มีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกันภายในอ าเภอเดียวกันเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งสหกรณ์ ชื่อว่า สหกรณการเกษตร และผลของการประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ฉบับนี้ ท าให้สันนิบาต สหกรณ์แห่งประเทศไทย จ ากัดสินใช้ เปลี่ยนสถานนะมาเป็นสถาบันของสหกรณ์ ภายใต้ชื่อว่า


๔๔ “สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย” ตามบทบัญญัติของกฎหมายมาตรา ๑๑๙ (๗) และ (๘) มีการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ ก าหนด ประเภทสหกรณ์ที่รับจดทะเบียน เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม มี ๘ ประเภท คือ ๑) สหกรณ์ธนกิจ ๒) สหกรณ์การซื้อ ๓)สหกรณ์การขาย ๔) สหกรณ์การบริการ ๕) สหกรณ์การเช่าที่ดิน ๖) สหกรณ์การ เช่าซื้อที่ดิน ๗)สหกรณ์นิคม ๘) สหกรณ์เอนกประสงค์ พ.ศ. ๒๕๑๒ มีการเปลี่ยนแปลงส าคัญของการสหกรณ์ไทย คือ การควบรวมสหกรณ์หาทุน ขนาดเล็กเข้าด้วยกันเพื่อขยายขอบเขตการด าเนินงานให้กว้าขวางมากยิ่งขึ้น เป็นสหกรณ์ การเกษตรระดับอ าเภอด้วยการวางแผนควบรวมสหกรณ์หาทุนระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๒ - ๒๕๑๔ ท าให้จ านวนสหกรณ์โดยรวมของประเทศลดลงเป็นจ านวนมากเหลือสหกรณ์เมื่อสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๑๔ จ านวน ๑,๔๙๘ สหกรณ์ จากสหกรณ์ทั้งหมดในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จ านวน ๑๐,๗๖๔ สหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ มีการจดทะเบียนตั้ง “บริษัท ที.เจ.ซี.เคมี จ ากัด” เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างชุมนุมสหกรณ์การขายและการซื้อแห่งประเทศไทย จ ากัด (ต่อมาคือ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด) ถือหุ้น ๕๑ เปอร์เซ็นต์ และมีชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น ๔๙ เปอร์เซ็นต์ มีทุนจดทะเบียน จ านวน ๕ ล้านบาท พ.ศ. ๒๕๑๔ จดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหกรณ์ ชื่อว่า “สหกรณ์การเกษตรหุบกะพง จ ากัด” เมื่อ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ ถือเป็นเหตุการณ์ส าคัญที่สหกรณ์เกิดขึ้นตามโครงการพระราชด าริและ มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพัฒนาสหกรณ์ แห่งนี้


๔๕ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๑๕ เกษตรกรสมาชิกของศูนย์รวมนมหนองโพ จ านวน ๑๘๕ คน เข้าชื่อขอจด ทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์ ใช้ชื่อว่า “สหกรณ์โคนมราชบุรี จ ากัด เป็นสหกรณ์ประเภทบริการ เมื่อ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๕ และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ สหกรณ์ฯ ได้ขอจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น “สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จ ากัด เป็นสหกรณ์ประเภทการเกษตร เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๑๖ มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๖-๒๑๗ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ให้ ยุบกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ และตั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้น โดยมีอ านาจหน้าที่ใน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการเสริมการสหกรณ์ของส านักปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติกรม สหกรณ์ที่ดิน และกรมสหกรณ์พานิชและธนกิจ ไปขึ้นกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ สังกัด กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ โดยมี พันเอกสุรินทร์ ชลประเสริฐ ด ารงต าแหน่งอธิบดีและนายทะเบียน สหกรณ์เป็นคนแรก มีประกาศคณะปฏิบัติ ฉบับที่ ๑๔๐ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๑๕ แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ ให้รับจดทะเบียนกลุ่มเกษตรกร เป็นนิติบุคคล เพื่อเปิด โอกาสให้หาทุนจากสถาบันการเงินของรัฐหรือเอกชนมาด าเนินการได้ภายใต้การควบคุมดูแลของ ราชการ จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ “สหกรณ์ขายส่งแห่งประเทศไทย จ ากัดสินใช้” เป็น “ชุมนุมสหกรณ์การขายและการซื้อแห่งประเทศไทย จ ากัด” เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ มีการจดทะเบียนจัดตั้ง “ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จ ากัด” พ.ศ. ๒๕๑๖ ประกาศกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ๒) ออกตามพระราชบัญญัติ สหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ ก าหนดประเภทสหกรณ์ไว้ ๖ ประเภท คือ ๑) สหกรณ์การเกษตร ๒) สหกรณ์นิคม ๓) สหกรณ์ประมง ๔) สหกรณ์ออมทรัพย์ ๕) สหกรณ์ร้านค้า ๖) สหกรณ์บริการ พ.ศ. ๒๕๑๗ มีการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ สหกรณ์วัดจันทร์ ไม่จ ากัดสินใช้ ซึ่งเป็นสหกรณ์แห่ง แรกของประเทศ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยการควบรวมกับสหกรณ์การเกษตรใน จังหวัดพิษณุโลก ๕ สหกรณ์ คือ สหกรณ์การเกษตรวัดจันทร์ จ ากัด สหกรณ์การเกษตรเมือง พิษณุโลกหนึ่ง จ ากัด สหกรณ์การเกษตรเมืองพิษณุโลกสอง จ ากัด สหกรณ์ขายข้าวใหม่ จ ากัด และ สหกรณ์ที่ดินพลายชุมพลสามัคคี จ ากัด จดทะเบียนเป็น “สหกรณ์วัดจันทร์ จ ากัด


๔๖ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๑๗ มีบทบัญญัติข้อความเกี่ยวกับการส่งเสริมสหกรณ์ในรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักร ไทย พ.ศ.๒๕๑๗ มีผลต้องแต่วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๘๓ “รัฐพึ่งส่งเสริมและ สนับสนุนการสหกรณ์” พ.ศ. ๒๕๑๘ มีการแยกตัวของชุมนุมสหกรณ์การขายและการซื้อแห่งประเทศไทย จ ากัด ออกเป็นชุมนุมร้านสหกรณ์แห่งประเทศไทย จ ากัด (ชรสท.) และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทยจ ากัด (ชสท.) โดยชุมนุมร้านสหกรณ์แห่งประเทศไทย จ ากัด ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ และข้อบังคับเมื่อ วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ มีการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อและข้อบังคับ “ชุมนุมสหกรณ์การขายและการซื้อ แห่งประเทศไทย จ ากัด” เป็น “ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด” (ชสท.) เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อด าเนินธุรกิจอบข้าวโพดส่งไปขายต่างประเทศ และย้ายส านักงานจาก ต าบลลุมพินีเขตปทุมวัน มาสร้างแห่งใหม่ที่ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ พ.ศ.๒๕๑๙ มีการขยายตัวของสหกรณ์ออมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น มีการแบ่งสหกรณ์ออมทรัพย์ ตามเกณฑ์อาชีพเป็น ๖ กลุ่ม คือ สหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการ ต ารวจ สาธารณสุข สถานศึกษา ต่างๆ หน่วยงานอื่นๆ และธุรกิจเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๐ หลังจากด าเนินนโยบายการควบรวมสหกรณ์หาทุนขนาดเล็กมาเป็นสหกรณ์ การเกษตรระดับอ าเภอ ได้มีการขยายตัวในการจดทะเบียนสหกรณ์ประเภทนี้เพิ่มขึ้น และผลการ ด าเนินงานดีขึ้น ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๖ - พ.ศ. ๒๕๒๐ สหกรณ์ที่ด าเนินการมีผลก าไรเพิ่มขึ้นจาก ๓๘๓ สหกรณ์ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็น ๔๕๔ สหกรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ พ.ศ. ๒๕๒๑ มีการบัญญัติข้อความเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองระบบสหกรณ์ไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ มีผลบังคับเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ มาตรา ๖๗ “รัฐพึงด าเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึง โดยการปฏิรูปที่ดิน หรือวิธีอื่น รัฐจึงคุ้มครองหรือรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในด้านการผลิต และการจ าหน่ายให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดหรือโดยวิธีอื่น และพึงส่งเสริมให้เกษตรกร รวมตัวกันเป็นสหกรณ์หรือวิธีอื่น รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสหกรณ์ในสถานศึกษา โดยออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่า ด้วยการจัดกิจกรรมในสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๒๑ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑


๔๗ เหตุการณ์ส าคัญ พ.ศ. ๒๕๒๒ มีการจดทะเบียนจัดตั้งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งแรกในจังหวัดอุบลราชธานี ชื่อ ว่า“สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแม่มูล จ ากัด” เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จ านวน ๑๔ สหกรณ์ ร่วมกันจดทะเบียนจัดตั้ง “ชุมนุม สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทย จ ากัด” เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ พ.ศ. ๒๕๒๔ คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ อนุมัติแผนพัฒนาสหกรณ์การเกษตรเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เกี่ยวกับการ จัดโครงสร้างของสหกรณ์การเกษตรในระดับอ าเภอ จังหวัด และระดับชาติ มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๔ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ พ.ศ.๒๕๒๗ คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๗ เห็นชอบให้วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น “วันสหกรณ์แห่งชาติ” พ.ศ. ๒๕๓๔ มีการตราบทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสหกรณ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๓๔ บังคับใช้เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ มาตรา ๗๖ พ.ศ. ๒๕๓๕ มีการส่งออกกล้วยหอมทองของสหกรณ์เป็นครั้งแรกที่ผลิตโดยสหกรณ์ การเกษตรท่ายางจ ากัด ส่งไปยังสหกรณ์ผู้บริโภคประเทศญี่ปุ่น โดยชุมนุมร้านสหกรณ์แห่งประเทศ ไทย จ ากัด เป็นผู้แทนท าสัญญาส่งออก ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ จ านวน ๕๐๐ กิโลกรัม และเริ่ม ส่งออกอย่างต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เป็นต้นมา พ.ศ. ๒๕๓๖ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดตั้งบริษัท สหประกันชีวิตของสหกรณ์ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๓๖ โดยมีหลักการเพื่อส่งเสริมสหกรณ์ทุกประเภทร่วมกันด าเนินธุรกิจประกันชีวิต ตามหลักการช่วยตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พ.ศ. ๒๕๔๐ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ริเริ่มประกาศเกียรติคุณผู้ท าคุณประโยชน์แก่วงการ สหกรณ์ให้เป็น“นักสหกรณ์แห่งชาติ” โดยออกระบบกรมส่งเสริมสหกรณ์ว่าด้วยประกาศเกียรติคุณ นักสหกรณ์แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๐ ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๐ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ริเริ่มประกาศเกียรติคุณผู้ท าคุณประโยชน์แก่วงการ สหกรณ์ให้เป็น“นักสหกรณ์แห่งชาติ” โดยออกระบบกรมส่งเสริมสหกรณ์ว่าด้วยประกาศเกียรติคุณ นักสหกรณ์แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๐ ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๐ มีการตราบทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองระบบสหกรณ์ไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ บังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๐


Click to View FlipBook Version