เครอื งมอื และวธิ กี ารเก็บ
ตัวอย่างอากาศ
(ฝุน, ฟูมโลหะ, สารเคม,ี รงั สี, แสงสวา่ ง, เสียง, เชอื รา/แบคทีเรียในอากาศ ฯลฯ
รวมทังมาตรฐาน ข้อกําหนด กฎหมายทีเกียวข้อง)
ในด้านสุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและอาชวี อนามยั
อนามยั สิงแวดล้อม
รองศาสตราจารย์ ดร. พรพรรณ สกุลคู
สาขาวิชาอนามัยสิงแวดล้อม อาชีวอนามัย
และความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์
ม ห า วิ ท ย า ลั ย ข อ น แ ก่ น
ก
คำนำ
ตำรำเรื่องเคร่ืองมือและวิธีกำรเก็บตัวอย่ำงอำกำศ ได้เรียบเรียงเน้ือหำในด้ำนสุขศำสตร์
อุตสำหกรรมและอำชีวอนำมัย อนำมัยสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้เขียนได้เรียบเรียงและอธิบำยโดยแบ่งเน้ือหำ
ออกเป็น 12 บท อำทิเช่น ค่ำมำตรฐำนตัวบ่งชี้ทำงชีวภำพ, ฝุ่นในบรรยำกำศ, ฝุ่นในสถำน
ประกอบกำร, รังสี, แสงสว่ำง, เสียง, เช้ือรำ, ควำมร้อน, สำรเคมี, ฟูมโลหะ, อุปกรณ์ป้องกัน
อนั ตรำยส่วนบุคคล, กลน่ิ พร้อมทงั้ ยกตวั อย่ำงงำนวิจัยท่ีเกี่ยวข้องและตวั อย่ำงกำรเก็บข้อมูล รวมถึง
มำตรฐำน ขอ้ กำหนด กฎหมำยที่เก่ียวขอ้ ง
ผู้เขียนมีควำมประสงค์ให้ตำรำเร่ืองเครื่องมือและวิธีกำรเก็บตัวอย่ำงอำกำศเล่มน้ี เป็น
คำอธิบำยเร่ืองเคร่ืองมือและวิธีกำรเก็บตัวอย่ำงอำกำศ ท่ีเหมำะสมสำหรับนักศึกษำอำชีวอนำมัย
และควำมปลอดภัย-อนำมัยสิ่งแวดล้อม ศึกษำจึงได้ค้นคว้ำจำกคำอธิบำยของอำจำรย์ผู้ทรงคุณวุฒิ
ท่ีมีควำมเช่ียวชำญทำงเคร่ืองมือและวิธีกำรเก็บตัวอย่ำงอำกำศ หลำยท่ำนนำมำอธิบำยเป็นตำรำ
กำรสอนน้ี
ส่วนดีท่ีได้จำกคำอธิบำยเล่มนี้ ขออุทิศให้แก่บรรพอำจำรย์ท่ีอบรมสั่งสอนควำมรู้ด้ำนอำชีว
อนำมัยและควำมปลอดภยั -อนำมยั สงิ่ แวดลอ้ ม ใหแ้ กผ่ ู้เขยี น และที่ขำดมิได้คอื บดิ ำ มำรดำ ซึ่งเปน็ ครู
คนแรกของผู้เรียบเรยี ง
รองศำสตรำจำรย์ ดร. พรพรรณ สกลุ คู
ข
สารบัญ หนา้
เคร่อื งมอื และวธิ กี ารเก็บตวั อยา่ งอากาศ ก
ข
คานา ค
สารบัญ ง
สารบัญตาราง
สารบญั ภาพ 6
6
บทนา 7
ปัจจยั ท่เี กยี่ วข้องกับการเกบ็ ตัวอย่างทางสุขศาสตร์อตุ สาหกรรม 7
หนว่ ยงานตา่ งประเทศทีเ่ ก่ียวข้องกับวิธีการเกบ็ ตวั อย่าง 8
8
บทท่ี 1 ค่ามาตรฐานตัวบง่ ช้ีทางชีวภาพ 9
ชนิดของ Biomarkers 11
สง่ิ ควรรู้
หลักการพจิ ารณากาหนดคา่ (Documentation) 12
ระยะเวลาในการเกบ็ (Sampling Time) 12
ความเข้มขน้ ปัสสาวะท่ียอมรับได้ (Urine Specimen Acceptability) 13
การนาไปใช้ (Application) 14
ตัวอย่างคา่ มาตรฐาน 14
เอกสารอ้างองิ 15
16
บทท่ี 2 ฝนุ่ ในบรรยากาศ 17
แหล่งกาเนดิ ของฝนุ่ ละอองในบรรยากาศ 22
ความหมายของฝุ่นละอองในบรรยากาศ 26
มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ
วิธีการตรวจวดั ปริมาณฝุ่นละออง
เครอ่ื งมือเกบ็ ตวั อย่างฝนุ่ ละออง
วธิ ีการตรวจวัด
หลักการตรวจวัดฝุน่ ละอองขนาดไม่เกนิ 10 ไมครอน
การเก็บตวั อย่างและการตรวจวัดฝนุ่
งานวิจยั ทเี่ กยี่ วข้อง
เอกสารอ้างอิง
ข หนา้
สารบญั (ต่อ) 27
29
บทท่ี 3 ฝ่นุ ในสถานประกอบการ 34
การเกบ็ ตัวอยา่ งอากาศในบรเิ วณสถานทท่ี างาน 36
กฎหมายของประเทศไทยทเี่ กี่ยวข้อง
ตวั อย่างเครื่องมือ/อปุ กรณ์ในการเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศ 38
เอกสารอา้ งองิ 43
44
บทท่ี 4 รงั สี 46
หนว่ ยวัดปรมิ าณรังสี
คา่ มาตรฐานที่ใชใ้ นการวเิ คราะหป์ รมิ าณรังสี 47
งานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง 57
เอกสารอา้ งองิ 60
บทที่ 5 แสงสว่าง 61
การเกบ็ ตวั อยา่ งและวเิ คราะห์ตัวอยา่ งปรมิ าณแสงสวา่ ง 70
งานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง 71
เอกสารอ้างอิง 73
บทท่ี 6 เสยี ง 74
การเก็บตวั อยา่ งและวิเคราะห์ตวั อย่างเสียง 77
มาตรฐานและกฎหมายเสยี งดังในทท่ี างาน 79
งานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้อง 83
เอกสารอ้างอิง 87
88
บทที่ 7 ชีวภาพในอากาศ
การเกบ็ ตัวอยา่ งและส่งวเิ คราะห์ตัวอยา่ งชีวภาพในอากาศ 89
อุปกรณ์และเคร่อื งมือเก็บตวั อย่างจลุ ชพี แขวนลอยในอากาศ 95
วิธกี ารเกบ็ ตวั อย่างจุลชพี แขวนลอยในอากาศ 98
เครอื่ งมือในการเก็บเชอ้ื ราในอากาศ
งานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง
เอกสารอา้ งองิ
บทที่ 8 ความร้อน
การเก็บตวั อยา่ งและวเิ คราะห์ระดบั ความร้อน
งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง
เอกสารอา้ งองิ
ข หนา้
สารบัญ (ต่อ) 99
100
บทท่ี 9 สารเคมี 103
การเก็บและการวเิ คราะหต์ ัวอยา่ งสารเคมี 108
การเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศแบบพื้นท่ี
ตัวอย่างการเกบ็ สารเคมใี นอากาศ 109
เอกสารอา้ งอิง 110
120
บทท่ี 10 ฟูมโลหะ
ความรู้ทั่วไปเกีย่ วกับอนภุ าคมลพษิ ทางอากาศชนิดฟูม 122
การตรวจวดั ความเข้มขน้ ของอนุภาคมลพิษชนิดฟูม 127
เอกสารอ้างองิ 133
บทที่ 11 อุปกรณ์ป้องกนั อันตรายสว่ นบคุ คล 134
ประเภทของอุปกรณป์ ้องกนั อันตรายสว่ นบุคคล 138
อปุ กรณ์ป้องกันอนั ตรายระบบทางเดนิ หายใจ (Respiratory 141
เอกสารอ้างอิง 142
บทที่ 12 กลิน่
กล่นิ กบั งานอุตสาหกรรม การกาจัด กฎหมาย มาตรการท่ีนามาใช้
กฎหมายระเบยี บท่ีเกี่ยวข้อง
เอกสารอา้ งองิ
ดรรชนี
ค
สารบญั ตาราง
หน้า
ตารางท่ี 1 การกาหนดคา่ มาตรฐานของสารเคมี เกีย่ วกับมาตรฐานท้ัง ACGIH OSHA NIOSH 5
ตารางท่ี 1.1 แสดงค่ามาตรฐานตวั บ่งช้ีทางชีวภาพ 9
ตารางที่ 2.1 การเปรียบเทยี บค่ามาตรฐานระดับ TSP และ PM 10 14
ตารางท่ี 6.1 เปรยี บเทยี บกับคา่ มาตรฐาน ระดบั เสียงเฉล่ียตลอดเวลาการทางาน (TWA)
67
ทอ่ี นุญาตให้สัมผัสไดใ้ นแตล่ ะวัน
ตารางที่ 6.2 เปรยี บเทยี บค่าปริมาณเสียงสะสมที่ตรวจวดั ได้ (Dose) แล้วนาไปคานวณหา 69
70
คา่ TWA 71
ตารางที่ 6.3 มาตรฐานระดบั ความดงั ของเสยี ง (OSHA) 119
ตารางท่ี 6.4 มาตรฐานระดับความดังของเสียง (HSE:UK)
ตารางท่ี 10.1 Air Contaminants – OSHA Permissible Exposure Limits
ง
สารบญั ภาพ
หนา้
รปู ที่ 2.1 เครื่อง High-Volume มาตรฐาน US.EPA วเิ คราะหฝ์ ุน่ รวม (TSP) 15
รูปที่ 2.2 เครอื่ งเก็บตัวอยา่ ง High Volume Air Sampler สาหรับ TSP 18
รปู ที่ 2.3 กระบวนการเครอื่ งเกบ็ ตวั อย่าง High Volume Air Sampler สาหรบั TSP 19
รูปท่ี 2.2 เคร่ืองเกบ็ ตัวอยา่ ง High Volume Air Sampler สาหรับ TSP 19
รปู ท่ี 2.3 กระบวนการเครอ่ื งเกบ็ ตวั อยา่ ง High Volume Air Sampler สาหรบั TSP 19
รูปท่ี 2.4 เครอ่ื งวัดฝุ่นโดยใชร้ งั บีตา (Beta Attenuation Mass Monitor) 21
รูปที่ 3.1 เครื่องมอื / อปุ กรณท์ ่ใี ชใ้ นการเกบ็ ตัวอยา่ งฝนุ่ รวม (Total Dust) 34
รปู ท่ี 3.2 เครือ่ งมือ/ อปุ กรณ์ที่ใช้ในการเก็บตวั อยา่ งฝุ่นในระบบทางเดินหายใจสว่ น 34
รปู ที่ 3.3 การเกบ็ ตวั อยา่ งแบบติดตวั บุคคล(Personal Sampling) 35
รูปที่ 4.1 เครื่องมือและอปุ กรณ์ท่ใี ชใ้ นการเกบ็ ตัวอย่างปริมาณรงั สี 39
รูปท่ี 4.2 แผ่นเก็บตวั อย่างปรมิ าณรงั สีแบบสะสม (Film Badge) 39
รูปที่ 4.3 Thermoluminescent Dosimeter (TLD) 40
รปู ที่ 5.1 ปัญหาของแสงสว่างท่มี ผี ลกระทบต่อผ้ปู ฏบิ ัตงิ าน 49
รปู ที่ 5.2 การเปล่ียนแปลงตาแหล่งหลอดไฟใหเ้ หมาะสมกบั การผ้ปู ฏิบัตงิ าน 50
รูปท่ี 5.3 ตัวอ่านคา่ (Meter) 51
รปู ที่ 6.1 เคร่ืองวดั ระดับเสยี ง (Sound Level Meter) 62
รปู ที่ 6.2 เครื่องวดั ปริมาณเสียงสะสม (Noise Dosimeter) 64
รูปท่ี 6.3 Acoustics Calibrator 65
รปู ที่ 7.1 อปุ กรณ์เกบ็ ตัวอย่างโดยการดักเก็บด้วยเพลทเกบ็ ตวั อย่าง 77
รูปท่ี 7.2 อุปกรณเ์ ก็บตัวอยา่ งโดยการกรอง 77
รูปท่ี 7.3 อปุ กรณเ์ กบ็ ตัวอยา่ งโดยการดักด้วยของเหลวในอิมพงิ เจอร์ 78
รูปที่ 7.4 การปรับเทียบความถกู ตอ้ งของเคร่ืองดดู อากาศ 80
รปู ที่ 7.5 กลอ่ งใสต่ ลับยดึ กระดาษกรอง 82
รปู ท่ี 8.1 กลไกในการขจดั ความรอ้ นออกจากร่างกาย 90
รปู ที่ 8.2 เครอ่ื งวดั ความรอ้ น รนุ่ QUESTemp o34 93
รูปท่ี 10.1 ตวั อยา่ งปั๊มเกบ็ ตวั อย่างอากาศชนิดตดิ ตัวบคุ คล 93
รูปท่ี 10.2 ชดุ ปรับเทยี บมาตรฐาน แบบ Manual Buret BubBe Meter 93
รูปท่ี 10.3 แสดงชดุ ปรบั เทียบมาตรฐานแบบ Electronic BubBe meter 111
รูปท่ี 10.4 ตลบั ใสต่ ัวกรองขนาด 37 mm และตวั กรองชนิด MCE 0.8 ไมครอน 111
รปู ที่ 10.5 ตลับใสต่ วั กรองชนิด 25 mm และตัวกรองชนดิ MCE 112
รปู ท่ี 10.6 แสดงการประกอบชดุ เกบ็ ตัวอย่างอากาศกับอุปกรณ์ในการสอบเทยี บเคร่ืองมือ 113
รปู ที่ 10.7 แสดงการพันเทปตลบั ยึดตวั กรองโดยปดิ ชอ่ งดูดอากาศเข้าออก 113
ง
สารบญั ภาพ (ตอ่ ) หน้า
รูปที่ 10.8 ตวั อยา่ งแบบบนั ทกึ การเก็บตัวอยา่ งอากาศอนุภาคมลพษิ ชนดิ ฟูมเช่อื ม 117
รปู ที่ 11.1 แสดงการใช้อปุ กรณป์ ้องกันอันตรายส่วนบุคคล 121
รปู ที่ 11.2 แสดงตัวอยา่ งหมวกนิรภัย 122
รูปท่ี 11.3 แสดงตวั อย่างหนา้ กากกันกระเด็น 122
รูปที่ 11.4 แสดงตวั อยา่ งแวน่ ตากนั กระเดน็ 123
รปู ท่ี 11.7 แสดงตัวอย่างหนา้ กากปอ้ งกนั ระบบทางเดนิ หายใจ 124
รูปท่ี 11.8 แสดงตวั อย่างอปุ กรณป์ ้องกันมือ 125
รูปท่ี 11.9 แสดงตวั อย่างผา้ กันเปือ้ น 125
รูปท่ี 11.10 แสดงตัวอยา่ งถุงคลมุ รองเท้า 126
รปู ที่ 11.11 แสดงการทาความสะอาดอุปกรณ์ปอ้ งกันภัยหลงั ใช้งานเสรจ็ 127
รูปที่ 12.1 กราฟคา่ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความเข้มของกล่ินกับความเข้มของสาร 137
บทนำ 1
บทนำ
เครือ่ งมือและวธิ ีกำรเกบ็ ตวั อย่ำงอำกำศ
สขุ ศำสตรอ์ ตุ สำหกรรม (Industrial Hygiene) เปน็ ศำสตร์และศิลป์ทเี่ กย่ี วข้องกับกำรดูแล
ตรวจสอบ และปรับปรุงสภำพแวดล้อมในกำรทำงำน เพ่ือให้เกิดควำมปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงำน โดย
ครอบคลุม 3 ข้ันตอน คือ กำรตระหนัก กำรประเมิน และกำรควบคุมปัจจัยเส่ียงทั้งด้ำนสิ่งแวดล้อม
ลักษณะกำรทำงำน หรืออ่ืนๆที่อำจมีผลกระทบต่อสุขภำพของผู้ปฏิบัติงำน ทำให้ผู้ปฏิบัติงำนเกิด
ควำมไม่สบำยหรือลดประสิทธิภำพในกำรทำงำน รวมทั้งอำจส่งผลกระทบต่อประชำชนที่อยู่บริเวณ
โดยรอบ
ปัจจัยทเี่ ก่ียวข้องกบั กำรเก็บตวั อยำ่ งทำงสขุ ศำสตร์อตุ สำหกรรม
1. ระยะเวลำท่ีใช้ในกำรเก็บตัวอย่ำง (Sampling duration) ในกำรกำหนดระยะเวลำที่
ใช้ในกำรเก็บตัวอย่ำงน้ันข้ึนอยู่กับปัจจัยหลำยๆอย่ำง เช่น ควำมไวของเครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บ
ตัวอยำ่ ง โดยเครอื่ งมอื ที่มคี วำมไวสูงสำมำรถวัดหำระดบั ของมลพิษทม่ี ีปริมำณน้อยๆได้ดี ระยะเวลำท่ี
ใชใ้ นกำรเกบ็ ตวั อย่ำงกจ็ ะส้ันกว่ำ
2. ช่วงเวลำในกำรเก็บตัวอย่ำง เนื่องจำกระดับของมลพิษท่ีเกิดจำกกระบวนกำรผลิตมี
แนวโน้มท่ีจะเปลี่ยนแปลงไปตำมช่วงเวลำของวัน เช่น กำรเก็บตัวอย่ำงแสงสว่ำง ในเวลำกลำงคืน
ผู้ปฏิบัติงำนอำจมีโอกำสได้รบั ผลกระทบมำกกว่ำเวลำกลำงวันเน่ืองจำกไม่มีแสงจำกธรรมชำติ ดังนั้น
นอกจำกจะทำกำรตรวจวดั แสงสว่ำงในชว่ งเวลำกลำงวันแล้ว ยงั ควรต้องดำเนินกำรตรวจวัดแสงสว่ำง
ในชว่ งเวลำกลำงคนื ด้วย
3. ลักษณะ สภำพ กำรกระจำย และควำมเข้มข้นของมลพิษ ในกระบวนกำรผลิตที่ไม่มี
ควำมต่อเนื่องจะมีลักษณะกำรกระจำยของมลพิษไม่คงที่ จึงต้องกำหนดรูปแบบของกำรเก็บตัวอย่ำง
ให้สอดคลอ้ งเหมำะสม
4. งบประมำณ เป็นส่วนสำคัญในกำรตัดสินใจกำหนดรูปแบบกำรเก็บตัวอย่ำง เช่น จำนวน
ของตัวอยำ่ ง ประเภทของกำรเกบ็ ตัวอยำ่ ง ระยะเวลำทใ่ี ช้ในกำรเกบ็ ตัวอย่ำง เปน็ ต้น
5. มำตรฐำนท่ีเลือกใช้ในกำรประเมินข้อมูล โดยมีทั้งมำตรฐำนของประเทศไทยและ
มำตรฐำนของตำ่ งประเทศ ซง่ึ มลพษิ บำงประเภทก็ยังไม่มีกำรกำหนดคำ่ มำตรฐำนสำหรบั ประเทศไทย
เชน่ ควำมเย็น แต่เพ่อื เป็นแนวทำงในกำรเฝ้ำระวังผลกระทบต่อสุขภำพของผ้ปู ฏบิ ัติงำนจึงอำจต้องใช้
มำตรฐำนของต่ำงประเทศด้วย
หนว่ ยงำนต่ำงประเทศทเี่ กย่ี วข้องกบั วธิ กี ำรเกบ็ ตัวอยำ่ ง และกำรวเิ ครำะห์ตัวอย่ำงอำกำศ
ในบรเิ วณสถำนท่ที ำงำน ค่ำมำตรฐำนอำกำศในบรเิ วณสถำนทีท่ ำงำน
บทนำ 2
NIOSH
The National Institute for Occupational Safety and Health
สถำบันแห่งชำติเพอื่ ควำมปลอดภัยและอำชีวอนำมัย
1. เปน็ สถำบนั ท่ีทำกำรศึกษำวจิ ัยดำ้ น อนำมัยและควำมปลอดภยั
2. ใหค้ ำแนะนำในกำรออกข้อกำหนดกฎหมำย ใหก้ บั OSHAct (พรบ.อำชีวอนำมัยและควำม
ปลอดภยั )
หน้ำที่
1. ตรวจสอบอนั ตรำยทำงดำ้ นตำ่ งๆ
2. ทดสอบและออกใบรบั รองอุปกรณ์ป้องกนั ระบบทำงเดินหำยใจ
3. พัฒนำมำตรกำรเกี่ยวกับกำรใช้สำรพิษ และระดับของสำรเคมีที่ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงำน
ระดบั ของสำรที่ เรียกว่ำ RELs (Recommended Exposure Limits)
4. ทดสอบและออกใบรบั รองและออกใบรบั รองอุปกรณป์ ้องกนั ระบบทำงเดินหำยใจ
5. จัดฝึกอบรมให้กับแพทย์อำชีวอนำมัย พยำบำลอำชีวอนำมัย นักสุขศำสตร์อุตสำหกรรม
เจ้ำหน้ำท่ีควำมปลอดภัย นักเออร์โกโนมิกส์ และ บุคลำกรอ่ืนๆที่เก่ียวข้องกับงำนอำชีวอนำมัยละ
ควำมปลอดภยั
OSHA
Occupational Safety and Health Administration
กองอำนวยกำรบริหำรควำมปลอดภยั และสขุ ภำพในกำรทำงำน
เป็นหนว่ ยงำนดำ้ นควำมปลอดภยั ในกำรทำงำนของกระทรวงแรงงำนสหรัฐอเมรกิ ำ
หนำ้ ที่
1. ออกกฎหมำย มำตรฐำนทำงด้ำนสุขภำพและควำมปลอดภัยโดยไดร้ ับข้อมูลทำงด้ำนเทคนิค
จำก NIOSH
2. มำตรฐำนของ OSHA เรียกว่ำ PELs (Permissible exposure limits) คอื ค่ำจำกัดกำรสัมผัส
ทย่ี อมรับได้
3. มอี ำนำจทำกำรสำรวจสถำนที่ทำงำนว่ำเป็นไปตำมมำตรฐำนหรอื ไม่
- สำมำรถสมั ภำษณ์ลูกจ้ำงระหวำ่ งทำกำรสำรวจได้
- ลกู จ้ำงหรอื ตัวแทนลูกจำ้ งสำมำรถแจ้งเกยี่ วกับกำรไม่ปฏิบตั ิตำมมำตรฐำนทำงกฎหมำยได้
- มีอำนำจใจกำรตรวจสอบ สืบคน้ สอบสวนและเสนอมำตรกำรลงโทษ
- กำหนดให้นำยจ้ำงต้องเก็บข้อมูลระดับสำรเคมีอันตรำยในสถำนทที่ ำงำน และแจง้ ผลให้
คนงำนทรำบ
บทนำ 3
ACGIH
American Conference of Governmental Industrial Hygienists
สมำคมนักสขุ ศำสตร์อุตสำหกรรมแห่งประเทศสหรฐั อเมริกำ
เป็นกำรก่อต้ังโดยกลมุ่ นักสขุ ศำสตรอ์ ตุ สำหกรรมท่ที ำงำนในประเทศสหรฐั อเมริกำ
จดุ ประสงค์
1. นักสขุ ศำสตร์อตุ สำหกรรมแลกเปลีย่ นประสบกำรณ์และควำมคดิ เหน็ ทำงด้ำนสุขศำสตร์
อตุ สำหกรรม
2. ปรับมำตรฐำนและเทคนิคในกำรดูแลสุขภำพของคนงำนในโรงงำนอุตสำหกรรม
3. พัฒนำระบบบรหิ ำร จัดกำรเพ่ือปกปอ้ งสขุ ภำพอนำมัยของคนงำน
หนำ้ ท่ี
1. ปรบั ปรงุ กำรให้บริกำรทำงด้ำนสขุ ภำพของคนงำนในโรงงำนอตุ สำหกรรม
2. กำหนดค่ำ TLV (Threshold Limit Values) คือ ค่ำควำมเข้มข้นเฉลี่ยที่ยอมให้มีได้ใน
บรรยำกำศกำรทำงำน ในระยะเวลำที่ไม่ทำให้เกิดโรค และมีกำรปรับค่ำเหล่ำนี้ทุกปีเพ่ือควำม
เหมำะสม TLV (Threshold Limit Values) โดยแบ่งไดด้ งั น้ี
2.1 TLV-TWA TLV (Threshold Limit Values – Time Weight Average) คือ ค่ำ
ควำมเขม้ ข้นเฉล่ยี ที่ยอมให้สัมผัสต่อสำรภำยในเวลำ 8 ชว่ั โมงกำรทำงำน
2.2 TLV-C TLV (Threshold Limit Values - Ceiling) คือ ค่ำระดับควำมเข้มข้นท่ีไม่
ควรเกนิ ไมว่ ำ่ ช่วงเวลำใดในกำรสมั ผสั
2.3 TLV - STEL (Threshold Limit Values – Short Term Exposure Limit) คอื ค่ำ
ระดับควำมเข้มข้นของสำรสงู สดุ ทใี่ หส้ ัมผสั ในระยะเวลำสนั้ (สมั ผัสสงู สุดไม่เกิน 15 นำที)
3. กำหนดค่ำ BEIs (Biological Exposure Indices) คือค่ำของระดับตัวบ่งชี้ทำงชีวภำพ
ในร่ำงกำยพนกั งำน
3.1 เป็นค่ำระดับตัวบ่งข้ีทำงชีวภำพ ซ่ึงจะแสดงถึงกำรรับสัมผสั สำรเคมีจำกทุกทำง ทั้ง
จำกทำงกำรหำยใจ (inhalation) กำรกิน (ingestion) และทำงผิวหนัง (skin absorption) ค่ำท่ี
กำหนดใหใ้ ชเ้ ปน็ แนวทำงสำหรบั กรณกี ำรสมั ผัสสำรเคมีในกำรทำงำนเท่ำน้ัน
3.2 BEI เป็นระดับของสำรท่ไี ด้จำกตวั อย่ำงท่ีเกบ็ จำกคนงำนปกติ ที่ได้รับสำรเคมีระดับ
เดียวกบั คนงำนที่หำยใจเอำสำรท่ีระดบั TLV-TWA เข้ำรำ่ งกำย ข้อจำกัดในกำรนำค่ำ BEI ไปใชม้ ีดงั น้ี
- ไมส่ ำมำรถแยกควำมแตกต่ำงระหวำ่ งกำรสมั ผสั สำรท่ีอันตรำยหรอื ไม่อนั ตรำย
- ไม่สำมำรถใช้ในกำรวินิจฉัยโรคจำกกำรทำงำน
- กำหนดขนั้ จำกข้อมูลเกีย่ วกับกำรดูดซมึ กำรเปลยี่ นรปู กำรขบั ถ่ำย และควำมสัมพนั ธ์
ระหว่ำงขนำดของสำรและกำรตอบสนองของรำ่ งกำยต่อสำรน้ัน
- ไดจ้ ำกควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงระดบั ของสำรในรำ่ งกำยและผลตอ่ สุขภำพของสำรน้ัน
สว่ นใหญเ่ ปน็ ข้อมูลจำกกำรศึกษำในคน ใช้กบั กำรสมั ผสั สำรในชว่ งเวลำ 8 ชม.ต่อวันและ 5 วนั ตอ่
สัปดำห์
บทนำ 4
3.3 ใชใ้ นกำรประเมนิ กำรสัมผัสสำรทั้งหมดทมี่ ีอยู่ในที่ทำงำนโดยกำรเลอื กหำตัวชว้ี ดั ท่ี
เหมำะสมและเก็บตวั อย่ำงจำกคนงำน
สรปุ
1. คำ่ BEIs ใหใ้ ช้คกู่ บั ค่ำ TLV
2. สำรเคมีใดทม่ี กี ำรกำหนดค่ำ BEIs ไมไ่ ด้แปลว่ำจะต้องตรวจตัวบ่งชีท้ ำงชวี ภำพในพนักงำน
ทกุ คนท่ที ำงำนสัมผสั สำรน้นั เสมอไป
3. กำรจะตรวจหรือไม่ตรวจให้ข้ึนอยู่กับระดับควำมเส่ียงในกำรสัมผัสสำรเคมีของพนักงำน
ซงึ่ จะต้องทำกำรประเมนิ ควำมเสี่ยงโดยผเู้ ช่ียวชำญทำงดำ้ นอำชีวอนำมัย
4. โดยท่ัวไประดับของกำรสัมผัสสำรเคมี ท่ีทำให้ตรวจระดับตัวบ่งชี้ทำงชีวภำพได้เท่ำกับค่ำ
BEIs จะเท่ำกนั กบั ระดบั ของคำ่ TLV ทีต่ รวจวัดไดใ้ นสิ่งแวดล้อมกำรทำงำน
บทนำ 5
ตำรำงที่ 1 กำรกำหนดคำ่ มำตรฐำนของสำรเคมี เก่ยี วกบั มำตรฐำนท้ัง ACGIH OSHA NIOSH
สำรเคมี คำ่ มำตรฐำนที่กำหนด
ACGIH NIOSH OSHA
TLV BEIs RELs PELs
1.แคดเมยี ม 5µg/m3
- In Urine 5µg/g
- In Blood 5µg/L
2.เบเรลเรีย่ ม 0.5 µg/m3 2 µg/m3
3.Carbon monoxide
-Carboxyhemoglobin in 3.5% of Hb
blood 20 ppm
-Carbonmonoxide in end
exhaled air
4.Silica 0.05 mg/m3 10 mg/m2
5. ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ TWA= 5 ppm 5ppm
2ppm
5.2 mg/m3
(8 hr)
TWA-STEL
=5ppm
13mg/m3
(15 นำท)ี
6.Benzene Trim ethyl 25 ppm
7.Cobolt
-in Urine 15 µg/L
In Blood 1 µg/L
8.Lead in Blood 30 µg/100
ml
9.Methanol in urine 15 mg/L
10.Eyhanol TWA-STEL 400 ppm
= 1225 mg/ 980 mg/
m3 m3
(15 นำที)
หมำยเหตุ : ACGIH ; TLV,BEIs / NIOSH ; RELs / OSHA ; PELs
บทที่ 1 ค่ามาตรฐานตวั บ่งช้ที างชวี ภาพ 6
บทท่ี 1
ค่ามาตรฐานตัวบ่งชีท้ างชวี ภาพ
Biological markers หรือเรียกย่อๆ ว่า biomarker ก็คือสารท่ีเราตรวจวัดจากร่างกาย
ของพนักงาน เพอื่ ดวู า่ พนกั งานได้รบั ผลกระทบจากสารเคมีท่สี ัมผัสอยูใ่ นที่ทางานหรือยัง เช่น โรงงาน
ทาแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใชต้ ะก่วั ในการบัดกรี ถา้ ตอ้ งการตรวจดวู ่าพนักงานมีการสมั ผสั ตะก่ัวมาก
น้อยเพียงใด ก็ต้องตรวจสารตะก่ัวในเลือด อย่างน้ีกล่าวได้ว่า“สารตะกั่วในเลือด” เป็น biomarker
ของตะก่ัว
ชนดิ ของ Biomarkers
➢ Biomarker of exposure หรืออาจเรียก Direct biomarker คือตัวสารน้ันเองหรือ
metabolite ของสารน้ันที่วัดได้ในตัวอย่างทางชีวภาพ (เลือด, ปัสสาวะ, อากาศท่ีหายใจ, ฯลฯ) ของ
พนกั งานเช่นการตรวจตะกว่ั ในเลอื ด จดั เปน็ direct biomarker ของสารตะกัว่ หรอื Styrene เมอื่ เข้า
ไปในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ผ่านกระบวนการทางเคมีในร่างกาย จนกลายเป็น mandelic
acid (เรียกสารทีม่ ีลักษณะเชน่ นว้ี า่ metabolite) เราก็จดั ว่า การตรวจ mandelic acid ในปสั สาวะ
เป็นการตรวจ direct biomarker ของ styrene
➢ Biomarker of effect หรืออาจเรียก Indirect biomarker คือการตรวจผลเปล่ียนแปลง
ทางเคมี, ชีวภาพ, สรีรวิทยา หรือในระดับโมเลกุล ที่จะเกิดข้ึนแก่ร่างกายเม่ือได้รับพิษจากสารเคมี
นั้นๆ เช่นเราทราบว่า การสัมผัส n – hexane จะทาให้เกิดอัมพาตที่เส้นประสาทได้ การตรวจการ
นากระแสไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Velocity) เพ่ือดูว่าเส้นประสาทเป็นอัมพาต
ไปหรอื ยงั ก็จดั ได้ว่าเปน็ Indirect biomarker ของ n – hexane
➢ Biomarker of susceptibility คือการวัดระดับความสามารถในการรับพิษของสารเคมี
ของคนแตล่ ะคน ทาให้คาดคะเนไดว้ ่าบุคคลที่ตรวจเมือ่ ได้รบั สารพษิ ชนิดทีร่ ะบุแลว้ จะมโี อกาสเกิดพิษ
ไดม้ ากหรอื นอ้ ย (ส่วนใหญม่ ักเปน็ การตรวจทางพันธุกรรม)
สงิ่ ควรรู้
สารเคมีตวั หน่ึง อาจมี biomarker หลายตัวได้ เช่น toluene มี biomarkers หลายตัวคือ o
– cresol ในปัสสาวะ, hippuric acid ในปสั สาวะ หรือ toluene ในเลอื ด
สารเคมีหลาย ตัว ก็ อา จมี biomarker เป็นสารตัว เดียว กัน ไ ด้ เช่นยาฆ่า แ ม ล ง
ท้ั ง Organophosphate , Parathion แ ล ะ Carbamate ล้ ว น แ ต่ ใ ช้ % depression of RBC
Cholinesterase เปน็ biomarker ได้
บทท่ี 1 คา่ มาตรฐานตวั บ่งช้ีทางชวี ภาพ 7
ในโรงงานเดียวกัน พนักงานไม่จาเป็นต้องตรวจ biomarkers เหมือนกันทุกคนก็ได้ เช่น
โรงงานทาลูกสูบรถยนต์แหง่ หนึ่ง มีการหลอมโลหะท่ีมีสารตะก่ัวปนอยู่ในข้ันแรก แล้วเอามาเทลงเบ้า
จากน้ันดาเนินการตาม line การผลิตมาเร่ือยๆ และในขั้นตอนสุดท้าย จะมีการใช้ตัวทาละลายคือ
hexane ล้างคราบน้ามันออกจากผิวลูกสูบ เพ่ือดูรอยตาหนิของช้ินงาน มีพนักงาน 3 คน คนหนึ่งอยู่
หน้าเตาหลอม ก็ควรจะตรวจตะกั่วในเลือด อีกคนอยู่ท่ีแผนกตรวจชิ้นงานสัมผัส hexane ก็น่าจะ
ตรวจ 2,5 hexadione ส่วนอีกคนอยู่ที่แผนกการเงินในออฟฟิศของบริษัทอาจจะไม่ต้องตรวจ
biomarkers ของสารเคมใี ดๆ ก็ได้ เนอื่ งจากไมไ่ ดส้ ัมผัส
หลักการพิจารณากาหนดค่า (Documentation)
ค่า Biological Exposure Indices (BEIs) คือค่าของระดับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในร่างกาย
พนกั งาน
➢ ค่า BEI กาหนดโดยคณะจัดทาซ่ึงเป็นผู้เชี่ยวชาญขององค์กร American Conference of
Governmental Industrial Hygienist (ACGIH) ค่าที่กาหนดจะมีการเปล่ียนแปลง (revised) อย่าง
ตอ่ เนอ่ื งและทาเปน็ หนังสือออกทุกปี
➢ การกาหนดค่าคณะกรรมการจะพิจารณาจากหลักฐานทางวิชาการที่เป็นเอกสารท่ีมีความ
น่าเชื่อถือ ทั้งที่ตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์ (ถ้าน่าเช่ือถือพอ) โดยจะดูจากข้อมูลงานวิจัยท่ีทาในคนจากใน
สถานที่ทางานจริง (field study) งานวิจัยท่ีทาในสถานท่ีที่มีการควบคุมส่ิงแวดล้อม (controlled
exposure study) และใช้โมเดลทางเภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetic model) สาหรับสารเคมี
แต่ละตวั ส่วนขอ้ มลู จากงานวจิ ัยในสัตวท์ ดลองจะถกู นามาใช้พจิ ารณาด้วยถ้าเหมาะสม
➢ รายละเอียดของการกาหนดค่าต่างๆ เชน่ เอกสารทใ่ี ช้ในการอ้างอิง รายละเอยี ดของเหตุผลที่
คณะจัดทาเลือกกาหนดระดับค่าของตวั บ่งช้ที างชีวภาพแตล่ ะตัวออกมา วิธีการตรวจวิเคราะห์ ปัจจัย
ท่ีสามารถทาให้ค่าตัวบ่งชี้ทางชวี ภาพของสารเคมีแตล่ ะตวั เปล่ยี นแปลงไปได้ และรายละเอียดการเก็บ
ตัวอย่างท่ีจาเพาะกับสารเคมีแต่ละตัว จะมีอยู่ในหนังสือเล่มเต็มคือ Documentation of the
Threshold Limit Values and Biological Exposure Indices (ACGIH)
ระยะเวลาในการเกบ็ (Sampling Time)
อ้างอิงวิธีการเก็บจากหนังสือ Current Occupational and Environmental Medicine
4 th edition
DS (During Shift)
เก็บเวลาใดก็ได้ระหว่างกะ แต่ต้องสัมผัสสารน้ันมาแล้วอย่างน้อย 2 ช่ัวโมง เช่น
พนกั งานท่ีเขา้ กะบ่าย 16.00 – 24.00 น. ตอ้ งเก็บหลัง 18.00 ไปแลว้ เท่านั้น
EOS (End Of Shift)
เก็บหลังหยุดการสัมผัสสารให้เร็วท่ีสุดเท่าท่ีทาได้ ในทางปฏิบัติอาจเก็บ ประมาณ
15 – 30 นาทีหลังเลิกกะ
บทท่ี 1 ค่ามาตรฐานตวั บง่ ชีท้ างชวี ภาพ 8
EWW (End of Work Week)
เกบ็ ทีว่ ันสุดทา้ ยของสัปดาห์การทางาน หลังเลกิ กะโดยต้องทางานมาแลว้ อย่าง น้อย
4 – 5 วันติดกนั
L2H (Last 2 Hours of shift)
เกบ็ ในชว่ ง 2 ชัว่ โมงสุดท้ายกอ่ นเลกิ กะ
L4H (Last 4 Hours of shift)
เก็บในชว่ ง 4 ชัว่ โมงสดุ ทา้ ยก่อนเลิกกะ
NC (Not Critical) หรือ Discretionary
เก็บเวลาไหนก็ได้ (แสดงวา่ สารน้ันมี terminal half life ยาวมาก)
PNS (Prior to Next Shift)
หมายถึง เก็บก่อนเข้ากะใหม่โดยต้องหยุดการสัมผัสสารน้ันมาแล้ว อย่างน้อย 16
ชว่ั โมง
ความเขม้ ข้นปสั สาวะที่ยอมรับได้ (Urine Specimen Acceptability)
ปัสสาวะท่ีเจือจางหรือข้นเกินไปไม่เหมาะจะนามาใช้ตรวจระดับตัวบ่งช้ีทางชีวภาพ เกณฑ์ท่ี
จะยอมรับได้คือ
✓ Urine creatinine concentration 0.3 – 3.0 g/L ห รื อ Urine specific gravity 1.010 –
1.030 ถ้าปัสสาวะท่ีเก็บได้อยู่นอกช่วงนี้ ให้ทาการเก็บซ้าอีกคร้ัง ถ้าเก็บหลายคร้ังแล้วปัสสาวะยังไม่
อยู่ในช่วงท่ียอมรับได้ ควรส่งพนักงานคนน้ันไปพบแพทย์ (อาจป่วยเป็นโรคบางอย่างเช่น เบาจืด เป็น
ต้น)
✓ ค่า BEI บางค่า ระดับสารเคมีในปัสสาวะท่ีตรวจวัดได้จะข้ึนกับปริมาณ urine output ด้วย
(คอื ถา้ ขบั สารออกมาในปัสสาวะเป็นปรมิ าณเทา่ กัน คนท่ปี สั สาวะออกปริมาณมากจะตรวจได้ดเู หมือน
ค่าต่า ในขณะท่ีคนปัสสาวะออกปริมาณน้อยจะตรวจได้ดเู หมือนค่าสูง) เพื่อแก้ปัญหานี้ ค่า BEI จะใช้
การกาหนดปริมาณ creatinine ซ่ึงบอกถึงความเข้มข้นปัสสาวะได้กากับไว้ด้วย หน่วยของ BEI บาง
ตัวจงึ เป็นหน่วย /g creatinine
การนาไปใช้ (Application)
เน่ืองจากคนแต่ละคนมีความทนต่อสารเคมีไม่เท่ากัน ร่างกายของบางคนอาจไวต่อการเป็น
พิษมาก (susceptible) ในขณะที่บางคนทนต่อความเป็นพิษ (tolerance) มากกว่าคนอ่ืน ดังนั้น ค่า
BEI ซ่ึงพจิ ารณามาจากแนวโน้มของคนสว่ นใหญ่จึง
✓ ไมใ่ ช่เสน้ แบ่งระหวา่ ง “ อนั ตราย” กับ “ ปลอดภยั ”
✓ เมื่อตรวจออกมาแล้วค่าต่ากว่า BEI ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัยทุกคน (คนที่ไวต่อการเป็น
พิษอาจมผี ลกระทบแล้วก็ได้)
บทท่ี 1 คา่ มาตรฐานตวั บ่งชีท้ างชีวภาพ 9
✓ เม่ือตรวจออกมาแล้วค่าสูงกว่า BEI ไม่ได้แปลว่าจะมีผลกระทบทุกคน (บางคนอาจยังไม่
มผี ลกระทบกไ็ ด)้
การตรวจติดตามหลายๆ ครั้ง ในหลายๆ ช่วงเวลาจะสามารถประเมินการสัมผัสสารเคมีได้
ดีกวา่ การตรวจเพียงคร้ังเดยี ว
การตรวจในพนักงานที่ทางานเดียวกัน แล้วพบค่าตัวบ่งชี้ทางชีวภาพสูงกว่าค่า BEI ใน
พนักงานหลายๆ คน จะน่าเช่ือถือกว่าการตรวจในพนักงานเพียงคนเดียว ในการตรวจควรทาบันทึก
รายละเอียดด้วยว่าพนักงานคนที่ตรวจทางานอะไรบ้าง เพื่อประโยชน์ในการหาสาเหตุว่างานใดที่ทา
ให้มกี ารสมั ผสั สารเคมสี งู และใชเ้ ปรียบเทยี บกับพนักงานคนอื่น
ค่า BEI ท่ีกาหนดขึ้นเหมาะสาหรับการทางาน 8 ช่ัวโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ ในกรณีท่ี
ตารางการทางานไม่เป็นไปตามน้ี ยังคงให้ใช้ค่าอ้างอิงตามที่กาหนดมาในตาราง ไม่ควรทาการ
ปรับแต่งค่า BEI ท่ีกาหนดมาให้เอง (ไม่ว่าโดยการบวก ลบ หรือคูณ ตัวแปรหรือค่าคงท่ีใดๆ เข้าไปก็
ตาม) แตค่ วรไปพจิ ารณาตารางเวลาทางานวา่ เหมาะสมหรือไม่มากกวา่
การใช้ค่า BEI ให้ใช้โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาชีวอนามัยเท่านั้น (occupational health
professional) เชน่ นกั สขุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรม แพทยอ์ าชวี เวชศาสตร์ พยาบาลอาชีวอนามัย
ค่า BEI มีไว้เพ่ือเป็นแนวทางในการลดผลกระทบทางสุขภาพของพนักงานเท่าน้ัน ไม่ให้ใช้
สาหรบั วัตถปุ ระสงค์อ่นื
คา่ BEI ทกี่ าหนดไม่เหมาะสาหรบั ใช้ประเมินการสมั ผสั ในกรณีอ่ืนท่ีไม่ใชจ่ ากการทางาน
ตัวอย่างคา่ มาตรฐาน
ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่ใช้บ่อย (ที่มา: ดัดแปลงจาก Meister RK, Zheng Y. Biologic
Monitoring: Current Occupational and Environmental Medicine)
คาว่า “ ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ (ตารางสีฟ้าค่า BEI) ” น้ันหมายถึงสุขภาพของคนส่วนใหญ่
(ตามหลักสถิติ) กรณีท่ีมีพนักงานบางคนร่างกายไวต่อการรับพิษสารเคมีมาก (susceptible group)
โอกาสเกดิ ผลเสียต่อสขุ ภาพของพนกั งานเฉพาะบุคคลนนั้ ก็ยังคงมไี ด้
ตารางท่ี 1.1 แสดงค่ามาตรฐานตัวบง่ ชีท้ างชีวภาพ
สารเคมแี ละตัวบ่งช้ี ตรวจใน ระดับในคน ระดับที่ไม่มี ระดับทีเ่ ริ่มมี เวลาทีเ่ ก็บ คา่ ครง่ึ ชวี ิตใน
ทวั่ ไป ผลเสีย อาการ ร่างกาย
โลหะ > 300
สารหนู (Arsenic) ปัสสาวะ < 15 35 > 20 EWW 1-2 วัน
100
ตะกั่ว(Lead) (ug/L)
…
ปรอท(Mercury) เลือด < 2 20 NC ในเนอื้ เยอ่ื 1 เดือน
ในกระดูก 20 ปี
สารอนินทรยี ์ (ug/dL)
Carbon disulfide (CS2) PNS 60 วนั
ปัสสาวะ < 5 35-50
TTCA
(ug/dL)
ปสั สาวะ 0 5 EOS 2-3 วัน
(mg/g Cr)
บทท่ี 1 ค่ามาตรฐานตวั บง่ ชี้ทางชีวภาพ 10
ตารางที่ 1.1 แสดงค่ามาตรฐานตวั บ่งชี้ทางชีวภาพ (ต่อ)
สารเคมีและตัวบ่งชี้ ตรวจใน ระดบั ในคน ระดับท่ไี มม่ ี ระดับทเ่ี ร่มิ มี เวลาทเี่ กบ็ คา่ คร่ึงชวี ติ ใน
ทวั่ ไป ผลเสีย อาการ ร่างกาย
สารอนนิ ทรีย์
Carbon disulfide (CS2) ปัสสาวะ 0 5 … EOS 2-3 วัน
(mg/g Cr) 0.4-0.7 2
TTCA 0.11 6.5 5 EOS 1-8 ช่ัวโมง
Carbon monoxide (CO) เลอื ด
(%) … ……
COHb
Cyanide ปัสสาวะ
(mg/24hours)
Thiocyanate
ตวั ทาละลายอนิ ทรยี ์ ปัสสาวะ <2 20 46 DS …
Aliphatics & alicyclics เลอื ด <0.2 2 … DS 4 ช่วั โมง
Acetone ถุงลม (อากาศ) … 53 … DS 6 ชั่วโมง
… 3.2-5.5 … L4H …
Cyclohexane ปัสสาวะ
Cyclohexanol (mg/L 0.1-0.8 0.4 … EOS …
n-Hexane ปัสสาวะ < 0.5 2-5 … EOS 0.5-1.5 ชว่ั โมง
2,5-Hexadione (mg/L
Methyl Ethyl Ketone ปัสสาวะ
(mg/L
หมายเหตุ
กรณีอ้างอิงจากหนังสือเล่มอื่นหรือมาตรฐานจากหน่วยงานต่างๆ เช่น BEIs ของ ACGIH ค่า
อาจแตกต่างไปจากตารางน้ี ฉะน้ันเม่ือต้องอ้างอิงค่ามาตรฐานของ biomarker เม่ือใด ต้องระบุด้วย
ว่าเป็นค่าของหน่วยงานใดและกาหนดในปีใด (เนื่องจากบางหน่วยงานเปลี่ยนค่ามาตรฐานทุกปี)
Urine specimen acceptability Creatinine concentration อยูใ่ นชว่ ง 0.3 - 3 g/L หรอื Specific
gravity อยู่ในช่วง 1.010 – 1.030
บทท่ี 1 คา่ มาตรฐานตวั บง่ ชีท้ างชีวภาพ 11
เอกสารอ้างองิ
กรมอนามัย. ค่ามาตรฐานตัวบ่งช้ีทางชีวภาพ (ออนไลน์).ค้นเม่ือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 จาก
http://www.anamai.moph.go.th/occmed/indexarticle_biomarker_indices.htm
ปวีณา มีประดิษฐ.์ เอกสารประกอบการเรียนวิชาการเกบ็ ตัวอย่างและวเิ คราะหต์ วั อย่างทางสุข
ศาสตร์-อุตสาหกรรม 1: ภาควชิ าสุขศาสตร์อตุ สาหกรรมและความปลอดภัย คณะ
สาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา.
Gregory D. Wight. (1994). Fundameental of Air Samping.The United States of
America:Lewis Publishers.
Krisaneeya Sungkajuntranon. 2005. Airborne bacteria and fungi in the hospital and the
sampling method comparison. Thailand Journal of Health Promotion and
Environmental. 29(4), 113-124. Thai.
บทท่ี 2 ฝนุ่ ในบรรยากาศ 12
บทท่ี 2
ฝุ่นในบรรยากาศ
ฝุ่นละอองในบรรยากาศ เป็นอนุภาคมีทั้งเป็นของแข็งและของเหลวซ่ึงแพร่กระจายอยู่ใน
อากาศ โดยท่ัวไปมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่ 0.0002 ไมครอน (ขนาดใกล้เคียงกับโมเลกุลของสสาร)
จนถึงขนาดใหญ่กว่า 500 ไมครอน ฝุ่นละอองขนาดใหญ่สามารถแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศ 2-3 นาที
จะตกลงสพู่ ้ืนด้วยแรงดึงดูดของโลก และแรงลม ฝ่นุ ละอองท่แี ขวนลอย อยู่ในอากาศได้นานมกั เป็นฝุ่น
ละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เนื่องจากมีความเร็วในการตกลงสู่พ้ืนต่าหากมีแรงกระท่า
จากภายนอก เข้ามาเก่ียวข้อง เช่น การไหลเวียนของอากาศและกระแสลม เป็นต้น จะท่าให้สามารถ
แขวนลอยอยูใ่ นอากาศได้นานมากข้นึ
แหลง่ กาเนดิ ของฝุ่นละอองในบรรยากาศ
โดยท่วั ไปจะแบง่ เป็น 2 ประเภท
ประเภทท่ี 1 ฝ่นุ ละอองท่ีเกิดขนึ้ ตามธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ดนิ ทราย หนิ ละอองไอน้่า เขมา่ ควัน
จากไฟป่า และละอองเกลอื จากนา้่ ทะเล
ประเภทที่ 2 ฝุ่นละอองทเี่ กิดจากกิจกรรมท่ีมนษุ ย์สรา้ งขน้ึ ไดแ้ ก่
- ฝุ่นจากการคมนาคมขนส่งและการจราจร เช่น ฝุ่นดิน ทราย ที่ฟุ้งกระจาย
ขณะรถวง่ิ และเขม่าจากการเผาไหม้ของเคร่ืองยนต์ดีเซล เปน็ ต้น
- ฝุ่นจากการก่อสร้าง เชน่ กอ่ สร้างอาคาร ถนน และการร้อื ถอน เปน็ ตน้
- ฝุ่นจากการประกอบการอุตสาหกรรม เช่น การท่าปูนซีเมนต์การโม่บดหรือ
ย่อยหนิ และอื่นเป็นตน้
ความหมายของฝุ่นละอองในบรรยากาศ
ในประเทศไทยได้มีการให้ความหมายของคา่ ว่า ฝุ่นละออง ไว้ดังนี้
ฝนุ่ ละออง หมายถงึ ฝุ่นรวม (Total Suspended Particulate) TSP ซ่งึ เปน็ ฝุ่นขนาดใหญ่ที่
มี เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง ต้งั แต่ 100 ไมครอนลงมา
ฝุ่ น ข น า ด เ ล็ ก ( Particulate Matter with an aerodynamic diameter less than or
equal to a nominal10 micrometers;) PM10 หมายถึง ฝุ่น ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 10
ไมครอนลงมา
PM 10 ตามคา่ จ่ากัดความของ US. EPA หมายถึง ฝุ่นหยาบ (Course Particle) เป็นอนุภาค
ท่ีมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 – 10 ไมครอน มีแหล่งก่าเนิดจากการจราจรบนถนนที่ไม่ได้ลาดยางจาก
การขนส่งวสั ดฝุ ุน่ จากกิจกรรมบด ยอ่ ย หิน
บทที่ 2 ฝ่นุ ในบรรยากาศ 13
PM 2.5 ตามคา่ จ่ากดั ความของ US. EPA หมายถงึ ฝุ่นละเอยี ด (Fine Particle) เปน็ อนภุ าค
ท่ีมีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกวา่ 2.5 ไมครอน มีแหล่งก่าเนิดจากควันเสียของรถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงาน
อุตสาหกรรม ควันที่เกิดจากการหุงต้มอาหารโดยใช้ฟืน นอกจากน้ีก๊าซ SO2 NOX และสาร VOC จะ
ท่าปฏกิ ิรยิ ากบั สารอืน่ ในอากาศท่าให้เกดิ เปน็ ฝุ่นละเอียดได ้
มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ
วิธีการตรวจสอบคุณภาพอากาศมีหลายวธิ ี เช่น การวัดหาค่าเฉลีย่ ของฝุ่นละอองรวมและฝนุ่
ละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน ในเวลา 24 ชวั่ โมง หรือในเวลา 1 ปี ให้ใชว้ ิธกี ารวัดตาม ระบบกราวิ
เมตริก (Gravimetric) หรือระบบอ่ืน ๆ ท่ีกรมควบคุมมลพิษให้ความเห็นชอบ เช่น Beta Ray ระบบ
Tapered Element Oscillating Microbalance และ ระบบ Dichotomous เป็นต้น
ประเทศไทยได้ก่าหนดมาตรฐานการตรวจวัดคุณภาพอากาศ และค่าความเข้มข้นของสาร
มลพิษต่าง ๆ ในบรรยากาศ โดยในปัจจุบันได้ใช้ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ฉบับ 10 (พ.ศ.
2538) เร่ืองก่าหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศทั่วไป ซึ่งก่าหนดวิธีการตรวจวัดปริมาณฝุ่นละออง
สามารถท่าได้โดยอาศัยหลักการดูดอากาศผ่านแผ่นกรอง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นละออง
ขนาด 0.3 ไมครอน ได้ร้อยละ 99 แล้วหาน้่าหนักฝุ่นละอองจากแผ่นกรองนั้น และค่ามาตรฐาน
อากาศโดยท่ัวไปในสภาวะแวดล้อมของการท่างานในสถานที่ต่าง ๆ หากผู้ปฏิบัติงานได้รับสัมผัสสาร
มลพิษเข้าไปสู่ร่างกายโดยเฉพาะฝุ่นละออง โดยถ้าได้รับเกินกว่ามาตรฐานที่ก่าหนดอาจส่งผลกระทบ
ต่อสขุ ภาพของผู้ปฏบิ ตั ิงานได้
การตรวจวัดฝุ่นละอองในบรรยากาศ ตามมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ
โดยทวั่ ไปสาหรับประเทศไทย
- ค่าเฉลีย่ ของฝนุ่ ละอองรวมหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 100 ไมครอน (Total Suspended
Particulate ; TSP) ในเวลา 24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 0.33 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และในเวลา
1 ปี จะตอ้ งไม่เกนิ 0.10 มิลลกิ รมั ตอ่ ลกู บาศก์เมตร
- ค่าเฉล่ียของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (Particulate Matter with an
aerodynamic diameter less than or equal to a minimal 10 micrometer ; PM10) ในเวลา
24 ชั่วโมง จะต้องไม่เกิน 0.12 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และในเวลา 1 ป จะต้องไม่เกิน 0.05
มิลลิกรัมตอ่ ลกู บาศกเ์ มตร
ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ได้ก่าหนดค่ามาตรฐานส่าหรับควบคุมระดับฝนุ่ ละอองในบรรยากาศการ
ท่างาน โดยเฉพาะค่ามาตรฐานที่ควบคุมคุณภาพของ TSP และ PM 10 ทั้งหน่วยงานของไทยและ
ตา่ งประเทศ แสดงดงั ตาราง ที่ 1.1
บทที่ 2 ฝนุ่ ในบรรยากาศ 14
ตารางท่ี 2.1 การเปรียบเทียบค่ามาตรฐานระดับ TSP และ PM 10 ในบรรยากาศท้ังภายในและ
ภายนอกอาคารที่ยอมรบั ไดร้ ะหว่างหนว่ ยงานของไทยและตา่ งประเทศ
หน่วยงาน ภายในอาคาร ภายนอกอาคาร
TSP PM 10 TSP PM 10
ประเทศไทย1 (มก./ลบ.ม.) (มก./ลบ.ม.) (มก./ลบ.ม.) (มก./ลบ.ม.)
WHO2 15 5 0.33 0.12
US EPA3 15 5 0.15 0.07
- 10 - 0.15
หมายเหตุ :
1. ภายในอาคารค่ามาตรฐานฝุ่นละอองตามประกาศกระทรวงมหาดไทย (2520) เร่ือง
ความปลอดภัยในการใช้สารเคมี และภายนอกอาคารค่ามาตรฐานฝุ่นละอองของกรม
ควบคมุ มลพิษ
2. องคก์ ารอนามัยโลก (World Health Organization : WHO)
3. องค์กรพิทักษ์ส่ิงแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Environmental Protection
Agency : US EPA)
วิธกี ารตรวจวดั ปริมาณฝนุ่ ละออง
การตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองมีหลายวิธีข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการตรวจวัดลักษณะทาง
กายภาพ ขนาด และองค์ประกอบของฝุน่ ละออง อาจแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่
1. การวัดปริมาณฝุ่นในบรรยากาศภายในอาคาร หรือในสถานประกอบการ ซ่ึง เป็น
สภาวะที่คนงานท่างานหรือได้รับสัมผัส ส่วนใหญ่จะท่าการตรวจวัดเป็นค่าเฉล่ีย 8 ชั่วโมง เนื่องจาก
เป็นระยะเวลาท่างานหรือได้รับฝุ่นละออง อุปกรณ์ท่ีใช้ตรวจวัด เรียกว่า Personal Pump สามารถ
ท่าการตรวจวัดได้ท้ังฝุ่นละอองรวม ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก
กว่า 2.5 ไมครอน
2. การตรวจวัดปริมาณฝุ่นในบรรยากาศภายนอกอาคาร สว่ นใหญ่จะใช้เคร่ืองมือที่เรียกว่า
Hi-Volume โดยจะวัดเป็นเวลาเฉล่ีย 24 ช่ัวโมง สามารถท่าได้ท้ังฝุ่นละอองรวม ฝุ่นละอองขนาดเล็ก
กวา่ 10 ไมครอนและฝุ่นละอองขนาดเล็กกวา่ 2.5 ไมครอน
เครอื่ งมอื เก็บตวั อย่างฝนุ่ ละออง
การกรองเป็นวิธีการเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองแบบด้ังเดิมและยังคงเป็นวิธีอ้างอิงมาตรฐานใน
หลายประเทศ โดยใช้หลักการเก็บอากาศด้วยปั๊มผ่านตัวกรองที่เป็นเส้นใยลักษณะและขนาดต่าง ๆ
ข้นึ กับประเภทของอนุภาคทจี่ ะเก็บ ตวั กรองจะถกู ชง่ั น่้าหนักและหาสมดุลความชนื้ ไวก้ ่อนนา่ มาใช้งาน
บทที่ 2 ฝุ่นในบรรยากาศ 15
เม่ือเก็บอากาศผ่านตัวกรองด้วยอัตราการไหลคงท่ีในช่วงเวลาก่าหนด เม่ือน่าตัวกรองมาชั่งน้่าหนัก
ภายหลังการเก็บอากาศก็จะสามารถค่านวณปริมาณของฝุ่นละอองต่อปริมาตรในการเก็บตัวอย่างนั้น
ได้ เป็นการหาปริมาณเข้มข้นของฝุ่นโดยวิธีการช่ังน้่าหนัก (Gravimetric Method) เคร่ืองมือท่ีใช้
ได้แก่
1. เครื่องเก็บตัวอย่างปริมาตรสูง (High-Volume Air Sampler) หรือ Hi-Vol เป็นวิธีเก็บ
ตัวอย่างฝุ่นตามท่ีระบุในกฎหมาย ฝุ่นในบรรยากาศจะถูกดดู เข้าสู่เครื่องเก็บตัวอย่างด้วยอัตราการดูด
ตามที่ออกแบบไว้ อากาศจะถูกบังคับให้เคลื่อนท่ีผ่านทางเข้า (Inlet) เข้าสู่เคร่ืองและถูกดักด้วย
กระดาษกรองที่อยู่ภายใน ก่อนการเก็บตัวอย่างกระดาษกรองจะต้องผ่านการชั่งน้่าหนักล่วงหน้าและ
น่าไปช่ังอีกคร้ังเม่ือเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างด้วยเครื่องช่ังในห้องปฏิบัติการ ปกติระยะเวลาเก็บ
ตัวอย่างฝุ่นในบรรยากาศก่าหนดไว้ 24 ชั่วโมง เพื่อใช้เปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานได้ ใช้ส่าหรับเก็บ
ฝุน่ รวม TSP ในบรรยากาศทั่วไป ดงั รูปที่ 2.1
รูปท่ี 2.1 เครอ่ื ง High-Volume มาตรฐาน US.EPA วเิ คราะห์ฝุน่ รวม (TSP)
ท่ีมา : http://www.accufas.com/Laboratory3.html, 2561.
วธิ กี ารตรวจวัด
การหาค่าเฉลี่ยของฝุ่นละอองรวมหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 100 ไมครอน และฝุ่นละออง
ขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน ในเวลา 24 ช่ัวโมง หรือในเวลา 1 ปี ให้ใช้วิธีการตรวจวัดตามระบบ กราวิ
เมตริก (Gravimetric) หรือระบบอื่นที่กรมควบคุมมลพิษเห็นชอบ เช่น ระบบ Beta ray ระบบ
Tepered Element Oscillating Microbalance และ ระบบ Dichotomous เป็นต้น ในการวัดหา
ค่าเฉล่ียของฝุ่นละอองในบรรยากาศน้ัน ให้ท่าการตรวจวัดในบรรยากาศทั่ว ๆ ไป โดยจะต้องสูงจาก
พื้นอยา่ งนอ้ ย 1.50 เมตร แตไ่ มเ่ กนิ 6 เมตร
บทที่ 2 ฝุน่ ในบรรยากาศ 16
หลักการตรวจวัดฝุ่นละอองในบรรยากาศ ระบบ Gravimetric ด้วยเครื่องเก็บตัวอย่างชนดิ High
Volume Air Sampler
ระบบ Gravimetric หมายถึง การวัดค่าฝุ่นละอองโดยดูดอากาศผ่านแผ่นกรอง ซึ่งมี
ประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นละอองขนาด 0.3 ไมครอน ได้ร้อยละ 99 แล้วหาน้่าหนักฝุ่นละอองจาก
แผน่ กรองนั้น
หลกั การตรวจวัดฝนุ่ ละอองขนาดไมเ่ กิน 10 ไมครอน
1. เคร่อื งเก็บตวั อย่างอากาศชนิด High Volume Air Sampler ดดู อากาศให้บรรยากาศด้วย
อัตราการไหลคงที่เข้าสู่ช่องทางเข้าอากาศท่ีมีการออกแบบพิเศษเพื่อให้สามารถคัดขนาดของฝุ่น
ละอองไม่เกิน 10 ไมครอน ที่แขวนลอยอยู่ในอากาศออกมา และถูกรวบรวมไว้บนกระดาษกรอง
ตลอดช่วงเวลาเกบ็ ตวั อย่าง (24 ชวั่ โมง)
2. ช่ังหาน่้าหนักกระดาษกรอง (หลังจากอบกระดาษกรองเพื่อไล่ความชื้นแล้ว) ทั้งก่อนและ
หลงั เก็บตวั อย่าง เพ่ือหาน่า้ หนักสุทธิ (มวล) ของ PM 10 ที่เกบ็ รวบรวมได้ โดยปรมิ าตรอากาศทัง้ หมด
ทใ่ี ชใ้ นการเก็บตัวอย่างอากาศต้องปรับแก้คา่ ตามสภาวะมาตรฐาน ทอ่ี ุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และ
ความกดอากาศ 760 มลิ ลิเมตรปรอท
การตรวจวัดฝุน่ ละอองขนาดไมเ่ กิน 10 ไมครอน PM 10
1. การเตรียมการ
1) เครอื่ งมอื และอปุ กรณ์ในภาคสนาม
เครอ่ื งเก็บตัวอยา่ ง PM 10 ชนดิ High Volume Air Sampler ประกอบด้วย
- หัวคัดขนาดฝนุ่ ละอองขนาดไม่เกนิ 10 ไมครอน
- มอเตอร์ ส่าหรบั ดดู อากาศให้ผ่านกระดาษกรอง
- เคร่อื งบันทึกอัตราการไหลของอากาศ (Recorder)
- กระดาษกราฟวงกลมสา่ หรบั บนั ทึกอตั ราการไหลของอากาศ (Recorder chart)
- อปุ กรณค์ วบคมุ อัตราการไหลของอากาศ (Control flow device)
- อุปกรณ์ต้งั เวลาเปิดปิดเครอื่ งเก็บตวั อยา่ ง (Timer)
อปุ กรณ์อืน่ ๆ
- มาร์นอมิเตอร์น่้า (Manometer water)
- บารร์ ิมเิ ตอร์ (Barometer)
2) เคร่อื งมอื และอปุ กรณ์ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร
- เครอื่ งชงั่ (Balance) ทีม่ ีความละเอยี ด 0.1 มลิ ลิกรัม
- ตู้อบความช้ืน (Desiccator) ทม่ี ีอปุ กรณว์ ัดความชื้นสัมพัทธ์ (Hygrometer)
- สารดูดความชื้น (Silica gel)
- คีมคีบปากแบน (Forcep) เคลือบดว้ ย Teflon
บทที่ 2 ฝนุ่ ในบรรยากาศ 17
- ถุงมือชนิดไวนิล ไม่มีแป้ง (Vinyl non powdered gloves) ส่าหรับหยิบจับกระดาษ
กรอง
- กล่องกระดาษ ส่าหรับบรรจุกระดาษกรอง
- เครื่องประทบั หมายเลขกระดาษกรอง (Running number)
- กระดาษกรองใยหนิ (Quartz fiber filter) ขนาด 8 × 10 นว้ิ
2. การเตรียมกระดาษกรอง
1) ตรวจสอบความสมบูรณ์ของกระดาษกรอง
- ใช้กระดาษกรองใยหิน ขนาด 8×10 นวิ้ ในการเก็บตัวอย่าง PM10
- ตรวจดูความไม่เหมาะสมของกระดาษกรอง เช่น รอยฉีกขาด รูพรุน สีของกระดาษที่
เปลี่ยนไป และกระดาษกรองไม่เรียบเสมอกัน เป็นต้น หากพบว่า กระดาษกรองมีความบกพร่อง
ดงั กล่าว จะไมน่ ่ามาใช้เกบ็ ตวั อย่าง
- ก่าหนดรหัสหมายเลขกระดาษ ควรก่าหนดรหัสเป็นตัวเลข ท่ีแสดงรายละเอียดของ
กระดาษกรอง เชน่ ปีท่ใี ช้กระดาษกรอง ชนิดของกระดาษกรอง และรหสั ของกระดาษกรอง เปน็ ต้น
- ประทบั รหัสหมายเลขกระดาษกรองด้วยเครื่องประทับหมายเลข ลงดา้ นหลังกระดาษ
กรอง(ดา้ นท่ีไม่ใชเ้ กบ็ ตัวอย่าง)
2) อบกระดาษกรองกอ่ นเก็บตวั อย่าง
- ความช้นื สมั พัทธน์ ้อยกวา่ 50%
- อุณหภูมิห้องอยู่ระหว่าง 15-30 องศาเซลเซียส โดยควบคุมไม่ให้เปล่ียนแปลงเกิน ±
3 องศาเซลเซียส
- อบกระดาษกรองอยา่ งนอ้ ย 24 ช่ัวโมง
ข้อควรระวัง หากต้องน่ากระดาษกรองไปวิเคราะห์โลหะต่อไป ไม่ควรใช้คีมคีบชนิดท่ีเป็น
โลหะจับกระดาษกรอง เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนได้
3) ชั่งนา้่ หนักกระดาษกรองกอ่ นเกบ็ ตวั อยา่ ง
- เปดิ เครื่องชัง่ อย่างนอ้ ย 2 ช่วั โมง
- ปรบั เครอ่ื งชง่ั ใหเ้ ปน็ 0.0000 (ทศนิยม 4 ต่าแหนง่ )
- น่ากระดาษกรองทีผ่ ่านการอบแล้วมาชัง่ น่้าหนกั
- บนั ทึกนา่้ หนกั กระดาษกรอง
การเก็บตัวอย่างและการตรวจวดั ฝุน่
การเก็บตัวอย่างฝุ่นและวัดปริมาณมีหลายวิธีขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการตรวจวัดลักษณะ
ทางกายภาพ ขนาด และองค์ประกอบฝ่นุ
1. การกรอง (Filtration) เป็นวิธีการดั้งเดิมและยังคงใช้เป็นวิธีอ้างอิงมาตรฐานในหลาย
ประเทศ โดยใช้หลักการเก็บอากาศด้วยป๊ัมผ่านตัวกรองท่ีเป็นเส้นใยลักษณะและขนาดต่างๆ ข้ึนอยู่
บทที่ 2 ฝนุ่ ในบรรยากาศ 18
กับประเภทของอนุภาคที่จะเก็บตัวกรองจะถูกชั่งน่้าหนักและหาสมดุลความช้ืนไว้ก่อนน่ามาใช้งาน
เม่ือเก็บอากาศผ่านตัวกรองด้วยอัตราการไหลคงท่ีในช่วงเวลาก่าหนด เม่ือน่าตัวกรองมาช่ังน้่าหนัก
ภายหลังการเก็บอากาศก็จะสามารถค่านวณปริมาณของฝุ่นละอองต่อปริมาตรในการเก็บตัวอย่างน้นั
ได้ เป็นการหาปริมาณความเข้มข้นของฝุ่นโดยวิธีการชั่งน่า้ หนัก (Gravimetric Method) เคร่ืองมือท่ี
ใชไ้ ดแ้ ก่
• เคร่ืองเก็บตัวอย่างอากาศปริมาตรสูง (High Volume Air Sampler) ใช้ส่าหรับเก็บฝุ่น
รวม TSP ในบรรยากาศท่ัวไป สามารถเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองท่ีมีขนาดตั้งแต่ 100 ไมครอน (TSP)
และ 10 ไมครอน (PM-10) ลงมามีหลักการการคัดขนาดฝุ่นละอองแบบ Gravimetric Method ซ่ึง
ตัวอยา่ งฝ่นุ ละอองจะถกู เกบ็ ลงบนกระดาษกรองขนาด 8x10 น้ิวแล้วนา่ มาวิเคราะหใ์ นห้องปฏิบตั กิ าร
รูปที่ 2.2 เครือ่ งเกบ็ ตัวอย่าง High Volume Air Sampler สา่ หรบั TSP
ท่มี า : http://www.nimt.or.th/main/wp-content/uploads/2017/12/7.-
กรมควบคมุ มลพิษ-Presentation-PDF.pdf ; 2560.
บทที่ 2 ฝ่นุ ในบรรยากาศ 19
รปู ที่ 2.3 กระบวนการเครือ่ งเกบ็ ตัวอยา่ ง High Volume Air Sampler สา่ หรบั TSP
ท่ีมา : https://tisch-env.com/wp-content/uploads/2015/06/tsp-sampler.gif ;
2560.
• PM 10 High Volume Air Sampler ส่าหรับฝุ่นขนาดเล็ก PM10 วิธีมาตรฐานที่ใช้เก็บ
ตัวอย่างในในบรรยากาศทั่วไปก็ใช้เคร่ืองเก็บอากาศปริมาตรสูง ซึ่งติดหัวคัดแยกขนาด ( Size
Selective Inlet, SSI) ไว้ส่วนบน อากาศถูกดูดไหลผ่านเข้าสู่เคร่ืองโดยควบคุมอัตราการไหลของ
อากาศให้คงท่ีท่ีอัตรา 40 ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที (1.02-1.24m3 min-1) ตัวอย่างอากาศจะถูกบังคับให้
ไหลเข้าทาง Inlet ซ่ึงเป็นช่องเปิดท่ีขอบด้านบนโดยรอบของหัวคัดขนาดรูปโดม (SSI) แล้วไหลเข้ารู
เปิด acceletion jet ซ่ึงเป็นช่องเปิดขนาดเล็กที่จะท่าให้อากาศไหลผ่านเข้ารูเปิดด้วยความเร็วที่
พอเหมาะท่าให้ฝุ่นขนาดใหญ่กว่า 10 ไมครอนท่ีมากับอากาศพุ่งเข้าชนและเกาะติดท่ีแผ่นดักฝุ่น
collection shim เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองที่ตกลงมาแล้วลอยฟุ้งขึ้นมาอีก อาจใช้ silicone
grease spay พ่นทาจากน้ันฝุ่นละอองที่เหลือซึ่งมีขนาดต่ากว่า 10 ไมครอนจะไหลผ่านเข้ารูเปิด
vent tube ไหลเข้าไปเกาะติดท่ีกระดาษกรองที่ทราบน่้าหนักแน่นอน แล้วชั่งน่้าหนักกระดาษกรอง
บทที่ 2 ฝนุ่ ในบรรยากาศ 20
ภายหลังจากผ่านการดูดอากาศดังกล่าว ผลต่างระหว่างน่้าหนักก่อนและหลังการเก็บตัวอย่างจะเป็น
นา่้ หนกั ของฝุ่นละอองต่อปริมาตรอากาศทถี่ ูกปม๊ั ดดู กลบั เข้าไป
• เคร่ืองเก็บตัวอย่างอากาศปริมาตรสูงติดส่วนคัดแยกขนาด (Size fractionated High
Volume Air Sampler) ถ้าต้องการเก็บตัวอย่างและหาปริมาตรฝุ่นขนาดเล็กมากท่ีเข้าสู่ระบบ
ทางเดินหายใจ (Respirable Dust) ในสดั สว่ นต่างๆ กย็ งั สามารถใช้เครื่องเก็บตัวอยา่ งอากาศปริมาตร
สูง (High-Volume Air Sampler) ได้ โดยติดอุปกรณ์หัวคัดแยกขนาด (Size fractionatedhead)
ซ่ึงอุปกรณ์ชุดนี้เป็นชุดของแผ่นโลหะท่ีออกแบบมาส่าหรับขวางทางเดินของอนุภาค เรียกว่า
Cascade Impactor แสดงการติดตั้งชุดคัดแยกขนาด Cascade Impactor ใน High-Volume Air
Sampler และแต่ละช้ันมีกระดาษกรองเก็บตัวอย่างอนุภาคขนาดต่างๆกัน อนุภาคท่ีมีขนาดเล็กมี
ผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าขนาดใหญ่เข้าสูงปอดได้มากกว่า การไหลของอากาศใน Cascade
Impactor ทา่ ใหค้ ัดแยกขนาดฝุ่นได้ โดยฝุ่นขนาดเลก็ จะตดิ อยู่ทก่ี ระดาษกรองชั้นล่าง
• หัวคัดแยกขนาดแบบแนวปะทะ (Cascade impactor) ใช้ในการเก็บตัวอย่างฝุ่นขนาด
เล็กมากที่ต้องการคัดแยกขนาด โดยใช้หลักการเคล่ือนที่ของอนุภาคให้ผ่านแนวปะทะอนุภาคขนาด
ใหญ่มีแรงเฉื่อยมากกว่าอนุภาคขนาดเล็กจะถูกดักจับไว้ในชั้นแรกๆ อัตราการไหลของอากาศมี
ความส่าคัญส่าหรับวิธีนี้ ถ้ามีอัตราการไหลที่เหมาะสมจึงจะท่าให้การคัดแยกขนาดมีความถูกต้อง
แม่นยา่
• เคร่ืองเก็บตัวอย่างปริมาตรต่า (Low Volume Air Sampler) ซ่ึงมักใช้ส่าหรับการเก็บ
ตวั อยา่ งเฉพาะทภ่ี ายในอาคารและฝุ่นทบี่ ุคคลรบั สัมผัสซึง่ จะสามารถเกบ็ ได้ทั้งฝ่นุ PM10-2.5 สว่ นหยาบ
และฝุ่น PM2.5 ส่วนละเอียด โดยมีวิธีการเก็บตัวอย่างคือ เตรียมกระดาษกรองขนาด 8x10 นิ้ว เก็บไว้
ภายในตู้ควบคุมความช้ืน 24 ช่ัวโมง แล้วชั่งด้วยเครื่องช่ังไฟฟ้า บันทึกน้่าหนักก่อนสัมผัสฝุ่น แล้วน่า
กระดาษกรองทบ่ี ันทึกน่้าหนกั แลว้ บรรจุลงในคดั แยกขนาดอนุภาค และประกอบเขา้ กบั ปั๊มเก็บอากาศ
เก็บตัวอย่างตามระยะเวลาที่ต้องการและน่ากระดาษกรองหลังสัมผัสฝุ่นละอองมาชั่งน้่าหนัก แล้วน่า
น้า่ หนกั ฝ่นุ ทไ่ี ดไ้ ปหาความเข้มข้นของฝ่นุ ต่อไป
• เครอ่ื งเกบ็ ตัวอยา่ งอากาศแบบไดโคโตมสั (Dichotomous Air Sampler) เปน็ วิธกี ารเก็บ
ตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ใช้หลักการแยกอนุภาคท่ีมีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน
โดยอาศัยคุณสมบัติความแตกต่างในด้านมวล ขนาดและแรงเฉื่อยของอนุภาค โดยใช้อัตราการไหล
ของอากาศในการแบ่งแยกขนาดของฝุ่นละอองออกเป็น 2 ช่วงขนาด คือ อนุภาคหยาบ (Coarse
Particle) คือฝนุ่ ที่มขี นาดอยใู่ นชว่ ง 2.5-10 ไมครอน ซึง่ แยกออกมาไดโ้ ดยใช้อตั ราการไหลของอากาศ
ท่ี 1.67 ลติ ร/นาที และอนภุ าคสว่ นละเอยี ด (Fine Particle) คอื ฝ่นุ ท่ีมีขนาดเล็กกวา่ 2.5 ไมครอน ซ่ึง
แยกออกมาไดโ้ ดยใชอ้ ัตราการไหลของอากาศท่ี 15.03 ลติ ร/นาที
บทที่ 2 ฝ่นุ ในบรรยากาศ 21
การท่างานของ Dichotomous Air Sampler ใช้หลักการดูดอากาศผ่านปั๊ม ฝุ่นขนาดใหญ่
กวา่ 10 ไมครอน ถูกแยกจากตัวอย่างอากาศโดยอาศัยความเฉื่อยของอนุภาค อนภุ าคจะถูกดูดเข้ามา
ทางส่วนบนเรียกว่า Inlet head และบ่ายเบนลงไปใน acceleration jet และเน่ืองจากฝุ่นละอองท่ี
ขนาดใหญ่กว่า 10 ไมครอน มีความเฉ่ือยมากกว่าจะถูกดักไว้ใน Middle Plenum ส่วนฝุ่นขนาดเล็ก
กวา่ 10 ไมครอนลงไป จะผ่าน Vent tube และเขา้ ไปยงั Virtual impactor
2. เครื่องวัดฝุ่นโดยใช้รังบีตา (Beta Attenuation Mass Monitor) ใช้หลักการการดูดกลืน
ของรังสีบีตาที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนกับมวลของวัตถุ ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนถูกเก็บไว้ในแผ่นเทป
กระดาษกรอง Filter tape ท่ี Beta gauge และการวดั ความเข้มรังสีบีตาสัมพันธ์กับความเข้มข้นของ
ฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน บน Filter tape และแปลงสัญญาณกลับไปเป็นความเข้มข้นฝุ่นขนาด
เลก็ กวา่ 10 ไมครอนในบรรยากาศ
รูปที่ 2.4 เครื่องวัดฝนุ่ โดยใชร้ ังบีตา (Beta Attenuation Mass Monitor)
ท่มี า : https://metone.com/air-quality-particulate-
measurement/regulatory/bam-1020/; 2560.
3. วิธีการใช้แสง (Optical Method)การใช้แสงในการวัดปริมาณละอองลอยใช้หลักการ
กระเจิงของแสง (Light scattered) เม่ือพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบางช่วงความยาวคล่ืน ส่องผ่าน
ปุ่มอนุภาคในอากาศจะเกิดการกระเจิงของแสง ทั้งนี้ขึ้นกับระยะทาง ขนาดและปริมาณของอนุภาค
ปริมาณความเข้มแสงจากแหล่งก่าเนิดที่ลดลงแปรผนั ตรงกับความเข้มข้นของละอองลอย เป็นไปตาม
กฎของเบีนร์และแลมเบิร์ด ออง ณ เวลาเกิดจริงได้ดี (Real time measurement) ตัวอย่างเช่น
อปุ กรณ์วัดควนั ด่า เอทาโลมิเตอร์ (Aethalometer) วัดเขม่าคาร์บอนจากท่อไอเสยี รถยนต์ เคร่อื งนับ
อนุภาคเนฟิโลมิเตอร์ (Nephelometer) และเครื่องอ่านค่าละอองลอยโดยตรง (Direct Reading
Aerosol Monitor, DRAM) เป็นต้น
บทที่ 2 ฝุ่นในบรรยากาศ 22
4. เคร่ืองช่ังละเอียดที่วัดการส่ันพ้อง (Resonating Microbalance) วิธีนี้เป็นการใช้
กระแสไฟฟา้ ทา่ ให้ผลึกควอตซท์ ่ีวางอยูบ่ นเคร่อื งชัง่ ละเอยี ดเกิดการสนั่ (Piezoelectric Quartz) เมอ่ื
ฝุ่นปริมาณต่างๆตกลงบนแผ่นควอตซน์ ่้าหนักจะเปลี่ยนไปท่าใหส้ ัญญาณความถ่ีของการสั่นเปล่ยี นไป
และอ่านค่าเป็นปริมาณฝุ่นได้ วิธีนี้จะเก็บตัวอย่างฝุ่นและปริมาณได้ในเวลาขณะใดขณะหน่ึงท่ีเป็น
เวลาตามจริงได้(Real time measurement)อุปกรณ์ท่ีใช้เรียกว่า ทีโอม (Tapered Element
Oscillating Microbalance, TEOM) ใช้เก็บตัวอย่างอากาศแบบต่อเนื่องได้ท้ังฝุ่นขนาดเล็ก PM10
และฝุ่นขนาดเลก็ มาก PM2.5
งานวจิ ัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง
งานวิจยั ทั้งในและต่างประเทศมีการศึกษาเร่ืองความเข้มข้นของปริมาณฝุน่ มปี ริมาณมากข้ึน
อาทิเช่น
1. เรื่อง สภาวะฝุ่นละอองในส่งิ แวดล้อมและฝนุ่ ละอองในผู้ประกอบอาชีพทาครกหนิ
กรณีศกึ ษาจงั หวดั เลย
วัตถุประสงค์หลักของงานวิจัย: เพื่อศึกษาปริมาณฝุ่นละอองในสิ่งแวดล้อมและปริมาณฝุ่น
ละอองที่ผู้ประกอบอาชพี ผลติ ครกหนิ ได้รบั จากการผลติ ครกหิน
ขอบเขตการวิจัย: ศกึ ษาตวั อย่างฝุ่นละออง ดังต่อไปนี้
1) ฝุ่นรวม (TSP) และฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) ค่าเฉล่ีย 8 ชั่วโมงใน
ส่งิ แวดล้อม โดยศึกษาบรเิ วณบ้านพกั อาศัยท่ีต้งั อยใู่ กลเ้ คยี งแหลง่ ผลิต
2) ฝุ่นรวม (TSP) และฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) ค่าเฉล่ีย 8 ช่ัวโมงของการ
ท่างาน โดยศกึ ษาในแหล่งผลิตบรเิ วณขบวนการผลติ ทีก่ อ่ ฝุ่นมากที่สดุ
เครื่องมือทใ่ี ช้ในการเก็บตวั อย่างฝุน่
1.High Volume Air Sampler (เก็บฝุน่ ละอองในบริเวณชมุ ชนใกลเ้ คยี ง)
2.ชุดเคร่อื งมือไซโคลนขนาดเล็ก (ใช้เกบ็ ตวั อยา่ งอากาศทีต่ ัวบคุ คลและเกบ็ ตัวอยา่ งอากาศ
แบบพนื้ ท่ี)
- กระดาษกรอง และตลบั กระดาษกรอง
- ป๊ัมดดู อากาศ (Personal pump)
บทที่ 2 ฝุ่นในบรรยากาศ 23
- Cyclone
- สายยางความยาวประมาณ 1 เมตร
วิธีการเกบ็ ตัวอย่างฝุ่น
ฝุ่นละอองในส่ิงแวดล้อม (เก็บบริเวณบ้านพักอาศัยท่ีตั้งอยู่ใกล้เคียงแหล่งผลิต) ซ่ึงหมายถึง
ฝุ่นรวม TSP คา่ เฉล่ยี 8 ชัว่ โมง และฝนุ่ ละอองขนาดเลก็ กว่า 10 ไมครอน (PM10) ค่าเฉลีย่ 8 ชั่วโมง มี
วิธกี ารเกบ็ ตวั อย่างดงั นี้
1. เตรียมกระดาษกรองขนาด 8x10 น้ิว ดูดความชื้นด้วยตู้ดูดความช้ืน อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ก่อนช่ังน่้าหนัก และช่ังกระดาษกรองด้วยเคร่ืองชั่งละเอียดทศนิยม 4 ต่าแหน่ง 3 คร้ัง เพ่ือ
คิดค่าเฉลีย่
2. บรรจุกระดาษกรองลงในเครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองชนิดปริมาตรสูง (High Volume Air
Sampler) เป็นเวลา 8 ชว่ั โมง
3. เมื่อครบเวลาก่าหนด น่ากระดาษกรองใส่ซองพลาสติกที่เตรียมไว้ โดยใช้คีมปลายมนคีบ
ระวงั ไมใ่ ห้ฝุ่นละอองปลวิ หลน่
4. น่ากระดาษกรองเข้าตู้ดูดความชนื้ อย่างน้อย 24 ช่ัวโมง และน่ามาช่ังน้่าหนัก 3 คร้ัง เพ่ือหา
คา่ เฉลย่ี
การติดต้งั อปุ กรณเ์ ก็บตัวอยา่ งที่บคุ คล (เกบ็ ทตี่ ัวบุคคลผ้ปู ระกอบอาชพี ผลติ ครกหิน)
1. ประกอบไซโคลนเข้ากับตลับกระดาษกรองในบริเวณที่ไมม่ ีฝุน่
2. ต่อสายยางโดยต่อปลายหน่ึงเข้ากับ inter ของ personal pump อีกปลายหน่ึงต่อกับตลับ
กระดาษกรองทต่ี อ่ กบั ไซโคลนแลว้
3. คลิปอุปกรณ์ตวั อย่างติดกบั ปกเส้ือ จดั ให้ช่องอากาศเข้าหนั ออกด้านหน้า และระวังไม่ให้มีสิ่ง
กดี ขวางช่องเขา้ ของอากาศนี้
การตดิ ตัง้ อปุ กรณเ์ กบ็ ตัวอยา่ งอากาศแบบพ้ืนที่ (เกบ็ บรเิ วณแหลง่ ผลติ )
ทา่ ได้โดยการต่ออุปกรณต์ วั อย่างเช่นเดียวกับการเก็บตวั อย่างที่ตวั บุคคล และนา่ ชุดเคร่ืองมือ
เก็บตัวอย่างอากาศไปติดตั้งกับขาตั้งกล้อง โดยให้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ในระดับหายใจของคนงาน
หรอื ประมาณ 150 เซนติเมตรจากพ้นื
ผลการวจิ ยั : เมื่อเปรยี บเทียบกบั มาตรฐานประกาศกระทรวงมหาดไทย เร่ืองความปลอดภัย
ในการทา่ งานเกยี่ วกบั ภาวะแวดลอ้ ม (สารเคม)ี พ.ศ.2520
บทท่ี 2 ฝุ่นในบรรยากาศ 24
1.ปริมาณฝุ่นรวม TSP (มคก./ลบ.ม.) บริเวณสถานท่ผี ลติ (มาตรฐาน 15 มก./ลบ.ม.)
2.ปริมาณฝุ่น PM10บริเวณสถานทีผ่ ลิต (มาตรฐาน 5 มก./ลบ.ม.)
3.ปริมาณฝนุ่ PM10ทตี่ วั บุคคล (มาตรฐาน 5 มก./ลบ.ม.)
4.ปริมาณฝ่นุ รวม TSP (มคก./ลบ.ม.) บริเวณชมุ ชนใกลเ้ คียง (มาตรฐาน 15 มก./ลบ.ม.)
5.ปรมิ าณฝ่นุ PM10บรเิ วณชุมชนใกลเ้ คยี ง (มาตรฐาน 5 มก./ลบ.ม.)
2. สถานการณ์การเผาในที่โล่ง และสภาวะฝุ่นละอองในส่ิงแวดล้อมจากการเผาพ้ืนท่ี
เกษตรกรรม กรณีศึกษา อาเภอกมุ ภวาปี จงั หวัดอุดรธานี
วัตถุประสงค์ :เพื่อศึกษาสถานการณ์เผาในท่ีโล่งและปริมาณฝุ่นละอองในสิ่งแวดล้อม ที่เกิด
จากเผาพน้ื ท่กี ารเกษตร อ่าเภอกุมภวาปี จังหวัดอดุ รธานี
ขอบเขตการวจิ ัย : ท่าการตรวจวดั ปริมาณฝุน่ ละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ตามวิธีการ
ตรวจวัดฝนุ่ ละอองในบรรยากาศทวั่ ไปของกรมมลพิษ กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างฝุ่นรวมและเครื่องมือท่ีใช้เก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาด
เล็กกวา่ 10 ไมครอน
1.เครื่องมือเก็บตัวอย่างฝุ่นในอากาศชนิดปริมาตรสูง (High Volume Air Sampler) พร้อม
ชุดปรบั เทียบความถกู ตอ้ ง ( Calibrate )
การตรวจวดั ฝนุ่ ละอองในบรรยากาศ
การตรวจวัดฝุ่นรวม ( Total Suspended Particulate ) และการตรวจวัดฝุ่นขนาดเล็กกว่า
10 ไมครอนโดยวิธี Gravimetric – High Volume
หลักการท่างานของเครื่องมือ อากาศจะถูกดูดผ่านเข้ายังทางผ่านของเคร่ืองซ่ึงฝุ่นที่มีขนาด
ตง้ั แต่ 100 ไมครอนลงมาจะถูกดูดเข้าเคร่อื งด้วยอัตราการไหลในชว่ ง 1.13 – 17 ลูกบาศก์เมตร/นาที
หรือ 40-60 ลกู บาศก์ฟุตต่อนาทีฝุ่นละอองทเ่ี ข้ามาจะตดิ อยู่บนกระคนกรองชนิดใยแกว้ (class Fiber
me) ซ่ึงมขี นาด 8 x 10 น้วิ โดยเกบ็ ตวั อย่างตลอดเวลา 24 ช่ัวโมง เมอ่ื นา่ กระดาษกรองท่ีได้มา
ชัง่ หาน้า่ หนักเพ่ือนา่ มาหาค่าความเขม้ ข้นของฝุ่นละอองต่อปรมิ าตรของอากาศในบรรยากาศต่อไป
บทที่ 2 ฝุน่ ในบรรยากาศ 25
ผลการวิจัยปริมาณฝุ่นละอองรวม (TSP) ในสิ่งแวดล้อม สถานีอนามัยตาบลสีออ อาเภอ
กมุ ภวาปี จงั หวดั อุดร
ผลการศึกษาปริมาณฝุน่ ละอองรวมในส่ิงแวดล้อม ในชุมชนทมี่ ีพนื้ ท่ีการเกษตรล้อมรอบ โดย
ท่าการเก็บฝุ่นละออง 7 คร้ัง จากสถานีอนามัยต่าบลสีออ อ่าเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ในช่วง
วันท่ี 5 มกราคม พ.ศ.2551 ถึง 17 มกราคม 2551 เลือกช่วงวันท่ีมีการเผาพื้นท่ีการเกษตร โดยวัด
ปริมาณฝุ่นละอองรวมในสิ่งแวดล้อมเฉลี่ย 24 ช่ัวโมง มีปริมาณฝุ่นละอองท่ีตรวจพบมากท่ีสุด มีค่า
เท่ากับ 481.86 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในวันท่ี 13 มกราคม พ.ศ. 2551 จากการตรวจวัดปริมาณ
ฝุ่นละอองรวมในชุมชนท่ีคาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้ง 7 วัน พบว่ามีค่าเฉลี่ย 337.31 ไมโครกรัม/
ลูกบาศก์เมตร ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ฝุ่นละอองรวม ของกรมควบคุมพิษ กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมที่ก่าหนดให้ฝุ่นละอองรวมในบรรยากาศ 24 ช่ัวโมง มีค่าไม่เกิน
330 ไมโครกรัม/ลกู บาศกเ์ มตร
ผลการวิจัยปรมิ าณฝ่นุ ละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ( PM-10) ในสิง่ แวดล้อม สถานี
อนามัยตาบลสีออ อาเภอกมุ ภวาปี จงั หวัดอุดรธานี
ผลการศึกษาปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ในสิ่งแวดล้อมของชุมชนท่ีมีพ้ืนที่
การเกษตรล้อมรอบ โดยท่าการเก็บฝุ่นละออง 7 คร้ัง จากสถานีอนามัยต่าบลสีออ อ่าเภอกุมภวาปี
จังหวัดอุดรธานีในช่วงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2551 ถึง 12 กุมภาพันธ์ 2551 เลือกช่วงวันท่ีมีการเผา
พื้นที่การเกษตรโดยรอบๆชุมชน โดยวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเลก็ กว่า 10 ไมครอน ในสิ่งแวดล้อม
เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนท่ีตรวจพบมากท่ีสุด มีค่าเท่ากับ
168.66 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ในวันท่ี 31 มกราคม พ.ศ. 2551 จากการตรวจวัดปริมาณฝุ่น
ละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนในชุมชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทั้ง 7 วัน พบว่ามีค่าเฉล่ีย
148.09 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซ่ึงไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน
ของกรมควบคุมพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มที่ก่าหนดให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า
10 ไมครอนในบรรยากาศ 24 ชวั่ โมง มคี ่าไมเ่ กนิ 120 ไมโครกรัม/ลูกบาศกเ์ มตร
วิธกี ารแกไ้ ขเกี่ยวกับสถานการณ์ฝ่นุ ละอองในสงิ่ แวดลอ้ มจากการเผาพื้นทีก่ ารเกษตร
ควรมีแนวทางป้องกันไม่ให้มีการเผาพื้นที่การเกษตร ตัวแทนเกษตรให้ความเห็นเพิ่มเติม
เก่ียวกับการเปลยี่ นวิธีการจัดการกับเศษวัชพชื รวมทั้งวิธีการเก็บเก่ียวผลผลติ ที่รวดเร็วมากกว่าวธิ ีการ
เผา ก็จะมีเคร่ืองตัดอ้อยแต่ไม่เป็นที่นิยมของการเกษตรกรมากนักเนื่องจากจากใช้เคร่ืองตัดอ้อยแล้ว
เกษตรกรต้องมาตามเก็บทีหลังอีก รวมทั้งต้องมาตัดใบอ้อยท้ิง มามัดอ้อยเป็นมัดๆเหมือนเดิม เพ่ือ
สะดวกในการขนสง่ รวมทัง้ จงึ เปน็ การสน้ิ เปลืองสองตอ่ ท่าใหไ้ มเ่ ป็นท่ีนิยม
บทที่ 2 ฝุน่ ในบรรยากาศ 26
เอกสารอ้างองิ
กมลพรรณ โคตรมณี. (2551). สถานการณก์ ารเผาในที่โล่ง และสภาวฝุ่นละอองในสิง่ แวดลอ้ ม
จากการเผา พืน้ เกษตรกรรม กรณศี กึ ษา อาเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี.วทิ ยานิพนธ์
ปริญญาสาธารณสุขศาสตร์มหาบณั ฑติ . สาขาวิชาอนามยั สิ่งแวดลอ้ ม. บณั ฑิตวทิ ยาลัย.
มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .
เครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองในบรรยากาศ (High Volume Air Sampler). (มปป.). (ออนไลน์).
คน้ เมอื่ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 จาก
http://www.ksp108.com/private_folder/HVS3000.pdf
วนิดา จีนศาสตร.์ (2551). มลพิษอากาศและการจดั การคณุ ภาพอากาศ(Air Pollution and Air
Quality Management). กรุงเทพฯ:ส่านกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สุพัฒนา บญุ สบื ชาต.ิ (2549). สภาวะฝุน่ ละอองในสิ่งแวดล้อมและฝนุ่ ละอองในผู้ประกอบอาชีพทา
ครกหนิ .วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑติ . สาขาวิชาอนามยั ส่ิงแวดล้อม.
บัณฑติ วทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ .
Gregory D. Wight. (1994). Fundameental of Air Samping.The United States of
America:Lewis Publishers.
บทที่ 3 ฝุ่นในสถานประกอบการ 27
บทที่ 3
ฝนุ่ ในสถานประกอบการ
การเก็บตัวอย่างอากาศในแต่ละแหล่ง มีวัตถุประสงค์ของการเก็บตัวอย่างอากาศที่แตกต่าง
กันออกไป และมีมาตรฐานวิธีการเก็บตัวอย่าง การใช้อุปกรณ์/เครื่องมือในการเก็บตัวอย่าง รวมถึงมี
กฎหมายหรอื มาตรฐานท่ีใชใ้ นการเปรยี บเทียบแตกตา่ งกันออกไปด้วย
1. การเกบ็ ตัวอย่างอากาศในบริเวณสถานท่ีทางาน (workplace air sampling)
2. การเก็บตัวอย่างอากาศจากปล่องหรือช่องเปิดท่ีระบายอากาศออกจากสถานประกอบ
กิจการ/ โรงงานอุตสาหกรรม (stack air sampling)
3. การเก็บตัวอยา่ งอากาศจากบรรยากาศรอบๆ สถานประกอบกิจการ/ โรงงานอุตสาหกรรม
หรือจากบรรยากาศบริเวณชุมชนติดกับสถานประกอบการ/ โรงงานอุตสาหกรรม (ambient air
sampling)
การเก็บตวั อย่างอากาศในบรเิ วณสถานท่ที างาน (workplace air sampling)
วัตถุประสงค์หลักของการเก็บตัวอย่างอากาศในบริเวณสถานที่ทางาน คือ เพื่อประเมินการ
สัมผัสมลพิษทางอากาศของผู้ปฏิบัติงาน ทั้งน้ีเพื่อความปลอดภัยและเฝ้าระวัง ป้องกันปัญหาสุขภาพ
อนามัยท่ีอาจเกิดข้ึนกับตัวผู้ปฏิบัติงาน ดังน้ัน หากเป็นผู้ท่ีอยู่ในแวดวงอาชีวอนามัยและความ
ปลอดภัยจะค้นุ เคยกับการเกบ็ ตัวอยา่ งประเภทนี้
การตรวจวดั สารมลพิษทางอากาศในสถานประกอบการ โดยการตรวจวัดจะทาภายในโรงงาน
หรือสถานประกอบการ ซึ่งเป็นสภาวะแวดล้อมท่ีคนทางานและได้สัมผัสกับสารมลพิษทางอากาศ ซึ่ง
เป็นการชักตัวอย่างท่ีเรียกว่า Personal sampling โดยหลักการชักตัวอย่างท่ีตัวคนงานที่สัมผัสกับ
มลสารน้ันโดยจะชักตัวอย่างอากาศท่ีบริเวณที่คนงานหายใจเข้าไป ซ่ึงเป็นอากาศในบริเวณช่วงอกถึง
ศีรษะ เคร่ืองมืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการเก็บตัวอย่างจะเป็นป๊ัมเก็บตัวอย่างขนาดเล็กที่ดูดอากาศผ่าน
กระดาษกรองหรือตัวกลางที่ดูดซบั หรือดูดกลืนสารมลพิษได้ โดยติดตั้งป๊ัมไว้ท่ีตัวคนงาน ระยะเวลาที่
เก็บตัวอย่างเท่ากับเวลาที่คนงานปฏบิ ัติงาน คือ 8 ชั่วโมง หรือเท่ากับระยะเวลาการทางานท่ีไดส้ ัมผสั
สาร จากนั้นจึงนาตัวอย่างอากาศไปวิเคราะห์เพ่ือหาปริมาณสารมลพิษในการชักตัวอย่างสารมลพิษ
ทางอากาศ โดยท่ัวไปอยู่ในรูปของสารมลพิษที่เป็นก๊าซไอระเหย อนุภาค ซึ่งหลักการในการชัก
ตัวอย่างเพ่ือวิเคราะห์หาปริมาณสารมลพิษ มีความแตกต่างกัน การพิจารณาเพ่ือเลือกวิธีการในการ
ตรวจวัดขนึ้ อยู่กับปจั จัยดังนี้
1) วัตถุประสงค์ในการตรวจวัดหรือชักตัวอย่าง เช่น ตรวจสอบว่าสารมลพิษปริมาณตามท่ี
กฎหมายกาหนดหรือไม่ หรือ หาแหลง่ กาเนิดของสารมลพิษ
2) ลกั ษณะทางเคมีและทางฟิสิกสข์ องสารมลพิษทต่ี ้องการตรวจวดั
บทที่ 3 ฝุ่นในสถานประกอบการ 28
3) มีสารอืน่ ทีร่ บกวนในการตรวจวัด ทาใหเ้ กดิ ความผิดพลาดในการตรวจวัดได้
4) ความถูกตอ้ งแม่นยาทตี่ ้องการ
5) ค่าใช้จา่ ยในการตรวจวดั
6) ชนิดของตวั อยา่ งและสภาพของพืน้ ที่ที่ตอ้ งการตรวจวดั
7) ช่วงเวลาในการตรวจวัดมาตรฐานเก่ียวกับการทางานในสถานประกอบการจะใช้ตามท่ี
กาหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง ความปลอดภัยในการทางานเก่ียวกับภาวะแวดล้อม
(สารเคมี) อาศัยอานาจตามความในข้อ 2 (7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16
มีนาคม 2515 การเลือกวิธีการในการตรวจวัดสารมลพิษที่อยู่ในรูปของก๊าซ ไอระเหยหรืออนุภาค
ต้องพิจารณาความเหมาะสม ให้ผลการตรวจวัดท่ีถูกต้องแม่นยา ดังน้ันผู้ท่ีทาการตรวจวัดหรือผู้ท่ี
เกี่ยวข้องควรมีความรู้ความเข้าใจถึงหลักการเบ้ืองต้นเกี่ยวกับการชักตัวอย่างและการวิเคราะห์
ตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี
3.1 การชักตัวอย่างอากาศโดยวิธีการดูดซึม (Absorption technique) การดูดซึมเป็น
กระบวนการเคลื่อนย้ายสารประกอบที่อยู่ในสถานะก๊าซเข้าสู่หรือกระจายในของเหลวหรือของแข็ง
การดูดซึมมสี องลักษณะคือ
1) การดูดซึมทางกายภาพ (Physical absorption) การดูดซึมทางกายภาพเป็นการ
ชักตัวอย่างอากาศผ่านตัวดูดซึมที่เป็นของแข็งหรือของเหลวโดยไม่มีการเกิดปฏิกิริยากันระหว่างสาร
มลพิษและตวั ดดู ซึม
2) การดูดซึมทางเคมี (Chemical absorption) การดูดซึมทางเคมีเป็นการชัก
ตัวอย่างที่ใช้ของเหลวที่สามารถทาปฏิกิริยากับสารมลพิษที่สนใจ เกิดเป็นสารประกอบคงตัว มี
ลักษณะเป็นเนื้อเดียวกับตัวดูดซึม ไม่มีการระเหย และง่ายในการตรวจวัดในสถานะของของเหลว
ตัวอย่างเช่น การชักตัวอย่างก๊าซแอมโมเนียโดยการดูดซึมด้วยสารละลายกรด เป็นต้น ประสิทธิภาพ
ในการดูดซึม หรือความสามารถในการละลายของสารมลพิษทางอากาศข้ึนอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
ประสิทธิภาพของตัวดูดซึม (อัตราการเกิดปฏิกิริยา) อุณหภูมิ ความดันย่อยของสารมลพิษ เป็นต้น
ลักษณะของอุปกรณ์ในการชักตัวอย่าง ประกอบด้วยภาชนะที่ทาจากวัสดุที่ไม่ทาปฏิกิริยากับสาร
มลพิษ เช่น แก้ว มีส่วนที่ป้องกันการร่ัวไหลของสารมลพิษจากภายนอกเข้ามา ทางออกต่อกับป๊ัมดูด
อากาศหรอื สภาพที่เป็นสุญญากาศ ท่อทางเข้าของสารมลพษิ จ่มุ อยู่ในสารละลายดดู ซับ
3.2 ก า ร ชั ก ตั ว อ ย่ า ง โ ด ย วิ ธี ก า ร ดู ด ซั บ (Adsorption technique) ก า ร ดู ด ซั บ
(Adsorption) เปน็ การชักตัวอยา่ งสารมลพษิ ทเ่ี ป็นก๊าซ ของเหลว หรือตวั ถกู ละลายบนผวิ ของแข็ง ผิว
ของตวั ดูดซบั จะมีลักษณะเป็นรพู รนุ ซึง่ โมเลกลุ ของก๊าซจะเขา้ ไปสัมผสั กับพ้ืนท่ผี วิ ของตวั ดูดซบั ได้เต็ม
ประสิทธิภาพ ตัวดูดซับที่ใช้กันอยู่มีหลายชนิด เช่น ถ่านชาร์โคล การดูดซับสารมลพิษทางอากาศ
โดยทั่วไปเปน็ การดูดซับทางกายภาพ สว่ นการดดู ซับทางเคมจี ะทาใหเ้ กดิ ข้ึนไดใ้ นสภาวะที่อุณหภูมิต่า
การวิเคราะห์สารมลพิษทางอากาศหลังจากการชักตัวอย่าง โดยทาให้เกิดการคายตัวของสารมลพิษ
และมีการนาตัวดูดซบั กลับมาใช้งานใหม่ โดยวิธีการต่างๆ ซ่ึงปรกติจะใช้วธิ ีการเพ่ิมอุณหภูมิให้สูงหรือ
โดยใช้เรซิน เป็นต้น
บทที่ 3 ฝนุ่ ในสถานประกอบการ 29
กฎหมายของประเทศไทยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
ในปัจจุบัน (มี.ค.2554) กฎหมายประเทศไทยท่เี กีย่ วข้องกับการเกบ็ ตวั อย่างอากาศในบริเวณ
สถานทท่ี างานโดยตรงมีอยู่ 2 ฉบบั คือ
1. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทางานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม
(สารเคมี) ลงวันที่ 30 พ.ค.2520
2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เร่ืองความปลอดภัยในการทางานเก่ียวกับสารเคมีอันตราย
ลงวนั ที่ 22 ส.ค.2534
จะเห็นได้ว่า กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ยังเป็นกฎหมายเก่าที่อาศัยอานาจจากกฎหมายแม่บทด้าน
อาชีวอนามัยและความปลอดภัยฉบับเก่า คือ ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม
2515 ในการออกกฎหมาย (ปัจจุบันกฎหมายแม่บทด้านอาชีวอนมัยและความปลอดภัยได้
เปลย่ี นแปลงไปอยา่ งมากแลว้ โดยไดเ้ ปลย่ี นจากประกาศคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวเป็นพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงานพ.ศ.2541 ก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ
สภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ.2554 ซ่ึงจะมีผลบังคบั ใชป้ ระมาณกลางเดือนกรกฎาคม 2554 ที่จะ
ถึงนี้ นอกจากนี้ มีข้อน่าสังเกตว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว มีช่ือเป็นประกาศกระทรวงมหาดไทย
ท้ังน้ีต้องเข้าใจว่า กฎหมายดังกล่าวออกสมัยท่ียังไม่มีการจัดต้ังกระทรวงแรงงานข้ึน มีเพียงกรม
แรงงานภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย ดังน้ัน ในปัจจุบันกฎหมายดังกล่าวอยู่ภายใต้การกากับดูแล
ของกระทรวงแรงงาน)
อย่างไรก็ตาม ในขณะน้ีได้มีการยกร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทางาน
เก่ียวกับสารเคมีอันตราย ทั้งนี้เน้ือหาโดยรวมจะนากฎหมายทั้ง 2 ฉบับรวมเข้าด้วยกัน รวมท้ัง
ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น จึงขอแนะนาให้ติดตามความก้าวหน้าในการประกาศใช้กฎกระทรวง
ดังกล่าวจากกรมสวสั ดิการและคุ้มครองแรงงานทางเว็บไซต์ http://www.labour.go.th และ/ หรือ
จากสานกั ความปลอดภยั แรงงานทางเวบ็ ไซต์ http://www.oshthai.org
รายละเอยี ดพอสังเขปของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรอื่ งความปลอดภัยในการทางาน
เกี่ยวกบั ภาวะแวดล้อม (สารเคมี)
ในประกาศฯ ฉบับน้ี มีการกาหนดแบ่งเป็น 3 หมวด คือ หมวด 1 สารเคมี หมวด 2 มาตรฐาน
เกี่ยวกับอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล และหมวด 3 เบ็ดเตล็ด ซ่ึงข้อกาหนดทั้งหมดถือ
เปน็ มาตรฐานข้นั ต่าทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ิเท่านัน้ สรปุ สาระสาคัญของประกาศฯ ฉบับน้ี คอื
1. การกาหนดค่ามาตรฐานสารเคมีในบรรยากาศของสถานที่ทางานหรอื ในการทางาน โดยใน
ประกาศฉบับนี้ กาหนดค่ามาตรฐานสารเคมีในบรรยากาศของการทางานโดยสัมพันธ์กับระยะเวลาที่
ทางานในทท่ี ี่สารเคมฟี งุ้ กระจายและจดั แบ่งออกเปน็ 4 ตาราง คอื
ตารางหมายเลข 1 จะกาหนดว่า ตลอดระยะเวลาทางานปกติ (คือ 8 ช่ัวโมงต่อวัน) ปริมาณ
สารเคมีที่ฟุ้งกระจายในบรรยากาศของการทางานโดยเฉลี่ย จะเกินกว่าท่ีกาหนดไว้ในตารางดังกล่าว
บทที่ 3 ฝุ่นในสถานประกอบการ 30
ไม่ได้ ซ่ึงในตารางกาหนดสารเคมีให้ทั้งส้ิน 72 ชนิด ตัวอย่างเช่น สารอัลดริน สามารถฟุ้งกระจายใน
บรรยากาศที่ทางานเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทางาน 8 ช่ัวโมงได้ไม่เกิน 0.25 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์
เมตร
สาหรบั ตารางหมายเลข 2 เป็นค่ามาตรฐานเคมใี นบรรยากาศของการทางานท่ีไมว่ ่าเวลาใดของ
การทางานปกติ ห้ามมีค่าเกนิ เท่าทก่ี าหนดไว้โดยตารางกาหนดสารเคมีไว้ทั้งสิน้ 24 ชนดิ ตวั อยา่ งเช่น
บวิ ทลิ อะไมด์ ในทีท่ างานไม่ว่าเวลาใดๆ สามารถฟุง้ กระจายไดไ้ ม่เกิน 5 ในลา้ นสว่ นหรอื 15 มลิ ลิกรัม
ต่อลูกบาศกเ์ มตร เป็นตน้
สาหรับตารางหมายเลข 3 น้ันจะกาหนดค่ามาตรฐานสารเคมีเป็นค่าความเข้มข้นเฉลี่ยตลอด
ระยะเวลาทางานปกติ และค่าความเข้มข้นในระยะเวลาท่ีกาหนดให้ทางานได้ซึ่งในตารางกาหนด
สารเคมไี วท้ ง้ั ส้นิ 21 ชนิด
ส่วนตารางหมายเลข 4 กาหนดค่าปริมาณสารเคมีเป็นค่าเฉล่ียตลอดระยะเวลาทางานปกติ
เช่นเดียวกันกับตารางที่ 1 เพียงแต่สารเคมีในตารางที่ 4 น้ี จะอยู่ในรูปฝุ่นแร่ ซึ่งในตารางกาหนด
สารเคมใี นรูปฝุ่นแร่ไว้ 4 ชนิด ตัวอยา่ งเชน่ ฝุ่นที่ก่อใหเ้ กิดความราคาญชนิดฝนุ่ ทกุ ขนาด (Total Dust)
สามารถฟ้งุ กระจายในบรรยากาศท่ที างานเฉลยี่ ตลอดระยะเวลาการทางานปกติ (8 ชม.) ไดไ้ มเ่ กิน 15
มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ฝุ่นท่ีก่อให้เกิดความราคาญชนิดฝุ่นขนาดที่สามารถเข้าถึงและสะสมในถุง
ลมของปอดได้ (Respirable Dust) สามารถฟุ้งกระจายในบรรยากาศที่ทางานเฉลี่ยตลอดระยะเวลา
การทางานปกติ (8 ชม.) ไดไ้ มเ่ กิน 5 มิลลิกรัมต่อลกู บาศก์เมตร เป็นต้น
2. กาหนดให้มีการดาเนินงานเพื่อความปลอดภัยและการปรับปรุงแก้ไข ถ้าสภาพการใช้
สารเคมีอาจเปน็ อันตรายต่อผู้ใช้หรือผู้อยู่ใกล้เคยี ง (เช่น ลูกจา้ งแผนกอื่น แตม่ พี ืน้ ที่ทางานตดิ กัน เป็น
ต้น) นายจ้างต้องจัดห้องหรืออาคารสาหรับการใช้สารเคมีไว้โดยเฉพาะ และกรณีผลการตรวจวัด
ปริมาณสารเคมี พบว่า มีสารเคมีฟุ้งกระจายสู่บรรยากาศของการทางานเกินกว่าท่ีกาหนดไว้ในตาราง
หมายเลข 1-4 กฎหมายได้กาหนดขั้นตอนของการปรับปรุงหรือแก้ไข โดยข้ันตอนแรกนายจ้างต้อง
หาทางลดความเขม้ ข้นของสารเคมลี งมาไม่ใหเ้ กนิ กว่าท่ีกาหนด (แสดงว่า ต้องหาทางลดทแี่ หล่งกาเนิด
สารเคมหี รือบริเวณทางผ่านของสารเคมี) หากไมส่ ามารถทาได้ จึงจะมาถงึ ขั้นตอนจัดให้ลูกจ้างสวมใส่
อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล คือ ฝุ่น ละออง ฟูม แก๊สหรือไอเคมี ต้องสวมใส่ท่ีกรอง
อากาศหรือเครื่องช่วยหายใจที่เหมาะสม สารเคมีในรูปของของเหลวท่ีเป็นพิษ ต้องสวมใส่ถุงมือยาง
รองเท้าพนื้ ยางหุม้ แขง็ กะบงั หน้าชนดิ ใส และท่กี ันสารเคมีกระเดน็ ถูกรา่ งกาย สารเคมีในรปู ของแข็งท่ี
เป็นพิษ ตอ้ งสวมใสถ่ งุ มอื ยางและรองเท้าพื้นยางห้มุ ส้น ท้ังนก้ี ฎหมายได้กาหนดมาตรฐานของอุปกรณ์
คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลไว้ด้วย เช่น ถุงมือยางต้องทาด้วยยางหรือวัตถุอื่นท่ีคล้ายกัน มี
ความยาวหุ้มถงึ ข้อมือ มีลกั ษณะใช้สวมกับนวิ้ มือได้ทุกนวิ้ มคี วามเหนียวไม่ฉีกขาดง่าย สามารถกันน้า
และสารเคมไี ด้ ทกี่ รองอากาศสาหรับใช้ครอบจมูกและปากกันฝุน่ แร่ ตอ้ งสามารลดปรมิ าณฝุ่นแรไ่ ม่ให้
เกนิ กว่าที่กฎหมายกาหนด เป็นต้น
บทท่ี 3 ฝุ่นในสถานประกอบการ 31
รายละเอียดพอสังเขปประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทางาน
เกีย่ วกบั สารเคมีอันตราย
ประกาศกระทรวงฯ ฉบับนี้ได้มีการระบุชนิดและประเภทของสารเคมีอันตรายให้ชัดเจน โดย
ออกกฎหมายลาดับรอง คือ ประกาศสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่องกาหนดชนิดและประเภท
ของสารเคมีประกาศ ณ วันท่ี 17 มิถุนายน พ.ศ. 2535 ซ่ึงระบุชนิดและประเภทของสารเคมีอันตราย
ไว้ 2 ตาราง ตารางหมายเลข 1 คือ ชนิดและประเภทของสารเคมีท่ีเป็นสารเคมีอันตรายมีทั้งส้ิน
1,579 สาร และตารางหมายเลข 2 คือ ชนิดและประเภทของสารเคมี ซึ่งมีปริมาณต้ังแต่ที่กาหนดข้ึน
ไปเปน็ สารเคมีอันตรายมที ้ังสนิ้ 180 สาร
สาระหรือขอ้ กาหนดในประกาศกระทรวงฯ ฉบบั นี้ ไดแ้ บง่ ออกเป็น 3 หมวดคอื หมวด 1 การ
ทางานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย หมวด2 การคุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล และหมวด 3
เบด็ เตลด็ สรุปสาระท่สี าคญั ของประกาศฉบบั นี้ เชน่
1. กาหนดเรื่อง การขนส่ง เก็บรักษา เคลื่อนย้าย และกาจัดหีบห่อ ภาชนะบรรจุ หรือวัสดุ
ห่อหมุ้ สารเคมีอันตราย ต้องปฏบิ ัติตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทีก่ าหนด
2. กาหนดให้มีฉลากปิดไว้ท่ีหีบห่อภาชนะบรรจุ หรือวัสดุห่อหุ้มสารเคมี โดยฉลากต้องมี
รายละเอียดดังน้ี สัญลักษณ์ที่แสดงถึงอันตรายและคาว่า “สารเคมีอันตราย”หรือ “วัตถุมีพิษ” หรือ
ชื่อทางเคมีหรือช่ือทางวิทยาศาสตร์ของสารเคมีอันตราย ปริมาณและส่วนประกอบของสารเคมี
อันตราย อนั ตรายและอาการเกดิ พษิ จากสารเคมีอนั ตราย คาเตือนเกี่ยวกับวธิ เี กบ็ วธิ ีใช้ วิธเี คลือ่ นย้าย
สารเคมอี นั ตรายและวิธกี าหนดหบี หอ่ ภาชนะบรรจหุ รอื วัสดหุ ่อหุม้ สารเคมีอันตรายอย่างปลอดภัย วิธี
ปฐมพยาบาลเมื่อมีอาการหรือความเจ็บป่วยเน่ืองจากสารเคมีอันตราย และคาแนะนาให้รับส่งผู้ป่วย
ไปหาแพทย์
3. กาหนดให้แจ้งข้อมูลเคมีภัณฑ์ตามแบบ สอ.1 ต่อราชการภายใน 7 วัน (แบบ สอ.1 คือ
Material Safety Data Sheet ; MSDS) และกรณีมีการใช้สารเคมีอันตรายเกินกว่าที่กาหนดต้องทา
การประเมินการก่ออันตรายตามแบบ สอ.2 อย่างน้อยปีละครั้ง รวมท้ังกาหนดให้สถานที่ทางานของ
ลูกจ้างตอ้ งมีปรมิ าณสารเคมอี ันตรายในบรรยากาศการทางานไม่เกินกวา่ ท่ีกาหนดไว้ในกฎหมายความ
ปลอดภัยเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม (สารเคมี) โดยต้องทาการวัดปริมาณความเข้มข้นของสารเคมี
อันตรายในบรรยากาศท่ีทางานและสถานท่ีเก็บอย่างช้าที่สุดต้องไม่เกิน 6 เดือนต่อครั้ง และรายงาน
ผลตามแบบ สอ. 3 ถา้ ผลการตรวจวัดพบว่าเกนิ ค่ามาตรฐาน ตอ้ งดูแลหรอื ปรบั ปรงุ แก้ไขไมใ่ หเ้ กิน
4. กาหนดให้สถานที่ทางานของลูกจ้างซ่ึงเก่ียวข้องกับสารเคมีอันตรายต้องถูกสุขลักษณะ
สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยมีการระบายอากาศที่เหมาะสม รวมทั้งมีระบบป้องกันและกาจัด
สารเคมอี ันตราย และตอ้ งจัดท่ีชาระลา้ งสารเคมอี ันตรายด้วย
บทที่ 3 ฝุ่นในสถานประกอบการ 32
5. กาหนดให้มกี ารอบรมลกู จา้ งทีท่ างานเก่ียวกับสารเคมีอันตราย
6. กาหนดให้มีการตรวจสุขภาพลูกจ้างที่ทางานกับสารเคมีอันตราย โดยให้รายงานผลการ
ตรวจตามแบบ สอ. 4 และเก็บผลการตรวจสุขภาพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี และพร้อมให้เจ้าหน้าท่ี
ตรวจได้ หากพบความผิดปกติต้องจัดการให้ลูกจ้างไดร้ บั การรกั ษาพยาบาลทันที
7. กาหนดให้นายจ้างต้องจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ รองเท้า
หุ้มแข็ง กะบังหน้า เป็นต้น ท่ีทาจากวัสดุท่ีมีคุณสมบตั ิสามารถป้องกันอันตรายได้ และถ้าลูกจ้างไม่ใช้
หรือไม่สวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ใหน้ ายจ้างสงั่ หยดุ การทางานจนกวา่ จะได้ใช้
หรอื สวมใส่
8. กาหนดมาตรการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น สารเคมีอันตรายรั่วไหล ฟุ้งกระจาย เกิด
อัคคีภยั /ระเบดิ อนั อาจทาใหล้ ูกจ้างประสบอนั ตราย เจ็บปว่ ยหรือตายอยา่ งเฉยี บพลัน ตอ้ งให้ทกุ คนท่ี
ทางานบริเวณน้ันหรือบริเวณใกล้เคียงหยุดงานทันที และออกไปให้พ้นรัศมีท่ีอาจได้รับอันตราย
สรุปประเด็นจากกฎหมาย 2 ฉบับดังท่ีกล่าวข้างต้นท่ีเก่ียวข้องกับการเก็บตัวอย่างอากาศ
ในบรเิ วณสถานทท่ี างาน ดงั นี้
ประเทศไทยได้มีการกาหนดให้สถานประกอบการ/ โรงงานอุตสาหกรรมทีมีการใช้สารเคมี
ตามทีก่ าหนดต้องทาการตรวจวดั ปริมาณความเขม้ ขน้ ของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศท่ที างานและ
สถานท่ีเก็บหรือกล่าวได้ว่าต้องมีการเก็บตัวอย่างอากาศในบริเวณสถานที่ทางานที่มีการใช้สารเคมี
ตามทีก่ าหนดรวมทง้ั มีการกาหนดคา่ มาตรฐานสารเคมีในบรรยากาศของการทางานไวด้ ้วย
นอกจากน้ี ในแบบรายงานผลการตรวจวัดปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายใน
บรรยากาศบริเวณสถานท่ีทางานและสถานที่เก็บสารเคมีอันตรายหรือแบบสอ.3 ได้กาหนด เร่ือง
วิธีการเก็บตัวอย่าง การวเิ คราะหใ์ ห้ใช้มาตรฐานของ NIOSH JISHA หรอื มาตรฐานสากลอนื่ ๆ และ
ผ้เู ก็บตัวอยา่ งควรมคี วามรู้ทางดา้ นสุขศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม (Industrial Hygiene) ด้วย
อย่างไรก็ตาม จากกฎหมายข้างต้นมีข้อสังเกตว่าชนิดและประเภทของสารเคมีอันตรายที่เข้า
ข่าย ต้องทาการตรวจวัดปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศท่ีทางานและสถานท่ีเก็บมี
เกือบสองพันชนิด แต่มีการกาหนดค่ามาตรฐานสารเคมีในบรรยากาศของที่ทางานไว้ประมาณสอง
ร้อยชนิดเท่าน้ัน (รวมท้ังค่ามาตรฐานดังกล่าวได้ประกาศใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 ซึ่งผ่านมากว่า 30 ปี
แล้ว) ดังน้ัน ในทางปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ปฎิบัติอาจมีคาถามตามมาได้หลายประเด็น
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีท่ีโรงงานมีการใช้สารเคมีตัวหน่ึง และเป็นสารเคมีอันตราย ตามประกาศ
กระทรวงมหาดไทย เร่ืองความปลอดภัยในการทางานเก่ียวกับสารเคมีอันตราย ดังนั้น ตามกฎหมาย
จาเป็นต้องทาการวัดปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศท่ีทางานและสถานท่ี
เก็บ แต่เม่ือตรวจสอบกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทางานเก่ียวกับ
บทท่ี 3 ฝนุ่ ในสถานประกอบการ 33
ภาวะแวดลอ้ ม (สารเคมี) พบวา่ ไมม่ ีคา่ มาตรฐานสารเคมใี นบรรยากาศของสถานท่ที างานหรอื ในการ
ทางานของสารเคมีตัวน้ัน ดังนั้น จึงมีคาถามตามมาว่าต้องทาการตรวจวัดหรือไม่ และถ้าทาการ
ตรวจวัดจะเทยี บกับค่ามาตรฐานท่ไี หน เปน็ ตน้
ในท่ีนี้คงไม่อภิปรายเรื่องกฎหมายมากนัก เพราะกฎหมายเปรียบเสมือนเครื่องมึอหนึ่งที่ช่วย
บังคับให้นายจ้างดูแลสุขภาพของลูกจ้าง รวมท้ังเป็นเคร่ืองมือแก่ผู้รับผิดชอบโดยตรงเช่น เจ้าหน้าที่
ความปลอดภัยในการทางานระดับวิชาชีพ ในการช้ีแจงนาเสนอแก่เจ้าของสถานประกอบกิจการ/
โรงงานอุตสาหกรรม เพ่ือนาไปสกู่ ารปฏิบตั ิ
อย่างไรก็ตาม ในทางวิชาการแล้วต้องเข้าใจว่าหัวใจหลักหรือวัตถุประสงค์หลักของการเก็บ
ตัวอย่างอากาศในบริเวณสถานท่ีทางาน คือ เพื่อประเมินการสมั ผัสมลพิษทางอากาศของผ้ปู ฏิบตั งิ าน
ท้ังน้ีเพื่อความปลอดภัยและเฝ้าระวัง ป้องกันปัญหาสุขภาพอนามัยที่อาจเกิดขึ้นกับตัวผู้ปฏิบัติงาน
หรือลูกจ้าง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาถึงความจาเป็นในการเก็บตัวอย่าง
อากาศในบริเวณสถานท่ีทางานโดยใช้ปัจจัยอ่ืนๆ เข้าร่วมด้วย เช่น ความเป็นอันตรายของสารเคมี
จานวนผู้สัมผัส มาตรการท่ีมีอยู่ ความพร้อมของสถานประกอบกิจการ ความพร้อมของหน่วยงานที่
เก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้ ต้องเข้าใจว่าสิ่งท่ีกฎหมายกาหนดเป็นเพียง
มาตรฐานขน้ั ต่าทกี่ าหนดให้ต้องปฺฏิบัติ เท่านัน้
หนว่ ยงานตา่ งประเทศที่เกี่ยวข้องกับวิธกี ารเกบ็ ตัวอยา่ ง และการวเิ คราะหต์ วั อย่างอากาศ
ในบริเวณสถานท่ีทางาน คา่ มาตรฐานอากาศในบรเิ วณสถานท่ีทางาน
จากข้อจากัดบางประการของกฎหมายประเทศไทย ดังท่ียกตัวอย่างข้างต้น จาเป็นท่ีเราตอ้ งมี
ความรู้ ความเขา้ ใจเบอื้ งต้นเก่ียวกับหนว่ ยงานของตา่ งประเทศทีเ่ กยี่ วข้องกับการเก็บตวั อยา่ งและการ
วิเคราะห์ตัวอย่างอากาศในบริเวณสถานท่ีทางาน รวมท้ังมีการกาหนดค่ามาตรฐานอากาศในบริเวณ
สถานท่ีทางาน เพอ่ื เป็นแหล่งในการค้นคว้าความรูเ้ พ่ิมเติม
เน่ืองจากหน่วยงานต่างประเทศท่ีเก่ียวข้องมีอยู่มากมาย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมักนิยม
อ้างอิงหน่วยงานของประเทศสหรัฐอเมริกา ในท่ีน้ีจึงขอแนะนาเฉพาะหน่วยงานของประเทศ
สหรฐั อเมริกา ดังนี้
OSHA (Occupational Safety and Health Administration) เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลาง
ภายใต้สงั กดั Department of Labor ประเทศสหรฐั อเมริกา มหี นา้ ท่โี ดยตรงในการบงั คบั ใช้กฎหมาย
และดูแลงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาหรับส่วนท่ีเก่ียวข้องโดยตรงกับการเก็บตัวอย่าง
อ า ก า ศ เ ช่ น Regulation (Standard -29 CFR) 1910 Subpart Z – Toxic and Hazardous
Substances ค่ามาตรฐานสารเคมีในบรรยากาศการทางาน- PELs (Permissible Exposure
Limits) สามารถสบื คน้ ความรู้เพ่มิ เตมิ ได้ที่ http://www.osha.gov
บทที่ 3 ฝนุ่ ในสถานประกอบการ 34
NIOSH (The National Institute for Occupational Safety and Health) เป็นหน่วยงานราชการ
ส่วนกลางภายใต้สังกัด CDC; Centers for Disease Control and Prevention Department of
Health and Human Services ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหน่วยทางวิชาการ ทาหน้าท่ีวิจัยและให้
คาแนะนาเกี่ยวกับงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาหรับส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเก็บ
ตัวอย่างอากาศ เช่น คู่มือมาตรฐานในการเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศ NMAM : NIOSH
Manual of Analytical Methods ค่ามาตรฐานสารเคมีในบรรยากาศการทางาน - RELs
(Recommended Exposure Limits) เ ป็ น ต้ น ส า ม า ร ถ สื บ ค้ น ค ว า ม รู้ เ พ่ิ ม เ ติ ม ไ ด้
ที่ http://www.cdc.gov/niosh
ACGIH (American Conference of Governmental Industrial Hygienist) เ ป็ น อ ง ค์ ก ร อิ ส ร ะ
ทางานในรูปของคณะกรรมการที่มีสมาชิกจากภาครัฐและเอกชน โดยทางานเก่ียวกับงานสุขศาสตร์
อุตสาหกรรม สาหรับส่วนที่เกยี่ วข้องโดยตรงกับการเก็บตัวอย่างอากาศ เช่น ค่ามาตรฐานสารเคมีใน
บรรยากาศการทางาน - TLVs (Threshold Limit Values) เป็นต้น สามารถสืบค้นความรู้เพ่ิมเติมได้
ที่ http://www.acgih.org
ตัวอย่างเครอื่ งมอื /อปุ กรณ์ในการเกบ็ ตวั อย่างอากาศในสถานทีท่ างาน
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าในการเก็บตัวอย่างอากาศในสถานที่ทางานจาเป็นต้องทราบมาตรฐาน
และวิธีในการเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศ ดังนั้น ก่อนทาการเก็บตัวอย่างอากาศจึงจาเป็นต้อง
ทราบชนิดหรือช่ือของสารเคมีที่แพร่กระจายในบรรยากาศการทางานที่เราต้องการเก็บตัวอย่าง เพ่ือ
ตรวจสอบหามาตรฐานวิธีในการเก็บตัวอย่าง ตลอดจนจัดเตรียมเครื่องมือ/ อุปกรณ์ให้ถูกต้องตาม
มาตรฐาน
รปู ท่ี 3.1 เครอ่ื งมอื / อุปกรณท์ ่ใี ช้ในการเก็บตวั อยา่ งฝุ่นรวม (Total Dust)
บทท่ี 3 ฝนุ่ ในสถานประกอบการ 35
เน่ืองจากรายละเอียดของการเก็บตัวอย่างอากาศมีเครื่องมือ/ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บตัวอย่าง
ค่อนขา้ งมาก ในทนี่ ้จี งึ ขอเสนอภาพตวั อยา่ งเคร่ืองมอื / อุปกรณ์ท่ใี ช้ในการเก็บตวั อย่างฝุ่นรวม (Total
Dust) ดังแสดงในรูปที่ 3.1 และเคร่ืองมือ/ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างฝุ่นที่สามารถเข้าไปใน
ระบบทางเดินหายใจส่วนปลายได้ (Respirable Dust) ดังแสดงในรูปที่ 3.2 อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่า
ในการเก็บตัวอย่างมีเครื่องมือหลัก คือ เครื่องเก็บตัวอย่างอากาศชนิดติดตัวบุคคล (Personal Air
Sampling Pump) หรอื คือปมั๊ ดดู หรือเก็บตัวอยา่ งอากาศขนาดเล็กที่สามารถพกตดิ ตวั ผู้ปฏิบัตงิ านได้
แต่ส่วนท่ีแตกต่างคือ อุปกรณ์ประกอบในการเก็บตัวอย่าง ซึ่งขึ้นอยู่ชนิดและประเภทของมลพิษหรือ
สารเคมีที่ต้องการเก็บตัวอย่าง ทั้งนี้ในการเก็บตัวอย่างในสถานที่ทางานสามารถทาได้ 2 รูปแบบ คือ
อาจเก็บตัวอย่างแบบติดตัวบุคคล (Personal Sampling) ดังแสดงในรูปที่ 3.3 หรืออาจเก็บตัวอย่าง
แบบพ้นื ท่ี ( Area Sampling) โดยการติดตั้งเคร่ืองมอื / อปุ กรณ์ไว้กับขาต้ังกล้อง
รูปท่ี 3.2 เครื่องมือ/ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างฝุ่นที่สามารถเข้าไปในระบบทางเดินหายใจสว่ น
ปลายได้ (Respirable Dust)
รูปท่ี 3.3 การเก็บตัวอยา่ งแบบติดตัวบุคคล(Personal Sampling)
ท่มี า : https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book543/sanitation.html ;
2561
บทที่ 3 ฝุ่นในสถานประกอบการ 36
เอกสารอา้ งอิง
กมลพรรณ โคตรมณี. (2551). สถานการณ์การเผาในทโ่ี ลง่ และสภาวฝุ่นละอองในสิง่ แวดลอ้ ม
จากการเผา พ้ืนเกษตรกรรม กรณศี ึกษา อาเภอกมุ ภวาปี จังหวัดอดุ รธานี.วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญาสาธารณสขุ ศาสตร์มหาบัณฑติ . สาขาวชิ าอนามยั สิง่ แวดลอ้ ม. บณั ฑิตวิทยาลยั .
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ .
เครอ่ื งเก็บตวั อยา่ งฝุ่นละอองในบรรยากาศ (High Volume Air Sampler). (มปป.). (ออนไลน์).
ค้นเมื่อวันท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 จาก
http://www.ksp108.com/private_folder/HVS3000.pdf
วนดิ า จนี ศาสตร์. (2551). มลพิษอากาศและการจัดการคณุ ภาพอากาศ(Air Pollution and Air
Quality Management). กรุงเทพฯ:สานกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
สุพัฒนา บุญสืบชาต.ิ (2549). สภาวะฝุ่นละอองในส่ิงแวดล้อมและฝนุ่ ละอองในผ้ปู ระกอบอาชีพทา
ครกหิน.วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑติ . สาขาวิชาอนามยั ส่ิงแวดล้อม.
บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น.
บทท่ี 4 รงั สี 37
บทท่ี 4
รงั สี
รังสี (radiation) หมายถึง พลังงานที่แผ่กระจายจากต้นกาเนิดออกไปในอากาศหรือ
ตวั กลางใด ๆ ในรปู ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เชน่ รังสคี วามร้อน รังสเี อกซ์ รงั สแี กมมา ฯลฯ และรวมไป
ถงึ กระแสอนภุ าคท่ีมีความเร็วสูงด้วย อาทิเชน่ รงั สแี อลฟา รังสบี ีตา และรงั สีนวิ ตรอน อาจจาแนกรังสี
ดงั กลา่ วตามคณุ สมบตั ิทางกายภาพได้เป็น 2 กล่มุ คอื
- รังสีท่ีไม่ก่อไอออน (non-ionizing radiation) ซึ่งได้แก่รังสีคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น
ความรอ้ น แสง เสยี ง คลืน่ วิทยุ อัลตราไวโอเลตและไมโครเวฟ
- รังสที ีก่ อ่ ให้เกิดไอออน (ionizing radiation) ซึ่งได้แก่ รงั สเี อกซ์ รงั สีแกมมา รงั สแี อลฟา
รงั สบี ตี า และรงั สีนิวตรอน รังสใี นกลมุ่ หลังนี้มีผู้เรียกอีกชื่อหนงึ่ ว่า รังสปี รมาณู (atomic
radiation)
จะเห็นว่ารังสีสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ในหลากหลายสายงาน เช่น งานถ่ายภาพรังสีใน
โรงพยาบาล อุตสาหกรรมแบตเตอร่ี อตุ สาหกรรมเกยี่ วกบั ถา่ น หรอื แมแ้ ต่งานเชื่อมโลหะ แตอ่ ย่างไรก็
ตามแต่หากมีการใช้งานท่ีไม่เหมาะสมก็สามารถให้โทษได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น งานเช่ือมที่มีความเข้ม
แสงอาร์คและความรอ้ นตกกระทบท่ผี วิ ของผเู้ ช่ือม
มนุษย์ได้รับรังสีโดยตรงจากรังสีท่ีอยู่ในสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกาย และโดยอ้อม เช่น
การกินอาหารและการหายใจ ซ่ึงการได้รับรังสีนั้นมีแหล่งกาเนิดทั้งจากธรรมชาติและจากที่มนุษย์
ประดิษฐค์ ดิ ข้นึ มาใช้ในด้านต่างๆซึง่ สรปุ ได้ดงั น้ี
1. แหล่งกำเนดิ รังสจี ำกธรรมชำติ (Natural Radiation Sources) เช่น รังสีคอสมิก K-40
U-238 Th-232 และนิวไคล์อื่นๆซ่ึงมีอยู่ในบรรยากาศและพื้นผิวโลกท่ีเราอาศัยอยู่ แหล่งกาเนิดรังสี
ประเภทนี้มนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในชีวิตประจาวันหรือการ
ประกอบอาชพี ต่างๆ การไดร้ ับรงั สีมากน้อยต่างกนั ข้ึนอยูก่ ับสถานที่อยอู่ าศัย ลกั ษณะนสิ ัย และอาชีพ
เปน็ ตน้
2. แหล่งกำเนิดทำงกำรแพทย์ (Medical Exposure) ความก้าวหน้าทางการแพทย์มีการ
นาความรู้ทางรังสีมาใช้ในทางการแพทย์มากข้ึน เช่น การตรวจวินิจฉัย การรักษาโรค ทาให้
ผู้ปฏิบัตงิ านและผูร้ ับการรกั ษามโี อกาสไดร้ ับรังสเี พมิ่ มากขึน้
3. แหล่งกำเนิดจำกกำรผลิตพลังงำนนิวเคลียร์ (Nuclear Power Productio) ใน
กระบวนการต่างๆของการผลิตพลงั งานนิวเคลียร์นับต้ังแต่การสารวจ การขุดแร่ การถลุงแร่ การผลิต
เชอื้ เพลิง การเดินเครื่องปฏกิ รณ์ การนาเชอ้ื เพลงิ กลับมาใช้ใหม่ ข้ันตอนตา่ งๆเหล่าน้ลี ว้ นนามาซึ่งการ
ไดร้ บั รงั สเี ขา้ สรู่ า่ งกาย
บทที่ 4 รังสี 38
4. กำรขนส่งสำรกัมมันตรังสี (Transport of Radioactive Materials) ถึงแม้ว่าการ
ขนส่งสารกัมมันตรังสีจะกระทาอย่างระมัดระวังภายใต้ข้อกาหนดกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดเพ่ือมิให้มี
การรวั่ ไหลหรือปลดปล่อยกัมมันตภาพรังสีต่อผู้ปฏิบัติงานหรือผู้รว่ มเดนิ ทาง แตก่ อ็ าจจะมีโอกาสท่ีจะ
เกิดอบุ ัตเิ หตุหรอื การปลดปล่อยกัมมันตภาพรงั สรี ะดบั ต่าออกนอกภาชนะได้ ทาใหผ้ เู้ กีย่ วข้องมโี อกาส
ไดร้ บั รังสีได้
5. เครื่องใช้และอุปกรณ์ต่ำงๆ (Radiation Emitting Consumer Products) อุปกรณ์
ไฟฟ้าและเครื่องใช้ต่างๆในชีวติ ประจาวันของมนษุ ย์มีส่วนประกอบขของนิวไคล์ กัมมันตภาพรังสโี ดย
ธรรมชาติหรือท่ีมนุษย์ประดิษฐ์ข้ึน เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์เคลื่อนท่ี สารเรืองแสงต่างๆ ส่ิงเหล่าน้ีมี
ส่วนเพมิ่ ระดบั รังสีใหม้ นษุ ย์ท้งั สิน้
หน่วยวดั ปริมำณรังสี แบ่งออกเปน็ 4 แบบ คือ
1. Becquerel (Bq) ใช้วัดความแรงของรังสีในระบบสากล (SI Unit) ซ่ึงมีการเปล่ียนแปลง
มาจากเดิมท่ีใช้หน่วยวัดเป็น Curie หน่วยนี้ใช้กับอัตราการสลายตัวของไอโซโทปรังสี เพราะมี
นิวเคลียสไม่เสถียรทาให้เกิดการสลายตัวอยู่ตลอดเวลา อัตราการสลายตัวจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่
กับปริมาณไอโซโทปของรังสนี ้นั ๆเอง
2. Collomb per Kilogram (C/Kg) ใช้สาหรับวัดปริมาณรังสีท่ีแผ่ผ่านอากาศ เดิมใช้
หน่วยวดั เปน็ Roentgen เนื่องจากไอโซโทปของรงั สีมีการแผ่รังสแี ตกตา่ งกัน รงั สีท่ีมไี อโซโทปปรมิ าณ
มากอาจจะแผ่รังสีออกมาในขนาดความเข้มน้อยได้ เช่น แร่ยูเรเนียมแผ่รังสีแอลฟาท่ีมีอานาจทะลุ
ทะลวงตา่
3. Gray (Gy) ใช้วัดปริมาณรังสีก่อไอออนที่วัสดุตัวกลางดูดซับไว้ เดิมใช้หน่วยวัดเป็น Rad
เป็นการวัดรังสีจากต้นกาเนิดท่ีตกกระทบลงบนวัตถุ และรังสีบางส่วนทะลุทะลวงผ่านไป ส่วนที่เหลอื
จะถูกวตั ถุดดู กลนื ไวซ้ ึ่งจะมากหรือนอ้ ยขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุและชนดิ ของรงั สี
4. Sievert (Sv) ใช้วัดปริมาณรังสีไอออนใดๆ ท่ีก่อให้เกิดผลเสียหายทางชีวภาพเทียบเท่า
กนั (Dose Quivalent) เดมิ ใชห้ น่วยเป็น Rem เป็นหน่วยวัดปริมาณรังสที ี่บคุ คลไดร้ ับมีความซับซ้อน
กว่าท่ีวัตถุได้รับเล็กน้อย โดยพิจารณาจากผลทางชีววิทยาท่ีเกิดข้ึนกับเนื้อเยื่อซ่ึงแตกต่างกันไปตาม
ชนดิ ของอวยั วะของร่างกายมนุษย์และขน้ึ กับชนดิ ของรงั สีดว้ ย
บทท่ี 4 รังสี 39
กำรเก็บตัวอยำ่ งและวเิ ครำะหป์ ริมำณรงั สี
1. เครือ่ งมือและอุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นกำรเกบ็ ตวั อยำ่ งปริมำณรงั สี
รปู ท่ี 4.1 เครือ่ งมอื และอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการเกบ็ ตวั อย่างปริมาณรงั สี
ท่มี ำ : http://fliphtml5.com/zsdk/jdou/basic/51-100 ; 2560
เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัดรังสีมีมากมายหลายแบบ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน หาก
ต้องการค่าที่มีความถูกต้องแม่นยามากก็จาเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ยุ่งยากซับซ้อน มีอุปกรณ์หลาย
ส่วนประกอบกัน แต่ถ้าหากต้องการเพ่ือสารวจหรอื ตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ให้ผลได้ทันที และมีความ
ถูกต้องในระดับหน่ึงก็มักจะใช้เคร่ืองมือท่ีไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก แต่เครื่องมือที่ใช้วัดระดับรังสีต้อง
เลือกใช้ใหต้ รงกับชนดิ และคณุ สมบตั ขิ องรังสนี น้ั ๆ
สาหรบั งานสขุ ศาสตร์อตุ สาหกรรมน้ัน มีการใช้สารกัมมนั ตรังสีชนดิ แตกตัวไดไ้ ม่ว่าจะเป็นรังสี
แกมมา รังสีบีต้า รังสีแอลฟา และรังสีเอ็กซ์ เป็นต้น ดังน้ันจะขอกล่าวถึงเฉพาะเพียงเครื่องมือท่ีใช้ใน
การตรวจวัดรังสแี ตกตวั เท่านน้ั
เคร่ืองมือที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ปริมาณรังสีในสิ่งแวดล้อมมีอยู่หลายประเภท เช่น
Ionizization Chamber, Proportional Counter, G.M. Counter แ ล ะ Scintillation Detectors
นอกจากน้ียังมีเครื่องบันทึกปริมาณรังสีที่ตัวบุคคล ใช้สาหรับบันทึกปริมาณรังสที ้ังหมดที่ผู้ปฏิบัติงาน
ได้รับ โดยผู้ปฏิบัติงานจะต้องติดอุปกรณ์ชนิดนี้ไว้กับตัวตลอดเวลาท่ีปฏิบัติงาน จากนั้นจึงนาไป
ประเมนิ ปรมิ าณรงั สีทไ่ี ดร้ บั ในชว่ งเวลาที่ติดต้ังอุปกรณ์ อปุ กรณช์ นดิ น้ีมหี ลาบแบบ ได้แก่
1. แผ่นเก็บตัวอย่ำงปริมำณรังสีแบบสะสม (Film Badge) อาศัยหลักการท่ีว่า ฟิล์มท่ี
เคลือบด้วยวตั ถุไวแสงเม่ือถูกรังสีจะเปล่ียนเป็นสีดา เมือ่ นาฟิลม์ ไปล้างวัดค่าความดาโดย Dosimeter
จะสามารถคานวณย้อนกลับไปหาปริมาณรังสีท่ีทาใหเ้ กิดความดาบนฟิล์มได้ หากเป็นรงั สีจากอนุภาค
นวิ ตรอนจะตอ้ งใช้ฟลิ ์มชนดิ พิเศษทเ่ี มื่อถกู รังสีจากนวิ ตรอนแล้วจะเกดิ เป็นเสน้ ๆบนฟิล์ม จากนั้นก็นับ
จานวนเส้นแล้วคานวณกลับไปหาปรมิ าณรงั สไี ด้
บทท่ี 4 รงั สี 40
รปู ท่ี 4.2 แผน่ เกบ็ ตวั อย่างปริมาณรงั สแี บบสะสม (Film Badge)
ทม่ี ำ : http://fliphtml5.com/zsdk/jdou/basic/51-100 ; 2560
2. Thermoluminescent Dosimeter (TLD) ใช้วัดปริมาณรังสีแกมมา บีต้า เอ็กซ์ และ
นิวตรอน อาศัยหลักการที่ว่า วัสดุที่เป็น thermoluminescent จะมีคุณสมบัติท่ีจะเก็บปริมาณรังสที ี่
ได้รับโดยการจับอิเล็คตรอนไว้ เม่ือ TLD ถูกทาให้ร้อนท่ีอุณหภมู ิท่ีเหมาะสม อิเล็คตรอนที่ถูกจับไวจ้ ะ
เปล่ียนมาอยู่ที่ระดับพลังงานที่ต่ากว่าและเปล่งแสงที่มองเห็นได้ในปริมาณที่ เป็นสัดส่วนโดยตรงกับ
พลังงานที่ถูกดูดกลืนไว้จากรังสีท่ีได้รับสารท่ีมีคุณสมบัติเปน็ Thermoluminescent ได้แก่ LiF CaF2
CaSO4 และ BeO การเลือกใช้สารใดขนึ้ กบั การตอบสนองของความไวของรงั สีชนิดต่างๆ
รปู ท่ี 4.3 Thermoluminescent Dosimeter (TLD)
ทมี่ ำ : http://fliphtml5.com/zsdk/jdou/basic/51-100 ; 2560
3. Pocket Dosimeter จะใช้พกติดตัวผู้ปฏิบัติงาน ลักษณะของเคร่ืองจะคล้ายกับปากกา
เคร่ืองบันทึกรังสีชนิดนี้จะสามารถอ่านค่าหรือประเมินระดับรังสีได้ทันทีขณะปฏิบัติงาน ลักษณะการ
ทางานของเครื่องมืออาศัยหลักการที่ว่า ประจุไฟฟ้าท่ีถูกประจุไว้ในเคร่ืองเมื่อได้รับรังสีจะมีปริมาณ
ลดลงไปเป็นสัดส่วนกับปริมาณรังสีที่ได้รับ เครื่องมือชนิดน้ีใช้สาหรับการบันทึกปริมาณรังสีใน
ชว่ งเวลาสน้ั ๆ
2. กำรสอบเทยี บเครื่องมือและอปุ กรณ์เก่ียวกบั กำรเกบ็ และวิเครำะห์ปรมิ ำณรงั สี
การสอบเทียบเครื่องมือและอุปกรณ์ในการเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างปริมาณรังสีจะมีความ
เฉพาะเจาะจงมาก ตอ้ งใช้หอ้ งปฏบิ ัติการที่มีการจดั การดา้ นความปลอดภัยที่ดีและผู้สอบเทียบจะต้อง
มีความชานาญเปน็ พเิ ศษ เช่น กองการวดั กัมมันตรงั สี สานกั งานพลงั งานปรมาณเู พอ่ื สนั ติ กระทรวง
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
บทที่ 4 รงั สี 41
3. กำรตรวจวัดปริมำณรงั สี
3.1 กำรตรวจวัดในแหล่งกำเนิดรังสี จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณรังสีและปริมาณนิวไคลด์
กัมมันตรังสีท่ีปลอดปล่อยออกสู่ส่ิงแวดล้อม การตรวจวัดจะกระทาที่จุดซ่ึงปลดปล่อยออกสู่ภายนอก
และการวัดปริมาณรังสีก็จะทาท่ีแนวเขตท่ีกาหนด การตรวจวัดจะต้องให้ค่าที่คาดหมายอย่างละเอียด
ถึงปริมาณและความเข้มข้นของนิวไคลดก์ ัมมันตรังสีทส่ี าคัญในรูปแบบของสารละลายและในลกั ษณะ
ของก๊าซ พร้อมทั้งปริมาณรังสี ความถ่ีในการปฏิบัติงาน แลนิด ตลอดจนวิธีการจะต้องมีความ
เหมาะสมกับวัตถปุ ระสงค์ของข้อมูลทต่ี ้องการ ในการตรวจวดั ในแหลง่ กาเนิด สิง่ ทีจ่ ะต้องกระทาคอื
1. External Radiation การตรวจวัดกระทาที่แนวเขตท่ีกาหนด อุปกรณ์ที่ใช้อาจจะ
เปน็ อุปกรณป์ ระเภท Integrating หรอื Real-time Monitors ก็ได้
2. Airborne Release ทาการตรวจวัดนิวไคลด์กัมมันตรังสีที่ปลดปล่อยสู่บรรยากาศ
ซึ่งจะต้องให้ค่าของการปลดปล่อยอย่างถูกต้องท่ีสุด จุดที่จะทาการตรวจวัดจะต้องเป็นจุดที่สามารถ
ให้ขอ้ มูลถกู ต้องท่ีสดุ โดยจะต้องอยู่ในทศิ ทางใตล้ ม
3. Liquid Release ทาการตรวจวัดนิวไคลด์กัมมันตรังสีที่ปลอดปล่อยออกในรูป
ของเหลว การตรวจวัดจะกระทาได้ท้ังในจุดท่ีเก็บกักของเหลวไว้ก่อนปลดปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม
และตรวจวดั ในจดุ ปลดปลอ่ ยและจดุ อื่นๆในทศิ ท่นี ้าไหลไป
3.2 กำรตรวจวัดในสิ่งแวดล้อมทั่วไป จะกระทาเม่ือคาดว่าปริมาณรังสีหรือการปลดปล่อย
สารกัมมันตรังสีจากกิจกรรมนัน้ อาจจะมีผลทาให้กลุ่มคนหรือประชากรได้รับรังสีเพ่ิมข้ึนจากปกติ แต่
บางคร้ังก็อาจจะทาการตรวจวัดเพื่อเป็นข้อมูลสาหรับประชาชน หากไม่มีการตรวจวัดกัมมันตรังสีใน
สิ่งแวดล้อมเป็นประจา ก็อาจจะต้องให้มีการตรวจวัดเป็นครั้งคราว ทั้งน้ีเพ่ือความม่ันใจ การ
ปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกสู่สิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมหน่ึงๆนั้นอาจจะมีได้ห ลายทางซ่ึงจาเป็นท่ี
จะต้องศึกษาให้ได้ถึงทางผ่านท่ีสาคัญสู่ประชาชน การวางแผนจะต้องใช้ข้อมูลชนิด ลักษณะ
คณุ สมบตั ิของแหล่งกาเนิด ลกั ษณะการปลดปล่อย ทางผา่ น รูปแบบผลกระทบ และการประเมนิ ผล
การกาหนดเกีย่ วกบั กล่มุ เป้าหมาย ต้องให้มีความเปน็ หน่งึ เดียวกันของกลุม่ (Homogeneity)
หมายถึง กลุ่มน้ันได้รับปริมาณสะสม (Dose) ใกล้เคียงกัน คือ ค่าต่าสุดและค่าสูงสุดไม่เกิน 10 เท่า
หรือถ้าค่าเฉล่ียของปริมาณสะสม (Mean Dose) นั้นพอดีกับค่ากาหนด ค่าสูงสุดและต่าสุดจะต้องไม่
เกนิ 3 เทา่ การตรวจวัดในสิง่ แวดลอ้ มสามารถกระทาไดใ้ นแหล่งกาเนิดท่ตี า่ งกนั ดังนี้
1. External Radiation การวัดปริมาณรังสจี ะต้องรวมทั้งการวัดปริมาณรงั สีจากก๊าซที่
ปลดปล่อยออกสู่บรรยากาศและลอยผ่านจุดท่ีตรวจวัด รวมท้ังสารกัมมันตรังสีที่สะสมอยู่ในดิน พืช
ผัก
2. Airborne Radionuclide นิวไคลด์กัมมันตรังสีซึ่งปะปนอยู่ในอากาศมีท้ังในรูป
ของแข็ง ก๊าซ หรือธาตุระเหิดได้ จะต้องทาการตรวจวัดเพ่ือประเมินค่าปริมาณรังสีท่ีบุคคลจะได้รับ
จากการหายใจเข้าไป ซ่งึ อปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในการตรวจวัดจะต้องแบ่งประเภทตามความเหมาะสม เวลาที่ใช้
ในการตรวจวดั คงท่ี ความสูงของเคร่ืองตรวจวัดประมาณ 1.5 เมตรจากพ้ืนดิน อยู่ในบริเวณท่ีมีสภาพ
อากาศคงที่และห่างจากอาคารสงู พอสมควร การตรวจจับอากาศโดยเครอ่ื งดูดอากาศจะต้องมคี า่ อัตรา
การไหลคงท่ี สถานที่เก็บตัวอย่างประเภทนี้จะต้องกาหนดจุดไว้อย่างน้อย 3 จุด คือ จุดแรกบริเวณที่
คาดวา่ จะได้รบั รงั สสี ูงสดุ จดุ ทีส่ องคือบริเวณที่มคี นอาศัยอย่แู ละคาดวา่ จะได้รับรังสสี ูงสดุ จดุ ที่สามคือ
บทที่ 4 รังสี 42
บริเวณท่คี าดว่าผลกระทบจากการปลดปล่อยออกจากแหล่งกาเนิดรงั สีไปไม่ถงึ และบริเวณน้ันมีสภาพ
อื่นๆ เหมือน 2 จุดแรก ในการที่จะหาแหล่งท่ีตั้งในการเก็บตัวอย่างนี้ต้องอาศัยการคานวณและ
การศึกษารูปแบบบท่ีถูกตอ้ ง
3. Diet (Including Drinking Water) การตรวจวิเคราะห์ในอาหารน้าดื่มจะต้อง
ศึกษาว่าพืชผักหรือเนื้อสัตว์ชนิดใดคือสิ่งที่ประชาชนบริโภคมากท่ีสุด ฤดูกาลในการเก็บเก่ียว การ
ปลดปล่อยสารกัมมันตรังสี ชนิดของสารกัมมันตรังสี การดูดซึมเข้าสู่พืชผัก หรือวัฏจักรของสาร
กัมมันตรังสีน้ัน การเก็บตัวอย่างจะเก็บบริเวณที่คาดว่าจะมีปริมาณรังสีสะสมสูงสุด รวมท้ังการเก็บ
ตัวอย่างอาหารท่ีประชาชนในบริเวณน้ันบริโภค ถึงแม้ว่าอาหารชนิดน้ันไม่ได้ผลิตในพื้นท่ีน้ันก็ตาม
ภายหลงั การเก็บตวั อย่างเม่ือจะทาการตรวจวัดจะต้องนาอาหารน้ันผ่านกระบวนการ เช่น การชะล้าง
ส่ิงสกปรกออก การปอกเปลือก การตัดส่วนที่ไม่ได้ใช้ประกอบอาหารออก เพื่อให้อาหารนั้นแสดงถึง
ส่วนทจี่ ะรับประทานไดจ้ ริงๆ
4. Deposition การตรวจวิเคราะห์ปริมาณรังสีที่สะสมลงสู่พื้นดิน ท้ังที่เป็นชนิดเปียก
และแห้ง โดยการตัง้ ภาชนะไว้ในกลางแจง้ บรเิ วณทเ่ี กบ็ จะต้องศกึ ษาเชน่ เดยี วกบั การเกบ็ ตวั อยา่ งชนิด
อน่ื คอื มที ้งั จดุ ทอี่ ยู่ในอิทธิพลของแหล่งกาเนดิ รงั สแี ละจุดทอี่ ยนู่ อกผลจากแหลง่ กาเนดิ รังสี
5. Soil การตรวจวิเคราะห์ในตัวอย่างดนิ เพ่ือดูการสะสมในช่วงระยะเวลาท่ีผ่านมา การ
เก็บตัวอย่างในบริเวณท่ีกาหนด โดยต้องกาหนดความกว้างของพื้นท่ีและความหนาของช้ันดินเพื่อ
นามาใช้ในการคานวณและแสดงถงึ การแพรก่ ระจายการชะล้างจากพืน้ ผิวดนิ
6. Sediment การเก็บตัวอย่างตะกอนดินเพื่อประเมินค่าปริมาณรังสีและตรวจวัดการ
เพ่ิมขน้ึ ของนวิ ไคลดก์ มั มนั ตรังสใี นตะกอนดิน โดยทาการเก็บตัวอยา่ งในแหล่งน้าหรือในแมน่ า้
7. Water การเก็บตัวอย่างน้าต้องมีการเติมกรดลงไปเล็กน้อยเพ่ือป้องกันไม่ให้มีการ
เกาะจับกับภาชนะ ต้องมีการเก็บตัวอย่างน้าจากแหล่งที่ไม่มีผลกระทบจากกิจกรรมน้ันเพ่ือนามาใช้
เปน็ ค่าเปรียบเทยี บ
3.3 กำรตรวจวัดในบุคคล จะให้ข้อมูลเก่ียวกับการรับรังสีนอกร่างกายของบุคคล ข้อมูล
เก่ียวกับระดับรังสใี นรา่ งกาย การขับถ่ายนิวไคล์กัมมันตรังสจี ากร่างกาย ซ่ึงมีจุดประสงค์เพื่อประเมิน
ระดับปริมาณรังสที ่ีบคุ คลได้รับ
1. กำรตรวจวัดโดยใช้ Pocket Dosimeter มวี ิธกี ารตรวจวัดดังน้ี
- ปรบั ศนู ย์
- ติดตัง้ Pocket Dosimeter ทต่ี ัวผูป้ ฏิบัติงานบรเิ วณหน้าอกหรือทอ้ ง
- อา่ นและบนั ทึกคา่ ท่ไี ดร้ ับหลังการปฏิบตั งิ าน
2. กำรตรวจวัดโดยใช้ Film Badge หรือ TLD มีวิธีการตรวจวัดดังนี้
- ติดตลับบรรจุและแผน่ ฟิลม์ ไวท้ ต่ี วั ผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน
- หลังเสร็จสิน้ การทางานให้นาแผน่ ฟลิ ม์ ไปเก็บไวโ้ ดยเฉพาะ
- ส่งแผน่ ฟิลม์ ไปประเมนิ การได้รับรังสีตามเวลาท่ีกาหนด เช่น ทุกเดือน เปน็ ตน้