The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

(ฝุ่น, ฟูมโลหะ, สารเคมี, รังสี, แสงสว่าง, เสียง, เชื้อรา/แบคทีเรียในอากาศ ฯลฯ รวมทั้งมาตรฐาน ข้อกำหนด กฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teerapatpho, 2021-07-02 05:17:39

เครื่องมือและวิธีการเก็บตัวอย่างอากาศ ในด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและอาชีวอนามัย อนามัยสิ่งแวดล้อม

(ฝุ่น, ฟูมโลหะ, สารเคมี, รังสี, แสงสว่าง, เสียง, เชื้อรา/แบคทีเรียในอากาศ ฯลฯ รวมทั้งมาตรฐาน ข้อกำหนด กฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

Keywords: เครื่องมือและวิธีการเก็บตัวอย่างอากาศ

บทที่ 8 ความรอ้ น 93

สามารถพิมพ์ข้อมูลออกมาได้โดยการต่อ data port เข้ากับเครื่องพิมพ์หรือคอมพิวเตอร์ เช่น
เครอ่ื งวัดความร้อน รนุ่ QUESTemp o34

รปู ท่ี 8.2 เครอื่ งวัดความรอ้ น รนุ่ QUESTemp o34
ทีม่ า : https://www.ponpe.com/wbgt-meter/qt32_34_36-detail.html ; 2561

4. การสอบเทยี บเครือ่ งมอื และอุปกรณส์ าหรบั การเกบ็ และวเิ คราะหร์ ะดับความร้อน
นักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมควรทาการสอบเทียบเคร่ืองมือตรวจวัดระดับความร้อนก่อนทา

การเก็บและวิเคราะห์ระดับความร้อนในพื้นที่ สาหรับเครื่องวัดประเภทที่ไม่สามารถวิเคราะห์ค่าได้
ทันทีอาจทาได้โดยใช้น้าแข็งในการสอบเทียบเทอร์โมมิเตอร์ท่ีใช้ โดยที่เทอร์โมมิเตอร์ควรจะอ่านค่า
อุณหภูมไิ ดท้ ี่ 0 oC ถา้ คา่ ที่อ่านได้เป็นค่าอื่นให้ทาการบวกลบอุณหภมู เิ พิ่มจากคา่ อุณหภมู ทิ ่ีอ่านได้จาก
เทอร์โมมิเตอร์ สาหรับเคร่ืองวัดประเภทท่ีสามารถวิเคราะห์ระดับค่าได้ทันทีให้ทาการสอบเทียบกับ
เคร่ืองสอบเทียบมาตรฐานการใช้งานท่ีผู้ผลิตจัดไว้ให้พร้อมอุปกรณ์ เช่น Calibration Verification
Modulr เป็นต้น โดยเคร่ืองมือในการสอบเทียบระดับมาตรฐานการใช้งานน้ันต้องผ่านการสอบเทียบ
กบั เครอ่ื งมือสอบเทยี บระดบั มาตรฐาน ปฐมภมู ิหรือมาตรฐานทุตยิ ภมู ิอยา่ งนอ้ ยปลี ะ 1 คร้งั

5. วธิ ีการเกบ็ และวเิ คราะห์ระดบั ความรอ้ น
5.1 เครอ่ื งมอื ประเภททไี่ ม่สามารถวิเคราะห์ค่าได้ทันที ทาการประกอบเทอร์โมมเิ ตอร์ทั้ง 3

ชนิด เข้ากับขาตั้ง โดยเทอร์โมมิเตอร์แต่ละชนิดต้องทามุม 120 องศา ซ่ึงกันและกัน ตั้งให้ปลาย
กระเปาะของเทอร์โมมิเตอร์สูงในระดับหัวใจของผู้ปฏิบัติงาน โดยต้ังเครื่องมือวัดท้ิงไว้อย่างน้อย 30
นาที ก่อนเรมิ่ อ่านค่า ในการอา่ นคา่ ให้ทาการอ่านเป็นระยะๆ เชน่ ทุก 10 นาที 15 นาที 20 นาที หรอื
30 นาที เป็นต้น แต่ต้องมีเวลารวมกันอย่างน้อย 2 ช่ัวโมง ในการตรวจวดั ระดับความร้อนต้องทาการ
ตรวจวัดในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี และช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของวัน (ในกรณีท่ีไม่ได้ทาการตรวจวัด
ตลอดระยะเวลาการทางาน)

ในการวเิ คราะห์ระดับความร้อน ต้องทาการเลอื กคา่ อณุ หภมู ิท่ีสูงทีส่ ุด 2 ชัว่ โมง โดยพจิ ารณา
ท่ี Natural Wet Bulb Thermometer เป็นหลัก แลว้ นามาคานวณหาค่าดชั นี WBGT
จากสตู ร

(1) ในกรณีตรวจวัดในอาคารหรอื นอกอาคารที่ไมม่ ีแสงแดด

บทท่ี 8 ความรอ้ น 94

WBGTin = 0.7NWB + 0.3GT
(2) ในกรณตี รวจวัดนอกอาคารที่มแี สงแดด

WBGTout = 0.7NWB + 0.2GT + 0.1DB

จากน้ันนาค่าดัชนี WBGT แต่ะค่าท่ีคานวณได้ มาคานวณหาค่า WBGTเฉล่ีย แล้วนาค่าที่คานวณได้ไป
เปรยี บเทียบกบั มาตรฐานที่กาหนด

WBGTเฉลย่ี = (WBGT1 x t1)+ (WBGT2 x t2)+ … +(WBGTn x tn)
t1+t2+⋯+tn

5.2 เคร่ืองมอื ประเภทท่ีสามารถวเิ คราะห์คา่ ไดท้ ันที เครอ่ื งมือวัดระดับความร้อนประเภทนี้
จะสามารถอ่านคา่ อุณหภูมิแตล่ ะชนิดพร้อมท้ังค่า WBGT ได้ แต่ตอ้ งเปดิ เครื่องทิ้งไว้อย่างน้อย 10-15
นาที กอ่ นเร่มิ ทาการเก็บตัวอย่าง เพ่ือใหเ้ ครื่องมอื เกิดความเสถียรก่อน

การวิเคราะห์ระดับความร้อน เป็นการนาค่าดัชนี WBGT ท่ีได้มาเปรียบเทียบกับค่า

มาตรฐานซ่ึงจะกาหนดไว้สาหรับงานเบา งานปานกลาง และงานหนัก ซึ่งวิธีในการคานวณภาระงาน

ให้พิจารณาจากลักษณะการทางานและระยะเวลาในการทางานท่ีสัมผัสกับความร้อนท่ีร้อนที่สุดใน 2

ชัว่ โมงการทางาน โดยคานวณจากสูตร Mเฉลยี่ = (M1 x t1)+ (M2 x t2)+ … +(Mn x tn)
t1+t2+⋯+tn

เมื่อ M1, M2, … คือ ค่าประมาณความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารเพ่ือ
สร้างพลังงานสาหรับกิจกรรมต่างๆ มีหน่วยเป็นกิโลแคลอรี่ต่อนาทีหรือกิโลแคลอร่ีต่อชั่วโมง (แต่ใน
การเปรียบเทียบต้องแปลงหน่วยเปน็ กิโลแคลอร่ีต่อช่วั โมง)

t1, t2, … คือ ระยะเวลาท่ีสัมผัสกับความร้อนใน 2 ช่ัวโมงการทางานท่ี
รอ้ นท่สี ุด

บทท่ี 8 ความร้อน 95

งานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง

การศึกษาเชิงคุณภาพเพ่ือหาแนวทางในการป้องกันโรคลมร้อนในทหารกองประจาการ
( Qualitative Study for Prevention Strategies of Heat Stroke in Royal Thai Army Recruit)
โดย พ.อ.รศ.มฑิรุทธ มุ่งถิ่น,พ.อ.ผศ.ราม รังสินธ์ุ , น .ส.วรรัชนี อิ่มใจจิตต์ , พ.อ. หญิง ผศ.ปนัดดา
หตั ถโชติ พ.อ.รศ.สธุ ี พานิชกลุ

ขอบเขตของการวิจัย : เป็นการวิจัยเชงิ คุณภาพ โดยการสัมภาษณ์กลุ่ม และ/หรือ การสัมภาษณ์เชงิ
ลึก เพื่อค้นหาแนวทางในการลดอุบัติการณ์ในการเกิดโรคลมร้อน กลุ่มผู้ฝึก ครูฝึก และทหารกอง
ประจาการที่เข้ารับราชการทหาร ใน ผลัดท่ี ๑ (เดือนพฤษภาคม) ของปีท่ีทาการศึกษา ในหน่วยฝึกที่
มีการรายงานการเกิดโรคจากความร้อน จานวน ๑ หน่วยฝึก มีระยะเวลาในการดาเนินการและ
ประเมินผลการวจิ ัยเป็นเวลา ๑ ปี
Method : ศึกษาใน ทหารใหม่ และครูฝึกจานวน ๑๒ นาย ที่อยู่ในหน่วยทหารแห่งหนึ่ง ในอาเภอ
ลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูล และทาการร่วมกลุ่มสนทนา
(Focus Group Discussion) เพื่อใหแ้ สดงความคิดเหน็ ความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์เกีย่ วกับ
โรคทเ่ี กิดจากความร้อนและ/หรือ การทาการสัมภาษณเ์ ชิงลึก (In-depth interview) ปจั จยั ตวั บคุ คล
ปัจจัยของสงิ่ แวดลอ้ ม และลกั ษณะของโรคที่เกิดจากความร้อน
Result :- กาหนดแนวทางการป้องกันการเจ็บป่วยจากความร้อนในการฝึกทหารใหม่และจัดทาคู่มือ
การเฝ้าระวัง และการปฐมพยาบาลการเจ็บปว่ ยเน่อื งจากความรอ้ น

- กากับดูแลให้มีเคร่ืองวัดความช้ืนสัมพัทธ์ เคร่ืองวัดอุณหภูมิร่างกาย และส่ิงอุปกรณ์ปฐม
พยาบาล ข้ันพน้ื ฐานทีท่ ันสมยั

- เตรยี มสง่ิ อปุ กรณ์ปฐมพยาบาลและส่ิงอุปกรณ์ ชว่ ยชวี ติ พืน้ ฐานให้พร้อมใช้ได้แก่ เปลสนาม
ถังน้า ขนาด ๒๐๐ ลิตร เตมิ นา้ สะอาดให้เต็มสาหรับใช้เช็ดตัว ผา้ ขนหนกู ระบอกฉีดน้าชนดิ พน่ ละออง
ฝอย พัดลม รถส่งผู้ป่วยท่ีมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตพื้นฐาน ยา และเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ช่วยชีวิตพ้ืนฐานและ
อุปกรณ์ชุดปฐมพยาบาล ไดร์เป่าผม เตรียมเอกสารและคู่มือต่างๆ ที่เก่ียวข้องไว้ ท่ี บก.หน่วยฝึก

- หน่วยฝึกทหารใหม่จะต้องเตรียมฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ กรณีพบผู้ป่วยจากความร้อน เป็น
ประจาทุกปี

- ก่อนทาการฝึก หน่วยฝึกทหารใหม่ควรทาการฝึกสร้างความเคยชินกับความร้อน ใน ๒
สปั ดาหแ์ รก

- ในระหว่างการฝึกควรเลือกสถานท่ีฝึกท่ีมีลมพัดผ่าน อากาศถ่ายเทได้ดีเป็นพ้ืนหญ้า ดีกว่า
พ้ืน ซีเมนต์/ถนน ฝึกกลางแดดมีลมพัด ดีกว่า ฝึกในร่มมีลมร้อนๆ ดีกว่า ฝึกในร่มแต่อับลม ให้มีการ
วัดอุณหภูมิ สิ่งแวดล้อม และความช้ืนสัมพัทธ์เพ่ือแปลค่าเป็นสัญญาณธง ซึ่งจะเป็นตัวกาหนด
ระยะเวลาในการฝกึ และ ปริมาณน้าที่ตอ้ งด่มื ในแตล่ ะช่วงเวลา

บทท่ี 8 ความรอ้ น 96

งานวจิ ัยเรอ่ื ง Risk Factors for Heatstroke ชอื่ วารสาร : JAMA

ชอ่ื ผทู้ าวิจยั : Edwin M. Kilbourne, MD; Keewhan Choi, PhD; T. Stephen Jones, MD;
Stephen B. Thacker, MD

Study design : case – control study

Method : ทาการศึกษาใน เมือง St Louis และ Kansas City ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือน
กรกฎาคมถึงสิงหาคม ปี ค.ศ. 1980ใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูล จากผู้เคยเป็น heatstroke 156 คน
และกลมุ่ ควบคมุ 462 คน ที่มอี ายุ เพศ และทีอ่ ยู่ ใกลเ้ คียงกนั จากนน้ั ใช้ linear logistic regression
ในการบ่งชป้ี จั จัยที่มีความสมั พนั ธก์ ับheatstroke

Result : การติดสุรา อาศัยอยู่ชั้นสูงๆ และการใช้ยาระงับประสาท เป็นปัจจัยท่ีเพ่ิมโอกาสเป็น
heatstroke ส่วนการติดแอร์ การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสถานท่ีที่ติดแอร์ หรืออาศัยอยู่ในบ้านท่ีมีร่ม
เงาจากต้นไม้ การลดกิจกรรมเมื่ออยู่ในสถานท่ีร้อน การดื่มน้ามากๆ เป็นปัจจัยท่ีลดความเสี่ยงที่จะ
เกดิ heatstroke

งานวจิ ยั เรื่อง The risk of heat exhaustion at a deep underground metalliferous
mine in relation to surface temperatures

ชื่อวารสาร : Occup Med (Lond) (2000) 50 (5):334-336.

ชอ่ื ผู้ทาวิจัย : A. M. Donoghue* and G. P. Bates1

Study design : case series

Method : ศึกษาข้อมูลย้อนหลัง ในช่วง 1 ต.ค.1997 – 30 ก.ย.1998 ศึกษาในคนไข้ heat
exhaustion ที่ทางานในเหมืองโลหะ ลึกมากที่สุด 1800 เมตร ในประเทศออสเตรเลีย โดยคนไข้ที่
นาเข้ามาศึกษาต้องมีประวัติเป็น heat exhaustion หลังจากเริ่มทางาน ในทุกๆ วันในช่วง 1 ปี ท่ี
ทาการศึกษา จะมกี ารวดั อณุ หภูมโิ ดยวิธี 24-h mean wet bulb temperatures (24WBT) และ 24-
h mean dry bulb temperatures (24DBT) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของอุณหภูมิกับการเกิด
heatexhaustion
Result : ระยะเวลาในการเกิดheat exhaustion เฉลี่ย 7.1 ปี หลงั จากเข้าทางาน 12.3% เข้าทางาน
น้อยกว่า1ปี ในวันที่มีคนเป็น heat exhaustion พบว่าในวันท่ีเกิด heat exhaustion ว่าอุณหภูมิใน

บทท่ี 8 ความรอ้ น 97

วันน้ันสูง อย่างมีนัยสาคัญ เทียบกับวันท่ีไม่มีheat exhaustion Relative risk ของการเกิด heat
exhaustion ในวันท่ี WBGT 26-28 c = 4.82(95% confidence interval 2.12-10.96)

Conclusion : การวัดอุณหภูมิพื้นผิว ควรจัดให้มีในเหมือง เพื่อระวังคนงาน ต่อการเกิดheat
exhaustion

งานวจิ ัยเรื่อง Exertional heat stroke: a case series
ชื่อผู้ทาวจิ ยั : EPSTEIN, YORAM; MORAN, DANIEL S.; SHAPIRO, YAIR; SOHAR, EZRA;
SHEMER, JOSHUA
Study design : case series
Method : ทาการศึกษาในปี 1999 ในทหารผู้ชาย 150 คน อายุ 20 +/- 3 ปี ท่ีถูกรายงานว่า
เจบ็ ปว่ ยจากความร้อน และมี 82 คน ท่วี ินจิ ฉัยวา่ เปน็ exertional heat stroke
Result : มากกว่าคร่ึงหน่ึง เกิดการเจ็บป่วยจากความร้อนในช่วง 6 เดือนแรก ส่วนใหญ่จะ
เจ็บป่วยช่วงฤดูร้อน (มิถุนายน – กันยายน) 30% เกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การเกิด exertional
heat stroke ไม่มีความสัมพันธ์กับช่วงเวลาในแต่ละวัน มีหลายเคสที่เกิดในช่วงกลางคืนหรือช่วง
เช้า 40%เกิดระหว่างการทากิจกรรมสั้นๆ 60% เกิดในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการออกกาลังกาย

งานวิจัยเรื่อง The Risk of Heat Exhaustion at a Deep Underground Metalliferous
Mine in Relation to Body-Mass Index and Predicted V̇O2max
ชอื่ วารสาร : Occup. Med. Vol. 50, No. 4, pp. 259-263, 2000
ช่อื ผู้ทาวจิ ยั A. M. Donoghue* and G. P. Bates1
Study design : case-control
Method : ทาการศึกษาในเหมืองโลหะใต้ดิน ในออสเตรเลีย ในระยะเวลา 1 ปี (ต.ค. 1997-
ก.ย. 1998) โดยคัดเลือกจากคนงานท่ีทางานในเหมือง ลึก 1200-1800 เมตร และมีประวัติเป็น
heat exhaustion จานวน 65 คน และกลุ่มควบคมุ จานวน 119 คน คัดเลือกจากคนงานในเหมือง
ที่ไม่มีประวัติเจ็บป่วยจากความร้อนในช่วง 1 ปี ท่ีทาการศึกษา ศึกษาความแตกต่างของ อายุ
ส่วนสงู น้าหนกั BMI และ VO2max ในกลมุ่ เคส และกลมุ่ ควบคมุ
Result : อายุและส่วนสูง ไม่มีความแตกต่างกันในกลุ่มเคส และกลุ่มควบคุม แต่ BMI และ
น้าหนักพบว่าสูงกว่าในกลุ่มเคส และodd ratio สาหรับการเกิด heat exhaustion ก็สูงกว่ากลุ่ม
ควบคุมด้วย odd ratio ของ BMI มากกว่าน้าหนัก สาหรับ VO2max ไม่ต่างกันใน2 กลุ่ม แต่
odd ratio ในการเกิด heat exhaustion สูงขึ้น เมื่อ VO2max ลดลงแต่ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ

บทที่ 8 ความรอ้ น 98

เอกสารอา้ งอิง

การตรวจวัดทางสุขศาสตร์อตุ สาหกรรม .
http://www.3ndsafety.com/files/3814/2105/5803/industrial_hygiene.pdf (เข้าถงึ
วนั ที่ 2ตุลาคม 2559).

สภาวิศวกร. ความปลอดภัยสภาพแวดลอ้ ม ในการทางาน. http://www.coe.or.th/coe-
2/download/training/safty/group5.pdf (เขา้ ถึงวนั ที่ 2ตลุ าคม 2559).

Joseph Ladou. current diagnosis&treatment Occupational&Environmental Medicine ,
5th ed. : ; .

Heat Stress - Recommendations.
http://www.cdc.gov/niosh/topics/heatstress/recommendations.html
(accessed 2 October 2016).HEAT ILLNESS CAN BE DEADLY..

https://www.osha.gov/SLTC/heatillness/index.html (accessed 2 October 2016).
Protecting Workers from Heat Stress.
https://www.osha.gov/Publications/osha3154.pdf (accessed 2 October 2016).

บทที่ 9 สารเคมี 99

บทท่ี 9

สารเคมี

การเกบ็ และการวิเคราะหต์ ัวอยา่ งสารเคมี

แนวคดิ
1. หลักการเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศ ประกอบด้วยประเภทและกลวิธีการเก็บตัวอย่าง
อุปกรณ์และขั้นตอนในการสอบเทียบ และข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังในการเก็บตัวอย่างสารเคมี
ในอากาศ
2. อุปกรณ์เก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศประกอบด้วยส่วนสาคัญ 5 ส่วนคือ ช่องเปิดให้
อากาศเข้า อุปกรณ์เก็บสะสมสารเคมี ส่วนเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์สะสมสารเคมีกับปั้มดูดอากาศ
มิเตอร์อ่านค่าอัตราไหลของอากาศ ลิ้นควบคุมการไหล และป้ัมดูดอากาศ อย่างไรก็ตามในเทคโนโลยี
ปจั จบุ นั ทาให้การเกบ็ ตัวอย่างอากาศบางชนดิ ไม่ต้องใชป้ ั้มดูดอากาศ
3. การเกบ็ ตัวอย่างอากาศเพ่ือประเมนิ การสมั ผัสสารเคมี อาจเสริมใหม้ ีขอ้ มลู มากขึ้นดว้ ยการ
เก็บตัวอย่างสารเคมีท่ีบริเวณพ้ืนผิว รวมทั้งการเก็บตัวอย่างแบบบัคที่ทาโดยการเอาตัวอย่างสารเคมี
จากตัวอยา่ งอากาศ ดิน น้า กากของเสีย
4. ตัวอย่างสารเคมีที่เก็บมาได้ อาจนาไปส่งห้องปฏิบัติการเพ่ือการวิเคราะห์ทางเคมีต่อไป
หรอื ทาการช่งั นา้ หนักเพ่อื คานวณความเข้มข้นของฝ่นุ ขนาดต่างๆ ตอ่ ไป

ประเภทของตัวอยา่ งสารเคมีในอากาศ

ในการเก็บตัวอย่างอากาศเพ่ือวิเคราะห์ปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีท่ีปนเปื้อนสามารถ
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามจุดท่ีติดตั้งอุปกรณ์สะสมสารเคมี (Colletor device) และตาม
ระยะเวลาทีใ่ ชเ้ ก็บตวั อย่าง ดังน้ี

ก. การจัดประเภทตามจดุ ทีต่ ดิ ต้งั อปุ กรณ์ดักจับสารเคมี
1. การเกบ็ ตวั อยา่ งสารเคมีในอากาศทีต่ ัวบุคคล (Personal sample)

การเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศประเภทนี้ จะติดตั้งอุปกรณ์ที่สะสมสารเคมีในอากาศไว้ท่ี
ตัวบุคคล ณ บริเวณท่ีเรียกว่าบริเวณการหายใจ (Breathing zone) ในทางปฏิบัติจะนาอุปกรณ์
ดังกล่าวมาติดที่ปกเส้ือของผู้ปฏิบัติงาน ปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีท่ีวิเคราะห์และคานวณได้
คอื ปริมาณสารเคมีท่ผี ปู้ ฏิบตั ิงานคนนน้ั มโี อกาสหายใจเข้าส่รู ่างกาย

การติดตั้งอุปกรณ์สะสมสารเคมีท่ีตวั บุคคล จึงเรยี กตัวอย่างประเภทนวี้ ่า Personal sample
และในการประเมินการสัมผสั สารเคมขี องผูป้ ฏิบตั ิงาน แนะนาว่าตอ้ งเก็บตวั อยา่ งทีต่ ัวบุคคลน้ี

บทที่ 9 สารเคมี 100

2. การเกบ็ ตัวอยา่ งสารเคมใี นอากาศแบบพืน้ ท่ี (Area sample)
การเก็บตัวอย่างประเภทติดตั้งแบบพื้นท่ี จะแตกต่างจากการเก็บตัวอย่างประเภทแรกตรงที่

แทนที่จะนาอุปกรณ์สะสมสารเคมีมาติดท่ีตัวคน กลับไปติดต้ังท่ีอุปกรณ์อื่นๆ โดยท่ัวไปที่นิยมใช้กัน
มากที่สุดคือขาต้ังกล้อง และวางขาต้ังกล้องนั้นไว้ ณ จุดหรือบริเวณท่ีต้องการทราบว่ามีปริมาณ
สารเคมีฟุ้งกระจายมากนอ้ ยเพยี งใด ดว้ ยเหตุนีจ้ ึงเรยี กเปน็ Asea sample

การเกบ็ ตัวอย่างสารเคมีในอากาศแบบพ้ืนท่ี

1) เม่ือต้องการประเมินการสัมผสั สารเคมีของผู้ปฏิบัติงาน แต่จะด้วยเหตุใดก็ตามไม่สามารถ
เก็บตวั อย่างทต่ี วั บคุ คลได้ เชน่ ผ้ปู ฏบิ ัติงานต้องทางานในท่คี ับแคบ ทา่ ทางการทางานไม่เอ้ือต่อการ
ติดต้ังอุปกรณ์ เม่ือจะเก็บตัวอย่างอากาศแบบนี้ต้องพิจารณาเลือกจุดหรอื พ้ืนท่ีที่จะติดต้ังอุปกรณ์เก็บ
ตวั อยา่ งอากาศท่ีเหมาะสม

2) เมื่อต้องการทราบปรมิ าณความเข้มขน้ สารเคมีในบรรยากาศท่วั ๆ ไปของสถานท่ที างานจึง
เลอื กกระจายจุดเกบ็ ตัวอยา่ งอากาศในสถานทีท่ างาน

3) เมื่อต้องการทราบว่ามีการร่ัวไหลของสารเคมีในระบบการผลิตหรือไม่ โดยติดตั้งอุปกรณ์
สะสมสารเคมีให้ใกล้แหล่งหรือจุดทจ่ี ะเกดิ การรว่ั ไหล เช่น บริเวณรอยตอ่ ของท่อ ในทางปฏิบัตอิ าจติด
สัญญาณเตอื นเปน็ แสง เป็นเสียง เพ่อื ทาใหค้ นทราบวา่ มกี ารรั่วไหลของสารเคมี

4) เมื่อต้องการประเมินสภาพการฟุ้งกระจายของสารเคมีในอากาศว่ามีมากน้อยเพียงใดจะ
เปน็ อันตรายตอ่ ผปู้ ฏบิ ัตงิ านทจ่ี ะเขา้ ไปทางานหรอื ไม่

3. การเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศที่แหล่งกาเนิด (Source sample)
การเก็บตัวอย่างประเภทน้ี จะติดตั้งอุปกรณ์สะสมสารเคมี ณ แหล่งกาเนิดสารเคมีเพื่อจะ

ทราบถึงอัตราการร่ัวไหลหรือแพร่กระจายสารเคมี ชี้บ่งจุดที่เกิดการรั่วไหล หรือเพ่ือประเมิน
ประสิทธิผลของระบบควบคุมว่าทางานได้ตามที่ออกแบบไว้หรือไม่ ผลการวิเคราะห์ปริมาณความ
เข้มข้นของสารเคมีจากตัวอย่างประเภทนี้ จะไม่นามาใช้ในการประเมินการสัมผัสสารเคมีขอ ง
ผู้ปฏบิ ัติงาน

ข. การจดั ประเภทตามระยะเวลาท่ีใช้เก็บตวั อยา่ ง
นอกจากการแบ่งประเภทของตัวอย่างสารเคมีในอากาศโดยยึดเอาจุดที่ติดตั้งอุปกรณ์สะสม
สารเคมีเป็นหลักแล้ว อาจจัดแบ่งประเภทของตัวอย่างดังกล่าวโดยยึดเอาเรื่องระยะเวลาท่ีใช้เก็บ
ตัวอย่าง (Sampling time) มาเป็นหลัก ในกรณีน้ีจะแบ่งตัวอย่างสารเคมีในอากาศออกเป็น 2
ประเภท ดังนี้

บทท่ี 9 สารเคมี 101

1. ตวั อยา่ งแบบบรู ณาการ (Integrated sample) หรอื แบบใชเ้ วลาเกบ็ ตวั อยา่ งนาน
ตัวอยา่ งประเภทนจ้ี ะใช้ระยะเวลาเก็บตัวอย่างอากาศนานพอสมควร อย่างน้อยตอ้ ง 15 นาที
ในการประเมินการสัมผัสสารเคมีทางสุขศาสตร์อุตสาหกรรมจะเก็บตัวอย่างแบบน้ีสาหรับสารเคมีทม่ี ี
ค่ามาตรฐานเป็นค่าเฉล่ียตลอดระยะเวลาการทางาน (Time Weighted Average – TWA) ซึ่งใช้
ระยะเวลาเก็บตัวอย่าง 8 ชั่วโมง และค่าการสัมผัสระยะส้ัน (Short Term Exposure Limit-STEL)
ทใี่ ช้เวลาเกบ็ ตัวอยา่ งนาน 15 นาที

2. ตัวอย่างแบบเก็บทันที (Instantaneous sample) หรือแบบใช้เวลาเกบ็ สัน้ ๆ (Grab
sample)

ตัวอย่างประเภทน้ีจะได้มาจากการเก็บตัวอย่างอากาศท่ีใช้ระยะเวลาสั้นมากๆ โดยทั่วไปคือ
นอ้ ยกวา่ 5 นาที นักสุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรมจะใช้ตวั อยา่ งประเภทน้ใี นการประเมินการสัมผสั สารเคมีที่
มีค่ามาตรฐานเป็นแบบค่าสูงสุด (Peak, max or ceiling) หรือใช้เพ่ือเป็นข้อมูลเบ้ืองต้นสาหรับการ
วางแผนการตรวจวัดอย่างละเอียดต่อไป หรือใช้ประกอบการตัดสินใจท่ีจะเข้าไปทางานในที่ใดที่หนึ่ง
(go/no go decision)บรเิ วณติดตง้ั อปุ กรณด์ กั จับสารเคมี

เน่ืองจากโดยท่ัวไปการเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศน้ัน ทาไปเพื่อวัตถุประสงค์จะประเมิน
การสัมผัสสารเคมีของผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้น กลวิธีท่ีจะได้ปริมาณสารเคมีที่ผู้ปฏิบัติงานหายใจเข้าสู่
ร่างกายนัน้ จะต้องตดิ ต้ังอุปกรณด์ ักจับสารเคมีบรเิ วณทเ่ี รยี กวา่ Breathing zone ซ่ึงคือบริเวณรอบๆ
ศีรษะของผู้ปฏิบัติงาน ด้วยเช่ือว่าบริเวณดังกล่าวจะมีปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีเท่ากับใน
อากาศท่ีหายใจเข้าไป มีหลายองค์กรที่แนะนาให้ทาการเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศแบบติดท่ีตัว
บคุ คล เพราะมคี วามแม่นยาและถกู ต้องมากท่สี ดุ (NIOSH, 1977 และ OSHA, 1982)

สาหรับการเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศด้วยวัตถุประสงค์อื่น จุดติดตั้งอุปกรณ์ดักจับ
สารเคมีจะแตกต่างกันบ้างตามแต่กรณี เช่นถ้าจะประเมินประสิทธิภาพของระบบระบายอากาศ
เฉพาะที่ หรือประเมินผลการแพร่กระจายสารเคมีท่ีแหล่งกาเนิด จุดติดตั้งอุปกรณ์ดักจับสารเคมีต้อง
ไม่ใชบ่ รเิ วณ Breathing zone แล้ว
4. ชว่ งเวลาท่ที าการเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศ (Sampling period)

โดยหลักการแล้ว ช่วงเวลาที่ทาการเก็บตัวอย่างอากาศ จะพิจารณาจากการได้รับ (uptake)
สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย การกระทา (action) ต่อร่างกาย และการกาจัดสารเคมีของร่างกาย (Roach,
1966, 1977; Droz and Yu, 1990 อ้างใน Lynch and Chelton, 1999) ซึ่งอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่
นาทีดังเช่นกรณีการเป็นพิษอย่างรวดเร็วของคลอรีนและไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือใช้เวลาเป็นวันเป็น
เดือนเนอ่ื งจากการเปน็ พิษอยา่ งช้าๆ ต่อร่างกาย (slowly systemic poisons) อย่างไรก็ตามสว่ นใหญ่
แล้ว การเก็บตัวอย่างอากาศแบบเฉล่ียตลอดระยะเวลาการทางาน (Time Weighted Average-
TWA) สาหรบั การทางานกะละ 8 ชัว่ โมง เป็นทยี่ อมรับว่าเป็นระยะเวลาทีน่ านเพียงพอต่อการประเมิน
การสัมผัสสารเคมีของผู้สัมผัสสาหรับการวางแผนเก็บตัวอย่างเป็น TWA 8 ช่ัวโมง สามารถกาหนด
ชว่ งเวลาการเกบ็ ตวั อย่างได้ 4 แบบ

แบบที่ 1 การเก็บตัวอย่างเต็มเวลาเพียงตัวอย่างเดียว (Full period, single sample) น่ัน
คือตลอดระยะเวลา 8 ช่ัวโมง จะใช้วัสดุในการดกั จับสารเคมีเพียงตัวอย่างเดียว จึงแตกต่างกับแบบท่ี

บทท่ี 9 สารเคมี 102

2 ที่ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาเก็บตัวอย่างเท่ากันคือ 8 ชั่วโมง แต่ใช้วัสดุดักจับสารเคมีหลายตัวอย่างจึงเรยี ก
แบบที่ 2 วา่ เปน็ การเกบ็ ตัวอยา่ งเต็มเวลาและหลายตัวอยา่ ง (Full period, consecutive samples)
ทั้ง 2 แบบนี้ในแง่สถิติแล้วหากจะมีความคลาดเคล่ือน (error) เกิดข้ึน จะเป็นความคลาดเคลื่อนจาก
วิธีการเกบ็ และวิเคราะหต์ วั อย่างเทา่ นัน้

การเก็บตัวอย่างอากาศสาหรับประเมินการสัมผัสสารเคมีท่ีมีค่ามาตรฐานเป็น TWA แนะนา
ว่าต้องใช้ระยะเวลาเก็บตัวอย่างนาน 8 ช่ัวโมงหรืออย่างน้อยเก็บนานเป็นร้อยละ 70 ของเวลาการ
ทางาน 8 ช่ัวโมง (NIOSH, 1977) มิฉะนั้นความแม่นยาของผลการประเมินจะคลาดเคล่ือนได้อัน
เนื่องมาจากความผนั แปรของสง่ิ แวดล้อม (Environmental variance)

แบบท่ี 3 เป็นการเก็บตัวอย่างอากาศไม่เต็มเวลาและเก็บหลายตัวอย่าง (Partial period,
consecutive samples) ซึ่งอาจเป็นการเก็บตัวอย่างแบบรวดเดียวท้ังช่วงเช้าถึงบ่าย หรือช่วงเช้า
ช่วงหนงึ่ แล้วมาตอ่ ชว่ งบ่ายอกี ชว่ งหนึ่ง แตร่ วมแล้วไม่ถึง 8 ช่วั โมง

แบบท่ี 4 เป็นการเก็บตัวอย่างใช้เวลาสั้นๆ (Grab samples) ซึ่งก็อาจเป็นประโยชน์สาหรับ
ประเมินสารเคมที มี่ คี ่ามาตรฐานเป็นท้ัง TWA และ STEL
5. จานวนตวั อย่างทเี่ กบ็

โดยทั่วไปแล้วการเก็บตัวอย่างอากาศยิ่งมาก ความถูกต้องแม่นยาของผลการตรวจวัดจะมี
มากข้นึ เชน่ กัน แตจ่ ะมีปญั หาเรอื่ งค่าใชจ้ า่ ย เวลาและความคมุ้ ค่า

สมาคมนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมอเมริกัน (American Industrial Hygiene Association)
ได้ให้ความสาคัญกับการกาหนดขนาดของตัวอย่างท่ีเหมาะสมสาหรับใช้ในการประเมินการสัมผัส
สารเคมีของผู้ปฏิบัติงาน (Hawkins et al., 1991) และเสนอแนะว่าควรมีจานวนโดยการสุ่ม
(random samples) ต่อกลุ่มที่สัมผัสแบบเดียวกัน (Homogeneous exposure group) อยู่ในช่วง
6-10 ตัวอย่าง ถ้าน้อยกว่าน้ีจะทาให้เกิดปญั หาความไม่แน่นอน (uncertainty) มาก และถ้ามีจานวน
มากกว่า 10 ตัวอยา่ ง ก็ไมม่ ีผลต่อความแม่นยามากนกั อาจเรียกวา่ ไมค่ ุ้มกับค่าใช้จ่ายท่ีเสียไป สาหรับ
NIOSH (1977) ได้แนะนาในเร่ืองน้ี จากตารางน้ีจะเห็นได้ว่าหากมีจานวนคนน้อย จานวนตัวอย่างที่
เกบ็ แทบจะเทา่ กบั จานวนคนท่ีมอี ยู่

6. การเลือกใช้อปุ กรณ์เกบ็ ตวั อยา่ งสารเคมีในอากาศ
เนื่องจากสารเคมีท่ีฟุ้งกระจายในอากาศจะอยู่ในรูป (Form) ของอนุภาค หรือก๊าซและไอ

ระเหย ประกอบกบั วตั ถปุ ระสงค์ในการเก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศที่กาหนดไว้ตลอดจนอปุ กรณ์เก็บ
ตัวอย่างที่มีอยู่ จึงมีความสาคัญที่จะต้องเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมถูกต้อง มิฉะนั้นจะไม่ได้รับการ
ยอมรบั ของผู้ใชข้ ้อมูล

คาถามต่อไปนี้ จะช่วยใหส้ ามารถตัดสินใจเลอื กใชอ้ ปุ กรณ์เกบ็ ตวั อย่างสารเคมีในอากาศ
1. สารเคมีคอื สารอะไร อย่ใู นรปู อะไร
2. จะต้องเก็บตลอดเวลาการทางาน (TWA) หรือเกบ็ เพียงชว่ งเวลาสนั้ ๆ (STEL, C)
3. จะเก็บตัวอย่างเพ่ือประเมินการสัมผัสสารเคมี หรือจะประเมินประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผลของระบบควบคมุ มลพษิ

บทท่ี 9 สารเคมี 103

4. มีปัญหาติดตั้งอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอากาศท่ีตัวบุคคลหรือไม่ พื้นท่ีทางานหรือท่าทางการ
ทางาน เป็นอุปสรรคของการตดิ ตง้ั อุปกรณ์หรอื ไม่

5. มงี บประมาณจากดั หรอื ไม่
6. สถานท่ีเก็บตัวอยา่ งเปน็ ท่ีอับอากาศ หรือเส่ียงตอ่ การระเบิดหรอื ไม่
7. ท่ที างานมีอปุ กรณท์ ี่ต้องการใช้งานหรือไม่ ต้องเช่าจากทอ่ี นื่ หรอื ไม่
ในตารางท่ี 8.3 ได้นาตวั อยา่ งวธิ กี ารเก็บตวั อยา่ งอากาศ พร้อมข้อมูลประกอบทจ่ี ะช่วยในการ
ตัดสินใจเลือกอุปกรณ์มาใชง้ าน รายละเอียดของอุปกรณ์เก็บตัวอย่างสารเคมีในอากาศสามารถศึกษา
ได้ในตอนท่ี 8.2

ตวั อย่างการเกบ็ สารเคมใี นอากาศ

การเกบ็ ตัวอยา่ งกรดอะซีติก

ก่อนเก็บ

เคร่อื งมอื เก็บตวั อยา่ ง ตัวอย่าง

1. ป๊มั ดดู อากาศ

2. หลอดปฏกิ ริ ิยา (detector tube)

สาหรบั เกบ็ ไอระเหยของกรดอะซตี ิก

การเก็บตัวอย่าง

1. เก็บ 3 stroke หลังเกบ็
2. สโตรกละ 30 วินาที ตวั อย่าง
คา่ มาตรฐาน

1. TLV-TWA 10 ppm

ขั้นตอนการเก็บ

1. หักปลาย detector tube ทง้ั 2 ดา้ น

2. เสียบ detector tube เขา้ กับปม๊ั ดดู อากาศ

3. เกบ็ ตัวอยา่ งโดยการดงึ ปัม๊ ดดู อากาศ 3 สโตรก

สโตรกละ 10 วนิ าที

4. เมื่อทาการเก็บจนครบแล้วให้ดึง detector tube ออกจากตัวป๊ัมดูดอากาศ พร้อมท้ังใช้เทป

ใสปดิ ปลาย detector tube ท้ัง 2 ดา้ นใหม้ ิดชดิ

5. อา่ นค่าท่วี ัดได้ แปลผลและบันทกึ ผล

บทท่ี 9 สารเคมี 104

6. วเิ คราะหผ์ ลการทดลอง
จากการทดลองพบว่าไอระเหยจากกรดอะซีติก ทาปฏิกิริยากับสารที่อยู่ใน detector tube

เกิดการเปลยี่ นสีจากสมี ่วงไปเปน็ สีเหลือง อ่านค่าได้ 35 ppm ซ่งึ คา่ ท่ีอ่านได้เกินมาตรฐานกาหนด 10
ppm

จากการทดลองซึ่งได้ค่าความเข้มข้นของไอระเหยกรดะซีติกสูง เป็นผลอันเน่ืองมาจากการ
เก็บตัวอย่างจากขวดเก็บกรดอะซีติกโดยตรง ซึ่งอาจจะมีปริมาณไอระเหยเข้มข้นมากกว่าท่ีอ่ืน และ
สโตรกในการดงึ อาจไม่สมา่ เสมอ อาจมีการคลาดเคล่ือนได้

การเกบ็ ตวั อย่างกา๊ ซและไซโคลเฮกเซน

เคร่ืองมือเกบ็ ตวั อยา่ ง
1.ปม้ั ดูดอากาศ
2.ห ล อ ด ป ฏิ กิ ริ ย า ( Detector tube) ส า ห รั บ เ ก็ บ

cyclohexane
การเก็บตัวอย่าง

เก็บ 10 สโตรก โดยเกบ็ สโตรกละ่ 30 นาที (รวม 5 นาท)ี
ค่ามาตรฐานในสถานท่ที างาน
- ACGIH TLV – TWA 300 ppm
- NIOSH REL – TWA 300 ppm
- OSHA PEL – TWA 300 ppm
คา่ มาตรฐานในสิง่ แวดล้อม

EPA inhalation reference concentration (RfC) = 6
mg/m3
แหล่งที่พบในธรรมชาติ น้ามันดิบ แก๊สจากภูเขาไฟ และควัน
บุหรี่
อุตสาหกรรมท่ีใช้ เป็นสารเคมีต้ังต้นในการผลิตไนลอน
(nylon) เป็นส่วนประกอบในแลคเกอร์ เรซิน สีน้ามัน น้ายาทา
ความสะอาดสี และสารฆ่าเชอื้ ราใชใ้ นการผลติ

บทท่ี 9 สารเคมี 105

ค ว า ม เ ป็ น พิ ษ ข อ ง
cyclohexane

มีฤทธ์ิระคายเคืองต่อตา และเยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย ถ้าได้รับสัมผัสปริมาณมากมีฤทธ์ิกด
ระบบประสาทส่วนกลางทาให้ความรู้สึกตัวลดลง กรณีรับสัมผัสซ้าๆ เป็นเวลานานจะมีผลต่อผิวหนัง
บริเวณสัมผัสทาให้เนอ้ื เย่อื ผิวหนงั ช้นั ไขมนั ถกู ทาลาย

- สารน้ีเป็นสารท่ไี วไฟมาก และไอระเหยของสารนห้ี นักกว่าอากาศ ถ้าสามารถแพรก่ ระจาย
อยบู่ รเิ วณพ้นื ทาให้มีความเส่ียงต่อการลุกตดิ ไฟได้
- ไอระเหยของสารสามารถแพรก่ ระจายออกไปถึงแหล่งจุดตดิ ไฟและอาจเกิดการตดิ ไฟและ
อาจเกดิ การตดิ ไฟย้อนกลับมา
ข้ันตอนการเก็บ
1. หกั ปลาย detector tube ทง้ั 2 ดา้ น
2. เสยี บ detector tube เข้ากบั ปั๊มดดู อากาศ
3. เกบ็ ตัวอยา่ งโดยการดงึ ปม๊ั ดูดอากาศ 10 สโตรก สโตรกละ 30 วินาที
4. เม่ือทาการเก็บจนครบแล้วให้ดึง detector tube ออกจากตัวปั๊มดูดอากาศ พร้อมทั้งใช้เทปใสปิด
ปลาย detector tube ทัง้ สองดา้ นให้มดิ ชิด
5. อ่านคา่ ท่ีวัดได้ แปลผล และบนั ทกึ ผล

วเิ คราะหผ์ ลการทดลอง
จากการทดลองพบว่าไอระเหยจากไซโคลเฮกเซนกับสารปฏิกิริยาใน Detector tube เกิด

การเปลี่ยนสีจากสีเหลืองเป็นสีน้าตาลเขียว อ่านค่าจากสเกลบน Detector tube ได้ 1200 ppm ซึ่ง
เกินค่ามาตรฐานท่กี าหนดไว้ คอื 100 ppm

จากการทดลองท่ีได้ค่าความเข้มข้นของไอระเหยไซโคลเฮกเซนสูงน้ันเป็นผลมาจากการ
บริเวณท่ีตรวจวดั สารเคมีเปน็ บริเวณที่ใกลก้ ับสถานทเ่ี ก็บสารไซโคลเฮกเซนมาก และระยะเวลาในการ
ดึงสโตรกคลาดเคลอื่ น

บทท่ี 9 สารเคมี 106

การเกบ็ ตวั อยา่ งสาร Acetic

เครอื่ งมอื เก็บตวั อยา่ ง
1. Crystal Pump ปัม๊ ดูดอากาศ
2. หลอดปฏกิ ิริยา สาหรับเก็บการระเหยของสารอะซตี กิ

การเก็บตวั อยา่ ง
1. เก็บ 3 stroke
2. เก็บ stroke ละ 10วินาที

ค่ามาตรฐาน
TLV-TWA (ppm) : 10 ppm

ขนั้ ตอนการเก็บ

1. หักปลายของหลอดปฏิรยิ า ออกทง้ั สองดา้ น
2. เสียบหลอดปฏิกิริยาดา้ นที่มีลกู ศรเขา้ กับปม๊ั ดดู อากาศ
3. เก็บตัวอย่าง โดยการดึง stroke คา้ งไวส้ ิบวนิ าที ปล่อยกลบั แลว้ ดงึ ออกมาใหม่ค้างไว้อีก

สิบวนิ าที ทาทง้ั หมด 3 stroke stroke ละ 10 วนิ าที หลอดจะทาปฏิรยิ าเปล่ยี นสีสารใน
หลอดจากสมี ว่ งเปน็ สเี หลือง
4. เมื่อทาการเก็บจนครบแล้ว ให้ดึงหลอดปฏิริยาออกจากป๊ัมดูดอากาศใช้เทปใสปิดปลาย
หลอดปฏิกิริยาทงั้ สองดา้ น
5. อา่ นค่าทไ่ี ด้ บันทกึ ผล และวเิ คราะหผ์ ล

บทที่ 9 สารเคมี 107

วเิ คราะหผ์ ล

จากการทดลอง พบว่าหลอดได้เปล่ียนไปเป็นสีเหลืองจนถึงท่ี 40 ppm แสดงว่า สารระเหย
acetic ในอากาศมีมากกว่าทีม่ าตรฐานกาหนด ถอื วา่ ไม่ผา่ นเกณฑ์มาตรฐาน

เอกสารอ้างองิ

บทท่ี 9 สารเคมี 108

นพ.วิวฒั น์ เอกบรู ณะวฒั น.์ มารจู้ กั กับส่ิงคุกคาม. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก:
http://www.summacheeva.org/index_article_hazard.htmสบื ค้นเมือ่ วนั ที่ 15
สิงหาคม 2556

ปวีณา มปี ระดิษฐ์. เอกสารประกอบการเรียนวิชาการเก็บตัวอยา่ งและวิเคราะหต์ วั อย่างทางสขุ
ศาสตร์-อตุ สาหกรรม 1: ภาควชิ าสุขศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมและความปลอดภยั คณะ
สาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา.

ศิรพิ ร วนั ฟนั่ . แผนงานสขุ ศาสตร์อตุ สาหกรรม (Industrial Hygiene Program). [ออนไลน]์ .
เข้าถงึ ได้จาก:

ศศิภา เลศิ จินตนาการ. สุขศาสตร์อตุ สาหกรรม 1. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:
http://www.npcse.co.th/npc_date/npc_previews.asp?id_head=11&id_sub=36&i
d=732 สบื คน้ เมือ่ วนั ที่ 15 สิงหาคม 2556

บทที่ 10 ฟูมโลหะ 109

บทท่ี 10

ฟูมโลหะ

แนวคดิ

1.อนุภาคมลพิษท่ีเกิดข้ึนจากงานเช่ือมหรอื ฟูมเชื่อมมีองค์ประกอบหลายชนิดข้ึนอยู่กับโลหะ
ท่ีทาการเชื่อมลวดที่ทาการเช่ือม ตลอดจนขบวนการหรือวิธีการท่ีใช้ในการเช่ือม อันตรายท่ีเกิดจาก
อนุภาคของงานเชอ่ื มจึงข้ึนอยูก่ ับโลหะ และสารประกอบโลหะที่ใชใ้ นการเช่ือม

2. การตรวจวดั ความเข้มขน้ ของอนุภาคที่เกดิ ขน้ึ จากงานเช่ือมหรือฟูมเชือ่ ม สามารถตรวจวัด
และประเมินผลในภาพของอนภุ าครวม (Total Particulate) หากโลหะ หรือสารประกอบของโลหะที่
ใชใ้ นการเช่ือมไมจ่ ดั อย่ใู นกลมุ่ โลหะ หรือสารประกอบโลหะที่มคี วามเป็นพิษสงู

3. กรณีที่โลหะหรือสารประกอบของโลหะมีความเป็นพิษสูง จาเป็นท่ีจะต้องมีการวิเคราะห์
หาน้าหนักของโลหะหรือสารประกอบโลหะเพ่ือเปรียบเทียบกับมาตรฐานความเข้มข้นของโล หะหรือ
สารประกอบโลหะนนั้ ๆ เช่น สารประกอบโครเมียม เปน็ ตน้

ความร้ทู ่วั ไปเกีย่ วกบั อนภุ าคมลพิษทางอากาศชนดิ ฟมู

อนุภาคมลพิษทางอากาศชนิดฟูมนั้นไม่สามารถจาแนกประเภทได้ง่ายนัก ทั้งนี้เพราะขึ้นอยู่
กบั องคป์ ระกอบและคุณสมบัติของโลหะที่เชือ่ ม ลวดเชื่อมทใี่ ช้ในการเช่อื ม ตลอดจนกระบวนการและ
วิธีการท่ีใช้ในการเช่ือม ดังนั้นการประเมินอันตรายที่เกิดขึ้นจากอนุภาคมลพิษทางอากาศที่เกิดจาก
การเช่อื มหรือฟมู เช่อื ม จงึ ตอ้ งพจิ ารณาถึงกระบวนการและวธิ ีการที่ใช้ในการเชื่อม ตลอดจนปฏกิ ิริยา
ของโลหะและอัลลอยด์ท่ีใช้ในการเช่ือมเช่น การเชื่อมอลูมิเนียมกับไททาเนียม ที่ต้องดาเนินภายใน
ก๊าซเฉ่ีอย เช่น อาร์กอน จึงจะก่อให้เกิดอนุภาคหรือเกิดฟูมจากงานเชื่อมเพียงเล็กน้อย แต่กลับ
ก่อให้เกดิ ก๊าซโอโซนอนั เนอ่ื งมาจากการแผร่ งั สีจานวนมากจากการเชื่อม

การเช่อื มโลหะจาพวกเหล็กโดยใชก้ ระแสไฟฟ้า (Arc welding) กจ็ ะก่อให้เกิดอนุภาคจานวน
เล็กน้อย และสามารถก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ได้ โดยอนุภาคจากงานเชื่อมที่ได้จากการ
arc welding มักจะประกอบไปดว้ ยสารจาพวกแมงกานีส ซลิ กิ ้า ฯลฯ

สารโครเมียมและนิกเกิล เป็นสารท่ีพบได้ในอนุภาคท่ีเกิดจากการเช่ือม Stainless steels
สารเคลือบโลหะหรอื สารเคลอื บลวดเชอ่ื มมักมสี ว่ นประกอบด้วยสาร Fluorides ดงั น้ันอนภุ าคที่เกิด
จากการเชอื่ มโลหะเหล่านจี้ ึงมกั จะกอ่ ให้เกิดสารประกอบของ Fluoride มากกว่า Oxides

ด้วยสาเหตุเหล่าน้ีการประเมินอันตรายท่ีเกิดขึ้นจากอนุภาคในงานเช่ือมชนิดฟูมเช่ือม จึง
มักจะมีการวิเคราะห์หาองคป์ ระกอบของมลพิษเพ่ือพิจารณาถึงระดบั ความเข้มข้นของสารเหล่าน้ีว่ามี
ค่าเกนิ มาตรฐาน TLV ท่กี าหนดหรือไม่ ตัวอย่างเชน่ การเชือ่ ม Stainless steel อนภุ าคท่ีเกิดข้ึนจะ

บทท่ี 10 ฟูมโลหะ 110

ประกอบไปด้วยสารประกอบของ Chromium ที่เรียกว่า Hexavalent chromium สารประกอบ
Hexavalent chromium บางชนิดเป็นสารก่อมะเร็ง และค่า TLVs ของ chromium และ
สารประกอบ chromium ก็แตกตา่ งกัน

โดยสรุปแล้วการประเมินอันตรายของอนุภาคจากงานเชื่อมโดยประเมินจากค่าความเข้มข้น
รวมของอนุภาคจากงานเชื่อม อาจทาได้และเพียงพอในกรณีที่การเช่ือมนั้นไม่มีสารประกอบท่ีเป็น
พิษในลวดเชื่อม หรือสารเคลือบผิวโลหะ ตลอดจนกระบวนการเช่ือมท่ีไม่ก่อให้เกิดสารประกอบที่
เป็นพษิ ในขณะท่ีทาการเชอื่ ม

โรคแพ้พิษฟมู โลหะ (Metal Fume Fever)

โรคแพ้พิษฟูมโลหะเป็นอาการที่เกิดข้ีนอย่างทันทีทันใด (Acute) ภายหลังจากการสัมผัส
อนุภาคฟูมจากการเช่ือมท่ีมีความเข้มข้นสงู ในชว่ งระยะเวลาสั้นๆ อาการดังกล่าวจะเกิดข้ึนภายใน 4-
12 ช่ัวโมงหลงั จากการสมั ผัส โดยมีการอาการคลา้ ยเป็นไข้ หนาวส่ัน อาการดังกล่าวจะหายไปภายใน
1 วัน และโดยท่ัวไปคนงานจะสามารถกลับเข้าทางานใหม่ได้ตามปกติ ท้ังน้ีร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน
เพื่อป้องกันอาการดังกล่าว แต่ภูมิคุ้มกันดังกลา่ วไม่ถาวร หากคนงานหยุดการสัมผัสเป็นชว่ งเวลานาน
เช่น ชว่ งวันหยดุ สัปดาห์ อาการดงั กลา่ วจะกลบั มาปรากฏอีกเม่อื มีการสัมผัสใหม่

ฟูมจากงานเช่ือมเป็นสาเหตุท่ีสาคัญของโรคแพ้พิษฟูมโลหะ โดยเฉพาะอย่างย่ิงอนุภาคของ
สารประกอบสังกะสีซ่ึงเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญของฟูมจากการเช่ือม อย่างไรก็ตามมีรายงาน
การศึกษาที่แสดงใหเ้ ห็นอาการดังกลา่ วไดเ้ ชน่ กัน เมือ่ มีการสมั ผสั อนุภาคของสารประกอบแมกนีเซียม
ออกไซด์ คอปเปอร์ออกไซด์ ฯลฯ

การตรวจวดั ความเข้มข้นของอนุภาคมลพิษชนิดฟมู

การตรวจวัดปรมิ าณความเข้มข้นของอนุภาคจากการเชือ่ มหรือฟูมจากการเชอื่ ม โดยทั่วไป
สามารถใช้วิธีการเช่นเดียวกับการตรวจวัดปริมาณความเข้มข้นของอนุภาคท่ีใช้วิธีการวิเคราะห์โดย
การช่ังน้าหนัก (Gravimetric analysis method) และใช้เทคนิคการเก็บตัวอย่างท่ีตัวบุคคล
(Personal sampling) โดยอากาศทีม่ ีฟูมจากการเช่ือมจะถูกดูดโดยป๊ัมเก็บตัวอย่างอากาศ ผา่ นตลับ
ตัวกรองท่ีติดท่ีบริเวณปกคอเส้ือ หรือหัวไหล่ของคนงานที่ใกล้กับหน้ากากเชื่อม โดยดาเนินการ
จัดเก็บตัวอย่างอากาศตลอดชว่ งเวลาทางาน หรือบางช่วงของระยะเวลาทางาน จากนั้นจะนาตลับตวั
กรองไปทาการวิเคราะห์โดยการช่ังน้าหนัก และวิเคราะห์หาสารประกอบเพ่ือเปรียบเทียบกับค่า
มาตรฐานต่อไป

1. เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์ทีใ่ ชใ้ นการเก็บตวั อย่างอากาศฟูมจากงานเช่อื ม
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างอากาศจากงานเชื่อม เพื่อประเมินอันตรายจาก
ฟูมจากงานเชื่อมนั้น จะใช้เครื่องมือเช่นเดียวกันกับการเก็บตัวอย่างอนุภาคอ่ืนๆ โดยมีรายละเอียด
ดังนี้

บทที่ 10 ฟูมโลหะ 111
1. ปัม๊ เกบ็ ตัวอย่างอากาศชนิดติดตวั บุคคล (Personal Sampling Pump) โดยต้ัง
อัตราการดูดอากาศประมาณ 1.5 L/min แต่ต้องไม่เกิน 2 L/min ทั้งน้ีป๊ัมเก็บตัวอย่าง
อากาศนี้จะต้องได้รบั การปรับเทียบมาตรฐานหรือสอบเปรยี บมาตรฐาน (Calibration) จาก
อปุ กรณ์ชดุ ปรับเปรียบมาตรฐาน

ภาพท่ี 10.1 ตวั อยา่ งปมั๊ เก็บตัวอยา่ งอากาศชนิดตดิ ตัวบุคคล
2. อุปกรณ์ชุดปรับเทียบมาตรฐาน (Calibator) ซึ่งอาจเป็นชุด Manual buret

bubBe meter หรอื Electronic bubBe meter

ภาพท่ี 10.2 ชุดปรับเทียบมาตรฐาน แบบ Manual Buret BubBe Meter

ภาพที่ 10.3 แสดงชดุ ปรบั เทียบมาตรฐานแบบ Electronic BubBe meter

บทท่ี 10 ฟมู โลหะ 112

3. ตลับใส่ตัวกรอง (Cassette Filter Holder) พรอ้ มทงั้ ตัวกรองชนิด Mixed cellulose
ester (MCE) ที่มี pole size เท่ากับ 0.8 ไมครอน ท้ังน้ีตลับใส่ตัวกรองเป็นชนิดขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 37 mm. แต่สามารถใช้ชนิดเสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 25 mm. แทนได้หากไม่สามารถใส่ไว้
ด้านในของหน้ากากเช่ือมของคนงานได้และต้องระมดั ระวังไม่ให้เกิดการอุดตนั ของอนภุ าคบนตัวกรอง
ในระหว่างการเก็บตัวอย่างอากาศ ตัวกรองท่ีใช้ในการเก็บตัวอย่างอากาศจะต้องชั่งน้าหนักก่อนการ
เกบ็ ตวั อย่าง (Pre-Weight)

ภาพที่ 10.4 ตลับใส่ตัวกรองขนาด 37 mm และตัวกรองชนิด MCE 0.8 ไมครอน

ภาพท่ี 10.5 ตลบั ใส่ตัวกรองชนดิ 25 mm และตวั กรองชนดิ MCE
2. การสอบเทียบเคร่อื งมือ (Calibration)
การสอบเทียบเครื่องมือ คอื การปรับเครอ่ื งมือให้สามารถอ่านค่าไดต้ รงตามมาตรฐาน ซ่ึงเปน็

ข้นั ตอนท่สี าคัญในการตรวจวดั ทางสุขศาสตร์อุตสาหกรรม ทาให้เกดิ ความมน่ั ใจไดว้ ่าเคร่ืองมือที่ใช้น้ัน
อ่านคา่ ได้อย่างถกู ต้อง การสอบเทยี บเครอื่ งมอื สามารถดาเนนิ การได้ดังน้ี

บทที่ 10 ฟูมโลหะ 113

การสอบเทียบเคร่อื งมอื โดยวิธี Electronic BubBe Meter Method
อุปกรณ์ Electronic BubBe Meter เป็นอุปกรณ์ท่ีสามารถวัดอัตราการไหลของอากาศได้

อย่างแม่นยา โดยสามารถบันทึกผลการตรวจวัดและคานวณค่าเฉล่ียอัตราการดูดอากาศของปั๊มเก็บ
ตัวอย่างอากาศได้ การสอบเทยี บเครือ่ งมอื ดว้ ยอุปกรณด์ งั กลา่ วมีข้นั ตอนดงั น้ี

1. เดินเครอื่ งป๊ัมเก็บตัวอย่างอากาศอย่างน้อย 5 นาทกี ารทาการปรับเทียบ เพอื่ ตรวจสอบ
ระดบั แรงดนั ไฟฟา้ ของปั๊มเกบ็ ตัวอยา่ งอากาศ

2. ประกอบอุปกรณ์ชุดเก็บตัวอย่างอากาศ ตลับยึดตัวกรอง สายยางนาอากาศ เข้ากับชุด
Electronic BubBe Meter ระมดั ระวงั จดุ เช่ือมต่อต่างๆ ไม่ใหม้ รี รู ่วั

3. ใช้นา้ สบสู่ มั ผสั กบั ปากกระบอกแก้วท่ีเป็น Flow cell หลายๆ ครง้ั
4. เดินเครื่องปั๊มเก็บตัวอยา่ งอากาศ ปรับค่า Rotameter เพ่ือให้ได้ช่วงของอัตราการดูดที่

ตอ้ งการ
5. กดปุ่มที่เคร่ือง Electronics BubBe Meter ฟองสบู่จะลอยข้ึนและเคร่ืองจะจับเวลา

และคานวณค่าอตั ราการดดู อากาศให้
6. ทาซ้าหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะได้ค่าท่ีแตกต่างกันไม่เกิน 2 % หากจาเป็นให้ปรับค่า

Rotameter ในขณะท่ปี ๊มั กาลงั เดนิ
ขอ้ ควรระวังในการใช้ Electronic BubBe Method

1. ห้ามใช้สารเคมีใดๆ กับกระบอก Flow cell และตัวเคร่ือง ให้ใช้เฉพาะน้าสบู่
เทา่ น้นั

2. ห้ามใช้กบั เคร่ืองป๊ัมที่มแี รงดดู อากาศมากกวา่ 25 นิ้วน้า
3. ไม่ควรประจุแบตเตอร่นี านเกิน 16 ช่ัวโมง
4. ไมค่ วรเสยี บปล๊ักไฟคา้ งไว้เม่ือไม่ได้ใช้งาน เพราะอาจทาใหแ้ บตเตอรี่ของเครื่อง

เสื่อม
5. ไม่ควรท้ิงกระบอก Flow cell ท่ีเปื้อนน้าสบู่ไว้เป็นเวลานานๆ ควรทาความ

สะอาดเมือ่ ไมไ่ ด้ใช้งาน

ภาพท่ี 10.6 แสดงการประกอบชดุ เกบ็ ตวั อยา่ งอากาศกับอุปกรณ์ในการสอบเทยี บเคร่ืองมือ

บทท่ี 10 ฟูมโลหะ 114

2. การสอบเทยี บเคร่ืองมือโดยใชว้ ิธี Manual Buret BubBe Method
อุปกรณ์ Manual Buret BubBe Method เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ในการสอบเทียบเครื่องมืออัตรา

การดูดอากาศของเคร่ืองเก็บตัวอย่างอากาศส่วนบุคคลควรทาการสอบเทียบเครื่องมือก่อนและหลัง
การใช้งานเคร่อื งเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศในแตล่ ะวัน

1. เดินเครื่องปั๊มเก็บตัวอย่างอากาศก่อนอย่างน้อย 5 นาที เพื่อตรวจสอบ
แรงดันไฟฟา้

2. ประกอบชุดตลบั ยึดตวั กรองพร้อมตัวกรอง เข้ากบั ชดุ เครือ่ งเก็บตวั อยา่ งอากาศ
ตามภาพ ระมัดระวงั จดุ เชือ่ มตอ่ ไมใ่ หเ้ กดิ การรั่วไหลของอากาศ

3. ทาให้ภายในหลอดแก้ว Buret เปียกให้ท่ัวด้วยน้าสบู่ เพื่อมิให้มีความต้านทาน
ภายหลอดแก้ว

4. เดินเคร่ืองป๊ัมเก็บตัวอย่างอากาศ ปรับตั้งค่า Rota meter โดยประมาณค่า
Flow rate ตามทตี่ ้องการ

5. จุ่มปากกระบอกแก้ว Buret ด้วยน้าสบู่ท่ีบรรจุอยู่ใน Beaker เพื่อให้กระบอก
แก้ว Buret ดูดฟองสบู่

6. จมุ่ ปากกระบอกแก้ว Buret ในน้าสบู่ 2-3 ครงั้ เพอื่ ให้ได้ฟองสบูท่ ี่สมบรู ณ์
7. สังเกตการเคล่ือนท่ีของฟองสบู่ และจับเวลาเมื่อฟองสบู่ผ่านขีดท่ีระดับ 0 ml

และ 1000 ml หากฟองสบู่แตกก่อนท่ีจะเคล่ือนท่ีถึงจุดสุดท้าย ใหเ้ ริม่ ทาใหม่
และให้ดาเนนิ การซา้ อยา่ งนอ้ ย 3 คร้งั เพื่อคานวณหาคา่ เฉล่ียเวลา
8. ทาการปรับระดับ Rota meter และทาการสอบเทียบเคร่ืองมือใหม่ โดยปรับ
Rota meter ใหส้ ูงกวา่ -ตา่ กวา่ จดุ เดิม 1 ระดับ
9. คานวณหาอตั ราการไหลของอากาศท่ีคา่ Rota meter แตล่ ะระดับโดยใช้สตู ร

อตั ราการไหลของอากาศ = ปริมาตรอากาศ 1 ลติ ร

ระยะเวลาเฉล่ยี ท่ฟี องสบู่เคลื่อนทจี่ ากขีด 0-ขดี 1000 ml

10. นาคา่ อตั ราการไหลของอากาศทร่ี ะดบั ค่า Rota meter แต่ละระดับมาทากราฟ
ปรับความถูกต้องของโรตามิเตอร์ (Calibration Curve) โดยให้แกน x เป็นค่า
Rota meter และ แกน y เปน็ คา่ อตั ราการไหลของอากาศ

3. ขั้นตอนท่วั ไปในการเกบ็ ตัวอย่างอากาศเพอื่ ประเมินอนั ตรายจากอนภุ าคจากการเชือ่ ม

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นวิทยุ มักจะมีผลต่ออุปกรณ์ในการเก็บตัวอย่างอากาศ ดังน้ันจึงต้อง
ระมัดระวังอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นวิทยุ เช่น วิทยุสื่อสาร อุปกรณ์บังคับที่ใช้
คล่นื วิทยุ เปน็ ตน้ กรณที ่ีจาเปน็ ต้องเก็บตวั อยา่ งอากาศในสภาพท่ีมีคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า คลน่ื วิทยุ ตอ้ ง
เลือกอุปกรณ์ในการเก็บตัวอย่างอากาศที่สามารถป้องกันคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า คล่ืนวิทยุได้เพ่ือมิให้เกิด
การทางานท่ีผดิ ปกติ

บทท่ี 10 ฟมู โลหะ 115

1. ขัน้ ตอนเตรียมการ
สารวจพ้ืนที่ บริเวณที่จะทาการเก็บตัวอย่างอากาศ เตรียมอุปกรณ์และสอบเทียบ
อปุ กรณ์ (Calibration) เตรียมตลบั ตัวกรอง และอุปกรณอ์ ่ืน ๆ
2. ขัน้ ตอนคดั เลอื กคนงาน
สุ่มคัดเลือกคนงาน ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการเก็บตัวอย่าง ตกลงร่วมกันคนงานถงึ
เรื่องสถานท่ี และเวลาในการตดิ ตงั้ /ถอดอุปกรณเ์ ก็บตัวอย่างอากาศ เนน้ ยา้ ถึงความสาคญั ในการห้าม
ถอดอุปกรณ์เก็บตัวอย่างก่อนเวลา แต่หากมีความจาเป็นต้องแจ้งให้หัวหน้างานหรือเจ้าหน้าท่ีความ
ปลอดภัยทราบกอ่ น
3. ขั้นตอนเริม่ เก็บตัวอยา่ ง
1) ติดต้ังอุปกรณ์เก็บตัวอย่างอากาศท่ีตัวคนงานโดยพิจารณาว่าไม่กีดขวาง หรือ
ก่อให้เกิดปญั หาในการทางาน
2) เดินเครอ่ื งปม๊ั เกบ็ ตัวอยา่ งอากาศ อยา่ งนอ้ ย 5 นาที แลว้ ปิดปัม๊
3) ตดิ ตง้ั ตลับตวั กรองท่ปี กคอเส้อื ของคนงาน หรือบริเวณที่ใกล้จมกู ปากของคนงาน
กรณีที่คนงานสวมใส่หน้ากากเชื่อมป้องกันใบหน้า (Helmet) ต้องใส่ตลับตัวกรองเข้าไปภายใน
หน้ากากเช่ือม ช่องอากาศเข้า (inlet) ของตลับตัวกรองจะต้องคว่าลงในแนวด่ิงเพ่ือป้องกันการ
ปนเป้ือน
4) เดนิ เครื่องปัม๊ เก็บตวั อย่างอากาศเพื่อเรม่ิ ต้นเก็บตวั อยา่ งอากาศ จดเวลาเริม่ ต้น
5) สังเกตการทางานของป๊ัมเก็บตัวอย่างอากาศภายหลังการเดินเครื่องไประยะหน่งึ
เพื่อใหแ้ น่ใจวา่ เครื่องทางานได้อย่างปกติ
6) จดขอ้ มลู เบอ้ื งต้นของการเกบ็ ตวั อย่างตามแบบฟอรม์ การเก็บตวั อยา่ งอากาศ
4. ขัน้ ตอนเฝา้ สังเกต
1) สังเกตการทางานของป๊ัมเก็บตัวอย่างอากาศทุก 2 ช่ัวโมง อาจเพ่ิมความถ่ีได้ถ้ามี
ความเป็นไปได้ว่าตลบั ตวั กรองอาจจะตัน เนือ่ งจากมีปริมาณของอนภุ าคเป็นจานวนมาก สงั เกตการ
ทางานของอุปกรณว์ ่ายังอยู่ในสภาพปกติ สายยางไม่ได้ถูกบีบหรือรัดพิจารณาลักษณะการยดึ ติดของ
อนุภาคบนตัวกรองว่ามีลักษณะสมดุลหรือไม่ หากมีอนุภาคขนาดใหญ่เข้าไปในตลับตัวกรอง ให้จด
บนั ทึกข้อมูลไว้
3) เฝ้าสังเกตการทางานของคนงานเป็นระยะๆ ตลอดวันทางาน เพ่ือให้แน่ใจว่า
ลักษณะการทางานของคนงานเป็นไปตามปกติประจาวนั หรือมีกิจกรรมนอกเหนือจากกิจกรรมปกติที่
มผี ลต่อการสัมผัสกับอนภุ าค ถอดอุปกรณเ์ ก็บตวั อยา่ งอากาศออกจากคนงานทันทีที่คนงานมีการหยุด
พัก หรือออกนอกบริเวณที่ทางานท่ีไม่ต้องสัมผัสกับอนุภาคท่ีเป็นมลพิษ เช่นการหยุดพักกลางวัน
หรือการเข้าไปในบริเวณท่ีไม่มีการปนเป้ือนของมลพิษทางอากาศ และติดตั้งอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง
อากาศตอ่ เนือ่ งภายหลงั จากคนงานเขา้ ทางานในสถานที่ทีม่ ีการปนเปื้อน
4) ถ่ายภาพ (หากทาได้) หรือจดรายละเอียดต่างๆ ท่ีพบเห็นในสถานท่ีทางานท่ีมี
การปนเปื้อนของมลพิษทางอากาศ ลกั ษณะและข้ันตอนการทางานของคนงาน ตลอดจนขอ้ มูลอื่นๆ ท่ี
จาเป็นเพือ่ ใช้ในการควบคุมทางด้านวิศวกรรม

บทท่ี 10 ฟูมโลหะ 116

5) การเตรยี มตวั อย่าง Banks การเกบ็ ตัวอยา่ งทกุ ๆ 20 ตวั อย่างอากาศท่ีทาการเก็บ
ควรมีตัวอย่าง Banks อย่างน้อย 1 ตัวอย่าง โดยตัวอย่าง Banks จะเป็นตลับกรองกระดาษ
เช่นเดียวกันที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างอากาศ และมีการดาเนินการเช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่าง
อากาศ เพยี งแตไ่ ม่มกี ารเดนิ เครอ่ื งปมั๊ ดูดอากาศเท่านั้น

5. ขัน้ ตอนเก็บเครื่องมือ
1) ก่อนถอดอุปกรณ์เก็บตัวอยา่ งอากาศออกจากคนงาน ถ้าป๊ัมเก็บตัวอย่างอากาศมี
Rota meter ให้ทาการตรวจสอบอัตราการดูดอากาศของปั๊มเก็บตัวอย่างอากาศ แน่ใจว่าลูกบอลใน
Rota meter ยังคงเต้นอยู่ ณ ตาแหน่งที่ทาการปรับเปรียบ (calibrate) หากลูกบอลไม่ได้อยู่ใน
ตาแหน่งทีป่ รบั เปรียบ ให้อา่ นคา่ และจดบันทึกไว้
2) ปิดปั๊มเกบ็ ตวั อยา่ งอากาศ และจดเวลาปดิ เครือ่ ง
3) ถอดตลับตวั กรองออกจากป๊ัม ใช้จกุ พลาสติกตดิ ทีช่ ่องอากาศเข้า-ออก ใชเ้ ทปพัน
ตลบั ยดึ ตวั กรองโดยใหป้ ิดจกุ พลาสติกทป่ี ดิ ช่องดูดอากาศเข้า-ออก (Inlet-Outlet) ดังภาพที่ 10.7
4) เตรียมจัดส่งตลบั ตวั กรองเพ่ือการวเิ คราะหผ์ ลต่อไป
5) ทาการปรับเปรียบปั๊มดูดอากาศใหม่ภายหลังจากการเก็บตัวอย่างอากาศ (ก่อน
การประจไุ ฟฟ้าใหม)่

2. การประเมินผลความเขม้ ข้นของอนภุ าคมลพษิ ชนดิ ฟูม
2.1 การประเมินผลแบบอนุภาครวม (Total Particulate)
การประเมินผลแบบอนุภาครวม (Total Particulate) จะประเมินผลในกรณีที่มั่นใจว่าอนุภาคที่
เกิดข้ึนจากงานเชื่อมไม่มีองค์ประกอบของโลหะออกไซด์ หรือโลหะที่มีความเป็นพิษสูง การ
ประเมินผลแบบ Total Particulate จะนาแผ่นตัวกรองที่ทาการเกบ็ ตวั อย่างอากาศแลว้ มาช่ังน้าหนัก
(Post – weight) และคานวณหาค่าความเขม้ ข้นของอนุภาคจากสตู ร

C = (W2-W1) – (B2 – B1) x 103
V

เมือ่ C = ความเข้มข้นของอนุภาครวม (Total Particulate) หน่วยเป็น มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์
เมตร (mg/m3)

W1 = น้าหนักของตัวกรองที่ช่ังก่อนเก็บตัวอย่างอากาศ (Pre-Weight) หน่วยเป็นมิลลิกรัม
(mg)

W2 = น้าหนักของตัวกรองที่ชั่งหลังเก็บตัวอย่างอากาศ (Post-Weight) หน่วยเป็นมิลลิกรัม
(mg)

B1 = น้าหนกั ของตวั กรองท่ีเป็น Bank กอ่ นเก็บตวั อย่างอากาศ หน่วยเป็น มิลลกิ รัม (mg)
B2 = นา้ หนักของตัวกรองท่ีเป็น Bank หลังเกบ็ ตัวอยา่ งอากาศ หนว่ ยเป็น มิลลกิ รัม (mg)
V = ปรมิ าณอากาศทีเ่ ก็บตัวอย่าง หนว่ ยเป็น ลติ ร (L)

บทท่ี 10 ฟูมโลหะ 117
การเปรยี บเทียบกับมาตรฐานเพอื่ ประเมนิ ระดับอันตราย
1. ม า ต ร ฐ า น OSHA (Occupational Safety & Heath Administration) ก า ห น ด ค่ า

Permissible Exposure Limit (PEL) สาหรับ Total Particulate ใหไ้ มเ่ กิน 5 mg/m3
2. ม า ต ร ฐ า น ACGIH (American Conference Governmental Industrial Hygiene)

กาหนดคา่ TLV-TWA สาหรบั Total Particulates ใหไ้ มเ่ กิน 3 mg/m3

ภาพที่ 10.7 แสดงการพันเทปตลับยึดตวั กรองโดยปดิ ชอ่ งดูดอากาศเข้าออก

ภาพที่ 10.8 ตวั อยา่ งแบบบันทึกการเก็บตวั อย่างอากาศอนภุ าคมลพิษชนดิ ฟมู เช่อื ม

บทที่ 10 ฟมู โลหะ 118

2.2 การประเมนิ โดยพจิ ารณาองค์ประกอบของอนภุ าค

การประเมินโดยพิจารณาองค์ประกอบของอนุภาคจากงานเช่ือม จะดาเนินการโดยการ
วิเคราะห์องค์ประกอบของอนุภาคจากงานเชื่อมว่าประกอบด้วยโลหะหรือสารประกอบโลหะชนิดใด
การวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบของอนภุ าคโดยทว่ั ไปจะใชว้ ธิ ีการ Inductively Coupled Argon Plasma-
Atomic Emission Spectroscopy (ICP-AES) ซึ่งสามารถวเิ คราะห์โลหะ และสารประกอบได้หลาย
ชนิด โดยท่ัวไปจะวเิ คราะห์โลหะและสารประกอบจาพวก เบอร์ริเรียม (Be) แคเมี่ยม (Cd) โครบอลล์
(Co) โครเม่ียม (Cr) ทองแดง (Cu) เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) Mo, นิเก้ิล (Ni) ตะกั่ว (Pb) พลวง
(Sb) แวนิเนียม (V) และสังกะสี (Zn) ผลจากการวิเคราะห์องค์ประกอบของสารโลหะ จะทราบถึง
ปริมาณของสารโลหะในอนุภาคที่ได้จากการเก็บตัวอย่างอากาศ โดยมีหน่วยเป็นไมโครกรัม (µg)
จากน้ันจึงทาการคานวณหาความเข้มข้นของสารโลหะแต่ละประเภทเพื่อประเมินเปรียบเทียบกับค่า
มาตรฐานต่อไป ทั้งนี้จะทาการคานวณค่าความเข้มข้นของสารโลหะแต่ละประเภทในภาพของ
ออกไซดข์ องสารน้นั

บทท่ี 10 ฟูมโลหะ 119

การเปรยี บเทียบกบั มาตรฐานเพ่อื ประเมนิ ระดบั อนั ตราย มาตรฐาน OSHA ตามตาราง

ตารางท่ี 10.1 Air Contaminants – OSHA Permissible Exposure Limits

Element Substance Exposed to PEL (mg/m3 )
TWA CEILING
Ag Metal and soluBe compounds (as Ag) 0.01
As Inorganic compounds (as As) See 29 CFR 1910.1018
Be Beryllium and compounds (as Be) 0.002 0.005
Ca Calcium oxide
Cd Fume 5
Dust (See 29 CFR 1910.1027 0.1 0.3
Co Metal dust and Fume (as Co) 0.2 0.6
Cr Cr metal (as Cr) 0.1
Cu Fumes (as Cu) 1
Dusts and mists (as Cu) 0.1
Fe Dicyclopentadienyl iron Total Dust 1
Iron oxide fume (as Fe2O3) 15
Fe,V Ferrovanadium dust 10
Mg Magnesium oxide fume Total particulate 1
Mn Mn compounds (as Mn) 15
Mn fume (as Mn) 5
Mo InsoluBe compounds (as Mo) 5
Total dust 15
Ni Metal and insoluBe
compounds (as Ni) 1
Pb Inorganic (see 29 CFR 1910.1025) 1
Sb Sb and compounds (as Sb)
Se Se and compounds (as Se) 0.5
Sn Inorganic compounds except oxide (as 0.2
Sn) 2
Te Te and compounds (as Te)
Zn Zinc oxide fume 0.1
Zinc oxide Total dust 5
Zinc stearate Total dust 15
15

บทท่ี 10 ฟูมโลหะ 120

เอกสารอ้างองิ

นพ.วิวฒั น์ เอกบรู ณะวัฒน์. มารจู้ กั กบั สง่ิ คุกคาม. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก:
http://www.summacheeva.org/index_article_hazard.htmสบื คน้ เมอ่ื วนั ท่ี 15
สิงหาคม 2556

ปวณี า มีประดิษฐ์. เอกสารประกอบการเรยี นวชิ าการเก็บตัวอยา่ งและวิเคราะห์ตัวอย่างทางสุข
ศาสตร์-อตุ สาหกรรม 1: ภาควชิ าสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัย คณะ
สาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา.

ศริ พิ ร วันฟั่น. แผนงานสุขศาสตร์อุตสาหกรรม (Industrial Hygiene Program). [ออนไลน]์ .

เข้าถึงไดจ้ าก:
http://www.thailandindustry.com/guru/view.php?id=19198&section=9
สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 15 สงิ หาคม 2556

ศศิภา เลิศจนิ ตนาการ. สุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรม 1. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก:
http://www.npcse.co.th/npc_date/npc_previews.asp?id_head=11&id_sub=36&i
d=732 สบื ค้นเม่อื วันที่ 15 สงิ หาคม 2556

บทท่ี 11 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อันตรายส่วนบุคคล 121

บทที่ 11

อปุ กรณ์ปอ้ งกนั อันตรายส่วนบุคคล

อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment: PPE) นับว่าเป็น
อุปกรณ์ที่มีความสาคัญอย่างยิ่งประการหน่ึง เพราะเป็นส่ิงท่ีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับ
สารเคมี สารพิษ สารกัดกร่อนเช้ือโรค และปัจจัยทางกายภาพอ่ืน ๆ รวมท้ังยังป้องกันการปนเป้ือน
จากผู้ปฏิบัติการไปสู่กระบวนการทางานอีกด้วย อุปกรณ์เหล่าน้ีจะทาหน้าท่ีคล้ายกาแพงระหว่าง
ทางเข้าสู่ร่างกายและสารเคมี โดยอุปกรณ์นี้ไม่มีส่วนทาให้สารเคมีมีปริมาณลดลงแต่อย่างใด ดังนั้น
เมื่ออุปกรณ์เกิดความเสียหายหรือมีการใช้งานผิดประเภทจะทาให้ร่างกายสัมผัสกับสารพิษทันที
ดังน้ันการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลจึงไม่ควรพิจารณามาใช้ในการควบคุมสารพิษ
เป็นวธิ แี รก แตม่ กั เปน็ มาตรการเสริมร่วมกบั วิธกี ารอน่ื

ในการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลสาหรับบุคลากรในห้องปฏิบัติการ ต้อง
เลือกให้มีความเหมาะสมและได้ตามหลักมาตรฐานสากล NIOSH หรือ OSHA โดยต้องคานึงถึง
ลักษณะของอันตราย ความรุนแรง สภาพแวดล้อม วิธีการใช้และข้อจากัดของอุปกรณ์ รวมทั้งความ
สะดวกสบายของผู้ใช้งานและความสะดวกในการใช้งาน เน่ืองจากการใช้อุปกรณ์อาจจะทาให้รู้สึกว่า
ร่างกายมีส่วนเกิน เกิดความราคาญ หรือรู้สึกไม่สะดวกสบายในขณะทางาน เป็นต้น นอกจากนี้
สถานท่ีเก็บอุปกรณ์ควรอยู่ในท่ีหยิบใช้ได้สะดวก นอกจากนี้ควรทาการตรวจสอบ เตรียมความพร้อม
มีความรู้ความเข้าใจว่ามีความจาเป็นอย่างไรท่ีจะต้องใช้ ควรใช้เมื่อใด และมีวิธีการใช้อย่างไรรวมถึง
การทาความสะอาดอุปกรณอ์ ย่างสม่าเสมอ (รปู ที่ 11.1)

รปู ท่ี 11.1 แสดงการใช้อปุ กรณป์ อ้ งกันอันตรายสว่ นบุคคล
ที่มา: https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book56_1/sanitation.htm

; 2562

บทท่ี 11 อุปกรณป์ ้องกนั อนั ตรายส่วนบคุ คล 122

4.1 ประเภทของอุปกรณป์ อ้ งกันอนั ตรายส่วนบคุ คล
แบง่ เป็นประเภทตา่ ง ๆ ดังน้ี

4.1.1 อุปกรณป์ ้องกันศรี ษะ ใบหน้า และดวงตา เปน็ ไปตามมารฐานท่ี ANSI Z87.1-1989 และ
ANSIZ 89.1-1986 ได้แก่

4.1.1.1 หมวกครอบศีรษะ มีหลายชนิดแตกต่างกันตามวัสดุที่ทาขึ้น เช่น พลาสติกใส ผ้า
พลาสติกแข็ง ไฟเบอร์กลาส อลูมิเนียมอัลลอยด์ (ปัจจุบันใช้กันน้อย) ฯลฯ หมวกท่ีใช้ป้องกัน
อันตรายที่ศีรษะยังอาจทาจากวัสดุอ่ืนร่วมกับพลาสติก เช่น หนังสัตว์ หรือ ผ้า แล้วแต่ความ
เหมาะสมกับการใช้งาน โดยคานึงถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น ป้องกันวัสดุหรือสิ่งของ
กระแทก ใช้ในการป้องกันการกระเด็นของสารเคมีหรือสารติดเช้ือ สะเกด็ ไฟ ยาฆ่าแมลง ความ
ร้อน ฯลฯ

รูปท่ี 11.2 แสดงตวั อย่างหมวกนริ ภยั

4.1.1.2 หน้ากากป้องกันการกระเด็น (face shield) เป็นพลาสติกใส ใช้ป้องกันอันตรายที่
ใบหนา้ และดวงตา เปน็ หน้ากากเพื่อใชป้ ้องกันการกระเดน็ ของสารเคมี เศษวัสดตุ ดิ เชอื้ รวมถึง
อันตรายจากรังสีความร้อน มีหลายชนิดผลิตด้วยวัสดุท่ีแตกต่างกัน โดยควรเลือกให้เหมาะสม
กับการใช้งานส่วนมากตัวหน้ากากจะเป็นพลาสติกใสคลุมบริเวณหน้าและแบบยาวคลุมถึง
ลาคอ หากตอ้ งทางานท่ีมีความเส่ยี งต่อใบหน้าและดวงตาสงู เช่น การทางานเกีย่ วกับสารเคมีท่ี
มีการกระเด็นหรือสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อนต้องใช้หน้ากากกันกระเด็นควบ คู่กับแว่นตานิรภัยทุก
ครง้ั เสมอ

บทที่ 11 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายส่วนบคุ คล 123

รปู ท่ี 11.3 แสดงตวั อย่างหน้ากากกนั กระเด็น
4.1.1.3 แว่นตานิรภยั (goggle) เปน็ อุปกรณ์ป้องกนั ดวงตา สามารถสวมทบั แว่นตาได้มีท้ัง
ชนดิ ท่ปี ้องกนั ไอระเหยจากสารเคมีและชนดิ ท่ใี ช้เพ่ือป้องกันการกระเด็นมักใชเ้ มื่อต้องทางานเกย่ี วข้อง
กบั การเตรยี มสารละลายเคมี การทางานท่ีมีการกระเดน็ ของส่ิงตดิ เช้อื การใช้เครือ่ งแก้วภายใตค้ วาม
ดันหรือสุญญากาศ

รูปที่ 11.4 แสดงตัวอย่างแวน่ ตากนั กระเด็น
4.1.2 อปุ กรณ์ปอ้ งกนั ระบบทางเดนิ หายใจ ไดแ้ ก่ อปุ กรณ์กรองอากาศเพ่ือป้องกนั ระบบทาง
เดินทางหายใจจากสารเคมี ประกอบด้วย หน้ากากปิดมิดชดิ ทั้งใบหนา้ ครง่ึ ใบหน้า หน่งึ ในสีข่ อง
ใบหนา้ หน้ากากเหล่านผ้ี ลติ จากวสั ดตุ ่าง ๆ กนั ข้นึ กับวตั ถุประสงค์ของการใชง้ าน เช่น ผา้ กระดาษ
กรอง ผา้ ใยหิน ขนสัตว์ ฯลฯ นอกจากนน้ั แล้วยงั มีหนา้ กากสาหรบั กรองกลนิ่ ไอจากสารเคมี หรือ ไอ
กา๊ ซพิษ ซึ่งจะมีตลับกรอง (Cartridge) ติดอยดู่ ้านหนา้ โดยตัวกรองแตล่ ะชนิดจะมีองค์ประกอบ
แตกต่างกัน โดยในการเลือกใชต้ อ้ งพจิ ารณาจากแถบสีทีต่ ิดอยดู่ ้านข้าง

บทที่ 11 อุปกรณ์ปอ้ งกนั อันตรายส่วนบคุ คล 124

รูปที่ 11.7.1 หนา้ กากป้องกนั สารเคมี รูปท่ี 11.7.2 หนา้ กากป้องกนั ฝุน่

รปู ท่ี 11.7 แสดงตัวอย่างหน้ากากป้องกันระบบทางเดนิ หายใจ

4.1.3 อุปกรณป์ ้องกันมือ อุปกรณ์ทใ่ี ช้ป้องกันอนั ตรายอนั เกิดข้ึนกับมือที่มีความสาคัญและใช้กัน
อย่างแพร่หลายได้แก่ ถุงมือ ซ่ึงถุงมือนั้นมีมากมายหลายประเภทด้วยกัน แบ่งได้หลายชนิด ตาม
ลักษณะการใช้งาน เช่น ถุงมือ (gloves) ใช้ป้องกันจากของแหลมคม ของแข็ง ความร้อน ความเย็น
ถุงมือชนิดไม่มีส่วนคลุมน้ิว(Mitts) เป็นถุงมือชนิดปล่อยนิ้วให้โผล่ออกมา แต่มีส่วนที่รองหรือหุ้มที่ฝ่า
มือ ใช้สาหรับงานที่ต้องการการเคลื่อนไหวในการทางานของน้ิว เพื่อช่วยให้การหยิบจับสะดวกข้ึน
โดยแต่ละชนิดน้ันจะถูกออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้ถูกใช้งานในการลดความเสี่ยงจาก
อันตรายต่าง ๆ กันเช่น อันตรายจากสารเคมี อันตรายจากของมีคม อันตรายจากการเสียดสี ความ
ร้อน-ความเย็น และอันตรายจากการติดเชื้อ เป็นต้น ดังนั้น ในการเลือกใช้ถุงมือชนิดต่าง ๆ พึงระลึก
ไว้เสมอว่าถุงมือแต่ละชนิดผลิตจากวัสดุท่ีแตกต่างกันเพ่ือการใช้งานท่ีมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ฉะน้ัน
ก่อนใช้งานจึงจาเป็นตอ้ งศึกษารายละเอียดของถุงมือแต่ละชนดิ ให้เข้าใจเสยี ก่อน และไม่ควรใช้ถุงมือ
แบบเดียวกันกับงานทุกชนิด เพราะการใช้ถุงมือกับงานผดิ ประเภทนอกจากจะไม่สามารถช่วยป้องกนั
อันตรายได้แล้ว หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นอาจทาให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมอีกก็เป็นได้ หากใช้ถุง
มือยางชนิดบางสาหรับห้องผ่าตัดมาใช้ขณะเทหรือเตรียมกรดเข้มข้นแล้ว หากถูกกรดหกรดหรือ
กระเด็นใส่ นอกจากถุงมือน้ันจะไม่ช่วยป้องกันมือเราแล้วยางจากถุงมือที่ละลายจะทาอันตรายให้กับ
มือเราเพิ่มข้ึนอีก เป็นต้น นอกจากน้ันถุงมือแต่ละชนิดยังมีอายุการใช้งาน การทาความสะอาด การ
ดแู ลรกั ษา ไม่เหมือนกันซึ่งจะต้องคานงึ ถงึ ปจั จยั เหลา่ น้ดี ว้ ย

บทที่ 11 อุปกรณ์ปอ้ งกันอันตรายส่วนบคุ คล 125

รูปที่ 11.8.1 ถุงมือกนั ความร้อน รูปที่ 11.8.2 ถุงมือกันสารเคมี

รูปที่ 11.8 แสดงตวั อย่างอุปกรณป์ ้องกันมือ
ท่ีมา: https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book56_1/sanitation.htm

; 2562

4.1.4 อปุ กรณป์ อ้ งกันสว่ นต่างๆ ของร่างกาย ไดแ้ ก่
4.1.3.1 เส้ือคลุม เส้ือคลุมที่ใช้ในห้องปฏิบัติการได้รับการออกแบบเพ่ือป้องกันทั้งผู้ใส่ไม่ให้

สัมผัสโดยตรงกับอันตรายและในขณะเดียวกันก็ป้องกันการปนเปื้อนจากผู้ปฏิบัติงานแพร่ไปสู่
กระบวนการทางานด้วย เส้ือคลุมท่ีใช้สาหรับบุคลากรในห้องปฏิบัติการนั้นมีหลายชนิดเช่น เสื้อโค้ด
(laboratory coat) เส้ือกาวน์ เส้ือสูทคลุม ฯลฯ ซึ่งเส้ือคลุมเหล่าน้ีถูกทาข้ึนด้วยวัสดุที่แตกต่างกันมี
ทง้ั ท่ที าดว้ ยผ้าท้ังแบบทอธรรมดา เคลือบน้ามนั ทาจากหนงั สตั ว์ ไนลอ่ น พลาสติก ยาง ฯลฯ ดงั น้ันใน
การเลือกเส้ือคลุมเพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ทา เพื่อให้มั่นใจว่า
จะสามารถป้องกันอันตรายได้ หากเลือกใช้หรือปฏิบัติไม่ถูกต้องจะส่งผลเสีย เพราะเช่ือโรคหรือ
สารพิษต่างๆ น้ันสามารถมีชีวิตหรือแทรกซึมอยู่ในเสื้อคลุมได้นานพอควร และหากต้องทางานที่มี
ความเสยี่ งสงู ควรใชผ้ า้ กนั เป้อื นหรือผา้ กนั กระเดน็ สวมทับเสื้อคลุมอีกชน้ั หนงึ่ (ภาพที่ 9)

4.1.3.2 ผ้ากันเป้ือนหรือผ้ากันกระเด็น มักใช้สวมทับเส้ือคลุมในกรณีท่ีต้องทางานท่ีมีการ
กระเด็นหรือการปนเป้ือนของสารติดเชื้อต่างๆ วัสดุที่ใช้ทาผ้ากันเปื้อนมีหลายชนิดเช่น ผ้าฝ้าย ผ้าใย
สังเคราะห์ พลาสติก ตะกั่ว ฯลฯ ท้ังนีผ้ ู้ปฏิบตั งิ านต้องเลอื กให้เหมาะสมต่อการใชง้ าน (ภาพท่ี 9)

บทที่ 11 อุปกรณป์ ้องกนั อันตรายส่วนบคุ คล 126

รปู ท่ี 11.9 แสดงตัวอยา่ งผ้ากนั เปอ้ื น
ที่มา: https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book56_1/sanitation.htm

; 2562
4.1.3.3 รองเท้าและถุงหุ้มรองเท้า ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการไม่ควรสวมรองเท้าแตะ

หรือรองเท้าเปิดข้าง ควรสวมรองเท้าหุ้มส้นท่ีป้องกันเท้าได้ เพ่ือป้องกันสารเคมีหรือสารติดเชื้อหกใส่
เท้า และในห้องปฏิบัติการท่ีต้องการความปลอดเช้ือสูงควรให้ผู้ปฏิบัติงานสวมถุงหุ้มรองเท้า เพ่ือ
ป้องกันการนาส่ิงสกปรกจากภายนอกเข้าสู่ภายในและในขณะเดียวกันก็ป้องการการแพร่ของเชื้อโรค
หรือสารพิษจากภายในออกสู่ภายนอก ถุงหุ้มรองเท้าส่วนมากมักทามาจากผ้าเน้ือบาง หรือกระดาษ
และมักเปน็ ชนิดใช้ครง้ั เดยี วแล้วทิ้ง (ภาพที่ 10)

รูปท่ี 11.10 แสดงตัวอย่างถุงคลุมรองเทา้
ที่มา: https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book56_1/sanitation.htm

; 2562

บทที่ 11 อปุ กรณป์ ้องกนั อนั ตรายสว่ นบุคคล 127

4.2 การทาความสะอาดและการดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ปอ้ งกันภัยส่วนบคุ คล
การทาความสะอาดและดูแลรักษาอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลเป็นส่ิงสาคัญยิ่งเพราะหาก

ปล่อยให้อุปกรณ์เหล่าน้ีอยู่ในสภาพไม่พร้อมใช้งานหรือสกปรกจะมีผลจะมีผลกระทบต่อท้ังตัว
ผู้ปฏิบัติงานและคุณภาพผลการวิเคราะห์ ในทุกห้องปฏิบัติการควรมีการจัดทาแผนการทาความ
สะอาด บารุงรักษา และตรวจสภาพความพร้อมใช้งานของอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล เป็นประจา
และสมา่ เสมอ ตามระยะเวลาที่กาหนดไว้ในแผน อปุ กรณ์เหลา่ นี้ไม่ควรใชร้ ่วมกนั หากยังไม่ไดผ้ า่ นการ
ทาความสะอาดและหากเป็นไปไดค้ วรจัดให้มีอุปกรณ์ตา่ งๆ ให้พอเพียงแก่บุคลากรผปู้ ฏิบัติงาน (ภาพ
ท่ี 10)

รูปที่ 11.11 แสดงการทาความสะอาดอปุ กรณ์ป้องกนั ภัยหลังใช้งานเสร็จ
ท่ีมา: https://www.stou.ac.th/Schools/Shs/booklet/book56_1/sanitation.htm

; 2562
4.3 การเลอื กและการใช้อุปกรณป์ ้องกนั อันตรายสว่ นบคุ คล
การเลอื กและการใช้อปุ กรณ์ป้องกันอนั ตรายสว่ นบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพน้ัน ผรู้ บั ผดิ ชอบควรยดึ
หลัก ดงั นี้

- เลอื กใหเ้ หมาะสมกบั อนั ตรายทพี่ บจากการทางาน
- อปุ กรณ์ทีเ่ ลือก ควรได้รับการตรวจสอบและมีมาตรฐานรบั รอง
- มีประสิทธภิ าพสงู ในการปอ้ งกนั อนั ตรายและทนทาน
- มนี า้ หนกั เบา สวมใสส่ บาย ขนาดเหมาะสมกบั ผใู้ ช้ และง่ายตอ่ การใช้
- มีให้เลอื กหลายแบบและหลายขนาด
- การบารงุ รกั ษางา่ ย อะไหลห่ าซ้ืองา่ ยและไม่แพง

บทที่ 11 อุปกรณ์ป้องกนั อันตรายสว่ นบคุ คล 128

- ให้ความรู้กับผู้ใช้ในเรื่องประโยชน์และอุปกรณ์ป้องกันอันตราย วิธีการเลือกใช้ การ
สวมใสท่ ี่ ถูกต้อง และการบารงุ รกั ษา
- มแี ผนการชักจูงการใช้ การปรับตวั ในการใชร้ ะยะแรก และสง่ เสริมการใช้
- ใหร้ างวลั กับผใู้ ชท้ ปี่ ฏิบตั ติ ามกฎระเบียบการใช้เครอ่ื งป้องกนั อันตรายสว่ นบุคคล
- มปี ริมาณเพียงพอกบั จานวนผใู้ ช้
- กรณีทอ่ี ุปกรณป์ อ้ งกนั อันตรายส่วนบุคคลชารดุ ตอ้ งเปลยี่ นหรอื ซอ่ มแซมได้
นอกจากนี้ อปุ กรณป์ ้องกนั อันตรายส่วนบคุ คล สามารถป้องกันได้เฉพาะงานเท่าน้นั เม่ือตอ้ ง
ทางานในบรเิ วณที่อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายกบั เรา ควรสวมใส่อุปกรณ์ปอ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คลทุกครั้ง
เชน่ ถงุ มอื แวน่ ตานิรภัย หมวกแขง็ รองเทา้ หวั เหลก็ ชุดคลุม เป็นต้น ซง่ึ บุคคลทุกคนต้องสวมใส่
อปุ กรณ์ปอ้ งกันอนั ตรายสว่ นบคุ คลท่ีจัดไว้ใหต้ ามสภาพความเสย่ี งของการเกิดอนั ตรายและลกั ษณะ
ของการทางานในแตล่ ะพื้นท่ีการทางาน ซึ่งอาจสงั เกตจากปา้ ยสญั ลักษณ์เตอื น ไดแ้ ก่
- สวมแว่นตา หนา้ กากป้องกันไอของสารเคมี ถุงมือ รองเท้าบทู๊ ชุดป้องกนั อนั ตราย
จากสารเคมี เม่ือต้องทางานกับสารเคมี
- สวมรองเท้าหัวเหลก็ เพื่อป้องกนั ของทีม่ ีนา้ หนักตกใส่เทา้ หรือหลน่ ทับเท้า
- สวมแว่นตา ถุงมอื หรือหนา้ กากป้องกันแสงและสะเก็ดไฟ เมอ่ื ทาการเชือ่ มหรอื ตดั
โลหะ
- สวมถุงมือ เมื่อต้องทาการประกอบ ซึ่งต้องสัมผัสกับชิ้นสว่ นทมี่ คี วามคม
- สวมปลั๊กอดุ หู หรือท่ีครอบหู ในบริเวณการทางานที่มีเสยี งดงั

อปุ กรณ์ปอ้ งกนั อันตรายระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Protection Devices)

อุปกรณ์ป้องกันการหายใจ (Respiratory protection devices) เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกัน
อันตราย จากมลพิษเขา้ สู่ร่างกาย โดยผ่านทางปอด ซึง่ เกิดจากการหายใจเอามลพิษ เชน่ อนภุ าคก๊าซ
และไอระเหยทป่ี นเปือ้ นอยู่ในอากาศ หรอื เกิดจากปรมิ าณออกซเิ จนในอากาศไม่เพยี งพอ

ประเภทของอุปกรณป์ อ้ งกันระบบหายใจ

แบง่ ตามลกั ษณะอากาศทจ่ี ะใช้หายใจ เป็น 2 ประเภท คือ
1. อุปกรณป์ อ้ งกันระบบหายใจชนดิ กรองอากาศ (Air Purifying Respirator) ใช้วธิ กี ารกาจัด
สิง่ ปนเป้ือนออกจากอากาศท่หี ายใจ
2. อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจชนิดส่งอากาศช่วยหายใจ (Atmosphere Supplying
Respirator) ใช้วิธีส่งอากาศจากแหล่งช่วยหายใจแบ่งตามลักษณะของอุปกรณ์ปิดคลุมช่องทางเดิน
หายใจ (Respiratory Inlet Coverings) เป็น 2 ลกั ษณะ คอื
1. อุปกรณ์ปิดคลุมช่องทางเดินหายใจ (Tight – Fiting Coverings) หรือเรียกว่า หน้ากาก
(Facepieces) มี 3 แบบ คอื

- หน้ากากแบบเศษหนงึ่ สว่ นสี่ของหน้า (Quarter – Mask)

บทท่ี 11 อุปกรณ์ปอ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คล 129

- หน้ากากแบบคร่งึ หน้า (Half – Mask)
- หนา้ กากแบบเต็มหน้า (Full – Facepiece)
2. อุปกรณ์ปิดคลุมช่องทางเดินหายใจแบบมีอากาศผ่านออก (Loose – Fitting Coverings)
มีหลายแบบไดแ้ กแ่ บบถงุ คลุมศีรษะ (Hood) แบบคลมุ ทั้งตัวหรอื เส้ือคลมุ

ชนิดอปุ กรณ์ป้องกนั อนั ตรายระบบหายใจชนดิ กรองอากาศ

แบ่งเปน็ 4 ประการ คือ
1) หน้ากากกรองอนภุ าค (Particular Filtering Respirators)
หน้ากากกรองอนุภาค ใช้สาหรับป้องกันฝุ่น ไอควัน และละออง โดยให้อากาศท่ีผ่านเข้าไป ใน
หนา้ กากถูกกรองสิ่งปนเปื้อนออกดว้ ยวัสดุกรองท่ีเปน็ เสน้ ใย
2) หนา้ กากกรองกา๊ ซและไอระเหย (Gas and Vapor Removing Respirators)
หน้ากากกรองก๊าซและไอระเหย อากาศท่ีผ่านเข้าไปในหน้ากากจะถูกกรองด้วยตลับกรองหรือกล่อง
บรรจสุ ารกรอง (Cartridges or Canisters) ทอ่ี อกแบบเฉพาะกา๊ ซและไอระเหยแต่ละประเภท
สว่ นประกอบทส่ี าคญั ของหนา้ กากกรองก๊าซ และไอระเหย คอื

1. ส่วนหนา้ กาก และสายรัดศรี ษะ เช่นเดียวกับท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้
2. ส่วนกรองอากาศ เป็นตลับ หรือกระป๋องบรรจุสารเคมี ซ่ึงเป็นตัวจับมลพิษโดย
การดูดซับ หรอื ทาปฏิกริ ยิ ากบั มลพิษ ทาใหอ้ ากาศทผ่ี ่านตลบั กรองสะอาด ปราศจากมลพิษ ส่วนกรอง
อากาศน้ีสามารถใช้ได้เฉพาะสาหรับก๊าซ หรือไอระเหย แต่ละประเภทตามที่ระบุไว้เท่าน้ัน เช่น ส่วน
กรองอากาศท่ีใช้กรองก๊าซแอมโมเนีย จะสามารถป้องกันเฉพาะก๊าซแอมโมเนียเท่าน้ัน ไม่สามารถ
ป้องกันมลพิษชนิดอื่นได้ เป็นต้น ดังนั้นผู้ท่ีจะใช้หน้ากากกรองก๊าซ และไอระเหย ควรเลือกซื้อ และ
หรือเลือกใช้ให้เหมาะสม กับชนิดของมลพิษท่ีจะป้องกัน ตามท่ี American National Standard ได้
กาหนดมาตรฐาน (ANSI K 13.1-1973) รหัสสีของตลับกรอง สาหรับกรองก๊าซ และไอระเหย ชนิด
ต่างๆ มดี งั น้ี
ชนดิ มลพิษ สที ก่ี าหนด
ก๊าซที่เป็นกรด ขาว
ไอระเหยอนิ ทรีย์ ดา
กา๊ ซแอมโมเนยี เขียว
ก๊าซคารบ์ อน มอนอกไซด์ น้าเงนิ
กา๊ ซทเ่ี ป็นกรด และไอระเหยอินทรีย์ เหลือง
ก๊าซทเี่ ปน็ กรด แอมโมเนยี และไอระเหยอนิ ทรีย์ นา้ ตาล
ก๊าซทีเ่ ปน็ กรด แอมโมเนีย คารบ์ อนมอนอกไซด์ ไอระเหยอินทรยี ์แดง
ไอระเหยอน่ื ๆ และกา๊ ซทไ่ี ม่กล่าวไวข้ า้ งต้น เขยี วมะกอก
สารกมั มันตรงั สี (ยกเว้น ไทรเทียม และโนเบลก๊าซ) ม่วง
ฝนุ่ ฟมู มสิ ท์ ส้ม

บทท่ี 11 อุปกรณ์ป้องกนั อันตรายสว่ นบุคคล 130

หน้ากากกรองก๊าซ และไอระเหย มอี ยู่ 3 ประเภท คือ
1. หน้ากากกรองก๊าซ และไอระเหยชนิดตลับกรองสารเคมี สามารถป้องกันก๊าซ และไอ
ระเหยที่ปนเป้ือนในอากาศ ที่ความเข้มข้นประมาณ 10-1,000 ppm. ไม่เหมาะท่ีจะใช้กรณีที่มีความ
เข้มข้นสูง ในระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตทันที (Immediately dangerous to life or health
level - IDHL) ยกเวน้ ในกรณที ี่ใชห้ นอี อกจากบริเวณอนั ตรายนน้ั ซ่ึงใช้เวลาสั้นๆ
2. หน้ากากกรองก๊าซ (Gas mask) มีลักษณะคล้ายหน้ากากกรองก๊าซ และไอระเหยชนิด
ตลับกรองสารเคมี ต่างกันส่วนท่ีบรรจุสารเคมี เพื่อทาให้อากาศท่ีปนเป้ือนด้วยมลพิษสะอาด ก่อนท่ี
จะถูกหายใจเข้าสู่ทางเดินหายใจเท่านั้น ซึ่งแบง่ เปน็
o ชนิดทก่ี ระป๋องอยู่ท่ีคางบรรจสุ ารเคมปี ระมาณ 250-500 ลบ.ซม. ใช้กับหน้ากากเตม็ หน้า
o ชนดิ ท่กี ระป๋องบรรจสุ ารเคมีอยดู่ า้ นหน้า หรือด้านหลังบรรจสุ ารเคมี 1,000-2,000 ลบ.ซม.
ใชก้ บั หน้ากากเตม็ หนา้
o ชนิดหนา้ กากหนีภัย

3) อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจชนิดกรองอากาศมี เคร่ืองดูดอากาศช่วย (Powered Air
PurifyingRespirators)

อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจชนิดกรองอากาศมีเคร่ืองดูดอากาศช่วย เป็นอุปกรณ์ป้องกัน
ระบบหายใจ ท่ีมีเครื่องช่วยดูดอากาศท่ีมีสิ่งปนเปื้อนผ่านวัสดุกรอง และส่งอากาศที่บริสทุ ธไ์ ปยังทป่ี ิด
คลมุ ช่องทางเดินหายใจวสั ดุกรองอาจเปน็ วัสดุกรองอนภุ าค ตลับกรองสาหรับกาจดั ก๊าซและไอระเหย
หรือ 2 อยา่ งรวมกนั ส่วนทป่ี ดิ คลุมชอ่ งทางเดนิ หายใจ เปน็ ตวั หน้ากาก หมวกคลุมศีรษะหรือถุงครอบ
ศรี ษะ

ขอ้ ปฏิบัติในการใช้หนา้ กาก ประเภททท่ี าให้อากาศสะอาด ก่อนเข้าสทู่ างเดินหายใจ

1. เลอื กขนาดหนา้ กากใหเ้ หมาะ เพอ่ื ไม่ให้มชี อ่ งวา่ งระหว่างหน้า และขอบหนา้ กาก
2. เลือกวัสดุกรองอนุภาค หรือตลับกรองมลพิษ (Cartridges) หรือกระป๋องกรองมลพิษ
(Canisters) ให้เหมาะสมกับชนดิ มลพษิ ทีต่ อ้ งการกรอง
3. ใส่ส่วนที่ทาหน้าทีก่ รองมลพิษ กบั ตวั หน้ากาก
4. ตรวจสอบรอยรั่ว หรือช่องว่าง ที่ทาให้อากาศเข้าไปในหน้ากาก โดยทดสอบ negative
pressure และpositive pressure
o วิธีทดสอบ negative pressure โดยใช้ฝ่ามือปิดทางที่อากาศเข้าให้สนิท แล้วหายใจเข้า
ตัวหน้ากากจะยุบลงเล็กน้อย และคงค้างไว้ในสภาพน้ันประมาณ 10 วินาที แสดงว่า ไม่มีรอยร่ัวที่
อากาศจะไหลเขา้ ไปในหน้ากากได้
o วิธีทดสอบ positive pressure โดยการปิดล้ินอากาศออก แล้วค่อยๆ หายใจออก ถ้าเกิด
ความดันเพิ่มขึ้นในหนา้ กากแสดงว่า หน้ากากไมม่ ีรอยร่วั
5. ขณะสวมหนา้ กาก หากได้กลิ่นก๊าซหรือไอระเหย ควรเปล่ียนตลับกรอง หรอื กระป๋องกรอง
มลพษิ ทันที

บทท่ี 11 อปุ กรณป์ ้องกนั อันตรายสว่ นบคุ คล 131

6. หน้ากากแบบ powered air purifying ควรตรวจสอบท่อส่งอากาศ และข้อต่อต่างๆ ท่ี
อาจทาใหก้ า๊ ซหรอื ไอระเหยรวั่ ซมึ เข้าไปได้

4) ประเภทท่ีส่งอากาศจากภายนอกเข้าไปในหน้ากาก (Atmosphere - supplying
respirator)

เป็นอุปกรณ์ป้องกันทางหายใจ ชนิดที่ต้องมีอุปกรณ์ส่งอากาศ หรือออกซิเจนให้กับผู้สวมใส่
เฉพาะ แบ่งเป็น

* ชนิดที่แหล่งส่งอากาศติดที่ตัวผู้สวม (Self contained breathing apparatus หรือที่
เรียกว่า SCBA) ผู้สวมจะพกเอาแหล่งส่งอากาศ หรือถังออกซิเจนไปกับตัว ซ่ึงสามารถใช้ได้นานถึง 4
ช่ัวโมง สว่ นประกอบของอปุ กรณน์ ้ี ประกอบดว้ ยถงั อากาศ สายรดั ดึงตดิ กบั ผสู้ วม เคร่ืองควบคมุ ความ
ดัน และการไหลของอากาศ จากถังไปยังหน้ากาก ท่ออากาศ และหน้าชนิดเต็มหน้า หลักการทางาน
ของอปุ กรณ์น้ี มี 2 แบบ คือ

1. แบบวงจรปิด หลักการคือ ลมหายใจออกจะผ่านเข้าไปในสารดูดซับ เพ่ือกาจัดก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ แล้วกลับเข้าไปในภาชนะบรรจุออกซิเจนเหลว หรือออกซิเจนแข็ง หรือสารสรา้ ง
ออกซเิ จนแล้วกลับเข้าสหู่ น้ากากอีกคร้ัง

2. แบบวงจรเปิด หลักการคือ ลมหายใจออกจะถูกปล่อยออกไปไม่หมุนเวียน กลับมาใช้อีก
อากาศท่หี ายใจเข้าแตล่ ะครงั้ มาจากถงั บรรจุออกซิเจน

* ชนิดที่ส่งอากาศไปตามท่อ (Supplied air respirator) แหล่งหรือถังเก็บอากาศจะอยู่ห่าง
ออกไปจามตัวผสู้ วม อากาศจะถูกสง่ มาตามท่อเข้าสหู่ น้ากาก

ข้อปฏิบัติในการใช้อุปกรณ์ป้องกันทางหายใจ แบบส่งอากาศจากภายนอกเข้าไปใน
หนา้ กาก

1. ตรวจอปุ กรณ์ทุกสว่ นให้อยูใ่ นสภาพเรียบรอ้ ยกอ่ นใชง้ าน
2. ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนให้เหมาะสม หน้าปัดบอกปริมาณออกซิเจน ควรอยู่ใน
สภาพทีผ่ ูส้ วมใสส่ ามารถเหน็ ได้ชดั เจน
3. ขณะสวมหนา้ กากอยู่ หากไดก้ ล่ินสารเคมี ควรรบี ออกจากบรเิ วณนนั้ ทนั ที
4. ควรมที อ่ สารอง และสารช่วยชีวติ ในกรณีฉุกเฉิน หรอื เกดิ อบุ ตั ิเหตุขึ้น เชน่ ท่อนาสง่ อากาศ
ชารุด เป็นตน้
5. ผู้สวมใสต่ ้องไดร้ บั การฝึกอบรมวิธกี ารใช้งานมาเป็นอยา่ งดี
6. ต้องมีการบารุงรักษาที่ดี เช่น ตรวจสอบถังอากาศ เครื่องควบคุมความดัน และการ
ไหลเวียนของอากาศตามคาแนะนาของผ้ผู ลิต

บทท่ี 11 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คล 132

การทาความสะอาดหน้ากาก (Facepieces)
1. ถอดส่วนกรองอากาศ เช่น ตลับ หรือกระป๋องบรรจุสารเคมีออกจากตัวหน้ากาก นา
หนา้ กากไปล้างดว้ ยน้าอ่นุ และสบู่ โดยใช้แปรงน่ิมๆ ขัดเบาๆ
2. นาไปฆ่าเชื้อโรคโดยจุ่มลงในสารละลายไฮโปคลอไรท์ 2 นาที แล้วตามด้วยน้าสะอาด
ปล่อยทง้ิ ไวใ้ หแ้ หง้
3. ประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าท่ี และตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนเก็บ โดยเก็บในที่สะอาด ไม่
ปนเปือ้ นฝุน่ สารเคมี หรอื ถูกแสงแดด

บทที่ 11 อุปกรณ์ปอ้ งกันอนั ตรายสว่ นบุคคล 133

เอกสารอ้างองิ

บ้านเซฟต้ี. อุปกรณ์ป้องกันกล่ิน-Respiratory Protection,หน้ากากเซฟตี้,ใส้กรองหน้ากากเซฟตี้,
เซฟต้ี,อุปกรณ์เซฟตี้. http://www.mixbjth.com/product-cat/1319/1319

วนดิ า จีนศาสตร์. (2551). มลพิษอากาศและการจัดการคุณภาพอากาศ(Air Pollution and Air
Quality Management). กรงุ เทพฯ:สานกั พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

สุพฒั นา บญุ สืบชาต.ิ (2549). สภาวะฝนุ่ ละอองในสิ่งแวดลอ้ มและฝนุ่ ละอองในผ้ปู ระกอบอาชีพทา
ครกหนิ .วทิ ยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสขุ ศาสตรม์ หาบัณฑิต. สาขาวิชาอนามยั สง่ิ แวดลอ้ ม.
บัณฑติ วทิ ยาลัย. มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.

Gregory D. Wight. (1994). Fundameental of Air Samping.The United States of
America:Lewis Publishers.

บทที่ 12 กล่ิน 134

บทที่ 12

กลนิ่

กลิน่ กับงานอุตสาหกรรม การกาจัด กฎหมาย มาตรการที่นามาใช้

ความรู้สึกต่อกลิ่น การรับรู้กล่ินและการตอบสนองต่อกล่ินข้ึนอยู่กับความไวต่อการรับรู้กล่ิน
ซ่ึงจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ถ้าบุคคลมีความรู้สึกไวต่อกล่ินก็จะมีปัญหาร้องเรียนเรื่องกล่ินอยู่
เสมอ ในทางตรงขา้ มถ้าบุคคลมีความรู้สึกชินต่อกลน่ิ ก็จะสดู ดมกล่ินโดยไม่ร้สู ึกวา่ เดือดร้อนราคาญแต่
อย่างใด และไมไ่ ดม้ กี ารรอ้ งเรยี นเพ่ือใหม้ ีการแก้ปญั หาเร่ืองกลิ่น ซง่ึ อาจเปน็ อนั ตรายต่อสุขภาพ ความ
ซับซ้อนในเร่ืองการตอบสนองของคนท่ีมีต่อกล่ินที่จะเห็นได้จากในกรณีท่ีคนบางคนได้รับกล่ินบาง
ชนิดเป็นระยะเวลานานก็จะกลายเป็นคนท่ีมีความรู้สึกช้าต่อกลิ่นน้ัน เมื่อเทียบกับคนอื่นที่ไม่เคยได้
กล่ินน้ันมาก่อน หรือบางคนเมื่อได้รับการกระตุ้นโดยการให้ดมกลิน่ จัดเป็นระยะเวลาสน้ั ๆ และบ่อยๆ
ครงั้ ก็จะกลายเป็นคนทแ่ี สดงความรสู้ ึกไวต่อกลิ่นชนิดนน้ั ก็ได้ และคนบางคนอาจจะมีความรู้สึกไวต่อ
กลน่ิ บางชนิดเปน็ พิเศษ เป็นต้น

กล่นิ (Odor) หมายถงึ สิง่ เจือปนในอากาศที่รบั รู้ไดด้ ว้ ยจมกู ของคน/เครือ่ งมือ ปริมาณของ
กลนิ่ ทก่ี ่อใหเ้ กิดการรบั รู้ไดต้ อ้ งมคี วามเข้มขน้ ของสารให้กลิ่นถึงจดุ ระดบั การรับร้กู ลน่ิ

ค่าความเข้มกล่นิ (odor concentration) คา่ แสดงสภาพกลิ่นซ่งึ เป็นอัตราส่วนการเจือ
จางตวั อย่างอากาศเสียทม่ี ีกลิ่นด้วยอากาศบรสิ ุทธิ์

การรบั รูก้ ลนิ่
ค่าความเข้มข้นต่าสุดของสารมกี ลิ่นท่ีทาให้คนรู้สึกเริ่มได้กลิ่นเรยี กว่า “Thresholds”

• Detection Thresholds
เปน็ คา่ ความเข้มข้นต่าสดุ ของสารมกี ลนิ่ ท่ีทาให้ร้ ้อยละ 50 ของกลุ่มตวั อยา่ งท่ี
ทดสอบมีการตอบสนองของประสาทการรบั กลิน่
• Recognition threshold
เป็นคา่ ความเขม้ ขน้ ต่าสุดท่ีผรู้ ับกลนิ่ จะมีความรสู้ กึ จากลน่ิ ท่ีมลี กั ษณะเฉพาะตวั ใน
เชงิ คุณภาพได้ โดยปกติจะใช้คา่ ทที่ า่ ให้ รอ้ ยละ 50 ของกลุ่มตัวอย่างสามารถรสู้ กึ จดจากล่นิ เฉพาะตวั
ได้

บทที่ 12 กล่ิน 135

ระดบั การรบั รูก้ ลิ่น
• ระดับท่ีตรวจจบั กลิ่นได้ (DT : Detection Threshold)

ความเข้มข้นของกลน่ิ 11-20 OU
• ระดบั ทท่ี าใหจ้ ดจากลน่ิ ได้ (RT : Recognition Threshold)

ความเข้มขน้ ของกลิ่น 21-30 OU
• ระดบั ที่ก่อใหเ้ กิดความราคาญ (AT : Annoyance Threshold)

ความเขม้ ข้นของกลิน่ 31-40 OU

องค์ประกอบของกล่ิน
1. กล่ินที่เกิดจากอตุ สาหกรรมมหี ลายชนิดส่วนใหญม่ กั เปน็ สารอินทรยี ท์ ่รี ะเหยงา่ ย กลนิ่ ท่ี
เกดิ จากกระบวนการอุตสาหกรรมแตล่ ะชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัว ความรู้สึกรับรกู้ ลิ่นจะเพิม่ ขน้ึ ตาม
ความเขม้ ขน้ ของสารที่ทาให้เกิดกลิ่น
2. การรับรู้กล่นิ และการตอบสนองต่อกล่นิ ขึน้ อยูก่ ับความไวต่อการรับรูก้ ล่นิ ซ่งึ จะแตกต่าง
กันไปในแตล่ ะบุคคล
3. อตุ สาหกรรมท่ีทาใหเ้ กิดปัญหาเรือ่ งกลน่ิ มักจะเป็นอุตสาหกรรมทมี่ ีการใชส้ ารอินทรีย์ท่ี
ระเหยง่าย เชน่ อตุ สาหกรรมผลิตยางและพลาสติก อตุ สาหกรรมเคมีและปโิ ตรเคมี เปน็ ต้น

คุณสมบตั ิเฉพาะของกลน่ิ
กลิ่นที่ออกมาจากแหล่งกาเนิดแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติหรือลักษณะของกล่ินเฉพาะตัว ซ่ึง
สมาคมทดสอบวัสดุแห่งสหรัฐอเมริกา (American Society for Testing Materials; ASTM) ได้
จาแนกคุณสมบัติหรือลักษณะเฉพาะของกล่ินสาหรับสารจานวน 180 ชนิดไว้ โดยมีสเกลแสดงค่า
อธิบายลักษณะเฉพาะของกลิ่นไว้ถึง 140 สเกล โดยใช้ค่าอธิบายลักษณะกลิ่น เช่น กลิ่นปลา กล่ินน้า
เน่า กล่ินหืน กล่ินแอมโมเนีย เป็นต้น ซึ่งการใช้ค่าอธิบายลักษณะของกล่ินก็จะเป็นประโยชน์ในการ
เช่ือมโยงถึงแหลง่ กาเนิดหรอื ทม่ี าของกล่นิ จากกระบวนการอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ

การตอบสนองของคนต่อกล่ินและการรบั รู้กลนิ่
ความรู้สึกต่อกลิ่น การรับรู้กล่ินและการตอบสนองต่อกล่ินขึ้นอยู่กับความไวต่อการรับรู้กลิ่น
ซ่ึงจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ถ้าบุคคลมีความรู้สึกไวต่อกลิ่นก็จะมีปัญหาร้องเรียนเรื่องกล่ินอยู่
เสมอ ในทางตรงข้ามถ้าบุคคลมีความรสู้ ึกชินต่อกลิ่นก็จะสดู ดมกลน่ิ โดยไม่รสู้ ึกว่าเดือดร้อนราคาญแต่
อยา่ งใด และไมไ่ ด้มีการรอ้ งเรยี นเพื่อให้มีการแก้ปัญหาเร่ืองกล่ิน ซึง่ อาจเป็นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ ความ
ซับซ้อนในเร่ืองการตอบสนองของคนท่ีมีต่อกลิ่นที่จะเห็นได้จากในกรณีที่คนบางคนได้รับกลิ่นบาง
ชนิดเป็นระยะเวลานานก็จะกลายเป็นคนท่ีมีความรู้สึกช้าต่อกล่ินน้ัน เม่ือเทียบกับคนอ่ืนท่ีไม่เคยได้
กล่ินน้ันมาก่อน หรือบางคนเม่ือได้รบั การกระตุ้นโดยการใหด้ มกลน่ิ จดั เป็นระยะเวลาสั้นๆ และบ่อยๆ
ครัง้ ก็จะกลายเป็นคนทแ่ี สดงความรสู้ ึกไวต่อกลิ่นชนิดนน้ั ก็ได้ และคนบางคนอาจจะมีความรู้สึกไวต่อ
กลิ่นบางชนิดเป็นพเิ ศษ เป็นต้น

บทที่ 12 กล่ิน 136

ปกติแลว้ การตอบสนองของกล่ินต่อความเข้มข้นของกลน่ิ ทีเ่ กิดจากสารชนดิ เดยี วจะแตกต่าง
ไปจากการตอบสนองที่เกิดขึ้นเม่ือนากลิ่นนั้นมาผสมกัน โดยท่ัวไปมักจะพบว่าถ้านากล่ิน 2 ชนิดมา
รวมกนั ความเขม้ ขน้ ทีท่ าให้เกิดการตอบสนองกับกล่ินในสารผสมจะลดลง

ความรู้สึกในการยอมรับกล่ินว่าเป็นกล่ินท่ีชอบหรือไม่ชอบน้ันขึ้นกับปัจจัยในทางสังคม
สภาพแวดล้อม และภูมิประเทศ ในบางกรณีกลิ่นที่คนบางกลุ่มตัดสินว่าเป็นกล่ินท่ีชอบและยอมรับ
อาจเป็นกลน่ิ ทสี่ ังคมในคนอกี กลุ่มไมย่ อมรบั ก็ได้ เน่อื งจากไม่คุ้นเคยกบั กลนิ่ ชนิดน้นั ในบางกรณี กลิ่น
น้าหอมหรือกล่ินกาแฟค่ัว หากเกิดข้ึนเป็นเวลานานๆ และบ่อยๆ ก็กลายเป็นกล่ินที่ไม่ต้องการของ
สงั คมบางกล่มุ ได้

ความสัมพนั ธข์ องความเข้มของกลน่ิ กบั การตอบสนองของคนต่อกลิน่
ความเข้มของกลิ่นมีความสัมพันธ์กับระดับความรู้สึกของประสาทรับกลิ่นที่เกิดข้ึน เม่ือได้
กลิ่นสารความรู้สึกรับรู้กล่ินจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นของสารตัวอย่าง สตีเวนส์ (Stevens; 1961)
ได้สร้างสมการแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งค่าความรู้สกึ ถึงความเขม้ ของกลิ่นที่ได้ และความเข้มขน้ ของ
สารในตวั อยา่ งอากาศไวด้ งั น้ี

S = K In
เมอ่ื S = คา่ ความรสู้ ึกถึงความเข้มของกล่ินทไ่ี ด้รับ

I = คา่ ความเข้มข้นของสารกลนิ่ ในตวั อย่าง
n = คา่ คงที่
K = คา่ คงที่
และเมื่อจดั สมการใหอ้ ยู่ในรูปของ จะได้ log S = log k + n log I
เม่ือนาไปกาหนดตาแหน่ง (Plot) ระหว่างค่าความเข้มของกลิ่น (Odor Intensity) กับค่า
ความเข้มขน้ ของสาร (Concentration) ลงบนกระดาษกราฟที่เป็นลอการิทึม (log) จะไดค้ า่ ดงั น้ี
n= คา่ ความชันของกราฟ (Slope)
K = ค่าจุดตดั ที่แกน y (y- Intercept)
รูปกราฟแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างค่าความเข้มของกลิ่นกับความเข้มข้นของสาร
(Intensity-Concentration) สาหรับสาร 1-Butanol ซึ่งค่าความชันของกราฟ หรือค่า n มีชื่อเรียก
อีกอย่างว่า ฟังก์ชันความสัมพันธ์ของปริมาณการรับสัมผัสและการตอบสนอง (Dose-Response
Function) นน้ั จะแตกต่างกันไปข้ึนกับชนดิ ของสารท่ีทาให้เกดิ กล่ิน ถ้าค่าความชันของกราฟมีค่าน้อย
แสดงว่าตอ้ งใชป้ รมิ าณอากาศมาทาใหเ้ จือจางมากจงึ จะแก้ปัญหากลนิ่ ได้ ถ้าความชันของกราฟมีค่าสูง
ก็จะสามารถเจือจางให้กล่ินหายไปได้โดยรวดเร็ว สารที่มีค่าความชันของกราฟน้อย ได้แก่
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) บิวทิล อะซีเตด (Butyl Acetate) และ เอมีน (Amines)
สาหรับสารท่มี ีคา่ ความชนั ของกราฟสูงได้แก่ แอมโมเนีย (Ammonia) และอัลดไี ฮด์ (Aldehydes) ซง่ึ
กเ็ ป็นเหตผุ ลว่าทาไมคนท่อี ยู่ห่างจากแหล่งกาเนิดออกไปไกลๆ ยังไดก้ ลิ่นของ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ บวิ ทิล
อะซีเตด และ เอมีน และคนทอ่ี ย่ใู กล้แหล่งกาเนดิ ของแอมโมเนีย และ อัลดไี ฮด์ เทา่ นั้นท่จี ะไดก้ ล่ิน

บทท่ี 12 กล่ิน 137

รปู ที่ 12.1 กราฟค่าความสมั พันธ์ระหว่างความเข้มของกลน่ิ กับความเข้มของสาร (Intensity-
Concentration)
ทม่ี า : Rafson, H.J. Odor and VOC Control Handbook, Mc Graw-Hill, 1998.

สเกลอ้างองิ ในเร่ืองความเขม้ ของกล่นิ
ASTM ได้จัดทาค่าสเกลอ้างอิงที่ใช้กับความเข้มของกลิ่น โดยใช้สารวัน-บิวทานอล (1-
Butanol) เป็นสารอ้างอิงมาตรฐานในเร่ืองการระบุความเข้มของกลิ่น ประโยชน์ของการกาหนดค่า
สเกลอา้ งอิง มดี ังน้ี
• สามารถเปรียบเทียบค่าความเข้มข้นของกล่ินโดยใช้ความรู้สึกของคนท่ีตรวจวัดใน
ห้องปฎิบตั ิการแต่ละแหง่ ได้
• ทาใหข้ ้อกาหนดทใี่ ชใ้ นการควบคุมปญั หากล่นิ อยใู่ นรปู ของความเขม้ ทไี่ ดร้ ับกลน่ิ ไม่ได้อยู่ใน
รปู ของคา่ ต่าสุดของการรับรู้กลน่ิ (Threshold)
สาหรับข้อเสียในเร่ืองของการใช้ค่าสเกลอ้างอิงนี้ก็คือ บางกรณีก็เป็นการยากที่จะ
เปรยี บเทียบสารท่มี ีลักษณะของกล่นิ แตกต่างไปจากสารทใี่ ชอ้ ้างอิงได้
ผลกระทบต่อสุขภาพ
การเกิดกล่ินน้ันสามารถใช้เป็นสัญญาณเตือนถึงผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึนต่อสุขภาพ ของ
สารเคมีที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามได้มีการใช้ประโยชน์ของกล่ินในการเตือนอันตรายท่ีจะเกิดขึ้น
หากไดก้ ลนิ่ เชน่ การเตมิ สารเอทลิ เมอร์แคปแทน (Ethyl Mercaptan) ลงไปในก๊าซธรรมชาติ ซงึ่ เดิม

บทท่ี 12 กล่ิน 138

ไม่มีกลิ่น ท้ังนี้เพื่อประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ทราบหากมีก๊าซรั่ว ก็จะได้กล่ินเหม็นคลา้ ยกลน่ิ ไข่เนา่
ของสารเอทิลเมอร์แคปแทน จะได้รีบดาเนินการแก้ไขปัญหาหรือหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้
ทนั ท่วงที

มนุษย์เราสามารถได้กลิ่นของสารในระดับที่รับรู้ได้ แม้ว่าความเข้มข้นของสารนั้นยังไม่อยู่ใน
ระดับที่จะก่อให้เกิดผลกระทบหรืออันตรายต่อสุขภาพ เช่น เราจะได้กลิ่นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์
(Hydrogen Sulfide; H2S) ที่ความเขม้ ขน้ เพียง 0.01 สว่ นในล้านส่วน (ppm) ในขณะท่ีความเข้มข้น
ทจ่ี ะก่อให้เกิดอนั ตรายต่อสุขภาพสงู ถึง 10 ppm คา่ ขีดจากดั ความปลอดภัยเฉลยี่ ตลอดระยะเวลาการ
ทางาน (Threshold Limit Value Time - Weighted Average) ที่กาหนดโดยสมาคมนักสุขศาสตร์
อุตสาหกรรมภาครฐั บาลของสหรฐั อเมริกา (American Conference of Governmental Industrial
Hygienists ; ACGIH) ดังนั้นการที่ได้กลิน่ ก๊าซไข่เน่า ก็ไม่ได้หมายความว่ากล่ินที่เกิดข้ึนจะอยู่ในระดบั
ทีท่ าให้เกิดปญั หาตอ่ สุขภาพเสมอไป ระดับกลน่ิ ทจ่ี ะมีผลกระทบต่อสขุ ภาพนั้นจะแตกตา่ งกนั ไปข้ึนกับ
ชนิดของสาร ข้อมูลของผลกระทบของสารแต่ละชนิดที่มีต่อสุขภาพนั้น ได้แสดงไว้ในตารางแสดง
คุณสมบตั ิของสารเคมีทีม่ ีกล่ิน

กฎหมายระเบียบท่ีเกี่ยวข้อง

ก่อน พ.ศ. 2548 ประเทศไทยยังไม่มีข้อกาหนดทางกฎหมาย หรือค่ามาตรฐานสาหรับการ
ควบคุมปัญหากลิ่นเหม็นจากแหล่งกาเนิดต่าง ๆ โดยตรง มีเพียงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องใน
ด้านมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งสารมลพิษจากแหล่งกาเนิดและกฎเกณฑ์ในการควบคุมสิ่งที่
กอ่ ให้เกิดความเดอื ดรอ้ นราคาญ ดงั นี้

1. พระราชบัญญตั ิสง่ เสริมและรกั ษาคุณภาพสิง่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535
ให้อานาจกรมควบคุมมลพิษใน การกาหนดมาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดล้อมในแต่ละด้าน
รวมทั้งมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศท่ัวไป มาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ควรเป็น
เครื่องช้ีมาตรฐานคุณภาพอากาศที่แท้จริงในแต่ละเขตแล้วสะท้อนไป สู่มาตรฐานควบคุมมลพิษจาก
แหลง่ กาเนิดท่ีต้องสอดคล้องมาตรฐานคุณภาพอากาศที่เป็นเสมือนเพดานดังกลา่ ว รวมทั้งมีอานาจใน
การปรบั หรอื เรียกรอ้ งค่าเสียหายจากผู้ก่อมลพษิ ได้

2. พระราชบญั ญัตโิ รงงาน พ.ศ. 2535
ให้อานาจกรมโรงงานอุตสาหกรรมในการดาเนินการท่ีเกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษทาง
อากาศ ดงั นี้

• กาหนดมาตรฐานและวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษหรือส่ิงใด ๆ ที่มี
ผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มซึง่ เกิดจากการประกอบกจิ การโรงงาน

• กาหนดข้อมูลท่ีจาเป็นเก่ียวกับการประกอบกิจการโรงงานที่ผู้ประกอบกิจการ
โรงงานตอ้ งแจ้งใหท้ ราบเป็นครง้ั คราวหรอื ตามระยะเวลาทก่ี าหนดไว้

บทที่ 12 กลิ่น 139

และยังมีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับท่ี 4 ( ลงวันท่ี 11 สิงหาคม พ . ศ . 2514) กาหนดให้
โรงงานต้องกาจัดกล่ิน เสียง ความสั่นสะเทือน ฝ่นุ ละออง เขม่า เถา้ ถา่ นทีเ่ กิดจากการประกอบกิจการ
มใิ ห้เปน็ ท่ีเดือดร้อนหรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้อาศัยใกล้เคยี ง

3. พระราชบญั ญัตสิ าธารณสขุ พ.ศ.2535
พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มีกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับมลพิษอากาศในแง่มุมของ
การกระทาให้เกดิ เหตเุ ดอื ดรอ้ นราคาญ จานวน 3 มาตรา ไดแ้ ก่
มาตรา 25 กาหนดลักษณะกิจการหรือการกระทาท่ีให้ถือว่าเป็นเหตุราคาญ ซ่ึงรวมถึงการ
กระทาใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน ส่ิงมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง
เขมา่ เถา้ หรอื กรณีอนื่ ใด จนเป็นเหตุให้เส่ือมหรอื อาจเปน็ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ (มาตรา 25(4))
มาตรา 26 และมาตรา 27 ไดใ้ หอ้ านาจแกเ่ จา้ พนักงานท้องถน่ิ สามารถมีดลุ พินิจทจี่ ะชี้ว่าการ
กระทาใดเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ และสามารถใช้อานาจทางบริหาร
ห้ามมิให้มีการกอ่ เหตรุ าคาญ หรือใหร้ ะงบั ป้องกันเหตรุ าคาญน้นั เสีย
อย่างไรก็ดีเหตุเดือดร้อนราคาญน้ี โดยลักษณะตามธรรมชาติของปัญหาจะเป็นกรณีท่ีมี
ส่ิงรบกวนเกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงค่อยมาพิจารณาว่าส่ิงรบกวนน้ันเป็นเหตุเดือดร้อนราคาญที่ต้องห้าม
หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่อยู่ในวิสัยที่สามารถออกมาตรฐานมาควบคุม ป้องกันเอาไว้ก่อนได้ ขณะที่การ
ควบคุมมลพิษอากาศด้านกล่ินจากโรงงานอุตสาหกรรมน้ันสามารถควบคุมป้องกันได้โดยตรง โดย
กาหนดเป็นมาตรฐานในการกาจดั และจดั การของเสยี ทีม่ ีสารก่อกลนิ่ ให้ถูกวิธี
อย่างไรก็ตามหากเกิดข้อร้องเรียนท่ียังเป็นปัญหาว่ากิจการน้ัน ๆ ได้ก่อเหตุเดือดร้อนราคาญ
ด้านกลิ่นหรือไม่ก็จาเป็นต้องหามาตรการตรวจวัดกลิ่นเพื่อตัดสินว่าจะต้องมีการแก้ปัญหาเพ่ิมเติม
อย่างไร หากปัญหาความขัดแย้ง หรือการร้องเรียนน้ันอยู่ในระดับเจ้าหน้าท่ีฝ่ายบริหารปกครองกรม
หรือกระทรวงท่ีดูแลอยู่ก็ สามารถหามาตรการในการตรวจวัดที่เหมาะสมมาพิจารณา โดยอาจตั้งเป็น
คณะกรรมการพิสูจน์กลิ่น หรือพนักงาน เจ้าหน้าท่ีใช้ดลุ พินิจของตนเอง หรือโดยอาศัยความเห็นจาก
ประชาชนในบรเิ วณที่เกดิ เหตุ

4. พระราชบัญญตั ิคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
เป็นกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองแรงงานที่ทางานภายในโรงงาน โดยกาหนดให้สถานประกอบการ
ตอ้ งดาเนินการเพ่ือให้คุณภาพอากาศในสถานประกอบการมีความปลอดภัยต่อคนงาน
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เร่ืองความปลอดภัยในการทางานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม
(สารเคมี) ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2520 โดยได้กาหนดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยและ
ความปลอดภัยสาหรับลูกจ้าง โดยกาหนดค่าความเข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศของการทางาน
ไม่ให้เกินค่าท่ีกาหนด และหากมีค่าสารเคมีหรือฝุ่นแร่กระจายสู่บรรยากาศของการทางานเกินกว่า
กาหนดต้องปรับปรุงแก้ไข หลังปี พ.ศ. 2548 ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เร่ือง กาหนด
มาตรฐานและวิธีการตรวจสอบกล่ินในอากาศจากโรงงาน พ.ศ.2548 , ประกาศกระทรวง
ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม เรือ่ งกาหนดมาตรฐานค่าความเข้มกล่ินของอากาศเสียท่ีปล่อยทิ้ง

บทที่ 12 กลิ่น 140

จากแหล่งกาเนิดมลพิษ พ.ศ.2553 และ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่ือง
กาหนดมาตรฐานคา่ ความเขม้ กล่ินของอากาศเสยี ท่ปี ล่อยทิง้ จากสถานที่เลี้ยงสัตว์ พ.ศ. 2556

1. ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เร่ือง กาหนดมาตรฐานและวิธีการตรวจสอบกล่ินใน
อากาศจากโรงงาน พ.ศ.2548

• ประกาศในราชกจิ จาฯ วันที่ 3 มิถนุ ายน 2548
• บงั คบั ใชต้ ง้ั แต่วันที่ 4 มิถนุ ายน 2549
• ใหม้ ีการตรวจวัดกลน่ิ จากโรงงานเมื่อมเี รือ่ งร้องเรียนจากผู้ไดร้ ับผลกระทบ
• บงั คบั ใช้กบั โรงงาน รวม 23 ประเภท (ส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตอาหาร)
• ใช้วิธกี ารตามเกบ็ ตัวอยา่ งและวเิ คราะห์ตวั อยา่ งตามที่ ASTM/JIS กาหนด
ประเภทของโรงงานอตุ สาหกรรมทตี่ ้องควบคุมค่าความเข้มกลน่ิ
1. โรงงานบ่มใบยา หรอื ยาสบู
2. โรงงานผลติ ผลเกษตรกรรม
3. โรงฆ่าสัตว์
4. โรงงานนมขน้ นมผง หรอื เนย
5. โรงงานปลากระป๋อง
6. โรงงานน้ามัน พชื หรือสตั ว์
7. โรงงานผัก หรอื ผลไม้กระป๋อง
8. โรงสีข้าว
9. โรงงานทาขนมปัง หรอื ขนมเคก้
10. โรงงานน้าตาล
11. โรงงานกาแฟ ชา โกโก้หรอื ช็อกโกแลต
12. โรงงานทาเครอื่ งปรุง
13. โรงงานทาอาหารสตั ว์
14. โรงงานสุรา
15. โรงงานผลิตเอทิลแอลกอฮอล์
16. โรงงานทาไวน์
17. โรงงานทาเบยี ร์
18. โรงงานน้าอัดลม
19. โรงงานผลติ บุหรี่
20. โรงงานฟอกหนงั
21. โรงงานยอ้ มสขี นสัตว์
22. โรงงานบรรจปุ ยุ๋ ธรรมชาติ
23. โรงงานห้องเย็น

บทที่ 12 กล่ิน 141

เอกสารอา้ งองิ

กาญจนา สวยสม. "ทฤษฎกี ารตรวจวัดกล่ินและกฎหมายท่ีเกย่ี วขอ้ งสาหรบั การวเิ คราะห์มลพิษตา่ งๆ"
ส่านกั จดั การคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคมุ มลพษิ . กรกฎาคม 2558.

กรมควบคุมมลพิษ. "การศึกษาความเหมาะสมของการกาหนดคา่ มาตรฐานและวิธกี ารตรวจวดั กลิ่น
จากฟาร์มสุกร" จดั ทาโดย บริษัท ซีเอ็มเอส เอน็ จเิ นยี รงิ่ แอนด์ แมเนจเมน้ ท์ จากดั ,
กนั ยายน 2543.

กรมควบคุมมลพิษ. "โครงการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยกี ารจัดการและควบคุมมลพิษในอากาศ (ระบบกา
จดั กลน่ิ แบบชีวภาพ)" จัดทาโดย บริษทั โปรเกรสเทคโนโลยีคอนซัลแทน็ ส์ จากดั , เมษายน
2544.

นพภาพร พานิช และคณะ. " ตาราระบบบ่าบดั มลพิษอากาศ " จดั ทาโดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม
รว่ มกับศูนยบ์ ริการวชิ าการแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, มนี าคม 2547.

สานกั เทคโนโลยีสิง่ แวดลอ้ มโรงงาน กรมโรงงานอตุสาหกรรม "ค่มู ือการจัดการสงิ่ แวดล้อม
อุตสาหกรรม", สงิ หาคม 2542.

ดรรชนี ดรรชนี 142

A ACGIH 3
Adsorption technique 28
Airborne Release 41
Airborne Radionuclide 41
Area measurement 52
Andersen Sample 75
Andersen sampler 84

B Biomarker of exposure 6
Biomarker of effect 6
Biomarker of susceptibility 6
Becquerel 38

C Cascade Impactor 20
Chemical absorption 28
Collomb per Kilogram 38
Convection 90
Conduction 90

D DS (During Shift) 7
Dichotomous Air Sampler 20
Diet (Including Drinking Water) 42
Deposition 42
Detection Thresholds 134

E EOS (End Of Shift) 7
EWW (End of Work Week) 8
External Radiation 41
Evaporation 90

F Fine Particle 13
Filtration 84
Fluorides 109


Click to View FlipBook Version