้
่
ความรู้เบืองต้นเกียวกับซากดึกดำาบรรพ ์
อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี นายพงศ์บุณย์ ปองทอง
รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล
รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี นายสุวภาคย์ อิ่มสมุทร
ผู้อำานวยการกองคุ้มครองซากดึกดำาบรรพ์ นายปรีชา สายทอง
ดัดแปลงและปรับปรุงเนื้อหาจาก หนังสือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์
โดย วัฒนา ตันเสถียร, 2557
กำาหนดเนื้อหา เรียบเรียงและออกแบบโดย นายอดุลย์วิทย์ กาวีระ
พิสูจน์อักษร นายจารุพัฒน์ พรหมวิทักษ์ และ นายวัชรนนท์ จักนิล
พิมพ์ครั้งที่ 1 จำานวน 1,500 เล่ม เดือน กันยายน 2565
จัดพิมพ์โดย กองคุ้มครองซากดึกดำาบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี
75/10 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ 0 2621 9845, 0 2621 9640
ข้อมูลทางบรรณานุกรม
กรมทรัพยากรธรณี, 2565.
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์, 128 หน้า.
1. ซากดึกดำาบรรพ์ 2. ความรู้เบื้องต้น
พิมพ์ที่ บริษัท ทูทวินพริ้นติ้ง จำากัด
10/122 หมู่ 8 ตำาบลสำาโรงเหนือ อำาเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 10270
โทรศัพท์ 0 2185 9953, 09 6996 5447 E-mail : [email protected]
ภาพปก : ปลาโบราณโปรลูซิโอโซมา ป่าสักเอนซิส (Proluciosoma pasakensis)
คำานำา
ซากดึกดาบรรพ์ถือเป็นหลักฐานของส่งมีชีวิตในอดีตท่บันทึกไว้ในช้นหิน
ั
ิ
ำ
ี
ยุคต่างๆ ที่อยู่ในโลกเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยให้เข้าใจถึงการการดำารงชีวิต วิวัฒนาการ
สภาพแวดล้อมบรรพกาล ตลอดจนการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในสมัยดึกดำาบรรพ์
โดยอาศัยการเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทำาให้
สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต และสามารถคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน
อนาคตได้เป็นอย่างดี
ซากดึกดำาบรรพ์มีการค้นพบอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ซากดึกดำาบรรพ์
จุลภาคขนาดที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า อย่างเช่น ฟอแรมินิเฟอราและ
เรดิโอลาเรีย ไปจนถึงขนาดใหญ่มหึมาหลายสิบเมตรอย่างไดโนเสาร์ โดยการศึกษา
ซากดึกดำาบรรพ์ในโลกนั้นมีประวัติมายาวนานกว่า 200 ปีแล้ว ในปัจจุบันมี
ซากดึกดำาบรรพ์ที่ค้นพบและศึกษาแล้ว อย่างน้อย 150,000 ชนิด ซึ่งคิดเป็นเพียง
ร้อยละ 0.05 ของสิ่งมีชีวิตที่คาดว่ามีอยู่ในโลกนับตั้งแต่กำาเนิดโลกขึ้นมา ดังนั้น
ั
หลักฐานของซากดึกดาบรรพ์จึงถือว่ามีความสาคัญท้งในแง่ทางด้านวิชาการและด้าน
ำ
ำ
การอนุรักษ์
หนังสือ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์ จัดทำาขึ้นเพื่อเป็นองค์ความรู้
สำาหรับประชาชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจ ได้เรียนรู้และทำาความเข้าใจ
เกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์ ผ่านเนื้อหาที่เข้าใจง่าย สามารถนำาองค์ความรู้ไปเผยแพร่
ต่อยอดได้ ตลอดจนเป็นกำาลังสำาคัญในการช่วยกันอนุรักษ์และคุ้มครองซากดึกดำาบรรพ์
่
้
่
ุ
่
็
ซงเปนมรดกทางธรรมชาตทมคณคาไมสามารถหาทดแทนใหชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และ
ึ
ี
ี
ิ
่
ศึกษาต่อไปในอนาคต
สารบัญ
สารบัญ
หน้า
หัวข้อ หน้า
หัวข้อ
o ธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยา
1
o ธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยา 1
o มาตราธรณีกาล 3
3
o มาตราธรณีกาล
o ความหมายของซากดึกดำ า บรรพ ์ ์ 7
7
o ความหมายของซากดึกดำาบรรพ
o กระบวนการกลายเป ็ ็ นซากดึกดำ า บรรพ ์ ์ 11
11
o กระบวนการกลายเปนซากดึกดำาบรรพ
o ประโยชน์ของซากดึกดำ
o ประโยชน์ของซากดึกดำาบรรพ ์ ์ 19
19
บรรพ
า
า
25
บรรพ
o แหล่งซากดึกดำ
o แหล่งซากดึกดำาบรรพ ์ ์ 25
27
์
ในประเทศไทย
์
า
บรรพ
o ซากดึกดำ
o ซากดึกดำาบรรพในประเทศไทย 27
31
o การจำาแนกซากดึกดำาบรรพ
o การจำ า แนกซากดึกดำ า บรรพ ์ ์ 31
ั
36
บรรพส
า
o ซากดึกดำาบรรพสตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง 36
ั
ั
นหลัง
ั
o ซากดึกดำ
ตว์ไม่มีกระดูกส
ฟองน้ำา
ฟอง น้ำ า 37
37
ปะการัง
39
ปะการัง 39
41
ไบรโอซัว 41
ไบรโอซัว
43
แบรคิโอพอด 43
แบรคิโอพอด
่
่
45
ยว
หอยกาบเดียว 45
หอยกาบเดี
หอยกาบคู่ 47
47
หอยกาบคู่
นอติลอยด์
49
นอติลอยด์ 49
แอมโมนอยด์ 51
แอมโมนอยด์
51
53
เทนทาคิวไลต์
เทนทาคิวไลต์ 53
55
เอไคโนเดิร์ม 55
เอไคโนเดิร์ม
57
ไทรโลไบต์
ไทรโลไบต์ 57
ออสตราคอด
ออสตราคอด 61
61
แกรปโตไลต์
แกรปโตไลต์ 63
63
66
o ซากดึกดำาบรรพสตว์มีกระดูกสนหลัง 66
์
์
า
บรรพ
o ซากดึกดำ
ส
ั
ั
นหลัง
ั
ตว์มีกระดูกส
ั
67
โคโนดอนต์ 67
โคโนดอนต์
ปลา
69
ปลา 69
ั ส
ั
สะเทินบก
73
า
สตว์สะเทินน้ำาสะเทินบก 73
ตว์สะเทิน
น้ำ
สารบัญ
สารบัญ
หน้า
หัวข้อ
หัวข้อ หน้า
75
เต่า
เต่า 75
้
้
ตว์เลื
ั
ั
ั ส
ยในทะเล
อยคลานอาศ
ั
77
สตว์เลือยคลานอาศยในทะเล 77
79
จระเข้
จระเข้ 79
่
่
้
้
ั ส
ตว์เลื
สตว์เลือยคลานทีบินได้ 81
อยคลานที
81
ั
บินได้
83
ไดโนเสาร์ 83
ไดโนเสาร์
นก 89
89
นก
้
้
ยงลูกด้วยนม
ตว์เลี
ั ส
91
ั
สตว์เลียงลูกด้วยนม 91
96
o ซากดึกดำาบรรพพช
o ซากดึกดำ า บรรพ ์ ์ พ ื ื ช 96
สาหร่าย
สาหร่าย 97
97
รอยพมพของพช 98
ิ
มพ
์
์
ของพ
รอยพ
ช
98
ื
ื
ิ
ไม้กลายเปนหิน 99
นหิน
็
็
99
ไม้กลายเป
101
เรณูส ั ั ณฐาน 101
เรณูสณฐาน
ั
ั
102
า
พ
อำ
อำาพน 102
น
ถ่านหิน
ถ่านหิน 103
103
106
o ซากดึกดำาบรรพจุลชีพ
o ซากดึกดำ า บรรพ ์ ์ จุลชีพ 106
สโตรมาโตไลต์ 107
107
สโตรมาโตไลต์
ฟอแรมินิเฟอรา
ฟอแรมินิเฟอรา 109
109
111
เรดิโอลาเรีย
เรดิโอลาเรีย 111
o ร่องรอยบรรพชีวิน
114
o ร่องรอยบรรพชีวิน 114
รอยเหยียบย่ำา
รอยเหยียบ ย่ำ า 115
115
รอยชอนไชและรอยเจาะ
รอยชอนไชและรอยเจาะ 117
117
119
ั
ั
ตว์
มูลส
์
ซากดึกดำาบรรพมูลสตว์ 119
บรรพ
า
ซากดึกดำ
์
120
ซากดึกดำาบรรพไข่
ซากดึกดำ า บรรพ ์ ์ ไข่ 120
กรวดย่อยอาหาร
120
กรวดย่อยอาหาร 120
์
์
์
การอนุรักษ
บรรพ
o o การอนุรักษซากดึกดำาบรรพ 121
121
า
ซากดึกดำ
์
123
o o เอกสารอ้างอิง 123
เอกสารอ้างอิง
หน้า 1 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ธรณีวิทยา คือ อะไร ?
ธรณีวิทยา (Geology) คือ วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติของโลก สสาร
ต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของโลก รวมทั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
ตั้งแต่กำาเนิดโลกจนถึงปัจจุบัน โดยอาศัยข้อมูลจากหิน ดิน แร่ ธาตุต่าง ๆ ทั้งด้านกายภาพ ด้านเคมี
รวมทั้งด้านชีวภาพที่ปรากฎอยู่ภายในโลก ทั้งบนผิวโลก และใต้พื้นโลก
ึ
ิ
ั
ำ
ื
นักธรณีวิทยา (Geologist) คอ ผสารวจศกษาวจย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจใน
้
ู
ทุกสรรพสิ่งลึกลงไปภายในโลกและถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคคลในสายงานอื่นๆ เพื่อการพัฒนาชีวิต
ความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ ดีขึ้นอย่างสมดุลกับธรรมชาติ โดยการศึกษาข้อมูลและหลักฐานที่ได้จาก
การสำารวจอย่างมีระบบ
ู
นักธรณีวิทยาจะบูรณาการความร้ทางธรณีวิทยากับข้อมูลท่มีอย่และถ่ายทอดเป็น
ู
ี
ความรู้ให้กับผู้อื่นนำาไปใช้ประโยชน์ โดยทั่วไปงานทางธรณีวิทยามักจะอยู่ในขั้นตอนแรกๆ ของ
โครงการต่างๆ หลังจากนั้นจะคอยควบคุม ให้คำาแนะนำา และประเมินผลกับผู้ร่วมงานจนเสร็จสิ้น
ภาพแสดงการปฏิบัติงานของนักธรณีวิทยา
ธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยา หน้า 2
บรรพชีวินวิทยา คือ อะไร ?
บรรพชีวินวิทยา (Paleontology) คือ วิชาที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตในอดีต โดยอาศัยข้อมูล
จากซากดึกดำาบรรพ์ที่หลงเหลืออยู่ รวมทั้งสายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่าง
สิ่งมีชีวิตในอดีตกับปัจจุบัน สิ่งมีชีวิตในอดีตกับสภาพแวดล้อม และการเทียบสัมพันธ์ เพื่อกำาหนด
ลำาดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นในประวัติความเป็นมาของโลก จัดเป็นวิชาธรณีวิทยาแขนงหนึ่ง
ำ
ื
ี
ท่อาศัยวิชาชีววิทยาในปัจจุบันมาใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบซากดึกดาบรรพ์เพ่อจาแนกส่งมีชีวิต
ำ
ิ
ช่วยให้เข้าใจสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในอดีตมากขึ้น
นักบรรพชีวินวิทยา (Paleontologist) คือ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์ ศึกษา
ลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ผ่านข้อมูลทั้งซากและร่อยรอย
สัตว์ต่างๆ ที่ปรากฎในชั้นหิน
ภาพแสดงการปฏิบัติงานของนักบรรพชีวินวิทยา
หน้า 3 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
มาตราธรณีกาล (Geologic Time Scale)
มาตราธรณีกาล (Geologic Time Scale : GTS) เป็นการกำาหนดลำาดับอายุทาง
ธรณีวิทยา โดยเริ่มตั้งแต่โลกกำาเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว จนถึงปัจจุบัน เพื่อแบ่ง
ช่วงเวลาตามเหตุการณ์ในประวัติของโลก ซึ่งถูกพัฒนาผ่านการศึกษาชั้นหินควบคู่กับการศึกษา
คุณสมบัติอื่นๆ เช่น วิทยาหิน คุณสมบัติทางกัมมันภาพรังสี สมบัติทางแม่เหล็กบรรพกาล และ
ซากดึกดำาบรรพ์ นักวิทยาศาสตร์โลกจึงได้กำาหนดแบ่งธรณีกาลออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ โดยตั้งชื่อ
ระบุอายุ และกำาหนดรหัสสีเพื่อใช้เป็นมาตรฐานสากล โดยทั่วไปแบ่งตามหน่วยธรณีกาลจากใหญ่
ไปเล็ก ได้แก่ บรมยุค (eon) มหายุค (era) ยุค (period) สมัย (epoch) ช่วงอายุ (age) ตามลำาดับ
โดยทั่วไปธรณีกาลของโลก แบ่งออกเป็น 4 บรมยุคหลัก ดังนี้
1. บรมยุคเฮเดียน (Hadean)
2. บรมยุคอาร์เคียน (Archean)
3. บรมยุคโปรเทอโรโซอิก (Proterozoic)
4. บรมยุคฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic)
ในลำาดับที่ 1-3 เรียกรวมว่า พรีแคมเบรียน (Precambrian) ซึ่งเป็นช่วงเวลาอัน
ยาวนานตั้งแต่ 4,600 ล้านปีก่อนจนถึงเมื่อประมาณ 540 ล้านปีก่อน ครอบคลุมเวลาไปถึง 9 ใน 10
ของธรณีกาลของโลก ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตในช่วง
ยุคแคมเบรียน หรือที่เรียกว่า ระเบิดวิวัฒนาการแคมเบรียน (Cambrian explosion)
บรมยุคฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic) เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 540 ล้านปีก่อน
จนถึงถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาของสิ่งมีชีวิตโดยแท้จริง โดยปรากฎหลักฐานของซากดึกดำาบรรพ์ที่
มีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียง 1 ใน 10 ของช่วงเวลาของโลก
่
็
แต่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำาคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยแบงเปน
3 มหายุค ดังนี้
1. มหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic) หรือมหายุคเก่า
2. มหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) หรือมหายุคกลาง
3. มหายุคซีโนโซอิก (Cenozoic) หรือมหายุคใหม่
มาตราธรณีกาล หน้า 4 มาตราธรณีกาลสากล (ภาพจาก International Commission on Stratigraphy (ICS))
หน้า 5 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
แผนภาพธรณีกาลของโลกและเหตุการณ์สำาคัญในแต่ละช่วงเวลา
มาตราธรณีกาล หน้า 6 แผนภาพแสดงธรณีกาลของโลก และจุดกำาเนิดสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่างๆ
หน้า 7 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ซากดึกดำาบรรพ คือ อะไร ?
์
ซากดึกดำาบรรพ์ หรือ fossil (อ่านว่า ฟอสซิล) มาจากรากศัพท์ภาษาละติน fossillis
หมายถึง ขุดขึ้นมา (dig up) ซึ่งถูกนำามาใช้เรียกสิ่งที่ขุดขึ้นมาจากใต้ผิวโลก ภายหลังได้นำามาใช้สื่อ
ถึงซากดึกดำาบรรพ์
นิยามตามพจนานุกรมศพท์ธรณีวิทยา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2544
ั
ซากดึกดำาบรรพ์ หรือ ฟอสซิล (fossil) คือ ซากหรือร่องรอยของบรรพชีวิน (ancient
life) ที่ประทับอยู่ในหิน บางแห่งเป็นรอยพิมพ์ บางแห่งเป็นซากที่มีซากเดิมปรากฎอยู่ รอยตีน
สัตว์ มูลสัตว์ ถ่านหิน ไม้กลายเป็นหิน รวมอยู่ในหมู่ซากดึกดำาบรรพ์นี้เหมือนกัน ซากดึกดำาบรรพ์
ชนิดใดที่สามารถบ่งบอกอายุของหินได้ เรียกว่า ซากดึกดำาบรรพ์ดัชนี (index fossil)
นิยามตาม พ.ร.บ.คุ้มครองซากดึกดำาบรรพ พ.ศ. 2551
์
ซากดึกดำาบรรพ์ หมายความว่า ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในสมัยดึกดำาบรรพ์ที่อยู่
ในชั้นเปลือกโลก หรือที่หลุด หรือที่นำาออกมาจากชั้นเปลือกโลก ทั้งนี้ ไม่รวมถึงโบราณวัตถุตาม
กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
โบราณวัตถุ (ตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถาน
แห่งชาติ พ.ศ. 2504) หมายความว่า สังหาริมทรัพย์ที่เป็นของโบราณ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือ
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของโบราณสถาน ซากมนุษย์หรือ
ซากสัตว์ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการประดิษฐ์ หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของ
สังหาริมทรัพย์นั้นเป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี
หากกล่าวให้เข้าใจง่าย ซากดึกดำาบรรพ์ คือ ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีตที่
เก็บรักษาไว้ในชั้นเปลือกโลกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นหลักฐานของสิ่งมีชีวิตในอดีต ทั้งนี้
ไม่รวมถึงซากหรือร่องรอยที่เกิดจากการกระทำาหรือที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์
ความหมายของซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 8
ั
วิธีสงเกตว่า
์
เปนซากดึกดำาบรรพหรือไม่ ?
็
1 เหมือนส่วนหนึ่งส่วนใดของสิ่งมีชีวิต
เช่น เปลือกหอย กระดูก กะโหลก ฟัน ใบไม้
ลำาต้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากลักษณะที่มีรูป
ร่างแปลกตา หรือรูปร่างโดดเด่นออกมาเมื่อ
เปรียบเทียบกับเนื้อหิน
2 มีการแปรสภาพกลายเป็นหิน
ทั้งนี้ อาจกลายเป็นหินโดยสมบูรณ์หรือบางส่วน
มีลักษณะเด่น เช่น มีสีสันไม่ฉูดฉาด มีน้ำาหนัก
มากกว่าซากสิ่งมีชีวิตปกติที่พบในปัจจุบัน
มีแร่ธาตุเข้าไปแทรกตามโครงสร้างที่เป็นช่องว่าง
ภายใน
3 เกิดจากกระบวนการตามธรรมชาติ
กล่าวคือ มีการสะสมตัวตามกระบวนการทาง
ธรณีวิทยา ซึ่งโดยทั่วไปซากดึกดำาบรรพ์จะพบใน
ชั้นหินตะกอน เช่น หินปูน หินทราย หินดินดาน
หินทรายแป้ง หรือในชั้นตะกอนธรรมชาติ เช่น
ทราย กรวด โคลน นอกจากนี้ซากดึกดำาบรรพ์
ต้องไม่พบร่องรอยที่แสดงถึงกิจกรรมของมนุษย์
ในอดีต เช่น พบร่วมกับเครื่องปั้นดินเผา ลูกปัด
เครื่องมือล่าสัตว์ หรือโครงกระดูกมนุษย์
หน้า 9 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ลักษณะของซากดึกดำาบรรพ ์
ซากดึกดำาบรรพ์สามารถพบได้ 2 ลักษณะ คือ ซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นตัว
(ฺBody fossils) และ ซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นร่องรอย (Trace fossils)
่
็
์
1. ซากดึกดำาบรรพทีเปนตัว (ฺBody fossils)
ส่วนต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่ถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน เช่น
กระดูก ฟัน ผิวหนัง ขน ใบ เปลือก ลำาต้น หรือโครงร่างอื่นๆ สามารถแบ่งตามขนาด
ได้ 2 กลุ่ม คือ ซากดึกดำาบรรพ์มหภาค และซากดึกดำาบรรพ์จุลภาค
1.1 ซากดึกดำาบรรพ์มหภาค (Macrofossils) คือ ซากดึกดำาบรรพ์ที่มี
ขนาดใหญ่ สามารถดูหรือสังเกตได้ด้วยตาเปล่า
1.2 ซากดึกดำาบรรพ์จุลภาค (Microfossils) คือ ซากดึกดำาบรรพ์ที่มี
ขนาดเล็กโดยทั่วไปมีขนาดไม่เกิน 1 มม. ต้องอาศัยกล้องจุลทรรศน์ในการศึกษา
2. ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ (Trace fossils
์
or Ichnofossils)
ร่องรอยที่เกิดจากกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในอดีตเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน เช่น
รอยตีน รอยทางเดิน รอยชอนไช มูล รังไข่ แสดงให้เห็นพฤติกรรมการดำารงชีวิตของ
สิ่งมีชีวิตในอดีต
ความหมายของซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 10
ซากดึกดำาบรรพมหภาค
์
ซากดึกดำาบรรพ์ที ่ เปนตัว ็ กระดูกไดโนเสาร์ ซากดึกดำาบรรพจุลภาค เปลือกหอย
รอยพิมพ์ใบไม้
์
ฟอแรมินิเฟอรา เรดิโอลาเรีย โคโนดอนต์
ร่องรอยบรรพชีวิน รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์
รอยตีนไดโนเสาร์
มูลปลาดึกดำาบรรพ์
หน้า 11 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
์
็
กระบวนการกลายเปนซากดึกดำาบรรพ (Fossilization)
กระบวนการกลายเป็นซากดึกดำาบรรพ์ (Fossilization) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น
ภายหลังจากสิ่งมีชีวิตตายลงและถูกฝังอยู่ใต้ผิวโลก เป็นกระบวนการที่ช่วยเก็บรักษาซากของ
สิ่งมีชีวิตในอดีตให้คงสภาพผ่านกาลเวลาอันยาวนานได้ โดยซากดึกดำาบรรพ์ที่พบอาจประกอบ
ไปด้วยซากหรือชิ้นส่วนที่หลงเหลือของสัตว์ พืช หรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่ได้รับการจัดแบ่ง
จำาแนกไว้ทางชีววิทยา และรวมถึงร่องรอยต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ซึ่งมีกระบวนการ ดังนี้
1 ตายและย่อยสลายตามธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตตายลง และตกลงสู่พื้นท้องน้ำา หรือสะสมตัวตาม
พื้นตะกอน หลังจากนั้นส่วนต่างๆ ของร่ายกายจะเริ่มย่อย
สลายตามธรรมชาติ
2 ตะกอนสะสมตัวปิดทับ
กระบวนการพัดพาของตะกอนตามธรรมชาติ โดยตัวกลาง
ต่างๆ เช่น น้ำา หรือ ลม ทำาให้สะสมตัวปิดทับซากที่หลง
เหลือของสิ่งมีชีวิตนั้น
3 แข็งตัวกลายเป็นหิน
กระบวนการฝังตัวของตะกอนผ่านไป อาจเป็นหมื่นปี
แสนปี หรือล้านปี ทำาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทาง
กายภาพและเคมีของตะกอนรวมถึงซากที่อยู่ภายในนั้น
ด้วย โดยการแทนที่หรือค่อยๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหิน
รวมถึงซากที่อยู่ภายในจึงกลายเป็นซากดึกดำาบรรพ์ด้วย
4 โผล่ขึ้นผิวโลก
กาลเวลาผ่านไป กระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
ที่ให้ชั้นหินตะกอนเกิดการยกตัวหรือเปลี่ยนแปลงสภาพ
พื้นผิว เกิดการผุพังและกัดเซาะ ทำาให้ชั้นซากดึกดำาบรรพ์
โผล่ขึ้นเหนือผิวดิน
กระบวนการกลายเปนซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 12
็
รูปแบบการเก็บรักษาซากดึกดำาบรรพ ์
(Types of fossil preservation)
ซากดึกดำาบรรพ์ในธรรมชาติจะมีรูปแบบการเก็บรักษาในชั้นเปลือกโลกที่แตกต่าง
กันออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมสะสมตัวในอดีต โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
1. ซากดึกดำาบรรพ์ที่โครงร่างไม่เปลี่ยนแปลง (Unaltered remains)
2. ซากดึกดำาบรรพ์ที่โครงร่างเปลี่ยนแปลง (Altered remains)
3. ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ์ (Trace fossils or Ichnofossils)
หน้า 13 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
่
่
์
1. ซากดึกดำาบรรพทีโครงร่างไม่เปลียนแปลง
(Unaltered remains)
1.1 ซากดึกดำาบรรพ์ที่เก็บรักษาในสภาพแบบมัมมี่ (Mummified fossils)
ซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกเก็บรักษาในสภาพที่เย็นจัด (Freezing) หรือแห้งจัด (Dessication)
ทำาให้คงสภาพเป็นซากจริง (Actual preservation) ไม่มีการผุสลาย มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
หรือทางแร่น้อยมาก ทำาให้ยังคงสภาพไว้ได้ทั้งกระดูก หนัง เส้นขน หรือแม้กระทั่งสารพันธุกรรม
ที่เหลืออยู่ โดยทั่วไปมักเป็นซากที่มีอายุทางธรณีไม่มาก เช่น ซากลูกแมมมอธที่ถูกแช่ในชั้นน้ำาแข็ง
ใต้ดิน อายุกว่า 30,000 ปีก่อน จากประเทศแคนาดา
ซากลูกแมมมอธที่ถูกฝังอยู่ในชั้นน้ำาแข็งใต้ผิวโลก
อายุประมาณ 30,000 ปีก่อน (สมัยไพลสโตซีน)
จากประเทศแคนาดา
(ภาพจาก Yugan government in bbc.com)
1.2 ซากดึกดำาบรรพ์อำาพัน (Amber)
อำาพัน (Amber) เป็นซากดึกดำาบรรพ์ของยางไม้ ส่วนใหญ่มักมาจากพืชตระกูลสนซึ่งมี
ยางเป็นจำานวนมาก โดยเกิดจากความดันและความร้อนจากการกดทับของชั้นตะกอน ทำาให้มีการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในและแข็งขึ้น มีลักษณะเป็นของแข็งสีเหลือง มักพบชิ้นส่วนของสิ่งมี
ชีวิตฝังอยู่ภายใน เช่น เศษพืช แมลงต่างๆ แมงต่างๆ หอย ขนนก หรือแม้กระทั่งสัตว์เลื้อยคลาน
ขนาดเล็ก ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ได้ทั้งเนื้อเยื่อและโครงร่างต่าง ๆ แต่ไม่เหลือสารประกอบอินทรีย์แล้ว
อำาพันที่มีสีใสและมันวาว มักถูกนำามาเจียรไนเป็นอัญมณีที่มีราคาสูง โดยแหล่งซากดึกดำาบรรพ์
อำาพันที่มีชื่อเสียงในโลก เช่น ในประเทศเมียนมาร์ และโดมินิกัน
อำาพันที่พบสัตว์เลื้อยคลานอยู่ภายใน
อายุประมาณ 99 ล้านปีก่อน
(ยุคครีเทเชียสตอนปลาย)
จากประเทศเมียนมาร์
(ภาพจาก Daza et al., 2016)
กระบวนการกลายเปนซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 14
็
1.3 การกลายสภาพในรูปกึ่งซากดึกดำาบรรพ์
(Subfossils or Semi-fossilized remains)
ซากที่ถูกฝังตามธรรมชาติ โดยจะเหลือเฉพาะโครงร่างแข็ง เช่น เปลือก หรือกระดูก
ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมฟอสเฟต ซิลิกา สารประกอบอินทรีย์เชิงซ้อน เช่น
ไคติน หรือ เคราติน โดยมีแร่ธาตุเข้าไปแทรกและตกผลึกภายในโครงร่างเพียงบางส่วน ทำาให้มี
การกลายสภาพเป็นหินหรือกลายเป็นซากดึกดำาบรรพ์ยังไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่ยังคงสภาพเดิม เช่น
ซากดึกดำาบรรพ์สุสานหอยขมที่ถูกฝังอยู่ชั้นดินโคลน ระหว่างชั้นถ่านหิน ที่เหมืองแม่เมาะ จังหวัด
ลำาปาง และซากดึกดำาบรรพ์วาฬที่ถูกฝังในชั้นตะกอนดินเหนียวทะเล ที่จังหวัดสมุทรสาคร
ซากดึกดำาบรรพ์สุสานหอยขม
อายุประมาณ 13 ล้านปีก่อน
(สมัยไมโอซีนตอนกลาง)
จากเหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำาปาง
ซากดึกดำาบรรพ์วาฬในชั้นตะกอนดินเหนียวทะเล
อายุ 3,380 ปีก่อน (สมัยโฮโลซีน)
จากอำาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร
หน้า 15 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
่
่
2. ซากดึกดำาบรรพทีโครงร่างเปลียนแปลง
์
(Altered remains)
2.1 การกลายเป็นคาร์บอน (Carbonization)
ิ
เป็นซากของส่งมีชีวิตเม่อถูกฝังตัวในตะกอนและถูกกดทับด้วยความดันและความร้อน
ื
ทำาให้สารอินทรีย์หรือธาตุอื่น เช่น ไฮโดรเจนและออกซิเจนถูกกำาจัดออกไป เหลือแต่คาร์บอน
มีลักษณะเป็นรอยพิมพ์สีดำาหรือสีเทาของถ่าน (แกรไฟต์) รูปร่างเหมือนโครงร่างเดิมประทับ
บนชั้นหิน เช่น รอยพิมพ์แกรปโตไลต์ รอยพิมพ์ใบไม้ และรอยพิมพ์ขนสัตว์
รอยพิมพ์แกรปโตไลต์ อายุประมาณ รอยพิมพ์ใบไม้ อายุประมาณ 170 ล้านปีก่อน
400 ล้านปีก่อน (ยุคดีโวเนียนตอนต้น) (ยุคจูแรสซิกตอนกลาง) จากจังหวัดตรัง
จากจังหวัดเชียงใหม่
2.2 การแทนที่ด้วยสารละลาย (Permineralization) หรือ การกลายเป็นหิน
(Petrification)
ซากของสิ่งมีชีวิตที่ถูกทับถมด้วยตะกอนธรรมชาติ และมีสารละลายจากน้ำาใต้ดินเข้ามา
ตกผลึกระหว่างช่องว่างภายในโครงร่างจนแข็งกลายเป็นหิน ทำาให้ซากหนักขึ้น แต่ยังคงปรากฎ
โครงสร้างเดิมอยู่ ซากดึกดำาบรรพ์ส่วนใหญ่มักเกิดในลักษณะนี้ เช่น กระดูกไดโนเสาร์ ไม้กลาย
เป็นหิน
กระดูกขาไดโนเสาร์ อายุประมาณ ไม้กลายเป็นหิน อายุประมาณ
150 ล้านปีก่อน (ยุคจูแรสซิกตอนปลาย) 120,000 ปีก่อน (สมัยไพลสโตซีน)
จากจังหวัดกาฬสินธุ์ จากจังหวัดตาก
กระบวนการกลายเปนซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 16
็
2.3 รอยพิมพ์ (Mold) และรูปพิมพ์ (Cast)
เกิดจากส่วนต่างๆ ของร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่ประทับเอาไว้บนชั้นหิน หากเป็นรอย
ประทับโดยตรงกับตัวซาก ทำาให้เกิดเป็นร่องรอยคล้ายเบ้าหรือแม่พิมพ์ จะเรียกว่า รอยพิมพ์
(mold) ส่วนบริเวณที่เกิดจากแร่ธาตุหรือตะกอนที่อุดเข้าไปในช่องว่างของซากเดิมที่ถูกละลายออก
้
ไปหมดแลว เรียกว่า รูปหล่อ (cast) ซึ่งมีลักษณะเหมือนซากเดิมทุกประการ ซากดึกดำาบรรพ์ใน
ลักษณะนี้มักพบในกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีเปลือกแข็ง เช่น หอยต่างๆ
รอยพิมพ์เปลือกแอมโมนอยด์ อายุประมาณ รูปหล่อเปลือกหอยกาบคู่ อายุประมาณ
250 ล้านปีก่อน (ยุคไทรแอสซิกตอนต้น) 170 ล้านปีก่อน (ยุคจูแรสซิกตอนกลาง)
จากจังหวัดพัทลุง จากจังหวัดตาก
2.4 การแทนที่ด้วยแร่ใหม่ (Replacement)
มักเกิดภายหลังจากกลายเป็นหินแล้ว แต่โครงร่างเดิมของซากดึกดำาบรรพ์ถูกละลาย
ออกไป แล้วมีแร่ธาตุอื่นๆ เข้ามาแทนที่ เช่น ไพไรต์ ฮีมาไทต์ อาจเป็นการแทนที่อย่างช้าๆ
ทีละน้อย จนยังคงมีโครงสร้างเดิมปรากฎอยู่ หรืออาจแทนที่อย่างรวดเร็ว จนไม่เหลือร่องรอย
ของโครงสร้างเดิม
เปลือกแอมโมนอยด์ที่ถูกแทนที่ด้วยแร่แบไรต์ เปลือกแบรคิโอพอดที่ถูกแทนที่ด้วยแร่ไพไรต์
อายุประมาณ 300 ล้านปีก่อน อายุประมาณ 300 ล้านปีก่อน (ยุคคาร์บอนิเฟอรัส)
(ยุคคาร์บอนิเฟอรัส) จากจังหวัดเลย จากจังหวัดเชียงราย
หน้า 17 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
2.5 การตกผลึกใหม่ (Recrytallization)
เกิดจากแร่องค์ประกอบที่อยู่ในโครงร่างแข็ง เปลี่ยนไปเป็นแร่ชนิดใหม่โดยยังคง
มีส่วนประกอบทางเคมีเหมือนเดิม ซากดึกดำาบรรพ์ของเปลือกสัตว์จะมีแร่อะราโกไนต์ ซึ่งเป็น
สารแคลเซียมคาร์บอเนตที่ไม่เสถียร กาลเวลาผ่านไปแร่เหล่านี้จะมีการจัดเรียงโครงสร้างผลึก
ใหม่กลายเป็นแร่แคลไซต์ ซึ่งมีส่วนประกอบเหมือนเดิม แต่มีความเสถียรกว่า การเกิดซาก
ดึกดำาบรรพ์ในรูปแบบนี้มักจะมีรูปร่างเหมือนเดิม แต่ลักษณะของแร่ที่เกิดขึ้นจะมีผลึกใหญ่ขึ้น
อาจเรียงต่อประสานกันคล้ายโมเสค (mozaic)
หอยกาบเดี่ยวที่ตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์ ไบรโอซัวที่ตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์ อายุ
อายุประมาณ 290 ล้านปีก่อน (ยุคเพอร์เมียน) ประมาณ 290 ล้านปีก่อน (ยุคเพอร์เมียน)
จากจังหวัดเพชรบูรณ์ จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
2.6 การกลายเป็นถ่าน (Coalification)
เป็นกระบวนการที่เกิดจากการสะสมตัวของซากพืชเป็นชั้นหนา เมื่อกาลเวลาผ่าน
ไปความดันและความร้อนทำาให้น้ำาและสารประกอบต่างๆ ที่เป็นออกซิเจนและไฮโดรเจนถูก
กำาจัดออกไป เหลือเฉพาะคาร์บอน กลายเป็นของแข็งสีดำาเงา ลักษณะเหมือนถ่านไม้ ที่เรียกว่า
“ถ่านหิน (Coal)” เป็นทรัพยากรธรณีที่นำามาใช้ประโยชน์ในการสร้างพลังงานความร้อน เพื่อ
เป็นต้นกำาเนิดในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ รวมถึงกระแสไฟฟ้าด้วย
ชั้นถ่านหินลิกไนต์ อายุประมาณ 13 ล้านปีก่อน (สมัยไมโอซีน) จากเหมืองถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำาปาง
กระบวนการกลายเปนซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 18
็
3. ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ ์
(Trace fosssils or Ichnofossils)
ร่องรอยที่เกิดจากกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในอดีต ที่พบอยู่ในหินซึ่งแต่เดิมนั้นยังคงเป็น
ร่องรอยที่ประทับหรือทิ้งไว้บนตะกอนที่ยังไม่แข็งตัว ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และแหล่งหากิน
ซึ่งแสดงให้เห็นพฤติกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เช่น การเดิน วิ่ง คลาน คืบ เลื้อย ไล่ล่าเหยื่อ
หาอาหาร กินอาหาร แทะ กัด นอน หลบภัย ขุดรู เจาะรู ตลอดจนการขับถ่าย การวางไข่ และ
การชอนไชของรากพืชด้วย
รอยตีนไดโนเสาร์ อายุประมาณ 140 ล้านปีก่อน รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์ อายุประมาณ
(ยุคครีเทเชียสตอนต้น) จากจังหวัดกาฬสินธุ์ 280 ล้านปีก่อน (ยุคเพอร์เมียน)
จากจังหวัดชุมพร
ซากดึกดำาบรรพ์ไข่สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ซากดึกดำาบรรพ์มูลสัตว์ อายุประมาณ
อายุประมาณ 130 ล้านปีก่อน (ยุคครีเทเชียสตอนต้น) 115 ล้านปีก่อน (ยุคครีเทเชียสตอนต้น)
จากจังหวัดสกลนคร จากจังหวัดนครพนม
หน้า 19 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
์
ประโยชน์ของซากดึกดำาบรรพ
ี
ำ
ู
ึ
ซากดึกดาบรรพ์เปรียบเสมือนข้อความท่บันทึกอย่ในสมุดซ่งบ่งบอกถึงเหตุการณ์ท ่ ี
เกิดขึ้นบนโลกในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อันจะนำาไปสู่ประโยชน์ในการค้นหา
ทรัพยากรธรณีท่มีคุณค่าต่อการดารงชีวิตและสามารถคาดการณ์ถึงผลกระทบท่มีต่อมนุษย์ท่อาจ
ี
ี
ี
ำ
จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
1. ประโยชน์ในการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ซากดึกดำาบรรพ์ที่ค้นพบมาในโลกและศึกษาแล้วมีหลายชนิดที่มีความเกี่ยวข้องกับ
สิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน ทำาให้ทราบถึงสายวิวัฒนาการหรือถิ่นกำาเนิดของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในปัจจุบัน
เช่น การศึกษาซากดึกดำาบรรพ์ของไดโนเสาร์ ทำาให้ทราบว่านกในปัจจุบันนั้นวิวัฒนาการมา
จากไดโนเสาร์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งการศึกษาในอดีตเชื่อว่าไดโนเสาร์นั้นสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว หรือการ
ศึกษาซากดึกดำาบรรพ์ของวาฬในอดีต พบว่าบรรพบุรุษของวาฬนั้นเคยเป็นสัตว์บกที่เดินด้วย
สี่ขาขนาดเล็กเท่ากวาง และค่อยๆ วิวัฒนาการลงสู่ทะเล เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
และแหล่งอาหารที่มีอยู่อย่างจำากัด นอกจากนี้การศึกษาซากดึกดำาบรรพ์ยังทำาให้ทราบว่าโลก
ในอดีต เคยมีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ (Mass extinction) มาแล้วอย่างน้อย 5 ครั้ง โดยครั้ง
ล่าสุดนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 66 ล้านปีก่อน หรือเมื่อสิ้นสุดยุคครีเทเชียส ซึ่งทำาให้ไดโนเสาร์ที่ไม่ได้มี
วิวัฒนาการเป็นนกรวมถึงสัตว์ขนาดใหญ่ เกิดการสูญพันธุ์ไปจากโลก
แผนภาพสายวิวัฒนาการของไดโนเสาร์ (ซ้าย) และวาฬ (ขวา) (ภาพจาก Zimmer, 2014)
ประโยชน์ของซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 20
2. ประโยชน์ในการกำาหนดอายุชั้นหิน
การกำาหนดอายุของชั้นหินนั้นทำาได้หลากหลายวิธี เช่น การศึกษาจากวิทยาหิน คุณสมบัติ
ทางกัมมันตภาพรังสี คุณสมบัติทางสนามแม่เหล็กโลกบรรพกาล รวมถึงการใช้ซากดึกดำาบรรพ์เป็นตัว
บ่งบอกอายุด้วย ซึ่งมีซากดึกดำาบรรพ์ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “ซากดึกดำาบรรพ์ดัชนี” (Index fossil)
โดยต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. พบเป็นจำานวนมากและแพร่กระจายเป็นบริเวณกว้าง อยู่ทั่วทุกภูมิภาค หรืออยู่ทั่วโลก
2. มีอัตราการวิวัฒนาการที่สูง กล่าวคือ มีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งโดย
ทั่วไปสิ่งมีชีวิตจะมีโอกาสกลายเป็นชนิดใหม่ทุก 2-3 ล้านปี
3. พบปรากฎขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งแล้วสูญพันธุ์ไป เพื่อให้ง่ายต่อการกำาหนดอายุ หากใช้
ซากดึกดำาบรรพ์ที่พบในช่วงเวลาที่ยาวนาน จะเป็นตัวกำาหนดอายุที่ไม่แน่นอนได้
ตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ดัชนีที่นิยมใช้กำาหนดอายุ เช่น กลุ่มฟิวซูลินิด (Fusulinids) มีช่วง
อายุตั้งแต่ยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนปลายจนถึงสิ้นสุดยุคเพอร์เมียน (ประมาณ 320-250 ล้านปีก่อน)
ตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ดัชนี (Index fossils) ที่ใช้เป็นตัวกำาหนดอายุในแต่ละยุคทางธรณีวิทยา
(ภาพจาก United States Geological Survey (USGS))
หน้า 21 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
3. ประโยชน์ในการศึกษาลำาดับชั้นหิน
การลำาดับชั้นหิน (Stratigraphy) เป็นวิชาทางธรณีวิทยาสาขาหนึ่งที่ศึกษาการวางตัว
การแผ่กระจาย การสืบลำาดับอายุ การจำาแนกชนิด และความสัมพันธ์ของชั้นหิน ใช้ในการศึกษา
หินที่มีการสะสมตัวเป็นชั้นๆ เช่น หินตะกอน โดยการแบ่งชั้นหินออกเป็นหน่วยตามคุณสมบัติ
ต่างๆ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. การลำาดับชั้นหินตามลักษณะหิน (Lithostratigraphy) ใช้คุณสมบัติทางกายภาพของ
หินเป็นเกณฑ์กำาหนด
2. การลำาดับชั้นหินตามอายุกาล (Chronostratigraphy) ใช้อายุของหินซึ่งเป็นตัวเลขที่
แน่นอนเป็นเกณฑ์กำาหนด
3. การลำาดับชั้นหินตามชีวภาพ (Biostratigraphy) ใช้ซากดึกดำาบรรพ์ที่พบในชั้นหิน
เป็นเกณฑ์กำาหนด
ซากดึกดำาบรรพ์มีประโยชน์ในการใช้เทียบเคียงลำาดับชั้นหินในกรณีที่พบชั้นหินที่อยู่ห่าง
ไกลกัน กล่าวคือ เป็นตัวบ่งบอกว่าชั้นหินที่พบซากดึกดำาบรรพ์ชนิดเดียวกัน ควรจะมีช่วงเวลาที่
สะสมตัวอยู่ในช่วงเดียวกัน จึงสามารถเทียบเคียงกันได้ หรือในกรณีที่เป็นซากดึกดำาบรรพ์ดัชนี
(Index fossils) ซึ่งสามารถกำาหนดอายุได้ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยบ่งบอกว่าชั้นหินชั้นไหนอายุ
มากกว่ากัน และใช้ในการเรียงลำาดับชั้นหินจากอายุแก่ไปหาอายุอ่อนได้
ตัวอย่างการเทียบสัมพันธ์ลำาดับชั้นหินโดยใช้ซากดึกดำาบรรพ์
หรือการลำาดับชั้นหินตามชีวภาพ (Biostratigraphy)
(ภาพจาก Smithsonian Institution)
ประโยชน์ของซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 22
4. ประโยชน์ในการศึกษาสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศบรรพกาล
การศึกษาชนิดซากดึกดำาบรรพ์รวมทั้งชนิดหินที่มีซากดึกดำาบรรพ์นั้น แล้วนำามาเปรียบ
เทียบกับสิ่งมีชีวิตปัจจุบัน ทำาให้สามารถแปลความหมายสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ
บรรพกาลได้ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น ชนิดและคุณสมบัติ
ของตะกอน อุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจน และแสงสว่าง ยกตัวอย่างเช่น
การค้นพบซากดึกดำาบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในทะเล เช่น ปะการัง ฟองน้ำา พลับพลึง
ทะเล นอติลอยด์ แอมโมนอยด์ บนภูเขาหินปูนยุคเพอร์เมียน (ประมาณ 280 ล้านปีก่อน) สามารถ
บ่งบอกได้ว่าเดิมพื้นที่นี้ในอดีตเคยเป็นทะเลมาก่อน แล้วกระบวนการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก
ทำาให้เกิดการยกตัวเป็นภูเขาเหมือนปัจจุบัน เนื่องจากหินปูนเป็นหินที่เกิดจากการตกตะกอนเคมี
ของสารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตส่วนใหญ่เกิดในทะเล และการพบซากดึกดำาบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต
ที่อยู่ในทะเลด้วย จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่าเคยเป็นทะเลมาก่อน
การค้นพบซากดึกดำาบรรพแพนด้ายักษ์ในประเทศไทย ช่วงสมัยไพลสโตซีนตอนกลาง
(ประมาณ 200,000 ปีก่อน) ทำาให้สันนิษฐานได้ว่าการกระจายพันธุ์ของแพนด้าน่าจะสัมพันธ์
กับอาหารของมันอย่างต้นไผ่ชนิดพิเศษท่มีเฉพาะในบริเวณท่มีอากาศเย็นในเขตอบอ่นเหมือน
ุ
ี
ี
ั
ี
ั
ุ
ประเทศจนปจจบน จึงเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยของแพนด้าในอดีตกว้างขวางกว่า
ปัจจุบัน และบ่งบอกว่าเดิมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้เคยมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น
ซากดึกดำาบรรพ์ปะการังที่พบใน
ภูเขาหินปูน อายุ 280 ล้านปีก่อน
บ่งบอกว่าเดิมพื้นที่ที่พบเคยเป็น
ท้องทะเลมาก่อน
(ภาพจาก The National
Museum of Australia)
ซากดึกดำาบรรพ์ฟันแพนด้าที่พบ
ในประเทศไทย อายุประมาณ
2 แสนปีก่อน บ่งบอกว่าใน
ประเทศไทยในอดีตเคยมีสภาพ
ภูมิอากาศหนาวเย็นในเขตอบอุ่น
เหมือนประเทศจีนปัจจุบัน
(ภาพจาก pandathings.com)
หน้า 23 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
5. ประโยชน์ในการศึกษาสภาพภูมิศาสตร์บรรพกาลและธรณีแปรสัณฐาน
การศึกษาธรณีแปรสัณฐาน (Geotectonics) เป็นการศึกษาการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก
ซึ่งเกิดจากแรงและกระบวนการภายในโลกที่มากระทำาต่อเปลือกโลก ทำาให้เปลือกโลกมีการเคลื่อนที่
ื
หรอเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยอาศัยหลักฐานทางธรณีวิทยา ทั้งหิน
แร่ โครงสร้างทางธรณีวิทยา รวมถึงซากดึกดำาบรรพ์ด้วย
ั
ี
ื
การศึกษาซากดึกดาบรรพ์ทาให้ทราบว่าการเคล่อนท่ของเปลือกโลกในอดีตน้นมีการ
ำ
ำ
เปลี่ยนแปลงอย่างไร เช่น การค้นพบซากดึกดำาบรรพชนิดเดียวกันซึ่งในปัจจุบันพบอยู่ต่างทวีปกัน
ทำาให้ทราบว่าในอดีตนั้นทวีปเหล่านี้เคยอยู่เชื่อมติดกันมาก่อน ทำาให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืชและ
สัตว์สามารถแพร่กระจายพันธุ์ไปได้
ภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกตั้งแต่ยุคเพอร์เมียนจนถึง
ปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่าเปลือกโลกนั้นมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา
(ภาพจาก United States Geological Survey (USGS))
แผนที่โลกในช่วงยุคเพอร์เมียนตอนปลายถึงไทรแอสซิกตอนต้น
แสดงหลักฐานการพบซากดึกดำาบรรพ์์ชนิดเดียวกันที่พบในแต่ละ
ทวีป บ่งบอกว่าเดิมแต่ละทวีปนั้นเคยเชื่อมต่อถึงกันเป็นมหาทวีปที่
เรียกว่า แพนเจีย (Pangea) ก่อนที่จะเคลื่อนที่แยกออกจากกัน
ประโยชน์ของซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 24
6. ประโยชน์ในการสำารวจหาแหล่งทรัพยากรธรณี
การศึกษาซากดึกดำาบรรพ์มีประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ คือ ช่วยในการสำารวจค้นหาแหล่ง
่
ั
่
ทรัพยากรธรณีต่างๆ ได้ เช่น แหล่งแร่ แหล่งถ่านหิน และแหล่งปิโตรเลียม ตวอยางเชน
่
ุ
ึ
แร่โลหะบางชนิดมีการกำาเนิดสัมพันธ์กับหินปูนยุคไทรแอสซิก การศกษากลมซาก
ดึกดำาบรรพ์ดัชนี (Index fossils) จะช่วยให้ทราบว่าหินในปูนยุคไทรแอสซิกมีการกระจายตัวอยู่
บริเวณไหน ทั้งในมิติความกว้าง ความยาว และความหนา ซึ่งจะช่วยให้การสำารวจแหล่งแร่เป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดค่าใช้จ่าย
การศึกษาซากดึกดำาบรรพ์ในสาขาเรณูวิทยา (Palynology) หรือเรณูสัณฐาน (Palyno-
morphs) ได้แก่ สปอร์และละอองเรณูของพืช และสาหร่ายวิทยา (Algology) ได้แก่ สาหร่ายทะเล
สามารถช่วยการแปลความหมายสภาพแวดล้อมการสะสมตัวในอดีต ซึ่งมีโอกาสค้นพบแหล่งต้น
กำาเนิดถ่านหินและปิโตรเลียมได้
ตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์เรณูสัณฐาน ตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์สาหร่าย (Algae)
(Palynomorphs) มีประโยชน์ในการสำารวจ มีประโยชน์ในการสำารวจหาแหล่งปิโตรเลียม
หาแหล่งถ่านหินและปิโตรเลียม
หน้า 25 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
์
แหล่งซากดึกดำาบรรพ
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ (Fossil site) คือ บริเวณที่ค้นพบซากดึกดำาบรรพ์ ซึ่งอาจมี
ซากดึกดำาบรรพ์อยู่ภายในพื้นที่ หรือเคยมีซากดึกดำาบรรพ์ แต่ได้นำาซากดึกดำาบรรพ์ออกมาจาก
พื้นที่แล้ว เนื่องจากสภาพพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกทำาลาย ซึ่งพื้นที่ที่ค้นพบนั้นถือว่าเป็นแหล่งอ้างอิง
ทางวิชาการ และยังมีโอกาสพบซากดึกดำาบรรพ์เพิ่มเติมได้ในอนาคต แหล่งซากดึกดำาบรรพ์แบ่ง
ออกเป็น 2 ประเภท คือ แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ที่ปรากฎตามธรรมชาติ และแหล่งซากดึกดำาบรรพ์
ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์
1. แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ที่ปรากฎตามธรรมชาติ
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ที่ปรากฎตามธรรมชาติ เป็นแหล่งที่เกิดจากการกัดเซาะผุพังตาม
ธรรมชาติ โดยอาศัยตัวกลาง เช่น น้ำาหรือลม ซึ่งใช้ระยะเวลายาวนานจนปรากฎซากดึกดำาบรรพ์
ที่ฝังตัวในหินโผล่ขึ้นมาบนผิวโลก เช่น น้ำาตก ถ้ำา ภูเขา หน้าผา ลำาห้วย หนองน้ำา และโขดหิน
ชายฝั่งทะเลซากดึกดำาบรรพ์ที่พบตามแหล่งธรรมชาติมักมีลักษณะไม่สมบูรณ์ เนื่องจากถูกกัดเซาะ
เป็นระยะเวลานาน จนอาจทำาให้ลักษณะโครงสร้างบางอย่างถูกทำาลายไป
ลำาห้วย ถ้ำา
ภูเขาหินปูน ชายฝั่งทะเล
แหล่งซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 26
2. แหล่งซากดึกดำาบรรพ์เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมการสำารวจเพื่อ
ค้นหาทรัพยากรธรรมชาติ หรือการสร้างสาธารณูปโภค หรืออุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ที่จำาเป็น
ต่อการดำารงชีวิต ทำาให้ซากดึกดำาบรรพ์ที่ฝังตัวในหินโผล่ขึ้นมาบนผิวโลกอย่างทันทีทันใด เช่น
การขุดเปิดภูเขาเพื่อตัดถนน การทำาเหมืองแบบเปิด การขุดสระน้ำา การเจาะสำารวจชั้นหินหรือชั้น
ตะกอน การไถปรับหน้าดินเพื่อทำาเกษตรกรรม
การตัดถนน การทำาเหมืองเปิด
การเจาะสำารวจ การไถปรับหน้าดิน
หน้า 27 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
์
ซากดึกดำาบรรพในประเทศไทย
ซากดึกดำาบรรพ์มักพบในหินตะกอน เช่น หินปูน หินทราย หินทรายแป้ง หินโคลน
และในชั้นตะกอนธรรมชาติ โดยในประเทศไทยมีการค้นพบซากดึกดำาบรรพ์ทุกประเภท ทั้งสัตว์
ไม่มีกระดูกสันหลัง สัตว์มีกระดูกสันหลัง พืช รอยบรรพชีวิน และกลุ่มจุลชีพ มีโอกาสพบได้เกือบ
ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยพบได้ทุกยุคตั้งแต่ยุคแคมเบรียน (ประมาณ 500 ล้านปีก่อน) จนถึง
อายุน้อยๆ ไม่กี่พันปี และในปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยจำาแนกชนิดไว้แล้วกว่า 2,000 ชนิด และ
ศึกษาแล้วพบว่าเป็นชนิดใหม่ที่ค้นพบในประเทศไทยเป็นแห่งแรกจำานวนกว่า 600 ชนิด ส่วนใหญ่
เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
แผนที่ประเทศไทย แสดงบริเวณที่มีโอกาสพบซากดึกดำาบรรพ์ ทั้งกลุ่มซากดึกดำาบรรพ์ในหินที่สะสมตัวในทะเล
กลุ่มซากดึกดำาบรรพ์ในหินที่สะสมตัวบนบก และกลุ่มซากดึกดำาบรรพ์ในชั้นตะกอนธรรมชาติ
์
ซากดึกดำาบรรพในประเทศไทย หน้า 28
แผนภาพแสดงซากดึกดำาบรรพ์ของประเทศไทยที่พบในชั้นหินยุคต่างๆ
หน้า 29 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
์
ซากดึกดำาบรรพในประเทศไทย
(1) ยุคแคมเบรียน (Cambrian) พบซากดึกดำาบรรพ์ที่สำาคัญ ได้แก่ ไทรโลไบต์
(Trilobites) และแบรคิโอพอด (Brachiopods) รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์ (Burrows) พบมาก
ที่ภาคใต้โดยเฉพาะที่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล ซึ่งถือเป็นแหล่งซากดึกดำาบรรพ์ที่มีอายุเก่าแก่
ที่สุดในประเทศไทย มีอายุในช่วงยุคแคมเบรียนตอนปลาย (Late Cambrian) หรือประมาณ
495 ล้านปีก่อน
(2) ยุคออร์โดวิเชียน (Ordovician) พบซากดึกดำาบรรพ์ที่สำาคัญ ได้แก่ นอติลอยด์
(Nautiloids) ไทรโลไบต์ (Trilobites) แบรคิโอพอด (Brachiopods) โคโนดอนต์ (Conodonts)
พบมากที่จังหวัดสตูล และจังหวัดกาญจนบุรี
(3) ยุคไซลูเรียน - ดีโวเนียน (Silurian – Devonian) พบซากดึกดำาบรรพ์ที่สำาคัญ
ได้แก่ แกรปโตไลต์ (Graptolites) เทนทาคิวไลต์ (Tentaculites) ไทรโลไบต์ (Trilobites)
แบรคิโอพอด (Brachiopods) โคโนดอนต์ (Conodonts) พบในบริเวณจังหวัดสตูล กาญจนบุรี
เชียงใหม่
(4) ยุคคาร์บอนิเฟอรัส - เพอร์เมียน (Carboniferous – Permian) พบซาก
ดึกดำาบรรพ์ทะเลจำานวนมาก เช่น ปะการัง (Corals) แบรคิโอพอด (Brachiopods) หอยสองฝา
(Bivalves) หอยฝาเดียว (Gastropods) ไบรโอซัว (Bryozoans) ฟิวซูลินิด (Fusulinids)
รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์ (Burrows) พบตามภูเขาหินปูนซึ่งกระจายตัวในหลายจังหวัดเกือบ
ทั่วประเทศ แหล่งที่สำาคัญบริเวณด้านทิศเหนือและตะวันตกของประเทศ เช่น จังหวัดลำาปาง
แพร่ พิษณุโลก ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร พังงา กระบี่ ตรัง สตูล
และบริเวณด้านตะวันออกของประเทศ เช่น จังหวัดเลย เพชรบูรณ์ สระบุรี ลพบุรี นครสวรรค์
สระแก้ว
(5) ยุคไทรแอสสิก (Triassic) พบซากดึกดำาบรรพ์ทะเลที่สำาคัญ คือ หอยสองฝา
(Bivalves) แอมโมนอยด์ (Ammonoids) โคโนดอนต์ (Conodonts) ฟอแรมินิเฟอรา
(Foraminiferans) พบบริเวณจังหวัดลำาปาง และยังพบหอยสองฝาน้ำาจืดในพื้นที่ที่ราบสูงโคราช
อีกหลายแห่ง นอกจากนี้ยังพบซากดึกดำาบรรพ์สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ในทะเล (Marine
reptile) ที่จังหวัดพัทลุง ส่วนซากดึกดำาบรรพ์บนบก ได้แก่ ไดโนเสาร์ (Dinosaurs) เต่า
(Turtles) ปลา (Fishes) สัตว์สะเทินน้ำาสะเทินบก (Amphibians) จระเข้ (Crocodiles) รวมทั้ง
ี
ิ
่
รองรอยบรรพชวน เช่น รอยตีนไดโนเสาร์ (Dinosaur footprints) รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์
ั
ู
ี
(Burrows) ส่วนใหญ่พบตามที่ราบสูงโคราช บริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ นครราชสมา ชยภม ิ
ขอนแก่น
ซากดึกดำาบรรพในประเทศไทย หน้า 30
์
(6) ยุคจูแรสสิก (Jurassic) พบซากดึกดำาบรรพ์ทะเลที่สำาคัญ ได้แก่ หอยสองฝา
(Bivalves) แอมโมนอยด์ (Ammonoids) แบรคิโอพอด (Brachiopods) พบบริเวณจังหวัด
ตาก สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง กระบี่ นอกจากนี้ยังพบหอยสองฝาน้ำาจืดอีก
หลายแห่งในพื้นที่ภาคใต้และที่ราบสูงโคราช ส่วนซากดึกดำาบรรพ์บนบก ได้แก่ ไดโนเสาร์
(Dinosaurs) เต่า (Turtles) ปลา (Fishes) จระเข้ (Crocodiles) สัตว์สะเทินน้ำาสะเทินบก
(Amphibians) สัตว์เลื้อยคลานที่บินได้ (Pterosaurs) รวมทั้งร่อยรอยบรรพชีวิน เช่น รอยตีน
ไดโนเสาร์ (Dinosaurs footprints) รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์ (Burrows) ส่วนใหญ่พบตาม
ที่ราบสูงโคราชในหลายจังหวัด เช่น ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร นครราชสีมา
(7) ยุคครีเทเชียส (Cretaceous) พบซากดึกดำาบรรพ์บนบกที่สำาคัญ ได้แก่ ไดโนเสาร์
(Dinosaurs) เต่า (Turtles) ปลา (Fishes) จระเข้ (Crocodiles) สัตว์เลื้อยคลานที่บินได้
(Pterosaurs) สัตว์สะเทินน้ำาสะเทินบก (Amphibians) นก (Birds) หอยสองฝาน้ำาจืด (Freshwater
bivalves) ร่อยรอยบรรพชีวิน เช่น รอยตีนไดโนเสาร์ (Dinosaurs footprints) รอยชอนไช
สัตว์ดึกดำาบรรพ์ (Burrows) ส่วนใหญ่พบตามที่ราบสูงโคราชในหลายจังหวัด เช่น ขอนแก่น
กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ หนองบัวลำาภู เลย สกลนคร อุบลราชธานี นครราชสีมา นครพนม
(8) ยุคพาลีโอจีน – นีโอจีน (Paleogene – Neogene) พบซากดึกดำาบรรพ์ที่
สำาคัญตามแหล่งเหมืองถ่านหินและแหล่งบ่อทราย คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ช้าง สัตว์กีบคู่
(กวาง กระจง หมู) สัตว์กีบคี่ (แรด ม้า) ไพรเมต (เช่น ลิง ทาร์เซียร์ ลิงลม เอป) สัตว์กินเนื้อ
(นาก พังพอน ชะมด หมาหมี) สัตว์ฟันแทะ (หนู กระรอก บีเวอร์) สัตว์กินแมลง (หนูผี)
ค้างคาว บ่าง สัตว์มีถุงหน้าท้อง นอกจากนี้ยังมีเต่า ปลา จระเข้ แหล่งซากดึกดำาบรรพ์สัตว์เลี้ยง
ลูกด้วยนมที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยพบที่เหมืองถ่านหินจังหวัดกระบี่ มีอายุช่วงสมัยอีโอซีน
ตอนปลาย (Late Eocene) หรือประมาณ 35 ล้านปีก่อน นอกจากนี้ยังพบแหล่งกระจายตัว
ตามแอ่งต่างๆ ได้แก่ จังหวัดลำาปาง ลำาพูน พะเยา เพชรบุรี นครราชสีมา
(9) ยุคควอเทอร์นารี (Quaternary) ส่วนใหญ่พบซากดึกดำาบรรพ์ตามตะกอนถ้ำา
และตามแหล่งบ่อทราย เช่น ช้าง สัตว์กีบคู่ (กวาง หมู) สัตว์กีบคี่ (แรด สมเสร็จ) ไพรเมต (ลิง
มนุษย์) สัตว์กินเนื้อ (ชะมด หมีแพนด้า ไฮยีน่า) สัตว์ฟันแทะ (หนู กระรอก) นอกจากนี้
ยังมีเต่า ปลา จระเข้ พบบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ ลำาปาง กาญจนบุรี ราชบุรี ชัยภูมิ สระบุรี
ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา นอกจากนี้ยังพบไม้กลายเป็นหินอีกหลายแห่ง
เช่น จังหวัดตาก กำาแพงเพชร พิจิตร ขอนแก่น นครราชสีมา
หน้า 31 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
การจำาแนกซากดึกดำาบรรพ ์
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าซากดึกดำาบรรพ์สามารถพบได้ 2 ลักษณะ
คือ ซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นตัว (Body fossils) และร่องรอยบรรพชีวินหรือรอย
ซากดึกดำาบรรพ์ (Trace fossils or Ichnofossils)
1. ซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นตัว (Body fossils) สามารถจำาแนกโดยใช้หลักเกณฑ์
การจำาแนกของลินเนียส (Linaean taxonomy) เหมือนกับสิ่งมีชีวิตปัจจุบัน โดย
แบ่งย่อยตามลำาดับชั้นอนุกรมวิธาน จากระดับสูงสุดไประดับต่ำาสุด ได้แก่ อาณาจักร
(Kingdom) ไฟลัม (Phylum) หรือหมวด (Division) ชั้น (Class) อันดับ (Order) วงศ์
(Family) สกุล (Genus) สปีชีส์ (Species) โดยแต่ละระดับอาจมีระดับเหนือ (Super-)
หรือ ย่อย (Sub-) หรือ เคลด (Clade) อยู่ระหว่างระดับดังกล่าวก็ได้
2. ร่องรอยบรรพชีวิน หรือรอยซากดึกดำาบรรพ์ (Trace fossils or Ichnofossils)
ใช้หลักเกณฑ์จำาแนกเหมือนกับซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นตัว ตั้งแต่ระดับอาณาจักร
(Kingdom) จนถึงอันดับ (Order) แต่ในระดับย่อยลงมาจะเป็นการจำาแนกที่แตกต่าง
ออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะสัณฐานของซากดึกดำาบรรพ์นั้น เช่น กลุ่มซากดึกดำาบรรพ์
รอยตีนและรอยทางเดิน กลุ่มซากดึกดำาบรรพ์รอยชอนไชและรอยเจาะ กลุ่มซาก
ดึกดำาบรรพ์มูลสัตว์ กลุ่มซากดึกดำาบรรพ์ไข่
การจำาแนกซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 32
ตัวอย่างการจำาแนกซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นตัว (Body fossil) และรอยซากดึกดำาบรรพ์ (Trace fossil)
การเรียกชื่อซากดึกดำาบรรพ์
นักบรรพชีวินวิทยาถือว่าซากดึกดำาบรรพ์เป็นสิ่งที่เคยมีชีวิตมาก่อนในอดีต จึงสามารถ
ใช้หลักเกณฑ์การตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่ได้รับการกำาหนดได้อย่างเป็นสากล คือ การตั้งชื่อซาก
ดึกดำาบรรพ์สัตว์รวมถึงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำา เช่น ฟอแรมมินิเฟอราและเรดิโอลาเรีย จะใช้ข้อกำาหนดของ
International Code of Zoological Nomenclature (ICZN) และซากดึกดำาบรรพ์พืชรวมถึง
สาหร่ายจะใช้ International Code of Botanical Nomenclature (ICBN) โดยอาศัยการศึกษา
รูปลักษณะสัณฐานและรูปแบบโครงสร้างชิ้นส่วนที่หลงเหลือซากถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นหินเท่านั้น
การเรียกชื่อสิ่งมีชีวิต ในปัจจุบันจะมี 2 แบบ ได้แก่ ชื่อสามัญ (Common name)
คือ ชื่อเรียกทั่วไปซึ่งจะเรียกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น และชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific
name) คือ ชื่อที่ใช้เรียกอย่างเป็นทางการในระดับสากล โดยใช้ระบบทวินาม (Binomial name)
ซึ่งกำาหนดเป็นภาษาละติน ประกอบด้วยคำาศัพท์ 2 ส่วน คือ ชื่อทั่วไปหรือชื่อสกุล (Generic
name) และ ชื่อเฉพาะหรือชื่อคุณลักษณะ (Specific epithet) โดยกำาหนดให้ใช้ตัวอักษร
ตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่และชื่อทั้งหมดพิมพ์ด้วยตัวเอียง ทั้งนี้ สำาหรับสิ่งมีชีวิตที่ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์
ไว้ก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 จะมีการพิมพ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำาหนดขึ้น
ภายหลัง จึงถือเป็นกรณียกเว้นให้สามารถใช้ชื่อตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้แล้วได้เลย
หน้า 33 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
แผนภาพการจำาแนกซากดึกดำาบรรพ์ตามลักษณะทางกายภาพและการจำาแนกทางชีววิทยา
์
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว หน้า 34
็
่
์
ซากดึกดำาบรรพทีเปนตัว (Body fossils)
็
นักบรรพชีวินวิทยานิยมจำาแนกซากดึกดำาบรรพ์ที่เป็นตัว ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ
ตามลักษณะทางกายภาพและการจำาแนกทางชีววิทยา ดังนี้
1. ซากดึกดำาบรรพ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrate fossils) คือ
กลุ่มสัตว์ที่ไม่มีแกนกระดูกสันหลังช่วยค้ำาพยุงร่างกาย เช่น ปะการัง ฟองน้ำา ไทรโลไบต์
แบรคิโอพอด หอยกาบคู่ หอยกาบเดี่ยว นอติลอยด์ แอมโมนอยด์ เอไคโนเดิร์ม ไบรโอซัว
2. ซากดึกดำาบรรพ์สัตว์มีกระดูกสันหลัง (Vertebrate fossils) คือ กลุ่มสัตว์
ที่มีแกนกระดูกสันหลังช่วยค้ำาพยุงร่างกาย เป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการสูง เช่น ไดโนเสาร์ เต่า
ปลา จระเข้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำา นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
3. ซากดึกดำาบรรพ์พืช (Plant fossils) คือ กลุ่มของพืชที่มีลำาต้น ใบ ราก หรือ
ดอก นอกจากนี้ยังรวมเอาสาหร่าย (Algae) ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์แสงได้
เหมือนพืช รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
4. ซากดึกดำาบรรพ์จุลชีพ (Microorganism fossils) คือ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ที่มีขนาดเล็กมาก ส่วนใหญ่ขนาดไม่เกิน 1 มิลลิเมตร เช่น ฟอแรมินิเฟอรา เรดิโอลาเรีย
รวมถึงกลุ่มแบคทีเรียซึ่งมักพบเป็นซากดึกดำาบรรพ์ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
หน้า 35 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ซากดึกดำาบรรพ์ไทรโลไบต์ชนิด พลาจิโอลาเรีย ภูไทอิ (Plagiolaria poothaii)
อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช
์
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - สตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง หน้า 36
็
ั
ั
ซากดึกดำาบรรพ ์
ั
ั
สตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง
(INVERTEBRATE
FOSSILS)
หน้า 37 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
1. ฟองน้ำา (Sponges)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ไฟลัม พอริเฟอรา (Phylum Porifera)
ลักษณะทั่วไป : มีโครงร่างแข็งสร้างจากแคลเซียมคาร์บอเนตหรือซิลิกา มีีรูพรุนทั่วท้ังตัว มีเซลล์
เรียงกันเป็น 2 ชั้น แต่ยังไม่มีเส้นประสาทและกล้ามเนื้อที่แท้จริง ไม่มีอวัยวะและทางเดินอาหาร
ดำารงชีวิตโดยกรองสารอาหารที่อยู่ในน้ำาเข้าผ่านทางรูด้านข้าง เรียกว่า ostium และไหลออกสู่
ช่องว่างขนาดใหญ่ด้านบน เรียกว่า osculum
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : มหายุคพรีแคมเบรียนตอนปลาย (ประมาณ 635 ล้านปีก่อน) ถือ
เป็นสัตว์กลุ่มแรกๆ ที่ปรากฎขึ้นมาบนโลก และยังคงดำารงเผ่าพันธุ์อยู่ในปัจจุบัน
สถานะปัจจุบัน : ดำารงเผ่าพันธุ์อยู่ (จำานวนกว่า 12,000 สปีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
แหล่งที่อยู่อาศัย : ส่วนใหญ่อาศัยในทะเล แต่มีบางชนิดที่อาศัยในน้ำาจืด
หินที่พบบ่อย : หินปูน หินดินดาน
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง ปรากฎเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น คล้ายถ้วยคล้าย
ท่อน้ำา คล้ายฝักถั่ว เป็นก้อนทรงกลม หรือบางชนิดมีลักษณะเป็นโครงข่ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า หากพบ
เป็นหน้าตัดจะพบลักษณะโครงสร้างภายในที่มีผนัง 2 ชั้นปรากฎชัดเจน การศึกษารายละเอียด
โครงสร้างภายในเพื่อจำาแนกซากดึกดำาบรรพฟองน้ำา จำาเป็นต้องจัดทำาแผ่นหินบาง (Thin section)
เพื่อศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ฟองน้ำาสามารถพบได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูน เช่น บริเวณจังหวัด
เพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี ราชบุรี
โครงสร้างของฟองน้ำา 3 แบบ
(ดัดแปลงจาก Jain et al., 2017)
็
์
ั
ั
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - สตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง หน้า 38
ตัวอย่างฟองน้ำารูปร่างต่างๆ (ดัดแปลงจาก Kuhn-Schneider & Rieder, 1986)
ฟองน้ำายุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน) ฟองน้ำายุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี
ฟองน้ำายุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
หน้า 39 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
2. ปะการัง (Corals)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ไฟลัม ไนดาเรีย (Phylum Cnidaria)
ชั้น แอนโธซัว (Class Anthozoa)
ลักษณะทั่วไป : มีลักษณะ 2 แบบ คือ อยู่ตัวเดียว (Solitary) หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
(Colony) มีโครงร่างแข็งสร้างจากแคลเซียมคาร์บอเนต เรียกว่า corallite ด้านบนสุดเป็นแอ่ง
เรียกว่า calice ซึ่งเป็นที่อยู่ของตัวที่เรียกว่า polyp มีแผ่นก้ันตามยาวแผ่ออกไปเป็นรัศมี เรียกว่า
septum และแผ่นกั้นตามขวางซ้อนกันหลายแผ่น เรียกว่า tabulae
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : ยุคแคมเบรียน (ประมาณ 535 ล้านปีก่อน)
สถานะปัจจุบัน : ดำารงเผ่าพันธุ์อยู่ (จำานวนกว่า 16,000 สปีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
แหล่งที่อยู่อาศัย : ส่วนใหญ่อาศัยในทะเลตื้น น้ำาใสและอุ่น มีแสงแดดส่องถึง
หินที่พบบ่อย : หินปูน
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง พวกที่อยู่ตัวเดี่ยวมักมีลักษณะคล้ายเขาสัตว์
เรียกกลุ่มนี้ว่า Rugose corals ซึ่งเป็นกลุ่มที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ส่วนพวกที่อยู่เป็นกลุ่มมีหลาย
ลักษณะทั้งเกาะรวมกันเป็นก้อนขนาดใหญ่ หรือเชื่อมต่อกันคล้ายกับกิ่งไม้ หากสังเกตหน้าตัดตาม
ขวางจะพบโครงสร้างที่แผ่ออกไปเป็นรัศมี การศึกษารายละเอียดโครงสร้างภายในเพื่อจำาแนกซาก
ดึกดำาบรรพ์ปะการังจำาเป็นต้องจัดทำาแผ่นหินบาง (Thin section) เพื่อศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ปะการังสามารถพบได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูน เช่น บริเวณจังหวัด
ลำาปาง เพชรบูรณ์ เลย ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี
ลักษณะโครงสร้างของปะการัง (ภาพจาก The Wisconsin Geological and Natural History Survey)
ั
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - สตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง หน้า 40
์
ั
็
ปะการังเขาสัตว์ (Rogose corals)
ยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
ตัวอย่างปะการังรูปร่างต่างๆ
(ภาพจาก The Illinois State Geological Survey)
ปะการังกลุ่ม (Coronial corals) ซากดึกดำาบรรพ์ปะการังภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน) ชนิด พาราอิพซิฟิลลัม ไทยแลนดิคัม (Paraipsiphyllum
อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี thailandicum Fontaine, 1988) ยุคเพอร์เมียน
ตอนกลาง (265 ล้านปีก่อน) อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์
หน้า 41 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
3. ไบรโอซัว (Bryozoans)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ไฟลัม ไบรโอซัว (Phylum Bryozoa)
ลักษณะทั่วไป : มีโครงสร้างแข็งด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต เรียกว่า zoecium เชื่อมต่อ
กันเป็นกลุ่ม เรียกว่า zooarium ลักษณะหลายรูปร่างส่วนใหญ่พบคล้ายร่างแห จึงมักเรียกว่า
เสื่อทะเล (sea mats) ภายในโครงร่างแข็งแต่ละช่องจะเป็นที่อยู่ของตัว เรียกว่า zooids มีอวัยวะ
คล้ายหนวดใช้สำาหรับดักจับอาหารในน้ำา เรียกว่า lophophore ซึ่งต่างกับปะการังที่ไม่มีส่วนนี้
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : ยุคออร์โดวิเชียน (ประมาณ 480 ล้านปีก่อน)
่
ั
ำ
์
ุ
ั
สถานะปัจจุบัน : ยงดารงเผาพนธอย (จำานวนกว่า 16,000 สปีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
่
ู
แหล่งที่อยู่อาศัย : ส่วนใหญ่อาศัยในทะเลตื้น น้ำาใสและอุ่น มีแสงแดดส่องถึง บางชนิดอาศัยใน
แหล่งน้ำาจืด
หินที่พบบ่อย : หินปูน หินดินดาน
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง มีรูปร่างที่หลากหลาย ส่วนใหญมักพบคล้าย
ตาข่าย คล้ายกิ่งไม้ และบางชนิดพบเกาะเป็นแผ่นอยู่บนวัสดุอื่นๆ เช่น เปลือกหอย ก้อนกรวด
การศึกษารายละเอียดโครงสร้างภายในของซากดึกดาบรรพ์ไบรโอซัวจาเป็นต้องทาแผ่นหินบาง
ำ
ำ
ำ
(Thin section) เพื่อการศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ั
แหล่งซากดึกดาบรรพ์ไบรโอซัวสามารถพบได้ท่วไปตามภูเขาหินปูนและแหล่งหินดินดาน
ำ
เช่น บริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
ชุมพร กระบี่
โครงสร้างของไบรโอซัว (ฺภาพจาก University of Iowa)
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - สตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง หน้า 42
์
็
ั
ั
สกุล เพนนิรีทีพอรา(Penniretepora)
(ซ้าย) และ รอมโบพอรา (Rhombopora)
(ขวา) ยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
ตัวอย่างไบรโอซัวรูปร่างต่างๆ (ภาพจาก The Illinois State Geological Survey)
สกุล เฟเนสเทลลา (Fenestella)
สกุล โพรีพอรา (Porypora) และ เฟเนสเทลลา ยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน
(Fenestella) ยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน (300-280 ล้านปีก่อน) อ.ละแม จ.ชุมพร
(300-280 ล้านปีก่อน) อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
หน้า 43 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
4. แบรคิโอพอด (Brachiopods)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ไฟลัม แบรคิโอโพดา (Phylum Brachiopoda)
ลักษณะทั่วไป : มีเปลือกแข็งหุ้มสองฝา แต่ละฝาจะมีลักษณะสมมาตรในแนวซ้ายและขวาของ
ฝาเดียวกัน ซึ่งต่างจากหอยกาบคู่หรือหอยสองฝา (Bivalves) ตรงที่มีสมมาตรระหว่างฝา มีอวัยวะ
ที่มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อ เรียกว่า pedicle ยื่นออกไปจากด้านท้ายของฝาหนึ่งที่เรียกว่า pedicle
valve แต่หอยกาบคู่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนที่ไปอย่างอิสระด้วยกล้ามเนื้อที่ยื่นออกไปจากด้านหน้า
ของเปลือกที่ทำาหน้าที่คล้ายเท้า นอกจากนี้ยังมีอวัยวะที่เรียกว่า lophophore ใช้สำาหรับดักจับ
อาหารเหมือนกับไบรโอซัวอีกด้วย
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : ยุคแคมเบรียน (ประมาณ 535 ล้านปีก่อน)
สถานะปัจจุบัน : ยังดำารงเผ่าพันธุ์อยู่ (จำานวนกว่า 13,000 สปีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
แหล่งที่อยู่อาศัย : ตามพื้นทะเล
หินที่พบบ่อย : หินปูน หินดินดาน หินโคลน
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง ซึ่งเป็นเปลือกคล้ายหอยกาบคู่ แต่ต่างกัน
ตรงที่ในฝาเดียวกันจะมีสมมาตรด้านซ้ายและขวา หากสังเกตด้านท้ายของเปลือกจะพบรูสำาหรับ
เป็นที่ยื่นออกมาของกล้ามเนื้อ
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์แบรคิโอพอดสามารถพบได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูน และหินดินดาน
เช่น บริเวณจังหวัดลำาปาง เชียงใหม่ เชียงราย ตาก เพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี เลย อุดรธานี ขอนแก่น
นครราชสีมา นครสวรรค์ กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ชุมพร พังงา ตรัง สตูล พัทลุง กระบี่
โครงสร้างของแบรคิโอพอด (ภาพจาก Jain et al., 2017)
ั
ั
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - สตว์ไม่มีกระดูกสนหลัง หน้า 44
็
์
ตัวอย่างแบรคิโอพอดรูปร่างต่างๆ (ภาพจาก The Illinois State Geological Survey)
คิตะคามิธีริส บุราวาสิ (Kitakamithyris
สกุล อะฟีออร์ธิส (Apheorthis) แบรคิโอพอดยุคดีโวเนียน buravasi Hamada, 1960)
ยุคแคมเบรียนตอนปลาย ตอนต้น (400 ล้านปีก่อน) ยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนต้น
(495 ล้านปีก่อน) อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ (350 ล้านปีก่อน) อ.กันตัง จ.ตรัง
เกาะตะรุเตา จ.สตูล
ฮุสทีเดีย ราชบุรีเอนซิส (Hustedia
ratburiensis Waterhouse & แบรคิโอพอดกลุ่มโปรดักทิด สกุล อีโอลีทโทเนีย (Eolyttonia)
Piyasin, 1970) ยุคเพอร์เมียน (Productid) ยุคเพอร์เมียน ยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
(290-250 ล้านปีก่อน) (290-250 ล้านปีก่อน) อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
อ.เมือง จ.ราชบุรี อ.สวี จ.ชุมพร
หน้า 45 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
่
5. หอยกาบเดียวหรือหอยฝาเดียว (Gastropods)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรสัตว์ (Kingdom Animalia)
ไฟลัม มอสลัสกา (Phylum Mollusca)
ชั้น แกสโตรโพดา (Class Gastropoda)
ลักษณะทั่วไป : มีเปลือกแข็งชิ้นเดียว ภายในเป็นช่องกลวง มีการขดเป็นเกลียวหลายรูปแบบ
บางชนิดมีแผ่นปิดเปลือกสร้างจากเคราตินหรือแคลเซียมคาร์บอเนต เรียกว่า operculum ทำาหน้าที่
ปิดลำาตัวเพื่อป้องกันศัตรู
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : ยุคแคมเบรียน (ประมาณ 500 ล้านปีก่อน)
สถานะปัจจุบัน : ยังดำารงเผ่าพันธุ์อยู่ (จำานวนกว่า 110,000 สปีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
แหล่งที่อยู่อาศัย : พบได้ทุกสภาพแวดล้อม ทั้งในแหล่งน้ำาทะเล น้ำาจืด และบนบก
หินที่พบบ่อย : หินปูน หินดินดาน หินโคลน และชั้นกระส้าหอย (Coquina)
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง ซึ่งเป็นเปลือก มีลักษณะเด่นคือเปลือกขด
เป็นเกลียว ภายในเป็นช่องกลวง บางชนิดมีขนาดเล็กมาก จำาเป็นตัองอาศัยการศึกษารายละเอียด
ภายใต้กล้องจุลทรรศน์
แหล่งซากดึกดำาบรรพ์หอยกาบเดี่ยวสามารถพบได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูน บางแห่งพบสะสม
ตัวเป็นชั้นหนา จนเรียกว่าเป็นสุสานหอย เช่น บริเวณจังหวัดลำาปาง อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ลพบุรี
สระบุรี นครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี กระบี่
โครงสร้างของหอยกาบเดี่ยว (ดัดแปลงจาก ฺฺBoardman et al., 1987)