พระจิตกาธาน
พระเบญจา
เป็นพระแท่นท�ำเปน็ ฐานซ้อนข้นึ ไป ๕ ชัน้ บางครัง้
ท�ำเปน็ ๒ ช้นั ๓ ช้ัน หรือ ๔ ชน้ั ข้นึ อยกู่ บั ขนาดทีต่ งั้ โดย
ทั่วไปมักท�ำข้ึน ๔ ชั้น เม่ือนับรวมทั้งฐานหรือที่ต้ังด้วยจึง
เป็น ๕ ชั้น ใช้วางพระบรมโกศ หรือวางเครื่องประกอบ
พระราชอสิ รยิ ยศเจา้ นายชน้ั สงู และพระสงคท์ รงสมณศกั ดิ์
หรือสำ� หรบั ประดิษฐานบุษบกพระพทุ ธรปู
พระจิตกาธาน
หมายถงึ เชงิ ตะกอน หรอื ฐานทที่ ำ� ขนึ้ สำ� หรบั เผาศพ
เปน็ คำ� ทใี่ ชส้ ำ� หรบั พระเจา้ แผน่ ดนิ และพระบรมวงศานวุ งศ์
ประกอบด้วยแท่นฐานสำ� หรับเผาทรงส่ีเหลี่ยม ภายในใส่
ดินเสมอปากฐานส�ำหรับวางฟืน เรียกว่า เรือนไฟ ส่วนท่ี
อยู่เหนือเรือนไฟเป็นตารางเผา มีเสาเหล็กรองรับตาราง
เผาและช้ันเรือนยอด ประดับตกแต่งด้วยกระดาษสีและ
เครอื่ งสดสำ� หรบั เปน็ เครอื่ งกนั ไฟ
สำ� นกั ชา่ งสบิ หมู่ กรมศลิ ปากร ออกแบบยอดพรหม
พกั ตรป์ ระดบั เหนอื พระจติ กาธาน ซงึ่ ประดษิ ฐานอยบู่ นฐาน
ชาลาชน้ั บนสดุ ภายในบุษบกองคป์ ระธานพระเมรุมาศ
101
ฉากบังเพลงิ
ฉากบงั เพลงิ
ฉากบงั เพลงิ หมายถงึ เครอ่ื งกนั้ ในพระราชพธิ ถี วาย
พระเพลงิ พระบรมศพหรอื พระศพบนพระเมรมุ าศหรอื พระ
เมรุมาศ มลี ักษณะเปน็ ฉากพบั ไดต้ ิดไวท้ ่ีเสาพระเมรุท้ัง ๔
ดา้ น เมอื่ จะใชง้ านจงึ ดงึ หรอื คลฉ่ี ากทพี่ บั ไวเ้ พอ่ื บงั จติ กาธาน
ฉากบังเพลงิ นใี้ ช้สำ� หรบั ศพช้นั โกศเท่าน้ัน
ฉากบงั เพลงิ พระเมรุ จะตอ้ งนำ� ฉากทสี่ รา้ งขนึ้ จดั เขา้
คูแ่ ละนำ� มาต่อกนั ด้านละ ๒ คเู่ ป็น ๑ ฉาก จดั ท�ำไว้ท้ังดา้ น
ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เม่ือนาย
ชา่ งกำ� หนดขนาดใหเ้ หมาะสมแกพ่ ระเมรมุ าศ หรอื พระเมรุ
ทจ่ี ดั สรา้ งแตล่ ะครงั้ แลว้ ศลิ ปนิ หรอื จติ รกรผสู้ รา้ งสรรคง์ าน
จิตรกรรมก็จะออกแบบลวดลายที่เคยยึดถือเป็นประเพณี
ต่อ ๆ กันมาว่า ถ้าเปน็ พระเมรุธรรมดาหรือศพข้าราชการ
ก็จะเขียนเป็นลายไม้เถา ถ้าเป็นพระเมรุมาศหรือพระเมรุ
พระราชวงศ์จะเขียนฉากลายเทวดา สถาปนิกหรือช่างจะ
ออกแบบลวดลายประดับส่วนบนของฉาก แต่ละฉากเป็น
ลวดลายคล้ายวิมาน
ส�ำนักช่างสิบหมู่ กรมศลิ ปากรดำ� เนินการออกแบบ
ฉากบงั เพลิงประกอบพระเมรุมาศ รวม ๔ ทิศ ดังนี้
จิตรกรรมฉากบังเพลิง ดา้ นทศิ เหนอื ประกอบดว้ ย
• นารายณอ์ วตารปางที่ ๒ กรู มาวตาร เปน็ เตา่ ทอง
• นารายณ์อวตารปางท่ี ๑ มสั ยาวตาร เปน็ ปลา
กรายทอง
103
ฉากบังเพลงิ
• โครงการพระราชด�ำริหมวดน้�ำ ๖ โครงการ
ไดแ้ ก่ ฝนหลวง ฝายตน้ นำ้� อา่ งเก็บนำ�้ เขาเตา่
เขือ่ นปา่ สกั ชลสทิ ธิ์ โครงการพัฒนาพืน้ ท่ีล่มุ น้�ำ
ปากพนังอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริ และ
กังหนั นำ้� ชัยพฒั นา และเทวดาชุมนมุ
จติ รกรรมฉากบังเพลิง ดา้ นทิศใต้ ประกอบด้วย
• นารายณอ์ วตารปางท่ี ๗ รามาวตาร เปน็ พระราม
ในรามเกียรต์ิ
• นารายณ์อวตารปางที่ ๖ ปรศุรามาวตาร เป็น
พราหมณ์ช่ือปรศรุ าม (รามผ้ถู อื ขวาน)
• โครงการพระราชดำ� รหิ มวดไฟ ๖ โครงการ ไดแ้ ก่
สบดู่ ำ� ซงึ่ ปลกู เพอ่ื สกดั นำ้� มนั สามารถใชแ้ ทนนำ้� มนั
ดีเซล โรงงานผลิตไบโอดีเซล ศูนย์ศึกษาการ
พฒั นาพกิ ลุ ทอง เชอื้ เพลงิ อดั แทง่ แกลบอดั แทง่
โครงการสว่ นพระองคส์ วนจติ รลดา กา๊ ซชวี ภาพ
โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา พลังงาน
เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้า ใช้ไฟฟ้า
ส�ำหรับอุปกรณ์รับส่งสัญญาณดาวเทียม
ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาหว้ ยฮอ่ งไคร้ และกงั หนั นำ้�
ผลิตไฟฟ้าท่ีประตูน้�ำคลองลัดโพธิ์ และเทวดา
ชมุ นมุ
105
จิตรกรรมฉากบงั เพลิง ดา้ นทิศตะวนั ออก ประกอบด้วย
• นารายณ์อวตารปางท่ี ๔ นรสิงหาวตารเป็น
นรสงิ หค์ รึ่งคน
• นารายณ์อวตารปางท่ี ๓ วราหาวตาร เป็น
หมูป่าเอกเข้ียวเพชร
• โครงการพระราชด�ำริหมวดดิน ๖ โครงการ
ได้แก่ ดินกรวด ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
ห้วยฮอ่ งไคร้ ดนิ เค็ม ศนู ยศ์ ึกษาการพัฒนาอา่ ว
คุ้งกระเบน ดินทราย ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
เขาหินซ้อน และโครงการหุบกะพง-ดอน
ห้วยขุน ดินดานลูกรัง ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
ห้วยทราย ดินพรุ ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
พกิ ุลทอง และดินเปรี้ยว ศูนย์ศกึ ษาการพัฒนา
พกิ ุลทอง และเทวดาชุมนุม
จิตรกรรมฉากบังเพลิง ด้านทศิ ตะวนั ตก ประกอบด้วย
• นารายณอ์ วตารปางท่ี ๑๐ กลั ยาวตาร เปน็ บรุ ษุ
ขี่มา้ ขาว
• นารายณ์อวตารปางที่ ๘ กฤษณาวตาร เป็น
พระกฤษณะ
• โครงการพระราชด�ำริหมวดลม ๖ โครงการ
ได้แก่ กังหันลม โครงการช่ังหัวมันตาม
พระราชด�ำริ บ้านหนองคอไก่ จังหวัดเพชรบุรี
106
เพื่อการผันน�้ำจากที่ต่�ำชักน้�ำขึ้นท่ีสูง กังหันลม โครงการ
สถานีพัฒนาเกษตรท่ีสูงตามพระราชด�ำริดอยม่อนล้าน
จังหวัดเชียงใหม่ กังหันลม โครงการส่วนพระองค์สวน
จติ รลดา ศนู ยช์ ว่ ยเหลอื ผปู้ ระสบวาตภยั แหลมตะพกุ จงั หวดั
นครศรธี รรมราช และมลู นธิ ริ าชประชานเุ คราะห์ ปอดของ
กรงุ เทพฯ พระราชดำ� รพิ น้ื ทบ่ี างกะเจา้ อำ� เภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ และเทวดาชมุ นมุ
ส่วนด้านหลังของฉากบังเพลิงเขียนภาพอักษร
พระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ทิพย์
และดอกดาวเรอื งสเี หลอื ง ซึง่ เป็นสปี ระจำ� วันพระบรมราช
สมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพติ ร
107
พระเมรุมาศ ซา่ ง หรือ ส�ำ ส้าง และหอเปล้อื ง
108
ซา่ ง หรอื ส�ำส้าง
ซ่าง ส้าง สามซ่าง หรือ ส�ำส้างเป็นส่ิงปลูกสร้าง
รูปทรงบุษบก สร้างขึ้นตามมุมท้ัง ๔ ของพระเมรุมาศ
พระเมรใุ ชเ้ ปน็ ทส่ี ำ� หรบั พระพธิ ธี รรมสวดพระอภธิ รรมตลอด
งานพระเมรุ นบั ต้ังแต่พระบรมศพ พระศพประดิษฐานบน
พระจิตกาธาน จนกว่าจะถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระราชทานเพลิงพระศพแล้วเสร็จ โดยมีพระพิธีธรรม
๔ ส�ำรับ น่ังอยู่ประจ�ำซ่างและจะผลัดกันสวดทีละซ่าง
เวียนกันไป
หอเปลอ้ื ง
หอเปลอื้ งทรงบษุ บก ๔ องค์ ตงั้ อยรู่ อบนอกสดุ ขอบ
พระเมรมุ าศ ใชเ้ ปน็ ทเ่ี กบ็ พระโกศทองใหญ่ พระโกศจนั ทน์
และเครอื่ งอปุ กรณส์ ำ� หรบั พระราชพธิ ี เชน่ ฟนื ดอกไมจ้ นั ทน์
ขันน�้ำ ซ่ึงจะต้องตั้งน�้ำส�ำหรับเลี้ยงเพลิงเม่ือเวลาถวาย
พระเพลิงพระบรมศพ พระราชทานเพลิงพระศพบน
พระจิตกาธานและเปน็ หลังทเี่ กบ็ เครือ่ งใช้เบด็ เตลด็ ในช่วง
การถวายพระเพลงิ พระบรมศพ
109
พระท่นี ั่งทรงธรรม
110
ชาลา
สว่ นของพนื้ ดนิ ทย่ี กระดบั และปพู นื้ ผวิ เรยี บดว้ ยวสั ดุ
ปูพื้น ชาลามักท�ำเป็นบริเวณกว้างและเชื่อมต่อกับอาคาร
หรืออยรู่ ะหวา่ งหมอู่ าคาร บางคร้ังเรียกว่า “ชาน”
พระท่นี งั่ ทรงธรรม
อาคารอยทู่ างทศิ ตะวนั ตกของพระเมรมุ าศสำ� หรับ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ประทับ
ทรงธรรมในพระราชพิธีบ�ำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ
พระบรมศพ พระศพ และเป็นที่ส�ำหรับคณะองคมนตรี
คณะรัฐมนตรี ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน
สมาชกิ รฐั สภา ตลอดจนคณะทตู านทุ ตู ผแู้ ทนศาสนาตา่ งๆ
ในประเทศไทย และขา้ ราชบริพารผู้ใหญ่ เฝ้าทลู ละอองธลุ ี
พระบาท
พระทนี่ ั่งองค์นม้ี ีขนาดโดยประมาณ กวา้ ง ๔๔.๕๐
เมตร ยาว ๑๕๕ เมตร สงู ๒๒ เมตร มีลกั ษณะเปน็ อาคาร
โถง หลังคาจัตุรมุข ยกพ้ืนสูง หลังคาจั่วมีกันสาดปีกนก
ดา้ นหนา้ และดา้ นขา้ งตอ่ เปน็ หลงั ปะรำ� เพอ่ื เพมิ่ พนื้ ทใ่ี นการ
ใช้สอย มุขด้านทศิ ตะวนั ตกและทิศตะวนั ออกหรือมุขหน้า
และหลัง เป็นมขุ ประเจดิ
111
พระท่นี ั่งทรงธรรม
112
ผนังภายในแต่ละด้านของพระท่ีน่ังทรงธรรมเป็น
ภาพจติ รกรรมโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� รกิ ลา่ วคอื
ด้านทิศเหนือเป็นโครงการอันเน่ืองมาจากพระ
ราชดำ� ริ ในพน้ื ที่ภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
ได้แก่ โครงการเข่ือนแควน้อยบ�ำรุงแดน การอนุรักษ์ดิน
(การปลูกหญ้าแฝก การแกล้งดิน การปลูกพืชหมุนเวียน
และพชื ตระกลู ถวั่ ) มลู นธิ โิ ครงการหลวง (สถานเี กษตรหลวง
การปลูกป่าอนุรักษ์ป่าต้นน�้ำล�ำธาร การส่งเสริมการผลิต
ผลิตภัณฑโ์ ครงการหลวง พชื เมืองหนาว) โครงการพัฒนา
ล่มุ น�้ำล�ำพะยังตอนบน อำ� เภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธ์ุ
ดา้ นทศิ ใตเ้ ปน็ โครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำ� ริ
ในพ้ืนที่ภาคใต้และพื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ โครงการพัฒนา
พนื้ ที่ลมุ่ นำ้� ปากพนัง จงั หวัดนครศรธี รรมราช พทั ลุง และ
สงขลา โครงการฝนหลวง (ปฏิบัติการฝนหลวงดับไฟป่า
พรุโต๊ะแดง) โครงการศูนยศ์ กึ ษาพฒั นาเขาหินซ้อน อำ� เภอ
พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โครงการตามพระราช
ประสงค์หุบกะพง จงั หวัดเพชรบรุ ี
ผนังก่ึงกลางพระที่น่ังทรงธรรมเป็นโครงการส่วน
พระองค์สวนจิตรลดา และพื้นท่ีกรุงเทพมหานครและ
ปริมณฑล โรงสีขา้ ว ผลิตภณั ฑ์จากโคนมสวนจิตรลดา การ
บริหารจดั การนำ้� ท่วม มูลนิธิพระดาบส
113
ศาลาลูกขุน
ทบั เกษตร
114
ศาลาลูกขุน
เป็นส่ิงปลูกสร้างที่ต้ังอยู่รอบพระเมรุมาศหรือ
พระเมรุ ลักษณะเป็นอาคารโถงทรงไทยช้ันเดียวต้ังอยู่
๔ ทิศ ใช้ส�ำหรับเป็นที่เฝ้าฯ ของบรรดาข้าราชการ ซ่ึงใน
มณฑลพิธีมี ๖ หลงั และนอกมณฑลพธิ อี ีก ๕ หลัง
คด
สรา้ งขึ้นเพอ่ื แสดงขอบเขตมณฑลพิธี มักสร้างเป็น
ระเบียงล้อมรอบพระเมรุมาศ พระเมรุ ใช้เป็นที่นั่งของ
เจ้าหน้าท่ผี ู้มารว่ มงาน
ทบั เกษตร
เปน็ อาคารโถงทรงไทย จำ� นวน ๘ หลงั มเี ครอื่ งยอด
ทรงมณฑป ๓ ชนั้ ตงั้ อยู่ ๔ มมุ ของพน้ื ทแ่ี สดงแนวอาณาเขต
มณฑลพิธี โดยสร้างติดแนวรั้วราชวัติเสมือนเป็นระเบียง
ลอ้ มรอบพระเมรมุ าศหรอื พระเมรุ ประดบั ตกแตง่ ลวดลาย
ไทย ใช้เป็นท่ีนั่งพักส�ำหรับข้าราชการท่ีมาเฝ้ารับเสด็จ
และร่วมพระราชพิธี ส่วนกลางทับเกษตรเป็นอาคารยอด
มณฑป ชน้ั เชงิ กลอนประดบั ดว้ ยซมุ้ บนั แถลงและนาคปกั ที่
มมุ ทง้ั ส่ี บนหลงั คาอาคารสว่ นทเ่ี ปน็ ปกี ทงั้ สองดา้ นประดบั
ฉตั รผ้าทองแผ่ลวด
115
ทมิ
116
ทิม
เป็นที่พักส�ำหรับพระสงฆ์ แพทย์หลวงและ
เจ้าพนักงานและเป็นที่ประโคมปี่พาทย์ประกอบพิธี
สรา้ งติดแนวรวั้ ราชวตั ิ ลกั ษณะเป็นอาคารชน้ั เดยี ว หลังคา
ทรงจวั่ ภควมั ซงึ่ เปน็ แบบลายมาตรฐานในอาคารประกอบ
พระเมรุ
พลบั พลายก
เปน็ โถงใชส้ ำ� หรบั พระมหากษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศ์
ทรงรอรับส่งพระบรมศพ พระศพ ข้ึนราชรถ ในอดตี มีการ
สรา้ งพลบั พลายกหนา้ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ตงั้ อยู่
มมุ ก�ำแพงวดั เย้ืองกรมการรักษาดินแดน และพลบั พลายก
สนามหลวง ด้านหนา้ ทางเข้ามณฑลพิธีทอ้ งสนามหลวง
พลับพลายกสนามหลวงเป็นอาคารโถงส�ำหรับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์
ประทับขณะประกอบพิธีอัญเชิญพระโกศลงจากราชรถ
เข้าสู่มณฑลพิธี ผังอาคารตรีมุข มีมุขลดชั้น บัวซ้ายขวา
เปน็ หลังคารูปทรงจว่ั แบบเดียวกับทิมและทับเกษตร
117
ราชวัติ
สตั ว์หมิ พานต์
118
ราชวตั ิ
เป็นแนวร้ัวก�ำหนดขอบเขตปริมณฑลของ
พระเมรุมาศและพระเมรุท้ัง ๔ ด้าน สร้างต่อเนื่อง
ไปกับทิมและทับเกษตร ตกแต่งด้วยฉัตรและธง
บางทเี รยี กรวมกันว่า “ราชวตั ฉิ ตั รธง”
สตั ว์หมิ พานต์
เป็นรูปสัตว์ท่ีประดับตกแต่งรายรอบพระเมรุมาศ
พระเมรุ ตามคติเรื่องโลกและจักรวาลซึ่งมีเขาพระสุเมรุ
เป็นศูนย์กลาง ล้อมรอบด้วยเขาสัตบริภัณฑ์และดาษดื่น
ด้วยสิงสาราสัตว์นานาพันธุ์ สมัยก่อนจึงจัดท�ำรูปสัตว์
รายรอบพระเมรุมาศและพระเมรุรวมทั้งมีการผูกหุ่นรูป
สัตว์เข้าขวนแห่พระบรมศพและพระศพไปสู่พระเมรุมาศ
พระเมรุดว้ ย
สัตว์ส�ำคัญประจ�ำทิศท่ีส�ำนักช่างสิบหมู่จัดสร้าง
ขึ้นเพื่อติดตั้งบริเวณบันไดทางข้ึนของฐานไพทีแต่ละช้ัน
ซ่ึงจะเรียงตามล�ำดับเปรียบดังทางขึ้นเขาพระสุเมรุที่
ล้อมรอบด้วยป่าหิมพานต์จนถึงช้ันระดับสูงที่เป็นท่ีอยู่
ของครุฑ โดยเร่ิมจากสัตว์มงคลส่ีประเภท ได้แก่ ราชสีห์
ช้าง ม้า และโคอสุ ุภราช ซงึ่ อาศัยอยทู่ ่ปี ากแมน่ ้�ำส�ำคัญท้ัง
สี่สายที่ไหลหล่อเล้ียงรอบนอกของป่าหิมพานต์ โดยจะ
119
สัตวห์ มิ พานต์
120
ติดต้ังท่ีข้างบันไดทางข้ึนของฐานไพที ชั้นที่หนึ่งทุกทิศ
นอกจากรปู เทวดาอญั เชญิ บงั แทรกและพมุ่ จำ� นวน ๕๖ องค์
ทมี่ ีประจำ� ทุกฐานไพที
บริเวณพ้ืนด้านข้างของรูปสัตว์ส�ำคัญผ่านมุม
พระเมรุมาศจะตกแต่งเป็นสระน�้ำ เขามอ ประดับรูปปั้น
สัตวส์ �ำคญั ยอ่ สว่ น สะทอ้ นภาพป่าหิมพานต์
บันไดซ้าย ทางข้ึนฐานไพทีช้ันท่ีสองของพระ
เมรมุ าศทกุ ทศิ ประดบั คชสหี ์ และราชสหี ์ ซง่ึ เปน็ สตั วใ์ หญท่ ่ี
ทรงพลงั อำ� นาจอยเู่ หนอื กวา่ สตั วท์ ง้ั ปวงในปา่ หมิ พานตเ์ ปน็
สญั ลกั ษณข์ องขา้ ราชบรพิ ารผจู้ งรกั ภกั ดตี อ่ พระบาทสมเดจ็
พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร คชสีห์
เปน็ ตราประจ�ำเสนาบดีท่ีสมุหกลาโหม สัญลักษณ์ผูพ้ ิทกั ษ์
แผน่ ดนิ และพระมหากษตั รยิ ์ แทนเหลา่ ทหารและตำ� รวจทกุ
เหลา่ ทัพ ราชสีห์ เป็นตราประจำ� เสนาบดีทสี่ มหุ นายก เปน็
คุณลักษณะท่ีข้าราชการพลเรือนพึงมีในการปกครองดูแล
ทกุ ขส์ ุขของราษฎรแทนข้าราชการในทุกภาคส่วน
บริเวณข้างบันไดขวา ซ้าย ทางข้ึนฐานไพทีช้ันท่ี
สามของพระเมรุมาศทุกทิศ ประดับรูปครุฑ ราชพาหนะ
ของพระนารายณ์ ซึ่งมีท่ีอาศัยบริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ
121
สิ่งกอ่ สรา้ งภายนอก
มณฑลพิธที ้องสนามหลวง
เกยลา
เกย หรอื เกยลา เปน็ แทน่ ฐานยกพน้ื สเี่ หลย่ี มยอ่ มมุ
มีรางเล่ือนส�ำหรับเชิญพระโกศพระบรมศพหรือพระโกศ
ขน้ึ ประดษิ ฐานบนพระยานมาศ ตง้ั อยดู่ า้ นหนา้ ประตกู ำ� แพง
แก้ว ด้านทิศตะวันตกของพระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาทใน
พระบรมมหาราชวงั มบี นั ไดขนึ้ ลง ๓ ดา้ น คอื ดา้ นตะวนั ออก
เป็นท่ีเชิญพระบรมโกศ พระโกศจากพระที่น่ังดุสิตมหา
ปราสาทข้นึ เกย ด้านเหนอื และด้านใต้ส�ำหรับเจา้ พนกั งาน
ส่วนด้านตะวันตก เป็นท่ีเทียบพระยานมาศสามล�ำคาน
เพอื่ เชิญพระโกศพระบรมศพ หรอื พระโกศขึน้ ประดิษฐาน
122
พลบั พลายก
เปน็ โถงใชส้ ำ� หรบั พระมหากษตั รยิ แ์ ละพระบรมวงศา
นวุ งศ์ ทรงรอรบั สง่ พระบรมศพ พระศพ ข้ึนราชรถ ในอดีต
มีการสรา้ งพลับพลายกหนา้ วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม
ตงั้ อยมู่ มุ กำ� แพงวดั เยอื้ งกรมการรกั ษาดนิ แดน พลบั พลายก
หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท และพลับพลายก
สนามหลวง ด้านหนา้ ทางเขา้ มณฑลพธิ ีท้องสนามหลวง
123
สเคำ�รหอ่ื รงบั สพงู สระำ�บคัญรมราชอิสรยิ ยศ
นอกจากอาคารส่ิงก่อสรา้ งที่ตง้ั อยู่ในเขตปรมิ ณฑล
ของพระเมรมุ าศแลว้ ยงั มเี ครอื่ งประกอบพระราชอสิ รยิ ยศ
ตามโบราณราชประเพณีเป็นส่ิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ อาทิ
เคร่ืองประกอบในการต้ังพระบรมศพ เพื่อการบ�ำเพ็ญ
พระราชกศุ ล เครือ่ งประกอบในการถวายพระเพลงิ เครือ่ ง
สูง เครอื่ งราชูปโภค เครื่องประโคม เครือ่ งประดบั ตกแตง่
พระเมรมุ าศ
การประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จพระปรมินทร
มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร ณ พระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหา
ปราสาทในพระบรมมหาราชวงั นนั้ ประดษิ ฐานพระบรมโกศ
เหนือพระแท่นแว่นฟ้าเบญจดล ภายใต้นพปฎลมหา
เศวตฉตั ร ๙ ช้นั พระบรมโกศทีป่ ระกอบพระราชอสิ รยิ ยศ
คือ พระโกศทองใหญ่ประดับพุ่มเฟื่องดอกไม้ไหว และ
ดอกไม้เอว ท่ีเอวพระบรมโกศเบื้องหน้าติดพระภูษาโยง
ทอดลงมายังพานพระมหากฐินบนเสาบัวกลุ่ม ซึ่งตั้งอยู่
เบื้องหน้า เม่ือมีการสดับปกรณ์พระบรมศพเจ้าพนักงาน
จะคลีภ่ ูษาโยงนไ้ี ปถึงอาสนสงฆ์
124
พระบรมโกศประดิษฐานเหนือพระแท่นแว่นฟ้า
เบญจดลสลักลายดุนประดับรัตนชาติสีขาว ตกแต่งด้วย
พมุ่ แกว้ พมุ่ ตาดทอง เทยี นไฟฟา้ และแจกนั ปกั ดอกไมโ้ ลหะ
สีทอง มุมพระแท่นแว่นฟ้าทองทุกชั้นปักสุวรรณฉัตรและ
สวุ รรณฉตั รคนั ดาล คอื ฉตั รทมี่ รี ปู เปน็ มมุ ฉาก ๒ ทบ พระแทน่
แวน่ ฟา้ ทองทปี่ ระดษิ ฐานพระบรมโกศตง้ั บนพระแทน่ ทอง
ทรายอีกทีหน่ึง ต้ังพุ่มตาดทองในคูหาพระแท่นทองทราย
แวดล้อมด้วยเคร่ืองอภิรุมชุมสายหักทองขวาง ประกอบ
ด้วยฉัตรชมุ สาย ๓ ชั้น ฉัตร ๕ ชัน้ ฉตั ร ๗ ชั้น และบงั แทรก
ดา้ นมขุ ตะวนั ตกจดั วางเครอ่ื งราชอสิ รยิ ยศราชปู โภค
เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ และเคร่ืองอิสริยาภรณ์ ด้านมุม
ขวาวางเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เคร่ืองอิสริยาภรณ์ และ
เหรียญรางวัลที่ทอดถวาย ด้านใต้ประดิษฐานพระบรม
ฉายาลกั ษณ์ เบอื้ งหนา้ พระบรมโกศเปน็ เครอ่ื งราชสกั การะ
กน้ั ราชวตั ทิ างมมุ ขา้ งเหนอื และขา้ งใต้ ถดั มาวางเสาบวั กลมุ่
ปดิ ทองประดบั กระจกตง้ั พมุ่ ตาดเงนิ และตาดทอง ระหวา่ ง
กลางราชวัติวางพวงมาลาพร้อมเชิญพระพุทธรูปประจ�ำ
พระชนมวาร
125
นพปฎลมหาเศวตฉตั ร
126
ฉตั ร
เป็นเครือ่ งสูง มรี ปู ร่างคลา้ ยร่มทซ่ี อ้ นกนั ขน้ึ ไปเปน็
ช้ัน ๆ โดยช้นั บนมีขนาดเลก็ ว่าช้ันล่าง มที ั้งประเภทแขวน
ปกั ตัง้ หรอื เชิญเขา้ ขบวนแห่ เพ่อื เปน็ พระเกียรตยิ ศ ไดแ้ ก่
ฉตั รแขวนหรอื ปกั แบง่ ออกเปน็ ๔ ชนดิ คอื เศวตฉตั ร
(นพปฎลมหาเศวตฉัตร สัปตปฎลเศวตฉัตร เบญจปฎล
เศวตฉัตร และเศวตฉัตร ๓ ชั้น) ฉัตรผ้าขาวลายทอง
ฉตั รตาด (ฉตั รผา้ ตาดสขี าว ๕ ชนั้ ฉตั รผา้ ตาดสเี หลอื ง ๕ ชน้ั )
ฉตั รโหมด (ฉตั รผา้ โหมดสขี าว ๕ ชนั้ ฉตั รผ้าโหมดสีเหลอื ง
๕ ชั้น ฉตั รผา้ โหมด สีทอง ๕ ช้นั ฉัตรผ้าโหมดสเี งนิ ๕ ชั้น
ฉัตรผา้ โหมดสที อง ๓ ชั้น)
ฉตั รทใี่ ชป้ ระดบั บนยอดพระโกศทบี่ รรจพุ ระบรมอฐั ิ
พระอฐั ิ แบง่ เปน็ ๔ ชนดิ คอื ฉตั รปรทุ องคำ� กรผุ า้ ขาว ๙ ชนั้
ฉัตรทองค�ำลงยา ๗ ชั้น ฉัตรทองค�ำลายโปร่ง ๗ ช้ัน
ไม่บุผ้าขาวส�ำหรับพระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า
ฉัตรทองค�ำลายโปร่ง ๗ ช้ัน ไม่บุผ้าขาวส�ำหรับพระอัฐิ
พระรัชทายาทหรือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอที่ได้รับการ
สถาปนาพระเกียรติยศข้ึนเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช
เทยี บเท่าสมเดจ็ พระรชั ทายาท
127
ฉตั รปกั พระเบญจา หมายถงึ ฉตั รทองทรงกระบอก
ลายสลักโปร่ง ๕ ช้ัน หน่ึงส�ำรับมี ๘ องค์ ต้ังแต่งมุม
พระเบญจาทงั้ ๔ มุม
ฉัตรส�ำหรับตั้งในพิธี หรือเชิญเข้าขบวนแห่เป็น
เกียรติยศ แบ่งเป็น ๖ ชนิด คือ พระมหาเศวตฉัตรกรร
ภริ มย์ (มี ๓ องค์ คอื พระเสนาธปิ ตั ย์ พระฉตั รชยั พระเกาว
พา่ ห)์ พระอภริ มุ ชมุ สาย (พระอภริ มุ ชมุ สายปกั หกั ทองขวาง
พระอภิรุมชุมสายทองแผ่ลวด) ฉัตรเคร่ืองสูงวังหน้า ฉัตร
เบญจา ฉัตรราชวัติ
นพปฎลมหาเศวตฉัตร
สำ� หรบั พระมหากษตั รยิ ท์ ท่ี รงรบั พระบรมราชาภเิ ษก
ตามโบราณราชประเพณแี ลว้ ลกั ษณะเปน็ ฉตั รผา้ ขาว ๙ ชน้ั
แต่ละช้นั มรี ะบายขลบิ ทองแผ่ลวดซ้อน ๓ ชน้ั ฉัตรช้นั ลา่ ง
สดุ หอ้ ยอุบะจ�ำปาทอง เศวตฉัตรแบบน้ีใช้แขวนหรือปักใน
สถานทแ่ี ละโอกาสตา่ ง ๆ คือ
• ใช้ปักเหนือราชบัลลังก์ในท้องพระโรง
ในพระที่นง่ั พระมหาปราสาทในพระมหามณเฑียร
• ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพิตร ใชป้ กั เหนือพระที่น่งั
ภทั รบฐิ เมอ่ื ครง้ั ทรงรบั พระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก
128
• ใช้แขวนเหนือพระแท่นราชบรรจถรณ์ภายใน
พระมหามณเฑียร
• ใช้แขวนเหนือพระโกศทรงพระบรมศพ ณ
ทีป่ ระดษิ ฐานพระบรมศพ
• ใช้ปักยอดพระเมรุมาศ
• ใช้ปักบนพระยานมาศสามล�ำคาน หรือพระ
ยานมาศสามล�ำคานในการเชิญพระบรมศพโดยขบวน
พระบรมราชอิสรยิ ยศ
• ใช้ปักเหนือเกรินขณะเชิญพระโกศพระบรม
ศพข้ึนสู่พระมหาพิชัยราชรถ และเชิญขึ้นประดิษฐานบน
พระเมรมุ าศ
• ใช้แขวนเหนือพระจิตกาธานเมื่อสุมเพลิงและ
เกบ็ พระบรมอฐั ิ
129
พระโกศจนั ทน์
130
พระโกศ
พระโกศจนั ทน์
พระโกศเป็นเคร่ืองประกอบพระราชอิสริยยศของ
พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ใช้ส�ำหรับทรง
พระบรมศพและพระศพกอ่ นทจ่ี ะถวายพระเพลงิ พระโกศมี
๒ ช้นั ช้นั นอกเรยี กวา่ “พระโกศ” ตกแตง่ สวยงามทำ� ดว้ ย
ไม้แกะสลักลงรักปิดทองประดับกระจก มีรูปทรงเป็นทรง
กรวยยอดแหลม สว่ นช้นั ในเรยี กว่า “พระลอง”
พระโกศจนั ทนส์ รา้ งจากไมจ้ นั ทนเ์ พอื่ ใชใ้ นการถวาย
พระเพลิงพระบรมศพ พระศพ เพอื่ เชญิ พระโกศพระบรม
ศพ พระศพ ส่วนนอกเปล้ืองออกเหลือแต่พระลองใน
เจ้าพนักงานจะน�ำพระโกศจันทน์เข้าประกอบพระลองซ่ึง
ประดษิ ฐานบนตระแกรงเหลก็ ชว่ งรดั เอวของพระจติ กาธาน
เพือ่ ถวายพระเพลงิ
พระโกศจันทน์มีโครงภายในเป็นเหล็กไร้สนิมและ
กรุด้วยลวดตาข่าย ใช้ไม้จันทน์ฉลุตกแต่งลวดลายขนาด
ใหญน่ อ้ ยใหไ้ ดส้ ัดส่วนทีง่ ดงาม ขัดแตง่ ผวิ ลบั คมและเส้ียน
ใหเ้ รียบ นำ� ลายแต่ละช้ันมาจดั ดอกตามชดุ โดยแยกสเี นื้อ
ไมอ้ อ่ นแกป่ ระกอบกนั เพ่อื ให้เกิดมิตทิ ่ีสวยงาม
พระโกศจนั ทนม์ ลี กั ษณะพเิ ศษแตกตา่ งจากพระโกศ
องค์อ่ืน ๆ ท้ังหมด คือ องค์พระโกศเป็นทรงแปดเหลี่ยม
ฐานเตี้ย ฝาพระโกศเตี้ยแจ้ คล้ายพระโกศลองในซ่ึงเป็น
ทรงกระบอก ฐานพระโกศเป็นบัวคว่�ำติดเป็นช้ินเดียวกับ
131
องค์พระโกศและหีบพระบรมศพ ฝาพระโกศมักเป็นทรง
บัวถลา ทรงเกี้ยว หรือทรงมงกุฎ มีลวดลาย เช่น ลาย
บวั ถลา ลายดอกจอก ลายดอกไมท้ ศิ พระโกศจนั ทนม์ ที มี่ า
จากฟืนไม้จันทน์ เม่ือจะถวายพระเพลิงหรือพระราชทาน
เพลิง พนักงานเจ้าหน้าท่ีจะเปลื้องพระโกศทองออกเหลือ
แต่พระโกศลองในซ่ึงเป็นโกศกลม ฝาปริกแลดูไม่งดงาม
จึงได้มีการคิดประดิษฐ์ฟืนไม้จันทน์ข้ึนให้เป็นรูปล้อทรง
ของพระโกศลองใน แต่ประดิษฐ์ลวดลายคล้ายพระโกศ
ทองท่ีเปลื้องออก ใช้ลวดลายขนาดต่าง ๆ ผูกเช่ือมต่อกัน
เข้าเป็นโครงแล้วน�ำแผงลวดตาข่ายผูกกรุตามรูปทรงของ
หุ่นพระโกศ จากนั้นจึงน�ำลวดลายที่เรียกว่าลายซ้อนไม้
เข้าผูกประดับจนท่ัวองค์พระโกศเป็นลายโปร่งทะลุ มอง
เห็นพระโกศลองในเปน็ สที องราง ๆ เกิดความงดงาม เหตุ
ที่มีการสร้างพระโกศไม้จันทน์ให้มีลักษณะดังกล่าวก็เน่ือง
มากจากเหตผุ ลสองประการ คอื
ประการทห่ี นง่ึ พระโกศจนั ทนม์ ที มี่ าจากฟนื ไมจ้ นั ทน์
ซึ่งมีหน้าท่ีเป็นฟืนหรือเชื้อเพลิงส�ำหรับพระบรมศพหรือ
พระศพ จงึ ไมม่ กี ารแกะสลกั เพยี งแตโ่ กรกฉลแุ ผน่ ไมบ้ าง ๆ
เป็นชิ้นลายขนาดต่าง ๆ แล้วน�ำมาซ้อนให้เป็นช้ันเชิงและ
รูปทรงตามต้องการ แลเหน็ สีทองของพระโกศลองในทะลุ
ช่องไฟลายฉลอุ อกมางดงาม
ประการที่สอง พระโกศจันทน์เป็นพระโกศโครง
ตาข่าย ประดบั ลายแบบฉลโุ ปรง่ เปน็ ชั้น ๆ ท�ำใหม้ นี ำ�้ หนัก
132
เบา สะดวกแก่การประกอบครอบองคพ์ ระโกศลองใน เมื่อ
ถวายพระเพลิงจะลกุ ไหมไ้ ด้สะดวก นับเป็นภมู ิปญั ญาของ
ช่างไทยในอดีต
เหตทุ ใ่ี ชไ้ มจ้ นั ทนเ์ ปน็ ฟนื หรอื เชอ้ื เพลงิ ในการถวาย
พระเพลงิ พระบรมศพหรอื พระราชทานเพลงิ พระศพพระมหา
กษตั รยิ แ์ ละพระบรมราชวงศผ์ ใู้ หญ่ เนอ่ื งจากประเพณขี อง
ชนชาติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอีกหลายภูมิภาค
นยิ มวา่ ไมจ้ นั ทนเ์ ปน็ ไมศ้ กั ดสิ์ ทิ ธมิ์ คี ณุ ลกั ษณะพเิ ศษ เชน่ มี
กลนิ่ หอม เพราะนำ�้ มนั ในเนอื้ ไม้ แกน่ และเนอื้ ไมม้ สี เี หลอื ง
สวยงามคลา้ ยทองคำ� เปน็ ของมคี า่ หายาก จงึ ใชเ้ ปน็ ฟนื หรอื
เชือ้ เพลงิ เผาศพผทู้ ี่เคารพรักอย่างสงู สดุ เป็นการใหเ้ กียรติ
และเปน็ การสักการะอย่างสงู เช่น ในคราวถวายพระเพลงิ
พระบรมศพพระพุทธสรรี ะ ณ เมืองกสุ ินารา กล่าววา่ ใช้ไม้
จนั ทน์หอมลว้ น ซ่งึ ถอื เป็นประเพณีสบื มาจนปัจจุบัน
การสรา้ งหนุ่ โครงพระโกศจนั ทนใ์ ชเ้ หลก็ เสน้ ลกั ษณะ
ตา่ ง ๆ ตัด ตอ่ เชอื่ ม ผูก ใหไ้ ด้รปู ทรงของโครงหุน่ ตามแบบ
ทกี่ ำ� หนด แลว้ นำ� เสน้ ลวดตาขา่ ยขนาดเลก็ ตาคอ่ นขา้ งถกี่ รุ
ให้ทั่วและขึงให้ตึง เพ่ือให้ได้รูปทรงของโครงหุ่นที่งดงาม
จากนน้ั จงึ นำ� ไมจ้ นั ทนฉ์ ลลุ วดลายตา่ ง ๆ เปน็ ชน้ิ ๆ ประดบั
ประกอบโดยรอบ ลวดลายที่ใช้ประกอบฐานรองพระโกศ
จนั ทนแ์ ละพระโกศจนั ทนม์ มี ากกวา่ ๕๐ ลาย ไดแ้ ก่ ลายหนา้
กระดาน ลายกุดน่ั ดอกจอก กระจังฝา กระจงั คว่ำ� กระจงั
จวน ลายดอกไมไ้ หว ชอ่ ไมไ้ หวบวั ถลา ขอบคว้ิ บวั ถลา อบุ ะ
133
บวั ปากฐาน เปน็ ตน้ จำ� นวนชน้ิ ไมฉ้ ลมุ มี ากกวา่ หมน่ื ชนิ้ เมอ่ื
ประกอบกนั เขา้ เปน็ ลายเสรจ็ สมบรู ณแ์ ลว้ จะงดงามตามราช
ประเพณแี ละสมพระเกยี รตยิ ศอยา่ งย่ิง
พระโกศทองใหญ่
พระโกศและพระลอง คอื ภาชนะเครอ่ื งสงู ทรงกรวย
ยอดแหลมใช้บรรจพุ ระบรมศพ เรียกวา่ พระบรมโกศ พระ
โกศ โกศ พระลอง และลอง มสี องช้นั ในสมยั อยุธยาเรยี ก
ชั้นนอกว่า “ลอง” สมัยรัตนโกสินทร์ ถึงรัชกาลพระบาท
สมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว เรยี กช้นั นอกว่า “โกศ” และ
กลบั มาเรยี กวา่ “ลอง” อกี ชน้ั หนง่ึ ภาชนะทบี่ รรจพุ ระบรม
ศพ พระศพ ศพ ช้ันนอกนี้ท�ำด้วยโครงไม้หุ้มทองปิดทอง
ประดับกระจกและอัญมณี ส่วนช้ันใน เรียกสลับไปมากับ
ชน้ั นอกดงั กล่าวขา้ งต้น ทำ� ดว้ ยเหลก็ ทองแดง หรอื เงนิ ปิด
ทอง อย่างไรก็ดีในบางคร้ังเรียกรวมกันท้ังช้ันนอกและช้ัน
ใน ว่า “โกศ” ซึ่งมีขนาดและรูปทรงต่างกันไปตามล�ำดับ
ของพระอสิ รยิ ยศ เชน่ พระโกศทองใหญ่ พระโกศทองนอ้ ย
พระโกศไม้สิบสอง โกศแปดเหล่ียม เป็นต้น ปัจจุบันเรียก
ชน้ั นอกวา่ พระโกศ ชนั้ ในเรียกวา่ พระลอง พระลองใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โปรดใหส้ รา้ งพระโกศทองใหญ่ขึน้ เมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๓๕๑
ส�ำหรับทรงพระบรมศพของพระองค์ เมื่อสร้างเสร็จโปรด
เชิญให้เข้าไปตั้งถวายให้ทอดพระเนตรในพระท่ีนั่งไพศาล
134
ทกั ษณิ เมอ่ื สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงศรสี นุ ทร
เทพสนิ้ พระชนม์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
มหาราชทรงพระอาลัยมากและใคร่จะทอดพระเนตรพระ
โกศทองใหญอ่ อกพระเมรุ จงึ โปรดใหเ้ ชญิ พระโกศทองใหญ่
ประกอบพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง
ศรสี นุ ทรเทพ เปน็ ครงั้ แรก เลยเปน็ ประเพณใี นรชั กาลตอ่ ๆ
มา ทพ่ี ระราชทานพระโกศทองใหญใ่ หท้ รงพระศพเจา้ นาย
พระองค์อ่ืนเป็นพิเศษ นอกจากพระบรมศพของพระมหา
กษตั รยิ ไ์ ด้ พระโกศทองใหญอ่ งคน์ เ้ี รยี กวา่ พระโกศทองใหญ่
รชั กาลท่ี ๑ ดว้ ยในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างพระโกศทองใหญ่ขึ้นอีกองค์หน่ึง
ท่ีต่อมาเรียกว่า พระโกศทองใหญ่รัชกาลท่ี ๕ และใน
รชั กาลพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช
บรมนาถบพติ ร โปรดใหส้ รา้ งพระโกศทองใหญอ่ กี องคห์ นง่ึ
เรยี กวา่ พระโกศทองใหญ่รชั กาลที่ ๙
พระโกศพระบรมอฐั ิ
พระโกศพระบรมอัฐิ คือ พระโกศส�ำหรับบรรจุ
พระบรมอฐั ขิ องพระเจา้ แผน่ ดนิ สมเดจ็ พระราชนิ หี รอื พระ
ประยูรวงศม์ าแต่อดีตมักสรา้ งดว้ ยโลหะมีคา่ เชน่ ทอง เงิน
หรือโลหะอ่ืนแล้วกะไหล่ด้วยทองประดับอัญมณีหรือรัตน
ชาตเิ พอื่ ใหส้ วยงามสมพระเกยี รติ มลี กั ษณะรปู ทรงกระบอก
ประกอบด้วยส่วนฐาน ส่วนตัวพระโกศที่เป็นทรงกระบอก
135
ปากผายและฝาสำ� หรบั ปดิ สว่ นบน รปู ทรงโดยรวมอาจเปน็
แปดเหลี่ยมหรือทรงกลมแล้วแต่ความเหมาะสม ถ้าเป็น
ระดบั สงู มักมียอดทรงมงกฎุ ประดบั ดว้ ยพมุ่ หรือฉตั รตาม
ฐานันดรศักด์ิ ประดับตกแต่งให้งดงามสมพระเกียรติด้วย
ดอกไม้เอวท่ีส่วนฐาน ดอกไม้เพชร หรือดอกไม้ไหวที่ส่วน
ฝาและเฟอ่ื งพรู่ ะยา้ ทปี่ ากฝาพระโกศ ภายในบรรจพุ ระโกศ
ศลิ าซง่ึ ท�ำด้วยศิลาสีขาวเป็นทรงกระบอกมฝี าเชน่ เดยี วกัน
เพื่อใช้บรรจุพระบรมอัฐิ โดยพระโกศศิลาจะอยู่ชั้นในรอง
จากพระโกศทองดา้ นนอก
ตามประเพณีหลังจากเสร็จสิ้นงานถวายพระเพลิง
พระบรมศพ พระราชทานพระเพลงิ พระศพ หรอื เผาศพแลว้
จะมกี ารเกบ็ พระบรมอฐั ิ พระอฐั ิ หรอื อฐั ิ และพระบรมราช
สรีรางคาร พระสรีรางคาร หรือเถ้ากระดูก น�ำไปบ�ำเพ็ญ
กุศลอีกคร้ังหน่ึงก่อนจะน�ำไปเก็บรักษาบูชา ณ สถานที่
อันสมควร เพ่ือแสดงความเคารพ ความอาลัยและความ
กตัญญู ส�ำหรบั พระบรมอฐั ิ พระอัฐิ หรอื อัฐิ และพระบรม
ราชสรรี างคาร พระสรรี างคาร หรอื เถ้ากระดกู ส่วนทเี่ หลอื
มกั น�ำไปลอยในแม่น�ำ้ ตามคติความเชอ่ื ลทั ธิฝ่ายพราหมณ์
ซึง่ เชือ่ ว่าเปน็ การลา้ งบาปแกผ่ ูว้ ายชนม์ และเพื่อให้ไดไ้ ปสู่
สรวงสวรรค์
ในส่วนพระโกศพระบรมอัฐิ พระอัฐิ น้ัน
ขณะท่ีเตรียมงานจะสร้างพระโกศพระบรมอัฐิ พระอัฐิ
ควบคู่ไปตามโบราณราชประเพณี พระโกศพระบรมอัฐิ
136
พระมหากษตั รยิ ์ และสมเดจ็ พระอคั รมเหสจี ะทำ� ดว้ ยทองคำ�
ลงยาราชาวดี บางส่วนประดับเพชร พลอย เช่น ที่เฟื่อง
พุม่ ยอด และเคร่ืองประดบั อืน่ ๆ ส่วนพระโกศพระอัฐิของ
พระบรมวงศช์ น้ั สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ลงมาถงึ พระองคเ์ จา้ ตา่ งกรม
ชน้ั สมเดจ็ กรมพระยา ทำ� ดว้ ยทองคำ� ลงยา ทง้ั นใ้ี นการสรา้ ง
พระโกศพระบรมอฐั ิ พระอฐั ิ มกั มกี ารจำ� ลองแบบตามอยา่ ง
ทเี่ คยสรา้ งกนั สบื มาตามพระราชประเพณโี ดยอาจแตกตา่ ง
กนั ในส่วนรายละเอียด
งานสร้างพระโกศพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ครั้งน้ี แบ่งออกเป็น ๔ รูปแบบ คือ พระโกศพระบรมอัฐิ
ที่ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระโกศ
พระบรมอัฐิท่ีจะทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระโกศ
พระบรมอัฐิท่ีจะทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชนิ นี าถ และพระโกศพระบรมอฐั ทิ จี่ ะทลู เกลา้ ฯ
ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์
อัครราชกมุ ารี และทลู กระหม่อมหญิงอบุ ลรัตนราชกญั ญา
สริ ิวัฒนาพรรณวดี
137
ช่อไม้จนั ทน์
138
ช่อไมจ้ นั ทน์
สำ� นกั ชา่ งสบิ หมู่ กรมศลิ ปากร ไดจ้ ดั ทำ� ชอ่ ไมจ้ นั ทน์
ส�ำหรับในส่วนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวิราลงกรณ
บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อใช้
ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ช่อไม้จันทน์
ท้ังหมดนั้นจัดสร้างโดยสถาบันสิริกิต์ิจากไม้จันทน์หอม
ในพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ทีก่ รมอุทยานสตั วป์ ่าและพนั ธ์ุพืชสง่ มอบให้
ช่อไม้จันทน์จัดท�ำทั้งหมด ๗ แบบ ใช้ลายดอกไม้
เทศซ้อนไม้ฉลุซ้อนกัน พิเศษตรงท่ีการแกะสลักที่เป็น
ลวดลายนนู สงู เพอื่ เพม่ิ มติ ิ โดยทกุ ขน้ั ตอนดำ� เนนิ การอยา่ ง
พถิ พี ิถัน
139
ราชรถ ราชยาน
ราชรถ ราชยาน
ความหมายของราชรถ ราชยาน
ราชรถ ราชยาน เปน็ หนง่ึ ในเครอ่ื งประกอบพระบรมราช
อสิ รยิ ยศ พระราชอสิ รยิ ยศ พระอสิ รยิ ยศของพระมหากษตั รยิ ์
และพระบรมวงศ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานานุศักดิ์ของผู้ใช้
การใช้ราชรถ ราชยานในราชส�ำนกั มีมาแต่ครั้งโบราณกาล
ปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยาและเป็นราช
ประเพณสี บื เนื่องต่อมาจนถึงสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์
ราชรถ หมายถึง พาหนะแห่งองค์พระราชา ในสมยั
โบราณน่าจะพัฒนามาจากเกวียนขนาดเล็กท่ีน่ังได้เพียง
คนเดยี วและเทยี มดว้ ยมา้ หรอื สตั วอ์ นื่ เชน่ ววั หรอื ลา หรอื
ลอ่ หรอื แมแ้ ตค่ น ตวั รถทำ� ดว้ ยไมท้ แี่ กะสลกั ลวดลายอยา่ ง
สวยงาม เพอื่ ใหม้ คี วามสงา่ งามสมกบั ทจี่ ะใชเ้ ปน็ ราชพาหนะ
แห่งองค์พระราชา อย่างไรก็ตาม ได้มีการตกแต่งตัวรถ
เพม่ิ ความอลังการข้ึน มีการปิดทองประดับกระจกอญั มณี
หรอื หมุ้ ดว้ ยแผน่ ทองดนุ ลายดอกไมป้ ระดษิ ฐใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ
แทนการแกะสลักเนอื้ ไมโ้ ดยตรง
ราชยาน เปน็ เครอื่ งประกอบพระราชอิสริยยศของ
พาหนะพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ ส่วนยาน เป็น
เคร่ืองประกอบยศของบุคคลช้ันสูงในสังคมสมัยโบราณ
แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ฐานะและอ�ำนาจอนั แตกต่างจากสามัญชน
ทว่ั ไป จุดกำ� เนดิ ของยาน คานหามต่าง ๆ นน้ั นา่ จะเกิดใน
กลุ่มสงั คมทเี่ จริญก้าวหน้าเป็นวัฒนธรรมเมืองแลว้
141
ตามโบราณราชประเพณี พระมหากษัตริย์ไทย
ทรงทศพิธราชธรรมและมีพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวง
ต่อประเทศชาติ ทรงได้รับการยกย่องเป็นสมมติเทพ
หรอื เปน็ เทวดาจตุ ลิ งมาอบุ ตั บิ นโลกมนษุ ย ์ ครนั้ เมอื่ สวรรคต
ก็เท่ากับเปน็ การเสดจ็ กลบั สสู่ วรรค์ พระราชพิธีถวายพระ
เพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล
อดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร ณ พระเมรมุ าศ ทอ้ งสนามหลวง
ใช้ราชรถ ราชยาน ประกอบขบวนพระบรมราชอิสริยยศ
เชิญพระบรมโกศลงจากพระแท่นสุวรรณเบญจดล จาก
พระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาททางประตูมุขด้านตะวันตก
ประดิษฐานบนพระเสลี่ยงแว่นฟ้า แล้วเชิญพระบรมโกศ
ข้ึนประดิษฐานบนพระยานมาศสามล�ำคานท่ีหน้า
ประตูก�ำแพงแก้วด้านตะวันตก เคล่ือนออกทางประตู
ศรีสุนทรและประตูเทวาภิรมย์เข้าประจ�ำขบวนพระ
บรมราชอิสริยยศบนถนนมหาราช เคลื่อนไปยังถนน
สนามไชย สมเด็จพระราชาคณะน่ังบนราชรถนอ้ ยนำ� หนา้
พระมหาพิชัยราชรถ ขบวนเคล่ือนสู่พระเมรุมาศ
ณ ท้องสนามหลวง จากน้ันเชิญพระบรมโกศลงจาก
พระมหาพิชัยราชรถด้วยเกรินบันไดนาคประดิษฐานบน
ราชรถปืนใหญ่เวียนรอบพระเมรุมาศ ๓ รอบ แล้วจึง
เชญิ พระบรมโกศประดิษฐานบนพระเมรมุ าศ
142
หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้วจึงเชิญ
พระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคาร โดยพระท่ีน่ัง
ราเชนทรยานจากพระเมรมุ าศกลับสพู่ ระบรมมหาราชวัง
การจัดริ้วขบวนเครื่องประกอบพระบรมราช
อิสริยยศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตรเป็นสิ่งส�ำคัญ จึงต้องบูรณะและตกแต่ง
ราชรถ ราชยาน คานหามให้พร้อมส�ำหรับการอัญเชิญ
พระบรมศพ พระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคาร
รวมท้ังซักซ้อมการเคล่ือนขบวนให้งดงามประหนึ่งราชรถ
เคลอื่ นบนหมูเ่ มฆสง่ เสด็จสู่สวรรค์
143
พระมหาพิชยั ราชรถ
พระมหาพิชัยราชรถ
พระมหาพชิ ยั ราชรถมลี กั ษณะเปน็ ราชรถทรงบษุ บก
ท�ำด้วยไม้แกะสลัก ลงรักปิดทองประดับกระจก สร้างข้ึน
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ใช้เพื่อการเชิญพระโกศพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรม
มหาชนก (ทองดี) ออกพระเมรุ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๙
ต่อมาใช้เชิญพระบรมโกศพระมหากษัตริย์และพระโกศ
พระบรมวงศจ์ นถงึ ปัจจบุ นั
พระมหาพิชยั ราชรถมขี นาดกวา้ ง ๔.๘๘ เมตร ยาว
๑๘ เมตร สูง ๑๑.๒๐ เมตร นำ�้ หนกั ๑๓.๗ ตัน ใช้จ�ำนวน
พลฉุดชัก ๒๑๖ นาย คือ ด้านหน้า ๑๗๒ นาย ด้านหลัง
๔๔ นาย
145
เวชยนั ตราชรถ
146
เวชยนั ตราชรถ
เป็นราชรถอีกองค์หนึ่งท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
สร้างขึ้นเพ่ือเชิญพระศพสมเด็จพระพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากรม
พระศรีสุดารักษ์ ในงานพระเมรุคู่กับสมเด็จพระพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี ซึ่งทรงใช้พระมหาพิชัยราชรถ
เม่อื พ.ศ. ๒๓๔๒ ภายหลงั งานพระเมรุ พ.ศ. ๒๓๔๒ แล้ว
เวชยันตราชรถถูกใช้เปน็ ราชรถรองในงานพระเมรพุ ระเจ้า
อยู่หัวรัชกาลต่อมา จนถึงงานพระเมรุพระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตอ่ มาพระมหาพชิ ยั ราชรถชำ� รดุ
งานพระเมรุพระบาทสมเด็จพระพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่
หัว และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทร จงึ ไดใ้ ช้เวชยนั ตราชรถเปน็ รถทรง
พระบรมศพ โดยออกหมายเรยี กพระมหาพิชัยราชรถ และ
ไมม่ รี าชรถรองในรวิ้ ขบวน แมใ้ นการพระเมรเุ ชญิ พระบรมศพ
สมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณี พระบรมราชนิ ีในพระบาท
สมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ก็ได้ใชเ้ วชยันตราชรถเปน็ รถ
เชญิ พระบรมศพเมอ่ื วนั ท่ี ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘ โดยกรม
ศลิ ปากรไดซ้ อ่ มแซมเสรมิ ความมนั่ คงตกแตง่ ความสวยงาม
ด้วยการลงรักปิดทองประดับกระจก และได้ออกหมาย
เรยี กวา่ พระมหาพชิ ัยราชรถ
เวชยนั ตราชรถมขี นาดกวา้ ง ๔.๙๐ เมตร ยาว ๑๗.๕๐
เมตร สูง ๑๑.๗๐ เมตร นำ้� หนกั ๑๒.๒๕ ตัน ใช้จ�ำนวนพล
ฉดุ ชกั ๒๐๖ นาย คอื ดา้ นหนา้ ๑๖๐ นาย ดา้ นหลงั ๔๖ นาย
147
ราชรถนอ้ ย
148
ราชรถนอ้ ย
ราชรถนอ้ ยทง้ั สามองคม์ ขี นาดเลก็ กวา่ พระมหาพชิ ยั
ราชรถและเวชยนั ตราชรถ มลี กั ษณะคลา้ ยราชรถองคใ์ หญ่
ทง้ั สององค์ คอื มสี ่วนตวั รถทแี่ กะสลกั ลงรกั ปิดทองประดบั
กระจก คานทย่ี นื่ ออกมาเปน็ รปู นาคราช บนราชรถมบี ษุ บก
ต้งั อย่เู ชน่ เดยี วกนั เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
ราชรถน้อยองค์หน่ึงใช้เป็นราชรถที่สมเด็จพระ
สังฆราชประทับทรงสวดน�ำขบวนพระมหาพิชัยราชรถ
ราชรถองคท์ ส่ี องเปน็ ราชรถโยงผา้ จากพระบรมโกศจดั เปน็
ราชรถตาม จากน้ันเป็นราชรถน้อยอีกองค์หน่ึง ใช้เป็นรถ
ส�ำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ประทับเพื่อทรงโปรย
ทานพระราชทานแก่ประชาชนที่มาเฝ้ากราบพระบรมศพ
ตามทางส่พู ระเมรมุ าศ
ต่อจากนนั้ ตามด้วยราชรถรอง คือ เวชยนั ตราชรถ
และรถประทบั อื่น ๆ ดงั นั้น จะเหน็ ไดว้ ่าราชรถทใี่ ช่ในการ
พระบรมศพมี ๕ องค์ ซ่ึงล้วนสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี ๑
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชแหง่ กรงุ
รตั นโกสินทร์ และได้นำ� ออกใชง้ านพระเมรมุ าศทุกรัชกาล
จนปัจจบุ ัน
ราชรถนอ้ ยทง้ั สามองคม์ ขี นาดและนำ้� หนกั ตา่ งกนั คอื
ขนาดกว้าง ๓.๖๔ เมตร ยาว ๑๒.๙๕ เมตร สูง ๖.๓๐ เมตร
น้�ำหนกั ๓.๘๕ ตนั ใช้จำ� นวนพลฉุดชกั ๗๔ นาย คอื ด้าน
หนา้ ๕๖ นาย ดา้ นหลัง ๑๘ นาย องคท์ ีส่ อง กว้าง ๓.๖๖
เมตร ยาว ๑๒.๙๕ เมตร สงู ๖.๓๐ เมตร นำ�้ หนกั ๓.๖๕ ตนั
149