The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Narakorn Srima, 2020-11-24 21:58:31

Translate_TH_Guide_NRC_2011

Translate_TH_Guide_NRC_2011

20 ข้อแนะน�ำส�ำหรบั การดแู ลและการใช้สตั ว์ทดลอง

การฝกึ อบรมบคุ ลากร ตามกฎโดยทวั่ ไป ความปลอดภยั ขน้ึ อยกู่ บั บคุ ลากรผถู้ กู ฝกึ แลว้ ปฏบิ ตั ติ ามวธิ ปี ฏบิ ตั ทิ าง
ความปลอดภยั อยา่ งเขม้ งวด บคุ ลากรผเู้ สย่ี งภยั ควรไดใ้ หม้ วี ธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ ร่ี ะบอุ ยา่ งชดั เจนและในสถานะการณ์
เฉพาะต่างๆ มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลเพ่ือทำ�งานตามหน้าท่ี เข้าใจอันตรายต่างๆ ท่ีตนเก่ียวข้อง
และเช่ียวชาญในการปฏิบัติตามวิธีป้องกันอันตรายตามท่ีต้องการให้สำ�เร็จ บุคลากรควรได้รับการฝึกอบรม
อยา่ งเหมาะสมตามความเสยี่ งทถ่ี กู ก�ำ หนดโดยสถานทท่ี �ำ งานเรอื่ งโรคสตั วส์ คู่ นตา่ งๆ อนั ตรายตา่ งๆจากสาร
เคมี จุลชีพและกายภาพ (เช่น กัมมันตภาพรังสี และ สารก่อภูมิแพ้ต่างๆ) สภาพหรือสิ่งผิดปกติต่างๆ
ที่อาจเป็นสว่ นหนึ่งของวิธที ดลอง (เช่น การใชเ้ น้อื เยื่อของมนษุ ย์ในสัตวท์ ม่ี ภี าวะภมู ิค้มุ กันก�้ำ ก่งึ ) การจัดการ
ของเสีย สขุ อนามัยส่วนบุคคล การใช้ PPE อยา่ งเหมาะสม และการพิจารณาอ่นื ๆ (เชน่ ขอ้ ควรระวังต่างๆ
ที่ตอ้ งทำ�ตามขณะตง้ั ครรภ์ การเจบ็ ปว่ ย หรอื การมีภาวะภมู คิ ้มุ กนั ถูกกด)

สุขอนามัยส่วนบุคคล การใช้สุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดีมักจะลดโอกาสการบาดเจ็บจากการประกอบอาชีพ
และภาวะการปนเปื้อนเช้ือ ควรกำ�หนดนโยบายและการบังคับใช้อย่างเหมาะสม และสถาบันควรจัดให้มี
เคร่ืองแตง่ ตัวและ PPE ทเี่ หมาะสม (เชน่ ถงุ มือ หนา้ กาก กะบังหนา้ หมวกคลุมศีรษะ เสอื้ คลุม เส้ือสวมคลุม
ทั้งตัวหรือที่หุ้มรองเท้า) เพ่ือใช้ในอาคารเลี้ยงสัตว์และห้องปฏิบัติการที่ใช้สัตว์ เครื่องแต่งตัวท่ีสกปรก ควร
ถกู ทง้ิ ซกั ท�ำ ความสะอาดหรอื ก�ำ จดั การปนเปอื้ นเชอื้ อยา่ งเหมาะสมโดยสถาบนั และอาจตอ้ งมกี ารจดั หาท�ำ ให้
เปน็ ผลอยา่ งเจาะจงถา้ ใชบ้ รกิ ารจากภายนอก บคุ ลากรควรลา้ ง และ/หรอื ฆา่ เชอื้ มอื ของตน และเปลยี่ นเสอ้ื ผา้
บอ่ ยเท่าท่จี �ำ เป็นเพือ่ คงไวซ้ ึ่งสุขอนามัยส่วนบุคคลท่ดี ี ไม่ควรใส่เสอื้ ผา้ ชัน้ นอกท่สี วมใสใ่ นห้องสัตวอ์ อกนอก
อาคารเลย้ี งสัตวย์ กเวน้ ได้ถกู ปดิ คลุมแลว้ (NRC 1997) ไม่อนญุ าตใหบ้ คุ ลากรรับประทาน ด่มื ใช้ผลิตภณั ฑ์
ยาสูบ หรือจับต้อง หรือทาเครื่องสำ�อางค์ในห้องและห้องปฏิบัติการท่ีเล้ียงสัตว์หรือใช้สัตว์ (DHHS 2009;
NRC 1997; OSHA 1998a)

การทดลองในสัตว์ท่ีเกี่ยวข้องกับภัยอันตราย ถ้ามีการเลือกวิธีการป้องกันเพ่ือความปลอดภัยต่างๆ
เฉพาะสำ�หรับการทดลองกับภัยอันตรายสำ�หรับการทดลองในสัตว์ร่วมกับสิ่งท่ีมีอันตรายต่างๆ ควรให้
ความสนใจอย่างรอบคอบต่อวิธีการดำ�เนินการสำ�หรับการดูแลและท่ีอยู่อาศัย การเก็บของและการจ่าย
สิ่งอันตราย การเตรียมสารตามขนาดและการใหส้ าร การจดั การของเหลวและเนอ้ื เย่อื ของร่างกาย การกำ�จัด
ของเสยี และซากสตั ว์ ตลอดจนส่ิงต่างๆท่อี าจถกู ใช้ชวั่ ขณะและถกู กำ�จดั จากแหลง่ ที่ตงั้ (เชน่ เอกสารท่ีเขยี น
เครือ่ งมือทดลอง ภาชนะใสต่ วั อยา่ งต่างๆ ) และการปอ้ งกนั บคุ ลากร
สถาบนั ควรมนี โยบายและวธิ ปี ฏบิ ตั ติ า่ งๆอยา่ งเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร เพอื่ ก�ำ กบั ดแู ลการทดลองรว่ มกบั
สงิ่ อนั ตรายตา่ งๆ ทางชวี ภาพ เคมแี ละกายภาพ ควรพฒั นากระบวนการควบคมุ ดแู ล (เชน่ การใชค้ ณะกรรมการ
ความปลอดภยั ) โดยน�ำ บคุ ลากรผมู้ คี วามรใู้ นการประเมนิ อนั ตรายและการใชส้ ารอนั ตรายตา่ งๆ อยา่ งปลอดภยั
หรอื วิธีการปฏบิ ัติ และ ควรมีการทบทวนวิธกี ารปฏบิ ัตแิ ละสถานที่ต่างๆ ท่ถี กู ใช้เพือ่ ประเดน็ ที่เป็นหว่ งต่างๆ
ด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะความปลอดภัยด้านต่างๆ เพราะการใช้สัตว์ในการทดลองดังกล่าวต้องถูก

โปรแกรมการดแู ลและการใช้สัตว์ 21

พจิ ารณาเปน็ พเิ ศษ ควรทบทวนการด�ำ เนนิ การและสง่ิ อ�ำ นวยความสะดวกดา้ นความปลอดภยั โดยเฉพาะ ควร
จัดต้ังโครงการความปลอดภัยอย่างเป็นทางการเพื่อประเมินภัยอันตราย พิจารณาวิธีป้องกันอันตรายต่างๆ
ท่ีจำ�เป็นเพ่ือการควบคุมอันตรายเหล่าน้ัน และเพ่ือให้มั่นใจว่าผู้ร่วมงานมีการฝึกอบรมและมีทักษะท่ีจำ�เป็น
และมสี ถานทอ่ี ยา่ งเพยี งพอเพอื่ การดำ�เนนิ การวจิ ยั อยา่ งปลอดภยั ควรใหก้ ารสนบั สนนุ ทางเทคนคิ เพอ่ื กำ�กบั
ดูแลและรับประกันว่าสอดคล้องกับนโยบายด้านความปลอดภัยของสถาบัน วิธีเข้าถึงด้วยความร่วมมือกัน
ระหวา่ งนกั วจิ ยั และทมี วจิ ยั สตั วแพทยผ์ รู้ บั ผดิ ชอบ พนกั งานดแู ลสตั ว์ และ ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นอาชวี อนามยั และ
ความปลอดภัยอาจช่วยส่งเสรมิ การปฏิบตั ิตามนโยบาย
หนังสอื BMBL (DHHS 2009) และ NRC (1997) แนะน�ำ วิธีปฏิบัติและวธิ ีดำ�เนินการตา่ งๆ อปุ กรณ์
เพื่อความปลอดภัย และสถานที่ตามที่ต้องจัดให้มีเพ่ือการทำ�งานกับส่ิงและวัตถุอันตรายต่างๆทางชีวภาพ
สถาบนั ตา่ งๆทจี่ ัดการส่งิ ต่างๆทไี่ มท่ ราบอนั ตรายควรปรกึ ษาบคุ ลากรของ CDC เกี่ยวกบั การควบคมุ ภยั และ
การเฝา้ ระวงั ทางการแพทย์ การใช้ “เชอ้ื หรอื พษิ ทค่ี ดั เลอื กไว”้ ในการวจิ ยั บงั คบั ใหส้ ถาบนั จดั ตงั้ โปรแกรมหนงึ่
และวิธดี ำ�เนนิ การตา่ งๆเพ่ือการจัดหา การรกั ษาและการกำ�จดั สงิ่ เหลา่ นี้ (CFR 1998, 2002a,b; NRC 2004;
PL 107-56; PL 107-88; Richmond et al. 2003) การใช้สัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับการแปลง
ทางพันธุกรรม (GMAs) ทำ�ให้ออ่ นแอตอ่ โรคหรอื ปลดปลอ่ ยเช้อื โรคของมนษุ ย์ การใชเ้ นอื้ เยอ่ื ของมนุษย์และ
cell lines หรือ แบบจำ�ลองโรคติดเชื้อใดๆ สามารถทำ�ให้เกิดการเส่ียงภัยเพิ่มมากข้ึนต่อสุขภาพและ
ความปลอดภัยของบุคลากรซงึ่ ท�ำ งานกับสัตว์ (Lassnig et al. 2005; NIH 2002)
ควรจำ�กัดส่ิงอันตรายต่างๆเฉพาะในบริเวณที่ทำ�การทดลอง ตัวอย่างเช่น การใช้การควบคุมการ
ไหลเวยี นอากาศระหวา่ งการจดั การและการใหส้ ารอนั ตรายตา่ งๆ การผา่ ชนั สตู รสตั วท์ ป่ี นเปอื้ นเชอื้ (CDC NIH
2000) และการทำ�งานกับสารเคมีอันตราย (Thomann 2003) ก๊าซดมสลบซ่ึงปล่อยท้ิงควรถูกกำ�จัดออก
ทร่ี ะดับจ�ำ กดั

การป้องกันบุคลากร ขณะท่ีการควบคุมทางวิศวกรรมและทางการบริหารถูกพิจารณาเป็นอันดับหนึ่งเพ่ือ
ปอ้ งกันบุคลากร PPE ทีเ่ หมาะสมสำ�หรับสภาพแวดล้อมทท่ี ำ�งาน สถาบันควรจดั ใหม้ เี ครอ่ื งแต่งกายสะอาด
เพอื่ ปอ้ งกนั อยา่ งสม�ำ่ เสมอตามความจ�ำ เปน็ ไมค่ วรใสเ่ สอ้ื ผา้ และอปุ กรณช์ ดุ ปอ้ งกนั ออกนอกเขตของบรเิ วณ
ท�ำ งานหรอื บรเิ วณเลยี้ งสตั วท์ ม่ี สี ารอนั ตราย (DHHS 2009) ถา้ มคี วามเหมาะสมพนกั งานควรอาบน�ำ้ เมอ่ื ออก
จากบรเิ วณดูแลสตั ว์ การปฏิบัตหิ รอื การเตรยี มยาตามขนาด ถา้ พนกั งานมีโอกาสสมั ผัสกับสารอันตรายหรือ
สัตว์บางชนิดควรให้มี PPE ชนิดท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์ (CFR 1984c) ตัวอย่างเช่น บุคลากรที่สัมผัส
กบั ลิงควรมี PPE ได้แก่ ถุงมือ เครือ่ งปอ้ งกันแขน หน้ากากปดิ ปาก กะบงั หน้าและแว่นตานริ ภัยทเ่ี หมาะสม
(NRC 2003a) ควรจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันการได้ยินในบริเวณท่ีมีเสียงดัง (OSHA 1998c) ควรจัดอุปกรณ์
ปอ้ งกนั ระบบหายใจทเี่ หมาะสมใหพ้ นกั งานทที่ �ำ งานในบรเิ วณตา่ งๆทอี่ าจมกี ารสมั ผสั กบั ฝนุ่ ละอองในอากาศ
ท่ีมีเช้ือปนเป้ือนหรือมีไอระเหยจากสารเคมี (Fechter 1995; McCullough 2000; OSHA 1998d) ร่วมกับ
การทดสอบความกระชบั พอดีของหนา้ กากกรองอากาศ และ การฝึกอบรมการใชแ้ ละการดูแลรักษาหน้ากาก
กรองอากาศ (respirator) อย่างถกู ตอ้ ง (OSHA 1998d; Sargent and Gallo 2003)

22 ขอ้ แนะน�ำสำ� หรับการดูแลและการใชส้ ัตว์ทดลอง

การประเมนิ ทางการแพทยแ์ ละเวชศาสตรป์ อ้ งกนั สำ�หรับพนกั งาน การพัฒนาและการปฏบิ ัตเิ พอื่ ให้โครงการ
ประเมนิ ทางการแพทย์และเวชศาสตร์ป้องกันสมั ฤทธิผ์ ลควรรวมข้อคดิ เหน็ จากผูเ้ ช่ียวชาญด้านสขุ ภาพตา่ งๆ
ที่ได้ผ่านการอบรม ได้แก่ แพทย์และพยาบาลด้านอาชีวอนามัย ต้องคำ�นึงถึงการรักษาความลับและ
ปจั จัยต่างๆ ด้านการแพทยแ์ ละกฎหมายตามรายละเอียดของกฎหมายรฐั บาลกลาง ของรัฐและของท้องถ่นิ
(เช่น PL 104-191)
แนะน�ำ ใหท้ �ำ การประเมนิ สขุ ภาพ และ/หรอื ประวตั สิ ขุ ภาพกอ่ นการรบั มอบต�ำ แหนง่ หนา้ ท่ี เพอ่ื ประเมนิ
ความเสี่ยงภัยที่เป็นไปได้ของพนักงานแต่ละคน แนะนำ�ให้มีการประเมินสุขภาพตามระยะเวลากับพนักงาน
ในกลุ่มต่างๆที่มีความเส่ียงเฉพาะ ตัวอย่างเช่น บุคลากรที่ต้องใช้การป้องกันการหายใจอาจต้องได้รับการ
ประเมนิ ทางการแพทยเ์ พอ่ื ใหม้ น่ั ใจวา่ เขามคี วามพรอ้ มทางกายและทางจติ ทสี่ ามารถใชห้ นา้ กากกรองอากาศ
อยา่ งถกู ตอ้ ง (Sargent and Gallo 2003) ควรมแี ผนการใหว้ คั ซนี ทเี่ หมาะสม การฉดี วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคบาดทะยกั
ให้พนักงานดูแลสัตว์เป็นสิ่งสำ�คัญ (NRC 1997) ควรมีการให้ภูมิคุ้มกันก่อนการสัมผัสส่ิงคุกคามต่างๆ
แกบ่ ุคลากรซึ่งมีความเส่ยี งต่อการติดเช้ือ หรือสัมผัสกบั เชอ้ื เฉพาะชนดิ ตา่ งๆ ไดแ้ ก่ ไวรัสพิษสุนัขบา้ (เชน่ ถ้า
ปฏบิ ตั งิ านกบั สตั วช์ นดิ ทม่ี คี วามเสย่ี งตอ่ การตดิ เชอื้ ) หรอื ไวรสั ตบั อกั เสบบี (เชน่ ถา้ ปฏบิ ตั งิ านกบั เลอื ดมนษุ ย์
เนือ้ เยอ่ื มนุษย์ cell lines หรอื stocks) แนะนำ�ใหฉ้ ดี วคั ซีนถา้ การวจิ ยั น้นั ศกึ ษาโรคติดเชื้อซง่ึ มีวคั ซนี ปอ้ งกนั
ได้ผล สามารถค้นหาขอ้ แนะน�ำ ตา่ งๆเฉพาะเรือ่ งได้ใน BMBL (DHHS 2009) แนะน�ำ ใหท้ ำ�การเก็บนำ้�เหลือง
กอ่ นการจ้างงานหรือกอ่ นการสัมผัสเชอื้ เฉพาะในกรณีเฉพาะซึง่ ถูกกำ�หนดโดยผูเ้ ช่ยี วชาญด้านอาชวี อนามัย
และความปลอดภัย (NRC1997) ในกรณีดังกล่าว ควรพิจารณาการทำ�เครื่องหมาย การติดตาม การเก็บ
และสภาพการเกบ็ ของตวั อยา่ ง และวตั ถปุ ระสงคใ์ นการน�ำ ตวั อยา่ ง น�ำ้ เหลอื งมาใชต้ อ้ งสอดคลอ้ งกบั กฎหมาย
ของรฐั บาลกลางและของรฐั
ภาวะภมู แิ พส้ ตั วท์ ดลองไดก้ ลายเปน็ ประเดน็ ส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ บคุ คลตา่ งๆทส่ี มั ผสั กบั สตั วท์ ดลอง (Bush
and Stave 2003; Gordon 2001; Wolfle and Bush 2001; Wood 2001) ควรสง่ เสรมิ โปรแกรมการสำ�รวจ
ทางการแพทยเ์ พอื่ ใหก้ ารวนิ จิ ฉยั ภาวะภมู แิ พก้ ระท�ำ ไดแ้ ตเ่ นน่ิ ๆ (Bush 2001; Bush and Stave 2003; Seward
2001) และมีการประเมินประวัติทางการแพทย์ของบุคลากรเพ่ือทราบภาวะภูมิแพ้ท่ีมีอยู่ก่อนหน้าแล้ว การ
ฝกึ อบรมบคุ ลากรควรใหข้ อ้ มลู เรอ่ื งภมู แิ พส้ ตั วท์ ดลอง มาตรการควบคมุ ปอ้ งกนั การตระหนกั รแู้ ละการรายงาน
กลมุ่ อาการภมู แิ พไ้ ดแ้ ตเ่ นนิ่ ๆ และเทคนคิ การปฏบิ ตั งิ านกบั สตั วอ์ ยา่ งถกู ตอ้ ง (Gordon et al. 1997; Schweitzer
et al. 2003; Thulin et al. 2002) ควรใช้ PPE เพ่ือการเสริมไมใ่ ชก่ ารแทนทก่ี ารควบคุมทางวศิ วกรรมและตาม
กระบวนการ (Harrison 2001; Reeb-Whitaker et al. 1999) ถ้า PPE สำ�หรับการป้องกันการหายใจเป็น
สงิ่ จ�ำ เปน็ ควรให้ทำ�การทดสอบการกระชับของหนา้ กากและการฝกึ อบรมอย่างเหมาะสม
การเฝ้าระวงั โรคสัตว์สู่คนควรเป็นส่วนหน่งึ ใน OHSP (DHHS 2009; NCR 1997) บคุ ลากรควรไดร้ บั
การสอนใหแ้ จง้ หวั หนา้ งานวา่ อาจสมั ผสั หรอื ทราบวา่ ไดส้ มั ผสั สง่ิ คกุ คาม และเมอ่ื สงสยั วา่ มอี นั ตรายตอ่ สขุ ภาพ

โปรแกรมการดแู ลและการใชส้ ตั ว์ 23

และการเจ็บป่วยต่างๆ โรคของสัตว์จำ�พวกลิงท่ีสามารถติดต่อสู่มนุษย์อาจเป็นอันตรายอย่างรุนแรง (NRC
2003a) เจ้าหน้าท่ีเทคนิคผู้ทำ�งานดูแลสัตว์ สัตวแพทย์ นักวิจัย นักศึกษา เจ้าหน้าที่เทคนิคผู้ทำ�งานวิจัย
ช่างซอ่ มบำ�รุง และบคุ คลอืน่ ๆผูท้ ี่สัมผัสกบั ลงิ หรือ เนอื้ เยื่อและของเหลวจากรา่ งกายลิง หรือมีหน้าทใ่ี นโรง
เรอื นเลย้ี งลงิ ควรไดร้ บั การตรวจคัดกรองวณั โรคเป็นประจำ� เนื่องจากมคี วามเป็นไปได้ในการคกุ คามจากเชื้อ
Macacine herpesvirus 1 (เคยถกู เรยี กว่า Cercopithecine herpesvirus 1 หรอื Herpesvirus simiae) บุคลากร
ผทู้ ำ�งานกับหรือสัมผสั ตวั อย่างทางชีววิทยา (เลอื ดและเน้อื เยอ่ื ) ของลงิ มาแคค (macaques) ควรเข้าถึงและ
ไดร้ ับคำ�แนะน�ำ ในการใช้ชุดอปุ กรณป์ ฐมพยาบาลฉุกเฉนิ ส�ำ หรบั การถูกลิงกัดหรอื ขว่ น (Cohen et al. 2002)
การบาดเจบ็ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ลงิ มาแคค เนอื้ เยอื่ และของเหลวจากรา่ งกายลงิ หรอื กรงและอปุ กรณซ์ ง่ึ สตั วไ์ ดเ้ คย
สัมผัสโดยตรง ควรได้รับการประเมินอย่างรอบคอบและได้รับการรักษาหลังการถูกคุกคามและการติดตาม
ดูอาการอย่างเหมาะสม (ibid.; NRC 2003a)
ควรก�ำ หนดวิธีปฎบิ ัตอิ ย่างชดั เจนเพื่อการรายงานอุบตั เิ หตุ การถูกกดั การถูกข่วนและการเกิดอาการ
ภูมแิ พ้ท้ังหมด (NRC 1997) และมกี ารดูแลทางการแพทยเ์ ม่อื เกิดเหตุการณด์ ังกลา่ วไดโ้ ดยทนั ท่วงที
ควรมวี ิธกี ารปฏบิ ตั ทิ ้งั หมดทีช่ ดั เจน (Cohen et al. 2002; DHHS 2009)

การคมุ้ กนั ความปลอดภัยของบคุ ลากร
ขณะทแี่ ผนการเตรยี มความพรอ้ มต่างๆครอบคลมุ ภยั พบิ ัตติ ามธรรมชาตติ า่ งๆ แผนเหลา่ นคี้ วรคำ�นึง
การคุกคามจากกิจกรรมการก่ออาชญากรรมต่างๆ ได้แก่ การข่มขู่และการทำ�ลายช่ือเสียง การบุกรุกเข้าไป
ในอาคาร การลอบวางเพลิงและการลอบทำ�ลายปองร้ายต่างๆที่มีต่อสัตว์ทดลอง บุคลากรวิจัย อุปกรณ์
และสถานที่ต่างๆ และงานวิจัยทางชีวการแพทย์ท่ีทำ�อยู่ในสถาบัน ควรพิจารณาวิธีดำ�เนินการป้องกัน
ตลอดจนการคัดกรองพนักงานก่อนการว่าจ้าง และความปลอดภัยทางกายภาพและข้อมูลทางเทคโนโลยี
(Miller 2007)

การสอบสวนและการรายงานขอ้ กังวลตา่ งๆ เกย่ี วกบั สวัสดภิ าพสัตว์
การปกปอ้ งสวสั ดภิ าพสตั วเ์ ปน็ ความรบั ผดิ ชอบของทกุ ๆคนทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั โปรแกรม สถาบนั ตอ้ งก�ำ หนด
วธิ ตี า่ งๆเพอื่ การรายงานและการสอบสวนขอ้ รอ้ งเรยี นตา่ งๆเกย่ี วกบั สวสั ดภิ าพสตั ว์ และบคุ ลากรควรรบั ทราบ
ความสำ�คญั และกลไกการรายงานข้อร้องเรียนต่างๆเกี่ยวกบั สวัสดิภาพสัตว์ ในประเทศสหรัฐฯ ภาระหน้าที่
รับผิดชอบการทบทวนและการสอบสวนข้อร้องเรียนเหล่าน้ีตกอยู่กับ IO และ IACUC การสนองตอบการ
รายงานข้อร้องเรียนควรประกอบด้วย การสื่อสารผลการสอบสวนไปยังบุคคลผู้ที่ร้องเรียนยกเว้นถ้าข้อ
รอ้ งเรยี นตา่ งๆดงั กลา่ วไมร่ ะบชุ อื่ การด�ำ เนนิ การแกไ้ ขถา้ ลงความเหน็ วา่ เปน็ ความจ�ำ เปน็ และรายงานเรอ่ื งดงั
กลา่ วให้ IO ทราบ ถอ้ ยแถลงผลการสอบสวนและการดำ�เนินการแก้ไขข้อร้องเรยี นที่ถกู เสนอและการแกไ้ ข
ตา่ งควรถกู เก็บบนั ทึกเปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร

24 ข้อแนะนำ� สำ� หรบั การดแู ลและการใช้สตั วท์ ดลอง

ควรปิดประกาศกลไกต่างๆเพ่ือการรายงานข้อร้องเรียนต่างๆ ในที่ซ่ึงสามารถเห็นได้อย่างเด่นชัดใน
อาคารและบนเวบไซท์ท่ีเหมาะสมของสถาบัน ตลอดจนการแนะนำ�วิธีและบุคคลผู้รับรายงานการร้องเรียน
แนะน�ำ ใหม้ ผี ู้รับรายงานหลายๆคน ได้แก่ ผู้บรหิ ารอาวโุ ส IO ประธานของ IACUC และ AV ข้ันตอนควรรวม
ถึง กลไกการไม่ระบุชื่อ การปฏิบัติตามนโยบายการหยุดการกระทำ�ที่เกี่ยวข้อง ความเท่าเทียมกันไม่เลือก
ปฏบิ ตั ิต่อกลมุ่ ผู้รอ้ งเรียน/รายงาน และ การป้องกนั การแกแ้ คน้ ตา่ งๆ
การฝกึ อบรมและการส่อื สารอยา่ งเปน็ กจิ วัตรกบั พนกั งาน (รวมทงั้ บคุ ลากร เชน่ พนกั งานผทู้ ีเ่ กบ็ รกั ษา
ผู้ซ่อมบำ�รุง และธุรการ) ผู้ที่ไม่ได้ใช้สัตว์โดยตรง ให้เข้าใจเร่ืองกิจกรรมการใช้สัตว์ทั้งหลายของสถาบันอาจ
ลดขอ้ รอ้ งเรียนตา่ งๆท่อี าจเกดิ ขน้ึ ได้

การควบคมุ ดูแลโปรแกรม

ภารกจิ ของไอคคุ

องคป์ ระกอบและหน้าที่ของไอคคุ

ภาระหนา้ ที่ของ IACUC คือ การก�ำ กับดแู ลและการประเมินโปรแกรมเปน็ ประจำ� ผูบ้ ริหารสงู สุดของ
แต่ละสถาบัน สถาบันมีความรับผิดชอบต่อการจัดให้มีการปฐมนิเทศก์อย่างเหมาะสม วัสดุส่ิงของพื้นฐาน
ตา่ งๆ การเขา้ ถึงแหล่งขอ้ มลู อยา่ งเหมาะสมและให้การฝกึ อบรมเฉพาะเร่อื งเมอื่ จ�ำ เปน็ เพอ่ื ช่วยเหลอื สมาชิก
ของ IACUC ใหเ้ ขา้ ใจภาระหนา้ ทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบของเขาเหลา่ นน้ั และการประเมนิ ประเดน็ ตา่ งๆทเ่ี สนอ
มายังคณะกรรมการ องคป์ ระกอบของคณะกรรมการมีดังตอ่ ไปนี้

สัตวแพทย์หนงึ่ ท่านผูซ้ ง่ึ ได้รบั วฒุ บิ ัตร (เช่น โดย ACLAM, ECLAM, JCLAM, KCLAM) หรือ เป็น
ผู้ซ่ึงได้รับการอบรมหรือผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์ในวิทยาศาสตร์และอายุรศาสตร์
สตั ว์ทดลองหรือในการใช้สัตว์ทส่ี ถาบันอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
นกั วทิ ยาศาสตรท์ ม่ี ีประสบการณ์ในการวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับการใชส้ ตั ว์อยา่ งน้อยหนงึ่ ทา่ น
สมาชิกทไี่ มม่ ีพนื้ ฐานความร้ดู า้ นวิทยาศาสตร์ ซง่ึ ไดม้ าจากภายในหรือภายนอกสถาบนั อยา่ งน้อย
หน่งึ ทา่ น
สมาชิกจากสาธารณะอย่างน้อยหน่ึงท่านเพ่ือเป็นตัวแทนความสนใจของชุมชนต่อการดูแลและ
การใช้สตั ว์อยา่ งถกู ต้อง

ตัวแทนจากสาธารณะไม่ควรเป็นผู้ใช้สัตว์ทดลอง ไม่เป็นผู้ท่ีผูกพันในทางใดๆกับสถาบัน หรือไม่เป็น
สมาชกิ ในครอบครวั โดยตรงของบคุ คลผผู้ กู พนั กบั สถาบนั ตวั แทนจากสาธารณะอาจไดร้ บั คา่ ตอบแทนชดเชย
การมีส่วนร่วมและค่าใช้จ่ายข้างเคียงอ่ืนๆ (เช่น ค่าอาหาร ค่าจอดรถ ค่าเดินทาง) แต่จำ�นวนเงินควรพอ
ประมาณ โดยไม่เปน็ แหล่งรายไดห้ ลกั และไมข่ ดั แยง้ ตอ่ การเปน็ สมาชิกของสงั คมและสาธารณะโดยส่วนใหญ่

โปรแกรมการดแู ลและการใช้สตั ว์ 25

ส�ำ หรบั สถาบนั ขนาดใหญท่ ม่ี หี นว่ ยบรหิ ารและแผนกหลายแหง่ สมาชกิ ทอี่ อกเสยี งไดไ้ มค่ วรมมี ากเกนิ
สามท่านท่ีมีความเก่ียวข้องกับหน่วยบริหารหน่ึงแห่ง (USDA 1985) ขนาดของสถาบัน และ ลักษณะและ
ขอบเขตของโปรแกรมจะกำ�หนดจำ�นวนของสมาชิกของคณะกรรมการและระยะเวลาการดำ�รงตำ�แหน่งของ
ทา่ นเหลา่ น้ัน สถาบันท่ีมีโปรแกรมวจิ ัยตา่ งๆอย่างกว้างขวางอาจจ�ำ เปน็ ตอ้ งเลอื กนกั วิทยาศาสตรจ์ ากแต่ละ
สาขาและประสบการณเ์ พือ่ ประเมินโปรโตคอลการใช้สตั ว์ได้อย่างถกู ตอ้ ง
คณะกรรมการมีภาระหน้าที่ในการกำ�กับดูแลและประเมินโครงการและส่วนประกอบของโครงการ
ท้ังหมด ดังอธบิ ายไวใ้ นบทอืน่ ๆของขอ้ แนะน�ำ หนา้ ที่การกำ�กับดูแล ไดแ้ ก่ การทบทวนและการอนุมตั กิ ารใช้
สัตวต์ ามท่ีได้ขอมา (การทบทวนโปรโตคอล) และการเปล่ียนแปลงการใช้สัตวท์ ่ไี ดข้ อไว้แลว้ การตรวจสถานที่
และบรเิ วณทใ่ี ชป้ ฏบิ ตั ติ อ่ สตั วเ์ ปน็ ประจำ� การทบทวนโครงการเปน็ ประจำ� การประเมนิ การดแู ลและการใชส้ ตั ว์
อยา่ งตอ่ เนอื่ ง และการกำ�หนดกลไกเพ่ือการรบั ทราบและการทบทวนขอ้ ร้องเรียนทเ่ี กี่ยวข้องกับการดแู ลและ
การใชส้ ตั วท์ ส่ี ถาบนั คณะกรรมการตอ้ งประชมุ บอ่ ยครง้ั เทา่ ทจ่ี �ำ เปน็ เพอ่ื บรรลหุ นา้ ทตี่ ามความรบั ผดิ ชอบอยา่ ง
เตม็ ท่ี และเกบ็ รกั ษารายงานการประชมุ คณะกรรมการและผลของการพจิ ารณา ควรทบทวนโครงการและตรวจ
สถานทอ่ี ยา่ งนอ้ ยปลี ะหนง่ึ ครงั้ หรอื บอ่ ยกวา่ นต้ี ามระบุ (เชน่ ตามกฎหมายสวสั ดภิ าพสตั ว์ และนโยบาย PHS)
หลงั การทบทวนและการตรวจควรท�ำ รายงาน (รวมท้ัง ความเหน็ เสยี งขา้ งน้อยถ้าม)ี เสนอตอ่ IO เพื่อแสดง
สถานะของโครงการ

การทบทวนโปรโตคอล

โปรโตคอลการใชส้ ตั วเ์ ปน็ การบรรยายอยา่ งละเอยี ดของการใชส้ ตั วท์ ดลองทไี่ ดเ้ สนอขอมา การเตรยี ม
โปรโตคอลโดยนกั วจิ ยั และการทบทวนโดย IACUC ควรพิจารณาหวั ขอ้ ต่างๆ ต่อไปน้ี
เหตผุ ลและความมุ่งหมายการเสนอขอใชส้ ัตว์
การบรรยายขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ทิ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การใชส้ ตั วอ์ ยา่ งชดั เจนและตามล�ำ ดบั เหตกุ ารณอ์ ยา่ ง
สนั้ กระชบั ซง่ึ สมาชิกคณะกรรมการทุกท่านเข้าใจได้งา่ ย
การมีอยู่หรือความเหมาะสมของการใช้วิธีปฏิบัติที่มีการรุกลำ้�เข้าในร่างกายสัตว์น้อยกว่า
การใช้สัตว์ชนิดอ่ืน การเตรียมอวัยวะที่แยกออกมา การเพาะเลี้ยงเซลล์หรือเนื้อเยื่อ หรือการ
เลียนแบบดว้ ยคอมพวิ เตอร์ (ดูภาคผนวก ก. ทางเลือกทดแทน)
การให้เหตุผลของการใช้ชนิดและจำ�นวนสัตว์ท่ีได้เสนอขอมา หากเป็นไปได้ควรให้เหตุผลทาง
สถิติท่ีสมควรกับจำ�นวนของสัตว์และขนาดของกลุ่มการทดลอง (เช่น แสดง power analysis
ดูภาคผนวก ก. การออกแบบการทดลองและสถิต)ิ
การไม่ท�ำ การทดลองซำ�้ ซ้อนโดยไม่จ�ำ เปน็
ความต้องการที่อย่แู ละการดูแลแบบไม่ได้มาตรฐาน
ความจ�ำ เป็นของวธิ ปี ฏิบัติทเ่ี สนอมา ซ่งึ มีผลกระทบตอ่ ความเปน็ อยู่ทดี่ ขี องสัตว์
การระงับประสาท การระงับปวดและการวางยาสลบอย่างเหมาะสม (อันดับความเจ็บปวดหรือ

26 ขอ้ แนะนำ� สำ� หรบั การดูแลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง

การรุกล้ำ� อาจช่วยในการเตรียมและการทบทวนโปรโตคอล ดูภาคผนวก ก. การวางยาสลบ
ความเจ็บปวด และศลั ยกรรม)
การทำ�ศลั ยกรรม เชน่ วธิ กี ารผ่าตัดใหญห่ ลายครง้ั
การดูแลและการสังเกตุอาการสัตว์หลังการปฏิบัติ (เช่น การมีแบบฟอร์มต่างๆเพ่ือประเมินสัตว์
หลังการปฏิบัติ หรือ หลงั การผ่าตัด)
การบรรยายและเหตุผลเพอ่ื จดุ สิ้นสดุ การทดลองตามที่ได้คาดการณ์หรือคดั เลอื กไว้
เกณฑ์และข้ันตอนเพื่อการแทรกแซง การนำ�สัตว์ออกจากการทดลองหรือการทำ�การุณยฆาต
อยา่ งทนั เวลา ถา้ ความเจบ็ ปวดหรอื ทรมานเป็นผลลพั ธต์ ามท่ีคาดการณไ์ ว้
วิธีการทำ�การุณยฆาตหรือการกำ�จัดซากสัตว์ รวมท้ังแผนการดูแลสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน
หลังจากการทดลองสนิ้ สดุ ลง
ความเพียงพอของการฝึกอบรมและประสบการณ์ของบุคลากรในวิธีปฏิบัติที่ถูกใช้ และ บทบาท
และความรบั ผดิ ชอบตา่ งๆของบุคลากรผเู้ กย่ี วข้อง
การใช้สงิ่ มีภัยอันตราย และ การใหส้ ภาพแวดลอ้ มการทำ�งานทีป่ ลอดภยั

ขณะท่หี น้าท่ีการพิจารณาความเหมาะสมทางวทิ ยาศาสตร์ตามปกติอยูน่ อกกรอบอำ�นาจของ IACUC
สมาชิกคณะกรรมการควรประเมินองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆของโปรโตคอลว่ามีความสัมพันธ์ต่อ
สวสั ดภิ าพและการใช้สตั ว์ ตวั อย่างเชน่ สมมตุ ิฐานของการทดลอง ขนาดกล่มุ ตัวอย่าง จ�ำ นวนกล่มุ และความ
พอเพียงของกลุ่มควบคุม สามารถเกี่ยวพันโดยตรงต่อการป้องกันการใช้สัตว์โดยไม่จำ�เป็น หรือการทำ�การ
ทดลองอยา่ งซ�้ำ ซอ้ น ขอ้ คดิ เหน็ จากผเู้ ชย่ี วชาญจากภายนอกอาจชว่ ยแนะน�ำ หรอื มคี วามจ�ำ เปน็ ส�ำ หรบั ค�ำ ถาม
บางอย่างของ IACUC ในกรณที ่ไี มม่ หี ลกั ฐานการทบทวนความเหมาะสมทางวิทยาศาสตร์ใดๆ IACUC อาจ
พิจารณาทำ�หรอื เสนอขอใหม้ กี ารท�ำ การทบทวนดังกล่าว (Mann and Prentice 2004) สมาชิก IACUC ท่ีมชี ่อื
อยใู่ นโปรโตคอลหรอื มผี ลประโยชนท์ บั ซอ้ นเรอื่ งอน่ื ๆ ตอ้ งขอถอนตวั ออกจากการตดั สนิ ใจใดๆทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั
โปรโตคอลต่างๆเหลา่ น้นั
ในหลายคร้งั โปรโตคอลมีวิธีปฏิบตั ิทีไ่ มเ่ คยทำ�มาก่อน หรอื มโี อกาสเกิดความเจบ็ ปวดหรือทรมานทไ่ี ม่
สามารถคาดการณห์ รอื ควบคุมได้ ควรเสาะหาขอ้ มลู ทสี่ ัมพนั ธ์กบั วัตถปุ ระสงค์ซ่งึ เกี่ยวข้องกบั วธิ ีปฏิบตั ติ า่ งๆ
และผลประโยชน์ของการศึกษา จากวารสารวชิ าการ สตั วแพทย์ นกั วิจยั และผ้รู ทู้ า่ นอืน่ ๆทีท่ ราบผลกระทบ
ตอ่ สตั ว์ ถา้ ความรเู้ กย่ี วกบั วธิ ปี ฏบิ ตั ดิ งั กลา่ วมเี พยี งเลก็ นอ้ ย จงึ เปน็ การเหมาะสมใหท้ �ำ การศกึ ษาน�ำ รอ่ ง (pilot
studies) อย่างจ�ำ กัดขอบเขต โดยออกแบบเพื่อประเมินผลกระทบของการปฏบิ ตั ิตอ่ สัตว์รวมทงั้ ทกั ษะความ
ช�ำ นาญของทมี วจิ ยั และท�ำ การศกึ ษาภายใตก้ ารดแู ลโดย IACUC มคี ำ�แนะน�ำ เพอื่ การประเมนิ โปรโตคอลหรอื
วิธีการสำ�หรบั บางสถานการณด์ ังกล่าวตอ่ ไปนี้ แตอ่ าจไมป่ ระยกุ ต์ใช้ไดท้ ุกสถานการณ์

โปรแกรมการดแู ลและการใช้สตั ว์ 27

การพจิ ารณาเป็นพเิ ศษในการทบทวนโดยไอคุค

โปรโตคอลบางชนิดมีการปฏิบัติหรือการเข้าสู่กระบวนการท่ีทำ�ให้ IACUC ต้องมีขั้นตอนการทบทวน
การพิจารณาเป็นพิเศษ เนอ่ื งจากมีขอ้ กังวลทเี่ ปน็ ไปได้เรอื่ งความเจ็บปวด หรอื การทรมาน หรอื สวัสดิภาพ
สัตว์อื่น หัวข้อตอ่ ไปนเี้ ป็นบางส่วนท่ี IACUC มักต้องพจิ ารณาเป็นพิเศษ ส�ำ หรับหวั ข้อตา่ งๆเหล่านี้และเรอื่
งอืน่ ๆ IACUC ถกู บังคบั ใหช้ ่งั น้ำ�หนักระหวา่ งวัตถปุ ระสงค์ของการทดลองกับขอ้ กังวลเกย่ี วกับสวสั ดภิ าพสัตว์
ทีอ่ าจเป็นไปได้ โดยการพจิ ารณาโอกาสตา่ งๆ เพอ่ื ลดความเจ็บปวด การใชก้ ารทดแทนอ่ืนท่ไี มใ่ ชส้ ตั ว์อย่าง
เหมาะสม การใชส้ ตั ว์จ�ำ นวนน้อยลง ท้ังสถาบนั และนักวิจยั หลกั (PI) สามารถเริ่มแสดงภาระผกู พันท่ีมรี ่วมกัน
ในเรอื่ งการดูแลและการใช้สตั ว์อยา่ งมมี นษุ ยธรรม

จดุ ส้ินสุดการทดลองและจุดส้นิ สุดเพอ่ื มนุษยธรรม จุดสน้ิ สุดการทดลองของการศึกษาเร่อื งหน่งึ เกิดขึ้นเมื่อได้
บรรลุความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์ จุดสิ้นสุดเพ่ือมนุษยธรรมคือจุดท่ีความเจ็บปวดหรือ
ทกุ ขท์ รมานในการทดลองหนงึ่ ถกู ปอ้ งกนั หยดุ หรอื บรรเทา การใชจ้ ดุ สนิ้ สดุ เพอื่ มนษุ ยธรรมตา่ งๆเกย่ี วพนั กบั
ความประณีตโดยการกำ�หนดวิธีทดแทนจุดส้ินสุดการทดลองซ่ึงทำ�ให้เกิดความเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานท่ีไม่
สามารถบรรเทา และการตาย จดุ สน้ิ สดุ เพอ่ื มนษุ ยธรรมควรตรงประเดน็ และเชอ่ื ถอื ได้ (Hendriksen and Steen
2000; Olfert and Godson 2000; Sass 2000; Stokes 2002) ในหลายการทดลองตา่ งๆทม่ี คี วามล่วงล�้ำ จุด
สิ้นสดุ การทดลองของการศกึ ษาและจุดสน้ิ สดุ เพอ่ื มนุษยธรรมมกี ารเช่อื มตอ่ กนั (Wallace 2000) และควรถกู
พจิ ารณาอยา่ งรอบคอบขณะทบทวนโปรโตคอล ขณะทก่ี ารศกึ ษาทกุ เรอ่ื งควรใชจ้ ดุ สน้ิ สดุ ทมี่ มี นษุ ยธรรม การ
ศกึ ษาตา่ งๆทม่ี ักตอ้ งการการพจิ ารณาเปน็ พเิ ศษ ได้แก่ การศึกษาต่างๆซงึ่ เกย่ี วกบั แบบจำ�ลองเน้อื งอก โรค
ตดิ เชอื้ การใหเ้ ชอ้ื ตามหลงั การใหว้ คั ซนี การจ�ำ ลองภาวะความเจบ็ ปวด การบาดเจบ็ ชอกช�ำ้ การผลติ ภมู คิ มุ้ กนั
ซง่ึ ไดจ้ ากเซลลช์ นดิ เดยี วกนั (monoclonal antibodies) การประเมนิ ผลความเปน็ พษิ ความลม้ เหลวของอวยั วะ
และระบบของร่างกาย และแบบจ�ำ ลองภาวะชอ็ คจากหัวใจ-หลอดเลอื ดล้มเหลว
นักวิจัยหลกั ผ้มู คี วามรู้แมน่ ย�ำ ท้งั วตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษาและแบบจำ�ลองท่เี สนอ ควรระบุ อธบิ าย
และเสนอจดุ สนิ้ สดุ การทดลองทม่ี มี นษุ ยธรรม และชอบดว้ ยเหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตร์ การก�ำ หนดจดุ สนิ้ สดุ ทาง
มนษุ ย ธรรมมักเปน็ การทา้ ทาย อยา่ งไรก็ดี เพราะวา่ ต้องพจิ ารณาชง่ั น�้ำ หนักปจั จัยหลายๆอยา่ ง ไดแ้ ก่ แบบ
จำ�ลอง ชนิดสัตว์ (และบางคร้งั สายพนั ธ์ุหรอื เชอ้ื สาย) สภาวะสขุ ภาพ วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา นโยบาย
ของสถาบัน ส่ิงที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำ�หนดต่างๆ และในบางครั้งผลงานสิ่งตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มีการขัด
แยง้ กันเอง การก�ำ หนดจดุ สนิ้ สุดเพอื่ มนุษยธรรมควรรวมนกั วจิ ยั หลกั สัตวแพทยแ์ ละ IACUC และเมื่อทำ�ได้
ควรถูกกำ�หนดกอ่ นการเร่ิมการศึกษา (Olfert and Godson 2000; Stokes 2000)
ข้อมูลท่ีสำ�คัญย่ิงต่อการประเมินของ IACUC ในการพิจารณาความเหมาะสมของจุดสิ้นสุดทาง
มนษุ ยธรรมในโปรโตคอล ไดแ้ ก่ ความหมายทช่ี ดั เจนของจดุ สน้ิ สดุ เพอ่ื มนษุ ยธรรม (รวมทงั้ เกณฑก์ ารประเมนิ )
ความถขี่ องการสงั เกตอุ าการสตั ว์ การฝกึ อบรมบคุ ลากรผรู้ บั ผดิ ชอบตอ่ การประเมนิ และรบั ทราบจดุ สนิ้ สดุ ทาง

28 ข้อแนะน�ำสำ� หรบั การดูแลและการใชส้ ัตว์ทดลอง

มนุษยธรรม และสนองตอบตามท่กี �ำ หนดเม่ือบรรลุจุดส้ินสุดเพือ่ มนุษยธรรม (Toth 2000) การระบคุ �ำ นิยาม
ของภาวะใกล้ตายทางพฤตกิ รรมและทางกายภาพ (ibid) และการใช้การบนั ทึกตา่ งๆสำ�หรบั การประเมินสัตว์
โดยเฉพาะส�ำ หรบั การศกึ ษา (Morton 2000; Paster et al. 2009) สามารถชว่ ย PI และ IACUC ในการพจิ ารณา
และพฒั นาจดุ สนิ้ สดุ เพอื่ มนษุ ยธรรมตามทค่ี าดหวงั เมอื่ มกี ารเสนอการทดลองใหมๆ่ หรอื ปราศจากขอ้ มลู การ
ใชก้ ารทดลองน�ำ รอ่ งตา่ งๆเปน็ วธิ ที ไี่ ดผ้ ลเพอื่ คน้ หาและก�ำ หนดจดุ สนิ้ สดุ เพอื่ มนษุ ยธรรม และบรรลคุ วามเหน็
พ้องตอ้ งกนั ระหวา่ ง PI IACUC และสัตวแพทย์ ควรจัดให้มรี ะบบเพือ่ การสอ่ื สารกับ IACUC ท้งั ในระหว่าง
ทำ�การทดลองต่างๆและหลังจากน้ัน มีส่ิงตีพิมพ์อยู่มากมายที่กล่าวถึงโครงการเฉพาะต่างๆ สำ�หรับความ
เกย่ี วขอ้ งและการใชจ้ ดุ สนิ้ สดุ เพอื่ มนษุ ยธรรมตา่ งๆ (เชน่ CCAC 1998; ILAR 2000; OECD 1999; Toth 1997;
UKCCCR 1997)

ผลลพั ธ์ท่ีคาดไมถ่ งึ พน้ื ฐานของค�ำ ถามทางวิทยาศาสตร์คือการคน้ ควา้ ตัวแปรใหมๆ่ ของการทดลอง จ�ำ เป็น
ต้องมกี ารดูแลอาการสตั ว์บ่อยคร้ังขึน้ เพราะว่ามโี อกาสการเกดิ ผลลัพธ์ตา่ งๆทีค่ าดไม่ถึงซึง่ อาจมผี ลตอ่ ความ
เป็นอยู่ท่ีดีของสัตว์เมื่อมีการใช้ตัวแปรใหม่ๆอย่างมาก GMA ซึ่งมีโอกาสมีลักษณะที่ปรากฎให้เห็นโดยการ
ควบคุมของจีน (phenotypes) ทคี่ าดไม่ถงึ จงึ เปน็ ตวั อย่างโมเดลของโรคตา่ งๆซ่ึงควรเพิ่มการสงั เกตว่ามกี าร
เกดิ ผลลัพธ์ต่างๆท่ีไม่คาดคดิ (Dennis 1999)
GMA โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ หนเู มาสแ์ ละปลา เปน็ โมเดลของโรคตา่ งๆทส่ี �ำ คญั และมกี ารพฒั นาวธิ ใี หมๆ่
และ การผนวกรวมกับการเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมอยเู่ สมอ (Gondo 2008) โดยไม่ตอ้ งค�ำ นงึ ถงึ วา่ มีการ
เปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมอย่างเฉพาะเจาะจงหรือโดยการสุม่ ผล phenotypes โดยเบอ้ื งตน้ มกั ไม่สามารถ
คาดเดาได้ และอาจนำ�ไปสู่ผลลัพธ์ต่างๆ ที่คาดไว้ก่อนหรือคาดไม่ถึงซึ่งมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ท่ีดีของ
สัตว์ หรอื การรอดชีวิตทีช่ ว่ งใดๆของชีวิต ตัวอยา่ งเชน่ ในบางโอกาสการเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมไดน้ ำ�ไป
สู่ภาวะภมู คิ ้มุ กันบกพรอ่ งซ่งึ มองไม่เหน็ ทำ�ให้ลูกสัตว์ GMA ตอ้ งถูกเก็บภายใตส้ ภาวะพเิ ศษเพื่อสกดั กัน้ เชื้อ
โรคต่างๆ (Mumphrey et al. 2007) และลำ�ดบั ทางพนั ธุกรรมของ promoter ท่ถี กู ใช้เพอ่ื ก�ำ หนดการแสดงออก
ของ transgenes ณ เนื้อเย่ือเฉพาะต่างๆ มีดกี รคี วามจำ�เพาะท่แี ปรปรวน (มีความรั่ว “leakiness”) ทสี่ ามารถ
แสดงให้เห็น phenotypes ที่คาดไม่ถงึ (Moorehead et al. 2003) ตัวอย่างเหล่าน้ีแสดงผลลพั ธ์แตกต่างกนั
หลายชนิดท่ีคาดไมถ่ งึ และเนน้ ให้เหน็ ความจำ�เปน็ ต้องมคี วามขยันหมนั่ ดูแลอาการสตั ว์ และ ใช้การตดั สินใจ
โดยผเู้ ชยี่ วชาญเพอื่ ใหม้ น่ั ใจในความเปน็ อยทู่ ดี่ ขี องสตั ว์ (Dennis 2000) ควรดแู ลลกู รนุ่ แรกของ GMA เชอ้ื สาย
ใหม่อย่างระมัดระวังตั้งแต่เกิดไปจนเร่ิมโตเต็มวัยว่ามีอาการของโรค ความเจ็บปวดหรือการทรมาน นักวิจัย
มักพบว่า phenotype ท่ีไม่มีโอกาสแพร่พันธ์ุ genotypes บางประเภทหรือท่ีเกิดเป็นหมัน สถานะต่างๆน้ี
สามารถน�ำ ไปสกู่ ารเพมิ่ จ�ำ นวนสตั วท์ ถี่ กู ใชแ้ ละการปรบั ปรงุ โปรโตคอล เมอ่ื เรม่ิ ตน้ หาลกั ษณะเฉพาะของ GMA
พบว่ามีภาวะที่มีผลทางลบต่อความเป็นอยู่ท่ีดีของสัตว์ ควรรายงานให้ IACUC ทราบ และอาจต้องมีการ
วิเคราะห์ลงรายละเอียดเพอ่ื ระบุ phenotype เพม่ิ มากข้ึน (Brown et al. 2000; Crawley 1999; Dennis 2000)

โปรแกรมการดแู ลและการใชส้ ตั ว์ 29

การควบคมุ ดแู ลและการรายงานดงั กล่าวอาจช่วยกำ�หนดว่ามาตรการต่างๆทไ่ี ด้รเิ ริม่ สามารถครอบคลุมลอ้ ม
หรอื บรรเทาผลกระทบของการเปลยี่ นแปลงทางพนั ธกุ รรมตอ่ ความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องสตั ว์ และ ก�ำ หนดจดุ สน้ิ สดุ
ทางมนษุ ย ธรรมโดยเฉพาะกบั GMA สายน้นั

การจับบังคบั สัตว์ การจบั บงั คับสัตวเ์ ป็นการใชม้ ือหรอื เคร่ืองมอื เพื่อจ�ำ กัดการเคลือ่ นไหวตามปกตขิ องสัตว์
บางส่วนหรอื ทงั้ หมด เพอ่ื จุดประสงคใ์ นการตรวจ การเกบ็ ตัวอยา่ ง การให้ยา การรกั ษาหรือวธิ ีการปฏบิ ตั ิเพอื่
การทดลอง ในการปฏิบตั ิการวจิ ยั ส่วนใหญส่ ตั ว์ถกู บงั คับเป็นระยะเวลาสั้นๆ ตามปกติเปน็ เวลาหลายนาที
เครื่องบังคับสัตว์แบบต่าง ๆ ควรมีความเหมาะสมในด้านขนาด รูปแบบและวิธีการเพ่ือลดความ
ไมส่ บาย ความเจ็บปวด การทรมาน หรือโอกาสการเกิดอนั ตรายตอ่ สตั วใ์ ห้เหลอื น้อยทีส่ ุด สามารถฝกึ สนุ ขั
ลิง และสัตว์ชนิดอ่ืนๆ ได้โดยใช้เทคนิคการเสริมกำ�ลังในด้านบวกต่างๆ (positive reinforcement
techniques) เพื่อใหย้ อมร่วมมอื ตามวธิ ีปฏบิ ตั ิวจิ ัย หรอื ยอมอยนู่ ิง่ ๆเป็นชว่ งเวลาสั้น ๆ (Boissy et al. 2007;
Laule et al. 2003; Meunier 2006; Prescott and Buchanan-Smith 2003; Reinhardt 1991, 1995; Sauce-
da and Schmidt 2000; Yeates and Main 2009)
ควรหลีกเล่ยี งการจบั บังคับเปน็ ระยะเวลานาน รวมทัง้ การจับลงิ นั่งเก้าอ้ี ยกเว้นเม่ือมีความจ�ำ เป็นเพ่ือ
บรรลุจุดประสงค์ของการวิจัย และได้รับการอนุมัติอย่างเฉพาะเจาะจงโดย IACUC (NRC 2003b) ควรใช้
ระบบวิธีบงั คับทจ่ี �ำ กัดความสามารถการอย่ใู นทา่ ทางอย่างเป็นปกติของสัตว์เม่อื วตั ถปุ ระสงคข์ องโปรโตคอล
ยอมรบั ได้ (เชน่ ระบบการฝงั เครอ่ื งสง่ ล�ำ เลยี งสารละลายขนาดจวิ๋ ในสตั วฟ์ นั แทะ เครอื่ งสง่ ล�ำ เลยี งสารละลาย
ทบ่ี รรจพุ อดใี นเปห้ ลงั ในสนุ ขั และลงิ และการเลย้ี งปศสุ ตั วป์ ลอ่ ยโดยไมข่ งั คอก) สตั วท์ ไี่ มส่ ามารถปรบั ตวั ใหเ้ ขา้
กบั ระบบการจดั บงั คบั รา่ งกายทจี่ �ำ เปน็ ควรถกู ปลดออกจากการศกึ ษา ถา้ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งมอื บงั คบั เครอื่ งมอื นน้ั
ควรไดร้ บั การออกแบบโดยเฉพาะเพอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายของงานวจิ ยั ทไ่ี มอ่ าจท�ำ ไดโ้ ดยวธิ กี ารอน่ื หรอื ไมเ่ หมาะ
สมในทางปฏิบัติใหส้ ำ�เร็จดว้ ยวธิ ีอื่นๆ หรอื เพอื่ ปอ้ งกนั การบาดเจ็บตอ่ สัตว์หรอื บคุ ลากร
แนวทางสำ�คัญเพื่อการจับบังคับสตั ว์ได้แก่

เคร่ืองมือจับบังคับต่างๆ ไม่ควรถือว่าเป็นที่อยู่ปกติของสัตว์ และต้องให้เหตุผลอย่างเหมาะสม
ในโปรโตคอลการใชส้ ัตว์
ไมค่ วรใชเ้ ครื่องมือจบั บงั คับตา่ งๆ เพียงเพอื่ ความสะดวกในการจบั หรือจัดการสัตว์
ควรพิจารณาวิธที างเลือกอืน่ ๆแทนการจบั บังคบั สตั ว์
ควรมรี ะยะเวลาของการจับบังคบั ตามต้องการให้สั้นทส่ี ุดเพ่ือบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ของงานวจิ ยั
สัตวท์ ี่ตอ้ งอยู่ในเครื่องจบั บังคบั ควรไดร้ บั การฝึก (ดว้ ยวธิ ีการเสรมิ กำ�ลังในด้านบวก) เพอ่ื ปรับตัว
ให้ชินกบั เคร่อื งมอื และบุคลากร
สตั ว์ทีไ่ ม่สามารถปรบั ตัวควรถูกคดั ออกจากการศึกษา
ควรจัดใหม้ ีการสงั เกตสตั วต์ ามช่วงระยะเวลาทีเ่ หมาะสม ดังที่ IACUC ได้พิจารณา

30 ข้อแนะนำ� สำ� หรบั การดแู ลและการใชส้ ตั ว์ทดลอง

ควรได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์ หากพบวิการหรือการเจ็บป่วยจากการจับบังคับสัตว์ ถ้าสัตว์
แสดงวิการ การเจ็บป่วย หรือ การเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างรุนแรง มักจำ�เป็นต้องต้องปล่อยสัตว์
ออกจากการจับบงั คับช่ัวขณะหรอื อยา่ งถาวร
ควรอธิบายวัตถุประสงค์และระยะเวลาของการจับบังคับสัตว์ให้บุคลากรผู้เก่ียวข้องกับการศึกษา
ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งชดั เจน

วิธีการผ่าตัดใหญ่หลายครั้ง การทำ�ศัลยกรรมในห้องปฏิบัติการอาจจำ�แนกประเภทเป็นแบบใหญ่และเล็ก
(USDA 1985) ควรประเมินแต่ละกรณีไม่ว่าวิธีการทำ�เป็นใหญ่หรือเล็กโดยสัตวแพทย์และ IACUC (NRC
2003b; Silverman et al. 2007; สำ�หรับการอธบิ ายเพิ่มเติม ดูบทที่ 4 วิธดี �ำ เนินการผา่ ตดั )
โดยไม่คำ�นึงถึงจำ�แนกประเภท การทำ�ศัลยกรรมหลายๆ ครั้งบนสัตว์ตัวเดียวควรถูกประเมินเพื่อ
พจิ ารณาผลกระทบตอ่ ตอ่ ความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องสตั ว์ การท�ำ ศลั ยกรรมหลายๆครงั้ บนสตั วต์ วั เดยี วเปน็ สงิ่ ยอมรบั
ไดถ้ า้ สงิ่ เหลา่ นเ้ี ปน็ (1) เปน็ สว่ นหนง่ึ และเปน็ สว่ นประกอบทจ่ี �ำ เปน็ ของโครงการวจิ ยั หรอื โปรโตคอลเรอื่ งหนง่ึ
(2) นกั วจิ ยั ไดแ้ สดงเหตผุ ลทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื (3) เปน็ สง่ิ จำ�เปน็ เพอื่ การรกั ษาทางคลนิ กิ เทา่ นน้ั การอนรุ กั ษ์
ทรัพยากรสัตว์หายากอาจเป็นเหตุผลสมควรในการทำ�ศัลยกรรมใหญ่หลายๆครั้งบนสัตว์ตัวเดียว IACUC
ควรขัดขวางการปฏิบัติเช่นนี้บนสัตว์ตัวเดียวแต่แยกกันทำ�ในหลายๆโปรโตคอลและควรทบทวนเร่ืองน้ีอย่าง
จรงิ จงั เมอื่ ใดทม่ี กี ารปฏบิ ตั ติ ามขอ้ บงั คบั อยา่ งสอดคลอ้ ง IO ตอ้ งเสนอค�ำ รอ้ งขออนญุ าตไปยงั USDA/APHIS
และตอ้ งรอการอนญุ าตเพอ่ื ใหท้ ำ�การท�ำ ศลั ยกรรมใหญห่ ลายๆคร้ังบนตวั สตั วต์ วั หน่งึ ตามบงั คบั แยกจากการ
ขออนุญาตโปรโตคอลส่วนอ่ืนๆท่ีไม่เกี่ยวข้องกัน (USDA 1985; 1997a) ควรให้มีเหตุผลสมควรต่างๆตาม
เกณฑ์ดงั กล่าวแล้วเพือ่ ยอมให้สัตว์ชนิดท่ีไม่ถูกควบคุมโดย USDAเพ่ือให้ทำ�ศัลยกรรมรอดชีวิตหลายๆ ครั้ง
เช่นเดียวกันกับสตั ว์ทถี่ ูกควบคุมตามข้อบงั คบั ถา้ มีการอนุญาตใหท้ �ำ ศลั ยกรรมรอดชวี ติ หลายๆครั้ง IACUC
ควรใส่ใจรายละเอียดความเป็นอยู่ท่ีดีของสัตว์ด้วยการประเมินผลลัพธ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง การประหยัด
คา่ ใชจ้ ่ายเพยี งอยา่ งเดยี วไม่ถอื เป็นเหตุผลเพียงพอเพ่อื ให้ท�ำ การท�ำ ศัลยกรรมใหญ่รอดชีวติ หลายๆครัง้
วิธีการผ่าตัดบางอย่างนับเป็นศัลยกรรมเล็กแต่อาจเกิดความเจ็บปวดหรือความผิดปกติท่ีเกิดข้ึน
ตามมาหลังการทำ�อย่างมากมาย และควรมีการให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์อย่างสมควรเช่นเดียวกัน ถ้าทำ�
มากกวา่ หนง่ึ ครง้ั บนสัตว์ตัวหนงึ่

การจำ�กดั อาหารหรอื ของเหลว การควบคมุ การไดร้ บั อาหารหรอื ของเหลวอาจเปน็ ความตอ้ งการเพอื่ โปรโตคอล
วจิ ยั ตา่ งๆบางอยา่ งทางสรรี วทิ ยา ประสาทวทิ ยาและพฤตกิ รรม กระบวนการควบคมุ อาจพวั พนั กบั การก�ำ หนด
ตารางเวลาการให้เขา้ ถึง (scheduled access) แหลง่ อาหารหรือของเหลว ดังนัน้ สตั วต์ วั หนึ่งบริโภคได้มากเทา่
ทีม่ ันต้องการตามช่วงเวลาประจำ�ตามเกณฑ์ หรือ การจ�ำ กัด (restriction) ซึง่ ปรมิ าณรวมท้งั หมดของอาหาร
หรือของ เหลวถูกตรวจตราและควบคุมอย่างเข้มงวด (NRC 2003b) เป้าหมายเม่ือวางแผนและดำ�เนินการ
ศึกษาให้สำ�เร็จควรใช้การจำ�กัดอย่างน้อยที่สุดเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์ขณะเดียวกับการดำ�รง
ไว้ซงึ่ ความเป็นอยู่ทดี่ ีของสัตว์

โปรแกรมการดูแลและการใช้สตั ว์ 31

การพัฒนาโปรโตคอลที่เกี่ยวข้องกับการใช้การควบคุมอาหารหรือของเหลวต้องมีการประเมินปัจจัย
สามอย่าง ได้แก่ ระดับการควบคุมท่ีจำ�เป็น ผลกระทบหลังการควบคุมที่อาจเป็นไปได้ และ วิธีการต่างๆ
ในการประเมนิ สขุ ภาพและความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องสตั ว์ (NRC 2003b) นอกจากน้ี ปจั จยั ตา่ งๆทตี่ ามมามอี ทิ ธพิ ล
ตอ่ ปรมิ าณการจ�ำ กดั อาหารหรอื ของเหลวซงึ่ สามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งปลอดภยั ในโปรโตคอลโดยเฉพาะ ไดแ้ ก่ ชนดิ
สายพนั ธ์หุ รอื เชอื้ สาย เพศและอายุของสัตว์ อุปสงคใ์ นการควบคมุ อณุ หภมู ิของรา่ งกาย ชนิดของทอ่ี ยูอ่ าศยั
เวลาการใหอ้ าหาร คณุ คา่ ทางโภชนาการและปรมิ าณเย่อื ใยที่มีในอาหาร (Heiderstadt et al. 2000; Rowland
2007) ตลอดจนการปฏิบัติต่างๆที่ได้ทำ�มาก่อนหน้าการทดลอง ดีกรีของการจำ�กัดอาหารหรือของเหลว
ที่มีความจำ�เป็นต่อสมรรถภาพทางพฤติกรรมได้รับอิทธิพลโดยความยากของช้ินงานที่ให้สัตว์ทำ� ตัวสัตว์
แต่ละตัว แรงจงู ใจที่สัตวต์ อ้ งการและประสทิ ธผิ ลของการฝึกสตั ว์เพื่อทำ�ชิน้ งานหน่งึ ที่เก่ียวขอ้ งกบั โปรโตคอล
ควรดแู ลสตั วอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ เพอื่ ใหแ้ นใ่ จวา่ อาหารและของเหลวทไี่ ดร้ บั มคี วามเหมาะสมกบั ความจ�ำ เปน็
ทางโภชนาการของสตั วเ์ หล่าน้นั (Toth and Gardiner 2000) ควรจดบันทึกน�้ำ หนกั ตัวสตั ว์อยา่ งนอ้ ยสปั ดาห์
ละคร้ังหรือทำ�โดยบ่อยคร้ังมากกว่า สำ�หรับสัตว์ท่ีต้องให้การจำ�กัดมากกว่า (NRC 2003b) ควรเก็บรักษา
รายงานของสัตว์แต่ละตัวเป็นลายลักษณ์อักษรเพ่ือบันทึกการบริโภคอาหารและของเหลวประจำ�วัน ภาวะ
การมีนำ้� และการเปล่ียนแปลงทางพฤติกรรมและทางคลินิคใดๆซ่ึงใช้เป็นเกณฑ์สำ�หรับปลดสัตว์ตัวหน่ึง
อย่างชั่วคราว หรอื โดยถาวรออกจากโปรโตคอลหน่งึ (Morton 2002; NRC 2003b) ในกรณีโปรโตคอลวิจยั
การตอบสนองต่อสภาวะดังได้กำ�หนดไว้แนะนำ�ให้ใช้อาหารหรือของเหลวชนิดที่สัตว์ชอบอย่างมากเป็นการ
เสริมพลังด้านบวกแทนการจำ�กัดอาหาร การจำ�กัดปริมาณพลังงานจากอาหารโดยเป็นเทคนิคทางสัตวบาล
และวธิ ีการควบคุมน้ำ�หนักได้กลา่ วไวใ้ นบทที่ 3

การใชส้ ารเคมีในระดบั ทไ่ี ม่ใช่เภสชั ภณั ฑ์และสารอนื่ ๆ การใชส้ ารเคมีในระดับที่เป็นเภสชั ภัณฑ์และสารอืน่ ๆ
ทำ�ให้แน่ใจว่าพิษและผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ไม่ถูกนำ�เข้าไปในการศึกษาท่ีทำ�ในสัตว์ทดลอง ดังนั้น
จงึ ควรใชส้ ารเหลา่ นเ้ี มอื่ มอี ยหู่ ากใชไ้ ดก้ บั ปฏบิ ตั กิ ารทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั สตั ว์ (USDA 1997b) การใชส้ ารเคมใี นระดบั
ท่ีไม่ใช่เภสัชภัณฑ์และสารอ่ืนๆ ควรอธิบายและให้เหตุผลตามสมควรในโปรโตคอลและได้รับการอนุมัติโดย
IACUC (Wolff et al. 2003) ตัวอย่างเชน่ การใชส้ ารเคมใี นระดบั ทไ่ี ม่ใช่เภสัชภัณฑแ์ ละสารอนื่ ๆอาจมีความ
จำ�เป็นตามเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ของโครงการหน่ึง หรือเม่ือเภสัชภัณฑ์ของมนุษย์ไม่มีให้ใช้ ในกรณี
เหล่าน้คี วรคำ�นึงถงึ ระดับ ความบริสุทธิ์ ความปลอดเชื้อ ความเป็นกรดด่าง การก่อไข้ ความสามารถการซมึ
ผา่ นของเหลว การคงท่ี ตำ�แหน่งและวธิ ีใหส้ าร ต�ำ หรับ ความเขา้ กันได้ และเภสชั จลนศาสตรข์ องสารเคมหี รือ
สารซ่งึ ให้สัตว์ ตลอดจนสวัสดภิ าพสตั วแ์ ละประเดน็ ทเี่ ก่ียวข้องกบั การใชส้ ารน้ี (NIH 2008)

การสำ�รวจภาคสนาม การวจิ ยั ต่างๆอาจเกย่ี วพนั กับการสังเกตหรอื การใช้สัตว์มีกระดกู สันหลังทไี่ ม่ใช่สัตวเ์ ลี้ยง
ภายใต้สภาวะภาคสนาม การศึกษาภาคสนามหลายๆอย่างต้องได้มีหนังสืออนุญาตระหว่างประเทศ ตาม
กฎหมายของรัฐบาลกลาง กฎหมายของรัฐ และ/หรือของท้องถ่ินซึ่งอาจเรียกร้องให้ประเมินความสมควรทาง
วทิ ยาศาสตร์ของการศกึ ษาทเี่ สนอมาและพจิ ารณาผลกระทบทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ ไดต้ อ่ ประชากรหรอื ชนดิ สตั วท์ ศี่ กึ ษา

32 ขอ้ แนะนำ� ส�ำหรบั การดแู ลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง

นอกจากน้ีประเด็นอาชีวอนามัยและความปลอดภัยต่างๆ ได้แก่ โรคสัตว์สู่คนต่างๆ ควรได้รับการ
ทบทวนโดยคณะกรรมการหรือสำ�นักงานสุขภาพและความปลอดภัยของสถาบันร่วมกับการรับประกันต่อ
IACUC ว่าการศึกษาไม่มีส่วนทำ�ให้สุขภาพและความปลอดภัยของสัตว์และมนุษย์ที่อยู่ในเขตนั้นตกอยู่ใน
อันตราย นักวิจัยหลักผู้บริหารการวิจัยภาคสนามควรรอบรู้เรื่องโรคสัตว์สู่คนต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน ประเด็น
ความปลอดภยั ที่เกย่ี วขอ้ งตา่ งๆ และ กฎหมายหรอื ขอ้ บังคับใดๆ ท่ตี ้องปฏิบตั ติ าม ขอ้ ยกเวน้ ใดๆ ตอ่ สิง่
เหล่าน้ีควรอธิบายชแ้ี จงอย่างชัดเจนและประเมนิ โดย IACUC
ในการวางแผนการศกึ ษาภาคสนาม นกั วจิ ยั ถกู กระตนุ้ ใหป้ รกึ ษาประชาคมผเู้ ชย่ี วชาญตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง
และคำ�แนะนำ�ต่างๆท่ีมีให้ใช้ (ดูภาคผนวก ก.) ข้อคิดเห็นจากสัตวแพทย์อาจจำ�เป็นสำ�หรับโครงการต่าง ๆ
ท่เี กีย่ วข้องกบั การดักจับ การทำ�เครื่องหมาย การทำ�ให้เซ่อื งซึม การวางยาสลบ ศัลยกรรม การฟื้นจากสลบ
การเกบ็ เล้ยี งไว้ การขนสง่ การปลอ่ ยคนื หรอื การทำ�การณุ ยฆาต ประเดน็ ต่างๆทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั กจิ กรรมเหลา่ น้ี
มีเหมือนๆกันถ้าการปฏิบัติแตกต่างไปจากการปฏิบัติต่อสัตว์ชนิดเดียวกันท่ีถูกเก็บหรือใช้ในห้องปฏิบัติการ
ถา้ สตั วถ์ กู เคลอื่ นยา้ ยออกจากปา่ โปรโตคอลควรมแี ผนตา่ งๆเพอื่ การคนื สถู่ น่ิ ทอ่ี ยเู่ ดมิ หรอื การก�ำ จดั ในทส่ี ดุ
อย่างใดอย่างหน่งึ ตามความเหมาะสม
ขอ้ แนะน�ำ ไม่ได้มีใจความเป็นบทสรปุ ของขอ้ มูลทง้ั หมดเรอ่ื งชีววทิ ยาภาคสนามและวิธีการตา่ งๆ ทีใ่ ช้
ในการสำ�รวจสัตว์ป่าต่างๆ แต่ให้เกณฑ์พ้ืนฐานการดูแลและการใช้ที่ประยุกต์ใช้กับสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในสภาพ
ตามธรรมชาติ IACUC ผู้ทำ�งานทบทวนการศึกษาภาคสนามถูกกระตุ้นให้ปรึกษานักชีววิทยาสัตว์ป่า
ผ้มู คี ณุ สมบัตเิ หมาะสม

ปศุสัตว์ การใช้ปศุสัตว์ในการวิจัยจำ�เป็นต้องเสนอการพิจารณาทางจริยธรรมเช่นเดียวกันกับสัตว์อื่นๆ ท่ีใช้
ในการวจิ ยั ถงึ แมว้ า่ การวจิ ยั ปศสุ ตั วม์ กั ถกู จ�ำ แนกเปน็ ดา้ นชวี การแพทยห์ รอื การเกษตรอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เพราะ
วา่ กฎขอ้ บงั คบั และนโยบายของรฐั บาล นโยบายของสถาบนั โครงสรา้ งทางการบรหิ าร แหลง่ เงนิ ทนุ และ/หรอื
เป้าหมายต่างๆ (Stricklin et al. 1990) การจำ�แนกเช่นน้ีนำ�ไปสู่ระบบหนึ่งซึ่งมีสองเกณฑ์ที่แตกต่างกัน
เพื่อประเมินโปรโตคอลและมาตรฐานของที่อยู่และดูแลสำ�หรับสัตว์ชนิดเดียวกันบนพื้นฐานท่ีระบุว่าเป็น
วตั ถปุ ระสงค์ด้านชีวการแพทยห์ รือการเกษตร (Stricklin and Mench 1994) ส�ำ หรบั การศกึ ษาบางอยา่ ง ความ
แตกต่างกันในเป้าหมายการวิจัยอาจนำ�ไปสู่การแบ่งแยกระหว่างวัตถุประสงค์ชีวการแพทย์หรือการเกษตร
อยา่ งชดั เจน ตวั อยา่ งเชน่ การใชส้ ตั วเ์ ปน็ แบบจ�ำ ลองของโรคตา่ งๆในคน การปลกู ถา่ ยอวยั วะและการศลั ยกรรม
ใหญ่ถูกพิจารณาว่าเป็นการใช้เพื่อชีวการแพทย์ และการศึกษาเรื่องการผลิตอาหารและเส้นใยต่างๆ เช่น
การทดลองอาหาร มกั ถกู พจิ ารณาวา่ เปน็ การใชเ้ พอื่ การเกษตร แตเ่ มอื่ การแบง่ แยกนไ้ี มช่ ดั เจน เชน่ การศกึ ษา
โภชนาการและโรคบางชนดิ ผบู้ รหิ าร ผกู้ �ำ กบั ดแู ล และ IACUC มกั ตอ้ งเผชญิ กบั สถานการณก์ �ำ้ กง่ึ ทม่ี สี องทาง
เลือกในการตัดสินใจจดั การกบั การศกึ ษาเรอ่ื งนัน้ ๆ อยา่ งไร (Stricklin et al. 1990) การตดั สินใจในการจ�ำ แนก
การใช้ปศุสัตว์ในการวิจัยและการกำ�หนดมาตรฐานต่างๆสำ�หรับการดูแลและการใช้ควรทำ�โดย IACUC

โปรแกรมการดแู ลและการใชส้ ตั ว์ 33

บนพืน้ ฐานทัง้ เป้าหมายของนกั วิจยั และข้อกงั วลเรอื่ งความเปน็ อยู่ทีด่ ขี องสัตว์
การพิจารณาโปรโตคอลควรพิจารณาส่ิงแวดล้อมท่ีจัดตั้ง (แบบฟาร์มหรือห้องปฏิบัติการ) แทนที่การ
ค�ำ นงึ ถงึ แคร่ ปู แบบการวจิ ยั วา่ เปน็ ชนดิ ใด ระบบทอี่ ยสู่ �ำ หรบั ปศสุ ตั วท์ ถ่ี กู ใชใ้ นการวจิ ยั ชวี การแพทยอ์ าจเหมอื น
หรือแตกต่างจากระบบต่างๆที่ใช้ในการวิจัยด้านการเกษตร สัตว์ท่ีถูกใช้ในด้านใดๆสามารถถูกเลี้ยงในกรง
คอก ทุง่ ขนาดย่อม หรอื ทุ่งขนาดใหญ่ (Tillman 1994) การศึกษาดา้ นการเกษตรบางอยา่ งจำ�เปน็ ต้องมสี ภาพ
แวดลอ้ มคงทสี่ ม�ำ่ เสมอเพอื่ ลดตวั แปรดา้ นสภาพแวดลอ้ มลงใหเ้ หลอื นอ้ ยทสี่ ดุ และการศกึ ษาดา้ นชวี การแพทย์
บางเรื่องมักถูกจัดการในส่ิงแวดล้อมแบบฟาร์ม การศึกษาด้านการเกษตรมักมีความจำ�เป็นซึ่งสัตว์ถูกจัดการ
โดยสอดคล้องกับวิธปี ฏบิ ตั กิ ารผลิตที่ใชใ้ นฟาร์มทท่ี นั สมัย (Stricklin and Mench 1994) และสภาพแวดล้อม
ตามธรรมชาติอาจถูกเลือกเพื่อการศึกษาด้านการเกษตร ในขณะที่การควบคุมสภาพแวดล้อมเพ่ือลดการ
ผันแปรอาจถูกเลือกเพ่ือการศกึ ษาด้านชวี การแพทย์ (Tillman1994)
ข้อแนะนำ�นำ�ไปใช้กับปศุสัตว์ในงานวิจัยทางชีวการแพทย์รวมทั้งปศุสัตว์ท่ีเลี้ยงในสภาพฟาร์มต่างๆ
มหี นงั สอื ส�ำ หรบั สตั วท์ เี่ ลยี้ งในสภาพฟารม์ ทเ่ี ปน็ แหลง่ ทมี่ ปี ระโยชนเ์ รอื่ ง ขอ้ แนะนำ�การดแู ลและการใชป้ ศสุ ตั ว์
ในงานวจิ ยั และการสอน (FASS 2010) สามารถหาข้อมลู เพิ่มเติมเรื่องการเพ่มิ พนู สิง่ แวดล้อม การขนสง่ และ
การจดั การปศสุ ตั วอ์ าจมปี ระโยชนใ์ นจดั เตรยี มสงิ่ แวดลอ้ มทงั้ แบบการเกษตรและชวี การแพทย์ ขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ
เร่ืองสิง่ อำ�นวยความสะดวก และการจดั การสัตว์ฟาร์มในสิ่งแวดลอ้ มแบบการเกษตรกรรม มไี วใ้ หท้ ่ี Midwest
Plan Service (1987) และจากผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นวิศวกรรมเกษตรหรอื ด้านสัตวศาสตร์

การก�ำ กับดูแลตามหลังการอนุมตั ิ

การกำ�กับดูแลกิจกรรมต่างๆท่ีเก่ียวกับสัตว์อย่างต่อเน่ืองโดย IACUC เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎข้อบังคับและนโยบายต่างๆของรัฐบาลกลาง สามารถใช้กลไกที่มีอยู่มากมายเพื่ออำ�นวยความสดวก
ตอ่ การประเมนิ โปรโตคอลอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและโดยสอดคลอ้ งกบั กฎขอ้ บงั คบั การก�ำ กบั ดแู ลตามหลงั การอนมุ ตั ิ
(PAM) ถกู ค�ำ นงึ ถงึ ณ ทนี่ ดี้ ว้ ยความหมายกวา้ ง โดยค�ำ นงึ ถงึ การก�ำ กบั ดแู ลโปรโตคอลทกุ วธิ ตี ามหลงั การอนมุ ตั ิ
ตง้ั แต่เรมิ่ ตน้
PAM ช่วยรับรองความเป็นอยู่ท่ีดีของสัตว์และอาจช่วยให้โอกาสต่างๆเพื่อขัดเกลาปรับปรุงวิธีปฏิบัติ
งานวิจัย วิธีที่ใช้ได้แก่ การทบทวนโปรโตคอลอย่างต่อเน่ือง การตรวจห้องปฏิบัติการ (ที่ทำ�ขณะการตรวจ
สถานที่ตามปกติ หรือ แยกทำ�ตา่ งหาก) การท่สี ัตวแพทย์ หรือ IACUC ดกู ารปฏิบตั ทิ ีถ่ กู คัดเลอื ก การสังเกต
อาการสตั วโ์ ดยบคุ ลากรตา่ งๆผดู้ แู ลสตั ว์ เจา้ หนา้ ทขี่ องสตั วแพทย์ พนกั งานและสมาชกิ ของ IACUC และ การ
ตรวจและการประเมนิ จากภายนอกตามกฎขอ้ บงั คบั บคุ ลากรของ IACUC เจา้ หนา้ ทขี่ องสตั วแพทยผ์ ดู้ แู ลสตั ว์
และ ผู้ดูแลใหป้ ฏบิ ัตติ ามกฎอาจท�ำ PAM ซ่ึงอาจใชเ้ ป็นเคร่อื งมอื เพื่อการเรยี นรู้

34 ข้อแนะนำ� ส�ำหรบั การดแู ลและการใช้สัตวท์ ดลอง

การทบทวนโปรโตคอลอย่างต่อเน่ืองประกอบด้วยการปรับปรุงข้อมูลใหม่และการทบทวนประจำ�ปี
ตลอดจนการทบทวนรายสามปที ่ตี ้องทำ�สอดคลอ้ งตาม PHS ความลกึ ซง้ึ ของการทบทวนดงั กลา่ วผนั แปรได้
ต้ังแต่การใหป้ รับปรุงขอ้ มลู ใหมท่ กุ ปี ไปจนถึงการทบทวนโปรโตคอลท้ังหมดโดยคณะกรรมการท้ังคณะ บาง
สถาบนั ใช้การปรบั ปรุงขอ้ มลู ใหม่ทกุ ปเี ปน็ โอกาสให้นักวจิ ัยสง่ เอกสารเสนอขอแก้ไข (amendments) สำ�หรบั
วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นอนาคต เพอื่ ใหส้ ง่ การอธบิ ายเหตกุ ารณต์ า่ งๆทเี่ ปน็ ผลรา้ ยหรอื ไมค่ าดคดิ และ การใหข้ อ้ มลู ความ
คบื หน้าของงานทีก่ �ำ ลงั ทำ� ส�ำ หรับการทบทวนรายสามปี สถาบันหลายๆ แห่งมักตอ้ งการใหเ้ สนอโปรโตคอล
ใหม่อยา่ งสมบรู ณ์และอาจขอรายงานความคืบหน้าของงานท่ีท�ำ ในชว่ งสามปีล่วงหนา้
ทงั้ กฎหมายการขยายการวจิ ยั สขุ ภาพและกฎหมายสวสั ดภิ าพสตั วบ์ งั คบั ให้ IACUC ตรวจสถานทสี่ �ำ หรบั
ดแู ลและการใชส้ ตั ว์ ตลอดจนบรเิ วณทใี่ ชส้ �ำ หรบั การท�ำ ศลั ยกรรมสตั วท์ กุ ๆหกเดอื น โดยการเปน็ สว่ นหนงึ่ ของ
โปรแกรม PAM บางสถาบนั รวมการตรวจสถานท่ใี ชส้ ัตว์พรอ้ มกันกบั การทบทวนโปรโตคอลการใชส้ ตั ว์ พืน้ ที่
ทำ�การศึกษาท่ีอ่ืนๆอาจถูกตรวจบ่อยมากหรือน้อยกว่า โดยคำ�นึงความเส่ียงภัยอันตรายต่อสัตว์และผู้ดูแล
ตัวอยา่ งต่างๆของกลยุทธก์ ารก�ำ กบั ดแู ลอย่างสัมฤทธผ์ ลได้แก่

การตรวจสอบพื้นท่ีการทำ�ศัลยกรรมรวมทั้งเครื่องดมยาสลบ การใช้เทคนิคปลอดเช้ืออย่าง
เหมาะสม และ การจัดการและการใชส้ ารควบคุม (controlled substances)
การทบทวนประเดน็ สุขภาพและความปลอดภัยต่างๆทเ่ี กีย่ วข้องกบั โปรโตคอล
การทบทวนบนั ทกึ การวางยาสลบและการทำ�ศลั ยกรรม
การทบทวนเป็นประจำ�ถึงผลกระทบตา่ งๆทีเ่ ปน็ ผลร้ายต่อสัตวห์ รอื ไม่คาดคดิ
การสังเกตการณ์วิธีการปฏิบัติและวิธีดำ�เนินการในห้องปฏิบัติการ และการปฏิบัติตามโปรโตคอล
ทีไ่ ดร้ ับอนุมัติ

สถาบันอาจพิจารณาการใช้เจ้าหน้าที่ทางสัตวแพทย์ และ/หรือ นักเทคนิคผู้ดูแลสัตว์ให้สังเกตวิธีการ
ปฏบิ ตั ทิ มี่ คี วามเสยี่ งตอ่ การเกดิ ผลรา้ ยตอ่ สตั วเ์ พมิ่ มากขนึ้ (เชน่ การศลั ยกรรมรอดชวี ติ วธิ ใี หม่ การศกึ ษาความ
เจบ็ ปวด การศึกษาการเจริญของเน้ืองอก) และรายงานสิ่งท่ีพบมาให้ IACUC ทบทวน ควรปรบั ระดับการเป็น
ทางการและความเขม้ งวดของ PAM ให้เหมาะกับขนาดและความซบั ซ้อนของสถาบนั และในทุกกรณคี วรส่ง
เสรมิ วัฒนธรรมของการดูแลโดยการเนน้ เร่ืองความเป็นอยู่ที่ดขี องสตั ว์ (Klein and Bayne 2007) ไม่วา่ ใชว้ ิธี
การใดหรอื ใหใ้ ครท�ำ และประสานงานการก�ำ กบั ดแู ล โปรแกรม PAM มกั ประสบความสำ�เรจ็ มากกวา่ เมอื่ สถาบนั
สนบั สนุนความเปน็ หนุ้ ส่วนทางการศกึ ษากับนักวจิ ยั (Bank and Norton 2008; Collins 2008; Dale 2008;
Lowman 2008; Plante and James 2008; Van Sluyters 2008)

โปรแกรมการดแู ลและการใช้สัตว์ 35

การวางแผนรบั ภัยพิบัติและการเตรยี มความพร้อมรบั เหตุการณ์ฉุกเฉนิ

สถานท่ีสำ�หรับสัตว์อาจตกเป็นประเด็นเร่ืองสภาวะที่ไม่คาดคิดทางภัยพิบัติซึ่งส่งผลให้เกิดความล้ม
เหลวของระบบวกิ ฤตตา่ งๆ หรอื การขาดแคลนบคุ ลากรอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั หรอื เหตกุ ารณท์ ไี่ มไ่ ดค้ าดหวงั อน่ื ๆ
ทส่ี ง่ ผลกระทบอยา่ งรนุ แรงตอ่ การดแู ลและความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องสตั วท์ ม่ี อี ยู่ (ILAR 2010) จงึ ควรมแี ผนภยั พบิ ตั ิ
แผนควรก�ำ หนดการสนองตอบทจ่ี �ำ เปน็ เพอ่ื ปอ้ งกนั ความเจบ็ ปวด การทรมานและการตายของสตั วเ์ นอ่ื งจาก
การสูญเสียระบบตา่ งๆ เชน่ ระบบควบคมุ การระบายอากาศ การใหค้ วามเยน็ การให้ความรอ้ น หรอื การให้
นำ้�ดมื่ ถา้ ทำ�ไดแ้ ผนควรอธบิ ายวา่ จะมกี ารคมุ้ ครองสตั วซ์ ่ึงจำ�เปน็ สำ�หรบั กจิ กรรมการวจิ ัยทสี่ ำ�คญั มากหรอื ไม่
สามารถหาทดแทนอกี ไดอ้ ยา่ งไร ความรเู้ รอื่ งพน้ื ทท่ี างธรณวี ทิ ยาอาจใหค้ �ำ แนะน�ำ วา่ มคี วามเปน็ ไปไดข้ องการ
เกิดภยั พิบัติบางประเภท
ควรจดั ท�ำ แผนรบั ภยั พบิ ตั ดิ ว้ ยความรว่ มมอื ของนกั วจิ ยั โดยค�ำ นงึ ทงั้ การจดั อนั ดบั ความส�ำ คญั กอ่ นหลงั
ส�ำ หรบั การแยกประเภทประชากรสตั วท์ ตี่ ายในภยั พบิ ตั ิ ตลอดจนความจ�ำ เปน็ และทรพั ยากรของสถาบนั สตั ว์
ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือป้องกันจากผลที่เกิดข้ึนภายหลังภัยพิบัติจะต้องถูกทำ�การุณยฆาต แผนรับภัย
พิบัติควรกำ�หนดบุคลากรที่จำ�เป็นผู้ควรได้รับการฝึกอบรมล่วงหน้าให้ทราบการปฏิบัติตามแผนอย่างลุล่วง
ควรมคี วามพยายามต่างๆเพอ่ื รับรองความปลอดภัยของบุคลากรและใหท้ างเขา้ แก่บุคลากรทจ่ี ำ�เป็นระหว่าง
หรอื หลงั เกดิ ภยั พบิ ตั ิ แผนเชน่ นคี้ วรไดร้ บั อนมุ ตั โิ ดยสถาบนั และเปน็ สว่ นหนง่ึ ของแผนตอบสนองภยั พบิ ตั ริ วม
ทวั่ ทกุ ดา้ น ซง่ึ ถกู ประสานความรว่ มมอื โดย IO หรอื ผบู้ รหิ ารในระดบั สงู อกี ทา่ นหนง่ึ ควรจดั ท�ำ ส�ำ เนาหนงึ่ ฉบบั
ของแผนใหผ้ พู้ ทิ กั ษก์ ฎหมายและบคุ ลากรฉกุ เฉนิ แสดงขอ้ คดิ เหน็ และรวมแผนเชอ่ื มตอ่ กบั การวางแผนทก่ี วา้ ง
ขวางและครอบคลุมทัง้ พ้ืนท่ี (Volgeweid 1998)

เอกสารอ้างองิ

AAALAC [Association for Assessment and Accreditation of Laboratory Animal Care] Inter-
national. 2003. Who’s responsible for offsite animals? Connection Spring:6-11, 13. Available
at www.aaalac.org/publications.
ACLAM [American College of Laboratory Animal Medicine]. 1996. Adequate Veterinary Care.
Available at www.aclam.org/education/guidelines/position_adequatecare.html; accessed
May 10, 2010.
Anderson LC. 2007. Institutional and IACUC responsibilities for animal care and use education
and training programs. ILAR J 48:90-95.
AVMA [American Veterinary Medical Association]. 2008. Introduction to Ergonomics Guide-
lines for Veterinary Practice. April. Available at www.avma.org/issues/policy/ergonomics.
asp; accessed May 10, 2010.
AVMA. 2010. Programs accredited by the AVMA Committee on Veterinary Technician Education
and Activities (CVTEA). Available at www.avma.org/education/cvea/vettech_programs/vettech_
pro grams.asp; accessed January 4, 2010.
Banks RE, Norton JN. 2008. A sample postapproval monitoring program in academia. ILAR J
49:402-418.
Bayne KA, Garnett NL. 2008. Mitigating risk, facilitating research. ILAR J 49:369-371.

36 ข้อแนะนำ� ส�ำหรับการดแู ลและการใชส้ ัตว์ทดลอง
Boissy A, Manteuffel G, Jensen MB, Moe RO, Spruijt B, Keeling L, Winckler C, Forkman B,
Dimitrov I, Langbein J, Bakken M, Veissier I, Aubert A. 2007. Assesment of positive
emotions in animals to improve their welfare. Physiol Behav 92:375-397.
Brown RE, Stanford L, Schellinck HM. 2000. Developing standardized behavioral tests for
knockout and mutant mice. ILAR J 41:163-174.
Bush RK. 2001. Assessment and treatment of laboratory animal allergy. ILAR J 42:55-64.
Bush RK, Stave GM. 2003. Laboratory animal allergy: An update. ILAR J 44:28-51.
CCAC [Canadian Council on Animal Care]. 1993. Guide to the Care and Use of Experimental
Animals, vol 1, 2nd ed. Olfert ED, Cross BM, McWilliam AA, eds. Ontario: CCAC.
CCAC. 1998. Guidelines on Choosing an Appropriate Endpoint in Experiments Using Animals
for Research, Teaching and Testing. Ottawa. Available at www.ccac.ca/en/CCAC_
Programs/Guidelines_Policies/gdlines/endpts/appopen.htm; accessed May 10, 2010.
CDC [Centers for Disease Control and Prevention] and NIH [National Institutes of Health].
2000. Primary Containment for Biohazards: Selection, Installation and Use of Biological
Safety Cabinets, 2nd ed. Washington: Government Printing Office. Available at www.cdc.
gov/od/ohs/biosfty/bsc/bsc.htm; accessed May 25, 2010.
CFR [Code of Federal Regulations]. 1984a. Title 10, Part 20. Standards for Protection against
Radiation. Washington: Office of the Federal Register.
CFR. 1984b. Title 29, Part 1910, Occupational Safety and Health Standards, Subpart G,
Occupational Health and Environmental Control, and Subpart Z, Toxic and Hazardous
Substances. Washington: Office of the Federal Register.
CFR. 1984c. Title 29, Part 1910. Occupational Safety and Health Standards; Subpart I, Personal
Protective Equipment. Washington: Office of the Federal Register.
CFR. 1998. Title 29, Section 1910.120. Inspection Procedures for the Hazardous Waste
Operations and Emergency Response Standard. Washington: Office of the Federal Register.
April 24.
CFR. 2002a. Title 42, Part 73. Possession, Use and Transfer of Select Agents and Toxins. Washing-
ton: Office of the Federal Register. December 13.
CFR. 2002b. Title 7, Part 331; and Title 9, Part 121. Agricultural Bioterrorism Protection Act
of 2002: Possession, Use and Transfer of Select Agents and Toxins. Washington: Office of
the Federal Register. December 13.
Cohen JI, Davenport DS, Stewart JA, Deitchmann S, Hilliard JK, Chapman LE, B Virus Working
Group. 2002. Recommendations for prevention of and therapy for exposure to B virus
(Cercopithecine herpesvirus 1). Clin Infect Dis 35:1191-1203.
Colby LA, Turner PV, Vasbinder MA. 2007. Training strategies for laboratory animal veterinarians:
Challenges and opportunities. ILAR J 48:143-155.
Collins JG. 2008. Postapproval monitoring and the IACUC. ILAR J 49:388-392.
Conarello SL, Shepard MJ. 2007. Training strategies for research investigators and technicians.
ILAR J 48:120-130.
Crawley JN. 1999. Behavioral phenotyping of transgenic and knockout mice: Experimental
design and evaluation of general health, sensory functions, motor abilities, and specific
behavioral tests. Brain Res 835:18-26.
Dale WE. 2008. Postapproval monitoring and the role of the compliance office. ILAR J
49:393-401.
Dennis MB. 1999. Institutional animal care and use committee review of genetic engineering.
In: Gonder JC, Prentice ED, Russow L-M, eds. Genetic Engineering and Animal Welfare:
Preparing for the 21st Century. Greenbelt MD: Scientists Center for Animal Welfare.
Dennis MB. 2000. Humane endpoints for genetically engineered animal models. ILAR J
41:94-98.

โปรแกรมการดูแลและการใชส้ ตั ว์ 37

DHHS [Department of Health and Human Services]. 2009. Biosafety in Microbiological and
Biomedical Laboratories, 5th ed. Chosewood LC, Wilson DE, eds. Washington: Government
Printing Office. Available at http://www.cdc.gov/biosafety/publications/bmbl5/
index.htm; accessed July 30, 2010.
FASS [Federation of Animal Science Societies]. 2010. Guide for the Care and Use of Agricul-
tural Animals in Research and Teaching, 3rd ed. Champlain, IL: FASS.
Fechter LD. 1995. Combined effects of noise and chemicals. Occup Med 10:609-621.
Foshay WR, Tinkey PT. 2007. Evaluating the effectiveness of training strategies: Performance
goals and testing. ILAR J 48:156-162.
Frasier D, Talka J. 2005. Facility design considerations for select agent animal research. ILAR
J 46:23-33.
Gonder JC. 2002. Regulatory compliance. In: Suckow MA, Douglas FA, Weichbrod RH, eds.
Management of Laboratory Animal Care and Use Programs. Boca Raton, FL: CRC Press.
p 163-185.
Gondo Y. 2008. Trends in large-scale mouse mutagenesis: From genetics to functional genom-
ics. Nat Rev Genet 9:803-810.
Gordon S. 2001. Laboratory animal allergy: A British perspective on a global problem. ILAR
J 42:37-46.
Gordon S, Wallace J, Cook A, Tee RD, Newman Taylor AJ. 1997. Reduction of exposure to
laboratory animal allergens in the workplace. Clin Exp Allergy 27:744-751.
Greene ME, Pitts ME, James ML. 2007. Training strategies for institutional animal care and use
committee (IACUC) members and the institutional official (IO). ILAR J 48:131-142.
Harrison DJ. 2001. Controlling exposure to laboratory animal allergens. ILAR J 42:17-36.
Heiderstadt KM, McLaughlin RM, Wright DC, Walker SE, Gomez-Sanchez CE. 2000. The effect
of chronic food and water restriction on open-field behaviour and serum corticosterone
levels in rats. Lab Anim 34:20-28.
Hendriksen CFM, Steen B. 2000. Refinement of vaccine potency testing with the use of
humane endpoints. ILAR J 41:105-113.
Huerkamp MJ, Gladle MA, Mottet MP, Forde K. 2009. Ergonomic considerations and allergen
management. In: Hessler JR, Lerner NMD, eds. Planning and Designing Research Animal
Facilities. San Diego: Elsevier. p 115-128.
ILAR [Institute for Laboratory Animal Research, National Research Council]. 2000. Humane
Endpoints for Animals Used in Biomedical Research and Testing. ILAR J 41:59-123.
ILAR. 2010. Disaster planning and management. ILAR J 51:101-192.
IRAC [Interagency Research Animal Committee]. 1985. US Government Principles for
Utilization and Care of Vertebrate Animals Used in Testing, Research, and Training. Federal
Register, May 20, 1985. Washington: Office of Science and Technology Policy. Available
at http://oacu.od.nih.gov/regs/USGovtPrncpl.htm; accessed May 10, 2010.
Klein HJ, Bayne KA. 2007. Establishing a culture of care, conscience, and responsibility:
Addressing the improvement of scientific discovery and animal welfare through science
based performance standards. ILAR J 48:3-11.
Kreger MD. 1995. Training Materials for Animal Facility Personnel: AWIC Quick Bibliography
Series, 95-08. Beltsville MD: National Agricultural Library.
Lassnig C, Kolb A, Strobl B, Enjuanes L, Müller M. 2005. Studying human pathogens in human
models: Fine tuning the humanized mouse. Transgenic Res 14:803-806.
Laule GE, Bloomsmith MA, Schapiro SJ. 2003. The use of positive reinforcement training
techniques to enhance the care, management, and welfare of primates in the laboratory.
J Appl Anim Welf Sci 6:163-173.
Lowman RP. 2008. The institutional official and postapproval monitoring: The view from
10,000 feet. ILAR J 49:379-387.

38 ขอ้ แนะนำ� สำ� หรับการดูแลและการใช้สตั ว์ทดลอง
Mann MD, Prentice ED. 2004. Should IACUCs review scientific merit of animal research
projects? Lab Anim (NY) 33:26-31.
McCullough NV. 2000. Personal respiratory protection. In: Fleming DO, Hunt DL, eds.
Biological Safety Principles and Practices. Washington: ASM Press. p 383-404.
Meunier LD. 2006. Selection, acclimation, training and preparation of dogs for the research
setting. ILAR J 47:326-347.
Midwest Plan Service. 1987. Structures and Environment Handbook, 11th ed. rev. Ames:
Midwest Plan Service, Iowa State University.
Miller G. 2007. Science and the public: Animal extremists get personal. Science 318:1856-1858.
Moorehead RA, Sanchez OH, Baldwin RM, Khokha R. 2003. Transgenic overexpression of
IGF-II induces spontaneous lung tumors: A model for human lung adenocarcinoma.
Oncogene 22:853-857.
Morton DB. 2000. A systematic approach for establishing humane endpoints. ILAR J 41:80-86.
Morton WR, Knitter GH, Smith PV, Susor TG, Schmitt K. 1987. Alternatives to chronic restraint
of nonhuman primates. JAVMA 191:1282-1286.
Mumphrey SM, Changotra H, Moore TN, Heimann-Nichols ER, Wobus CE, Reilly MJ, Mogha-
damfalahi M, Shukla D, Karst SM. 2007. Murine norovirus 1 infection is associated
with histopathological changes in immunocompetent hosts, but clinical disease is prevented
by STAT1-dependent interferon responses. J Virol 81:3251-3263.
Newcomer CE. 2002. Hazard identification and control. In: Suckow MA, Douglas FA, Weich-
brod RH, eds. Management of Laboratory Animal Care and Use Programs. Boca Raton,
FL: CRC Press. p 291-324.
NIH [National Institutes of Health]. 2002. Guidelines for Research Involving Recombinant
DNA Molecules. April. Available at http://oba.od.nih.gov/rdna/nih_guidelines_oba.html;
accessed May 20, 2010.
NIH. 2008. Guidelines for the Use of Non-Pharmaceutical-Grade Chemicals/Compounds in
Laboratory Animals. Animal Research Advisory Committee, Office of Animal Care and
Use, NIH. Available at http://oacu.od.nih.gov/ARAC/documents/Pharmaceutical_Com-
pounds.pdf; accessed May 20, 2010.
NIOSH [National Institute for Occupational Safety and Health]. 1997a. Elements of Ergonomics
Programs: A Primer Based on Workplace Evaluations of Musculoskeletal Disorders
(NIOSH Publication No. 97-117). Cincinnati: NIOSH. p 16-24.
NIOSH. 1997b. Musculoskeletal Disorders and Workplace Factors: A Critical Review of Epi-
demiologic Evidence for Work-Related Musculoskeletal Disorders of the Neck, Upper Ex-
tremity, and Low Back. Bernard B, ed. Cincinnati: DHHS, PHS, CDDC, NIOSH. p 1-12.
NRC [National Research Council]. 1991. Education and Training in the Care and Use of Labo-
ratory Animals: A Guide for Developing Institutional Programs. Washington: National
Academy Press.
NRC. 1997. Occupational Health and Safety in the Care and Use of Research Animals. Wash-
ington: National Academy Press.
NRC. 2003a. Occupational Health and Safety in the Care and Use of Nonhuman Primates.
Washington: National Academies Press.
NRC. 2003b. Guidelines for the Care and Use of Mammals in Neuroscience and Behavioral
Research. Washington: National Academies Press.
NRC. 2004. Biotechnology Research in an Age of Terrorism. Washington: National Academies
Press.
OECD [Organisation for Economic Co-operation and Development]. 1999. Guidance Docu-
ment on Humane Endpoints for Experimental Animals Used in Safety Evaluation Studies.
Paris: OECD.

โปรแกรมการดูแลและการใช้สัตว์ 39

Olfert ED, Godson DL. 2000. Humane endpoints for infectious disease animal models. ILAR
J 41:99-104.
OSHA [Occupational Safety and Health Administration]. 1998a. Occupational Safety and
Health Standards. Subpart G, Occupational Health and Environmental Controls (29 CFR
1910). Washington: Department of Labor.
OSHA. 1998b. Occupational Safety and Health Standards. Subpart Z, Toxic and Hazardous Sub-
stances, Bloodborne Pathogens (29 CFR 1910.1030). Washington: Department of Labor.
OSHA. 1998c. Occupational Safety and Health Standards. Subpart G, Occupational Health
and Environmental Controls, Occupational Noise Exposure (29 CFR 1910.95). Washing-
ton: Department of Labor.
OSHA. 1998d. Occupational Safety and Health Standards. Subpart I, Personal Protective Equip-
ment, Respiratory Protection (29 CFR 1910.134). Washington: Department of Labor.
Paster EV, Villines KA, Hickman DL. 2009. Endpoints for mouse abdominal tumor models:
Refinement of current criteria. Comp Med 59:234-241.
PHS [Public Health Service]. 2002. Public Health Service Policy on Humane Care and Use
of Laboratory Animals. Department of Health and Human Services, National Institutes
of Health, Office of Laboratory Animal Welfare. Available at http://grants.nih.gov/grants/
olaw/references/phspol.htm; accessed January 14, 2010.
PL [Public Law] 104-191. 1996. Health Insurance Portability and Accountability Act (HIPAA)
of 1996. Washington: Government Printing Office.
PL 107-56. 2001. Uniting and Strengthening America by Providing Appropriate Tools Required
to Intercept and Obstruct Terrorism (USA PATRIOT) Act of 2001. Washington: Govern-
ment Printing Office. October 26.
PL 107-188. 2002. Public Health Security and Bioterrorism Preparedness and Response Act of
2002. Washington: Government Printing Office. June 12.
Plante A, James ML. 2008. Program oversight enhancements (POE): The big PAM. ILAR J
49:419-425.
Prescott MJ, Buchanan-Smith HM. 2003. Training nonhuman primates using positive reinforce-
ment techniques. J Appl Anim Welf Sci 6:157-161.
Pritt S, Duffee N. 2007. Training strategies for animal care technicians and veterinary technical
staff. ILAR J 48:109-119.
Reeb-Whitaker CK, Harrison, DJ, Jones RB, Kacergis JB, Myers DD, Paigen B. 1999. Control
strategies for aeroallergens in an animal facility. J Allergy Clin Immunol 103:139-146.
Reinhardt V. 1991. Training adult male rhesus monkeys to actively cooperate during
inhomecage venipuncture. Anim Technol 42:11-17.
Reinhardt V. 1995. Restraint methods of laboratory non-human primates: A critical review.
Anim Welf 4:221-238.
Richmond JY, Hill RH, Weyant RS, Nesby-O’Dell SL, Vinson PE. 2003. What’s hot in animal
biosafety? ILAR J 44:20-27.
Rowland NE. 2007. Food or fluid restriction in common laboratory animals: Balancing welfare
considerations with scientific inquiry. Comp Med 57:149-160.
Sargent EV, Gallo F. 2003. Use of personal protective equipment for respiratory protection.
ILAR J 44:52-56.
Sass N. 2000. Humane endpoints and acute toxicity testing. ILAR J 41:114-123.
Sauceda R, Schmidt MG. 2000. Refining macaque handling and restraint techniques. Lab
Anim 29:47-49.
Schweitzer IB, Smith E, Harrison DJ, Myers DD, Eggleston PA, Stockwell JD, Paigen B, Smith
AL. 2003. Reducing exposure to laboratory animal allergens. Comp Med 53:487-492.
Seward JP. 2001. Medical surveillance of allergy in laboratory animal handlers. ILAR J 42:47-54.
Silverman J, Sukow MA, Murthy S, eds. 2007. The IACUC Handbook, 2nd ed. Boca Raton,
FL: CRC Press.

40 ขอ้ แนะน�ำสำ� หรบั การดแู ลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง
Stokes WS. 2000. Reducing unrelieved pain and distress in laboratory animals using humane
endpoints. ILAR J 41:59-61.
Stokes WS. 2002. Humane endpoints for laboratory animals used in regulatory testing. ILAR
J 43:S31-S38.
Stricklin WR, Mench JA. 1994. Oversight of the use of agricultural animals in university teaching
and research. ILAR News 36:9-14.
Stricklin WR, Purcell D, Mench JA. 1990. Farm animals in agricultural and biomedical re-
search. In: The Well-Being of Agricultural Animals in Biomedical and Agricultural Re-
search: Proceedings from a SCAW-Sponsored Conference, September 6-7. Washington:
Scientists Center for Animal Welfare. p 1-4.
Thomann WR. 2003. Chemical safety in animal care, use, and research. ILAR J 44:13-19.
Thulin H, Bjorkdahl M, Karlsson AS, Renstrom A. 2002. Reduction of exposure to laboratory
animal allergens in a research laboratory. Ann Occup Hyg 46:61-68.
Tillman P. 1994. Integrating agricultural and biomedical research policies: Conflicts and opportunities.
ILAR News 36:29-35.
Toth LA. 1997. The moribund state as an experimental endpoint. Contemp Top Lab Anim Sci
36:44-48.
Toth LA. 2000. Defining the moribund condition as an experimental endpoint for animal research.
ILAR J 41:72-79.
Toth LA, Gardiner TW. 2000. Food and water restriction protocols: Physiological and behavioral
considerations. Contemp Top Lab Anim Sci 39:9-17.
UKCCCR [United Kingdom Coordinating Committee on Cancer Research]. 1997. Guidelines
for the Welfare of Animals in Experimental Neoplasia, 2nd ed. London: UKCCCR.
USC [United States Code]. Title 42, Chapter 6a, Subchapter III, Part H, Section 289d: Animals
in Research. Available at http://uscode.house.gov/download/pls/42CGA.txt.
USDA [US Department of Agriculture]. 1985. 9 CFR 1A. (Title 9, Chapter 1, Subchapter A):
Animal Welfare. Available at http://ecfr.gpoaccess.gov/cgi/t/text/text-idx?sid=8314313bd
7adf2c9f1964e2d82a88d92andc=ecfrandtpl=/ecfrbrowse/Title09/9cfrv1_02.tpl; accessed
January 14, 2010.
USDA. 1997a. APHIS Policy #14, “Multiple Survival Surgery: Single vs. Multiple Procedures”
(April 14). Available at www.aphis.usda.gov/animal_welfare/downloads/policy/policy14.
pdf; accessed January 4, 2010.
USDA. 1997b. APHIS Policy #3, “Veterinary Care” (July 17). Available at www.aphis.usda.
gov/animal_welfare/downloads/policy/policy3.pdf; accessed January 9, 2010.
USDA. 2002. Facilities Design Standards. Manual 242.1. Available at www.afm.ars.usda.
gov/ppweb/PDF/242-01M.pdf; accessed May 10, 2010.
Van Sluyters RC. 2008. A guide to risk assessment in animal care and use programs: The meta-
phor of the 3-legged stool. ILAR J 49:372-378.
Yeates JW, Main DCJ. 2009. Assesment of positive welfare: A review. Vet Rev 175:293-300.
Vogelweid CM. 1998. Developing emergency management plans for university laboratory
animal programs and facilities. Contemp Top Lab Anim Sci 37:52-56.
Wallace J. 2000. Humane endpoints and cancer research. ILAR J 41:87-93.
Wolff A, Garnett N, Potkay S, Wigglesworth C, Doyle D, Thornton, D. 2003. Frequently asked
questions about the Public Health Service Policy on Humane Care and Use of Laboratory
Animals. Lab Anim 32(9):33-36.
Wolfle TL, Bush RK. 2001. The science and pervasiveness of laboratory animal allergy. ILAR
J 42:1-3.
Wood RA. 2001. Laboratory animal allergens. ILAR J 42:12-16.

3

สภาพแวดลอ้ ม ทอี่ ยู่ และ การจัดการสตั ว์

(Environment, Housing, and Management)

ในบทน้ีจัดเตรียมแนวทางต่างๆสำ�หรับสภาพแวดล้อม ท่ีอยู่และการจัดการสัตว์ทดลองท่ีถูกใช้
หรือผลิตเพื่อการวิจัย การทดสอบและการสอน แนวทางเหล่าน้ีนำ�ไปใช้ได้กับสัตว์หลายชนิด
และค่อนข้างเป็นเรื่องท่ัวๆไป ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับการนำ�แนวทางไปปฏิบัติได้อย่างไร
เพอ่ื สอดคล้องกบั ความจำ�เปน็ โดยเฉพาะของสตั ว์แตล่ ะชนิด สายพันธุ์ หรือการใช้ (ดภู าคผนวก ก. ส�ำ หรับ
เอกสารอ้างอิง) บทนี้จัดแบ่งออกเป็นข้อแนะนำ�สำ�หรับสัตว์บก (หน้า 42) และสัตว์น้ำ� (หน้า 77) ตามท่ีมี
ความแตกต่างมูลฐานในสิ่งจำ�เป็นด้านสภาพแวดล้อม ตลอดจนการสัตวบาล ที่อยู่และการดูแล ถึงแม้ว่า
ได้กำ�หนดไว้โดยเฉพาะสำ�หรับสัตว์มีกระดูกสันหลัง หลักเกณฑ์การดูแลอย่างมีมนุษยธรรมโดยทั่วไปดังท่ี
ตัง้ ไวใ้ นข้อแนะนำ�อาจนำ�ไปปฏบิ ัติกับสตั ว์ไมม่ ีกระดกู สนั หลงั ไดด้ ้วย
การออกแบบสถานที่ร่วมกับที่อยู่และการจัดการสัตว์ทดลองอย่างเหมาะสมเป็นส่ิงจำ�เป็นต่อความ
เป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ คุณภาพของการวิจัยและการผลิตสัตว์ การสอนหรือโครงการทดสอบท่ีเกี่ยวข้องกับ
สตั วแ์ ละสขุ ภาพและความปลอดภยั ของบคุ ลากร โปรแกรมทเ่ี หมาะสม (ดบู ทที่ 2) ใหส้ ภาพแวดลอ้ ม ทอ่ี ยแู่ ละ
การจดั การทเี่ หมาะสมดสี �ำ หรบั ชนดิ และสายพนั ธสุ์ ตั วท์ มี่ อี ยแู่ ละค�ำ นงึ ถงึ ความตอ้ งการทางกายภาพ รา่ งกาย
และพฤตกิ รรมของสตั ว์ เพ่ือใหส้ ตั วเ์ ติบโต เจริญพนั ธุ์ สบื พันธต์ุ ามปกติ และ เอ้อื ต่อสขุ ภาพและความเป็นอยู่
ทด่ี ีในขณะเดียวกัน

41

42 ข้อแนะน�ำสำ� หรบั การดแู ลและการใช้สตั ว์ทดลอง

ปลา สัตว์สะเทินนำ้�สะเทินบก และ สัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิท่ีแกนกลางร่างกาย
ผันแปรตามภาวะแวดล้อมต่างๆและมีความสามารถในการรักษาอุณหภูมิแกนกลางโดยกระบวนการสันดาป
อยา่ งจ�ำ กดั (เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั นกและสตั วเ์ ลอื ดอนุ่ ตา่ งๆ) สตั วเ์ ลอื ดเยน็ ทเ่ี ปน็ สตั วท์ ดลองโดยสว่ นใหญเ่ ปน็
สตั วน์ �ำ้ ตวั อยา่ งเชน่ ปลาและสตั วส์ ะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บกโดยสว่ นใหญ่ ถงึ แมว้ า่ สตั วบ์ างชนดิ เชน่ สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน
และสัตว์สะเทินนำ้�สะเทินบกบางชนิดเป็นสัตว์บก บุคลากรผู้ทำ�งานกับสัตว์น�ำ้ ควรคุ้นเคยกับการจัดการท่ี
เกย่ี วขอ้ งไดแ้ ก่ ความส�ำ คญั ของการใหช้ ว่ งอณุ หภมู ติ า่ งๆทเ่ี หมาะสมส�ำ หรบั การท�ำ หนา้ ทพี่ นื้ ฐานของรา่ งกาย

สัตว์บก

สภาพแวดล้อมส�ำ หรบั สตั วบ์ ก

สภาพแวดล้อมจลุ ภาคและสภาพแวดลอ้ มมหภาค

สภาพแวดล้อมจลุ ภาคของสตั วบ์ ก คอื สภาพแวดล้อมทางกายภาพทีล่ อ้ มรอบสัตว์อย่างใกลช้ ดิ เป็น
ส่ิงลอ้ มรอบอนั ดับแรก (primary enclosure) ได้แก่ กรงสัตว์ ซองหรือคอก เป็นที่อยู่ของแหลง่ วสั ดุทีส่ ัตว์สมั ผสั
โดยตรงและจ�ำ กดั ขอบเขตของสภาพแวดลอ้ มรอบตวั สตั วโ์ ดยตรง สภาพแวดลอ้ มจลุ ภาคถกู ก�ำ หนดคณุ สมบตั ิ
โดยปัจจยั หลายอย่างเชน่ ความสว่าง เสียง การส่นั อุณหภมู ิ ความชนื้ และสว่ นประกอบกา๊ ซและอนุภาค

ต่างๆในอากาศ สภาพแวดล้อมทางกายภาพของส่ิงล้อม
รอบอนั ดบั สอง ไดแ้ ก่ ห้อง โรงเรือน หรอื สภาพแวดลอ้ ม
กลางแจง้ ท่ีรวมกนั เปน็ สภาพแวดลอ้ มมหภาค
ถงึ แมว้ า่ โดยทวั่ ไปสภาพแวดลอ้ มจลุ ภาคและสภาพ
แวดลอ้ มมหภาคมคี วามตอ่ เนอื่ งถงึ กนั สง่ิ ลอ้ มรอบอนั ดบั
แรกสามารถมคี วามแตกตา่ งอยา่ งมากและถูกกระทบดว้ ย
ปจั จยั หลายอยา่ ง ไดแ้ ก่ การออกแบบสิ่งล้อมรอบอนั ดบั แรกและสภาวะตา่ งๆของสภาพแวดลอ้ มมหภาค
การประเมนิ สภาพแวดลอ้ มจลุ ภาคของสง่ิ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกทม่ี ขี นาดเลก็ อาจท�ำ ไดย้ าก ขอ้ มลู ทม่ี อี ยู่
ปจั จบุ นั บง่ ชว้ี า่ อณุ หภมู ิ ความชนื้ และความเขม้ ขน้ ของกา๊ ซและอนภุ าคในสภาพแวดลอ้ มจลุ ภาคมกั มคี า่ สงู กวา่
ในสภาพแวดล้อมมหภาค (Besch 1980; Hasenua et al. 1993; Perkins and Lipman 1995; E. Smith et al.
2004) ในขณะทรี่ ะดบั แสงมกั มคี า่ ต�่ำ กวา่ สภาวะตา่ งๆของ
สภาพแวดลอ้ มจลุ ภาคสามารถเหนยี่ วน�ำ ความเปลยี่ นแปลง
ของกระบวนการทางสรีระ หรอื อาจเปลย่ี นแปลงความไว
ต่อการเปน็ โรค (Baer et al. 1997; Brodeson et al. 1976;
Memarzadeh et al. 2004; Schoeb et al. 1982; Vesell
et al. 1976)

สภาพแวดลอ้ ม ที่อยู่ และ การจัดการสตั ว์ 43

อุณหภมู ิและความชืน้

การรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อยู่ภายในค่าแตกต่างภายในวงจรเวลาแต่ละวันตามปกติเป็นสิ่งจำ�เป็น
ส�ำ หรบั ความเปน็ อยทู่ ดี่ ขี องสตั ว์ ควรใหส้ ตั วอ์ ยภู่ ายในชว่ งอณุ หภมู คิ วามชนื้ ตา่ งๆทเ่ี หมาะสมกบั ชนดิ ของสตั ว์
ซ่งึ สตั วส์ ามารถปรับตัวดว้ ยความเครยี ดและมกี ารเปล่ยี นแปลงทางสรรี ะเพยี งเล็กนอ้ ย
ช่วงอุณหภมู ิทอ่ี ยู่ลอ้ มรอบทกี่ ารควบคมุ อุณหภูมิเกดิ ขึน้ ได้โดยไม่ตอ้ งเพม่ิ การสรา้ งความรอ้ นด้วยการ
สนั ดาปหรอื กระตนุ้ กลไกการสญู เสยี ความรอ้ นดว้ ยการระเหยเปน็ ไอ เรยี กวา่ thermoneutral zone (TNZ) และ
จำ�กัดขอบเขตด้วยอุณหภูมิวิกฤตข้ันต่ำ�และข้ันสูง (LCTs และ UCTs; Gordon 2005) เพ่ือรักษาอุณหภูมิ
ร่างกายภายใต้ภาวะแวดล้อมอุณหภูมิท่ีให้ สัตว์ปรับตัวทางสรีระ (รวมท้ังการสันดาป) และทางพฤติกรรม
(รวมทง้ั ระดบั การเคลอื่ นไหวและการใชว้ ธิ กี าร) ดงั ตวั อยา่ งเชน่ TNZ ของหนเู มาสม์ ชี ว่ งระหวา่ ง 26°ซ ถงึ 30°ซ
(Gordon 1993) ขณะท่ีมีอุณหภูมิลดต่ำ�ลง การสร้างรังและการสุมตัวเข้าด้วยกันเพื่อพักผ่อนและ
นอนหลบั ท�ำ ใหส้ ตั วค์ วบคมุ อณุ หภมู โิ ดยพฤตกิ รรมเปน็ การควบคมุ สภาพแวดลอ้ มขนาดเลก็ ถงึ แมว้ า่ หนเู มาส์
เลอื กอณุ หภมู ทิ ตี่ ำ่�กวา่ LCT เพอ่ื การดำ�รงชวี ติ และพฤตกิ รรมการพกั ผอ่ น (Gaskill et al. 2009; Gordon 2004;
Gordon et al. 1998) ค่า LCT เช่นเดียวกันน้ีของสัตว์ชนิดอื่น ค้นหาได้ในส่ิงตีพิมพ์ มีค่าผันแปรระหว่าง
26°ซ ถงึ 30°ซ สำ�หรับหนูแรท และ 28°ซ ถงึ 32°ซ สำ�หรับเจอรบ์ ลิ (Gordon 1993) ค่า LCT ของกระตา่ ย
(15°ซ ถงึ 20°ซ) และ ของสุนัขและแมว (20°ซ ถึง 25°ซ) มีคา่ ต�่ำ กว่าเลก็ น้อย ขณะทคี่ า่ ของสตั วจ์ ำ�พวกลิง
และปศุสัตว์ผันแปรตามชนิดสัตว์ โดยท่ัวๆไปแล้วอุณหภูมิห้องสัตว์ที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์ชนิดกระเปาะ
แห้ง (dry-bulb) ควรมีค่าตำ่�กว่า LCT ของสัตว์ชนิดนั้นเพ่ือหลีกเลี่ยงความเครียดจากความร้อน ดังนั้น
สง่ิ ทีต่ ามมามคี วามหมายว่า สตั วค์ วรได้รับวัสดุตา่ งๆอยา่ งพอเพยี งส�ำ หรบั การควบคมุ อณุ หภมู ิ (วสั ดุสำ�หรบั
ทำ�รัง ท่ีหลบภัย) เพื่อหลีกเล่ียงความเครียดจากความเย็น การให้มีวัสดุอย่างพอเพียงสำ�หรับการควบคุม
อณุ หภมู เิ ปน็ สงิ่ ส�ำ คญั โดยเฉพาะควรพจิ ารณาส�ำ หรบั ลกู สตั วเ์ กดิ ใหมซ่ งึ่ มคี า่ สงู กวา่ สตั วโ์ ตเตม็ วยั ชนดิ เดยี วกนั
อุณหภูมิและความช้ืนสัมพัทธ์ของสภาพแวดล้อมขึ้นกับการสัตวบาลและการออกแบบโรงเรือน และ
แตกตา่ งอยา่ งมากระหวา่ งสงิ่ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกและอนั ดบั สองตลอดจนสงิ่ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรก ปจั จยั ตา่ งๆ
ทมี่ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การผนั แปรของอณุ หภมู แิ ละความชน้ื ระหวา่ งและภายในสง่ิ ลอ้ มรอบ ไดแ้ ก่ การออกแบบ
โรงเรือน วัสดุการก่อสร้าง อุปกรณ์ส่ิงเพ่ิมพูนต่างๆ เช่น ท่ีกำ�บัง และ วัสดุสำ�หรับทำ�รัง การใช้ฝากรงท่ีมี
แผ่นกรอง จ�ำ นวน อายุ ชนดิ และขนาดของสัตว์ในส่งิ ล้อมรอบอันดับแรกแต่ละอยา่ ง การบังคับการระบาย
อากาศในบรรยากาศล้อมรอบ ชนิดและความถีข่ องการเปลย่ี นวสั ดุรองนอน (Besch 1980)
การคุกคามโดยที่อุณหภูมิและความช้ืนมีการแกว่งขึ้นลงในช่วงกว้างหรือเปลี่ยนแปลงอย่างวิกฤตอาจ
ส่งผลท�ำ ใหม้ ีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม สรรี ะและรา่ งกายภายนอก ซึง่ อาจมผี ลเสยี ต่อความเป็นอยู่ทีด่ ขี อง
สัตว์และคณุ คา่ ของงานวจิ ัย ตลอดจนผลลัพธ์ต่างๆของโปรโตคอลวิจัย (Garrard et al. 1974; Gordon 1990,
1993; Pennycuik 1967) ผลกระทบเหลา่ นีอ้ าจสบื ทอดตอ่ ไปยงั สัตวร์ ุ่นต่อๆไป (Barnett 1965, 1973)

44 ขอ้ แนะน�ำส�ำหรับการดแู ลและการใชส้ ัตว์ทดลอง

ตาราง 3.1 แนะน�ำ ชว่ งอณุ หภมู ทิ ว่ั ๆไปทว่ี ดั ไดจ้ ากเทอรโ์ มมเิ ตอรช์ นดิ กระเปาะแหง้ และแสดงขดี จ�ำ กดั
สำ�หรับสัตว์ทดลองโตเต็มวัยหลายชนิดท่ีมีใช้อยู่ท่ัวไป โดยมีวัสดุอย่างพอเพียงสำ�หรับให้สัตว์ซ่ึงอาศัยอยู่
มีการควบคุมอุณหภูมิด้วยพฤติกรรม ควรเลือกช่วงอุณหภูมิตามปกติและรักษาให้การแปรเปล่ียนข้ึนลงมี
น้อยที่สุดใกล้จุดก่ึงกลางของช่วงอุณหภูมิเหล่าน้ี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบการที่สัตว์อาศัยอยู่ การเลือกอุณหภูมิ
สภาพแวดล้อมจุลภาคและมหภาคจะแตกต่างกันบนพ้ืนฐานปัจจัยหลายอย่างโดยไม่จำ�กัด ได้แก่ ชนิดของ
สตั วห์ รอื สายพนั ธ์ุ อายุ จ�ำ นวนสตั วภ์ ายในสง่ิ ลอ้ มรอบและสภาวะทางสตั วบาล (เชน่ การใช/้ การใหส้ มั ผสั วสั ดุ
รองนอน วัสดุสำ�หรบั ทำ�รัง และ/หรอื ท่กี ำ�บงั กรงที่มกี ารระบายอากาศเฉพาะแตล่ ะกรง) สัตว์เลอื ดเย็นหรอื
ลูกนกบางชนิดมักต้องการเครื่องให้ความร้อนอยู่ภายในส่ิงล้อมรอบอันดับแรกเพื่อบรรลุกระบวนการขั้น
พื้นฐานทางสรีรวิทยา ช่วงอุณหภูมิท่ีได้แสดงไว้ไม่อาจใช้กับสัตว์ป่าที่ถูกจับมา สัตว์ป่าที่ถูกเล้ียงไว้ในสภาพ
แวดล้อมตามธรรมชาติของมัน หรือสัตว์ในส่ิงล้อมรอบกลางแจ้งซ่ึงได้มีโอกาสปรับตัวโดยให้ประสบกับ
การเปลี่ยนฤดกู าลอยใู่ นสภาวะตา่ งๆท่ีอยลู่ ้อมรอบ
บางสภาวะต้องมอี ณุ หภูมสิ ภาพแวดลอ้ มเพมิ่ สูงขึ้นเพ่อื ใหส้ ตั ว์อยู่ (เชน่ การฟน้ื หลงั การผา่ ตดั ลูกสัตว์
เกิดใหม่ สัตวฟ์ ันแทะทีไ่ ม่มีขน สัตว์เลอ้ื ยคลานและสตั วส์ ะเทนิ น้ำ�สะเทนิ บกเฉพาะบางชว่ งของการสบื พันธ์ุ)
ขีดของการเพ่ิมอุณหภูมิข้ึนอยู่กับรายละเอียดของที่อยู่ บางครั้งให้เพ่ิมอุณหภูมิสภาพแวดล้อมจุลภาคอย่าง
เดียวเป็นส่ิงพอเพียงและชอบมากกว่า (เช่น โดยการใช้แผ่นความร้อนสำ�หรับการฟ้ืนจากการสลบ หรือการ
ใหเ้ ครอ่ื งปลอ่ ยความรอ้ นส�ำ หรับสัตวเ์ ลอื้ ยคลาน) ดกี ว่าการเพมิ่ อุณหภมู ขิ องสภาพแวดลอ้ มมหภาค
ความช้ืนสัมพัทธ์ควรถูกควบคุมแต่ไม่ต้องจำ�กัดช่วงให้แคบเหมือนกับอุณหภูมิสำ�หรับสัตว์เล้ียงลูก
ดว้ ยนมหลายชนิด ช่วงระยะความชน้ื สมั พทั ธ์ทยี่ อมรับไดส้ �ำ หรับสตั ว์เลยี้ งลูกดว้ ยนมส่วนใหญค่ ือ 30−70 %
ความชื้นสัมพัทธ์ของสภาพแวดล้อมจุลภาค อาจมีความสำ�คัญมากกว่าสำ�หรับสัตว์ท่ีเล้ียงอยู่ในสิ่งล้อมรอบ
อันดับแรก ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแตกตา่ งจากสภาพแวดล้อมมหภาคเป็นอยา่ งมาก (เชน่ กรงมฝี ากรองอากาศ
ครอบอยู่กบั ที่ ( Isolators))

ตาราง 3.1 คา่ อุณหภมู ิ Dry-Bulb ของสภาพแวดลอ้ มมหภาคทีแ่ นะนำ�ส�ำ หรบั สัตวท์ ดลองชนดิ ท่ใี ชบ้ ่อย

อุณหภูมทิ ี่วดั ได้จากเทอร์โมมเิ ตอรช์ นิดกระเปาะแห้ง
สัตว์
หนเู มาซ์ หนูแรท แฮมสเตอร์ เจอร์บลิ หนตู ะเภาa ซ ฟ
กระตา่ ย
แมว สนุ ัข ลิง 20−26 68−79
ปศุสตั ว์ และไก ่ 16−22 61−72
18−29 64−84
16−27 61−81

a การตงั้ ค่าอุณหภูมิทีว่ ัดได้จากเทอรโ์ มมเิ ตอร์ชนดิ กระเปาะแหง้ ส�ำ หรบั สัตวฟ์ นั แทะมกั ตง้ั ให้ต่ำ�กวา่ LCT ของสัตว์เพอื่ หลกี
เลยี่ งความเครียดจากความร้อน และควรตอบสนองค่า LCT เฉพาะของสตั วแ์ ตล่ ะชนิดแตกต่างกัน สตั วค์ วรได้รบั วสั ดุตา่ งๆ
อยา่ งพอเพยี งสัตว์สำ�หรับการควบคมุ อณุ หภมู ิ (วสั ดสุ ำ�หรับทำ�รัง ที่หลบภยั ) เพือ่ หลกี เลี่ยงความเครียดจากความเย็นสภาพ
แวดลอ้ มแตกต่างจากสภาพแวดลอ้ มมหภาคเป็นอยา่ งมาก (เช่น กรงมีฝากรองอากาศครอบอยู่กับท่ี [isolators])

สภาพแวดลอ้ ม ท่อี ยู่ และ การจัดการสตั ว์ 45

สัตวบ์ างชนิดอาจต้องการสภาวะท่มี ีคา่ ความชื้นสมั พัทธ์สงู (เช่น ลิงบางชนิด สัตว์เลื้อยคลานท่ีมาจาก
เขตร้อน และสัตว์สะเทินน้ำ�สะเทินบก; Olson and Palotay 1983) สำ�หรับหนูเมาส์ ความชื้นสัมพัทธ์
ที่ผิดปกติทั้งสูงและตำ่�เกินไปอาจเพ่ิมการตายของสัตว์ในช่วงก่อนหย่านม (Clough 1982) สำ�หรับหนูแรท
ความช้ืนสัมพัทธ์ตำ่�เกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือร่วมกับอุณหภูมิสูงสุดขีดอาจทำ�ให้เกิดวิการมีรอยคอด
ที่หาง (ringtail) ซ่ึงเป็นสภาพเกี่ยวข้องกับเนื้อตายที่หางจากการขาดเลือดและบางครั้งเกิดท่ีน้ิวตีน (Crippa
et al. 2000; Njaa et al. 1957; Totten 1958) สำ�หรับสัตว์บางชนิด ความชื้นสัมพัทธ์ท่ีมีค่าสูงขึ้นอาจมี
ผลกระทบต่อความสามารถของสัตว์ในการต่อสู้ภาวะอุณหภูมิสุดขีด การเพ่ิมความช้ืนสัมพัทธ์สูงขึ้นของ
สภาพแวดลอ้ มจุลภาคส�ำ หรบั ในกรงแบบ isolators ของสัตวฟ์ นั แทะ ยังน�ำ ไปสูค่ วามเข้มขน้ ของแอมโมเนีย
ในกรงเพมิ่ ข้นึ (Corning and Lipman 1991; Hasenau et al. 1993) ซึ่งสามารถท�ำ ให้ทางเดินหายใจระคาย
เคืองและการตอบสนองทางชีววิทยาเปล่ียนแปลงไป (Gordon et al. 1980; Manninen et al. 1998)
ในสภาพอากาศตามฤดกู าลตา่ งๆทกี่ ารใหค้ วามชนื้ สมั พทั ธข์ องสภาพแวดลอ้ มในระดบั ทเี่ หมาะสมท�ำ ไดล้ �ำ บาก
ควรดูแลสัตว์อย่างใกล้ชิดเพื่อสังเกตผลกระทบด้านลบต่างๆ ได้แก่ ผิวหนังมีรังแคอย่างมาก ความผิดปกติ
ในการลอกคราบของสัตว์เลื้อยคลาน และความเครียดจากความแห้งแล้งที่พบในสัตว์สะเทินน้ำ�สะเทินบก
ท่ดี ำ�รงชีวติ แบบคร่งึ น้ำ�

การระบายอากาศและคุณภาพของอากาศ

จุดประสงค์ของการระบายอากาศ คือ เพ่ือให้คุณภาพอากาศมีความเหมาะสมและมีสภาพแวดล้อม
คงที่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การระบายอากาศใหก้ า๊ ซออกซเิ จนอยา่ งพอเพยี ง ขจดั ปรมิ าณความรอ้ นตา่ งๆ ทเ่ี กดิ
ข้ึนจากสัตว์ บุคลากร หลอดไฟแสงสว่างและอุปกรณ์ เจือจางก๊าซและฝุ่นละอองซ่ึงปนเป้ือน เช่น สาร
ก่อภูมิแพ้ และ เชื้อท่ีทำ�ให้เกิดโรคที่มีอยู่ในอากาศ ปรับความช้ืนและอุณหภูมิของอากาศในห้อง และเมื่อ
มคี วามเหมาะสม การสร้างความแตกต่างของความดนั สถิตย์ (การไหลของลมอยา่ งมีทิศทาง) ระหวา่ งพ้นื ท่ี
ส่วนติดต่อกัน เป็นความสำ�คัญอย่างยิ่งท่ีการระบายอากาศในห้อง (เช่น สภาพแวดล้อมมหภาค) ไม่อาจ
รับประกันว่ามีการระบายอากาศอย่างเพียงพอในสิ่งล้อมรอบอันดับแรก (เช่น สภาพแวดล้อมจุลภาค) ซ่ึง
เป็นอากาศที่สัตว์สัมผัสอย่างแท้จริง รูปแบบของส่ิงล้อมรอบอันดับแรกอาจถือได้ว่ามีอิทธิพลต่อความ
แตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมทั้งสอง ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างอาจถูกละเลยเม่ือสัตว์อาศัยอยู่ในกรง
หรือซองเปดิ ในขณะท่ีมีความสำ�คญั มากเมือ่ ใชก้ รง isolators ท่มี ฝี ากรองอากาศครอบอยกู่ บั ที่
ปรมิ าตรและคณุ สมบตั ทิ างกายภาพตา่ งๆของอากาศทจ่ี า่ ยสหู่ อ้ งและรปู แบบการกระจายลมมอี ทิ ธพิ ล
ตอ่ การระบายอากาศของสงิ่ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกของสตั วแ์ ละเปน็ ตวั ก�ำ หนดทส่ี �ำ คญั ของสภาพแวดลอ้ มจลุ ภาค
ของสัตว์ รูปแบบและทตี่ ้ังของหัวจา่ ยลมและชอ่ งระบายอากาศสัมพันธ์กับจ�ำ นวน การจัดเรียง ต�ำ แหน่งและ
ชนดิ ของสง่ิ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกและอนั ดบั สองมผี ลกระทบตอ่ การระบายลมในสง่ิ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกวา่ ดมี าก
น้อยอย่างไร ดงั น้ันจงึ ควรพจิ ารณาโดยการใช้แบบจำ�ลองคอมพิวเตอร์เพอื่ ประเมินปจั จัยเหลา่ นโ้ี ดยสัมพนั ธ์
กับปริมาณความร้อน รูปแบบการกระจายลมและการเคล่ือนท่ีของอนุภาคอาจช่วยเหลือการระบายอากาศ
ในส่ิงล้อมรอบอันดบั แรกและอันดับสองอย่างเหมาะสมทสี่ ดุ (Hughes and Reynolds 1995)

46 ข้อแนะน�ำสำ� หรับการดูแลและการใช้สตั ว์ทดลอง

ควรหลีกเล่ียงการให้สัตว์สัมผัสลมแรงเป่าใส่ตัวโดยตรง (drafts) เพราะว่าความเร็วลมท่ีสัตว์สัมผัสมี
ผลกระทบตอ่ อตั ราทค่ี วามรอ้ นและความชนื้ ถกู ก�ำ จดั ออกจากตวั สตั ว์ ตวั อยา่ งเชน่ อากาศทมี่ ี 20°ซ เคลอ่ื นท่ี
เปน็ เส้นตรง ด้วยความเร็ว 60 ฟตุ ตอ่ นาที (18.3 เมตรต่อนาที) มีผลต่อความเยน็ ประมาณ 7°ซ (Weihe 1971)
drafts สามารถก่อปัญหาโดยเฉพาะความสามารถของลูกสัตว์ในการรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงท่ี (ซ่ึงอาจ
ไม่มีขนและมีกลไกซ่ึงยังพัฒนาไม่ครบในการรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงท่ี) สัตว์กลายพันธ์ุที่ไม่มีขน และ
สตั ว์สะเทินน�้ำ สะเทินบกทด่ี ำ�รงชวี ติ แบบครึ่งนำ้�ทสี่ ามารถอยทู่ แ่ี หง้ ได้
การให้การแลกเปลี่ยนอากาศในห้องเลี้ยงสัตว์ที่ 10−15 คร้ังต่อช่ัวโมงเป็นข้อแนะนำ�ท่ียอมรับได้
เพอ่ื รกั ษาคณุ ภาพอากาศของสภาพแวดลอ้ มมหภาคดว้ ยระบบทมี่ ปี รมิ าตรคงที่ และอาจรองรบั คณุ ภาพอากาศ
ของสภาพแวดล้อมจุลภาคได้ด้วย ถึงแม้ว่าช่วงระยะนี้ใช้ได้ผลในการจัดที่อยู่สัตว์หลายๆแบบ ค่าน้ีไม่ได้
นับรวมช่วงความแตกตา่ งปริมาณความรอ้ นทอี่ าจเป็นไปได้ ชนิด ขนาดและจ�ำ นวนสตั ว์ทเี่ กี่ยวข้อง รปู แบบ
ของส่ิงล้อมรอบอันดับแรกและชนิดของวัสดุรองนอน ความถี่ของการเปลี่ยนกรง ขนาดของห้อง หรือ
ประสิทธิภาพของการกระจายอากาศท้ังในสภาพแวดล้อมมหภาค และระหว่างสภาพแวดล้อมมหภาคและ
จลุ ภาค ในบางสถานการณ์ การใชช้ ว่ งดงั ทไี่ ดแ้ นะน�ำ ไวอ้ ยา่ งครอบคลมุ อาจระบายอากาศมากเกนิ ไปในสภาพ
แวดลอ้ มมหภาคทมี่ สี ตั วจ์ �ำ นวนนอ้ ย จงึ สญู เสยี พลงั งานหรอื ระบายอากาศนอ้ ยเกนิ ไปในสภาพแวดลอ้ มจลุ ภาค
ที่มสี ัตวจ์ �ำ นวนมาก เกิดการสะสมความร้อน ความชื้นและสารพษิ
ระบบความรอ้ น การระบายอากาศและปรบั อากาศ (HVAC ท่ที ันสมยั (เช่น ระบบที่ปริมาตรอากาศ
ผันแปรได้ หรอื ระบบ VAV) ยอมใหต้ ั้งอัตราการระบายอากาศท่สี อดคล้องกบั ปริมาณความรอ้ นและตัวแป
รอ่นื ๆ ระบบนใ้ี ห้ข้อไดเ้ ปรียบท่คี วรค�ำ นึงหลายอยา่ งโดยเอาใจใสต่ ่อความยืดหย่นุ และการประหยดั พลงั งาน
แต่ควรให้การแลกเปลี่ยนอากาศอยู่ในขั้นต่ำ�ท่ีสุดเสมอตามที่ได้แนะนำ�ไว้ในการใช้ห้องปฏิบัติการโดยทั่วไป
(Bell 2008; DiBeradinis et al. 2009)
กรงทม่ี กี ารระบายอากาศเฉพาะแตล่ ะกรง (IVCs) และสง่ิ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกชนดิ พเิ ศษในรปู แบบอน่ื ๆ
ซึ่งระบายอากาศในส่ิงล้อมรอบโดยตรงด้วยการใช้อากาศจากในห้องท่ีผ่านการกรองแล้ว หรือมีการแยก
ต่างหากไม่เกี่ยวกับระบบห้องอย่างใดอย่างหน่ึง สามารถสนองการระบายอากาศที่สัตว์ต้องได้รับอย่าง
มปี ระสิทธภิ าพ โดยไมต่ ้องเพ่ิมการระบายอากาศในสภาพแวดล้อมมหภาค อย่างไรก็ดี ควรพจิ ารณาขอ้ ควร
ระวงั ท่ไี ดก้ ลา่ วถงึ ในข้างต้นเกยี่ วกับลมท่มี ีความเร็วสูง (baumans et al . 2002; Krohn et al. 2003) ถงึ แม้ว่า
จะเปน็ เชน่ นน้ั กต็ าม สภาพแวดลอ้ มมหภาคควรไดร้ บั การระบายอากาศอยา่ งพอเพยี งเพอ่ื ตอบสนองปรมิ าณ
ความร้อน อนภุ าค กลนิ่ และก๊าซของเสียตา่ งๆในสิง่ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรก (Lipman 1993)
ถ้าสิ่งล้อมรอบอันดับแรกมีการกรองอากาศอย่างเพียงพอเพื่อสนองตอบความเส่ียงต่อการปนเปื้อน
ตา่ งๆ อากาศทรี่ ะบายออกจากกรงอาจถกู ส่งกลบั ไปสูห่ อ้ งซ่ึงสตั ว์อาศัยอยู่ ถึงแมว้ า่ โดยทว่ั ไปนิยมการปลอ่ ย
อากาศทงิ้ โดยตรงไปยงั ระบบการปลอ่ ยอากาศของอาคารเพอื่ ลดปรมิ าณความรอ้ นและการปนเปอ้ื นของสภาพ
แวดล้อมมหภาค

สภาพแวดล้อม ทอ่ี ยู่ และ การจดั การสัตว์ 47

กรง isolators (ทไ่ี มม่ กี ารบงั คบั การระบายอากาศ) ดงั เชน่ กรงบางชนดิ ทใี่ ชเ้ ลย้ี งสตั วฟ์ นั แทะ มกี ารระบาย
อากาศซึง่ จำ�กดั (Keller et al. 1989) เพอ่ื เป็นการชดเชย อาจจำ�เป็นตอ้ งปรับวิธปี ฏบิ ัตทิ างสตั วบาล ได้แก่
ความถี่ของการเปล่ียนกรงเพื่อความสอาดถูกหลักสุขาภิบาล การเลือกวัสดุรองนอนที่สัมผัสตัวสัตว์โดยตรง
ต�ำ แหนง่ การวางกรงต่างๆในสงิ่ ลอ้ มรอบอันดบั สอง ความหนาแนน่ ของจ�ำ นวนสตั วใ์ นกรง และ/หรอื การลด
ความชน้ื สมั พทั ธใ์ นสภาพแวดลอ้ มมหภาคเพอื่ ปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มจลุ ภาคและการกระจายสลายความรอ้ น
การใช้อากาศซำ้�อีกเพ่ือระบายอากาศในห้องสัตว์ต่างๆ อาจประหยัดพลังงานแต่อาจนำ�มาซ่ึงความ
เส่ยี งต่างๆ เพราะวา่ เชอื้ หลายชนิดที่ท�ำ ให้เกดิ โรคในสัตวส์ ามารถอยูใ่ นอากาศหรือเคลอื่ นไปบนพาหะตา่ งๆ
(เชน่ ฝนุ่ ละออง) ดงั นนั้ อากาศระบายออกซง่ึ ถกู น�ำ ไปใชซ้ �ำ้ ภายในระบบ HVAC สง่ ตอ่ ใหอ้ กี หลายๆ หอ้ งท�ำ ให้
เกิดความเส่ียงการปนเป้ือนเช้ือข้ามห้อง อากาศใช้ซ้ำ�ที่มีต้นกำ�เนิดจากบริเวณต่างๆที่ไม่มีการใช้สัตว์
(เชน่ บรเิ วณทีค่ นอยู่ และบริเวณต่างๆทีใ่ ช้เกบ็ อาหาร วัสดุรองนอนและพสั ด)ุ อาจต้องมีการกรองทเี่ ขม้ งวด
หรือการปรับน้อยกว่า และทำ�ให้เกิดความเสี่ยงของการติดเช้ือน้อยกว่า อย่างไรก็ดีความเส่ียงในบาง
สถานการณ์อาจมากเกินไปท่ีจะคิดนำ�อากาศมาใช้ซ้ำ� (เช่น ในกรณีของบริเวณห้องลิงและท่ีมีเชื้ออันตราย)
อากาศทร่ี ะบายออกกอ่ นนำ�ไปใชซ้ ำ้�อกี อยางนอ้ ยทส่ี ดุ ควรถกู กรองดว้ ยแผน่ กรองฝนุ่ ละอองทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ
80-95% ตามท่ี ASHRAE ก�ำ หนดเพอื่ ก�ำ จดั ฝนุ่ ละอองตา่ งๆในอากาศออกกอ่ นการน�ำ ไปใชซ้ �ำ้ (NAFA 1996)
ขนึ้ อยกู่ บั แหลง่ ของอากาศ สว่ นประกอบและสดั สว่ นของอากาศทถ่ี กู น�ำ ไปใชซ้ �้ำ (เชน่ แอมโมเนยี และกา๊ ซอนื่ ๆ
ที่ถูกปล่อยจากอุจจาระในอากาศท่ีหมุนเวียนจากห้องสัตว์) ทั้งน้ีควรพิจารณาการกรองสารไอระเหยต่างๆ
ในบริเวณทต่ี ้องมีการกรองอากาศ เพื่อความปลอดภยั ต่อบคุ ลากรและ/หรอื สตั ว์ (เช่น ท่ีเกบ็ กกั สารอนั ตราย)
ควรประเมินประสิทธิภาพการกรอง การรบั ภาระและสภาพความสมบรู ณ์
การท�ำ หนา้ ทขี่ องระบบ HVAC ทป่ี ระสบความส�ำ เรจ็ ตอ้ งมกี ารซอ่ มบ�ำ รงุ และการประเมนิ อยา่ งสม�่ำ เสมอ
อีกท้ังการวัดค่าการทำ�งานท่ีส่ิงล้อมรอบอันดับสอง การวัดค่าต่างๆดังกล่าวควรรวมถึง ปริมาตรอากาศที่
จ่ายและระบาย การแกวง่ ขนึ้ ลงของอุณหภูมิและความช้ืนสัมพทั ธ์ และความแตกตา่ งของค่าความดันอากาศ
ระหว่างพนื้ ท่ีตลอดจนปจั จยั ทางเคร่ืองกลที่วิกฤตตา่ งๆ

แสงสวา่ ง

แสงสว่างสามารถส่งผลกระทบต่อสรรี วิทยา รา่ งกายภายนอกและพฤติกรรมของสัตว์หลายชนิด (Azar
et al. 2008; Brainard et al. 1986; Erkert and Grober1986; Newbold et al. 1991; Tucker et al. 1984)
ความเครยี ดทเี่ กดิ จากแสงทเี่ ปน็ ไปได้ ไดแ้ ก่ ความไมเ่ หมาะสมของชว่ งระยะเวลาไดร้ บั แสง ความเขม้ ของแสง
และคณุ ภาพของความยาวคลืน่ แสง (Stoskopf1983)
ปจั จยั หลายอย่างทส่ี ามารถสง่ ผลกระทบต่อความจ�ำ เป็นของแสงตอ่ สตั ว์ ควรถูกพจิ ารณาเมอื่ กำ�หนด
ระดับแสงสว่างในหอ้ งเล้ียงสตั วท์ พี่ อเหมาะ สงิ่ เหล่านไ้ี ดแ้ ก่ ความเข้มและความยาวคลน่ื แสง ตลอดจนช่วง
เวลาของการสัมผัสแสงของสัตว์ ณ ปัจจุบันและในอดีต และเม็ดสีของตัวสัตว์ ช่วงเวลาของการสัมผัสแสง
ในวงจรเวลากลางวันกลางคนื (circadian cycle) อณุ หภูมิของร่างกาย สภาวะทางฮอรโ์ มน อายุ ชนดิ เพศ

48 ขอ้ แนะน�ำสำ� หรบั การดแู ลและการใชส้ ตั วท์ ดลอง

และเช้ือสายหรือสายพันธุ์ของสัตว์ (Brainard 1989; Duncan and O’Steen 1985; O’Steen 1980;
Saltarelli and Coppola 1979; Semple-Rowland and Dawson 1987; Wax 1977) การศกึ ษาเม่ือเรว็ ๆ นี้
ในสัตว์ฟันแทะและลิงได้แสดงว่าความสำ�คัญของganglion Cells (แตกต่างจาก rods และ cones) ที่มีอยู่
ในจอรับภาพของตาซึ่งมีความไวต่อแสงสำ�หรับการควบคุมระบบประสาทด้านต่อมไร้ท่อ วงจรเวลากลางวัน
กลางคนื และ ระบบประสาทด้านพฤติกรรม (Berson et al. 2002; Hanifin and Brainard 2007) เซลลเ์ หลา่ นี้
สามารถตอบสนองต่อแสงท่ีความยาวคลื่นซึ่งอาจแตกต่างจากตัวรับแสงชนิดอ่ืนๆ และอาจมีอิทธิพลต่อ
การเลือกรูปแบบของแสง ความเขม้ แสงและความยาวคลนื่ แสงส�ำ หรับการวจิ ัยบางอยา่ ง
ในสภาวะทว่ั ไปควรมแี สงกระจายทวั่ บรเิ วณทมี่ สี ตั วแ์ ละใหก้ ารสอ่ งสวา่ งทพี่ อเพยี งส�ำ หรบั ความเปน็ อยู่
ทดี่ ขี องสตั วข์ ณะเดยี วกนั กส็ ามารถท�ำ ความสะอาดพน้ื ทไ่ี ดเ้ รยี บรอ้ ยไดด้ ี การตรวจสตั วไ์ ดอ้ ยา่ งพอเหมาะ รวม
ถงึ กรงตา่ งๆทอ่ี ยชู่ นั้ ลา่ งสดุ ของชนั้ วางกรงและใหภ้ าวะการท�ำ งานทป่ี ลอดภยั ส�ำ หรบั บคุ ลากร แสงในหอ้ งเลยี้ ง
สตั วค์ วรมพี อเพยี งทง้ั เพอ่ื การมองเหน็ และเพอื่ การควบคมุ ระบบประสาทตอ่ มไรท้ อ่ ในวงจรเวลากลางวนั และ
ในวงจรกลางวนั กลางคนื (Brainard 1989)
ช่วงระยะเวลาได้รับแสง (Photoperiod) เป็นตัวกำ�หนดพฤติกรรมทางเพศท่ีวิกฤติของสัตว์หลายชนิด
(Brainard et al. 1986; Cherry 1987) ดงั นนั้ ควรหลกี เลีย่ งการคุกคามด้วยแสงในระหว่างช่วงมืดโดยไมต่ ้ังใจ
หรือหลกี เลี่ยงใหเ้ กิดน้อยทสี่ ดุ เพราะวา่ สตั ว์บางชนิด เช่น ไก่ (Apeldoorn et al. 1999) จะไมก่ ินอาหารใน
ที่มีแสงน้อยหรอื ในความมดื ควรถูกจ�ำ กัดตารางแสงสว่างดงั กลา่ วใหอ้ ยูใ่ นชว่ งเวลาหนง่ึ ทจี่ ะไม่กระทบความ
เป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ ควรใช้ระบบการควบคุมแสงสว่างตามเวลาเพื่อให้แน่ใจว่ามีวงจรเวลากลางวันและกลาง
คืนเป็นปกติ และควรตรวจสอบการปฏิบัติงานของเคร่อื งต้ังเวลาเปน็ กิจวตั รเพอ่ื ใหแ้ น่ใจว่ามีวงจรถูกตอ้ ง
สัตว์ทดลองที่มักใช้บ่อยส่วนใหญ่เป็นสัตว์หากินกลางคืน เพราะว่าหนูแรทขาวเผือกมีความไวต่อ
การเกดิ จอรบั ภาพของตาเสอื่ มจากพษิ ของแสงมากกวา่ สตั วช์ นดิ อนื่ (Beaumont 2002) ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ ถกู น�ำ มา
ใชเ้ ป็นพนื้ ฐานเพือ่ การก�ำ หนดระดบั แสงสวา่ งในห้อง (Lanum 1979) ยังไมม่ ขี ้อมูลการศกึ ษาทางวิทยาศาสตร์
เกย่ี วกบั ความเข้มแสงของห้องสำ�หรบั สัตวช์ นดิ อน่ื ๆ ระดับแสงที่ 325 ลกั ซ์ (lux) (30 แรงเทยี น) ทค่ี วามสูง
ประมาณ 1 เมตร (3.3 ฟุต) จากพ้ืน พอเพียงสำ�หรับการเลี้ยงสัตว์และไม่ทำ�ให้เกิดอาการทางคลินิก
ต่างๆ จากการเส่ือมของจอรับภาพจากพิษของแสงในหนูแรทขาวเผือก (Bellhorn 1980) ระดับแสงที่สูงถึง
400 ลักซ์ (37 แรงเทียน) ซึ่งถูกวัดในห้องว่างท่ีความสูง 1 เมตรจากพ้ืนเป็นที่น่าพอใจสำ�หรับสัตว์ฟันแทะ
ถ้าใช้วิธีการจัดการเพ่ือป้องกันการถูกทำ�ลายของจอรับภาพในสัตว์เผือก (Clough1982) อย่างไรก็ตาม
ประสบการณ์ของสัตว์แต่ละตวั ทีม่ ีต่อแสงสามารถมีผลกระทบต่อความไวต่อพิษของแสง แสง 130−270 ลกั ซ์
ซ่ึงสูงกว่าระดับท่ีเสนอภายใต้ภาวะที่สัตว์ถูกเลี้ยงได้มีการรายงานว่ามีค่าใกล้เคียงกับค่าแรกเริ่มมีการทำ�ลาย
ของจอรับภาพในหนูแรทเผือกบางตัว ซ่ึงสอดคล้องกับอุบัติการด้านเนื้อเยื่อ ด้านรูปแบบโครงสร้างและ
ทางสรรี ะไฟฟา้ (Semple-Rowland and Dawson 1987) บรรทดั ฐานบางอยา่ งแนะน�ำ ความเข้มของแสงทตี่ �่ำ
ถึง 40 ลักซ์ท่ีตำ�แหน่งของสัตว์อยู่ตรงกลางกรง (NASA 1988) หนูเมาส์และหนูแรทมักชอบกรงท่ีมีความ

สภาพแวดล้อม ทอ่ี ยู่ และ การจดั การสตั ว์ 49

เขม้ แสงตำ่� (Schlingmann et al. 1993a) หนอู ายุนอ้ ยชอบความเขม้ แสงต�ำ่ กวา่ สัตว์โตเตม็ วัย (Wax 1977)
สำ�หรับสัตว์ชนิดที่เคยมีรายงานว่ามีความไวต่อการเสือ่ มของจอรับภาพเนือ่ งจากพิษของแสง ควรให้แสงท่ีมี
ความความเข้มระดับกรงอยู่ระหว่าง 130 และ 325 ลกั ซ์
ความเข้มแสงมีค่าลดลงตามพื้นที่ระยะห่างจากแหล่งกำ�เนิดแสง ดังนั้นตำ�แหน่งของกรงบนช้ันวางจึง
มีผลตอ่ ความเข้มแสงที่สัตว์ได้รับ ความเข้มแสงอาจแตกตา่ งกันไดม้ ากถงึ 80 เทา่ ส�ำ หรบั กรงใสตา่ งๆ ที่วาง
อยชู่ ัน้ บนถงึ ล่างสดุ และ มรี ายงานความแตกตา่ งมากถงึ 20 เท่าภายในกรงเดียงกัน (Schlingmann et al.
1993a,b) วิธีปฏิบัติการจัดการต่างๆ เช่น การหมุนเวียนตำ�แหน่งของกรงโดยสัมพันธ์กับแหล่งของแสง
(Greenman and others 1982) หรือให้วิธีต่างๆเพื่อควบคุมการสัมผัสต่อแสงด้วยตัวเองโดยวิธีต่างๆ
ทางพฤติกรรม (เช่น วัสดุสำ�หรับทำ�รัง หรือรองนอนพอเพียงสำ�หรับการมุดหลบซ่อนตัว) สามารถลดการ
กระตนุ้ ของแสงท่ไี มเ่ หมาะสม มักใช้การปรับเปลี่ยนความเขม้ แสงเพือ่ อ�ำ นวยความสะดวกส�ำ หรบั โปรโตคอล
วิจัย สัตว์บางชนิดและเพ่ือการประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ดี ระบบน้ันควรเอ้ือต่อการสังเกตและดูแลสัตว์
ควรระมัดระวังการปฏิบัติเพราะการเพ่ิมความเข้มแสงในตอนกลางวันเพื่อการซ่อมบำ�รุงต่างๆ ได้มีรายงาน
แสดงการเปลยี่ นสรีระของตัวรบั แสง และสามารถเปลยี่ นการควบคุมวงจรเวลากลางวันกลางคนื (NRC 1996;
Reme et al. 1991; Terman et al. 1991)

เสยี งและการส่นั สะเทือน

เสียงซ่ึงเกิดจากสัตว์และกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์เป็นส่ิงที่มีอยู่ในสถานท่ีเล้ียงสัตว์ (Pfaff and Stecker
1976) ดังน้นั ควรพจิ ารณาควบคมุ เสยี งในการออกแบบสถานทแ่ี ละการปฏิบัติ (Pekrul 1991) การประเมิน
ผลกระทบทแี่ ฝงอยขู่ องเสยี งตอ่ สตั วย์ นื ยนั การพจิ ารณาความเขม้ ความถี่ ความเรว็ ของการเรม่ิ ตน้ ระยะเวลา
และความสน่ั สะเทอื นของเสยี งทอี่ าจมแี ฝงอยแู่ ละชว่ งระยะของการไดย้ นิ ประวตั ขิ องการไดย้ นิ เสยี งและความ
ไวต่อผลกระทบของเสียงของสัตว์แต่ละชนิด เช้ือสายหรือสายพันธ์ุ ในขณะเดียวกันอาจมีข้อควรคำ�นึงว่า
การประกอบอาชีพที่มีส่ิงคุกคามจากเสียงของสัตว์หรือการปฏิบัติต่างๆซึ่งทำ�ให้เกิดเสียงดังที่ความเข้มมาก
พออาจยนื ยนั ใหม้ ีการปอ้ งกันการได้ยนิ
การแบ่งแยกพ้ืนที่ของคนและสัตว์ช่วยลดการรบกวนท้ังต่อคนและสัตว์ที่อยู่ในอาคาร ควรนำ�สัตว์ท่ีมี
เสียงดัง เช่น สนุ ัข สุกร แพะ ลงิ และนกบางชนดิ (เชน่ zebra finches) ออกไปเลย้ี งห่างจากสตั วท์ เ่ี งียบกวา่
เชน่ สตั วฟ์ นั แทะ กระตา่ ยและแมว ควรออกแบบสภาพแวดลอ้ มใหส้ ตั วซ์ ง่ึ ท�ำ เสยี งดงั อยไู่ ดอ้ ยา่ งสบายมากกวา่
การพึ่งวิธีการลดเสียง เสียงท่ีดังมากกว่า 85 เดซิเบลมีผลกระทบต่อการได้ยินและส่วนที่ไม่เก่ียวข้องกับ
การไดย้ นิ (Fletcher1976; Peterson 1980) ได้แก่ ภาวะการมีเมด็ เลือดขาวชนิดอิโอซิโนฟิลต�่ำ ลง การเพิม่
นำ�้ หนกั ของต่อมหมวกไตและการเจรญิ พนั ธข์ุ องสัตวฟ์ นั แทะ (Geber et al. 1966; Nayfield and Besch 1981;
Rasmussen et al. 2009) การเพิม่ ความดนั โลหติ ในสตั วพ์ วกลิง (Peterson et al. 1981) และอาจจ�ำ เป็นตอ้ ง
ให้การป้องกันการได้ยินสำ�หรับบุคลากร (OSHA 1998) สัตว์หลายชนิดสามารถได้ยินความถี่ของเสียงที่คน

50 ข้อแนะนำ� สำ� หรับการดแู ลและการใชส้ ัตว์ทดลอง

ไม่ได้ยิน (Brown and Pye 1975; Heffner and Heffner 2007) ตัวอย่างเช่น สัตว์ฟันแทะมีความไวต่อ
พลงั เสียงเหนอื ความถีม่ ากกวา่ 20,000 ไซเคิลต่อวนิ าที (ultrasound) (Olivier et al. 1994) ผลกระทบที่แฝง
อยู่ของอปุ กรณ์ (เชน่ จอเครื่องเล่นวดี โี อ Sales 1991; Sales et al. 1999) และวัสดตุ ่างๆท่ีท�ำ ให้เกิดเสยี งใน
ชว่ งการไดย้ นิ ของสตั วท์ อี่ ยใู่ กลเ้ คยี ง ดงั เชน่ เครอ่ื งเลน่ วดี โี อ (Sale 1991) กลายเปน็ ตวั แปรส�ำ หรบั การทดลอง
วิจัยท่ีไม่สามารถควบคุมได้ กิจกรรมต่างๆที่อาจมีเสียงดังควรถูกทำ�ในห้อง หรือบริเวณท่ีห่างจากบริเวณที่
สัตว์อยใู่ ห้มากท่สี ุดเท่าทีจ่ ะทำ�ได้
เนอื่ งจากการเปลย่ี นแปลงตา่ งๆของรปู แบบของการไดย้ นิ เสยี งมผี ลกระทบแตกตา่ งกนั ในสตั วต์ า่ งชนดิ
กนั (Amario et al. 1985; Clough 1982) บคุ ลากรควรพยายามลดการเกิดเสยี งทไ่ี มจ่ ำ�เป็น สามารถลดเสียง
ที่ดังเกินไป และดังเป็นระยะๆ ลงได้โดยการฝึกอบรมพนักงานให้ใช้วิธีทดแทนวิธีท่ีเกิดเสียง การใช้ล้อและ
กันชนชนิดบนุ วมกบั รถเข็น รถบรรทกุ และชน้ั วางของ และการซอ่ มบ�ำ รงุ อย่างถกู ตอ้ ง (เชน่ การหยอดน�ำ้ มนั
ลูกล้อ) ไม่ควรใช้วิทยุ นาฬิกาปลุกและสิ่งกำ�เนิดเสียงอ่ืนๆในห้องเล้ียงสัตว์ เว้นเสียแต่ว่าเป็นส่วนหน่ึงของ
โครงการงานวิจัยหรือเป็นโครงการการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต (enrichment) ท่ีได้รับการอนุมัติแล้ว ควรปิด
วิทยุหรอื สง่ิ ก�ำ เนดิ เสยี งใดๆ เมือ่ สน้ิ สุดวันท�ำ งานเพื่อลดความเปลีย่ นแปลงท่อี าจมีผลเสยี ทางสรรี ะ (Baldwin
2007)
ขณะท่ีการสั่นสะเทือนท่ีมีอยู่ในทุกๆสถานที่และการเลี้ยงสัตว์ การสั่นมากเกินไปมีส่วนเก่ียวข้องกับ
การเปลยี่ นแปลงทางชวี เคมีและการสืบพนั ธ์ขุ องสัตวท์ ดลอง (Briese et al. 1984; Carman et al. 2007) และ
กลายเปน็ ตวั แปรส�ำ หรบั การทดลองวจิ ยั ทไี่ มส่ ามารถควบคมุ ได้ แหลง่ ก�ำ เนดิ การสนั่ สะเทอื นตา่ งๆทอ่ี าจมอี ยู่
ภายในหรอื ภายนอกสถานทเ่ี ลยี้ งสตั ว์ ในกรณหี ลงั ซงึ่ มกี ารสนั่ สะเทอื นจากพน้ื ดนิ อาจกระทบทงั้ โครงสรา้ งและ
ส่วนประกอบภายใน ได้แก่ ช้ันวางและกรงสัตว์ ระบบที่อยู่สัตว์ต่างๆที่มีการเคล่ือนที่ ได้แก่ เคร่ืองเป่าลม
ของระบบกรงที่มีการระบายอากาศ อาจทำ�ให้เกิดการสั่นท่ีสามารถส่งผลกระทบต่อสัตว์ท่ีเลี้ยงอยู่ภายใน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือมีการทำ�งานผิดปกติ การสั่นสะเทือนผันแปรตามความเข้ม ความถ่ีและระยะเวลา
ได้เช่นเดียวกันกับเสียง อาจใช้เทคนิคอย่างมากมายเพื่อลดการเกิดการสั่นสะเทือนรวมทั้งจากมนุษย์
ควรหลีกเลี่ยงการสน่ั สะเทือนมากเกนิ ไป

ท่ีอยู่อาศยั ส�ำ หรับสัตวบ์ ก
สภาพแวดล้อมจุลภาค (สงิ่ ลอ้ มรอบอันดับแรก)

ควรให้สัตว์ทุกตัวอาศัยอยู่ภายใต้สภาวะท่ีมีท่ีว่างอย่างพอเพียง ตลอดจนให้มีโครงสร้างสนับสนุน
และวัสดุต่างๆที่ต้องการเพ่ือตอบสนองความจำ�เป็นต่างๆทางกายภาพ สรีระและพฤติกรรมสภาพแวดล้อม
ทล่ี ม้ เหลวไมต่ อบสนองความจ�ำ เปน็ ของสตั วอ์ าจมผี ลตอ่ การพฒั นาสมองอยา่ งผดิ ปกติ การท�ำ หนา้ ทท่ี างสรรี ะ
ผดิ ปกติและเกิดพฤตกิ รรมตา่ งๆผิดปกติ (Garner 2005; van Praag et al. 2000; Würbel 2001) ทอ่ี าจกระทบ

สภาพแวดล้อม ท่อี ยู่ และ การจัดการสัตว์ 51

ทงั้ ความเปน็ อยทู่ ดี่ ขี องสตั วแ์ ละผลการทดลองทเี่ ชอื่ ถอื ได้ อาจจ�ำ เปน็ ตอ้ งเพม่ิ พนู สงิ่ ลอ้ มรอบอนั ดบั แรกหรอื
ให้ท่ีว่างเพือ่ ปอ้ งกันผลกระทบเหลา่ นน้ั (ดู เรอ่ื งการเพ่มิ พนู สภาพแวดลอ้ ม)
ที่อยู่อาศัยของสัตว์หรือส่ิงล้อมรอบท่ีเหมาะสมควรคำ�นึงถึงความจำ�เป็นต่างๆทางสังคมของสัตว์
ควรใหส้ ตั วส์ งั คมอยดู่ ว้ ยกนั เปน็ คหู่ รอื เปน็ กลมุ่ ซงึ่ เขา้ กนั ไดด้ อี ยา่ งยง่ั ยนื ยกเวน้ สตั วจ์ �ำ เปน็ ตอ้ งอยตู่ วั เดยี วเพอ่ื
เหตุผลทางการทดลองหรือเพราะวา่ เขา้ กลุ่มไมไ่ ด้ (ดเู รอื่ งการจัดการพฤติกรรมและสงั คม) มักต้องปรบั เสรมิ
ใหม้ โี ครงสรา้ งตา่ งๆส�ำ หรบั การเลย้ี งแบบสงั คม (เชน่ แผงทน่ี ง่ั แผงบงั ตา ทห่ี ลบภยั ) และควรใหม้ สี ว่ นประกอบ
ตา่ งๆท่ีส�ำ คญั (เชน่ อาหาร น้�ำ และท่ีกำ�บงั ) ในรูปแบบทไ่ี ม่สามารถใชไ้ ด้เฉพาะสตั ว์ทเี่ ดน่ เทา่ นน้ั (ดู เร่อื ง
การเพมิ่ พนู สภาพแวดล้อม)
สิ่งล้อมรอบอันดับแรกควรให้สภาพแวดล้อมท่ีปลอดภัยซ่ึงไม่ยอมให้สัตว์หลุดหนี ควรทำ�ด้วยวัสดุ
ท่คี งทนต่อการกดั กร่อน ทนทานต่อการท�ำ ความสะอาดอยา่ งเข้มงวด และการจบั ต้องอยา่ งสม�ำ่ เสมอ ไมเ่ ป็น
อันตรายต่อสุขภาพและการใช้สัตว์ในการวิจัย ควรออกแบบและสร้างสิ่งล้อมรอบอันดับแรกเพื่อป้องกัน
อุบัติเหตุ ไม่ให้ตัวสัตว์หรือแขน ขา น้ิวติดคา และปราศจากขอบหรือส่วนย่ืนท่ีแหลมคมซึ่งสามารถทำ�ให้
สัตว์หรือคนบาดเจ็บ ควรมีผิวเรียบไม่ยอมให้อะไรผ่านได้ มีสัน มีข้อต่อ มุมและผิวทับซ้อนกันให้น้อยท่ีสุด
เพอื่ ลดการสะสมสงิ่ สกปรก เศษผง และความชนื้ ใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ และ สามารถท�ำ ความสะอาดและฆา่ เชอื้ ไดอ้ ยา่ ง
พอใจควรรักษาซอ่ มแซมส่ิงลอ้ มรอบอนั ดับแรกทั้งหมดอยา่ งดเี พอื่ ป้องกนั สตั ว์หลดุ หนี หรือบาดเจ็บ สง่ เสรมิ
ใหส้ ัตว์สบายกายและสะดวกตอ่ การสขุ าภบิ าลและการบรกิ าร จำ�เป็นตอ้ งซอ่ มหรือทดแทนอุปกรณ์ทีข่ ึ้นสนมิ
หรือทำ�ปฏิกิริยากับออกซิเจนซ่ึงบ่ันทอนสุขภาพหรือความปลอดภัยของสัตว์ วัสดุที่คงทนน้อยกว่า เช่น
ไม้ อาจมีความเหมาะสมในบางสถานะการณ์ ได้แก่ คอกกลางแจ้ง แผงท่นี ง่ั โครงสร้างสำ�หรบั ปีน บรเิ วณ
สำ�หรับพักผ่อนและรั้วโดยรอบสำ�หรับส่ิงล้อมรอบอันดับแรก จำ�เป็นต้องเปล่ียนสิ่งท่ีเป็นไม้เป็นระยะๆ
เพราะช�ำ รดุ หรอื ยากตอ่ การสขุ าภบิ าล การทาสหี รอื อดุ ผวิ ใหส้ นทิ ดว้ ยวสั ดทุ ไ่ี มเ่ ปน็ พษิ อาจปรบั ปรงุ ความคงทน
ในหลายกรณี
พ้ืนควรทึบ มีช่อง หรือ ปูตามแนวยาวโดยมีพ้ืนผิวที่ล่ืนยาก ในกรณีที่พื้นมีช่องหรือปูตามแนวยาว
ควรมีช่องหรือร่องที่มีขอบเรียบ ควรมีขนาดหรือพื้นท่ีซ่ึงได้สัดส่วนกับขนาดของสัตว์ท่ีอาศัยอยู่เพ่ือลด
การบาดเจบ็ และการเกดิ บาดแผลทตี่ นี ใหม้ นี อ้ ยทสี่ ดุ ถา้ ใชพ้ น้ื ลวดตาขา่ ย การใหบ้ รเิ วณพน้ื ทบึ สำ�หรบั พกั ผอ่ น
อาจมปี ระโยชนเ์ พราะพนื้ ชนดิ นสี้ ามารถทำ�ใหเ้ กดิ บาดแผลทตี่ นี ของสตั วฟ์ นั แทะและกระตา่ ย (Drescher 1993;
Fullerton and Gilliatt 1967; Rommers and Meijerhof 1996) ขนาดและน�ำ้ หนักของสัตวต์ ลอดจนระยะเวลา
ในการอยู่อาศัยบนพ้ืนลวดตาข่ายอาจมีบทบาทสำ�คัญในการพัฒนาสภาวะเช่นน้ี (Peace et al. 2001)
เมอื่ ให้มีตวั เลือก สตั วฟ์ ันแทะชอบพื้นทึบ (ท่ีมีวัสดรุ องนอน) มากกว่าพนื้ ลวดตาขา่ ย (Blom et al. Manser
et al. 1995, 1996)

52 ข้อแนะน�ำสำ� หรับการดูแลและการใชส้ ตั ว์ทดลอง

สัตวค์ วรมีวสั ดรุ องนอนและ/หรือโครงสร้างสำ�หรบั พักผอ่ นและนอนหลับอยา่ งพอเพยี ง วัสดุรองนอน
ชนดิ สมั ผสั ไดเ้ ปิดโอกาสใหส้ ัตว์หลายชนดิ (เช่น สตั วฟ์ นั แทะ) แสดงพฤติกรรมเฉพาะของสัตว์ชนิดน้นั ได้แก่
การคุ้ยเขยี่ หาอาหาร การขุดหลมุ การหลบอาศยั ในโพรงและการทำ�รัง (Armstrong et al. 1998; Ivy et al.
2008) นอกจากนย้ี งั ดูดซบั ปสั สาวะและอจุ จาระเพ่อื เอ้อื ตอ่ การท�ำ ความสะอาดและการสขุ าภิบาล วัสดรุ อง
นอนเกอ้ื หนนุ การควบคมุ อณุ หภมู ถิ า้ ใหใ้ นปรมิ าณทพี่ อเพยี งส�ำ หรบั สรา้ งรงั หรอื ท�ำ โพรง (Gordon 2004) ควร
ให้วัสดุทำ�รังและ/หรือโครงสร้างบนพื้นฐานความต้องการเฉพาะของสัตว์แก่พ่อแม่พันธ์ุอย่างพอเพียง (หนู
เมาส์ Sherwin 2002; หนูแรท Lawlor 2002; เจอรบ์ ิล Waiblinger 2002)
มีระบบที่อยู่อาศัยพิเศษ (เช่น กรงแยกเดี่ยว IVCs และ isolators สำ�หรับสัตวที่เป็น gnotobiotic1)
ส�ำ หรบั สตั วฟ์ นั แทะและสตั วบ์ างชนดิ ระบบนถ้ี กู ออกแบบใหล้ ดการแพรฝ่ นุ่ ละอองในอากาศระหวา่ งกรงหรอื
กลมุ่ ของกรง อาจตอ้ งใหม้ กี ารปฏบิ ตั ทิ างสตั วบาลทแี่ ตกตา่ ง ไดแ้ ก่ การเปลย่ี นความถขี่ องการเปลยี่ นกรง การ
จับด้วยวิธีไร้เชื้อ การทำ�ความสะอาด การฆ่าเช้ือหรือการทำ�ให้ปลอดเช้ือด้วยวิธีพิเศษเพ่ือลดการแพร่เช้ือ
จุลชพี โดยวิธีอืน่ นอกเหนือจากการแพรท่ างอากาศ
ควรพฒั นากลยทุ ธท์ เ่ี หมาะสมส�ำ หรบั สตั วบ์ างชนดิ และน�ำ ไปปฏบิ ตั โิ ดยการบรหิ ารการดแู ลสตั วโ์ ดยการ
ปรกึ ษาผู้ใชส้ ตั วแ์ ละสัตวแพทย์ และทบทวนโดย IACUC ทอ่ี ยูอ่ าศยั ควรใหส้ ัตว์มสี ขุ ภาพดีและมีความเปน็ อยู่
ท่ีดีขณะเดียวกันตลอดจนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้สัตว์ตามที่ตั้งใจ อาจเสาะหาคำ�แนะนำ�จากผู้
เชี่ยวชาญเมื่อมีสัตว์ชนิดใหม่ หรือเมื่อมีความต้องการพิเศษที่เกี่ยวข้องกับสัตว์หรือการใช้สัตว์ตามความมุ่ง
หวงั (เชน่ สัตวท์ ไ่ี ด้รบั การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรม วิธปี ฏบิ ตั ทิ ี่มีการลว่ งลำ้�หรือเปน็ สิง่ อันตรายต่างๆ) ควร
ประเมนิ วตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ พสิ จู นว์ า่ มสี ภาพแวดลอ้ ม ทอี่ ยแู่ ละการจดั การสตั วอ์ ยา่ งพอเพยี ง เมอ่ื ใดทท่ี �ำ ไดค้ วร
บนั ทึกวิธีปฏบิ ตั ิประจำ�ในการจดั การสัตว์เพือ่ ให้แน่ใจวา่ มีการจัดการและการดแู ลท่สี มำ่�เสมอ

การเพิม่ พูนสภาพแวดล้อม

จดุ มงุ่ หมายหลกั ของการเพม่ิ พนู สภาพแวดลอ้ มคอื สง่ เสรมิ ความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องสตั วโ์ ดยการกระตนุ้ สตั ว์
ให้มีการรับรู้และการส่ังการด้วยการใช้โครงสร้างและส่ิงต่างๆ ซ่ึงสนับสนุนการแสดงออกทางพฤติกรรม
เฉพาะชนดิ สตั วแ์ ละสง่ เสรมิ ความเปน็ อยทู่ ด่ี ขี องสตั วผ์ า่ นการออกก�ำ ลงั กาย กจิ กรรมการจบั ตอ้ งโยกยา้ ยสง่ิ ของ
และการเร่งเร้าการรับรู้ที่มีคุณสมบัติเฉพาะของสัตว์แต่ละชนิด (NRC 1998a; Young 2003) ตัวอย่างของ
ส่ิงเพิ่มพูนได้แก่ โครงสร้างเพิ่มเติม เช่น แผงที่นั่ง และแผงบังตา (Novak et al. 2007) ชั้นยกสูงให้แมว
(Overall and Dyer 2005; van den Bos and de Cock Buning 1994) และ กระตา่ ย (Stauffacher 1992)

1 Gnotobiotic: สตั วท์ ปี่ ลอดเชอื้ โรคหรอื เคยปลอดเชอื้ โรค ซง่ึ ถา้ มสี ว่ นประกอบเชอื้ จลุ ชพี ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกจ็ ะระบชุ นดิ ได้ (พจนานกุ รม
การแพทย์อเิ ลคโทรนิคของ Stedman 2006. Lippincott & Wilkins)

สภาพแวดลอ้ ม ท่ีอยู่ และ การจดั การสตั ว์ 53

และหง้ิ ส�ำ หรบั หนตู ะเภา (Baumans 2005) ตลอดจนสง่ิ ของส�ำ หรบั จบั ตอ้ งตา่ งๆ เชน่ วตั ถชุ นดิ แปลกใหม่ และ
อปุ กรณ์สำ�หรับคยุ้ หาอาหารส�ำ หรบั ลงิ ของเลน่ ส�ำ หรบั ลงิ สุนขั แมวและสกุ ร แท่งไมส้ ำ�หรบั ใหส้ ัตว์ฟนั แทะ
กดั เคี้ยว และวสั ดสุ ำ�หรับทำ�รงั ใหห้ นูเมาส(์ Gaskill et al. 2009; Hess et al. 2008; Hubrecht 1993; Lutz and
Novak 2005; Olsson and Dahborn 2002) ควรพิจารณาความแปลกใหม่ด้วยการหมุนเวียนหรือทดแทน
ส่ิงเพมิ่ พนู ต่างๆ อยา่ งไรก็ดี การเปลย่ี นแปลงสภาพแวดล้อมบ่อยเกนิ ไปอาจเปน็ ความเครยี ด
การเพ่ิมพูนท่ีวางแผนอย่างดีช่วยให้สัตว์ได้มีทางเลือกต่างๆและการควบคุมสภาพแวดล้อมของ
สัตว์เหล่าน้ันที่ระดับต่างๆ ซึ่งให้โอกาสสัตว์ได้รับมือกับความเครียดจากสภาพแวดล้อม (Newberry 1995)
ตัวอย่างเช่น ท่ีบังตาทำ�ให้ลิงหลีกเลี่ยงการต่อสู้กัน ชั้นท่ียกสูงสำ�หรับกระต่ายและห้ิงสำ�หรับสัตว์ฟันแทะ
ช่วยให้หลบหนีได้ถ้าถูกรบกวน (Baumans 1997; Chmiel and Noonan 1996; Stauffacher 1992) และ
วัสดุสำ�หรับทำ�รังและวัสดุรองนอนซึ่งมีความหนาฟู ช่วยให้หนูเมาส์ควบคุมอุณหภูมิของสัตว์เหล่าน้ัน
และ หลีกเลี่ยงความเครียดจากความหนาวเย็นขณะพักและนอนหลับ (Gaskill et al. 2009; Gordon
1993, 2004)
สงิ่ ของไมใ่ ชท่ กุ ชนดิ ทเ่ี พม่ิ ใหก้ บั สภาพแวดลอ้ มของสตั วแ์ ลว้ มปี ระโยชนต์ อ่ ความผาสขุ ของสตั ว์ ตวั อยา่ ง
เช่น ลูกหินได้ถูกใช้เป็นตัวกระตุ้นความเครียดในการศึกษาความกระตือรือล้นของหนูเมาส์ (De Boer and
Koolhaas 2003) บง่ ชใี้ หเ้ ห็นว่า ของบางอย่างอาจเป็นภยั ตอ่ ความเป็นอยทู่ ด่ี ขี องสตั ว์ ส�ำ หรบั สตั วพ์ วกลิง
วัตถใุ หมๆ่ อาจเพ่ิมความเสี่ยงตอ่ การแพร่โรค (Bayne et al. 1993) การให้คยุ้ หาอาหารอาจน�ำ ไปสู่การเพ่ิม
น้ำ�หนักตัว (Brent 1995) ข้ีกบอาจทำ�ให้เกิดภูมิแพ้และผิวหนังเป็นผ่ืนแดงในสัตว์บางตัว และวัตถุบางชนิด
อาจท�ำ ให้บาดเจบ็ จากการมีสิง่ แปลกปลอมในล�ำ ไส้ (Hahn et al. 2000) แผงกน้ั และทกี่ �ำ บังได้ทำ�ให้เกดิ ความ
กา้ วร้าวชัดเจนของหนูตัวผ้บู างสายพนั ธุ์ เปน็ ผลให้มคี วามเครยี ดทางสังคมและการบาดเจบ็ (เชน่ Bergmann
et al. 1994; Haemisch et al. 1994) ความเครยี ดทางสังคมมักเกดิ ข้นึ ไดเ้ มอื่ วตั ถุตา่ งๆถูกสตั ว์ตัวทเี่ ดน่ ถือเปน็
สิทธไ์ วแ้ ต่เพียงผูเ้ ดยี ว (Bergmann et al. 1994)
IACUC นักวิจัย และ สัตวแพทย์ควรทบทวนโปรแกรมการเพ่ิมพูนอย่างสมำ่�เสมอ เพ่ือให้ม่ันใจว่า
มีประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ และสอดคล้องกับเป้าหมายการใช้สัตว์ ควรปรับปรุงโปรแกรมให้
ทันสมัยตามความจำ�เป็นเพื่อให้ม่ันใจว่าเป็นความรู้ท่ีทันการณ์ บุคลากรผู้มีหน้าที่ดูแลและให้การสัตวบาล
ควรได้รับการฝึกฝน อบรมเร่ืองชีววิทยาทางพฤติกรรมของสัตว์ท่ีทำ�งานด้วยเพื่อสอดส่องดูแลผลของ
การเพม่ิ พนู ตลอดจนระบุไดว้ ่ามีการเกิดพฤตกิ รรมท่ีเกดิ ผลเสียหรอื ผิดปกติ
สิ่งเพ่ิมพูนมีผลต่อร่างกายของสัตว์เหมือนกันกับปัจจัยทางสภาพแวดล้อมชนิดอื่นๆ (เช่น พื้นท่ี
แสง เสยี ง อุณหภูมิ และวธิ กี ารดแู ลสัตว)์ และอาจกระทบผลลัพธข์ องการทดลอง ดังนน้ั จึงควรพิจารณาวา่
เปน็ ตัวแปรอิสระและถูกควบคุมอย่างเหมาะสม

54 ข้อแนะนำ� ส�ำหรบั การดแู ลและการใช้สัตว์ทดลอง

นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้แสดงข้อกังวลว่าส่ิงเพิ่มพูนสภาพแวดล้อมอาจส่งผลกระทบต่อมาตรฐาน
ของการทดลองโดยเป็นการนำ�ความผันแปร มีการเพิ่มไม่เพียงแค่รายการพฤติกรรมสัตว์อย่างหลากหลาย
แต่อาจเพิ่มการแปรเปลี่ยนการตอบสนองที่สัตว์เหล่าน้ันมีต่อการทดสอบต่างๆเพื่อการทดลอง (เช่น
Bayne 2005; Eskola et al. 1999; Gärtner 1999; Tsai et al. 2003) การศกึ ษาอยา่ งเป็นระบบไม่ได้สนับสนุน
ความเชื่อเชน่ น้ี (Wolfer et al 2004) มกี ารระบุว่าสภาวะทอี่ ยูอ่ าศยั ตา่ งๆสามารถเพิม่ พนู ไดโ้ ดยไมส่ ่งผลเสีย
ใดๆต่อความแม่นยำ�หรือผลการทดลองซึ่งทำ�ซ้ำ�อีก อาจจำ�เป็นต้องทำ�วิจัยเพิ่มเติมอีกเพ่ือยืนยันข้อสรุป
เช่นนี้ อยา่ งไรก็ดีได้มีการแสดงวา่ สภาวะต่างๆ ทส่ี ง่ ผลใหม้ กี ารกระตนุ้ ความเครียดในระดบั สงู กวา่ ท�ำ ให้เพ่มิ
ความผันแปรของข้อมูลการทดลอง (เช่น Macrì et al 2007) เพราะว่าการเพิ่มพูนสภาพแวดล้อมอย่าง
พอเพยี งอาจลดความกระวนกระวายและการตอบสนองตอ่ ความเครียด (Chapillon et al. 1999) ตลอดจน
เกย่ี วข้องกบั การตอบสนองตอ่ การทดสอบไวข้ึนและลดการใช้สัตว์ (Baumans 1997)

ทพ่ี ัก หรือท่อี ยอู่ าศยั กลางแจง้

ที่พักหรือท่ีอยู่อาศัยกลางแจ้ง (ได้แก่ คอก กรง ทุ่งหญ้าสำ�หรับปศุสัตว์ เกาะ) เป็นวิธีการอยู่อาศัย
แบบอันดับแรกสำ�หรับสัตว์บางชนิด และเป็นท่ียอมรับในหลายสถานการณ์ สัตว์ต่างๆท่ีให้อยู่ภายนอกใน
ลู่ว่ิง คอกหรือสิ่งล้อมรอบขนาดใหญ่ต่างๆควรมีการปกป้องจากอุณหภูมิหรือสภาวะอากาศท่ีเลวร้ายอ่ืนๆ
ท่สี ูงเกินไป และต้องให้โอกาสการหลบหนตี ่างๆอยา่ งพอเพยี ง (ส�ำ หรับสัตวต์ วั ทอ่ี ่อนแอ) โดยปกตเิ ป้าหมาย
เหล่านี้สามารถทำ�ให้สำ�เร็จได้โดยการให้ท่ีกันลม เพิงท่ีพักซ่ึงเหมาะสมกับชนิดของสัตว์ บริเวณร่มเงา
บรเิ วณที่มกี ารระบายลมดว้ ยการบังคบั โครงสรา้ งที่มีเครื่องแผค่ วามรอ้ น และ/หรือโดยการให้หลบหนีไปยัง
พน้ื ทซ่ี งึ่ ปรบั สภาพไว้ ดงั เชน่ พน้ื ทใ่ี นรม่ ของลวู่ ง่ิ เพงิ ทพ่ี กั ควรมขี นาดใหญพ่ อเพยี งส�ำ หรบั สตั วท์ กุ ตวั ทเ่ี ลย้ี งไว้
ท้ังหมด สัตว์ทุกตัวเข้าถึงได้ทุกเวลา มีการระบายลมเพียงพอ และถูกออกแบบเพื่อป้องกันการหมักหมม
ของเสียต่างๆและความเปียกชื้นมากเกินไป ควรสร้าง โรงเรือน อุโมงค์ กล่อง หิ้ง แคร่ท่ีนั่ง และเครื่อง
ประกอบอ่ืนๆ ดว้ ยวิธีและวสั ดุซ่งึ เออ้ื ตอ่ การท�ำ ความสะอาด หรือการถอดเปลี่ยนโดยสอดคล้องกับวิธปี ฏบิ ตั ิ
ทางสตั วบาลซึง่ ยอมรบั ได้
พ้ืนหรือพ้ืนผิวต่างๆที่ระดับพื้นดินของสถานท่ีพักกลางแจ้งอาจปกคลุมด้วยดิน วัสดุรองนอนสำ�หรับ
ซึมซบั ทราย กรวด หญ้าหรอื วสั ดอุ ่ืนท่ีมคี ุณสมบตั คิ ล้ายคลงึ กันทีส่ ามารถเก็บออกและเปลี่ยนไดเ้ มื่อจำ�เป็น
เพอื่ ใหแ้ น่ใจว่ามีการสุขาภบิ าลอยา่ งเหมาะสม ควรหลกี เล่ียงการพอกพูนของเสียจากสัตวแ์ ละน�้ำ ขงั มากเกิน
ไป ตวั อย่างเช่น การใชพ้ ื้นผวิ ท่ปี รับระดบั หรือลาดเอยี งระบายน�ำ้ พื้นผิวอ่ืนๆ ควรทนทานตอ่ สง่ิ ต่างๆ และ
ดแู ลซ่อมบ�ำ รุงได้ง่าย
การจดั การทพี่ กั อาศยั กลางแจง้ อยา่ งสมั ฤทธผ์ิ ลพง่ึ พากลมุ่ ของสตั วเ์ ขา้ กนั ไดอ้ ยเู่ ปน็ สงั คมอยา่ งคงท่ี การ
ใหอ้ าหารและท่พี กั ทพี่ อเพียงและเหมาะสมกับชนิดของสัตว์ การมีระยะเวลาปรบั ตวั ใหค้ ุ้นเคยอยา่ งพอเพียง
ก่อนการเปล่ียนฤดูกาลเมื่อสัตว์ถูกนำ�ไปสู่ที่พักกลางแจ้งเป็นคร้ังแรก การฝึกสัตว์ให้ยอมร่วมมือกับบุคลากร

สภาพแวดลอ้ ม ทอ่ี ยู่ และ การจดั การสตั ว์ 55

ทางสัตวแพทย์หรือนักวิจัย และยอมเข้าซองหรือกรงเพ่ือการจับบังคับหรือการขนส่ง และมีความปลอดภัย
อย่างพอเพยี ง โดยการใชร้ ้ัวกนั้ โดยรอบหรอื โดยวิธอี นื่ ๆ

สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ

พ้ืนท่ีทุ่งหญ้าและเกาะต่างๆ อาจให้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำ�หรับการดำ�รงหรือการผลิตสัตว์
และสำ�หรบั วธิ ีวิจยั บางอยา่ ง การใชส้ ภาพแวดล้อมเหลา่ นจี้ ะสูญเสยี การควบคุมโภชนาการ การดแู ลสุขภาพ
การเฝ้าระวังโรค และจัดการประวัติสายพันธุ์บางอย่าง ควรจัดการให้ข้อจำ�กัดเหล่าน้ีสมดุลกับผลประโยชน์
ในการท่ีสตั ว์ไดอ้ ยูใ่ นสภาพใกล้เคยี งธรรมชาตมิ ากกว่า สตั วค์ วรถูกเพม่ิ เข้า ย้ายออก และน�ำ กลับสู่กลมุ่ สงั คม
ต่างตามสภาพดังนี้ด้วยการพิจารณาอย่างเหมาะสมถึงผลกระทบต่อสัตว์แต่ละตัวและต่อกลุ่ม ควรทำ�ให้
แนใ่ จวา่ มีเสบียงอาหาร น้ำ�สะอาด ทีพ่ กั ตามธรรมชาติหรอื เพงิ ท่พี กั อย่างเพียงพอ

พ้นื ที่

ข้อควรคำ�นึงสำ�หรับสัตว์ต่างๆโดยท่ัวไป ความจำ�เป็นของพื้นที่สำ�หรับสัตว์เป็นสิ่งซับซ้อนและการพิจารณา
เฉพาะน้ำ�หนักของสัตว์หรือพื้นท่ีผิวเท่าน้ันอาจไม่เพียงพอ ข้อควรคำ�นึงที่สำ�คัญสำ�หรับการกำ�หนด
ความจำ�เป็นของพื้นท่ีไดแ้ ก่ อายแุ ละเพศของสัตว์ จ�ำ นวนของสตั ว์ทใี่ หอ้ ยู่รวมกันและระยะเวลาการปรับตวั
การใช้สัตว์ตามที่ต้ังใจไว้ (เช่น การผลิต เปรียบเทียบกับ การทดลอง) และ ความจำ�เป็นพิเศษใดๆ ที่สัตว์
เหลา่ นน้ั อาจมี (เช่น ทวี่ ่างตามแนวต้ังส�ำ หรับสัตว์ชนิดที่หอ้ ยโหนตามต้นไม้ หรอื การปรบั ลดอณุ หภมู ิสำ�หรับ
สัตวเ์ ลอื ดเย็น) ในหลายๆกรณี ตวั อย่างเช่น สตั วว์ ัยร่นุ ตา่ งๆซ่ึงมักมนี �้ำ หนักน้อยกวา่ สตั วโ์ ตเตม็ วัยแตป่ ราด
เปรียวกวา่ อาจตอ้ งจดั ใหม้ ีพ้ืนท่มี ากกว่าเม่อื เทียบกบั น้ำ�หนกั ตัว (Ikemoto and Panksepp 1992) สตั วต์ ่างๆ
ทอี่ ยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ สงั คมสามารถแบง่ สว่ นพน้ื ทกี่ นั ดงั นนั้ ปรมิ าณพน้ื ทท่ี ตี่ อ้ งใหอ้ าจลดลงเมอื่ ขนาดกลมุ่ ใหญ่
ขนึ้ ดงั นนั้ กลมุ่ ขนาดใหญต่ า่ งๆอาจเลย้ี งใหอ้ ยทู่ คี่ วามหนาแนน่ ฝงู มากกวา่ สตั วท์ เี่ ลย้ี งเปน็ กลมุ่ เลก็ หรอื เลย้ี ง
อยตู่ วั เดยี ว สตั วท์ อี่ ยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ สงั คมควรมพี น้ื ทพี่ อเพยี งและความซบั ซอ้ นของโครงสรา้ งเพอ่ื เออ้ื ใหส้ ตั ว์
เหล่าน้ันหลบหนีความก้าวร้าว หรือหลบซ่อนตัวจากสัตว์ตัวอื่นที่เป็นคู่หรือกลุ่มของมัน สัตว์พ่อแม่พันธ์ุ
จะต้องการพ้ืนที่ว่างมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกสัตว์เกิดใหม่ๆจะเล้ียงอยู่ด้วยกันกับแม่ หรืออยู่เป็น
กลุ่มเพื่อแพร่ขยายพันธ์ุจนถงึ อายหุ ย่านม คุณภาพของพื้นทวี่ ่างยงั มผี ลต่อการใช้ประโยชน์ได้ สิ่งลอ้ มรอบท่ี
ซับซ้อนและมีส่ิงของเพิ่มพูนสภาพแวดล้อมอาจเพ่ิมการเคลื่อนไหวและส่งเสริมการแสดงพฤติกรรมเฉพาะ
ตามชนดิ สัตว์ ด้วยเหตนุ น้ั จงึ มีความจ�ำ เป็นให้มีพ้ืนทเ่ี พ่ิมขนึ้ ดงั น้ันจงึ ไม่มีสตู รในอดุ มคตใิ ดๆส�ำ หรับคำ�นวณ
พ้ืนที่จำ�เป็นสำ�หรับสัตว์ตัวหนึ่ง บนพื้นฐานแค่ขนาดตัวหรือน้ำ�หนักตัวแต่เพียงอย่างเดียว และผู้อ่านควรใช้
ดัชนีสมรรถภาพต่างๆ ที่ได้อภิปรายไว้ในบทนี้ นำ�ไปพิจารณาเม่ือมีการใช้ข้อแนะนำ�ต่างๆตามชนิดของ
สัตว์โดยเฉพาะที่ได้แสดงไวใ้ นหน้าต่อๆไป

56 ข้อแนะน�ำส�ำหรบั การดูแลและการใช้สัตวท์ ดลอง

การค�ำ นงึ ถงึ เฉพาะพน้ื ทพี่ นื้ แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี วนน้ั ไมเ่ พยี งพอในการก�ำ หนดขนาดกรง ในสตั วบ์ างชนดิ
ปริมาตรของกรงและการจัดการพืน้ ทีอ่ าจมคี วามสำ�คญั มากกวา่ เมอื่ คำ�นงึ เช่นน้ี ข้อแนะน�ำ อาจแตกตา่ งจาก
กฎหมายสวัสดิภาพสัตว์ (AWRs) หรือกฎเกณฑ์อ่ืนๆ ความสูงของส่ิงล้อมรอบสามารถเป็นสิ่งสำ�คัญเพ่ือ
เอื้อใหส้ ัตว์มีการแสดงพฤติกรรมเฉพาะและการปรับท่าทางของสตั วช์ นดิ นน้ั ๆ ความสูงของกรงควรถูกน�ำ ไป
ค�ำ นงึ ถงึ ทา่ ทางเฉพาะของชนดิ สตั วน์ นั้ ๆ และใหท้ วี่ า่ งรอบๆอยา่ งพอเพยี งหา่ งจากโครงสรา้ งกรง เชน่ อปุ กรณ์
ทใี่ หอ้ าหารและน้ำ� สตั วบ์ างชนดิ เชน่ ลิง แมว และสตั วท์ อี่ าศยั อยตู่ ามตน้ ไม้ ใชพ้ น้ื ทแี่ นวตง้ั ของกรงในสัดสว่ น
มากกว่าพ้ืน สำ�หรับสัตว์เหล่าน้ี ความสามารถยืนขึ้น หรือน่ังยองๆบนแผงท่ีน่ังด้วยพ้ืนที่ว่างแนวตั้งอย่าง
เพียงพอให้ร่างกายสัตว์รวมทั้งหางอยู่เหนือจากพ้ืนสามารถปรับปรุงความเป็นอยู่ท่ีดีของสัตว์ (Clarence
et al. 2006; MacLean et al. 2009)
การก�ำ หนดพนื้ ทีค่ วรได้รบั การประเมนิ ทบทวนและดดั แปลงตามความจำ�เป็นโดย IACUC โดยคำ�นงึ
ถงึ ดัชนที างสมรรถภาพตา่ งๆ (เชน่ สุขภาพ การสืบพนั ธ์ุ การเจรญิ เติบโต พฤตกิ รรม การเคล่อื นไหว และ
การใช้พ้ืนท่ี) และความจำ�เป็นพิเศษที่กำ�หนดโดยลักษณะเฉพาะของสัตว์ตามสายพันธ์ุ หรือชนิดของสัตว์
(เชน่ ความอว้ น ความกระฉบั กระเฉงเกนิ ควร หรอื สตั วต์ า่ งๆทอ่ี าศยั อยตู่ ามตน้ ไม)้ และการใชเ้ พอื่ การทดลอง
(เชน่ สตั วท์ ใี่ ชใ้ นการทดลองเปน็ ระยะเวลายาวนานอาจตอ้ งจดั ใหม้ พี น้ื ทม่ี ากและซบั ซอ้ นกวา่ ) อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ
สัตว์จะต้องมีพื้นที่เพียงพอเพื่อแสดงท่าทางตามธรรมชาติและการปรับท่าทางได้โดยไม่ต้องสัมผัสส่วน
ผนังหรือเพดานของสิ่งล้อมรอบใดๆ สามารถหมุนตัวได้และเข้าถึงอาหารและนำ้�ได้สะดวก นอกจากนี้จะ
ต้องมีที่ว่างพอเพียงเพื่อพักผ่อนหลีกเลี่ยงจากพื้นท่ีส่วนที่มีปัสสาวะและอุจจาระ พื้นที่ของพ้ืนซ่ึงถูกใช้วาง
ภาชนะใส่อาหาร ภาชนะใส่นำ้� กล่องสำ�หรับลูกสัตว์และส่ิงของเพิ่มพูนสภาพแวดล้อม (เช่น วัตถุใหม่ๆ
ของเล่น และ อปุ กรณ์ใหค้ ้ยุ หาอาหาร) ไม่ควรถอื ว่าเปน็ ส่วนใดของพน้ื ทพี่ ืน้
ขอ้ แนะน�ำ พน้ื ทซ่ี ง่ึ ใหไ้ ว้ ณ ทน่ี อ้ี ยบู่ นพน้ื ฐานการตดั สนิ ใจโดยผชู้ �ำ นาญและมปี ระสบการณ์ ควรพจิ ารณา
ว่าสิ่งเหล่าน้ีเป็นค่าตำ่�สุดสำ�หรับให้สัตว์อาศัยอยู่ภายใต้สภาพต่างๆท่ีมักพบทั่วๆไปในอาคารสัตว์ทดลอง
การปรบั ปรมิ าณและการเตรยี มพน้ื ทดี่ งั ทแี่ สดงในตารางควรถกู ทบทวนและอนมุ ตั โิ ดย IACUC และควรอยบู่ น
พื้นฐานดัชนีทางสมรรถภาพที่เก่ียวข้องกับความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์และคุณภาพของการวิจัยดังที่ได้บรรยาย
ไว้ในย่อหน้าก่อนหนา้ นี้ โดยพจิ ารณาร่วมกับ AWRs และ PHS Policy ตลอดจนกฎข้อบังคับและมาตรฐาน
อ่ืนๆท่เี กยี่ วขอ้ ง
ขอ้ แนะน�ำ นไ้ี มต่ ง้ั เปา้ หมายเพอื่ อภปิ รายครอบคลมุ ความตอ้ งการใหจ้ ดั ทอี่ ยอู่ าศยั ของสตั วท์ กุ ชนดิ ทใี่ ช้
ในงานวิจัย สำ�หรับสัตว์ชนิดท่ีไม่ถูกกล่าวถึง ควรค้นหาคำ�แนะนำ�จากการสืบค้นวารสารและจากผู้ชำ�นาญ
ท่ีตรงชนิดของสตั ว์

สัตว์ฟันแทะ ตาราง 3.2 แสดงข้อแนะนำ�พื้นที่ข้ันตำ่�สำ�หรับสัตว์ทดลองฟันแทะที่ใช้บ่อยซ่ึงอยู่เป็นกลุ่ม ถ้า
สัตวเ์ หล่าน้ีถกู ใหอ้ ยู่ตัวเดยี ว หรืออยู่เปน็ กลมุ่ ขนาดเล็ก หรอื มนี �้ำ หนกั เกินคา่ ในตาราง อาจตอ้ งจดั ใหม้ ีพ้ืนที่
ต่อตัวมากกวา่ ขณะท่ีสัตวก์ ลมุ่ ใหญอ่ าจจัดท่อี ยูใ่ หม้ ีความหนาแน่นมากกว่า

สภาพแวดลอ้ ม ท่อี ยู่ และ การจดั การสัตว์ 57

ตารางที่ 3.2 พ้ืนที่แนะนำ�ขั้นต�่ำ ส�ำ หรับสัตวฟ์ นั แทะทีใ่ ชบ้ อ่ ยซึ่งอยู่เปน็ กลมุ่ *

น้ำ�หนัก พืน้ ทข่ี องพนื้ ต่อสัตว์ 1 ตวั ก ความสงู ข
ชนดิ สัตว ์ (กรัม) ตารางนิ้ว (ตารางซ.ม.) ตารางนิว้ (ตารางซ.ม.) ค�ำ อธิบาย

หนูเมาส ์ <10 6 (38.7) 5 (12.7) สตั ว์ขนาดใหญอ่ าจต้องจัด
อยูเ่ ปน็ กลมุ่ ค ไมเ่ กนิ 15 8 (51.6) 5 (12.7) พ้ืนท่มี ากกวา่ เพือ่ ใหส้ อดคล้อง
ไมเ่ กิน 25 12 (77.4) 5 (12.7) ตามมาตรฐานสมรรถภาพ
> 25 ≥15 (≥96.7) 5 (12.7) การผสมพนั ธใุ์ นรูปแบบอน่ื
ตอ้ งจดั พืน้ ทมี่ ากกวา่ และจะขน้ึ
แมพ่ นั ธุ์และ 51 (330) 5 (12.7) กบั การพิจารณาตา่ งๆ เชน่
ลกู ทั้งครอก (พ้ืนที่ซึ่งแนะนำ� จำ�นวนสตั วโ์ ตเต็มวยั และ
ส�ำ หรับให้สัตวอ์ ยูเ่ ปน็ กลมุ่ ) ลกู ในครอก และ ขนาดอายุ
ของลกู ครอกเหล่านัน้ ง
สัตว์ขนาดใหญ่กวา่ อาจต้องจัด
พ้ืนทีม่ ากกวา่ เพ่ือสอดคล้อง
ตามมาตรฐานสมรรถภาพ
หนูแรท < 100 17 (109.6) 7 (17.8)
อยูเ่ ปน็ กลมุ่ ค ไมเ่ กิน 200 23 (148.35) 7 (17.8) การผสมพนั ธ์ใุ นรูปแบบอ่นื
ไม่เกนิ 300 29 (187.05) 7 (17.8) อาจต้องจัดพนื้ ที่มากกวา่ และ
ไม่เกิน 400 40 (258.0) 7 (17.8) จะขนึ้ กบั การพจิ ารณาตา่ งๆ เชน่
ไมเ่ กิน 500 60 (387.0) 7 (17.8) จ�ำ นวนสตั วโ์ ตเต็มวยั และลกู
> 500 ง 70 (>451.5) 7 (17.8) ในครอก และ ขนาดและอายุ
ของลูกครอกเหลา่ น้นั
แมพ่ นั ธ์แุ ละ 124 (800) 7 (17.8) สัตวข์ นาดใหญก่ วา่ อาจตอ้ งจดั
ลกู ทง้ั ครอก (พนื้ ทซ่ี ึง่ แนะน�ำ ส�ำ หรับให้ พน้ื ท่มี ากกวา่ เพื่อสอดคล้อง
สัตว์อยู่เป็นกลุม่ ) ตามมาตรฐานสมรรถภาพ
สตั ว์ขนาดใหญ่กวา่ อาจตอ้ งจัด
พน้ื ทมี่ ากกว่าเพอ่ื สอดคลอ้ ง
ตามมาตรฐานสมรรถภาพ

หนแู ฮมสเตอร์ค <60 10 (64.5) 6 (15.2)
ไม่เกิน 80 13 (83.8) 6 (15.2)
ไม่เกนิ 100 16 (103.2) 6 (15.2)
>100 >19 (>122.5) 6 (15.2)

หนตู ะเภา ไม่เกนิ 350 60 (387.0) 7 (17.8)
  > 350 >101 (>651.5) 7 (17.8)


* การตคี วามตามตารางนค้ี วรคำ�นงึ ถงึ ดัชนที างสมรรถภาพตา่ งๆตามทไ่ี ด้อธบิ ายสาระไวใ้ นหนา้ 54
กสัตว์ท่ีให้อยู่ตัวเดียวและอยู่เป็นกลุ่มเล็กอาจต้องจัดพ้ืนที่ของพ้ืนตามการปฏิบัติให้มากกว่าที่กำ�หนดสำ�หรับสัตว์แต่ละตัว
หลายเทา่
ขจากพื้นกรงไปถงึ ดา้ นบนของกรง
คควรพจิ ารณาลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะการเจรญิ เตบิ โตของเชอ้ื สายหรอื สายพนั ธตุ์ ลอดจนเพศของสตั ว์ น�ำ้ หนกั ทเี่ พมิ่ ขนึ้ อาจรวดเรว็
มากพอสมควรให้สัตว์มีพื้นที่มากข้ึนตามขนาดของสัตว์ที่คาดการณ์ในอนาคต นอกจากน้ีลูกสัตว์ฟันแทะซนมากและแสดง
พฤตกิ รรมการเลน่ เพมิ่ มากขน้ึ
งการพิจารณาอ่ืนๆ อาจรวมถึง การเลือกเก็บลูกในครอกบางตัวหรือ แยกแม่และลูกสัตว์ทั้งครอกออกจากกลุ่มผสมพันธุ์
ควรจัดสรรพ้นื ทีอ่ ยา่ งเพยี งพอส�ำ หรับแม่และลูกสัตว์ท้ังครอกเพ่ือให้ลูกอ่อนพัฒนาเตบิ โตถึงอายหุ ย่านมโดยปราศจากผลเสยี
ต่อแมห่ รอื ลกู ท้ังครอก

58 ขอ้ แนะน�ำสำ� หรบั การดูแลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง

การทดลองเมื่อเร็วๆนี้ประเมินผลความจำ�เป็นของพ้ืนที่และผลของการอยู่เป็นกลุ่มสังคม ขนาดของ
กลุ่ม และความหนาแน่น (Andrade and Guimaraes 2003; Bartolomucci et al. 2002, 2003; Georgsson
et al 2001; Gonder and Laber 2007; Perez et al. 1997; A.L. Smith et al. 2004) อายุ (Arakawa 2005;
Davidson et al. 2007; Yildiz at al. 2007) และสภาวะท่ีอยอู่ าศัย (Gordon et al. 1998; Van Loo et al. 2004)
สำ�หรับสัตว์ฟันแทะหลายชนิดและสายพันธ์ุ และได้รายงานผลกระทบต่างๆที่มีต่อพฤติกรรม (เช่น ความ
กา้ วรา้ ว) และผลของการทดลอง (Karolewicz and Paul 2001; Laber et al. 2008; McGlone et al. 2001;
Rock et al. 1997; Smith et al. 2005; Van Loo et al. 2001) อยา่ งไรก็ดี การเปรียบเทยี บการศกึ ษาเหลา่ นี้
เป็นการยุ่งยากเนื่องจากการออกแบบการศึกษาและตัวแปรต่างๆของการทดลองซ่ึงได้ถูกประเมิน ตัวอย่าง
เช่น ตัวแปรต่างๆท่ีอาจกระทบการตอบสนองของสัตว์ต่อขนาดกรงและความหนาแน่นของที่อยู่ซ่ึงแตกต่าง
กนั ทม่ี อี ยแู่ ตไ่ มจ่ �ำ กดั เฉพาะชนดิ ของสตั ว์ สายพนั ธ์ุ (และพฤตกิ รรมทางสงั คมของสายพนั ธ)ุ์ ลกั ษณะภายนอก
อายุ เพศ คุณภาพของพ้นื ที่ (เชน่ การใช้พืน้ ทีแ่ นวต้ัง) และโครงสรา้ งตา่ งๆทวี่ างไว้ในกรง ประเด็นเหลา่ นย้ี ัง
คงซบั ซอ้ นและควรพิจารณาอยา่ งรอบคอบเมื่อใหท้ ่ีอยสู่ ตั ว์ฟันแทะ

สตั วท์ ดลองทว่ั ไปชนดิ อนื่ ๆทีใ่ ชบ้ อ่ ย ตาราง 3.3 และ 3.4 แสดงข้อแนะน�ำ การจดั สรรพน้ื ทีข่ ้นั ตำ�่ ส�ำ หรับสัตว์
ทดลองทว่ั ไปชนิดอ่นื ๆท่ใี ชบ้ อ่ ยและสตั ว์ปีก โดยท่ัวไปการจดั สรรพน้ื ทเ่ี หล่านอ้ี ย่บู นพื้นฐานความจำ�เปน็ ของ
สัตวต์ า่ งๆทอี่ ยูเ่ ป็นกล่มุ การจดั สรรพ้ืนท่ีควรถกู ประเมนิ อีกครัง้ เพอื่ ใหก้ ารเพม่ิ พูนหรอื จดั ให้สัตว์อยู่สบายซ่ึง
มากกว่าน้ำ�หนักในตาราง และควรอยู่บนพ้ืนฐานชนิดสัตว์ จำ�นวนของสัตว์และเป้าหมายของสถานะการให้
อยูอ่ าศัย (Held et al. 1995; Lupo et al. 2000; Raje 1997; Turner et al. 1997) สัตว์ขังอยู่ตวั เดยี วอาจตอ้ ง
จดั ใหม้ พี นื้ ทตี่ อ่ ตวั มากกวา่ ทแี่ นะน�ำ ใหส้ �ำ หรบั สตั วท์ ใี่ หอ้ ยรู่ วมกลมุ่ ขณะทกี่ ลมุ่ ขนาดใหญก่ วา่ อาจใหอ้ าศยั ใน
ความหนาแนน่ มากกวา่ ส�ำ หรบั สนุ ขั และแมว และกระตา่ ยบางชนดิ การใหอ้ ยอู่ าศยั ในสง่ิ ลอ้ มรอบซง่ึ ใหอ้ สิ ระ
ในการเคลอ่ื นไหวและจ�ำ กดั พนื้ ทแี่ นวตงั้ นอ้ ยกวา่ เปน็ ตวั เลอื กทชี่ อบมากกวา่ (เชน่ คอก ลวู่ งิ่ หรอื ซองแทนกรง)
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมอื่ ใหส้ นุ ขั และแมวอยตู่ วั เดยี วหรอื อยใู่ นสงิ่ ลอ้ มรอบขนาดเลก็ กวา่ (Bayne 2002) ควรเปดิ
โอกาสให้ออกกำ�ลังกายและให้มีปฏิสัมพันธ์ด้านบวกกับมนุษย์ ควรกำ�หนดแผนเฉพาะสำ�หรับชนิดของสัตว์
เพื่อทีอ่ ยูแ่ ละการจัดการ แผนเหลา่ น้ันควรรวมถึงกลยทุ ธ์สำ�หรับการเพ่มิ พนู สภาพแวดลอ้ ม

สัตว์จำ�พวกลิง ตาราง 3.5 แสดงข้อแนะนำ�พ้ืนที่ขั้นตำ่�สำ�หรับสัตว์จำ�พวกลิงบนพ้ืนฐานความจำ�เป็นในการ
เล้ียงสัตว์เป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม เช่นเดียวกันกับสัตว์สังคมต่างๆ ตามปกติสัตว์จำ�พวกลิงควรให้ท่ีอยู่เป็นสังคม
(Hotch kiss and paule 2003; NRC 1998a; Weed nad Watson 1998; Wolfensohn 2004)

สภาพแวดลอ้ ม ทอ่ี ยู่ และ การจดั การสัตว์ 59

ตารางที่ 3.3 พืน้ ที่แนะนำ�ขัน้ ต�่ำ สำ�หรบั กระต่าย แมว และ สนุ ขั ซ่งึ อยูเ่ ป็นคู่หรอื อยเู่ ปน็ กล่มุ *

น้ำ�หนักก พ้นื ท่พี น้ื ตอ่ สัตว์ 1 ตวั ข ความสูงค ค�ำ อธิบาย
ชนดิ สัตว์ (กโิ ลกรมั ) ตารางฟตุ (ตารางเมตร) นว้ิ (ซ.ม.)

กระต่าย <2 1.5 (0.14) 16 (40.5) กระตา่ ยขนาดใหญก่ วา่ อาจตอ้ ง
ไม่เกิน 4 3.0 (0.28) 16 (40.5) จัดให้มคี วามสูงกรงเพ่มิ ข้ึน
ไมเ่ กิน 5.4 4.0 (0.37) 16 (40.5) เพื่อให้สัตว์นั่งตัวตรงได้
>5.4ค >5.0 (>0.46) 16 (40.5)

แมว <4 3.0 (0.28) 24 (60.8) ชอบที่ว่างตามแนวต้ังและมี
>4ง >4.0 (>0.37) 24 (60.8) แผงทีน่ ง่ั มากกว่าและอาจตอ้ ง
จัดให้มีความสูงของกรงเพิ่มข้นึ
ควรมีความสูงของกรงพอเพียง
สนุ ขั ฉ <15 8.0 (0.74) −จ สำ�หรับให้สัตว์ยืนตัวตรง
ไม่เกนิ 30 12.0 (1.2) −จ โดยวางตนี บนพน้ื
>30ง >24.0 (>2.4) −จ

*การตคี วามตามตารางน้ีควรค�ำ นงึ ถึงดัชนที างสมรรถภาพตา่ งๆตามที่ไดอ้ ธิบายสาระไว้ในหน้า 55
กเพ่ือเปลยี่ นกิโลกรมั เป็นปอนด์ คณู ดว้ ย 2.2
ขสัตวท์ ใ่ี หอ้ ยตู่ วั เดียวและอยู่เป็นกลมุ่ เล็กอาจตอ้ งจดั พื้นทขี่ องพื้นใหม้ ากกวา่ ทแ่ี นะน�ำ สำ�หรบั สตั วซ์ ง่ึ อยู่เปน็ ค่หู รืออยเู่ ปน็ กลุ่ม
คจากพื้นกรงไปถึงด้านบนของกรง
งสตั ว์ขนาดใหญก่ วา่ อาจต้องการพน้ื ทมี่ ากกว่า เพอื่ บรรลมุ าตรฐานทางสมรรถภาพ (ดบู ทบรรยาย)
จขอ้ แนะน�ำ เหลา่ นอ้ี าจตอ้ งการ การดดั แปลงแกไ้ ขขน้ึ อยกู่ บั โครงสรา้ งรา่ งกาย และพนั ธข์ุ องสตั วแ์ ตล่ ะตวั สนุ ขั บางตวั โดยเฉพาะ
ตวั ทมี่ นี �้ำ หนกั ใกลน้ �ำ้ หนกั สงู สดุ ของแตล่ ะชว่ ง อาจตอ้ งการจดั มพี น้ื ทเี่ พม่ิ เตมิ เพอ่ื ใหแ้ นใ่ จวา่ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ บงั คบั ของกฎหมาย
สวสั ดภิ าพสตั ว์ ขอ้ บงั คบั เหลา่ น้ี (USDA 1985) ก�ำ หนดใหม้ คี วามสงู ของกรงพอเพยี งเพอ่ื ใหส้ ตั วท์ อี่ ยยู่ นื ขนึ้ ดว้ ย “ทา่ ทางสบาย”
ได้ และใหม้ พี นื้ ทขี่ องพน้ื ขนั้ ต�่ำ เทา่ กบั “คา่ ทางคณติ ศาสตรย์ กก�ำ ลงั สองของผลรวมของความยาวของสนุ ขั เปน็ นว้ิ (วดั จากปลาย
จมูกถึงโคนหางของมัน) รวมกบั 6 นว้ิ แลว้ นำ�ค่าทคี่ ำ�นวณไดม้ าหารดว้ ย 144”
ฉชอบสิ่งลอ้ มรอบซ่งึ ยอมให้มีอสิ ระในการเคลอื่ นไหวมากกวา่ และไมจ่ �ำ กัดความสูง (เช่น ซอง ลวู่ ่งิ หรอื คอก) มากกว่า

ส่วนประกอบของกลมุ่ เป็นสงิ่ ทจ่ี ำ�เป็นและมปี ัจจยั โดยเฉพาะต่อชนิดของสตั ว์ ได้แก่ อายุ รายการพฤตกิ รรม
เพศ การจดั ต้งั สงั คมตามธรรมชาติ ความตอ้ งการต่างๆส�ำ หรบั การสืบพนั ธ์ุและภาวะทางสุขภาพ เม่อื จดั ต้งั
กลุ่มควรคำ�นึงถึงสิ่งเหล่านี้ นอกจากน้ี เน่ืองจากความแตกต่างทางโครงสร้างร่างกายของสัตว์ภายในกลุ่ม
อาจตอ้ งจดั ใหม้ เี นอื้ ทห่ี รอื ความสงู มากกวา่ เพอ่ื สอดคลอ้ งกบั ความจ�ำ เปน็ ทางกายภาพและพฤตกิ รรมของสตั ว์
ดงั นัน้ การกำ�หนดขนาดกรงอยา่ งเหมาะสมไม่ไดท้ �ำ ตามนำ�้ หนักเท่านัน้ และการตดั สินใจโดยผู้เช่ยี วชาญเป็น
ส่งิ สำ�คญั ยง่ิ ในการตัดสินใจตา่ งๆนัน้ (Kaufman et al. 2004; Williams et al. 2000)

60 ขอ้ แนะนำ� ส�ำหรบั การดแู ลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง

ตารางท่ี 3.4 พน้ื ทแ่ี นะนำ�ข้นั ตำ�่ สำ�หรบั นกซ่ึงอยู่เปน็ คหู่ รอื อย่เู ป็นกลุ่ม*

น�ำ้ หนัก ก พื้นที่พื้นต่อสัตว์ 1 ตัวข ความสูง
สตั ว์ (กโิ ลกรัม) ตารางฟตุ (ตารางเมตร)

นกพริ าบ _ 0.8 (0.07) ควรมคี วามสงู ของกรงพอเพียง
นกกระทา _ 0.25 (0.023) สำ�หรับใหส้ ตั วย์ นื ตวั ตรง
ไก่ < 0.25 0.50 (0.046) โดยวางตีนบนพน้ื
ไมเ่ กนิ 0.5 0.25 (0.023)
ไมเ่ กิน 1.5 1.00 (0.093)
ไมเ่ กิน 3.0 2.00 (0.186)
>3.0ค >3.00 (>0.279)

*การตคี วามตามตารางนีค้ วรคำ�นึงถึงดัชนที างสมรรถภาพตา่ งๆตามทไี่ ด้อธบิ ายสาระไวใ้ นหนา้ 55
กเพ่ือเปลย่ี นกโิ ลกรัมเป็นปอนด์ คณู ด้วย 2.2
ขนกท่ีใหอ้ ยูต่ ัวเดียวอาจต้องจดั พื้นทข่ี องพืน้ ให้มากกว่าทแ่ี นะน�ำ สำ�หรับนกซึง่ อย่เู ป็นค่หู รอื อยู่เป็นกลุม่
คสัตว์ขนาดใหญ่กว่า อาจต้องการพืน้ ทมี่ ากกว่า เพ่ือบรรลมุ าตรฐานทางสมรรถภาพ (ดบู ทบรรยาย)

ถ้าจำ�เป็นต้องให้สัตว์อาศัยอยู่ตัวเดียว ตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุผลสมควรเพื่อวัตถุประสงค์การทดลอง
เพอื่ การใหก้ ารดูแลทางการสัตวแพทย์ หรือเพ่ือสตั วท์ ี่เข้ากบั ตวั อน่ื ไมไ่ ด้ ภาวะที่ถกู จัดเชน่ นคี้ วรมีระยะเวลา
สั้นที่สุดเท่าที่ทำ�ได้ ถ้าสัตว์ตัวหน่ึงอาศัยอยู่ในส่ิงล้อมรอบขนาดเล็ก ควรคำ�นึงถึงโอกาสเพื่อปล่อยสัตว์
เป็นคร้ังคราวไปยังสิ่งล้อมรอบขนาดใหญ่กว่าท่ีมีสิ่งเพ่ิมพูนสภาพแวดล้อมเพ่ิมเติมมากข้ึน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสำ�หรับสัตว์ที่ถูกขังเด่ียวเป็นระยะเวลายาวนาน สัตว์ท่ีให้อยู่ตัวเดียวอาจต้องจัดให้มีพื้นที่มากกว่าที่
แนะนำ�สำ�หรับสัตว์ซ่ึงอยู่เป็นคู่หรืออยู่เป็นกลุ่ม ขณะที่กลุ่มขนาดใหญ่กว่าอาจให้อยู่ในท่ีมีความหนาแน่น
มากกว่าเล็กน้อย เพราะว่าลักษณะเฉพาะทางกายภาพและพฤติกรรมหลายอย่างของสัตว์จำ�พวกลิง และ
มีปัจจัยให้พิจารณาหลายอย่างเมื่อมีการใช้สัตว์เหล่าน้ีในการวิจัยทางชีวการแพทย์ จึงควรกำ�หนดแผนโดย
เฉพาะกบั ชนดิ ของสตั วส์ �ำ หรบั ทอี่ ยแู่ ละการจดั การ แผนดงั กลา่ วควรรวมถงึ กลยทุ ธเ์ พอื่ การเพม่ิ พนู ทางสภาพ
แวดล้อมและจติ ใจ

ปศสุ ตั ว์ ตาราง 3.6 แสดงการจัดสรรพ้ืนทขี่ น้ั ต�่ำ ทแ่ี นะน�ำ ส�ำ หรบั ปศุสตั ว์ทีม่ กั ใชท้ ว่ั ไปในสภาพห้องปฏิบัตกิ าร
เมอ่ื ส�ำ หรบั สตั วส์ งั คมควรใหอ้ ยเู่ ปน็ คหู่ รอื กลมุ่ ขนาดใหญซ่ งึ่ เขา้ กนั ได้ ตอ้ งจดั ใหม้ เี นอ้ื ทม่ี ากกวา่ เมอื่ มนี �ำ้ หนกั
ตวั มากเกนิ น้�ำ หนักในตารางส�ำ หรบั สัตว์ขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะอย่างย่งิ สุกร) โครงสรา้ งโดยรอบพืน้ ที่ซง่ึ ยอม
ใหส้ ตั ว์หมนุ ตัวและเคลือ่ นไหวได้อยา่ งอสิ ระเป็นส่งิ สำ�คัญ (Becker et al. 1989; Bracke at al. 2002) ควรให้
มจี ำ�นวนรางอาหารและอุปกรณ์ใหน้ �ำ้ อยา่ งพอเพียงเพื่อให้สัตวท์ กุ ตัวเขา้ ถงึ ได้ สตั ว์ถกู ขงั เด่ียวอาจตอ้ งจดั ให้
มีพื้นทม่ี ากกวา่ ที่แนะน�ำ ในตาราง

สภาพแวดล้อม ทอี่ ยู่ และ การจัดการสัตว์ 61

ตารางที่ 3.5 พ้ืนท่ีแนะนำ�ขั้นต�่ำ สำ�หรบั ลงิ ซงึ่ อย่เู ป็นคหู่ รืออยเู่ ปน็ กล่มุ *

น�ำ้ หนกั ก พ้ืนท่ีพ้ืนต่อสตั ว์ 1 ตัวข ความสูงค ค�ำ อธิบาย
ชนดิ สัตว์ (กิโลกรมั ) ตารางฟตุ (ตารางเมตร)

ลิงง (รวมทัง้ ลิงบาบนู ) ไมเ่ กนิ 1.5 2.1 (0.20) 30 ((((((((17779811566111612.6.6...34222...4)8)))8) ))) เคโลใตอกอพดหรงิวรื่นน่ื ยียม้ บงงรๆๆทสวมงคีาทสา�ำั้งบคีวงหหำ�่ีมคาวนู ตหรมมีขวานีบัรมคราดสบับคยล่าสงูแ�ำในมงาิงงูลหหนโวกาพะลส้กา้ึงกรแน้ืกถัตสงวกผใออ่าึงวีวหงแปอยยย์า่ทมลา่าร่าืนลนี่ แ่ะงมิจงิงตั่งสลพตชาวัลใบะตน้ออนตงิ ลารงิดชแรงิยจงนนดั ิดว
กลมุ่ 1 ไม่เกนิ 3 3.0 (0.28) 30 ชนดิ ทีอ่ าศยั อย่บู นตน้ ไม้
กลมุ่ 2 ไมเ่ กิน 10 4.3 (0.4) 30
กลมุ่ 3 ไมเ่ กนิ 15 6.0 (0.56) 32
กลุ่ม 4 ไม่เกิน 20 8.0 (0.74) 36
กลุ่ม 5 ไมเ่ กนิ 25 10 (0.93) 46
กล่มุ 6 ไมเ่ กิน 30 15 (1.40) 46
กลุ่ม 7 >30จ >2.5 (>2.32) 60
กลุ่ม 8

สำ�หรบั ลงิ ชนิดทเี่ คลื่อนที่โดย
การเหวยี่ งแขนจับกิง่ ไมส้ ลับ
แขนกัน กรงควรสูงมากพอท่ี
สตั ว์สามารถยืดตัวได้สุด โหน
ตวั จากเพดานกรงได้โดยทต่ี ีน
ของมนั ไม่สัมผัสพ้นื การ
ออกแบบกรงควรเอือ้ ต่อการ
เคลอ่ื นไหวดว้ ยแขน

ลงิ ชมิ แปนซี ความสงู ของกรงส�ำ หรับ
(Pan) ลงิ ไม่มหี างและลงิ ท่เี คลอ่ื นที่
สตั วอ์ ายนุ ้อย ไมเ่ กิน 10 15 (1.4) 60 (152.4) โดยการเหวี่ยงแขนจับกิง่ ไม้
สัตวโ์ ตเตม็ วยั ฉ > 10 >25 (>2.32) 84 (213.4) อ่ืนๆ ควรมมี ากพอที่สตั ว ์
สามารถยดื ตัวไดส้ ดุ โหนตัว
จากเพดานกรงไดโ้ ดยที่ตนี
ของมนั ไมส่ มั ผสั พื้นการ
ออกแบบกรงควรเอื้อ
ต่อการเคลอ่ื นไหวดว้ ยแขน

*การตคี วามตามตารางนีค้ วรคำ�นึงถงึ ดัชนที างสมรรถภาพต่างๆตามที่ได้อธบิ ายสาระไว้ในหนา้ 55
กเพื่อเปล่ยี นกโิ ลกรมั เป็นปอนด์ คูณดว้ ย 2.2
ขลิงทใ่ี หอ้ ยูต่ วั เดยี วอาจตอ้ งจัดพนื้ ทปี่ รมิ าณมากกว่าปริมาณทจี่ ดั สรรให้สัตว์แต่ละตัวซึง่ อยู่เปน็ กลุม่
คจากพ้นื กรงไปถึงดา้ นบนของกรง
งพวก Callitrichidae, Cebidae, Cercopithecidae และ Papio
จสตั ว์ขนาดใหญก่ ว่าอาจตอ้ งการพื้นทม่ี ากกว่า เพือ่ บรรลุมาตรฐานทางสมรรถภาพ (ดบู ทบรรยาย)
ฉลงิ ขนาดใหญไ่ ม่มหี างทม่ี ีน�้ำ หนกั มากกวา่ 50 กิโลกรมั การให้อาศัยอยู่ในทอี่ ยู่ถาวรชนดิ ก่ออฐิ ถอื ปูน
คอนกรตี และแผงโครงลวด มไี ด้ผลดมี ากกว่ากรงขงั ท่ีใช้กันทวั่ ไป

62 ข้อแนะน�ำส�ำหรบั การดูแลและการใช้สตั ว์ทดลอง

ตาราง 3.6 พ้นื ทีแ่ นะนำ�ข้ันตำ่�ส�ำ หรับปศุสตั ว์*

ชนิดสตั ว์/คอก น�้ำ หนกั พ้ืนท่พี นื้ ต่อสัตว์ 1 ตวั ข
(กโิ ลกรัม) ก ตารางฟุต (ตารางเมตร)

แกะ และ แพะ < 25 10 (0.9)
1 ตัว ไมเ่ กิน 50 15 (1.35)
> 50 ค >20 (>1.8)
8.5 (0.76)
2-5 ตวั < 25 12.5 (1.12)
ไมเ่ กนิ 50 >17 (>1.53)
> 50 ค 7.5 (0.67)
> 5 ตัว 11.3 (1.02)
< 25 >15 (>1.35)
ไม่เกนิ 50
> 50 ค

สุกร < 15 8 (0.72)  
1 ตวั ไม่เกิน 25 12 (1.08)
ไม่เกนิ 50 15 (1.35)
ไมเ่ กิน 100 24 (2.16)
ไม่เกนิ 200 48 (4.32)
> 200 ค > 60.0 (>5.4)
6 (0.54)
2−5 ตัว < 25 10 (0.9)
ไมเ่ กนิ 50 20 (1.8)
ไม่เกนิ 100 40 (3.6)
ไมเ่ กิน 200 > 52.0 (>4.68)
> 200 ค 6 (0.54)
> 5 ตัว 9 (0.81)
< 25 18 (1.62)
ไมเ่ กิน 50 36 (3.24)
ไม่เกิน 100 > 48.0 (>4.32)
ไม่เกนิ 200
> 200 ค

โค < 75 24 (2.16)
1 ตวั ไมเ่ กนิ 200 48 (4.32)
ไมเ่ กนิ 350 72 (6.48)
ไม่เกิน 500 96 (8.64)
ไมเ่ กนิ 650 124 (11.16)
> 650 ค > 144.0 (>12.96)
20 (1.8)
2−5 ตัว < 75 40 (3.6)
ไมเ่ กิน 200 60 (5.4)
ไมเ่ กิน 350 80 (7.2)
ไม่เกิน 500 105 (9.45)
ไมเ่ กิน 650 > 120.0 (>10.8)
> 650 ค

สภาพแวดล้อม ท่อี ยู่ และ การจดั การสัตว์ 63

ชนิดสัตว์/คอก น�ำ้ หนกั พ้นื ทพ่ี น้ื ต่อสตั ว์ 1 ตวั ข
(กิโลกรมั ) ก ตารางฟตุ (ตารางเมตร)

> 5 < 75 18 (1.62)
ไม่เกนิ 200 36 (3.24)
ไมเ่ กนิ 350 54 (4.86)
ไม่เกนิ 500 72 (6.48)
ไม่เกิน 650 93 (8.37)
> 650 ค > 108.0 (>9.72)

ม้า − 144 (12.96)

ลกู มา้ − 72 (6.48)
1−4 ตวั < 200 60 (5.4)
> 4 ตวั ตอ่ คอก > 200 ค > 72.0 (>6.48)
 


*การตคี วามตามตารางนคี้ วรคำ�นึงถงึ ดัชนีทางสมรรถภาพตา่ งๆตามที่ได้อธบิ ายสาระไวใ้ นหน้า 55
กเพอ่ื เปล่ียนกโิ ลกรมั เป็นปอนด์ คูณดว้ ย 2.2
ขโครงสรา้ งโดยรอบพน้ื ควรใหส้ ตั วส์ ามารถหมนุ ตวั และเคลอื่ นไหวไดอ้ ยา่ งอสิ ระโดยตวั สตั วไ์ มแ่ ตะถกู รางอาหารและน�้ำ สามารถ
เข้าถึงอาหารและน้ำ� และมีพื้นท่ีว่างมากพอเพียงเพ่ือสัตว์ได้พักผ่อนห่างไกลจากบริเวณสกปรกท่ีมีปัสสาวะและอุจจาระ
(ดบู ทบรรยาย)
คสัตว์ขนาดใหญ่กว่าต้องการพื้นท่ีมากกว่าเพ่ือบรรลุมาตรฐานทางสมรรถภาพ รวมท้ังสามารถหมุนตัวและเคล่ือนไหวได้
อยา่ งอิสระ(ดบู ทบรรยาย)

แนะน�ำ ในตารางเพอื่ ท�ำ ใหส้ ามารถกลบั ตวั ไดส้ ะดวกและเคลอ่ื นไหวไดไ้ ดอ้ สิ ระโดยตวั สตั วไ์ มแ่ ตะถกู รางอาหาร
และนำ้� และมีพน้ื ท่วี ่างมากพอเพียงเพื่อสัตวไ์ ด้พกั ผ่อนหา่ งไกลจากบริเวณสกปรกที่มีปสั สาวะและอจุ จาระ

การจัดการสัตว์บก

การจดั การดา้ นพฤตกิ รรมและการใหอ้ ยรู่ ่วมกนั เป็นสังคม

กจิ กรรม กจิ กรรมตน้ แบบของสตั วห์ มายถงึ กจิ กรรมเกยี่ วกบั การเคลอ่ื นไหวของกลา้ มเนอื้ แตย่ งั มกี จิ กรรมการ
รับรู้และการแสดงออกทางสังคม ควรคำ�นึงถึงพฤติกรรมของสัตว์ตามธรรมชาติและรูปแบบของกิจกรรมเม่ือ
ประเมินทอ่ี ยูอ่ าศยั ที่เหมาะสมหรอื การประเมนิ พฤติกรรม
สัตว์ต่างๆที่อยู่ในสภาพแวดล้อมห้องปฏิบัติการมักถูกจำ�กัดกิจกรรมเม่ือเปรียบเทียบกับสัตว์ท่ีเลี้ยง
ปล่อยอิสระ ควรหลีกเล่ียงการบังคับสัตว์ให้เคลื่อนไหวนอกเหนือจากความพยายามเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์
ด้านการบำ�บดั รกั ษาหรอื โปรโตคอลที่ได้รับการอนมุ ตั ิแล้ว การเคลอ่ื นไหวรา่ งกายทีท่ ำ�อย่างเดมิ ซ�้ำ ๆ หลาย
คร้ัง พฤติกรรมที่ไม่เปล่ียน (การทำ�ท่าเดิมตลอด พฤติกรรมภาวะถูกบังคับต่างๆ) อาจสะท้อนให้เห็นภาวะ
ความแตกแยกของกลไกการควบคมุ พฤตกิ รรมตามปกตทิ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั ภาวะทอี่ ยอู่ าศยั หรอื การปฏบิ ตั ดิ า้ นการ
จัดการ (Garner 2005; NRC 1998a)

64 ขอ้ แนะน�ำส�ำหรบั การดูแลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง

สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นๆหลายชนิดได้รับประโยชน์จากการมีปฏิสัมพันธ์ในทางบวกกับมนุษย์
(Augustsson et al. 2002; Bayne et al 1993; McCune 1997; Poole 1998; Rennie and Buchanan-Smith
2006; Rollin 1990) สามารถใหส้ ุนขั มีโอกาสเคลื่อนไหวโดยการจงู เดินดว้ ยสายจูง ให้มลี ่วู ่ิง หรือเคลอ่ื นยา้ ย
ไปอย่บู ริเวณอน่ื เพือ่ การมสี งั คม ได้เลน่ หรอื ได้สำ�รวจ (Wolff and Rupert 1991) บริเวณส�ำ หรับเดนิ เล่น แปลง
ส�ำ หรับออกกำ�ลงั กาย และสนามหญ้าเปน็ สง่ิ ทเี่ หมาะสมสำ�หรับปศสุ ัตวข์ นาดใหญ่ เช่น แกะ มา้ และโค

สภาพแวดลอ้ มทางสงั คม การมปี ฏกิ ริ ยิ าทางสงั คมอยา่ งเหมาะสมระหวา่ งสมาชกิ ตา่ งๆของสตั วช์ นดิ เดยี วกนั
(conspecifics) เป็นสงิ่ จำ�เป็นอย่างยงิ่ ต่อการพัฒนาตามปกติและความเปน็ อย่ทู ี่ดี(Bayne et al. 1995; Hall
1998; Novak et al. 2006) เมือ่ มกี ารคดั เลือกสภาพแวดล้อมทางสงั คมทีเ่ หมาะสม ควรใสใ่ จวา่ สัตวเ์ หล่านน้ั
เปน็ สตั วม์ กี ารครองดนิ แดนของตนหรอื อยดู่ ว้ ยกนั เปน็ กลมุ่ ตามธรรมชาตหิ รอื ไม่ และควรใหส้ ตั วเ์ หลา่ นนั้ อาศยั
อยู่ตัวเดียว เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มหรือไม่ ความเข้าใจพฤติกรรมเฉพาะของสัตว์ตามธรรมชาติทางสังคม
(เช่น ส่วนประกอบทางสังคมตามธรรมชาติ ความหนาแน่นของประชากร ความสามารถในการกระจาย
ความค้นุ เคยกนั และอนั ดบั ชั้นทางสังคม) เป็นกุญแจส่กู ารจัดท่ีอยู่ทางสังคมอย่างประสบความสำ�เร็จ
ไม่จำ�เป็นท่ีสมาชิกทุกตัวของสัตว์ที่อยู่แบบสังคมจำ�เป็นต้องเข้ากันได้เป็นอย่างดีเสมอไป การนำ�
สัตว์ท่ีเข้ากันไม่ได้มาอยู่ร่วมกันแบบสังคมสามารถทำ�ให้เกิดความเครียดอย่างเรื้อรัง การบาดเจ็บ และอาจ
ถึงแกช่ ีวติ ในสตั ว์บางชนดิ การเขา้ กนั ไมไ่ ดท้ างสังคมอาจเปน็ ความโนม้ เอยี งทางเพศ เชน่ โดยท่ัวไปหนูเมาส์
ตวั ผมู้ แี นวโนม้ กา้ วรา้ วมากกวา่ หนเู มาสต์ วั เมยี และโดยทว่ั ไปหนแู ฮมสเตอรต์ วั เมยี มกั กา้ วรา้ วมากกวา่ หนแู ฮม
สเตอรต์ วั ผู้ ความเสย่ี งของการเขา้ กนั ไมไ่ ดท้ างสงั คมถกู ลดลงอยา่ งมากไดถ้ า้ สตั วถ์ กู น�ำ มาอยรู่ วมกลมุ่ กนั ตง้ั แต่
อายุยงั น้อย ถ้ากล่มุ ยังคงมีส่วนประกอบคงเดมิ และถา้ การออกแบบส่ิงลอ้ มรอบสำ�หรบั สัตว์และการเพ่ิมพนู
สภาพแวดล้อมทำ�ให้สัตว์หลีกหนีความขัดแย้งทางสังคมได้สะดวก ควรสอดส่องความม่ันคงทางสังคมอย่าง
ระมัดระวัง ในกรณีตา่ งๆทม่ี คี วามกา้ วร้าวอยา่ งรุนแรงหรอื ยาวนานจ�ำ เปน็ ต้องแยกสัตว์ที่ขดั แยง้ ออกจากกัน
ส�ำ หรบั สตั ว์บางชนิด การพฒั นาทางกลุ่มสังคมแบบมลี ำ�ดบั ชัน้ ทม่ี ่นั คงจะน�ำ มาซ่งึ ปฏกิ ิรยิ าตอบสนอง
แบบไม่เป็นมิตรระหว่างสมาชิกของคู่หรือของกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อเมื่อสัตว์นำ�เข้ามาเป็นสัตว์โต
เต็มวัย อาจจะต้องมีการสร้างความคุ้นเคยต่อกันเป็นระยะเวลานาน และควรสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด
ระหวา่ งชว่ งเวลาปรบั ตวั และตอ่ มาภายหลงั เพ่อื ให้ม่ันใจวา่ เข้ากนั ได้
การให้สัตว์สังคมอาศัยอยู่ตัวเดียวควรเป็นการยกเว้นและได้มีการให้เหตุผลตามความต้องการต่างๆ
ของการทดลอง หรือประเด็นต่างๆทางสัตวแพทย์ที่เก่ียวข้องกับความเป็นอยู่ท่ีดีของสัตว์ ในกรณีเหล่านี้
ควรจ�ำ กัดระยะ เวลาใหน้ อ้ ยที่สดุ เท่าทจ่ี ำ�เปน็ และเม่ือเป็นไปได้ควรใหไ้ ด้เหน็ ได้ยิน ไดก้ ล่นิ และได้สัมผสั กับ
สตั วช์ นดิ เดยี วกนั ทเ่ี ขา้ กนั ได้ ถา้ ไมม่ สี ตั วต์ วั อน่ื ๆ ควรใหม้ สี งิ่ เพมิ่ พนู ไดแ้ ก่ การตอบสนองดา้ นบวกกบั พนกั งาน
ดแู ลสตั วแ์ ละมวี ตั ถสุ งิ่ เพมิ่ พนู ตา่ งๆเพม่ิ ใหอ้ กี หรอื การเพมิ่ สตั วท์ เี่ ปน็ เพอื่ นหนงึ่ ตวั ในหอ้ งหรอื บรเิ วณทอ่ี าศยั
อยู่นน้ั ความจำ�เป็นตอ้ งให้อยตู่ วั เดียวควรถกู ทบทวนโดย IACUC และสตั วแพทย์เป็นประจำ�

ขนั้ ตอนการทำ�ใหค้ นุ้ เคยและการฝกึ สตั ว์ เมอ่ื ใดทท่ี �ำ ไดค้ วรสนบั สนนุ ใหม้ กี ารท�ำ ใหส้ ตั วค์ นุ้ เคยกบั วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ
ประจำ�ตา่ งๆ ทางสตั วบาลและของการทดลอง เพราะอาจชว่ ยเหลอื สตั วใ์ หร้ บั สภาพการถกู กกั ขงั ได้ดีกวา่ โดย
การลดความเครียดที่เก่ียวข้องกับวิธีปฏิบัติหรือบุคคลใหม่ๆ รูปแบบและระยะเวลาการทำ�ให้สัตว์คุ้นเคย

สภาพแวดลอ้ ม ทีอ่ ยู่ และ การจดั การสัตว์ 65

ท่ีจำ�เป็นจะถูกกำ�หนดโดยความซับซ้อนของวิธีการ โดยส่วนใหญ่อาจทำ�หลักการต่างๆ ของการปรับสภาพ
ระหว่างระยะการฝึกสัตว์ มีการใช้การปรับวิถีทางพฤติกรรมแบบก้าวหน้าเพ่ือเหนี่ยวนำ�ให้เกิดการร่วมมือ
กับการปฏบิ ัติโดยสมัครใจ (Bloomsmith et al. 1998; Laule et al. 2003; NRC 2006a; Reinhardt 1997)

การสตั วบาล

อาหาร สัตว์ควรได้กินอาหารที่น่ากิน ไม่ปนเป้ือนส่ิงสกปรก ซ่ึงตอบสนองความจำ�เป็นทางโภชนาการและ
พฤติกรรมอย่างพอเพียงอยา่ งนอ้ ยทุกๆวนั หรือสอดคล้องกับความตอ้ งการเฉพาะของสัตว์เหล่านน้ั ยกเว้น
ถ้าโปรโตคอลท่ีสัตว์ถูกใช้ต้องการอย่างอ่ืน อนุกรรมการของคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติเพ่ือโภชนาการ
ของสตั วไ์ ดจ้ ดั เตรยี มรายงานตา่ งๆส�ำ หรบั ความตอ้ งการโภชนาการของสตั วท์ ดลอง (NRC 1977, 1982, 1993,
1994, 1995a, 1998b, 2000, 2001, 2003a, 2006b,c, 2007) เน้ือหาในสิง่ พมิ พเ์ หล่านี้พิจารณาประเด็น
ต่างๆเร่ืองการประกันคุณภาพ การปราศจากสารเคมี หรือ สิ่งปนเปื้อนพวกจุลชีพและส่ิงปนเป้ือนทาง
เคมีหรือจุลชีพ และสารพิษจากธรรมชาติในวัตถุดิบอาหาร การคงอยู่ทางชีวภาพของสารอาหารในอาหาร
และความน่ากิน
มอี าหารอยหู่ ลายรปู แบบจ�ำ แนกประเภทโดยล�ำ ดบั ขน้ั ความประณตี ขององคป์ ระกอบทง้ั หลาย อาหาร
ทม่ี ีวัตถุดิบมาจากธรรมชาติ (natural-ingredient diets) ถกู ก�ำ หนดสูตรดว้ ยผลติ ผลทางการเกษตรและผลติ ผล
พลอยไดต้ า่ งๆ และมขี ายทางการคา้ สำ�หรบั สตั วท์ กุ ชนดิ ทม่ี กั ใชท้ ว่ั ไปในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ถงึ แมว้ า่ สว่ นประกอบ
ทางโภชนะของส่วนผสมต่างๆน้ันมีการผันแปรและส่วนผสมต่างๆจากธรรมชาติไม่ใช่ปัจจัยสำ�คัญในกรณีนี้
โดยสว่ นใหญ่ (Ames et al. 1993; Knapka 1983; Newberne 1975; NRC 1996; Thigpen et al. 1999; 2004)
สิง่ ปนเปื้อนตา่ งๆ ได้แก่ สารตกคา้ งพวกยาฆ่าแมลง โลหะหนกั สารพษิ สารก่อมะเรง็ และ สารอีสโตรเจน
จากพืชต่างๆ อาจมีอยู่ในระดับท่ีชักนำ�ให้เกิดผลต่อสุขภาพเล็กน้อยหรือยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย อาจมีผล
กระทบอย่างไม่เป็นที่ทราบกันต่างๆต่อผลการทดลอง (Thigpen et al. 2004) อาหารที่ได้รับการรับรอง
(certified diets) ได้รับการตรวจวัดค่าเพ่ือหาสิ่งปนเปื้อนต่างๆ มีขายเป็นการค้าสำ�หรับใช้ในการทดสอบ
ทเ่ี ลอื กสรร ไดแ้ ก่ การทดสอบพษิ วทิ ยากอ่ นการทำ�ในคลนิ กิ ซง่ึ ทำ�โดยสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการปฏบิ ตั อิ ยา่ ง
ดใี นห้องปฏบิ ัติการของ FDA (CFR 2009) อาหารบรสิ ุทธ์ิ (purified diet) มีความพิถีพิถนั ในสว่ นผสมแตล่ ะ
อยา่ งทป่ี ระกอบเปน็ สารอาหารอยา่ งหนงึ่ หรอื หนงึ่ กลมุ่ อาหารเหลา่ นมี้ คี วามผนั แปรของความเขม้ ขน้ ของสาร
อาหารน้อยกว่าและมีโอกาสปนเปื้อนสารเคมีตำ่�กว่า อาหารท่ีกำ�หนดส่วนประกอบทางเคมี (chemically
defined diets) ประกอบด้วยส่วนประกอบพื้นฐานต่างๆโดยส่วนใหญ่ เช่น กรดอมิโนต่างๆแต่ละชนิดและ
น�ำ้ ตาลตา่ งๆโดยเฉพาะเจาะจง (NRC 1996) อาหารทกี่ ลา่ วตอนทา้ ยทงั้ สองประเภทมกั ถกู ใชส้ �ำ หรบั การศกึ ษา
เฉพาะแบบต่างๆในสตั วฟ์ นั แทะ แต่มักไมค่ ่อยใชเ้ พราะราคาแพง ไมน่ า่ กนิ และมีอายุการเก็บรักษาลดลง
ผจู้ ดั การโรงเรือนเล้ียงสตั ว์ควรมีวิจารณญาณในการซือ้ การขนส่ง การเกบ็ และการจัดจ่ายอาหารเพื่อ
ลดการน�ำ โรค พยาธิ พาหะนำ�เชื้อทอี่ าจมอี ยู่ (เชน่ แมลง และตวั กอ่ ความร�ำ คาญอืน่ ๆ) และสารปนเปอื้ นทาง
เคมีไปสู่ฝูงสัตว์ ควรสนับสนุนผู้จัดซ้ือให้พิจารณาขั้นตอนการดำ�เนินการและวิธีปฏิบัติของผู้ผลิตและผู้จัด
จำ�หน่าย (เชน่ การเก็บ การควบคุมตัวก่อความร�ำ คาญและการจัดจ่าย) เพอ่ื ปกปอ้ งและประกนั คุณภาพของ
อาหาร สถาบนั ควรผลกั ดนั ผขู้ ายใหจ้ ดั เตรยี มขอ้ มลู การวเิ คราะหอ์ าหารจากหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารสำ�หรบั สารอาหาร

66 ขอ้ แนะนำ� ส�ำหรับการดูแลและการใชส้ ัตวท์ ดลอง

ชนดิ ทีม่ ีความจำ�เปน็ ให้เป็นระยะๆ ผใู้ ชอ้ าหารควรรูว้ ันที่ผลิตและปจั จยั อน่ื ๆทมี่ ีผลตอ่ อายกุ ารเก็บรกั ษาของ
อาหาร อาหารคา้ งคนื หรอื อาหารทถี่ กู ขนสง่ และถกู เกบ็ อยา่ งไมเ่ หมาะสม สามารถกลายเปน็ อาหารทขี่ าดสาร
อาหารตา่ งๆ ขณะการตรวจรบั อาหารควรตรวจดเู พอ่ื ใหแ้ นใ่ จวา่ อยใู่ นสภาพดแี ละไมป่ นเปอื้ นเพอ่ื ชว่ ยใหแ้ นใ่ จ
ว่าส่ิงท่ีบรรจุอยู่ภายในไม่ได้มีโอกาสถูกคุกคามโดยตัวก่อความรำ�คาญ การซึมผ่านของของเหลว หรือถูก
ปนเปอ้ื น ควรเอาใจใสอ่ ยา่ งระมดั ระวงั ตอ่ จ�ำ นวนของอาหารทไี่ ดร้ บั ในการขนสง่ แตล่ ะครง้ั และควรหมนุ เวยี น
ปรมิ าณในคลังโดยใชอ้ าหารท่มี ีอยเู่ ดมิ กอ่ น
ควรดูแลบริเวณเตรียมหรือเก็บอาหารและส่วนประกอบต่างๆของอาหารให้สะอาดและมิดชิด
เพอื่ ปอ้ งกนั สตั วพ์ วกกอ่ ความร�ำ คาญเขา้ มารบกวน อาหารควรถกู เกบ็ หา่ งจากพนื้ บนแทน่ รอง หง้ิ หรอื รถเขน็
ด้วยวิธีท่ีเอ้ือต่อการสุขาภิบาล ควรเก็บถุงอาหารเปิดแล้วไว้ในภาชนะท่ีป้องกันสัตว์ก่อความรำ�คาญเพ่ือ
ลดการปนเปอื้ นใหเ้ หลอื นอ้ ยทส่ี ดุ และหลกี เลย่ี งการแพรข่ องเชอ้ื โรคซงึ่ อาจมอี ยู่ การมอี ณุ หภมู หิ อ้ งเกบ็ อาหาร
เพิ่มสูงขึ้น ความชื้นสัมพัทธ์สูงเกินไป สภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะและมีแมลง ตลอดจนสัตว์ก่อความรำ�คาญ
ช่วยเร่งการเส่ือมสภาพของอาหาร แนะนำ�การเก็บอาหารที่มีวัตถุดิบมาจากธรรมชาติที่อุณหภูมิต่ำ�กว่า
21 ซ (70 ฟ ) และความชืน้ สัมพทั ธ์ต�ำ่ กวา่ 50% ควรระมดั ระวงั การให้อาหารทีบ่ ูดเน่าเสียได้ เชน่ เน้อื สัตว์
ผลไมแ้ ละผัก ตลอดจนอาหารพเิ ศษตา่ งๆ (เช่น อาหารทเี่ ปน็ ยา และ มไี ขมันเป็นสว่ นประกอบอยใู่ นปริมาณ
มาก) เพราะวา่ สภาวะการเกบ็ ตา่ งๆอาจน�ำ ไปสู่การแปรเปลยี่ นคณุ ภาพอาหาร
อาหารสัตว์ทดลองชนิดแห้งท่ีมีส่วนผสมจากธรรมชาติโดยส่วนใหญ่ท่ีเก็บอย่างถูกต้อง สามารถใช้ได้
นานถงึ 6 เดอื นหลงั จากการผลติ วติ ามนิ ซชี นดิ ทไี่ มค่ งทนซงึ่ อยใู่ นอาหารทผ่ี ลติ โดยทว่ั ไปมอี ายกุ ารเกบ็ รกั ษา
เพียง 3 เดือนเท่านั้น แต่การใช้วิตามินซีในรูปแบบที่คงตัวสามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหาร การเก็บใน
ตู้เย็นสามารถรักษาคุณภาพทางโภชนาการและทำ�ให้อายุการเก็บอาหารยาวนานขึ้น แต่ในทางปฏิบัติควร
ลดเวลาการเก็บอาหารลงถึงช่วงเวลาที่ต่ำ�ที่สุดและตามข้อแนะนำ�ของผู้ผลิต อาหารชนิดบริสุทธิ์และชนิด
ทก่ี �ำ หนดสว่ นประกอบทางเคมมี คี วามคงทนนอ้ ยกวา่ อาหารทม่ี สี ว่ นผสมจากธรรมชาติ และมกั มอี ายกุ ารเกบ็
นอ้ ยกวา่ 6 เดือน (Fullerton and others 1982) อาหารเหลา่ นค้ี วรถกู เกบ็ ท่ีอณุ หภูมิ 4 ซ (39 ฟ) หรือต�่ำ กว่า
มักใช้อาหารที่อาบรังสีและอาหารเสริมแร่ธาตุท่ีสามารถอบน่ึงด้วยไอนำ้�ร้อนภายใต้ความดันกับสัตว์
ฟนั แทะชนดิ ปลอดเชอื้ สมบรู ณ์ หรอื ก�ำ หนดชนดิ ของเชอ้ื จลุ ชพี ได้ และสตั วท์ มี่ ภี มู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง (NRC 1996)
การใชอ้ าหารเสรมิ แร่ธาตทิ ่สี ามารถอบนึง่ ไดท้ ่ีหาซ้ือได้ท�ำ ให้ม่นั ใจว่าวิตามนิ ที่มีอยไู่ ม่คงท่นี น้ั ไมไ่ ดถ้ ูกกระทบ
โดยไอน�้ำ ร้อนและ/หรือ ความร้อน (Caufield et al. 2008; NRC 1996) แต่ควรพิจารณาผลกระทบของการ
อบนงึ่ ทม่ี ตี อ่ เมด็ อาหารสตั ว์ เพราะอาจมผี ลตอ่ ความแขง็ และความนา่ กนิ ดว้ ย และยงั น�ำ ไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลง
ทางเคมีของส่วนผสมต่างๆในอาหารสัตว์ (Thigpen et al 2004; Twaddle et al 2004) ควรบันทึกวันท่ี
ของการอบนง่ึ และใช้อาหารโดยเร็ว
ควรออกแบบและวางทใ่ี หอ้ าหารไวใ้ นทเ่ี ขา้ ถงึ ไดง้ า่ ย และลดการปนเปอ้ื นปสั สาวะและอจุ จาระใหน้ อ้ ย
ที่สุดและบำ�รุงรักษาให้อยู่ในสภาพดี เม่ือสัตว์ถูกขังเป็นกลุ่มควรมีพื้นท่ีว่างพอเพียงและมีจุดให้อาหาร
อย่างพอเพียงเพ่อื ลดการแยง่ อาหาร และให้แนใ่ จว่าสัตว์ทกุ ตวั ไดก้ นิ อาหารโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เมอ่ื การจ�ำ กัด

สภาพแวดล้อม ที่อยู่ และ การจดั การสตั ว์ 67

อาหารเปน็ สว่ นหนง่ึ ของโปรโตคอลหรอื การจดั การตามกจิ วตั ร ไมค่ วรขนยา้ ยภาชนะบรรจอุ าหารไปมาระหวา่ ง
บริเวณท่ีอาจเกิดความเสี่ยงของการปนเปื้อนโดยไม่ได้ให้การปฏิบัติอย่างเหมาะสมก่อน และควรทำ�
ความสะอาดทใ่ี หอ้ าหารและการสขุ าภบิ าลโดยสม�ำ่ เสมอ
การจัดการปริมาณแคลอร่ีซึ่งรับเข้าสู่ร่างกายเป็นท่ียอมรับทางการปฏิบัติสำ�หรับการดูแลสัตว์ที่ต้อง
เลยี้ งเปน็ ระยะเวลานาน ไดแ้ ก่ สตั วฟ์ นั แทะบางชนดิ กระตา่ ยและลงิ และเปน็ สงิ่ เสรมิ วธิ ดี �ำ เนนิ การทางคลนิ กิ
การทดลอง และการศลั ยกรรมบางอยา่ ง (สำ�หรบั การอธิบายเพมิ่ เตมิ เร่อื งการควบคมุ อาหารและน้ำ�เพอ่ื เปน็
เครือ่ งมอื การทดลอง ให้ดทู บ่ี ทท่ี 2 และ NRC 2003a) ประโยชน์ของการจ�ำ กัดแคลอรอ่ี ย่างปานกลางในสตั ว์
บางชนิดอาจทำ�ให้อายุยืนยาว เพิ่มการเจริญพันธุ์ และ ลดความอ้วน ลดอัตราการเกิดมะเร็งและความผิด
ปกติที่เกิดจากระบบประสาท (Ames et al 1993; Colman et al. 2009; Kenan et al. 1994; 1996;
Lawler et al. 2008; Weindruch and Walford 1988)
ภายใต้สภาวะการเล้ียงที่ได้มาตรฐานควรคำ�นึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆทางชีววิทยาซึ่งสัมพันธ์กับ
ความแก่ ตวั อยา่ งเชน่ มหี ลกั ฐานอยา่ งชดั เจนแสดงวา่ หนเู มาสแ์ ละหนแู รททใ่ี หส้ ามารถเขา้ ถงึ อาหารไดต้ ลอด
เวลาจะทำ�ใหอ้ ว้ นมากเกนิ ไปพรอ้ มกบั การเปลย่ี นแปลงซง่ึ เกยี่ วขอ้ งกบั ความเปลย่ี นแปลงการสนั ดาป รวมทง้ั
หัวใจและหลอดเลอื ด เชน่ การดือ้ ต่ออินซลู นิ และการมคี วามดนั โลหิตสงู ขึน้ (Martin et al. 2010) ส่งิ เหลา่ นี้
และการเปลย่ี นแปลงอนื่ ๆตลอดจนวถิ ที างด�ำ เนนิ ชวี ติ ซง่ึ อยปู่ ระจ�ำ ทมี่ ากกวา่ และขาดการออกก�ำ ลงั กาย เพม่ิ
ความเสี่ยงการตายก่อนถึงกำ�หนด (ดังที่ได้อ้างแล้ว) การจัดการแคลอรี่ซึ่งมีผลต่อการปรับตัวทางสรีรวิทยา
และเปลย่ี นแปลงการตอบสนองทางการสนั ดาปตา่ งๆตามรูปแบบเฉพาะตัวสำ�หรบั ชนิดของสตั ว์ (Leville and
Hanson 1966) สามารถท�ำ ใหส้ ำ�เรจ็ โดยการลดปรมิ าณอาหารทกี่ ินและกระต้นุ การออกกำ�ลงั กาย
ในสัตว์บางชนิด (เช่น ลิง) และในบางโอกาส การเปล่ียนแปลงอาหารทม่ี สี ารอาหารอยา่ งสมดลุ และ
การให้ “สงิ่ ท่พี อใจ” ได้แก่ ผลไม้และผักสด เป็นวิธีทเี่ หมาะสมและเพม่ิ พนู ความเปน็ อย่ทู ่ีดี การโปรยอาหาร
ในวสั ดรุ องนอนหรือการเสนอสว่ นหนึ่งส่วนใดของอาหารหลายๆวธิ ซี ่ึงจัดใหส้ ัตว์ตอ้ งทำ�งานเพื่อใหไ้ ดอ้ าหาร
นัน้ มา (เช่น กล่องใหอ้ าหารปริศนาสำ�หรบั ลงิ ) ให้โอกาสสตั วไ์ ดเ้ สาะหาอาหารตามธรรมชาติซง่ึ โดยปกตสิ ตั ว์
ใชเ้ วลาโดยสว่ นใหญใ่ นแตล่ ะวนั กบั กจิ กรรมนี้ อาหารควรมสี ารอาหารอยา่ งสมดลุ มกี ารรายงานในสตั วห์ ลาย
ชนิดวา่ ถา้ เสนอใหโ้ อกาสในการเลอื กอาหารท่ีไม่สมดุลและสมดุล สตั ว์ไมเ่ ลอื กกินอาหารที่สมดุลและเกิดการ
ขาดสารอาหารหรือความอว้ นเพราะเลอื กกินอาหารใหพ้ ลังงานสงู ท่มี โี ปรตนี ต่�ำ (Moore 1987) ควรหลกี เลย่ี ง
การเปลยี่ นอาหารโดยฉบั พลนั ใหเ้ กดิ นอ้ ยทส่ี ดุ ซง่ึ หลกี เลย่ี งไดย้ ากเมอื่ หยา่ นม เพราะน�ำ ไปสคู่ วามรบกวนตอ่
การยอ่ ยและการเผาผลาญอาหาร การเปลยี่ นแปลงเหลา่ นเี้ กดิ ขนึ้ ในสตั วช์ นดิ ทก่ี นิ ทงั้ พชื และเนอ้ื (omnivores)
และสตั วท์ ่กี นิ เฉพาะเนือ้ (carnivors) แต่ในสตั วท์ ีก่ นิ พชื เท่านัน้ (herbivores) ทม่ี ีความไวต่อความเปลี่ยนแปลง
มากเป็นพิเศษ (Eadie and Mann 1970)

น้ำ� สัตว์ควรได้น้ำ�กินท่ีไม่มีส่ิงปนเปื้อน โดยสอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของสัตว์นั้น คุณภาพและคำ�
จำ�กัดความของน้ำ�กินสามารถผันแปรได้ตามสถานที่ (Homberger et al. 1993) อาจจำ�เป็นต้องตรวจสอบ

68 ข้อแนะน�ำส�ำหรบั การดูแลและการใช้สตั วท์ ดลอง

ความเปน็ กรดดา่ ง ความกระดา้ ง และการปนเปอ้ื นของจลุ ชพี และสารเคมเี ปน็ ระยะๆ เพอื่ ใหม้ นั่ ใจวา่ คณุ ภาพ
น�้ำ เปน็ ทยี่ อมรบั ได้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ส�ำ หรบั การศกึ ษาซง่ึ สว่ นประกอบของน�้ำ ตามปกติ ณ ทใี่ ดทหี่ นงึ่ สามารถ
มีอิทธิพลต่อผลการศึกษา สามารถบำ�บัดนำ้�หรือทำ�ให้บริสุทธิ์เพ่ือลดหรือกำ�จัดการปนเปื้อนให้มีน้อยท่ีสุด
เม่ือโครงร่างงานวิจัยต้องการน้ำ�ที่บริสุทธิ์อย่างมาก ควรพิจารณาเลือกวิธีบำ�บัดน้ำ�อย่างระมัดระวังเพราะ
การบำ�บัดน้ำ�หลายวิธีมีโอกาสทำ�ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การลดการกินนำ้� การเปล่ียนแปลง
ทางจุลชีพหรือมีอิทธิพลต่างๆต่อผลการทดลอง Fidler 1977; Hall et al. 1980; Hermann et al. 1982;
Homberger et al. 1993; NRC 1996)
ควรหมัน่ ตรวจอุปกรณ์ให้น�ำ้ เชน่ หลอดดดู น�ำ้ และระบบให้นำ้�อตั โนมัติเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการบำ�รุง
รกั ษาอยา่ งพอเพยี ง มคี วามสะอาดและทำ�งานได้ บางครงั้ สัตวต์ อ้ งไดร้ บั การสอนใหใ้ ชอ้ ุปกรณใ์ หน้ ้ำ�อตั โนมตั ิ
และควรสงั เกตอาการอยา่ งสม�ำ่ เสมอจนกระท่งั สตั วใ์ ช้ไดเ้ ปน็ กิจวตั รเพ่ือป้องกนั ภาวะการขาดน้ำ� การเปล่ยี น
ขวดน้ำ�ดีกว่าการเติมนำ้�ใส่ขวดเดิมเพราะมีโอกาสปนเปื้อนจุลชีพข้ามขวดนำ้� ถ้านำ�ขวดมาเติมน้ำ�ควรดูแล
ให้ขวดน้ำ�ถูกใส่กลับไปยังกรงเดิมท่ีถูกดึงออกมา ระบบให้น้ำ�อัตโนมัติควรได้รับการปล่อยน้ำ�ทิ้งและฆ่าเช้ือ
เป็นประจำ� สตั ว์ท่ีถกู ให้อยูใ่ นสถานทีก่ ลางแจ้งอาจใช้แหล่งนำ�้ อนื่ ได้นอกเหนอื จากอปุ กรณ์ใหน้ ำ้� เช่น ธารนำ�้
หรือแอ่งนำ้�หลังฝนตกหนัก ควรดูแลเพ่ือให้ม่ันใจว่าส่วนประกอบเสริมแหล่งน้ำ�นั้นไม่เป็นภัย แต่ตามปกติ
ไมจ่ ำ�เป็นต้องกดี กนั การใชป้ ระโยชน์จากแหลง่ น�ำ้

วสั ดรุ องนอนและทำ�รงั วสั ดรุ องนอนและท�ำ รงั ของสตั วเ์ ปน็ ปจั จยั ทางสภาพแวดลอ้ มทค่ี วบคมุ ไดซ้ ง่ึ มอี ทิ ธพิ ล
ตอ่ ขอ้ มลู การทดลองและตอ่ ความเปน็ อยทู่ ดี่ ขี องสตั วบ์ กโดยสว่ นใหญ่ วสั ดรุ องนอนถกู ใชเ้ พอ่ื ดดู ซบั ความชนื้
ลดการเจริญเตบิ โตของจลุ ชพี ใหเ้ หลอื น้อยทสี่ ดุ อกี ทงั้ เจอื จางและจ�ำ กัดไมใ่ หส้ ัตว์สมั ผสั ของเสีย และได้มีการ
พบว่าวัสดุรองนอนชนิดเฉพาะสามารถลดการสะสมแอมโมเนียภายในกรง (Perkin and Lipman 1995;
E. Smith et al. 2004) มีการใช้วัสดรุ องนอนหลายชนิดท้งั แบบสัมผัสและไมส่ มั ผัสตวั สตั ว์ ได้มีการอธิบาย
คณุ สมบตั ทิ ีพ่ ึงประสงค์และวธิ กี ารประเมินวสั ดรุ องนอน (Gibson et al. 1987; Jones 1977; Kraft 1980;
Thigpen et al. 1989; Weichbrod et al. 1986) สัตวแพทยห์ รอื ผู้จดั การสถานที่ร่วมกบั การปรึกษานักวิจยั ควร
เลอื กวสั ดรุ องนอนและท�ำ รงั ของสตั วซ์ ง่ึ เหมาะสมทสี่ ดุ มสี ตั วห์ ลายชนดิ ทสี่ งั เกตมากทส่ี ดุ คอื สตั วฟ์ นั แทะแสดง
ความชอบวสั ดบุ างชนดิ มากอยา่ งเห็นได้ชัด (Bloom et al. 1996; Manser et al 1997; Ras et al. 2002) และ
หนเู มาสท์ ไี่ ดว้ สั ดทุ �ำ รงั อยา่ งเหมาะสมสรา้ งรงั ไดด้ กี วา่ (Hess et al. 2008) สนบั สนนุ ใหใ้ ชว้ สั ดรุ องนอนซง่ึ ท�ำ ให้
สัตวส์ ามารถหลบอาศยั อยู่ในโพรงส�ำ หรับสตั วบ์ างชนิด เชน่ หนูเมาส์ และแฮมสเตอร์
ไม่มีวัสดุรองนอนในอุดมคติที่เหมาะสำ�หรับสัตว์ทุกชนิดภายใต้ภาวะการจัดการและการทดลองทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น วัสดุรองนอนบางชนิดที่เป็นกระดาษละเอียด (เช่น ผงขนาดเล็กมากพบในวัสดุรองนอนบางชนิด)
สามารถท�ำ ให้หนทู ่ีไมม่ ขี น (nude) หรือปราศจากขนซง่ึ ไม่มีขนตา เกดิ เปน็ ฝที ่ีเบ้าตา (White et al. 2008) ขณะที่
วสั ดทุ �ำ รงั ทเ่ี ปน็ ใยฝา้ ยอาจเหนย่ี วน�ำ ใหเ้ กดิ กระจกตาอกั เสบ (Bazille et al. 2001) วสั ดรุ องนอนสามารถสง่ กระทบ
ต่อภมู คิ ้มุ กันของเย่อื เมอื ก (Sanford et al. 2002) และเกิด endocytosis (Buddaraju and Van Dyke 2003)

สภาพแวดล้อม ที่อยู่ และ การจัดการสตั ว์ 69

ได้มีการใช้วัสดุรองนอนจำ�พวกไม้เน้ืออ่อน แต่ห้ามใช้ข้ีกบและขี้เล่ือยจากไม้เนื้ออ่อนท่ีไม่ได้ผ่านการ
บำ�บดั ส�ำ หรับการวจิ ยั บางชนิด เพราะมีผลกระทบตอ่ การเผาผลาญพลงั งานของสตั ว์ (Vessell 1967; Vessell
et al. 1973, 1976) ไมแ่ นะน�ำ ใหใ้ ชข้ ก้ี บจากไมซ้ ดี ารเ์ พราะปลอ่ ยสารระเหยไฮโดรคารบ์ อนทเี่ หนยี่ วน�ำ เอนไซม์
ไมโครโซมของตับและมพี ษิ ตอ่ เซลล์ (Torronen et al. 1989; Weichbrod et al. 1986, 1988) และมรี ายงาน
การเพิ่มอุบัติการณ์เกิดมะเร็ง (Jacobs and Dieter 1978, Vlahakis 1977) การบำ�บัดด้วยความร้อนสูง
(การทำ�ให้แห้งในเตาเผา หรือ การอบด้วยเคร่ืองอบความร้อนสูงด้วยไอนำ้�ร้อน) ก่อนที่จะนำ�วัสดุรองนอน
ไปใชอ้ าจชว่ ยลดความเขม้ ขน้ ของสารอนิ ทรยี ท์ ร่ี ะเหยได้ ทง้ั นข้ี นึ้ อยกู่ บั วสั ดแุ ละความเขม้ ขน้ ของสว่ นประกอบ
สารระเหยไฮโดรคาร์บอน แต่ปริมาณที่คงเหลืออยู่อาจมีอยู่พอเพียงที่จะมีอิทธิพลต่อโปรโตคอลเฉพาะ
(Cunliffe-Beamer et al. 1981; Nevalainen and Vertianen 1996)

การซื้อผลิตภัณฑ์วัสดุรองนอนควรพิจารณาการผลิต การควบคุมตรวจสอบและวิธีการเก็บรักษาของ
ผผู้ ลติ วสั ดรุ องนอนอาจมกี ารปนเปอ้ื นดว้ ยสารพษิ และสารอน่ื ๆ แบคทเี รยี ราและสตั วก์ อ่ ความร�ำ คาญ วสั ดุ
รองนอนควรถูกขนส่งและจัดเก็บห่างจากพ้ืนบนแท่นรอง ช้ัน หรือรถเข็นด้วยวิธีท่ีสอดคล้องให้คงคุณภาพ
และหลีกเล่ียงการปนเปื้อน ควรจัดเก็บถุงวัสดุรองนอนห่างจากผนังอย่างพอเพียงเพื่อเอื้อต่อการทำ�ความ
สะอาด วสั ดรุ องนอนสามารถดูดซับความชื้นในระหว่างการอบดว้ ยความร้อนสงู ดว้ ยไอน�ำ้ ร้อน และเปน็ ผล
ทำ�ให้ลดความ สามารถการซึมซับความชื้น และส่งเสริมการเจริญของจุลชีพ ดังนั้น ควรใช้ระยะเวลารอให้
แห้งอย่างเหมาะสมและมีสภาพการเก็บท่ีพอเหมาะ วัสดุที่อาบรังสีแกมม่าเป็นวิธีทดแทนได้ถ้ามีข้อบ่งช้ี
ให้มวี สั ดรุ องนอนทป่ี ลอดเชื้อ

ควรใช้วัสดุรองนอนในปริมาณที่พอเพียงเพื่อให้สัตว์แห้งระหว่างช่วงเวลาการเปลี่ยนกรงและใน
กรณีสัตว์ทดลองขนาดเล็ก ควรดูแลให้วัสดุรองนอนอยู่ห่างจากท่อดูดนำ้� เพราะการสัมผัสนี้ทำ�ให้นำ้�รั่ว
ลงไปในกรง

การสขุ าภิบาล (Sanitation) การสุขาภบิ าล คือ การด�ำ รงสภาพแวดล้อมตา่ งๆทนี่ �ำ ไปสู่สุขภาพดีและมีความ
เปน็ อยทู่ ่ีดมี ีความเกี่ยวข้องกบั การเปลย่ี นวสั ดุรองนอน (อยา่ งเหมาะสม) การท�ำ ความสะอาดและการฆา่ เชือ้
การทำ�ความสะอาด (cleaning) คือ การกำ�จัดส่ิงขับถ่าย ส่ิงสกปรกและคราบต่างๆท่ีมีอยู่มากเกินไป และ
การฆา่ เชอ้ื (disinfection) คอื การลดหรอื ก�ำ จดั ปรมิ าณของจลุ ชพี ทมี่ ากจนยอมรบั ไมไ่ ด้ เปา้ หมายของโปรแกรม
การสขุ าภบิ าลใดๆ คอื เพอื่ รกั ษาความสะอาดและความแหง้ อยา่ งพอเพยี งของวสั ดรุ องนอน คณุ ภาพอากาศ
อยา่ งเหมาะสม และพืน้ ผวิ กรงและสว่ นประกอบอ่ืนๆใหส้ ะอาด

ความถแ่ี ละความเอาจรงิ เอาจงั ของการทำ�ความสะอาดและการฆา่ เชอ้ื ควรขนึ้ อยกู่ บั ความจำ�เปน็ เพอ่ื
ให้สภาพแวดล้อมซึ่งทำ�ให้สัตว์มีสุขภาพดี วิธีต่างๆและความถี่ของการสุขาภิบาลจะผันแปรตามปัจจัยหลาย
อย่าง ได้แก่สรีระและคุณสมบัติทางพฤติกรรมตามปกติของสัตว์ ชนิด ลักษณะทางกายภาพและขนาดของ
สง่ิ ลอ้ มรอบ การใชแ้ ละชนดิ ของวสั ดรุ องนอน อณุ หภมู แิ ละความชนื้ สมั พทั ธ์ ธรรมชาตขิ องวสั ดทุ กี่ �ำ หนดความ
จำ�เป็นต่อการสุขาภิบาลและอัตราการทำ�ให้พ้ืนผิวของสิ่งล้อมรอบสกปรก ในระบบการเลี้ยงหรือวิธีการ


Click to View FlipBook Version