The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

(ฝุ่น, ฟูมโลหะ, สารเคมี, รังสี, แสงสว่าง, เสียง, เชื้อรา/แบคทีเรียในอากาศ ฯลฯ รวมทั้งมาตรฐาน ข้อกำหนด กฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teerapatpho, 2021-07-02 05:17:39

เครื่องมือและวิธีการเก็บตัวอย่างอากาศ ในด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและอาชีวอนามัย อนามัยสิ่งแวดล้อม

(ฝุ่น, ฟูมโลหะ, สารเคมี, รังสี, แสงสว่าง, เสียง, เชื้อรา/แบคทีเรียในอากาศ ฯลฯ รวมทั้งมาตรฐาน ข้อกำหนด กฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

Keywords: เครื่องมือและวิธีการเก็บตัวอย่างอากาศ

บทท่ี 4 รังสี 43

4. คำ่ มำตรฐำนท่ใี ชใ้ นกำรวิเครำะหป์ ริมำณรงั สี
4.1 ประกำศกระทรวงอุตสำหกรรม ฉบับท่ี 27 ลงวันที่ 24 มกรำคม 2535 ซ่ึงออกตำม
พระรำชบัญญตั ิโรงงำน พ.ศ. 2512

1. บริเวณที่ปฏบิ ัติงานตอ้ งมปี รมิ าณรังสไี ม่เกนิ 6.45 x 10-7 คูลอมป/์ กิโลกรมั •ช่วั โมง
หรอื 2.5 มลิ ลเิ รินทเ์ ก้นต่อชั่วโมง

2. ห้ามมิให้คนงานได้รับรังสีเกินกว่า 12.5 มิลลิซีเวิร์ท หรือ 1.25 เรม ตลอดทั่วร่างกาย
(ศีรษะ ลาตัว อวยั วะสรา้ งโลหิต เลนสต์ า หรอื อวัยวะสบื พันธ)์ุ ภายในช่วงระยะเวลา 3 เดือนตดิ ต่อกัน

3. ห้ามมิให้คนงานได้รบั รังสีเกินกว่า 137.5 มิลลิซีเวิร์ท หรือ 13.75 เรม บริเวณมือ แขน
และขา ภายในชว่ งระยะเวลา 3 เดือนติดตอ่ กนั

4. หา้ มมิให้คนงานได้รับรังสีเกนิ กว่า 75 มิลลิซเี วริ ท์ หรอื 7.5 เรม บรเิ วณผวิ หนงั ส่วนอื่น
ที่ไมไ่ ด้ระบุไว้ในข้อ 2 และ 3 ภายในชว่ งระยะเวลา 3 เดอื นติดต่อกัน

4.2 กฎกระทรวงวิทยำศำสตร์ กำหนดเงอื่ นไขและวธิ กี ำรขออนุญำตและกำรออกใบ
อนญุ ำต พ.ศ. 2546 ตำมพระรำชบัญญัติพลงั งำนปรมำณูเพือ่ สนั ติ พ.ศ. 2504

1. ห้ามมิให้คนงานได้รับรังสีเกินกว่า 20 มิลลิซีเวิร์ทต่อปี โดยเฉล่ียในช่วง 5 ปีติดต่อกัน
ตลอดทั่วร่างกาย ท้ังน้ีในแต่ละปี (ใน 5 ปี) ห้ามรับสัมผัสรังสีเกิน 50 มิลลิซีเวิร์ท และตลอดในช่วง 5
ปีติดตอ่ กันนั้นห้ามรบั สมั ผัสรงั สเี กนิ 100 มลิ ลซิ ีเวริ ์ท

2. หา้ มมิใหค้ นงานไดร้ บั รงั สีเกนิ กวา่ 150 มิลลิซีเวริ ์ทตอ่ ปี สาหรบั เลนสข์ องดวงตา
3. ห้ามมิให้คนงานได้รับรังสเี กินกวา่ 500 มลิ ลิซเี วริ ์ทต่อปี สาหรบั ผวิ หนงั มือ และเทา้
4. ห้ามมิให้คนงานที่เป็นหญิงมีครรภ์ได้รับรังสีตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์เกิน 2 มิลลิซี
เวิร์ทและต้องได้รับรงั สีเฉลี่ยไมเ่ กิน 0.2 มลิ ลซิ เี วริ ์ทต่อเดือน
5. หา้ มมใิ หป้ ระชาชนท่ัวไปได้รบั รงั สเี กินกว่า 1 มิลลิซีเวิร์ทตอ่ ปี ตลอดทั่วร่างกาย
6. ห้ามมิใหป้ ระชาชนทัว่ ไปได้รับรังสเี กนิ กวา่ 15 มิลลซิ ีเวิรท์ ต่อปี สาหรับเลนสข์ องดวงตา
7. ห้ามมิให้ประชาชนท่ัวไปได้รับรังสีเกินกว่า 50 มิลลิซีเวิร์ทต่อปี สาหรับส่วนท่ีเป็น
ผวิ หนงั
4.3 กฎกระทรวงแรงงำน กำหนดมำตรฐำนในกำรบริหำรและกำรจัดกำรด้ำนควำม
ปลอดภัย อำชวี อนำมยั และสภำพแวดลอ้ มในกำรทำงำนเกยี่ วกับรงั สชี นดิ กอ่ ไอออน พ.ศ. 2547
1. ห้ามมิให้คนงานได้รับรังสีสะสมเกินกว่า 20 มิลลิซีเวิร์ทต่อปี โดยเฉล่ียในช่วง 5 ปี
ติดต่อกัน สาหรับศีรษะ ลาตัว อวัยวะท่ีเก่ียวกับการสร้างโลหิต และระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ทั้งน้ีในแต่
ละปี (ใน 5 ป)ี หา้ มรับสมั ผัสรังสเี กนิ 50 มลิ ลิซีเวิร์ท
2. ห้ามมิใหค้ นงานไดร้ บั รงั สสี ะสมเกนิ กว่า 150 มิลลซิ เี วิร์ทต่อปี สาหรบั เลนสข์ องดวงตา
3. ห้ามมิให้คนงานได้รับรังสีสะสมเกินกว่า 500 มิลลิซีเวิร์ทต่อปี สาหรับผิวหนัง หรือมือ
และเทา้
4.4 ค่ำแนะนำของต่ำงประเทศ เช่น ICRP : International Council for Radiation
Protection

บทที่ 4 รังสี 44

งำนวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง

เอกชยั วำรินศิริรักษ์, บวรโชค ผ้พู ัฒน์, ทศพร บวั งำมและคณะ ศึกษาระดับความเข้มของ
แสงอาร์คและความร้อนที่ตกกระทบลงสู่ผิวช่างเชื่อมในกระบวนการเช่ือมโลหะแบบแก๊สปกคลุม
ประสิทธิภาพสูง พบว่า 1.กระแสเช่ือมมีผลให้ความเข้มรังสีและความร้อนตกกระทบตกกระทบ
แตกต่างกัน โดยการเพ่มิ ขึ้นของกระแสเชือ่ ม ทาให้ความเขม้ รังสแี ละอณุ หภมู ิเพ่ิมข้ึนตาม2.กรณีระดับ
กระแสเช่ือมเดียวกัน, ชนิดของแก๊สปกคลุมให้ค่าการแตกตัวของพลาสมาที่แตกต่างกันส่งผลต่อการ
เกิดระดับรังสีท่ีแตกต่างกัน 3.กระบวนการเช่ือม Gas Metal Arc Welding ท่ีใช้แก๊สปกคลุมและ
ระดับกระแสเช่ือมที่ให้ความเข้มรังสีและความร้อนตกกระทบสู่ผิวที่ระยะห่าง 300 มิลลิเมตรที่
มากกว่า 50 องศาเซลเซียสประกอบด้วยการใช้กระแสเช่ือม 240 แอมป์ด้วยการใช้แก๊สปกคลุม
10%CO2+90%Ar, TIME I และ TIME II การหลีกเล่ียงรังสีในการเชื่อมที่รุนแรง ทาได้โดยใช้วิธีการ
สังเกตการณร์ ะยะไกล หรือมอี ปุ กรณป์ ้องกนั ในระดับประสิทธิภาพสูง

กระบวนการเช่ือมอาร์กจะเกิดรังสีจากพลาสมา ความเข้มสูง รังสี UV-A, UV-B และ UV-C
จะอยู่รูปผสมรวมมากับรังสีอาร์ค ผลกระทบของรังสีเมื่อสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังช่างเชื่อม หรือ
ผู้ปฏิบัติงานเชื่อมเป็นระยะเวลานานจะเกิดอาการไหม้ หรือสะสมให้เกิดการทางานที่ผิดพลาดของ
เซลล์ผิวกลายเป็นมะเร็ง รูปแบบท่ัวไปของมาตรการความปลอดภัย คือการสวมเครื่องป้องกัน แต่ใน
ปัจจุบันการทางานดังกล่าวมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของการเช่ือมให้มีผลผลิตสูงข้ึน กระบวนการ
เช่ือมแบบแก๊สปกคลุมด้วยวิธีอัตโนมัติ (Automation Process) เหมาะสมกับการผลิตเชิงมวล (The
Solution of Mass Production)

Shigeaki Yamamoto,Suban, M., and Tusek, J., 2001 วิจัยคิดค้นส่วนผสมของแก๊ส
เพ่ือให้ได้ประสิทธิภาพการถ่ายโอนมีคุณภาพสูงและสร้างอัตราการป้อนเติมที่สูงตาม ชนิดของแก๊ส
(Marvin, J. A. 1993] ท่ีมาในรูปแบบแก๊สผสมที่นิยมคือ แก๊สผสมระหว่างอาร์กอนและ
คาร์บอนไดออกไซด์ หรือแก๊สผสมชนิดใหม่อาทิTIME GAS เป็นท่ีนิยมในอุตสาหกรรมคุณภาพสูงอีก
ทั้งการปฏิบัติงานเช่ือมแบบอัตโนมัติ ท้ังผู้ที่ควบคุมงานเช่ือม (Welding Operator) หรือผู้ตรวจสอบ
งานเชือ่ ม

K.E.M Mohamadain (2003) ไดส้ รุปถงึ ปจั จัยที่ผูป้ ฏบิ ัตงิ านดา้ นรังสีจาเปน็ ต้องมีความรู้และ
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ถึ ง ปั จ จั ย ที่ มี ผ ล ต่ อ ป ริ ม า ณ รั ง สี ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย technique factor, patient
characteristics, filtration, projection type และ age of the machine ซึ่งนักรังสีเทคนิคแต่ละ
คนมีเทคนิคการตั้งค่าสาหรับถ่ายภาพรังสีต่างกันขึ้นกับน้าหนักอายุบริเวณที่ถ่ายความหนาและพยาธิ
สภาพของผู้ป่วยโดยอยู่บนพ้ืนฐานของเทคนิคการถ่ายภาพที่เหมาะสมที่ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีน้อย
ที่สุดและคุณภาพของภาพถ่ายมีรายละเอียดครบถ้วนเพียงพอที่รังสีแพทยส์ ามารถวนิ ิจฉัยโรคได้อยา่ ง
ถูกต้อง

บทท่ี 4 รังสี 45

กลุ่มงำนรังสีวิทยำโรงพยำบำลพระจอมเกล้ำจังหวัดเพชรบุรี, 2547 ได้ทาการศึกษาการ
สรา้ งยุทธศาสตร์การป้องกันรังสีสว่ นเกินในการเอกซเรย์ซากแรกเกดิ เพ่ือเปรียบเทียบปริมาณรังสีท่ีใช้
กับค่ามาตรฐานตามหลักความปลอดภัยทางรังสีของ ICRP ซ่ึงในการบริการทางรังสีเทคนิคของกลุ่ม
งานรังสีวิทยาโรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรีนั้นมีหน้าที่ในการให้บริการถ่ายภาพทางรังสี
ลักษณะงานของกลุ่มงานรังสีวิทยาเป็นงานให้บริการ ผู้ให้บริการประกอบด้วยรังสีแพทย์ เจ้าหน้าท่ี
รังสีการแพทยแ์ ละผเู้ กี่ยวข้องอนื่ ๆ โดยใหบ้ ริการตรวจทางรงั สวี นิ ิจฉยั ดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ เช่น เอกซเรย์
ทั่วไป เอกซเรย์คอมพิวเตอร์อัลตร้าซาวด์เป็นต้น และผู้รับบริการคือผู้ป่วยท่ีได้รับบริการการตรวจ
ประกอบการถ่ายภาพโดยใชรังสีเอกซ์ตามขั้นตอนท่ีถูกต้องในการตรวจวินิจฉัยทางรังสีเพื่อช่วยให้
แพทย์วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว เป้าหมายหลักของ การให้บริการตรวจวินิจฉัยด้วยรงั สี
คือ การทาให้ผ้ปู ่วยไดร้ ับผลการตรวจวนิ จิ ฉยั ทีถ่ ูกต้องทันเวลา โดยได้รบั ปรมิ าณรังสีนอ้ ยทสี่ ุด

ธีรวัฒน์ สุภำวัฒนพันธ์ และบรรจง เข่ือนแก้ว) 2550 ได้ทาการศึกษาวิจัย โดยคิดคานวณ
การหาปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัยในโรงพยาบาล เขต 11 และ 12 ได้แก่
จงั หวดั ขอนแก่น มหาสารคาม สกลนคร กาฬสินธ์ุ ร้อยเอด็ นครพนม และ มกุ ดาหาร จานวน 37 แห่ง
ในเดือนตุลาคม 2549 ถึงมีนาคม 2550 โดยวัดปริมาณรังสที ่ีผิวผู้ปว่ ย จากการตั้งเทคนิคการฉายรังสี
19 สาหรับผู้ป่วยขนาดกลางในการตรวจวินิจฉัยทรวงอก ช่องท้อง และกะโหลกศีรษะ ตามลาดับและ
เก็บข้อมลู คา่ เทคนิคท่ีใชใ้ นการวนิ ิจฉยั พบว่าค่าปรมิ าณรงั สีควอรไ์ ทลท์ที่สามของกลุ่มโรงพยาบาลมีค่า
0.4 , 3.3 และ 2.9 มิลลิเกรย์ตามลาดับ ซึ่งไม่เกินค่าปริมาณรังสีอ้างอิงของหน่วยงานในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามเม่ือพิจารณาปริมาณรังสีภายในกลุ่มโรงพยาบาลพบวา่ มีความแปรปรวนของค่าปริมาณ
รังสีสูง และพบวา่ มีโรงพยาบาลจานวน 8 แห่ง ท่ีมีค่าปรมิ าณรังสีของการตรวจวนิ จิ ฉัยทรวงอกสูงกว่า
ค่าสูงสุดของปริมาณรังสีอ้างอิงท่ีกาหนดไว้ จึงควรมีการพิจารณาค่าเทคนิคและองค์ประกอบท่ีใช้ใน
การตรวจวินิจฉัยและนามาใช้ร่วมกันในระหว่างกลุ่มของโรงพยาบาล ซึ่งข้อมูลที่ได้น้ันจะนาไปสู่การ
ปรับปรงุ และพัฒนาระบบการตรวจวนิ จิ ฉัยทางรงั สขี องโรงพยาบาลเพอ่ื เปน็ การลดปรมิ าณรงั สีที่ผู้ป่วย
จะได้รับใหล้ ดลง และมีค่าอยู่ในระดบั เดยี วกันในระหว่างกลุ่มของโรงพยาบาลต่อไป

ชำตรี ศรรี ะพงษ์ โรงพยาบาลดารารัศมี. ปรมิ าณรังสที ผ่ี ู้ป่วยได้รับของโรงพยาบาลดารารัศมี
ศกึ ษาจากจานวนฟลิ ์มท่ถี ่ายภายรังสีอวัยวะตา่ งๆ ของผู้ปว่ ยทมี่ ารับการตรวจทางรังสขี องโรงพยาบาล
ดารารัศมีจานวน 1,331 ฟิล์ม โดยหาค่าเฉลี่ยของปริมาณรังสีท่ีผู้ป่วยได้รับพบว่า งานรังสีวิทยา
โรงพยาบาลดารารัศมีมีการตรวจทางรังสี โดยใชร้ งั สีเอกซซ์ ึ่งมีสว่ นที่การตรวจทั้งหมด 35 ส่วนทีต่ รวจ
โดยท่ีการตรวจรังสที รวงอก (Chest) มีจานวนมากท่ีสุดคือจานวน 809 ฟิล์มและการตรวจกระดูกสัน
หลงส่วน T – Spine มีจานวนน้อยท่ีสุดคือ 3 รายและพบว่าปริมาณรังสีท่ีผู้ป่วยได้รับโดยเฉลี่ยมีค่า
เท่ากับ1.58 มิลลิซีเวิร์ท ซ่ึงมีค่าเกินกว่าที่ ICRP กาหนดว่าบุคคลท่ัวไปควรได้รับรังสีไม่เกิน 1 มิลลิซี
เวิรท์ ต่อปี

บทที่ 4 รงั สี 46

เอกสำรอ้ำงอิง

เอกชยั วารินศิรริ กั ษ์, บวรโชค ผู้พฒั น์, ทศพร บวั งามและคณะ. (2555). ศึกษาระดับความเขม้
ของแสงอาร์คและความร้อนท่ีตกกระทบลงสู่ผวิ ช่างเช่อื ม. ภาควชิ าวิศวกรรมอตุ สาหการ,
คณะวศิ วกรรมศาสตร์มหาวทิ ยาลยั มหิดล, ศาลายา, นครปฐม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระ
จอมเกลา้ ธนบรุ .ี

กลมุ่ งานรงั สีวิทยาโรงพยาบาลพระจอมเกล้าจงั หวัดเพชรบุรี. (2547).
ธีรวัฒน์ สภุ าวัฒนพนั ธ์ และบรรจง เขือ่ นแก้ว.) 2550.
George E. Linnert.(1994). Welding Metallurgy Carbon and Alloy Steels. Volume 1.

Fundamentals, AWS Published.
K.E.M Mohamadain, A.C.P. Azevedo, L,A,R, da Rosa, M.R.N. Guebel, M.C.B. Boechat.

(2003). Dose measurements using thermoluminescent dosimeters and Dose
Cal software at two pediatric hospital in Rio de Janeiro. Applied Radiation and
Isotopes.

บทที่ 5 แสงสวา่ ง 47

บทที่ 5

แสงสวา่ ง

การเก็บตวั อยา่ งและวิเคราะห์ตัวอย่างปริมาณแสงสวา่ ง

แสงสว่าง เป็นพลังงานรูปหนึ่งซึ่งประกอบด้วยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าเดินทางจากดวงอาทิตย์
มายังพ้นื ผวิ โลก มยี า่ นความยาวคล่ืนต่างๆมากมาย ท้งั ทมี่ องเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ และมองไม่เหน็ ซึง่ แสงที่
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Visible light) ซึ่งมีความยาวคล่ืนประมาณ 380-780 นาโมเมตร เมื่อตก
กระทบวตั ถุจะสะท้อนเข้าสู่ดวงตาทาให้มองเห็นวัตถุต่างๆได้ การเปลี่ยนแปลงของความยาวคลื่นของ
แสงสว่างจะทาให้ตาเหน็ เปน็ สีตา่ งๆ ตามความยาวคลน่ื น้นั

ความเขม้ ของแสงสวา่ งหรอื ปริมาณการส่องสว่าง (Illuminance) หมายถึง ปรมิ าณแสงสว่าง
ทต่ี กกระทบลงบนหน่ึงหน่วยพ้ืนท่ที ี่กาหนด

หนว่ ยวดั ความเขม้ แสง มีหนว่ ยเป็น ลกั ซ์ (Lux) หรือ ฟตุ เทียน (Foot Candle)
(1 ฟตุ เทียน = 10.76 ลกั ซ)์

1. แหล่งกาเนดิ แสง มี 2 แหลง่ คอื
1.1 แสงสว่างจากธรรมชาติ (Natural lighting) แหลง่ กาเนิดของแสงสว่างในธรรมชาติท่ี

สาคัญคือ ดวงอาทิตย์
1.2 แสงสวา่ งจากการประดิษฐ์ (Artificial lighting) เป็นแหลง่ กาเนดิ แสงสว่างที่มนุษย์ได้

ประดิษฐค์ ิดค้นโดยอาศยั ธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยี เชน่ หลอดไส้ หลอดโซเดียม หลอดแสงจันทร์
หลอดเรอื งแสง เปน็ ต้น

2. ปัญหาของแสงสวา่ งท่ีมผี ลกระทบต่อผู้ปฏบิ ัติงาน
1. แสงสว่างน้อยเกินไป จะมีผลเสียต่อตาทาให้กล้ามเน้อื ตาทางานมากเกินไป โดยบังคับให้

มา่ นตาเปดิ กว้างเพราะการมองเห็นนั้นไม่ชดั เจน ตอ้ งใช้เวลาในการมองเห็นรายละเอียดนัน้ ทาให้เกิด
การเมื่อยล้าของตาที่ต้องเพ่ง ปวดตา มึนศีรษะ ประสิทธิภาพและขวัญกาลังใจในการทางานลดลง

บทที่ 5 แสงสว่าง 48

การหยิบจับ ใช้เครื่องมือเคร่ืองจักรผิดพลาดหรืออาจจะไปสัมผัสถูกส่วนที่เป็นอันตรายทาให้เกิด
อบุ ัตเิ หตขุ น้ึ

2. แสงสว่างทมี่ ากเกนิ ไป แสงจา้ ท่เี กิดจากการแหลง่ กาเนิดแสงโดยตรง (Direct glare) หรือ
แสงจ้าที่เกิดจากการสะท้อนแสง (Reflected glare) จากวัสดุที่อยู่ในส่ิงแวดล้อม เช่น ผนังห้อง
เครื่องมือ เคร่ืองจักร โต๊ะทางาน เป็นต้น จะทาให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความไม่สบายใจ เมื่อยล้า ปวดตา
มึนศีรษะ กล้ามเน้ือหนังตากระตุ กวงิ เวยี น นอนไมห่ ลับ การมองเหน็ แยล่ ง นอกจากนยี้ ังก่อให้เกิดผล
ทางจติ ใจคือเบื่อหน่ายในการทางาน ขวญั และกาลังใจในการทางานลดลงเป็นผลทาให้เกดิ อุบตั ิเหตุได้
เชน่ เดียวกัน

นอกจากอนั ตรายของแสงสว่างดงั กล่าวขา้ งตน้ แลว้ ยังมีอนั ตรายอ่ืนของแสงท่ีไมอ่ ยู่ในชว่ งของ
ความยาวคล่ืนที่มองเหน็ ได้ เชน่

1. อันตรายจากแสงเหนือม่วง ซ่ึงจะทาให้นัยน์ตาอักเสบ ตาแดง หรือเย่ือบุตาในช้ันตาดา
อาจถูกทาลายทาให้ขุ่นมองเห็นไม่ชัด จะพบในงานเชื่อมโลหะ การฆ่าเช้ือโรคโดยแสงเหนือม่วง งาน
เกษตรกลางแจ้ง งานกอ่ สรา้ งกลางแจง้ งานถนอมอาหาร

2. อันตรายจากแสงใต้แดง ช่วงคลื่นของแสงใต้แดงท่ียาวจะถูกกลืนไว้หมดโดยตาดา ทาให้
ตาขุ่น ส่วนช่วงคลื่นของแสงใต้แดงที่สั้นกว่าจะส่องผ่านตาดาและถูกดูดกลืนโดยเลนส์จนเกิดเป็นต้อ
กระจกจากความร้อน (Heat Cataract) นอกจากแสงใต้แดงอาจจะทะลุทะลวงถึงจอภาพ (Retina)
ของนัยน์ตา ทาให้เซลล์ของเรตินาตายได้ทาให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดจะพบในงานอุตสาหกรรมเปา่
แก้ว งานหลอ่ หลอมโลหะ งานเชอ่ื มชนิดตา่ งๆ และการอบสี เปน็ ตน้

3. อันตรายจากแสงในชว่ งคลืน่ ของความถ่ีวิทยุโทรทัศน์ ชวงคลนื่ นี้จะทาอันตรายต่อเลนส์
ของนัยน์ตามากที่สุดเพราะมีการดูดกลืนของรังสีวิทยุทาให้เกิดความร้อนสูง ซึ่งนัยน์ตาจะมีการ
ไหลเวียน หรือถ่ายเทความร้อนท่ีไมเพียงพอทาให้เซลล์ของนัยน์ตาเกิดการขุ่นมัวได้เร็วทาให้เป็นตา
ต้อได้

4. แสงจ้า (Glare) คือ จุดหรือพ้ืนท่ีท่ีมีแสงจ้าเกิดข้ึนในระยะของเวลาลานสายตา (Visual
field) ทาให้ตารู้สึกว่ามีแสงสว่างมากเกินกว่าตาท่ีจะปรับได้เป็นสาเหตุของความราคาญไม่สุขสบาย
หรือความสามารถในการมองเห็นลดลง โดยแสงจ้ามี 2 ชนดิ คอื

1. แสงจ้าตาโดยตรง (Direct glare) เกิดจากแหล่งกาเนิดท่ีแสงสว่างจ้าในระยะ
ลานสายตา ซึ่งอาจเกิดจากแสงสว่างท่ีส่องผ่านหน้าตา หรือแสงสว่างที่เกิดจากดวงไฟติดต้ัง การลด
แสงจ้าจากหน้าต่าง ทาได้โดยติดผ้าม่าน ท่ีบังตา บานเกร็ด ต้นไม้หรือไม้เล้ือยต่างๆ เปล่ียนจาก
กระจกใสเป็นกระจกฝ้า เปลี่ยนทิศทางของโต๊ะและการนั่งทางานโดยให้แสงสว่างเข้าด้านข้างหรือนั่ง
หันหลงั ให้หนา้ ต่างแทนการหนั หน้าไปหาแสง การใชโ้ คมไฟหรอื ทค่ี รอบลึกพอควรขอบดา้ นในทาสีเข้ม
และผิว ติดต้ังโคมไฟพอเพ่ือว่าแสงจ้าท่ีพ้ืนผิวจะถูกลบหายไป แต่ก็ให้มีระดับสูงพอที่จะช่วยในการ
สอ่ งสว่าง

บทท่ี 5 แสงสวา่ ง 49

รปู ท่ี 5.1 ปัญหาของแสงสวา่ งท่ีมีผลกระทบต่อผปู้ ฏบิ ัติงาน
ท่ีมา : https://block.malwarebytes.com ; 2561
2. แสงจ้าจากการสะท้อน (Reflected glare) เกิดจากเมื่อแสงตกกระทบบน

พ้ืนผิวต่างๆ เช่น วัตถุผิวมันและสะท้อนมาเข้าตา แสงจ้าชนิดน้ีจะก่อให้เกิดความราคาญมากกว่าแสง
จ้าโดยตรงการลดแสงจ้าจากการสะท้อนทาไดโ้ ดยการปรับเปลย่ี นตาแหนง่ ของแหลง่ แสง การลดความ

บทที่ 5 แสงสว่าง 50

สว่างของแหลง่ แสง การเลือกใช้ผิววัสดทุ ่ีมีการสะท้อนแสงตา่ การทาพื้นหลงั ข้างเคยี งให้สว่างกว่าโดย
จัดวางใหพ้ ื้น/วสั ดุผิวสอี อ่ นอยู่ด้านหลงั

รปู ที่ 5.2 การเปลี่ยนแปลงตาแหนง่ หลอดไฟให้เหมาะสมกับการผู้ปฏบิ ัตงิ าน
ที่มา : https://block.malwarebytes.com ; 2561
5. การเกิดเงา
เงา เป็นอุปสรรคต่อการทางานอย่างย่ิง บริเวณที่มีเงามืดบนพื้นผิวของช้ินงาน จะทาให้การ

ทางานลาบากยากย่ิงขึ้นมองไม่เห็นชัดคุณภาพของงานแย่ลง เมื่อยตา และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
การหลีกเลี่ยงการเกิดเงา ทาได้โดยการวางผังโต๊ะในลักษณะที่สามารถหลีกเลี่ยงบริเวณที่จะเกิดเงา
จัดกลมุ่ ดวงไฟสาหรับกลุ่มตา่ งๆของเครือ่ งจกั ร ใช้แสงสะท้อนเพอ่ื หลีกเลย่ี งแสงจ้า จดั ทศิ ทางของแสง
ใหด้ ขี น้ึ ดูแลความสะอาดและเพ่ิมจานวนหนา้ ต่างและช่องแสง เป็นต้น

3. เคร่อื งมือและอุปกรณท์ ีใ่ ชใ้ นการตรวจและวิเคราะหป์ ริมาณแสงสว่าง

เคร่ืองมือท่ีใช้ในการตรวจวัดปริมาณแสงสว่างหรือความเข้มแสงสว่าง คือ Lux Meter ซ่ึง
ต้องสามารถวัดความเข้มแสงสวา่ งไดต้ ้ังแต่ 0 ถงึ มากกวา่ 10,000 ลกั ซ์ โดยมีสว่ นประกอบหลกั ๆอยู่ 2
ส่วน คือ

1. ตัวรับแสง (Sensor) มีลักษณะเป็น Photocell ท่ีทาด้วยแก้วหรือพลาสติก ด้านใน
เคลือบด้วยสารซิลิกอนหรือเซเลเนียม ซ่ึงจะทาหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ถ้า
ความเข้มแสงสว่างมาก พลงั งานไฟฟ้าท่ีเกิดข้ึนกจ็ ะมากตามไปดว้ ยเปน็ สัดส่วนกัน เหนือตวั รับแสงจะ
มีตัวครอบโค้ง (Opal glove) ท่ีมีคุณลักษณะ Cosine-Corrected ท่ีจะช่วยให้สามารถรับแสงได้ทุก
ทิศทางโดยปรบั ให้มมี มุ ตกกระทบทกุ มมุ เปน็ 90 องศา

2. ตัวอ่านค่า (Meter) ทาหน้าท่ีรับพลังงานไฟฟ้าท่ีเกิดจากเซลรับแสงมาแสดงค่าบน
หนา้ จอเป็นความเข้มแสงสวา่ งซง่ึ มหี นว่ ยเป็นลกั ซห์ รอื ฟตุ แคนเดลิ

บทท่ี 5 แสงสวา่ ง 51

รูปที่ 5.3 ตวั อา่ นค่า (Meter)
ที่มา : https://block.malwarebytes.com ; 2561

4. การสอบเทียบเคร่อื งมือ และอปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นการตรวจ และวิเคราะห์ปรมิ าณแสงสว่าง

การสอบเทยี บมาตรฐานทางแสงสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
1. มาตรฐานปฐมภูมิ (Primary standard) เป็นการสอบเทยี บโดยใชว้ ัตถดุ าคือแพลทตินัม
ซึ่งจะถูกให้ความร้อนจนละลายและมีอุณหภูมิสูงกว่า 2045 เคลวิน แล้วจึงค่อยๆลดอุณหภูมิลงอย่าง
ช้าๆจนแพลทตินัมถึงจุดแข็งตัว อุณหภูมิจะเร่ิมคงที่ทาให้สามารถใช้อุณหภูมิที่จุดน้ีเป็นอุณหภูมิที่ให้
กาเนดิ รงั สีท่ีใช้เป็นมาตรฐานทางแสงได้
2. มาตรฐานทุติยภูมิ (Secondary standard) เป็นการสอบเทียบโดยใช้หลอดไฟ
มาตรฐานที่สร้างข้ึนเป็นพิเศษ มีความแข็งแรงกว่าหลอดท่ีผลิตข้ึนเพื่อใช้งานท่ัวไป โดยเฉพาะการจับ
ยดึ ไส้หลอดตอ้ งม่ันคงแข็งแรง กระเปาะแก้วกลมและใสสะอาด ปราศจากร้ิวรอย และมกี ารสัมผัสทาง
ไฟฟา้ ทีด่ ี
3. มาตรฐานอ้างอิง (Reference standard) เป็นการสอบเทียบโดยใชห้ ลอดไฟมาตรฐาน
อ้างอิงของห้องปฏิบัติการ โดยหลอดไฟจะสร้างข้ึนเป็นพิเศษ มีคุณลักษณะเช่นเดียวกับหลอด
มาตรฐานทุตยิ ภมู ิ แต่ลักษณะรูปร่างของหลอดไฟจะแตกต่างกันไปตามมาตรฐานทีใ่ ชเ้ ปน็ แนวทาง
4. มาตรฐานการใช้งาน (Working standard) เป็นการสอบเทียบโดยใช้หลอดไฟฟ้าท่ีมี
คุณลักษณะที่ดีจากในตลาดหรือจากโรงงาน แล้วนาไปสอบเทียบกับหลอดมาตรฐานอ้างอิง ก็จะ
สามารถนามาใชง้ านเป็นหลอดไฟมาตรฐานการใช้งานได้

ในทางปฏิบัติสาหรับนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม การสอบเทียบเคร่ืองวัดแสงก่อนการเก็บ
ตัวอย่างทุกคร้ังน้ันอาจจะทาได้ยาก เนื่องจากข้อจากัดในการหาหลอดไฟมาตรฐาน จึงมีการปรับค่า
ความถูกต้องของเครื่องมือโดยการปรับศูนย์ (Zero Adjustment) ซ่ึงทาโดยการหาวัตถุสีดาทึบปิด
ครอบบริเวณตัวรับแสง (Sensor) ให้สนิท แล้วให้เคร่ืองอ่านค่าออกมาเป็น 0 ลักซ์ ถ้าไม่ได้ให้ทาการ
กดทป่ี ุ่ม zero เพ่ือทาการปรับให้เครือ่ งอ่านคา่ ออกมาเป็น 0

บทท่ี 5 แสงสว่าง 52

5. การตรวจวดั ความเขม้ แสงสวา่ ง

ก่อนการตรวจวัดความเข้มแสงสว่างภายในอาคารต้องมีการเตรียมการโดยต้องมีการจัดทา
แผนผงั บรเิ วณทีจ่ ะทาการตรวจวดั พร้อมทง้ั ระบุขอ้ มลู ตา่ งๆ เชน่ ตาแหนง่ พน้ื ที่ทางาน อปุ กรณต์ กแต่ง
และเฟอร์นิเจอร์ ช่องหน้าต่าง ประตู ผ้าม่าน ทิศทางของแสงธรรมชาติ การติดตั้งชุดโคม การชารุด
เสียหายของชุดโคม หรือปัจจัยอ่ืนๆที่อาจมีผลต่อการตรวจวัด ควรมีการศึกษามาตรฐานหรือ
ข้อกาหนดตามกฎหมาย ในการตรวจวัดความเข้มแสงสว่างต้องตรวจวัดตามสภาพความเป็นจริงของ
การทางาน เช่น ถ้าในการทางานไม่ไดเ้ ปดิ หลอดไฟฟ้า ในการตรวจวดั กต็ ้องตรวจโดยที่ไมไ่ ด้เปิดหลอด
ไฟฟ้าเพราะเป็นสภาพการทางานจริงๆของผู้ปฏิบัติงาน แต่หากปกติการทางานน้ันเปิดหลอดไฟฟ้า
ในขณะทางาน ใหเ้ ปดิ หลอดไฟฟา้ ไว้อยา่ งน้อย 20 นาที กอ่ นทาการตรวจวดั ทัง้ น้เี พ่อื ให้หลอดไฟส่อง
สวา่ งเตม็ ที่ ตอ้ งวัดแสงในขณะท่ีผู้ปฏบิ ัติงานอยูในลักษณะการทางานจรงิ ๆ แมก้ ารทางานน้ันจะทาให้
เกิดเงาในการวัดแสง ควรพิจารณาตาแหน่งของดวงอาทิตย์และสภาพอากาศขณะท่ีทาการวัดด้วย
งานทปี่ ฏิบตั ใิ นเวลากลางวนั ต้องทาการวัดแสงในตอนกลางวัน แต่ถา้ งานที่ปฏิบตั นิ ้นั เปน็ เวลากลางคืน
ก็ต้องทาการตรวจวัดในเวลากลางคืน โดยวิธีการตรวจวัดโดยทั่วไปมี 2 วิธีคือ วัดท่ีจุดทางาน และวัด
แบบคา่ เฉล่ียของพนื้ ท่ีท่วั ไป

1. การวัดแบบจุด (Spot measurement) เป็นการตรวจวัดความเข้มแสงสว่างบริเวณท่ี
ลูกจ้างต้องทางานโดยใช้สายตาเฉพาะจุดหรือต้องใช้สายตาอยู่กับท่ีในการทางาน ตรวจวัดในจุดท่ี
สายตากระทบชิ้นงานหรือจุดท่ีทางานของคนงาน (Point of Work) โดยวางเครื่องวัดแสงในแนว
ระนาบเดียวกับชิ้นงาน หรือพื้นผิวที่สายตาตกกระทบ แล้วอ่านค่า ค่าที่อ่านได้นาไปเปรียบเทียบกับ
มาตรฐานตามกฎกระทรวง กาหนดมาตรฐานในการบริหารและจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนา
มยั และสภาพแวดล้อมในการทางาน เกยี่ วกบั ความรอ้ น แสงสวา่ ง และเสียง พ.ศ. 2549

2. การวัดแสงเฉลี่ยแบบพื้นที่ท่ัวไป (Area measurement) เป็นการตรวจวัดความเข้ม
แสงสว่างในบริเวณพื้นที่ทั่วไปภายในสถานประกอบกิจการ เช่น ทางเดิน และบริเวณพื้นท่ีใช้ประโย
ชนในกระบวนการผลติ ที่ลูกจ้างทางาน การตรวจวัดแบบน้ีสามารถทาได้ 2 วิธคี อื
1) แบ่งพ้ืนที่ทั้งหมดออกเป็น 2 x 2 ตารางเมตร โดยถือเซลรับแสงในแนวระนาบสูงจากพื้น 30 น้ิว
(75 เซนติเมตร) แล้วอ่านค่า (ในขณะท่ีวัดนั้นต้องมิให้เงาของผู้วัดบดบงั แสงสว่าง) นาค่าที่วัดได้มาหา
ค่าเฉลี่ย
2) หากการตดิ หลอดไฟฟ้ามีลักษณะที่แนน่ อนซ้าๆกัน สามารถวัดแสงในจุดท่ีเป็นตัวแทนของพื้นที่ที่มี
แสงตกกระทบในลักษณะเดียวกัน ตามวิธีการวัดแสงและการคานวณค่าเฉล่ีย ของ IES Lighting
Handbook หรือเทียบเท่า การวดั ในลกั ษณะน้ีชว่ ยใหจ้ านวนจดุ ตรวจวดั น้อยลงได้ ดังน้ี

บทท่ี 5 แสงสวา่ ง 53
2.1 หลอดไฟมีระยะห่างระหว่างหลอดเท่ากันและมีจานวนแถวมากกว่า 2 แถว
(Symmetrically Spaced Luminaires in Two or More Rows)

2.2 ไฟดวงเดยี วตดิ กลางหอ้ ง (Symmetrically Located Single Luminaire)

บทที่ 5 แสงสว่าง 54
2.3 หลอดไฟตดิ ตั้งแถวเดียวกลางหอ้ ง (Single Row of Individual Luminaires)

2.4 หลอดไฟติดตั้งแบบต่อเน่ืองมากกว่าหรือเท่ากับ 2 แถว ( Two or More
Continuous Rows of Luminaires)

บทท่ี 5 แสงสวา่ ง 55
2.5 หลอดไฟตดิ ตงแบบตอ่ เน่ืองแถวเดียว (Single Row of Continuous Luminaires)

2.6 หลอดไฟตดิ กระจายบนเพดาน (Luminous or Louver all Ceiling)

บทท่ี 5 แสงสวา่ ง 56

6. ขน้ั ตอนและเทคนิควิธกี ารวดั แสงสว่าง
1. ปรับให้เครื่องอ่านค่าที่ศูนย์ ก่อนทาการตรวจวัดแสงสว่าง ต้องปรับให้เคร่ืองอ่านค่าท่ี

ศูนย์ก่อนทุกคร้ัง การปรับเคร่ืองเช่นน้ีเรียกว่า zeroing ซ่ึงไม่ใช่การปรับเทียบความถูกต้อง
(Calibration) ของเคร่ืองมือ การปรับให้เครื่องอ่านค่าที่ศูนย์ก่อนการเร่ิมอ่านค่าเป็นส่ิงจาเป็น
สามารถทาได้โดยใช้วัสดุสีดาทึบแสงปิดที่เซลรับแสงแล้วเปิดเครื่องและอ่านค่า ค่าท่ีอ่านได้ควรเป็น
ศูนย์ เนื่องจากไมมีแสงตกกระทบเซลรับแสง หากไม่เป็นเช่นน้ัน ต้องปรับมิเตอร์ให้อ่านค่าศูนย์ก่อน
เริ่มการตรวจวดั

2. ปรับมิเตอร์ โดยมิเตอร์บางรุ่นจะมีปุ่มใหป้ รับเลือกชว่ งของความเข้มแสงสวา่ งระดับต่างๆ
หากไม่แน่ใจว่าระดับความเข้มของแสงสว่างเป็นปริมาณเท่าไรให้ปรับปุ่มไปช่วงของการวัดท่ีระดับสูง
ก่อน ถา้ ไมใ่ ช่ชว่ งการวัดน้ันจงึ ค่อยปรับสเกลต่าลงมา

3. ศึกษาลักษณะการทางาน ทาการศึกษาลักษณะการทางานของผู้ปฏิบัติงาน ขนาดของ
ช้ินงาน ความละเอียดของงาน ปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการมอง การส่องสว่าง และคุณภาพ
ของการส่องสว่าง

4. วางเซลรับแสง ทาการวางเซลรับแสงในระนาบเดียวกับพ้ืนผิวงานของผู้ปฏิบัติงานนั้น
อ่านค่าความเข้มแสงสว่างผู้ทาการตรวจวดั ฯ ตอ้ งระวังไมใ่ ห้เงาของตัวเองทอดบังบนเซลรบั แสง ซ่งึ จะ
ทาให้ค่าความเขม้ แสงสวา่ งผดิ จากความเปน็ จรงิ

5. อ่านค่าจากหน้าจอของเคร่ืองมือวัด โดยต้องให้เซลรับแสงรับแสงจนค่าแน่นอนทุกครั้ง
(โดยท่วั ไปประมาณ 5 – 15 นาที) จงึ อา่ นคา่ มิเตอรแ์ ละบันทึกผล

6. บันทึกผลการตรวจวัดแสงสว่างและปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ทาการบันทึกผลการ
ตรวจวัดแสงสว่างและปัจจัยแวดล้อมท่ีเกี่ยวข้อง เช่น สภาพห้อง เพดาน ดวงไฟ ความสะอาด สี
สภาพอากาศขณะทต่ี รวจวดั เป็นต้น

7. นาผลการตรวจวัดเปรียบเทียบ โดยนาไปเปรียบเทียบกับกฎกระทรวงฯ เกี่ยวกับความ
ร้อน แสงสวา่ ง และเสียง พ.ศ. 2559

7. ปจั จยั ทเี่ กีย่ วข้องกบั การตรวจและวเิ คราะหป์ ริมาณหรอื ความเข้มแสงสว่าง
1. สภาพภมู ิอากาศ เชน่ ฝนตก อากาศมืดครมึ้
2. ลักษณะทางกายภาพ เชน่ สแี ละการสะทอ้ นของพน้ื ที่ปฏิบัติงาน ความสะอาด ความเก่า-

ใหม่ ขนาด รปู ร่าง ทิศทางการจัดวางของอปุ กรณต์ กแต่งต่างๆ
3. การจัดระบบแสงสว่างในพื้นท่ีปฏิบัติงาน เช่น ผังการติดตั้งชุดโคม การชารุดเสียหาย

ของชุดโคม การตดิ ตง้ั โคมไฟเฉพาะจดุ
4. ทิศทางของแสงจากธรรมชาติ
5. สภาพแวดล้อมในบริเวณการทางาน เช่น ฝุ่น ฟูม ควัน หมอก ไอ ที่อาจบดบังการส่อง

สวา่ ง
6. ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ปฏิบัติงาน เช่น อายุ สมรรถภาพการมองเห็น ประวัติการบาดเจ็บ

หรอื เจ็บป่วยทเี่ ก่ียวกบั การมองเหน็

บทที่ 5 แสงสว่าง 57

7. ลักษณะของการทางาน เช่น ความละเอียดของงาน ท่าทางในการทางาน การเคลื่อนไหว
ของวตั ถตุ า่ งๆรอบตัวผู้ปฏิบตั งิ าน

งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง

การสารวจระดับความเข้มของแสงสว่างในห้องเรียนมหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
ช่ือผู้วิจัย : วิภ าดา ศรีเจริญ , ศศิวิมล เพ็ช รเสือ และจักรกฤษณ์ น้อยเจริญ
วิธีการดาเนินวิจัย : ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการวัดแสง จากน้ันทาการยืม
เคร่ืองมือวัดแสงจากสาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลย์สงคราม จากน้ันทาการตรวจวัดแสงใน
ห้องเรียนภายในอาคารเรยี นมหาวิทยาลยั ราชภัฎพิบูลย์สงคราม จานวน 69 ห้อง ซ่ึงได้มาจากการสมุ่
แบบแบ่งช้ัน (Stratified Sampling) ใช้ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลช่วงเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน
2557 เคร่ืองมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกผลการตรวจวัดระดับความเข้ม
ของแสงสว่าง โดยใช้เคร่อื งวดั แสง (Lux Meter) และแบบจดั สภาพห้องเรยี น สถิตเิ ชิงพรรณนาในการ
วเิ คราะหข์ ้อมลู ไดแ้ ก่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉลีย่ และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย : ผลการศึกษาระดับความเข้มของแสงสว่างในห้องเรียนโดยเทียบกับค่า
มาตรฐาน CIE พบว่าจากจานวนที่นั่งท้ังหมดของกลุ่มตัวอย่าง 6 อาคารมีจานวนท่ีน่ังท้ังหมด 4,309
จุด ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในช่วง 300-750 Lux จานวน 3,439 จุด คิดเป็น ร้อยละ 79.8 ไม่ผ่าน
เกณฑ์มาตรฐานอยู่ในช่วงต่ากว่า 300 Lux จานวน 621 จุด คิดเป็นร้อยละ 14.4 ไม่ผ่านเกณฑ์
มาตรฐานอยใู่ นช่วงมากกว่า 750 Lux จานวน 249 จุด คิดเปน็ ร้อยละ 5.8

ชือ่ งานวจิ ยั : การตรวจวัดความเข้มแสงในหอ้ งเรยี น มหาวิทยาลัยราชภัฎ
นครศรธี รรมราช

ชอื่ ผูว้ จิ ัย : ประไพจิตต์ รตั นบุรี, วรรณี สอนทอง
วธิ กี ารดาเนินวจิ ยั : ตรวจวดั ความเข้มแสงในหอ้ งเรยี น มหาวิทยาลยั ราชภัฎนครศรีธรรมราช
ซ่ึงเป็นการตรวจวัดในสภาพห้องเรียนท่ีมีสภาพการใชง้ านจริงแล้วกาหนดจุดที่ใช้วัดความเข้มแสงโดย
แต่ละจุดจะวัดเก็บข้อมูล ณ จุดกึ่งกลางระหว่าง 2X2 เมตร ท่ัวท้ังห้องโดยใช้เคร่ืองมือลักซ์มิเตอร์รุ่น
LX70 ในการเก็บข้อมูลบันทึกค่าความเข้มแสง แล้วหาค่าเฉลี่ยของค่าความเข้มแสงแต่ละห้องเพื่อ
เปรียบเทียบกับมาตรฐานกาหนดมาตราฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอ
นามัยและสภาพแวดล้อมในการทางานเกี่ยวกบั ความรอ้ น แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2549
ผลการวิจัย : จากการเก็บข้อมูลมหาวิทยาลัยราชภัฏมีจานวนห้องเรียนทั้งหมด 96 ห้อง
หอ้ งเรียนทผี่ า่ นเกณฑม์ าตรฐาน ค่าเฉลยี่ ความเข้มแสงอยู่ที่ 300-500 ลกั ซ์ มีจานวนห้องเรียนทั้งหมด
36 ห้อง คิดเป็นร้อยละ 37.5 ห้องเรียนท่ีมีค่าเฉล่ียความเข้มแสงเกินมาตรฐานค่าเฉลี่ยสูงกว่า 500
ลักซ์ มีจานวนห้องเรียนทั้งหมด 42 ห้อง คิดเป็นค่าร้อยละ 43.75 และห้องเรียนท่ีไม่ผ่านเกณฑ์
มาตราฐาน ค่าเฉล่ียความเข้มแสงต่ากว่า 300 ลักซ์ มีจานวนห้องเรียนท้ังหมด 18 ห้อง คิดเป็นค่า
ร้อยละ 18.75

บทที่ 5 แสงสวา่ ง 58

ชื่องานวิจัย : Effect of Bright Light in the Hospital Nursery on the Incidence
of Retinopathy of Prematurity

ชื่อผู้วิจัย : Penny Glass, Ph.D., Gordon B. Avery, M.D., Ph.D., Kolinjavadi N. Siva
Subramanian, M.D., Marshall P. Keys, M.D., Anita M. Sostek, Ph.D., and David S. Friendly,
M.D.

ชื่อวารสาร : The new England journal of medicine
วิธีการดาเนินวิจยั : พบว่าทารกคลอดกอ่ นกาหนด เปน็ กลุม่ ท่สี ัมผัสแสงในสถานรับเลยี้ งเด็ก
เป็นเวลานาน ซึ่งแสงดังกล่าวอยู่ในระดับที่พบว่าสามารถทาให้จอประสาทตาของสัตว์บาดเจ็บได้ จึง
ทาการศึกษาย้อนหลังดูผลกระทบของการสัมผัสแสง ใน 2 สถานรับเล้ียงเด็ก โดยเปรียบเทียบอัตรา
การเกิดโรคจอประสาทตาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกาหนด ในทารก 74 คน จากสถานรบั เลีย้ งเด็กท่ี
มแี สงสว่างมาตรฐาน(60 foot-candles) กับ ทารก 154 คน ที่มนี า้ หนักใกล้เคยี งกันแต่ลดความสว่าง
ลง(25 foot-candles)
ผลการวจิ ยั : พบอตั ราการเกิดโรคจอประสาทตาผดิ ปกติในทารกคลอดก่อนกาหนดสงู กว่า
ในกลุม่ ทารกทส่ี ัมผัสแสงสวา่ งมากกว่า โดยเฉพาะทารกท่นี ้าหนกั แรกเกิดนอ้ ยกว่า 1000 กรมั
สรุป : แสงสว่างมากๆท่ีพบได้โดยทว่ั ไปในโรงพยาบาล อาจเปน็ ปจั จยั หน่งึ ท่ที าใหเ้ กดิ โรคจอ
ประสาทตาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกาหนดได้

ช่ื อ ง า น วิ จั ย : EFFECTS OF BRIGHT ILLUMINANCE ON BODY TEMPERATURE
AND HUMAN PERFORMANCE

ชอ่ื ผูว้ จิ ยั J. French, P. Hannon- and G. C. Brainard

วิธีการดาเนินวิจัย : ศึกษาในผู้ชาย 9 คน ให้สัมผัสแสงจ้าและแสงสลัว จากน้ันหลังการ
ปฏิบัติงานในแต่ละช่วง (700-1800 ช่ัวโมง) ให้ทาแบบทดสอบการรับรู้ โดยจะให้ทาแบบทดสอบ ทุก
2 ชั่วโมงตลอดช่วงเวลาท่ีทาการทดสอบ การวัดอุณหภูมิทางปากจะถูกทาทันทีหลังจากทา
แบบทดสอบเสร็จ

ผลการวิจัย : พบอุณหภูมิทางปากจะสูงขึ้นมากกว่าในกลุ่มที่สัมผัสแสงจ้าเทียบกับแสงสลัว
ความสามารถในการคิดจะดีขึ้นในกลุ่มที่สัมผัสแสงจ้า แต่การสัมผัสแสงจ้าจะทาให้ไวต่อการเม่ือยล้า

ชื่องานวิจัย : ศึกษาระดับความเครียดของผู้ใช้อาคารสานักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในบรเิ วณ
ท่ีมีความเข้มของแสงที่แตกต่างกัน กรณีศึกษาอาคารอีเทอร์นิตี้

ชื่อผูว้ ิจยั : ย่งิ ยศ สียางนอก
วิธีการดาเนินวิจัย : ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้ใช้อาคารสานักงานอีเทอร์นิตี้
อาเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ จานวน 135คน กลุ่มตัวอย่าง ได้จากการสุ่มอย่างง่าย
(Simple Random Sampling)จากกลุ่มประชากร โดยการประมาณค่าขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจช่ี
และมอร์แกน (Krejcie & Morgan, 1970, p.108) ได้กลุ่มตัวอย่างจานวน 100คน เคร่ืองมือที่ใช้ใน
การศึกษาครั้งน้ี เป็นแบบวัดเพื่อประเมินระดับความเครียดของผู้ใช้อาคารสานักงานอีเทอร์นิต้ี ซึ่งใช้
แบบวัดความเครียดสวนปรุง โครงการจัดทาโปรแกรมสาเร็จรูปในการสารวจสุขภาพจิตในพื้นที่ กรม

บทท่ี 5 แสงสว่าง 59

สุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ใน 5ระดับ ตามแบบ
ของลิคเคริ ท์

ผลการวิจยั : การเปรยี บเทียบระดับความเครียดของผใู้ ชอ้ าคารสานกั งานอเี ทอรน์ ิตี้ จาแนก
ตามกลุ่มที่ได้รับระดบั ความเข้มของแสงในบรเิ วณสถานที่ทางาน พบว่า ผใู้ ช้อาคารที่ได้รับระดบั ความ
เขม้ ของแสงต่างกนั มีระดับความเครียดแตกตา่ งกันอย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ

บทที่ 5 แสงสวา่ ง 60

เอกสารอา้ งองิ

กองความปลอดภยั แรงงาน กรมสวัสดกิ ารและคุ้มครองแรงงาน.แสงสวา่ งในทีท่ างาน.
http://www.oshthai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=150:
%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%97-%m-
%E0%B9%92%E0%B9%95-%E0%B9%90%E0%B9%97-%M-
%S&catid=12:environment&Itemid=203 (เขา้ ถึงเมื่อวันท่ี 30 กันยายน 2559).

ชลาลัย หาญเจนลักษณ.์ หลกั สขุ ศาสตร์อตุ สาหกรรม.
มนตรี เงาเดช. บทท่ี 2 : หน่วยและศัพทก์ ารวัดแสง. http://montri.rmutl.ac.th/assets/022.pdf .
สถาบนั ความปลอดภยั ในการทางาน. การตรวจวัดแสงสวา่ ง. http://www.npc-

se.co.th/knowledge_center/npc_knowledge_detail.asp?id_head=4&id_sub=20
&id=229 (accessed 30 september 2016).
สถาบนั ความปลอดภัยในการทางาน. การตรวจวัดแสงสวา่ ง. http://www.npc-
se.co.th/knowledge_center/npc_knowledge_detail.asp?id_head=4&id_sub=20
&id=229 (เข้าถึงเมื่อวนั ที่ 30 กันยายน 2559).
Basic Principles in Occupational Hygiene.
http://www.ohlearning.com/Files/Student/KA02%20v2-
0%2018Oct10%20Student%20Manual.pdf (accessed 30 september 2016).
Lighting research center. lighting answer.
http://www.lrc.rpi.edu/programs/nlpip/lightinganswers/lightpollution/glare.asp
(accessed 30 september 2016).
Occupational Safety and Health Branch, Labour Department. Lighting Assessment in
the Workplace. http://www.labour.gov.hk/eng/public/oh/Lighting.pdf
(accessed 30 september 2016)
Reflection glare. http://forums.cgarchitect.com/68898-vray-highlight-reflection-glare-
how-achieved.html (accessed 30 september 2016).

บทท่ี 6 เสียง 61

บทที่ 6

เสียง

การเก็บตัวอยา่ งและวเิ คราะหต์ ัวอยา่ งเสยี ง

เสียง (Sound) หมายถึง พลังงานท่ีเกิดจากการส่ันสะเทือนของตัวกลางในลักษณะของการ
อัดและขยายของโมเลกุลตัวกลางเป็นผลให้มีการเปล่ียนแปลงความดันบรรยากาศ ทาให้เกิดการ
เคลื่อนที่ของเสียงในลักษณะของคล่ืน โดยช่วงความถ่ีเสียงที่มนุษย์สามารถได้ยินอยู่ที่ 20 – 20,000
Hz

Sound คือ เสียงโดยท่ัวไป
Noise คอื เสยี งทีม่ นษุ ย์ไม่ต้องการไดย้ ินหรือไม่พึงประสงค์จะรับรู้ เชน่ เสียงดงั เสียงรบกวน
เสียงท่ที าให้เกดิ ความราคาญ

1. ชนดิ และแหล่งกาเนดิ เสียง
1.1 เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Steady – state noise) เป็นเสียงที่มีความดังต่อเน่ืองเป็น

ระยะเวลานาน มีระดับเสียงท่ีเปล่ียนแปลงไม่เกิน 3 เดซิเบล โดยมากจะพบในโรงงานอุตสาหกรรม
ทัว่ ๆไป เช่น เสียงเคร่ืองจักร เคร่อื งทอผ้า หรอื เสียงจากพัดลม เปน็ ตน้

1.2 เสียงดังต่อเนื่องแบบไม่คงท่ี (Non-steady state noise) เป็นเสียงท่ีมีระดับความเข้มที่
ไม่คงท่ี สงู ๆ ตา่ ๆ มกี ารเปลยี่ นแปลงระดบั เสยี งทเี่ กินกวา่ 3 เดซเิ บล เช่น เสียงเลื่อยวงเดอื น เสยี งจาก
กบไสไมไ้ ฟฟ้า หรอื เสยี งไซเรน เป็นต้น

1.3 เสียงที่ดังเป็นระยะ (Intermittent noise) เป็นเสียงที่มีความดังไม่ต่อเนื่อง มีความดัง
หรอื เบาสลับไปมาเป็นระยะๆ แตกตา่ งจากเสียงกระแทกในดา้ นท่ีมีระยะเวลานานกวา่ และมีลักษณะ
ท่ีไม่แน่ชัด จะพบเสียงนี้จากเครื่องอัดลม เครื่องเป่าหรือระบายไอน้า เสียงจากการจราจร หรือเสียง
จากเครือ่ งบิน

1.4 เสียงกระแทก (Impulse Noise or Impact Noise) เป็นเสียงที่เกิดข้ึนแล้วหายไป เกิด
การเปลี่ยนแปลงระดับเสียงอย่างน้อย 40 เดซิเบล ภายในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที อาจเกิดติดๆกัน
หรือเกิดข้ึนนานๆคร้ังก็ได้ เช่น เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงจากการตีหรือทุบโลหะ เสียงจากการตอก
เสาเข็ม เปน็ ต้น

2. ผลกระทบจากเสียงดัง
2.1 มีผลกระทบต่อระบบการได้ยิน แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ การสูญเสียการได้ยินแบบ

ชั่วคราวซึ่งสามารถฟ้ืนสภาพกลับมาเป็นปกติได้หากมีการพักสักระยะหน่ึง และการสูญเสียการได้ยิน
แบบถาวรซึ่งจะไมส่ ามารถทาการรกั ษาให้การได้ยินกลับคืนสภาพเดิมได้

บทที่ 6 เสยี ง 62

2.2 มีผลกระทบต่อสุขภาพทั่วไปและจิตใจ ทาให้การทางานของระบบไหลเวยี นโลหติ ระบบ
ประสาท ระบบต่อมไร้ท่อผิดปกติ ส่งผลให้สมดุลร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่า
ปกติ การเต้นของหวั ใจผดิ ปกติ และการหดตัวของเสน้ เลอื ดผดิ ปกติ เปน็ ตน้

2.3 รบกวนการตดิ ต่อส่ือสารระหว่างผู้ปฏบิ ัติงาน อาจทาให้ไม่ได้ยินสญั ญาณอนั ตรายที่ดังขึ้น
หรือไมไ่ ดย้ ินเสียงตะโกนบอกให้ระวังอนั ตราย ทาให้เกดิ อุบัติเหตุในการทางานได้

2.4 ทาให้ประสิทธิภาพการทางานลดลง ในงานที่ต้องใช้สมองหรือใช้ความคิด งานท่ียุ่งยาก
ซับซ้อน งานท่ีมีรายละเอียดมาก และงานที่ต้องมีการรับส่งข่าวสาร นอกจากนี้ยังอาจทาให้เกิดความ
ราคาญ หงดุ หงิด เกิดความเครียด หรือเสียสมาธิ ซงึ่ อาจมีผลใหเ้ กดิ อุบัตเิ หตุในการทางานได้

3. หลักการตรวจวัดระดบั เสียง
การตรวจวัดระดับเสียง เป็นการประเมินค่าระดับความดังเสียงที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับสัมผัสใน

การปฏิบัติงาน เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับระดับเสียงดังที่ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนได้รับสัมผัสขณะ
ปฏบิ ตั ิงาน เพอ่ื ระบพุ ้นื ท่ีในการเฝา้ ระวัง
4. เครือ่ งมือและอุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการเก็บตัวอยา่ งเสยี ง

4.1 เครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter) ใช้ในการประเมินระดับเสียงในสถาน
ประกอบการ โดยมสี ว่ นประกอบดงั น้ี

รูปท่ี 6.1 เครอ่ื งวดั ระดบั เสียง (Sound Level Meter)
ทีม่ า : http://e-muni.com/2016/01/07/เคร่อื งวัดความดงั เสียง-sound-meter/;
2561

1. Microphone เป็นส่วนที่ใช้รับเสียง มีหน้าท่ีรับและส่งสัญญาณเสียงเข้าไปในเคร่ืองเพื่อ
แปลผลระดบั เสียงตอ่ ไป แบง่ ออกได้เปน็ 3 ประเภท คอื

1.1 Condenser สามารถตอบสนองต่อความถ่ีเสียงต่างๆได้มากท่ีสุด แต่มีราคา
แพง

1.2 Ceramic หรือ Piezoelectric Crystal สามารถทนต่อการส่ันสะเทอื นไดด้ ี
1.3 Dynamic มีลักษณะเป็นขดลวด ราคาไม่แพง แต่มีการรบกวนจาก
สนามแมเ่ หล็ก

บทท่ี 6 เสยี ง 63

ประสทิ ธิภาพของไมโครโฟนขึน้ อยู่กบั ปจั จัยหลายๆอยา่ ง ดงั น้ี
1. ขนาดของไมโครโฟน โดยไมโครโฟนขนาดเลก็ จะสามารถแยกความถ่ีไดด้ กี วา่
2. ทศิ ทางและตาแหนง่ ของไมโครโฟนขณะทาการตรวจวดั
3. เสียงลม มีผลต่อการรับเสียงของไมโครโฟน ดังนั้นจึงต้องมีเครื่องป้องกัน (Wind screen)
ครอบไมโครโฟนทกุ ครงั้ ท่ที าการตรวจวดั
4. อุณหภมู ิและความดนั บรรยากาศ
5. ความชื้น มีผลต่อไมโครโฟนชนิด Condenser เป็นพิเศษ เน่ืองจากจะทาให้เสียงที่ได้รับ
แตกหรือซา่ สามารถแก้ไขไดโ้ ดยการอบกับหลอดไฟร้อนๆเพื่อไลค่ วามชน้ื ประมาณ 5-10 นาที
2. Pre-amplifier หรือ Attenuator จะช่วยลดขนาดของสัญญาณเสียงที่แตกต่างกันให้มี
ขนาดเล็กลงเพ่อื ให้เครอ่ื งสามารถรับรเู้ สยี งทีผ่ า่ นเข้ามาได้ทง้ั หมด
3. Weighting network เป็นอุปกรณ์ที่สร้างวงจรท่ีใช้ในการถ่วงน้าหนัก ประกอบด้วย 4
สเกล คอื

3.1 Weighting A เป็นการกรองเสียงเพ่ือให้ผลตรงกับความรู้สึกของคน จะ
ใกล้เคยี งกับคุณลักษณะการตอบสนองในการได้ยินของหมู นษุ ย์

3.2 Weighting B มีเหตุผลการกรองเช่นเดียวกันกับ A-weighted แต่ใช้กับเสียง
ความเขม้ ปานกลาง ปจั จุบันไมค่ ่อยใช้ การวดั ด้วย Scale B จะตอบสนองไดด้ ีในความถ่รี ะหวา่ ง 400–
3000 Hz

3.3 Weighting C ไมม่ กี ารกรองมากนัก การวดั จะใกลเ้ คยี งกับความเป็นจริง จะใช้
วัดเสยี งของกลมุ่ ความถตี่ ่าเน่ืองจาก A-weighted จะถกู กรองมากเกินไป

3.4 Weighting D ใช้วดั เสยี งจากอากาศยาน
4. Amplifier เปน็ สว่ นทชี่ ่วยในการขยายเสียง โดยควรมีความสามารถในการขยายสัญญาณ
ท่ีชว่ งความถ่ี 20-20,000 Hz ได้ และต้องมเี สียงรบกวนต่า
5. RMS Detector เป็นตวั ท่ีจะรบั รเู้ สยี งท่ผี ่านเขา้ มาและทาการแปลผลระดับความดนั ท่ีเข้า
มาทั้งบวกและลบให้เป็นค่ารากที่สองของค่ากาลังสองเฉลี่ยของความดันเสียง ซ่ึงในการแปลผลนั้น
สามารถต้งั เวลาใหช้ า้ หรือเรว็ ได้ ดังน้ี
S : Slow = 1 วนิ าที นยิ มใชใ้ นทางสุขศาสตร์อตุ สาหกรรม
F : Fast = 125 มลิ ลิวนิ าที ใช้ในกรณที เ่ี สียงนัน้ เป็นเสียงต่อเนอื่ งสมา่ เสมอ
I : Impact = 35 มิลลิวนิ าที ใชส้ าหรบั เสยี งกระแทก
6. Display เปน็ ส่วนทจี่ ะแสดงผลของระดับเสยี ง

4.2 เครื่องวิเคราะห์แยกความถ่ี (Octave-band Analyzers) ในแต่ละแถบความถี่
ค่าสูงสุดของความถ่ีจะเป็น 2 เท่าของค่าต่าสุดในแถบนั้น ในทางสุขศาสตร์อุตสาหกรรมนิยมวัด
ความถี่แบบ Preferred Frequency Bands ซ่งึ หมายถงึ การวัดระดับเสียงในความถี่ต่างๆนน้ั จะใช้ค่า
ก่ึงกลางของแถบตามการเฉล่ียทางเลขคณิตของค่าสูงสุดและต่าสุด เช่น เม่ือทาการตรวจวัดระดับ
เสียงที่ความถ่ี 1000 Hz แต่ในความเป็นจริงเป็นระดับเสียงในช่วงความถี่ต้ังแต่ 710 – 1420 Hz ใน

บทท่ี 6 เสียง 64

ปัจจุบันเคร่ืองวัดเสียงส่วนใหญ่ได้รวมอุปกรณ์แยกวิเคราะห์ความถี่เอาไว้ในตัวเคร่ืองเดียวกันเพ่ือ
สะดวกสาหรบั ผู้ใชใ้ นการเกบ็ ตวั อย่างและวิเคราะหต์ วั อยา่ ง

4.3 เครอ่ื งวดั ปรมิ าณเสียงสะสม (Noise Dosimeter) มสี ่วนประกอบท่ีคลา้ ยกับเครื่องวัด
ระดับเสียงทั่วไป แต่จะมีในส่วนของอุปกรณ์ท่ีใช้สาหรับจับเวลาและคานวณเพื่อคานวณเปรียบเทยี บ
ระยะเวลาท่ีได้รับสัมผัสกับระยะเวลาท่ีอนุญาตให้สัมผัสระดับเสียงนั้น และหน่วยความจาที่สามารถ
ตรวจวัด เก็บรวบรวม และคานวณข้อมูลได้ บันทึกข้อมูลท้ังหมดเพ่ือนาไปสู่การสรุปการคานวณผล
ออกมา

รปู ท่ี 6.2 เคร่ืองวดั ปริมาณเสียงสะสม (Noise Dosimeter)
ท่มี า : http://e-muni.com/2016/01/07/เครอื่ งวดั ความดังเสยี ง-sound-meter/;
2561

5. มาตรฐานของเครื่องมือ
ในท่ีน้ีขอกล่าวถึงมาตรฐานของ ANSI S 1.4-1983 ซ่ึงแบ่งชนิดของเคร่ืองมือวัดระดับเสียง

ดงั นี้
1. Type 0 (Laboratory standard) เป็นเคร่ืองมือท่ีมีความแม่นยาสูง มีการเปลี่ยนแปลง

ตอบสนองต่อความถี่และทิศทางน้อยมาก มีค่าความแม่นยา ± 0.4 dB
2. Type 1 (Precision) เป็นเคร่ืองมือที่มีความแม่นยาในการวัดเสียงรบกวน และสามารถ

นาไปใช้งานในการเก็บตัวอย่างเสียงในภาคสนามที่ต้องการความแม่นยาสูง มีค่าความแม่นยา ± 0.7
dB

3. Type 2 (General) เปน็ เครื่องมือที่ใช้ในงานวัดระดบั เสยี งท่วั ไปท่ีไม่ต้องการความแม่นยา
จากเคร่ืองมอื มากนัก ถูกกาหนดใหต้ อ้ งมี A-frequency Weighting และมีค่าความแม่นยา ± 1.0 dB

4. Type 3 เป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยาน้อยท่ีสุด คือ ± 1.5 dB แต่สามารถใช้งานได้ง่าย
มักจะนยิ มใช้เพ่ือวัตถปุ ระสงค์ในการสารวจเสียงท่วั ไป เพอ่ื พจิ ารณาปัญหาของเสียงขนั้ ต้น ถ้าพบว่ามี
ปัญหาเกดิ ข้นึ จงึ จะเลือกใชเ้ ครอ่ื งวดั ระดบั เสยี งท่ีมีความแม่นยามากข้ึนเพอ่ื ทาการวเิ คราะห์อกี ครั้ง

บทที่ 6 เสยี ง 65

5. Type S (Special Purpose) เป็นเคร่ืองมือวัดระดับเสียงที่มีวัตถุประสงค์เป็นพิเศษ เช่น
เคร่อื งมอื วดั เสียงสะสม

6. การสอบเทียบเครอ่ื งมือและอุปกรณเ์ กยี่ วกับการเกบ็ ตัวอยา่ งเสียง
โดยส่วนใหญ่ห้องปฏิบัติการทางสุขศาสตร์อุตสาหกรรมมักจะส่งอุปกรณ์สอบเทียบระดับ

มาตรฐานการใช้งาน เช่น Acoustics Calibrator ไปทาการสอบเทียบในระดับมาตรฐานปฐมภูมิ
อย่างน้อยปีละ 1 คร้ัง จากน้ันนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมจึงจะสามารถทาการสอบเทียบเครื่องมือวัด
กับเครื่องมือสอบเทียบระดับมาตรฐานการใช้งานได้ โดยในการสอบเทียบให้ทาการเลือกคาสั่งการ
สอบเทียบที่เคร่ืองมือวัดระดับเสียงที่ต้องการจะสอบเทียบแล้วเสียบส่วน ของไมโครโฟนเข้ากับ
เครื่องมือสอบเทียบ เสียงที่ตรวจวัดได้จากเครื่องมือวัดระดับเสียงต้องเท่ากับท่ีระบุไว้บนเครื่องมือ
สอบเทียบ ถ้าค่าทีว่ ดั ไดไ้ มต่ รงกันใหท้ าการปรับท่เี คร่ืองมือตรวจวดั ระดบั เสียง

รูปที่ 6.3 Acoustics Calibrator
ทม่ี า : http://e-muni.com/2016/01/07/เครอ่ื งวัดความดังเสยี ง-sound-meter/;
2561

7. วิธีการเกบ็ และวเิ คราะหร์ ะดับเสยี ง มีข้นั ตอนดังน้ี
1. การเดินสารวจเบ้ืองต้น (Walk through survey) ควรดาเนินการในบริเวณที่

ผู้ปฏิบตั งิ านไม่สามารถสนทนาหรือสื่อสารกันได้ในระดบั เสียงปกติ ในบรเิ วณท่ีมีผู้ปฏิบัตงิ านหูอื้อหลัง
เลิกงาน ในบริเวณที่มีการร้องเรียนจากผู้ปฏิบัติงาน หรือบริเวณท่ีสงสัยว่ามีระดับเสียงดังเกินค่า
มาตรฐาน ข้อมูลนีเ้ ปน็ เพยี งการระบุว่ามีปัญหาเร่อื งเสยี งดงั เกดิ ข้ึนในบรเิ วณนน้ั หรือไม่

2. การศึกษาข้อมลู ทั่วไปเกยี่ วกับการตรวจวัดเสยี ง ซ่ึงข้อมลู ทคี่ วรทาการตรวจสอบมีดังน้ี
2.1 ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ปฏิบัติงาน เช่น จานวนผู้ปฏิบัติงานที่สัมผัสกับเสียงดัง

ระยะเวลาในการรับสัมผัสของผู้ปฏิบัติงานแต่ละคน ระยะทางระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับแหล่งกาเนิด
เสยี ง ปญั หาและสมรรถภาพเกีย่ วกับการได้ยนิ ของผู้ปฏิบัตงิ าน อุปกรณป์ ้องกนั อนั ตรายส่วนบุคคลที่มี
การใชอ้ ยู่ เปน็ ตน้

บทที่ 6 เสยี ง 66

2.2 ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและเคร่ืองจักร เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับ
ข้นั ตอนการผลิต สภาพของเคร่ืองจักร (อายกุ ารใชง้ าน การบารุงรกั ษา) กาลงั ในการใช้งานเครื่องจักร
มาตรการปอ้ งกันทม่ี ีอยู่ เปน็ ตน้

2.3 ข้อมูลด้านโครงสร้างอาคาร เช่น ขนาดและรูปร่างของสถานท่ีตั้งของบริเวณที่
จะทาการตรวจวัดระดับเสียง แผนผังแสดงการติดตั้งเครื่องจักร วัสดุที่ใช้ในการสร้างในบริเวณนั้น
เป็นตน้

3. การปฏิบตั เิ บ้อื งตน้ ก่อนการตรวจวัดระดบั เสียง
1. ตรวจสอบมาตรฐานหรอื กฎหมายทจ่ี ะใช้ในการประเมินระดับเสยี ง
2. ตรวจสอบแบตเตอรข่ี องเครอื่ งมือตรวจวดั ระดับเสยี งและเคร่ืองมือสอบเทยี บ
3. ทาการปรบั เทียบความถูกตอ้ งของเครื่องมือตรวจวดั ระดับเสียง
4. กาหนดจดุ ทีจ่ ะทาการตรวจวัดพร้อมวางแผนผงั แสดงจุดตรวจวดั
5. กาหนดทศิ ทางและตาแหน่งของไมโครโฟนใหถ้ ูกตอ้ ง
6. เลอื กตวั ตอบสนองและ Weighting Network ให้ถูกต้องตามรปู แบบของการ

ตรวจวัด

4. การดาเนนิ การเก็บตวั อย่างระดบั เสยี งในบรเิ วณทีท่ างาน

การใชเ้ ครอ่ื งวัดระดับความดังเสียง (Sound Level Meter) ในกรณที ่ผี ปู้ ฏิบัติงาน
ทางานในพ้นื ทใ่ี ดพ้นื ทห่ี นงึ่ ซึ่งมรี ะดับเสียงดังคงท่ี มขี ั้นตอนดงั นี้

1. ทาการต้ังค่าตา่ งๆ ดังน้ี
- Weighting Network A
- การตอบสนองแบบช้า (Slow)
- ชว่ งการตรวจวัดสงู
- อัตราทพ่ี ลังงานเสยี งเพ่ิมเป็นสองเท่า (Energy Exchange Rate) ที่ 5

2. ทาการสวมฟองน้ากันลม (Wind screen) ท่ีไม่โครโฟน แล้วทาการตรวจวัดโดยให้
ไมโครโฟนอยู่ที่ระดับหูของผู้ปฏิบัติงานรัศมีไม่เกิน 30 cm หากทาการถือให้ยื่นเคร่ืองมือตรวจวัด
ออกไปในลกั ษณะเฉียงให้หา่ งจากตัวมากท่สี ดุ เพื่อป้องกันการสะทอ้ นของเสยี ง

3. ทาการอา่ นค่า TWA ทตี่ รวจวัดได้ พรอ้ มทั้งบันทกึ ระยะเวลาทที่ าการตรวจวดั แลว้ นาค่า
TWA ที่ได้ไปเปรยี บเทยี บกบั ค่ามาตรฐานหรอื กฎหมาย (ตารางท่ี 6.1)

การใชเ้ ครอ่ื งวัดระดบั ความดังเสียง (Sound Level Meter) ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติงาน
ทางานในพน้ื ทีใ่ ดพน้ื ท่หี นึง่ ซ่ึงมีระดับเสยี งดังไม่คงที่ มีขนั้ ตอนดังน้ี

1. ทาการตง้ั ค่าตา่ งๆ ดงั นี้
- Weighting Network A
- การตอบสนองแบบช้า (Slow)

บทท่ี 6 เสยี ง 67

- ชว่ งการตรวจวัดสงู

- อัตราทีพ่ ลังงานเสยี งเพิ่มเป็นสองเทา่ (Energy Exchange Rate)

2. ทาการสวมฟองน้ากันลม (Wind screen) ที่ไม่โครโฟน แล้วทาการตรวจวัดโดยให้

ไมโครโฟนอยู่ท่ีระดับหูของผู้ปฏิบัติงานรัศมีไม่เกิน 30 cm หากทาการถือให้ยื่นเคร่ืองมือตรวจวัด

ออกไปในลักษณะเฉยี งให้หา่ งจากตวั มากทสี่ ดุ เพ่ือป้องกันการสะท้อนของเสยี ง

3. ทาการอ่านค่าระดับความดังเสียง ณ ระดับเสียงต่างๆ และระยะเวลาทางานที่สัมผัสกับ

เสยี งทีร่ ะดบั ความดังต่างๆ แลว้ นามาคานวณเพื่อหาระดับความดงั เสียงเฉลี่ยที่ลูกจ้างได้รับตลอดเวลา

การทางาน

จากสูตร D = ( C1 + C2 +… + Cn ) x 100
T1 T2 Tn

เมื่อ D = ปรมิ าณเสียงสะสมทผ่ี ู้ปฏบิ ัติงานไดร้ ับ (% Dose)
Cn = ระยะเวลาทส่ี มั ผสั เสยี งระดบั หนงึ่ ๆ
Tn = ระยะเวลาท่ีอนุญาตให้สมั ผัสเสียงระดับหนง่ึ ๆ

4. คานวณหาระดบั เสียงดังเฉลี่ย (TWA) ที่คนงานสัมผัสตลอดระยะเวลาทางานในแต่ละวนั
จากสตู รTWA 8 hours = 16.61 log (D/100) + 90

ตารางท่ี 6.1 เปรยี บเทยี บกบั ค่ามาตรฐาน ระดับเสียงเฉลย่ี ตลอดเวลาการทางาน (TWA)
ที่อนุญาตใหส้ ัมผสั ได้ในแตล่ ะวัน

เวลาการทางานทไ่ี ดร้ บั เสียง ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลาการทางาน (TWA)
(ชว่ั โมง) ทอ่ี นญุ าตใหส้ ัมผสั ได้ในแต่ละวัน

12 87
8 90
7 91
6 92
5 93
4 95
3 97
2 100
1½ 102
1 105
½ 110
¼ หรอื น้อยกว่า 115

บทที่ 6 เสียง 68

การใช้เคร่ืองวัดระดับความดังเสียง (Sound Level Meter) ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติงาน

ทางานในพื้นทตี่ ่างๆซ่ึงมีระดบั เสียงแตกตา่ งกัน มขี ้นั ตอนดงั นี้

1. ทาการตัง้ คา่ ต่างๆ ดงั น้ี

- Weighting Network A

- การตอบสนองแบบช้า (Slow)

- ช่วงการตรวจวัดสงู

- อตั ราท่ีพลังงานเสียงเพ่มิ เป็นสองเท่า (Energy Exchange Rate) ท่ี 5

2. ทาการสวมฟองน้ากันลม (Wind screen) ที่ไม่โครโฟน แล้วทาการตรวจวัดโดยให้

ไมโครโฟนอยู่ท่ีระดับหูของผู้ปฏิบัติงานรัศมีไม่เกิน 30 cm หากทาการถือให้ย่ืนเครื่องมือตรวจวัด

ออกไปในลักษณะเฉียงใหห้ ่างจากตัวมากที่สุดเพ่ือป้องกันการสะท้อนของเสียง หากผปู้ ฏบิ ตั ิงานมีการ

เปลี่ยนพนื้ ที่การทางานใหท้ าการเคลื่อนย้ายเครื่องมือตรวจวดั ตามผปู้ ฏิบัตงิ านดว้ ย

3. ทาการอ่านค่าระดับความดังเสียง ณ ระดับเสียงต่างๆ และระยะเวลาทางานที่สัมผัสกับ

เสียงท่ีระดับความดังต่างๆ ในพ้ืนท่ีต่างๆ แล้วนามาคานวณเพ่ือหาระดับความดังเสียงเฉล่ียที่ลูกจ้าง

ได้รบั ตลอดเวลาการทางาน

จากสตู รD = ( C1 + C2 +… + Cn ) x 100
T1 T2 Tn

เม่อื D = ปริมาณเสยี งสะสมท่ผี ู้ปฏิบตั งิ านไดร้ ับ (% Dose)
Cn = ระยะเวลาทีส่ มั ผสั เสียงระดับหนง่ึ ๆ
Tn = ระยะเวลาท่ีอนญุ าตให้สัมผสั เสยี งระดับหน่ึงๆ

4. คานวณหาระดบั เสยี งดังเฉล่ยี (TWA) ท่คี นงานสัมผัสตลอดระยะเวลาทางานในแต่ละวนั
จากสูตรTWA 8 hours = 16.61 log (D/100) + 90

การใช้เครอื่ งวดั ปริมาณเสยี งสะสม (Noise Dosimeter) ใช้เพื่อวัดปรมิ าณเสยี งสะสมท่ี
ผู้ปฏิบัตงิ านรบั สมั ผสั ตลอดระยะเวลาการทางาน มขี นั้ ตอนดงั นี้

1. ทาการต้งั ค่าตา่ งๆ ดงั น้ี
- ต้ังคา่ Threshold Level ที่ 80 dB(A)
- ตง้ั คา่ Criteria Level ท่ี 90 dB(A)
- อตั ราทพี่ ลังงานเสยี งเพิ่มเป็นสองเทา่ (Energy Exchange Rate) ที่ 5

2. นาเคร่ืองวัดปริมาณเสียงสะสมติดที่เข็มขัดหรือกระเป๋าของผู้ปฏิบัติงาน และติดต้ัง
ไมโครโฟนไวท้ ่ีบ่าหรือปกเสื้อของผปู้ ฏิบัติงานไม่ใหห้ ลุดหรือแกว่ง โดยมีรศั มีไมเ่ กิน 30 cm จากหูของ
ผูป้ ฏิบัตงิ าน

3. อธิบายข้อปฏิบตั ิและข้อหา้ มต่างๆให้ผู้ปฏบิ ตั ิงานเข้าใจ เช่น ไม่พดู หรือสง่ เสียงใส่
ไมโครโฟน และทาการเปดิ เครือ่ งเพ่ือเร่ิมบันทึกคา่ ระดับเสยี ง

4. อา่ นคา่ ปริมาณเสยี งสะสมทต่ี รวจวดั ได้ (Dose) แลว้ นาไปคานวณหาค่า TWA
จากสตู รTWA 8 hours = 16.61 log (D/100) + 90 หรอื ใช้ผลจากตาราง

บทที่ 6 เสียง 69

ตารางท่ี 6.2 เปรียบเทยี บค่าปริมาณเสียงสะสมท่ตี รวจวัดได้ (Dose) แล้วนาไปคานวณหาค่า TWA

ปรมิ าณการสัมผัส TWA ปริมาณการสัมผัส TWA ปรมิ าณการสัมผัส TWA

เสียงสะสม (D) (dBA) เสียงสะสม (D) (dBA) เสยี งสะสม (D) (dBA)

10% 73.4 95% 89.6 140% 92.4

15% 76.3 96% 89.7 145% 92..7

20% 78.4 97% 89.8 150% 92.9

25% 80.0 98% 89.9 155% 93.2

30% 81.3 99% 89.9 160% 93.4

35% 82.4 100% 90.0 165% 93.6

40% 83.4 101% 90.1 170% 93.8

45% 84.2 102% 90.1 175% 94.0

50% 85.0 103% 90.2 180% 94.2

55% 85.7 104% 90.3 185% 94.4

60% 86.3 105% 90.4 190% 94.6

65% 86.9 106% 90.4 195% 94.8

70% 87.4 107% 90.5 200% 95.0

75% 87.9 108% 90.6 210% 95.4

80% 88.4 109% 90.6 220% 95.7

81% 88.5 110% 90.7 230% 96.0

82% 88.6 111% 90.8 240% 96.3

83% 88.7 112% 90.8 250% 96.6

84% 88.7 113% 90.9 260% 96.9

85% 88.8 114% 90.9 270% 97.2

86% 88.9 115% 91.1 280% 97.4

87% 89.0 116% 91.1 290% 97.7

88% 89.1 117% 91.1 300% 97.9

89% 89.2 118% 91.2 320% 98.4

90% 89.2 119% 91.3 340% 98.8

91% 89.3 120% 91.3 360% 99.2

92% 89.4 125% 91.6 380% 99.6

93% 89.5 130% 91.9 400% 100.0

94% 89.6 135% 92.2 500% 101.6

บทที่ 6 เสียง 70

มาตรฐานและกฎหมายเสยี งดังในที่ทางาน
ประเทศไทย

1. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เร่อื งความปลอดภัยในการทางานเกีย่ วกบั ภาวะแวดล้อม หมวด 3
เสียง
ข้อ 13 ภายในสถานทปี่ ระกอบการทีใ่ หล้ ูกจ้างคนใดคนหนึ่งทางานดงั ต่อไปนี้

1) ไม่เกินวันละเจ็ดชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับติดต่อกันไม่เกิดเก้าสบิ เอ็ดเดซเิ บล
(เอ)

2) เกนิ กวา่ วนั ละเจด็ ช่ัวโมง แต่ไมเ่ กดิ แปดชั่วโมง จะตอ้ งมีระดบั เสียงท่ีลูกจา้ งได้รบั ติดต่อกัน
ไม่เกินเก้าสิบเดซิเบล(เอ)

3) เกนิ วนั ละแปดชว่ั โมง ต้องมีระดับเสียงท่ีลกู จา้ งได้รับติดต่อกนั ไม่เกนิ แปดสิบเดซเิ บล (เอ)
ข้อ 14 นายจ้างจะใหล้ ูกจา้ งทางานในท่ีทีม่ ีระดบั เสยี งเกนิ กว่า รอ้ ยสี่สบิ เดซเิ บล (เอ) มไิ ด้

สาระสาคญั คอื กาหนดระดับเสียงหนึ่งๆ กบั ระยะเวลาทีอ่ นุญาตให้สมั ผัสได้แตไ่ ม่ได้กาหนดใน
ลกั ษณะการคานวณหาปรมิ าณเสียงแตอ่ ยา่ งใด
2. ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน
พ.ศ.2512 เร่ืองหนา้ ที่ของผรู้ บั ใบอนญุ าตประกอบกิจการโรงงาน

สาระสาคญั คอื กาหนดมาตรฐานเสยี งดังในโรงงานไว้ท่ี 80 เดซิเบล และหากเสียงดังเกินกว่า
ที่กาหนัดหรืออาจเป็นอันตรายต่อแก้วหู ทางโรงงานต้องจัดให้มีอุปกรณ์ลดเสียงที่มีประสิทธิภาพ
สังเกตว่ากฎหมายไม่ได้กาหนดเร่ืองระยะเวลาท่ีสัมผัสเสียงดังและสเกลของหน่วยเดซิเบลไว้

ประเทศสหรัฐอเมรกิ า
OSHA และ ACGIH แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา กาหนดระดับเสียงดังที่อาจได้ยินหรือสัมผัส

ในระยะเวลาหน่ึงๆ อยา่ งละเอียดมาตรฐานระดับความดังของเสียง (OSHA)

ตารางที่ 6.3 มาตรฐานระดบั ความดังของเสียง (OSHA)

ระยะเวลาต่อวนั (ชว่ั โมง) ระดบั เสยี งดงั (เดซิเบล-เอ)

8 90

4 95

2 100

1 105

0.5 110

0.25 หรอื น้อยกว่า 115

โดยท่ี : ระยะเวลาทางานตอ้ งลดลงครง่ึ หน่งึ ในทกุ ๆ 5 เดซิเบล ท่เี พิม่ ข้ึน

บทที่ 6 เสียง 71

สหราชอาณาจกั รอังกฤษ
กระทรวงแรงงาน โดย Health and Safety Executive (HSE)

ตารางที่ 6.4 มาตรฐานระดับความดงั ของเสียง (HSE:UK)

ระยะเวลาต่อวนั (ชั่วโมง) ระดับเสียงดงั (เดซิเบล-เอ)

16 87

8 90

4 93

2 96

0.75 108

โดยที่ : ระยะเวลาทางานตอ้ งลดลงครงึ่ หนึง่ ในทุกๆ 3 เดซเิ บล ท่เี พมิ่ ข้ึน

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

จากการศึกษาข้อมูลข้างต้น เก่ียวกับการสูญเสียการได้ยินท่ีเก่ียวกับเสียงโดยตรงนั้นมีศึกษา
ทั้งในมาเลเซีย เนปาล เก่ียวกับอุตสาหกรรมไม้แปรรูปท่ีมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงการใช้
อุปกรณ์ป้องกันเสียง คนงานยังมีปัญหาการใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงตามหลักการที่ถูกต้อง ทั้งการ
เลอื กใชก้ ารสวมใส่และการดูแลรักษาปัญหาสาคัญที่พบ คือ คนงานยงั ไม่มีการใช้อปุ กรณ์ป้องกันเสียง
อย่างแพร่หลาย การเลือกชนิดอุปกรณ์ป้องกันเสียงไม่ถูกต้อง รวมถึงมีการศึกษาในประเทศไทย
ดงั เช่นการศึกษาตอ่ ไปน้ี

ชวพรพรรณ จันทร์ประสิทธิ์และคณะ.( 2556).ศึกษาโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ขนาดกลางและ
ขนาดยอ่ มในประเทศไทย พบคนงานไมใ่ ช้อปุ กรณ์ป้องกนั เสียงร้อยละ 87.
สุริสา ตันชุมพร และคณะ.(2550). ศึกษาคนงานโรงงานไม้แปรรูปขนาดใหญ่ประเทศไทย ไม่ใช้
อุปกรณ์ป้องกันเสียงร้อยละ 16.9และใช้สาลีอุดหูขณะทางานร้อยละ 7.6 และในส่วนของการสวมใส่
อปุ กรณ์ป้องกันเสียงไม่ถกู วิธรี อ้ ยละ 55.4และสวมใสอ่ ุปกรณป์ อ้ งกนั เสยี ไม่สม่าเสมอร้อยละ 50.0

จันทร์จีรา ยารวง และคณะ.( 2553).ศึกษาพบคนงานโรงงานผลิตมนั ฝร่ังทอดกรอบทาความ
สะอาดที่ครอบหูเป็นบางคร้ังร้อยละ 90.24 ทาความสะอาดที่ครอบหูไม่ถูกวธิ ีรอ้ ยละ58.54 และเก็บ
รักษาที่ครอบหูไม่ถูกต้องร้อยละ 36.59 ทั้งพบคนงานทาความสะอาดปล๊ักอุดหูเป็นบางคร้ังร้อยละ
71.34 ทาความสะอาดปลั๊กอุดหูถูกต้องบางส่วนร้อยละ23.78 นอกจากน้ันยังเก็บรักษาปลั๊กอุดหูไม่
ถูกตอ้ งร้อยละ 56.10

ยุภา ศรีสิงห์. (2558)ผลของการสร้างความตระหนักผ่านการอบรมความปลอดภัยต่อการใช้
อุปกรณ์ป้องกันเสียงของคนงานผลผลิตเครื่องเรือนไม้ ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการทดลอง
สัดส่วนการใช้อุปกรณ์ปอ้ งกันเสยี งท่ีถูกต้องของกลุม่ ทดลองแตกต่างจากกลุม่ ควบคุมอย่างมีนยั สาคัญ
ทางสถติ ิ (p < .0001) โดยท่ีสัดส่วนการใช้อุปกรณ์ป้องกนั เสยี งที่ถูกต้องในกลุ่มทดลอง(ร้อยละ81.82)

บทท่ี 6 เสียง 72
สูงกว่ากลุ่มควบคุม (ร้อยละ3.03)รวมท้ังสัดส่วนการใช้อุปกรณ์ป้องกัน เสียงดังกล่าวของกลุ่มทดลอง
แตกตา่ งจากกอ่ นการทดลอง (ร้อยละ81.82และร้อยละ0.00)อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติp < .0001)

เอกสารอ้างอิง

บทที่ 6 เสียง 73

จันทร์จีรา ยารวง. (2553). ปัจจัยทานายการใช้อปุ กรณ์ป้องกันเสียงในคนงานโรงงานผลิตมันฝรัง่ ทอด
กรอบ. สารสาธารณสขุ มหาวิทยาลยั บูรพา, 5(2), 51-60.

ชวพรพรรณ จนั ทรป์ ระสิทธ์ิ, ธานีแก้วธรรมานุกลู , ปยิ วรรณ สวสั ดิส์ ิงห์, วนั เพ็ญ ทรงคา, วรันธรณจ์ ง
รงุ่ โรจนส์ กุล, และ ช่ืนกมล สขุ ดี. (2556). การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสขุ ภาพและลด
ภาวะเส่ียงจากปัจจยั คุกคามสุขภาพในการทางานในอุตสาหกรรมเฟอร์นเิ จอร์ไม้ การวิจยั เชิง
ปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม.คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยเชยี งใหม.่

ยภุ าศรีสิงห์. (2558). ผลของการสร้างความตระหนกั ผา่ นการอบรมความปลอดภยั ต่อการใชอ้ ุปกรณ์
ป้องกนั เสียงของคนงานผลิตเครื่องเรือนไม.้ คณะพยาบาลศาสตรม์ หาวิทยาลัยเชยี งใหม่.

สรุ สิ า ตันชมุ พร. (2550). ปจั จยั ทานายการใช้อุปกรณป์ ้องกนั เสยี งในคนงานโรงงานไม้แปรรปู ขนาด
ใหญ.่ วารสารวิชาการสาธารณสขุ , 17(1).

Albera, R., Lacilla, M., Piumetto, E., &Canale, A. (2010). Noise-induced hearing loss
evolution: influence of age and exposure to noise. European Archives Of
Otorhinolaryngology, 267(5), 665-671. doi:10.1007/s00405-009-1096-3

Azizi, M. H. (2010). Occupational noise-induced hearing loss. Retrieved from
http://www.theijoem.com/ijoem/index.php/ijoem/article/viewFile/36/98

Kirchner, D. B., Evenson, C. E., Dobie, R. A., Rabinowitz, P., Crawford, J., Kopke, R., &
Hudson, T. W. (2012). Occupational noise-induced hearing loss: ACOEM Task
Force on Occupational Hearing Loss. Journal of Occupational and
Environmental Medicine, 54(1).

Krishnamurti, S. (2009). Sensorineural hearing loss associated with occupational noise
exposure: Effects of age-corrections. International Journal of Environmental
Research and Public Health, 6(3).

Robinson, T., Whittaker, J., Acharya, A., Singh, D., & Smith, M. (2014). Prevalence of
noise-induced hearing loss among woodworkers in Nepal: A pilot study.
International Journal of Occupational and Environmental Health, 21(1).

Seidman, M. D., & Standing, R. T. (2010). Noise and quality of life. International
Journal of Environmental Research and Public Health, 7(10).

Wong, A. C. Y., Froud, K. E., & Yi, Y. S. (2013). Noise Induced hearing loss in the 21st
century: A research and translational update. World Journal
Otorhinolaryngology, 3(3).

บทท่ี 7 ชวี ภาพในอากาศ 74

บทที่ 7

ชวี ภาพในอากาศ

การเก็บตวั อย่างและสง่ วิเคราะห์ตวั อยา่ งชวี ภาพในอากาศ

เชื้อราชวี ภาพในอากาศ มกั จะถูกเรยี กว่า จลุ ชพี หรอื ท่ีเรยี กโดยทั่วไปว่าเชื้อจุลินทรีย์ ซง่ึ เช้ือ
น้ีไม่สามารถอยู่ในอากาศได้นานเพราะในอากาศไม่มีสารอาหาร แต่จะใช้อากาศเป็นพาหะในการพา
เชอื้ จากท่หี น่งึ ไปอกี ที่หนึง่ แหล่งกาเนิดมหี ลายแห่งไดแ้ ก่

1. พื้นผิวดิน จัดเป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุด โดยเช้ือจุลินทรีย์จะติดปะปนอยู่กับฝุ่นละอองที่ปลิว
ฟงุ้ จากผวิ ดนิ ดังน้นั บรเิ วณใดทีม่ ฝี ่นุ ละอองมากกจ็ ะมปี รมิ าณของเช้อื จุลินทรยี ์มากตามไปด้วย

2. มนุษย์และสัตว์ โดยเช้ือจุลินทรีย์จะออกมากับลมหายใจ ไอ จาม น้ามูก น้าลาย สิ่ง
ขับถ่าย ดังนั้นบริเวณที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นก็จะมีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์มากกวา่ บริเวณที่มีคนอาศยั
อยู่น้อย

3. แหล่งน้า โดยแหล่งน้าธรรมชาติจะมีเชื้อจุลินทรีย์มากหรือน้อยข้ึนอยู่กับปริมาณ
สารอาหารในแหล่งน้าน้ันๆ แต่ถ้าเป็นแหล่งน้าทิ้งจากบ้านเรือนจะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่มากเพราะมี
สารอินทรยี ต์ กค้างอย่ใู นน้าทงิ้ มาก

4. การกระท้าของมนุษย์ จากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น โรงทอผ้า โรงงานผลิต
อาหารสัตว์ โรงงานผลิตน้าตาล เป็นตน้

ระยะเวลาทีเ่ ช้อื จลุ ินทรยี ส์ ามารถอยใู่ นอากาศได้นานเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยดงั ต่อไปนี้
1. ชนดิ ของเชื้อจุลนิ ทรีย์ โดยพวกทมี่ สี ปอรจ์ ะสามารถทนตอ่ ความร้อน ความแหง้ แล้งได้ดี
2. สภาพดิน ฟ้า อากาศ ได้แก่ ความช้ืน แสงสว่าง อุณหภูมิ รวมท้ังฤดูกาลจะมีผลต่อ

ปริมาณของเช้ือจุลินทรีย์ เช่น ในฤดูฝน เชื้อจุลินทรีย์จะตกลงสู่พื้นเน่ืองจากถูกน้าฝนชะลงมา ใน
บรเิ วณที่มีแดดจดั ปริมาณเช้ือจุลนิ ทรีย์อาจน้อยเนือ่ งจากถกู แสงแดดทาลาย

3. ขนาดของอนุภาคท่ีเชื้อจุลินทรีย์ติดอยู่ ถ้ามีขนาดเล็กและเบาจะสามารถลอยอยู่ใน
อากาศไดน้ านและไปได้ไกล

1. อันตรายจากเชื้อจุลินทรยี ์
1.1 ปนเป้ือนอาหาร ทาให้เกิดการบูดเน่า หากรับประทานเข้าไปอาจทาให้เกิดอาการ

ท้องร่วง หรืออาหารเป็นพษิ เป็นต้น
1.2 โรคแอนแทรกซ์ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Bacillus Anthracis ซ่ึงสามารถสร้างสปอร์ได้

เช้ือน้ีจะเข้าทางบาดแผลหรือรอยแยกของแผลเกิดเป็นหนองอย่างร้ายแรง หากหายใจเอาสปอร์ของ
เชื้อนเี้ ขา้ ไปจะทาใหเ้ กิดอาการไอ เจ็บหน้าอก มีไข้ และปวดเมื่อย

บทท่ี 7 ชวี ภาพในอากาศ 75

1.3 โ ร ค Bagassosis เ ป็ น โ ร ค ท่ี เ กิ ด จ า ก ฝุ่ น ช า น อ้ อ ย ที่ มี ส ป อ ร์ เ ช้ื อ ร า แ ล ะ เ ช้ื อ
Thermoactinomyces Vulgaris เมื่อหายใจเอาฝุ่นสปอร์เข้าไปจะเริ่มมีอาการของปอดอักเสบ มีไข้
ตา่ ๆ หายใจอึดอัด หอบ และมเี สมหะ

1.4 โรคปอดชาวนา เกิดจากการหายใจเอาฝุ่นละอองของฟางข้าวและพวกหญ้าแห้งเข้าไป
ซ่ึงฝุ่นละอองพวกน้ีอาจมีเชื้อ Micropolyspora Faeni ติดปะปนกัน อาการท่ีพบจะมีไข้เล็กน้อย ไอ
แห้งๆ เหนือ่ ยง่าย ออ่ นเพลีย ปวดศีรษะ เจบ็ หน้าอก นา้ หนกั ลด และเบอื่ อาหาร

2. วธิ ีการเกบ็ ตวั อยา่ งชวี ภาพในอากาศ แบ่งออกเปน็ 2 วธิ ใี หญๆ่ คือ
2.1 วิธีการใช้ของเหลวเปน็ ตัวเกบ็ (Liquid Impingement)
วิธีการนี้เป็นการบังคับให้อากาศไหลผ่านลงสู่ของเหลวเพ่ือให้ฝุ่นละอองที่มีเชื้อจุลินทรีย์ถูก

ของเหลวดักเอาไว้โดยใช้เคร่ืองดูดอากาศ ของเหลวที่ใช้ดัก ได้แก่ น้ากล่ัน, ตัวดัก (Buffer) ที่
ปราศจากเชื้อ, หรืออาหารเหลวบางชนิดที่ปราศจากเชื้อซ่ึงจะบรรจุอยู่ในขวดแก้วเก็บอากาศ
(Impinger)

การเก็บตัวอย่างด้วยวิธีนี้จะต้องคานึงถึงอัตราการไหลของอากาศและระยะเวลาในการเก็บ
ถ้าใช้อัตราการไหลของอากาศท่ีสูงมาก เช้ือจุลินทรีย์อาจจะหลดุ ออกมาพร้อมกับฟองอากาศ สาหรับ
ระยะเวลาในการเก็บน้ันถ้าใช้เวลาในการเก็บน้อยเกินไปอาจตรวจไม่พบเช้ือ แต่ถ้าใช้เวลาในการเก็บ
มากเกินไปอาจมีปริมาณจลุ ินทรยี ์สงู มากจนทาให้เกิดความผิดพลาดในการวิเคราะห์ ซงึ่ อตั ราการไหล
ของอากาศทเี่ หมาะสมคือ 0.8-1.0 ลติ รต่อนาที และระยะเวลาในการเกบ็ ท่เี หมาะสมคอื 10-60 นาที

2.2 วิธกี ารใช้ของแขง็ เป็นตวั เกบ็ (Solid Impingement) สามารถแบ่งออกไดด้ งั น้ี
1. วธิ ี Settling Plate Technique ทาไดโ้ ดยการนาจานเพาะเช้ือทบี่ รรจุ Agar Media

เพ่ือทาการเก็บเชื้อแบคทีเรียทั่วไป โดยเปิดฝา Petri dish ไว้เป็นระยะเวลาตามต้องการ ขณะเปิดฝา
ฝ่นุ อองและเช้ือจุลินทรียจ์ ะปลวิ ตกลงมาบนผวิ หน้าของ Agar เม่อื ครบตามระยะเวลาที่ตอ้ งการแล้วจึง
ปิดฝา Petri dish แล้วนาไปเข้าตู้เพาะเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง จะ
พบ Colony ของเชื้อจุลินทรีย์ วิธีนี้จะบอกได้เพียงคร่าวๆเพราะไม่สามารถบอกปริมาณที่แท้จริงได้
บอกได้เพยี งแคว่ า่ มเี ชื้ออะไรบ้างเท่านนั้

2. วิธี Sieve Type Sample วธิ ีการนดี้ ัดแปลงมาจากวิธี Settling Plate เพ่ือให้ไดผ้ ลดี
ข้ึน โดยมีอุปกรณ์บรรจุ Plate ท่ีมี Agar โดยฝาด้านบนจะเจาะเป็นรูเล็กๆ เพ่ือให้อากาศผ่านเข้าไป
ภายในและถูกดูดออกโดยเครือ่ งดูดอากาศ จะทราบปริมาณอากาศท่ีผา่ นเข้าไปทาใหส้ ามารถคานวณ
ปริมาณเชอ้ื จลุ ินทรยี ์ได้ โดยกาหนดให้มีอัตราการไหล 1-10 ลิตรต่อนาที และใชร้ ะยะเวลาในการเก็บ
10-30 นาที

3. วิธี Slit-type Sample ใช้คล้ายกับวิธี Sieve Typeแต่ฝาครอบบนจานเพาะเช้ือจะ
เจาะเปน็ ชอ่ งแคบๆ ยาวๆ ทีจ่ ดุ ศูนยก์ ลางของฝาครอบบนจานเพาะเชอ้ื ขณะที่เดินเครอ่ื งดูดอากาศฝา
ครอบจะหมุนช้าๆ อากาศภายนอกจะผ่านช่องและตกลงบน Agar โดยอัตราการไหลของอากาศและ
ระยะเวลาในการเกบ็ เหมือนกับวิธี Sieve Type

บทที่ 7 ชีวภาพในอากาศ 76

4. วิธี Membrane Filter Technique ใช้ตลับเกบ็ อากาศพร้อมกระดาษกรองชนิดเก็บ
เชื้อจุลินทรีย์โดยต่ออุปกรณ์เก็บอากาศโดยให้อากาศไหลผ่านกระดาษกรอง ใช้อัตราการไหลของ
อากาศประมาณ 1.2 ลิตรต่อนาที ระยะเวลาในการเก็บ 10-30 นาที เมื่อเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้วให้
นาสง่ หอ้ งปฏิบตั กิ ารเพือ่ ทาการเพาะเชื้อต่อไป

5. วธิ ี Andersen Sample เป็นวธิ ที ป่ี รับปรุงขึ้นเพอ่ื ความถูกต้องและสะดวกในการเก็บ
โดยใช้เคร่ืองมือที่ผลิตข้ึนเป็นพิเศษซึ่งบรรจุ Plate เป็นชั้นๆ มีท้ังขนาด 2 ชั้น และ 6 ช้ัน (ยิ่งมีช้ัน
เยอะย่ิงแยกขนาดฝุ่นได้หลายขนาด) ต่อกับเครื่องดูดอากาศโดยใช้อัตราการไหลของอากาศประมาณ
28.3 ลิตรต่อนาที เม่ืออากาศผ่านเข้ามาทางด้านบน ฝุ่นขนาดใหญ่ที่มีน้าหนักมากจะตกลงสู่ Media
ช้ันบนสดุ ก่อน ฝนุ่ ท่เี บากว่าจะตกลงในช้ันถัดไป

3. วธิ กี ารส่งตัวอยา่ งชีวภาพในอากาศ
หลังจากที่ทาการเก็บตัวอย่างชีวภาพในอากาศเรียบร้อยแล้วจะต้องมีการเก็บรักษาตัวอย่าง

เพอ่ื ปอ้ งกนั การปนเปื้อนกอ่ นทจ่ี ะส่งตัวอยา่ งเพ่ือนาไปวเิ คราะห์ในหอ้ งปฏิบตั ิการ ดงั น้ี
- Impinger หลังจากเก็บตัวอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วตอ้ งใช้สาลีที่สะอาดปราศจากเชื้อปดิ จุก

พร้อมปิด foil และปิดทับด้วยกระดาษกาวแล้วแช่เย็นทันที จากนั้นต้องนาตัวอย่างส่งห้องปฏิบัติการ
ภายในวันน้นั หรอื อย่างชา้ ที่สดุ ไม่เกนิ 24 ชว่ั โมงหลงั จากดาเนินการเก็บตัวอย่าง

- Filter Holder หลงั จากเกบ็ ตัวอยา่ งเสร็จเรียบร้อยแลว้ ต้องแชเ่ ยน็ แล้วนาตัวอย่างส่งห้อง
ปฏบิ ัติการภายในวนั นั้นหรืออย่างชา้ ที่สดุ ไม่เกนิ 8 ช่วั โมงหลงั จากดาเนนิ การเกบ็ ตวั อยา่ ง

ในการนาส่งตัวอย่างชีวภาพในอากาศต้องมีการ Label หมายเลขตัวอย่าง สถานท่ีเก็บ
ตวั อยา่ ง ระยะเวลาในการเก็บ อตั ราการไหลของอากาศ อณุ หภูมิ

ในการขนส่งตัวอย่างชีวภาพในอากาศต้องมีความระมัดระวังเพราะตัวอย่างอาจคว่าหรือ
ตะแคงในระหว่างการขนส่งทาให้ผลการวิเคราะห์ผิดพลาดได้ และต้องระวังไม่ให้น้าแข็งละลายไหล
เขา้ ปะปนกบั ตัวอยา่ งทีเ่ ก็บ

4. คา่ มาตรฐานท่ีใชแ้ ปลผลการวเิ คราะหต์ ัวอยา่ งชีวภาพในอากาศ
ค่ามาตรฐานท่ีใช้ในการแปลผลการวิเคราะห์ตัวอย่างทางชีวภาพในอากาศนั้นยังไม่มีการ

กาหนดออกมาทั้งของประเทศไทยและของตา่ งประเทศ เน่อื งจาก
1. เชือ้ จุลินทรยี ์ทแ่ี ขวนลอยอยู่ในอากาศมกั มอี ยูร่ วมกันหลายชนิด
2. การตอบสนองของมนุษย์ต่อปัจจัยทางด้านชีวภาพนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ภูมิ

ไวรับและภูมิต้านทานของแต่ละบุคคล ลักษณะสภาพแวดล้อมทางอากาศ ความร้อน ความชื้น เป็น
ต้น ทาให้อันตรายท่ีเกิดขึ้นเป็นไปได้ต้ังแต่ไม่เกิดอาการเลยจนกระทั่งรุนแรงถึงตาย ดังนั้นจึงทาให้มี
ขอ้ จากัดในการกาหนดค่ามาตรฐาน

3. ในปัจจุบันข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของเช้ือชีวภาพในอากาศกับ
ผลกระทบต่อสุขภาพนัน้ ยังไม่เพียงพอท่ีจะอธบิ าย

บทที่ 7 ชวี ภาพในอากาศ 77

อปุ กรณ์และเครอื่ งมือเก็บตวั อยา่ งจุลชีพแขวนลอยในอากาศ

1. อุปกรณส์ ้าหรับการดกั เกบ็ ตวั อย่างดว้ ยเพลทเกบ็ ตัวอยา่ ง (Impactor method)
ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถคัดแยกขนาดอนุภาคและนับจานวนจุลชีพท่ีมีชีวิตในเวลา

เดียวกันได้มีหลายชนิด ได้แก่ อุปกรณ์ชนิดหกช้ัน (Six stage impactor) อุปกรณ์ชนิดสองชั้น
(Two stage impactor) อุปกรณ์ชนิดช้ันเดียว (Single stage impactor) (ภาพท่ึ7.1) ข้อดี
ของอปุ กรณช์ นดิ นคี้ อื สามารถดักเก็บจุลชพี บนอาหารเพาะเช้ือได้โดยตรง ไม่ตอ้ งเจอื จางหรือล้าง
อุปกรณ์เก็บเพื่อนาไปเพาะเช้ือต่อ ขณะที่ปัญหาหลักคือสามารถเก็บเฉพาะจุลชีพท่ีมีชีวิตเท่าน้ัน
ไม่สามารถวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศจุลชีพที่ไม่มีชีวิตหรือไม่สามารถเพาะเชื้อข้ึนซึ่งอาจเป็น
อันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกันหากหายใจเข้าไป และจุดอ่อนอีกประการหน่ึง คือ หากมีจุลชีพ
จานวนมากในอากาศอาจมีจลุ ชีพมากกวา่ หน่งึ ตกลงบนอาหารเลยี้ งเชื้อในจุดเดียวกนั ซง่ึ สง่ ผลให้
การวเิ คราะหต์ า่ กวา่ ความเปน็ จริง

Six stage viable impactor Single stage viable impactor

ภาพที่ 7.1 อปุ กรณเ์ ก็บตัวอยา่ งโดยการดักเก็บด้วยเพลทเก็บตวั อยา่ ง

บทที่ 7 ชวี ภาพในอากาศ 78

2. อุปกรณส์ ้าหรบั การดักเก็บตวั อย่างดว้ ยการกรอง (Filtration)
กระดาษกรองชนิดเมมเบรนเป็นกระดาษกรองท่ีใช้แพร่หลายในการ ดักเก็บอนุภาคชีวภาพ

โดยบรรจุกระดาษกรองไว้ในตลับยึดกระดาษกรองเช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างอนุภาคทั่วไป สิ่ง
สาคัญท่ีแตกต่างจากการเก็บอนุภาคท่ัวไป คือ กระดาษกรองน้ันต้องปราศจากเช้ือ หลังจากเก็บ
ตัวอย่างแล้วนากระดาษกรองไปชะล้าง อนุภาคบนกระดาษกรองออกและนาน้าจากการล้างไปเพาะ
เชื้อ ข้อดีของอุปกรณ์ชนิดน้ี คือใช้ได้สาหรับจุลชีพหลายชนิดและง่าย ขณะท่ีปัญหาสาคัญของการ
เก็บตัวอย่างด้วยอุปกรณ์ชนิดนี้ คือ จุลชีพที่มีชีวิตอาจตายในระหว่างการเก็บตัวอย่าง และการล้าง
อนุภาคออกจากกระดาษกรองไม่สามารถนาจลุ ชีพออกมาได้ดีนัก

ภาพที่ 7.2 อุปกรณ์เก็บตัวอยา่ งโดยการกรอง
3. อปุ กรณ์ส้าหรบั การดกั เกบ็ ตวั อย่างดว้ ยของเหลวในอิมพิงเจอร์
อุปกรณ์ชนิดน้ีถูกพัฒนามากว่า 70 ปี แล้ว และคงใช้จนกระท่ังทุกวันนี้ เน่ืองจากราคาถูก

และใช้ง่าย อกี ทัง้ ของเหลวในหนง่ึ ตัวอยา่ งอาจนาไปเพาะเชือ้ ในอาหารเลี้ยงเช้ือตา่ งชนิดเพื่อวิเคราะห์
จุลชีพต่างชนิดได้ด้วย ข้อจากัดของอุปกรณ์น้ี คือ จุลชีพอาจตายในระหว่างการเก็บตัวอย่าง
เน่ืองจากการกระแทกกับก้นของอิมพิงเจอร์ และอาจสูญเสียจุลชีพไปจากการกลับเข้าสู่กระแส
อากาศและเคล่ือนท่ีออกไปกับอากาศอีกครั้งหน่ึง นอกจากนั้นจุลชีพบางชนิดอาจช็อกเนื่องจากการ
เปยี กชนื้ อย่างกะทันหัน หรือจากการดูดซมึ นา้ เข้าไปในขณะทจี่ มอยใู่ นสารละลายในอิมพงิ เจอร์

ภาพที่ 7.3 อุปกรณเ์ กบ็ ตัวอยา่ งโดยการดักดว้ ยของเหลวในอมิ พงิ เจอร์

บทที่ 7 ชีวภาพในอากาศ 79

วิธีการเก็บตัวอย่างจลุ ชีพแขวนลอยในอากาศ

แม้การพัฒนาวิธีการเก็บตัวอย่างจุลชีพแขวนลอยในอากาศจะดาเนินไปอย่างต่อเน่ือง แต่วิธีที่
เปน็ มาตรฐานและวิธที ี่เสนอแนะกลบั มีจานวนค่อนขา้ งจากัด ในที่นี้จงึ นาเสนอวิธีการเกบ็ ตัวอยา่ งเพ่ือ
วิเคราะห์จุลชีพแขวนลอยในอากาศที่เผยแพรท่ ้ังโดยองค์กรท่ีศึกษาวจิ ัยค้นคว้าโดยตรงและโดยผผู้ ลิต
อุปกรณก์ ารเก็บตวั อย่าง ดังนี้

1. วิธีการเก็บตัวอย่างจุลชีพแขวนลอยโดยการดักเก็บด้วยเพลทเก็บตัวอย่าง (Impactor
method) ตามวธิ ีของ NIOSH (NIOSH Method #0800)
วิธีเกบ็ ตัวอย่างอากาศ ซงึ่ นาเสนอโดย National Institute for Occupational Safety and

Health (NIOSH) – NIOSH Method 0800 เป็นวิธีสาหรบั เก็บตัวอย่างอากาศเพ่ือวิเคราะห์หาเชื้อรา
และแบคทเี รยี ในสิ่งแวดล้อมการทางานในอาคาร ท่ถี กู เผยแพร่และมีผู้นามาใช้อย่างกว้างขวางวิธีหน่ึง
วัตถุประสงค์ในการพัฒนาวิธีเก็บตัวอย่างน้ี คือเพื่อการบ่งชี้จุลชีพชนิดที่สามารถเพาะได้และประเมิน
ความเปน็ ไปได้ที่จะมกี ารฟุง้ กระจายและแพร่ขยายของแบคทเี รียหรอื เชื้อราจากแหลง่ ภายในอาคาร
เครอ่ื งมือและอปุ กรณ์

1) อุปกรณ์เก็บตัวอย่าง – Andersen 2 stage cascade impactor หรืออุปกรณ์ที่
เทียบเท่า หรอื Andersen N-6 single-stage sampler หรืออปุ กรณท์ ี่เทยี บเท่า

2) ตวั กลาง ตวั อย่างระบุ เชน่ ในท่นี คี้ ือ 28.3 ลติ ร/นาที
3) สาลีแผ่นหรือกอ้ นท่ีผา่ นการฆ่าเชอื้ แล้ว
4) แอลกอฮอลเ์ ชด็ ทาความสะอาดแผล (ไอโซโพรพานอล 70%)
5) ไอซ์แพค (Ice pack) สาหรับเก็บตัวอย่างให้เย็น (แต่ไม่เย็นจนแข็ง) ในระหว่างการ

ขนส่ง
กลวิธใี นการเก็บ

1) เลือกพ้ืนท่ีเก็บตัวอย่างอากาศอย่างน้อยสามพ้ืนท่ี คือ พื้นที่มีปัญหา (หรือท่ีมี
ลกั ษณะใกลเ้ คยี งท่ีสดุ ) พน้ื ท่ที ไ่ี มม่ ีปญั หา และบรเิ วณนอกอาคาร

2) เก็บตัวอย่างเช้ือราและแบคทีเรียพร้อมๆ กันในแต่ละพื้นที่ ใช้เวลาในการเก็บ
ตัวอย่างไม่เกิน 10 นาที (อุปกรณ์ท่ีผลิตขึ้นมาในปัจจุบันใช้อัตราการไหลอากาศ
คอ่ นขา้ งสูง เช่น 100 ลติ ร/นาที เพ่ือลดระยะเวลาในการเก็บตัวอย่างให้ส้ันทีส่ ดุ เช่น
1 นาที เพ่ือป้องกันการสูญเสียตัวอย่างจากการท่ีผิวหน้าของอาหารเลี้ยงเช้ือแห้ง
และอนุภาคเกิดการกระดอนข้ึน (Bounce) และเคลื่อนท่ีไปกับอากาศ (Re-
entrainment)

3) วางจานเก็บตัวอย่างบนอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง-เปิดฝาและปิดฝาเก็บทันที เพื่อใช้เปน็
Field blank

บทที่ 7 ชวี ภาพในอากาศ 80

การเกบ็ ตวั อย่าง
1) ปรับเทียบความถูกต้องของเคร่ืองดูดอากาศโดยมีอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ในระบบ
ดว้ ย (ภาพท่ี 7.4)

ภาพที่ 7.4 การปรับเทยี บความถกู ตอ้ งของเครื่องดูดอากาศ

2) ก่อนเรม่ิ การเก็บตวั อย่างให้ใช้สาลชี ุบแอลกอฮอลเ์ ชด็ อุปกรณเ์ ก็บตัวอย่างและปล่อย
ให้แหง้ ตอ่ อุปกรณ์เข้ากบั เคร่อื งดูดอากาศ

3) วางจานอาหารเล้ียงเช้ือลงบนอุปกรณ์ เปิดฝาท่ีปิดอยู่ออก ประกอบอุปกรณ์เก็บ
ตัวอย่าง และเปิดเครื่องดูดอากาศ (ระวังการปนเปื้อนในข้ันตอนวางและเก็บจาน
โดยไมส่ มั ผัสกบั อาหารเลย้ี งเชือ้ )

4) จับเวลาในการเก็บตัวอย่าง หากจุลชีพในอากาศหนาแน่นควรลดระยะเวลาในการ
เก็บตัวอยา่ งให้ส้ันลง

5) ส้ินสุดการเกบ็ ตัวอยา่ งให้ปิดฝาอาหารเลย้ี งเช้ือทนั ที ติดฉลากระบุหมายเลขตวั อย่าง
ที่ก้นจานเพาะเชื้อ และวางจานอาหารเลี้ยงเช้ือโดยให้ด้านท่ีมีอาหารอยู่ข้างบน
(ป้องกันหยดน้ากล่ันตัวซ่ึงเกาะบนฝาหยดลงบนอาหารเล้ียงเชอ้ื ) บรรจุถุงพลาสติก
ทีผ่ ่านการฆ่าเช้อื วางลงในกล่องโฟมหรือกระติกบรรจไุ อซแ์ พค นาสง่ ห้องปฏิบัตกิ าร

การขนส่งตัวอย่าง เก็บตัวอย่างให้เย็นในกล่องบรรจุไอซ์แพค และรีบนาส่งห้องปฏิบัติการ
โดยเรว็ เพอ่ื เพาะเชอ้ื และนบั จานวนหรือระบุชนดิ

วธิ กี ารวเิ คราะห์ โดยทวั่ ไปสาหรบั เมโสฟิลิคแบคทเี รยี (Mesophilic bacteria) เทอร์โมฟิลิค
แอคติโนไมสิส (Thermophilic actenomycetes) สามารถระบุได้ถึง species และเช้ือราสามารถ
ระบุได้ถึง genus การแปลผลขึ้นกับประสบการณ์ของผู้วิเคราะห์และอยู่บนพื้นฐานของจานวนจลุ ชีพ
ในพืน้ ทป่ี ัญหากบั พน้ื ที่เปรยี บเทียบ

2. วิธีการเก็บตัวอย่างโดยการกรอง (Filtration) แม้จะไม่มีวิธีมาตรฐานหรือวิธีที่ผ่านการ
ทดสอบเชน่ การดักเก็บตวั อยา่ งด้วยเพลทเกบ็ ตัวอย่าง แต่วธิ ีท่ใี ช้กันท่วั ไปประกอบด้วยวสั ดุ
อปุ กรณ์และขั้นตอนดงั นี้

บทที่ 7 ชวี ภาพในอากาศ 81

เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์
1) กระดาษกรองเมมเบรนชนิด Nucleopore, PVC หรือ Polycarbonate ขนาด 25
มม. หรอื 37 มม. รูบนกระดาษกรอง 0.4 – 0.8 ไมโครเมตร
2) ตลับยดึ กระดาษกรองขนาดเท่ากบั กระดาษกรอง (25 มม. หรือ 37 มม.)
3) ปม๊ั ดดู อากาศทสี่ ามารถดดู อากาศดว้ ยอตั รา 1- 5 ลติ ร/นาที
4) อุปกรณเ์ สรมิ อนื่ เช่นเดยี วกับการเก็บตัวอย่างอากาศทั่วไป เช่น สายยาง คลปิ หนีบ
ยดึ ตวั อยา่ งกบั ขาตง้ั ฯลฯ
5) อุปกรณส์ อบเทียบความถูกต้องของเคร่ืองดดู อากาศ
6) Deionizes water ท่ีผา่ นการฆา่ เช้อื
7) อาหารเพาะเลยี้ งเชอ้ื Tryptic soy agar (TSA), Casein soy peptone agar (CPA)
และ Nutrient agar (NA) สาหรับแบคทีเรยี
8) กลอ่ งบรรจุตลับยึดกระดาษกรอง

กลวิธใี นการเก็บ เช่นเดยี วกับวธิ ีการดกั เก็บตัวอย่างดว้ ยเพลท
การเกบ็ และเตรยี มตัวอยา่ ง

1) ฆ่าเชื้ออุปกรณ์เก็บตัวอย่าง (ตลับยึดกระดาษกรอง กระดาษรองกระดาษกรอง และ
กระดาษกรอง) ดว้ ยแสงยวู ี

2) ปรับเทียบความถูกต้องของเครื่องดูดอากาศโดยมีอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ในระบบ
ด้วยเช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างอนุภาคท่ัวไป เลือกใช้อัตราการไหลให้เหมาะสม
กับสภาพแวดล้อมและวัตถุประสงค์การเก็บตัวอย่าง โดยทั่วไปเลือกใช้อัตราการ
ไหลอากาศระหวา่ ง 1 – 4 ลติ ร/นาที

3) ติดต้ังอุปกรณ์บนขาต้ัง โดยให้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ท่ีระดับประมาณ 1.5 เมตร
หรือในระดับที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ ระยะเวลาในการเก็บตัวอย่างอาจอยู่
ระหว่าง 30 นาที ถึง 6 หรือ 8 ช่ัวโมง ข้ึนกับความเข้มข้นของจุลชพี และอนภุ าคใน
อากาศ

4) เมื่อสนิ้ สดุ การเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศ ปดิ เครอื่ งดดู อากาศและปดิ ตลบั เก็บตวั อย่าง ขน
ย้ายกลับมายังห้องปฏิบัติการโดยบรรจุในกล่องสาหรับบรรจุตลับยึดกระดาษกรอง
ติดฉลากระบุหมายเลขตัวอย่างเพื่อเตรียมตัวอย่าง โดยเปิดตลับยึดกระดาษกรอง
นากระดาษกรองใส่ลงในเทสทิวบ์ ซ่ึงบรรจุ deionized water 4 ลบ.ซม. จากน้ัน
เขย่าวนเป็นวงประมาณหนงึ่ นาที

5) นาสารละลายในเทสทิวบ์ไปเพาะเชื้อในอาหารเลี้ยงเชื้อ ซ่ึงอาจต้องเจือจาง
สารละลายตามความเหมาะสม และสาหรับเมโสฟิลิคแบคทีเรียบ่มท่ี 37 องศา
เซลเซียส เทอร์โมฟิลิคแบคทีเรียบ่มที่ 53 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
และสาหรับราและยีสตบ์ ่มที่ 25 องศาเซลเซียส เปน็ เวลา 48 ชัว่ โมง

บทที่ 7 ชีวภาพในอากาศ 82

ภาพที่ 7.5 กลอ่ งใสต่ ลับยึดกระดาษกรอง

การขนสง่ ตวั อย่าง เกบ็ ตวั อยา่ งในแนวตั้งตรงท่ีอณุ หภูมิห้อง และรบี นาสง่ ห้องปฏบิ ตั กิ ารโดยเร็ว
เพือ่ เพาะเชือ้ และนับจานวนหรอื ระบชุ นิด
การวเิ คราะห์ เช่นเดียวกบั วิธีการดักเก็บตวั อยา่ งดว้ ยเพลท
3. วิธีการเกบ็ ตัวอย่างโดยการดกั ดว้ ยของเหลวในอิมพิงเจอร์ (Impingement)

เครอื่ งมือและอปุ กรณ์
1) อิมพิงเจอร์สาหรับเก็บตัวอย่างจุลชีพ เช่น AGI-30 impinger หรือ Biosampler
ของ SKC
2) เครอื่ งดูดอากาศทส่ี ามารถดดู อากาศด้วยอัตรา 10- 15 ลิตร/นาที
3) อุปกรณเ์ สรมิ อ่นื เชน่ เดยี วกับการเกบ็ ตวั อย่างอากาศทั่วไป เชน่ สายยาง คลปิ หนีบ
ยึดตวั อย่างกบั ขาตง้ั ฯลฯ
4) อุปกรณป์ รับเทยี บความถูกตอ้ งของเคร่ืองดดู อากาศ
5) สารละลายดักเก็บจุลชีพประกอบด้วย Deionizes water ท่ีผ่านการฆ่าเช้ือ ผสม
ด้วย 1% เปปโตน และ 0.01% ทวีน 80 หรือ 0.01 M phosphate buffer saline
ท่ปี ราศจากอนภุ าคและผ่านการออโตเคลฟแล้ว ผสมกบั 0.01% ทวนี 80
6) อาหารเพาะเลี้ยงเช้อื Tryptic soy agar (TSA), Casein soy peptone agar (CPA)
และ Nutrient agar (NA) สาหรบั แบคทเี รีย
7) ไอซ์แพคและกล่องบรรจหุ รอื กระติกนา้ แขง็

กลวธิ ีในการเกบ็ เช่นเดยี วกับวธิ กี ารดักเกบ็ ตัวอยา่ งดว้ ยเพลท
การเก็บตวั อย่าง

1) ฆา่ เชอ้ื อปุ กรณ์เกบ็ ตัวอยา่ ง (อิมพงิ เจอรบ์ รรจุสารละลายดักเกบ็ จุลชพี 20 มิลลิลติ ร)
ด้วยการออโตเคลฟ

2) ปรับเทียบความถูกต้องของเคร่ืองดูดอากาศโดยมีอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ในระบบ
ด้วย เช่นเดียวกับการปรับเทียบเคร่ืองดูดอากาศที่ใช้กับการเก็บตัวอย่างด้วยเพลท

บทท่ี 7 ชีวภาพในอากาศ 83

เลือกใช้อัตราการไหลในช่วงท่ีผู้ผลิตกาหนด ซ่ึงอัตราการไหลอากาศที่ใช้ท่ัวไป
สาหรบั AIG-30 และ Biosampler คือประมาณ 12.5 ลิตร/นาที
3) ติดต้ังอุปกรณ์บนขาตั้ง โดยให้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 เมตร
หรือระดับที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการเก็บตัวอย่าง ระยะเวลาในการเก็บ
ตัวอยา่ งอาจอยู่ระหว่าง 30 นาที ถงึ 1 หรือ 2 ชวั่ โมง ขึน้ กบั ความเขม้ ขน้ ของจุลชีพ
และอนภุ าคในอากาศ
4) เมื่อสิ้นสุดการเก็บตัวอย่างอากาศ ปิดเคร่ืองดูดอากาศและเทสารละลายลงในขวด
แก้วฝาเกลียวท่ีผ่านการฆ่าเช้ือแล้วติดฉลากระบุหมายเลขตัวอย่าง จุด/พื้นที่ที่เก็บ
ตวั อยา่ ง ขนย้ายกลับมายงั ห้องปฏบิ ัตกิ ารเพือ่ บ่มเพาะและวเิ คราะหต์ ่อไป
5) นาสารละลายในขวดแก้วไปเพาะเชื้อในอาหารเลี้ยงเช้ือ ซ่ึงอาจต้องเจือจาง
สารละลายตามความเหมาะสม และสาหรับเมโสฟิลิคแบคทีเรียบ่มท่ี 37 องศา
เซลเซียส เทอร์โมฟิลิคแบคทีเรียบ่มที่ 53 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ช่ัวโมง
และสาหรบั ราและยสี ตบ์ ่มที่ 25 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 48 ช่ัวโมง
การขนสง่ ตวั อยา่ ง เก็บตัวอย่างให้เยน็ โดยใส่ในกระตกิ หรือกล่องโฟมบรรจุไอซ์แพคและรีบนาสง่
ห้องปฏบิ ตั ิการโดยเรว็ เพ่ือเพาะเช้อื และนบั จานวนหรือระบชุ นดิ
การวเิ คราะห์ เช่นเดียวกับวิธกี ารดักเก็บตัวอยา่ งดว้ ยเพลท

เครื่องมือในการเก็บเชื้อราในอากาศ

การประเมินการสัมผัสจุลชีพน้ันแตกต่างไปจากสารเคมีหรือสารอนินทรีย์ เนื่องจากความ
หลากหลายและแตกต่างกันของจุลชีพแขวนลอยเหล่าน้ี กล่าวคือจุลชีพท่ีก่อให้เกิดโรคอาจเป็น
อันตรายอย่างยิ่งแม้สัมผัสในปริมาณเพียงเล็กน้อย ขณะที่จุลชีพบางชนิดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ตอ่ เม่ือสมั ผัสที่ความเข้มข้นสูงๆ เท่าน้ัน จลุ ชีพบางชนิดทนทานตอ่ สภาพแวดล้อมไดด้ ี เช่น สปอร์ของ
ราส่วนใหญ่ บางชนิดตายหรือเปลี่ยนแปลงสภาพไปอย่างง่ายดายในสิ่งแวดล้อมที่แปรปรวน ซ่ึง
รวมถึงสภาวะของกระบวนการเก็บตวั อย่างด้วยอุปกรณ์เก็บตัวอย่างจุลชพี อาศัยหลักการเชน่ เดียวกบั
การเกบ็ ตวั อย่างอนุภาค กลา่ วคือ แยกอนุภาคจลุ ชีพออกจากกระแสอากาศและดักเกบ็ ไวบ้ นหรือใน
ตัวกลางท่ีเป็นของเหลว ของแข็ง กระดาษกรอง หรืออาหารเลี้ยงเช้อื และเทคนิคที่ใช้ท่ัวไปคือ การ
ดกั เกบ็ ดว้ ยเพลทเกบ็ ตัวอยา่ ง (Impaction) การกรอง (Filtration) และการดักดว้ ยของเหลวในอิมพิง
เจอร์ (Impingement) จากนั้นจึงนาตัวอย่างไปวิเคราะห์หาปริมาณและชนิดของจุลชีพต่อไป ซ่ึง
เทคนคิ ที่ใช้เกบ็ ตัวอย่างจลุ ชพี มีดงั นี้

1. การดักเก็บด้วยเพลทเก็บตวั อย่าง (Impactor method) ดว้ ยวิธีการเก็บโดยใช้อุปกรณ์อิม
แพคเตอร์น้ี จุลชีพซ่ึงแขวนลอยในอากาศถูกดูดผ่านช่องเล็กๆ และชนเข้ากับอาหารเพาะเชอื้ ซ่ึงบรรจุ
อยู่ในจานเพาะเชื้อซงึ่ จลุ ชีพน้ันสามารถเจริญเติบโต เพมิ่ จานวนและสร้างโคโลนี หรือบนแผ่นกระจก
หรือเทปกาวและนาไปเพาะเช้ือ หรอื สอ่ งกล้องนับและสังเกตลักษณะสปอร์ ความคลาดเคลื่อนในการ
วิเคราะห์อาจเกดิ ข้ึนได้หากจุลชพี อยู่ชิดกนั บนอาหารเพาะเช้อื และสร้างโคโลนขี น้ึ มาติดกนั นบั ไดเ้ ป็น
หน่ึงโคโลนี ความคลาดเคลื่อนมีมากขึ้นตามความหนาแน่นของโคโลนีบนอาหารเพาะเช้ือ ดังน้ัน

บทที่ 7 ชวี ภาพในอากาศ 84

ผู้ผลิตอุปกรณ์ชนิดนี้จึงต้องจัดหาตารางการปรับค่าให้แก่ผู้ซ้ืออุปกรณ์ด้วย โดยท่ัวไปค่าปรับความ
ถูกต้องนี้เรียกว่า “Positive hole correction factor” ตามวิธีของ NIOSH (NIOSH Method
#0800)

2. การเก็บแบบ Andersen sampler อากาศจะถูกดูดเข้ามาภายใน ผ่านชั้นขนาดต่างๆท่ีวาง
จานเพาะเชือ้ ที่มอี าหารเล้ียงเช้ือชนิดแขง็ ในแต่ละช้ัน โดยอนภุ าคจุลินทรีย์ท่ีแขวนลอยในอากาศจะถูก
แยกขนาดตามขนาดรูพรุนของแต่ละช้นั จึงสามารถนามาใช้ในการศึกษาจุลินทรยี ์ในอากาศตามขนาด
ทต่ี อ้ งการได้

3. การเก็บแบบ Slit sampler เป็นเครื่องมือชนิดแรกท่ีใช้ในการเก็บจุลินทรีย์ในอากาศโดย
อาศยั ปรมิ าตรอากาศใหเ้ คลื่อนทผ่ี ่านจานเพาะเช้ือที่มีอาหารเลีย้ งเช้ือชนิดแข็งอย่างรวดเรว็ หรอื หมุน
ดว้ ยอัตราการดูดอากาศ 30 ลติ ร/นาที (สาหรับ 1 slit) และ 700 ลติ ร/นาที (สาหรบั 4 slit)

เครอ่ื งมือและอปุ กรณ์
1. อุปกรณ์เก็บตัวอย่าง – Andersen 2 stage cascade impactor หรืออุปกรณ์ท่ีเทียบเท่า

หรือ Andersen N-6 single-stage sampler หรืออปุ กรณท์ ่เี ทยี บเทา่ ตวั กลางเกบ็ ตวั อย่าง/
อาหารเล้ยี งเชือ้ – สาหรับเชือ้ รา คือ Malt extract agar (MEA) และ Trypicase soy agar
(TSA) ส า ห รั บ Mesophilic bacteria แ ล ะ Thermophilic actenomycetes (อ า จ ใ ช้
อาหารเล้ียงเช้ือชนิดอ่ืนตามความเหมาะสมได้ เช่น Dichloran glycerol agar (DG18) –
สาหรบั เชอ้ื รา Xerophilic, R2A agar สาหรับแบคทีเรยี Heterophilic และ Rose bengal
agar สาหรับเช้อื ราท่ีเพาะเชอ้ื ขึ้นช้า เชน่ Stachybotrys)
2. เคร่ืองดูดอากาศ ท่ีสามารถดูดอากาศด้วยอัตราการไหลตามที่ผู้ผลิตเคร่ืองเก็บตัวอย่างระบุ
เช่นในท่ีน้คี ือ 28.3 ลิตร/นาที
3. สาลีแผ่นหรอื กอ้ นทผ่ี า่ นการฆ่าเช้อื แลว้
4. แอลกอฮอลเ์ ช็ดทาความสะอาดแผล (ไอโซโพรพานอล 70%)
5. ไอซ์แพค (Ice pack) สาหรับเก็บตวั อยา่ งให้เยน็ (แต่ไม่เยน็ จนแขง็ ) ในระหวา่ งการขนสง่

การกรอง (Filtration)
การเก็บตัวอย่างจุลชีพในอากาศโดยทั่วไปใช้วิธีการกรองจุลชีพแขวนลอยออกจากอากาศ

ด้วยกระดาษกรอง ซ่ึงอาศัยกลไกเดียวกับการกรองอนุภาคท่ัวๆไป น่ันคือ การชนกับเน้ือเยื่อหรือ
เส้นใยกระดาษกรองโดยตรง การเกาะติดกับกระดาษกรองเนื่องจากแรงเฉื่อย จากการแพร่จาก
ประจุไฟฟ้าที่ต่างกัน และด้วยแรงโน้มถ่วง จากนั้นล้างหรือเขย่าจุลชีพท่ีติดบนกระดาษกรองลงใน
สารละลาย แล้วจึงเจือจางสารละลายดังกล่าวตามความเหมาะสม จากน้ันจึงนาไปเพาะบนอาหาร
เลย้ี งเชือ้ และนบั จานวนโคโลนไี ด้ กระดาษกรองที่นิยมใชท้ ว่ั ไป คอื ชนิดเมมเบรน

เครื่องมือและอปุ กรณ์
1. กระดาษกรองแมมเบรนชนิด Nucleopore, PVC หรือ Polycarbonate ขนาด 25
มม. หรือ 37 มม. รบู นกระดาษกรอง 0.4 – 0.8 ไมโครเมตร

บทท่ี 7 ชวี ภาพในอากาศ 85

2. ตลบั ยึดกระดาษกรองขนาดเท่ากับกระดาษกรอง (25 มม. หรอื 37 มม.)
3. ปม๊ั ดูดอากาศทส่ี ามารถดดู อากาศดว้ ยอัตรา 1- 5 ลิตร/นาที
4. อปุ กรณ์เสรมิ อื่น เช่นเดยี วกับการเก็บตวั อย่างอากาศท่ัวไป เชน่ สายยาง คลปิ หนีบ

ยึดตัวอยา่ งกับขาต้ัง ฯลฯ
5. อุปกรณ์สอบเทยี บความถูกต้องของเครื่องดูดอากาศ
6. Deionizes water ทผ่ี า่ นการฆา่ เชื้อ
7. อาหารเพาะเลยี้ งเชื้อ Trypticase soy agar, TSA สาหรับแบคทเี รีย และ Malt

extract agar, MEA สาหรบั ราและยีสต์
8. กล่องบรรจุตลบั ยดึ กระดาษกรอง

การดักด้วยของเหลวในอิมพิงเจอร์ (Liquid impinger method) การเก็บตัวอย่างด้วย
วิธีนี้ทาได้โดยการดูดอากาศในบริเวณท่ีต้องการตรวจประเมินผ่านลงในของเหลวบรรจุในอิม พิงเจอร์
จุลชีพจะถูกดักไว้ในของเหลว มีเดียหรือของเหลวปราศจากเช้ือที่ใช้ในการดักเก็บจุลชีพมีหลายชนดิ
ที่ใช้อย่างกว้างขวางคือ น้า เปปโตนละลายในน้า (1% เปปโตนผสมน้ากลั่น กับ 0.01% Tween 80
และ 0.005% antifoam A) บีเทนละลายในน้า ( 5mM Betaine กับ Tween 80 และ antifoam
A) จากน้ันจึงนาไปเพาะเช้ือบนอาหารที่เหมาะสม โดยท่ัวไปของเหลวหรือมีเดียที่ดักจุลชีพไว้จะถูก
นาไปเจือจางด้วย sterile isotonic solution ก่อนนาไปเพาะบนอาหารเล้ียงเชื้อ เพื่อให้ความ
หนาแน่นของโคโลนเี หมาะสม ( 30 – 300 โคโลน/ี เพลท)

เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์
1) อิมพิงเจอร์สาหรับเก็บตัวอย่างจุลชีพ เช่น AGI-30 impinger หรือ Biosampler
ของ SKC
2) เครือ่ งดดู อากาศท่ีสามารถดูดอากาศด้วยอตั รา 10- 15 ลติ ร/นาที
3) อุปกรณ์เสรมิ อ่ืน เช่นเดียวกับการเกบ็ ตวั อย่างอากาศท่วั ไป เชน่ สายยาง คลปิ หนีบ
ยดึ ตัวอยา่ งกับขาตั้ง ฯลฯ
4) อุปกรณ์ปรบั เทยี บความถูกต้องของเคร่ืองดดู อากาศ
5) สารละลายดักเก็บจุลชีพประกอบด้วย Deionizes water ท่ีผ่านการฆ่าเชื้อ ผสม
ดว้ ย 1% เปป โตน และ 0.01% ทวนี 80 หรอื 0.01 M phosphate buffer saline
ทีป่ ราศจากอนภุ าคและผ่านการออโตเคลฟแล้ว ผสมกับ 0.01% ทวนี 80
6) อาหารเพาะเล้ียงเช้ือ Trypticase soy agar, TSA สาหรับแบคทีเรีย และ Malt
extract agar, MEA สาหรบั ราและยสี ต์
7) ไอซ์แพคและกลอ่ งบรรจหุ รอื กระติกน้าแขง็

กลวิธใี นการเก็บ
1. เลือกพื้นท่ีเก็บตัวอย่างอากาศอย่างน้อยสามพ้ืนที่ คือ พ้ืนท่ีมีปัญหา (หรือที่มี
ลักษณะใกล้เคยี งทสี่ ดุ ) พืน้ ที่ทไี่ ม่มปี ัญหา และบรเิ วณนอกอาคาร

บทที่ 7 ชีวภาพในอากาศ 86

2. เก็บตัวอย่างเชื้อราและแบคทีเรียพร้อม ๆกันในแต่ละพื้นที่ ใช้เวลาในการเก็บ
ตัวอย่างไม่เกิน 10 นาที (อุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมาในปัจจุบันใช้อัตราการไหลอากาศ
คอ่ นข้างสูง เช่น 100 ลิตร/นาที เพอ่ื ลดระยะเวลาในการเกบ็ ตัวอย่างให้ส้นั ท่สี ุด เชน่
1 นาที เพื่อป้องกันการสูญเสียตัวอย่างจากการท่ีผิวหน้าของอาหารเลี้ยงเช้ือแห้ง
และอนุภาคเกิดการกระดอนขึ้น (Bounce) และเคลื่อนที่ไปกับอากาศ (Re-
entrainment)

3. วางจานเกบ็ ตัวอย่างบนอุปกรณเ์ ก็บตวั อย่าง-เปิดฝาและปิดฝาเกบ็ ทนั ที เพ่ือใช้เป็น
Field blank

การขนส่งตัวอย่าง เก็บตัวอย่างให้เย็นในกล่องบรรจะไอซ์แพค และรีบนาส่งห้องปฏิบัติการ
โดยเรว็ เพอ่ื เพาะเชอ้ื และนับจานวนหรอื ระบชุ นดิ

วธิ กี ารวเิ คราะห์ โดยทั่วไปสาหรบั เมโสฟลิ ิคแบคทเี รยี (Mesophilic bacteria) เทอร์โมฟิลิค
แอคติโนไมสิส (Thermophilic actenomycetes) สามารถระบุได้ถึง species และเชื้อราสามารถ
ระบุได้ถึง genus การแปลผลข้ึนกับประสบการณ์ของผู้วิเคราะห์และอยู่บนพื้นฐานของจานวนจุลชพี
ในพื้นท่ปี ัญหากับพื้นทีเ่ ปรยี บเทยี บ

บทท่ี 7 ชวี ภาพในอากาศ 87

งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้อง

การปนเปือ้ นเชือ้ ราและการควบคมุ เชือ้ ราในอาคารภายในสถานบรกิ ารสปา
จากงานวิจัยของ กิจจา จิตรภิรมย์ ซ่ึงเก็บตัวอย่างเช้ือราในสปา ซ่ึงติดเครื่องปรับอากาศ
และมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 25o – 27o C พบเช้ือรา ภายในอาคารน้อยกว่า นอกอาคาร ซ่ึงให้ผล
คล้ายคลึงกับงานวิจัยในคร้ังนี้ว่า ตึกผู้ป่วยท่ี ติดเคร่ืองปรับอากาศ พบเช้ือราน้อยกว่าตึกที่ระบาย
อากาศกับภายนอก และระเบยี ง

Airborne microbiological characteristics in public buildings of Korea
จากงานวิจัยของ Ki Youn Kim ซ่ึงเก็บตัวอย่างเช้ือราและแบคทีเรยี เช่นเดียวกับงานวจิ ัยนี้
แต่แตกต่างกันท่ี ลักษณะสถานที่ ซ่ึงงานวิจัยของ Ki Youn Kim มีการเก็บในสถานท่ีสาธารณะท่ี
หลากหลาย มีจุดเดียวท่ีเหมือนกันคือโรงพยาบาล แต่ไม่ได้เก็บในตึกผู้ป่วยเหมือนงานวิจัยน้ี และ
วิธีการเก็บมีความละเอียดมากกว่าคือใช้ 6-stage plate ในขณะที่งานวิจัยน้ีใช้เพียง 1-stage plate
ซง่ึ ผลการพบเช้อื มคี วามแตกตา่ งกัน กล่าวคอื งานวิจัยของ Ki Youn Kim สว่ นใหญ่พบเชอ้ื แบคทีเรีย
มากกว่าเช้ือรา และพบเชื้อ ภายนอกอาคารมากกว่าในอาคารท้ังเชื้อราและแบคทีเรีย ในขณะที่
งานวิจัยนี้พบเชื้อรามากกว่าแบคทีเรีย และพบเชื้อภายในอาคารมากกว่าภายนอกอาคาร อีกอย่างท่ี
สอดคล้องกนั คอื พบเช้ือ staphylococcus spp. เปน็ ส่วนใหญ่เชน่ เดยี วกัน

จากการศึกษาในคร้ังนี้เม่ือเทียบกับการศึกษาของ กฤษณียา ศังขจันทรานนท์ พบว่าปริมาณ
เชื้อราและเช้ือแบคทีเรียมากกว่า อาจเน่ืองมาจากช่วงเวลาการเก็บตัวอย่างที่ส้ันกว่าและสภาพ
ภูมิอากาศในช่วงที่เก็บตวั อย่าง ท่ีมีฝนตก เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเช้ือจุลชพี ต่างจากการศึกษา
ของ กฤษณียา ศังขจันทรานนท์ ซ่ึงเก็บในช่วงฤดูหนาวมีภูมิอากาศท่ีแห้งและร้อนกว่า

ส่วนชนิดของเช้ือแบคทีเรียให้ผลการศึกษาที่เหมือนกันคือพบ Staphylococcus spp. มาก
ที่สดุ

บทท่ี 7 ชวี ภาพในอากาศ 88

เอกสารอ้างองิ

กิจจา จิตรภิรมย์.การปนเปื้อนเช้ือราและการควบคุมเช้ือราในอาคารภายในสถานบริการสปา.
วารสารวิทยาศาสตรบ์ รู พา;18 (2556) 1: 5-14

พัลลภ ตันแก้ว. การสารวจหาจุลชีพในบรรยากาศห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล ห้องเรียน และห้อง
ประชุมของสถานศึกษา เปรียบเทียบระหว่างการใช้เคร่ืองดักจับเชือ้ กับกับวิธวี างจานอาหาร
เลย้ี งเชอื้ . Bull Chiang Mai Assoc Med Sci; Vol.42, No.1 January 2009

ศิริพร ศรีเทวิณ. การปนเป้ือนเช้ือจุลินทรีย์ในบรรยากาศ ในโรงพยาบาลขนาดที่แตกตา่ งกัน. วารสาร
วจิ ัย มข. (บศ.)12 (1) : ม.ค. – มี.ค. 2555

Adebolu. 2005. Survey of the microbial flora of a hospital environment in South-
Western Nigeria. J. Food Agric. Environ. 3:11-12.

Ki Youn Kim.Airborne microbiological characteristic in public buildings of Korea.Building
and Environment ;42 (2007) : 2188-2196

Krisaneeya Sungkajuntranon. 2005. Airborne bacteria and fungi in the hospital and the
sampling method comparison. Thailand Journal of Health Promotion and
Environmental. 29(4), 113-124. Thai.

บทที่ 8 ความร้อน 89

บทท่ี 8

ความร้อน

การเกบ็ ตัวอย่างและวิเคราะหร์ ะดบั ความร้อน

ความร้อน เป็นพลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนไหวหรือสั่นสะเทือนของโมเลกุลของวัตถุ ความ
ร้อนเกิดจากแหล่งกาเนิดท่ีสาคัญ 3 แหล่ง คือ เกิดจากการได้รับจากส่ิงแวดล้อมรอบตัว เกิดจาก
กิจกรรมหรือการทางาน และเกิดจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารที่ร่างกายกินเข้าไป
(Metabolism)

ระดับความรอ้ น หมายความว่าอุณหภูมเิ วตบัลบ์โกลบในบรเิ วณทล่ี กู จา้ งทางาน ตรวจวัดโดย
ค่าเฉล่ยี ในชว่ งเวลาสองชั่วโมงท่มี อี ุณหภมู ิเวตบัลบโ์ กลบสูงสดุ ของการทางานปกติ (ตามกฎกระทรวงฯ
เก่ียวกับความร้อน แสงสว่าง และเสยี ง พ.ศ. 2559)

อุณหภูมิเวตบัลบ์โกลบ (Wet Bulb Globe Temperature : WBGT) เป็นดัชนีวัดสภาพ
ความร้อนในส่ิงแวดล้อมการทางาน (มีหน่วยวัดเป็นองศาเซลเซียส หรือองศาฟาเรนไฮท์) ซ่ึงได้นา
ปัจจัยท่ีมีผลกระทบต่อความร้อนท่ีสะสมในร่างกายมาพิจารณา ได้แก่ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายใน
ร่างกายขณะทางาน และความร้อนจากสิ่งแวดล้อมการทางาน ซึ่งความร้อนจากส่ิงแวดล้อมการ
ทางานถกู ถ่ายเทมายังรา่ งกายได้ 3 วธิ ี คอื การนา การพา และการแผ่รงั สคี วามร้อน

มนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ สามารถดารงชีพได้เม่ือความร้อนภายในร่างกายคงท่ีในระดับท่ี
เหมาะสมเท่านั้น อุณหภูมิภายในร่างกายมนุษย์อาจเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงแคบๆ โดยไม่มีผลกระทบ
ต่อการทางานของร่างกาย นั่นคือ ประมาณ 37 ± 1 ๐C ดังนน้ั รา่ งกายจึงพยายามควบคมุ อุณหภูมิให้
คงท่ีตลอดเวลาด้วยกลไกต่างๆ เช่น การหล่ังเหง่ือ รู้สึกกระหายน้า และมีเลือดไหลเวียนมาที่ผิวเพื่อ
คายความรอ้ นมากข้นึ เปน็ ต้น โดยท่ัวไปแหลง่ ความร้อนที่มีอิทธิพลต่อความร้อนในร่างกายมนุษยม์ ี 2
แหล่ง คือ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกายจากการเผาผลาญอาหารเพื่อสร้างพลังงาน และความ
รอ้ นจากสิง่ แวดล้อมภายนอกซ่ึงความร้อนจากท้ังสองแหล่งน้ีสามารถถ่ายเทระหว่างกนั ได้จากแหล่งที่
มีระดับความร้อนสูงกว่าไปยังแหลง่ ที่มีความร้อนต่ากวา่ โดยการนา การพา และการแผ่รังสีความร้อน
ทงั้ นีเ้ พือ่ รกั ษาระดับความร้อนภายในร่างกายใหค้ งทีท่ ี่ 37 ± 1 ๐C ซง่ึ ความพยายามในการรกั ษาระดับ
ความร้อนของร่างกายนี้อธบิ ายไดด้ ว้ ยสมการสมดุลความร้อน คอื

H=M±R±C-E±D

เมื่อ H = ความรอ้ นสะสมของรา่ งกาย (Body Heat Storage)
M = ความรอ้ นจากการเผาผลาญอาหารเพอ่ื สรา้ งพลังงาน (Metabolic Heat)
R = ความร้อนทีถ่ ่ายเทดว้ ยการแผร่ งั สี (Radiation)
C = ความร้อนทถ่ี า่ ยเทดว้ ยการพา (Convection)

บทที่ 8 ความร้อน 90

E = ความรอ้ นทสี่ ูญเสียไปจากการระเหยของเหงื่อ (Evaporation)
D = ความร้อนท่ถี ่ายเทด้วยการนา (Conduction)
ร่างกายมีกลไกในการขจดั ความร้อนออกจากร่างกายโดยการขจัดความรอ้ นออกจากรา่ งกาย
97% จะถกู ขจัดออกทางผวิ หนงั โดยวธิ ีการ ดังน้ี

รปู ที่ 8.1 กลไกในการขจัดความรอ้ นออกจากรา่ งกาย
ทมี่ า : http://fliphtml5.com/zsdk/jdou/basic/201-250 ; 2561

1. การแผ่รังสีความร้อน (Radiation) เป็นการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายในรูปของ
คล่ืนรังสอี ินฟราเรด ท่ีแผ่ออกไปทุกทิศทุกทางโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ร่างกายจะระบายหรือสูญเสีย
ความร้อนด้วยวิธีนี้ 60 % ของปริมาณความร้อนท่ีถูกขจัดออกไปท้ังหมด หากกางแขน กางนิ้วมือจะ
เพม่ิ ความสามารถในการแผร่ งั สคี วามร้อนขน้ึ 10 %

2. การพาความร้อน (Convection) ร่างกายจะสูญเสียความร้อนโดยวิธีนี้ประมาณ 12%
โดยอาศัยการเคล่อื นยา้ ยถา่ ยเทของอากาศที่อยลู่ ้อมรอบเปน็ ตวั ช่วยพาความร้อนออกจากรา่ งกาย

3. การนาความร้อน (Conduction) เป็นการถ่ายเทความร้อนจากผิวหนังของร่างกายเม่ือ
สัมผัสกับเบาะนั่ง เก้าอี้ เตียงนอน พื้นห้อง แล้วถ่ายเทความร้อนจากร่างกายสู่วัตถุเหล่านี้ร่างกายจะ
สญู เสียด้วยวธิ นี ้ีประมาณ 3 %

4. การระเหย (Evaporation) เป็นการสูญเสียความร้อนโดยกลไกของร่างกายทาให้น้าที่
ผิวหนังเย่ือบุผิวในปากภายในช่องปาก และทางเดินหายใจส่วนต้น (หลอดลม) ระเหยกลายเป็นไอ
ตลอดเวลาโดยไมร่ ู้ตัวจะสญู เสียความรอ้ นด้วยวิธีนีป้ ระมาณ 22 %

นอกจากร่างกายจะระบายความร้อนส่วนใหญ่ออกทางผิวหนังแล้ว ความร้อนบางส่วนจะถูก
ขจัดออกทางระบบหายใจซึ่งเกิดข้ึนประมาณ 2% และอีก 1% จะถูกขจัดออกมากับปัสสาวะและ
อจุ จาระ

บทที่ 8 ความรอ้ น 91

1. อนั ตรายและผลกระทบต่อสขุ ภาพคนงานท่ีทางานในทร่ี ้อน

เมื่อร่างกายได้รับความร้อนหรือสร้างความร้อนขึ้น ร่างกายจึงต้องถ่ายเทความร้อนออกไป
เพื่อรักษาสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย ซ่ึงปกติอยู่ท่ี 98.6 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 37 องศาเซลเซียส ถ้า
ร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของระบบควบคุมความร้อนได้จะเกิดความผิดปกติและเจ็บป่วย
ลักษณะอาการและความเจบ็ ป่วยทีเ่ กิดขนึ้ พอสรปุ ไดด้ งั นี้

1. การเป็นตะคริวเน่ืองจากความร้อน (Heat Cramp) เกิดจากร่างกายได้รับความร้อน
มากเกนิ ไป จะสญู เสียนา้ และเกลือแร่ไปกับเหงื่อ ทาให้เกิดการเสยี สมดุลของเกลือแร่ ระบบไหลเวียน
เกดิ ความผดิ ปกติ กลา้ มเนอื้ จึงเสยี การควบคุมเกิดการบบี ตัว เป็นตะคริว กลา้ มเนื้อเกรง็ ปริมาณเลือด
ไปเล้ยี งกล้ามเนื้อน้อย การเจบ็ ปวดมักจะเปน็ เรอ้ื รังในบรเิ วณกล้ามเนือ้ ท่ีมกี ารใชง้ านมาก

2. เป็นลมเนื่องจากความร้อนในร่างกายสูง (Heat Stroke) เกิดจากการท่ีร่างกายได้รับ
ความรอ้ นมากจนกระทง่ั ประสาทส่วนท่ีควบคุมระดบั ความร้อนในร่างกายเสียหนา้ ท่ีไป ทาให้อุณหภูมิ
ร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะนาไปสู่อาการคลื่นไส้ ตาพร่า หมดสติ ประสาทหลอน โคม่า และอาจ
เสียชวี ิตได้

3. การอ่อนเพลียเนื่องจากความร้อน (Heat Exhaustion) เกิดจากร่างกายได้รับความ
ร้อนเป็นเวลานานๆทาให้ร่างกายสูญเสียน้าและเกลือแร่ไปมากจนเสียสมดุล ระบบหมุนเวียนโลหิต
ส่วนปลายเสียหน้าที่ไป ทาให้เกดิ อาการออ่ นเพลยี หนา้ มืด เปน็ ลม ปวดศรี ษะ คลื่นไส้ อาเจยี น ชพี จร
เต้นออ่ นลง ตวั ซีด

4. อาการผดผ่ืนขึ้นตามบริเวณผิวหนัง (Heat Rash) เกดิ จากความผดิ ปกติของระบบต่อม
เหงื่อทาใหผ้ น่ื ขนึ้ เมอ่ื มอี าการคันอาจมอี าการคนั อยา่ งรุนแรงเพราะท่อขบั เหงื่ออุดตนั

5. อาการจิตประสาทเน่ืองจากความร้อน (Heat Neurosis) เกิดจากการสมั ผสั ความรอ้ นสงู
จดั เป็นเวลานาน ทาใหเ้ กิดอาการวติ กกงั วล ไมม่ ีสมาธิในการทางาน ประสทิ ธิภาพในการทางานลดลงผลทาให้
นอนไมห่ ลบั และมกั เป็นตน้ เหตใุ หเ้ กิดอบุ ตั เิ หตใุ นการทางาน

6. การขาดน้า (Dehydration) เกิดอาการกระหายนา้ ผิวหนงั แหง้ นา้ หนกั ลด อณุ หภมู สิ งู ทาใหช้ ีพ
จรเตน้ เรว็ รูส้ กึ ไมส่ บาย

7. ปัญหาทางด้านความปลอดภัย เช่น เกิดความเหน่ือยล้า มึนศีรษะ ทาให้ประสิทธิภาพ
และสมาธใิ นการทางานลดลง เกิดเหงอ่ื ทีผ่ วิ หนังอาจทาให้เกิดการลืน่ แว่นตานริ ภัยเกดิ ฝา้ ลดทศั นวิสัย
ในการมองเหน็

2. การตรวจวัดสภาพความร้อน (Heat Measurement)
การตรวจวัดความร้อนในสถานประกอบการน้ันเป็นการตรวจวัดเพื่อป้องกันการเกิดภาวะ

อันตรายจากความร้อน อาจมีผลทาให้พนักงานหรือผู้ทางานเกิดการเป็นลม ช็อก หมดสติ เกิดการ
ขาดน้าอย่างเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายต่อสุขภาพและชีวิตท้ังส้ิน ดังนั้นจึงควรมีการตรวจวัด
ความร้อนในสถานประกอบการ เคร่ืองมือที่ใช้ตรวจวัดความร้อนในสถานประกอบการมีท้ังเคร่ืองมือ
แบบธรรมดาและเคร่อื งมือแบบอตั โนมตั ิซึง่ เคร่ืองมือแบบอตั โนมัติ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ดงั นี้

บทท่ี 8 ความรอ้ น 92

1. การประเมินผลกระทบของความร้อนแบบบุคคล (Personal Heat Stress) คือ การ
ตรวจวัดอุณหภูมิภายในร่างกาย ซ่ึงควรตรวจวัดจากบริเวณแกนกลางของร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่า
พนักงานมีอัตราความเสี่ยงตอ่ อันตรายมากน้อยเพียงใด การออกแบบเครื่องมือจึงมี Sensor ตรวจวัด
อุณหภูมิไว้ภายในช่องหูในขณะที่กาลังทางาน (เป็นบริเวณที่ใกล้กับส่วนแกนกลางของร่างกายมาก
ทสี่ ดุ ) ทาใหม้ ีความแม่นยาสงู และมคี วามสะดวกในการนาไปใชง้ านจรงิ

2. การประเมนิ ผลกระทบของความร้อนแบบพน้ื ท่ี (Area Heat Stress) คือ การตรวจวัด
อุณหภูมิในสถานประกอบการโดยทาการตรวจวัดอุณหภูมิจาก 3 Sensor (WetBulb, DryBulb และ
Globe) แล้วคานวณออกมาเปน็ ค่า WBGTindex เพือ่ รายงานผลตามกฎหมาย

3. เคร่ืองมอื และอปุ กรณ์ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ และวเิ คราะห์ระดับความรอ้ น

3.1 เครื่องมอื ประเภทที่ไมส่ ามารถวิเคราะหค์ า่ ได้ทนั ที ประกอบดว้ ยเทอรโ์ มมเิ ตอร์ 3 ชนดิ
ซงึ่ ตอ้ งมีความแม่นยา ± 0.5 oC อาจใชเ้ ปน็ ชนิดปรอทหรอื แอลกอฮอล์ก็ได้

1. เทอร์โมมิเตอร์ชนิดกระเปาะแห้ง (Dry Bulb Thermometer : DB) เป็น
เทอร์โมมิเตอร์ท่ีมีการกาบังส่วยปลายกระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์จากแสงอาทิตย์และการแผ่รังสี
ความร้อน อาจทาได้โดยใช้อะลูมิเนียมฟรอยด์ในหารห่อหุ้มกาบัง เทอร์โมมิเตอร์ของกระเปาะแห้งใช้
วัดอณุ หภูมิของอากาศโดยรอบ

2. เทอร์โมมิเตอร์ชนิดกระเปาะเปียกตามธรรมชาติ (Natural Wet Bulb
Thermometer : NWB) เป็นเทอร์โมมิเตอร์ที่หุ้มส่วนปลายกระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์ด้วยผ้าฝ้าย
สะอาดหรือผ้ากลอซสงู ข้ึนไปประมาณ 1 นิว้ แลว้ ปลอ่ ยชายของผ้าท่หี ุ้มเทอร์โมมิเตอร์ลงไปในชวดรูป
ชมพู่ (flask) ท่ีบรรจุน้ากล่ัน โดยให้ส่วนปลายกระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์อยู่เหนือผิวน้ากล่ัน
ประมาณ 1 น้ิว และผ้าท่ีหุ้มปลายกระเปาะเทอร์โมมิเตอร์ต้องเปียกตลอดเวลา เทอร์โมมิเตอร์
กระเปาะเปียกแบบธรรมชาติจะให้ค่าท่ีมีผลจากความช้ืน ท่ีมีต่อความช้ืนสัมพัทธ์แต่ละอันและ
ความเร็วลม โดยวัดจากค่าจากปรมิ าณการระบายความร้อนแบบระเหย ณ จุดท่ีเทอร์โมมิเตอร์ถูกหมุ้
ดว้ ยผ้าท่ีเปียกช้ืน

3. เทอร์โมมิเตอร์ชนิดโกลบ (Globe Thermometer : GT) เป็นเทอร์โมมิเตอร์
ที่เสียบส่วยปลายลงไปในลูกโกลบที่ทาจากโลหะทองแดง ทรงกลมภายในกลวง มีขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 6 น้ิว ผิวด้านนอกทาด้วยสีดาด้านทาใหส้ ามารถวัดค่าอุณหภูมิที่สูงข้ึนได้ โดยให้ส่วนปลาย
กระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์อยู่กึ่งกลางของลูกโกลบ เทอรโ์ มมิเตอรช์ นิดน้จี ะแสดงค่าการแผ่รังสีความ
รอ้ น ซ่งึ ขน้ึ กับทิศทางของแสงหรอื วัตถุทีร่ อ้ นในสภาพแวดลอ้ ม

3.2 เคร่ืองมือประเภทท่ีสามารถอ่านคา่ ได้ทันที เครื่องวัดความรอ้ นประเภทน้ีจะคานวณคา่
ออกมาในรูปของดัชนี WBGT ทาการวัดค่าจากพารามิเตอร์ 3 ตัว คือ Dry Bulb, Wet Bulb, และ
Globe โดยเครื่องมือจะมีการถ่วงค่าน้าหนักของการวัดไว้อยู่แล้ว จะแสดงทั้งค่า WBGTindoor และ
WBGToutdoor รวมถึงอุณหภูมิของ sensor แต่ละตัวด้วย แสดงค่าออกมาได้ท้ังองศาเซลเซียสและ
องศาฟาเรนไฮต์ ใช้แบตเตอร่ีเป็นแหล่งงพลังงาน สามารถเก็บข้อมูลต่อเนื่องได้ถึง 140 ช่ัวโมง


Click to View FlipBook Version