็
์
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - พช หน้า 96
ื
ื
ซากดึกดำาบรรพพช
์
(PLANT FOSSILS)
หน้า 97 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
1. สาหร่าย (Algae)
สาหร่ายเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ เหมือนพืช แต่ต่างกันที่สาหร่าย
ไม่มีลำาต้น ใบ และรากที่แท้จริงเหมือนพืช ปรากฎขึ้นมาบนโลกตั้งแต่มหายุคพรีแคมเบรียน
ตอนปลาย (ประมาณ 1,500 ล้านปีก่อน) ก่อนกลุ่มพืชแท้ มีรูปร่างหลากหลาย มีขนาดตั้งแต่เล็กมาก
ขนาดไม่กี่ไมโครเมตร ไปจนถึงขนาดใหญ่ 60 เมตร เช่น สาหร่ายเคลป์ (Kelp) สาหร่ายที่
พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน คือ สาหร่ายน้ำาจืดสีเขียวที่เรียกว่า เทา เตา ไก หรือผักเตา สกุล สไปโรไจรา
(Spirogyra) ซึ่งพบได้ตามแหล่งน้ำาจืดเกือบทั่วทุกแห่งที่มีแสงแดดส่องถึง ซากดึกดำาบรรพ์ของ
สาหร่ายส่วนใหญ่มักมีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จำาเป็นต้องศึกษาภายใต้
กล้องจุลทรรศน์ บางกลุ่มที่เป็นสาหร่ายหินปูน (Calcareous algae) ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่
สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ส่วนใหญ่พบในชั้นหินปูน
รีเซปตาคูไลต์ (Recepticulite) เป็นสาหร่ายเนื้อปูน
(Calcareous algae) ขนาดใหญ่ ในหินปูนยุคออร์โดวิเชียน
ตอนกลาง (450 ล้านปีก่อน) อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
คลอสทีเรียม ไทยแลนดิคัม (Closterium thailandicum
Songtham et al., 2004) สมัยไมโอซีนตอนกลาง
(13 ล้านปีก่อน) อ.เชียงม่วน จ.พะเยา
เพดิแอสตรัม โบรีเอนัม (Pediastrum boryanum)
(Songtham, 2003) สมัยโอลิโกซีนถึงไมโอซีนตอนต้น
(25-18 ล้านปีก่อน) อ.ลี้ จ.ลำาพูน
โบทรีโอค็อกคัส บรอนิไอ
(Botryococcus braunii)
(Songtham, 2003)
สมัยโอลิโกซีนถึงไมโอซีน เพดิแอสตรัม ดูเพล็กซ์ (Pediastrum duplex)
ตอนต้น (25-18 ล้านปีก่อน) (Songtham, 2003) สมัยโอลิโกซีนถึงไมโอซีนตอนต้น
จ.ลำาพูน เชียงใหม่ และพะเยา (25-18 ล้านปีก่อน) อ.ลี้ จ.ลำาพูน
์
็
ื
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - พช หน้า 98
์
ิ
ื
2. รอยพมพของพช (Plant imprints)
ซากดึกดำาบรรพ์รอยพิมพ์ของพืช มักพบเป็นรอยพิมพ์คาร์บอน (Carbon imprints)
เกิดจากส่วนต่างๆของพืช เช่น ส่วนใบและลำาต้น ถูกฝังตัวในตะกอน จากนั้นถูกกดทับด้วยความดัน
และความรอนทำาให้สารอินทรีย์หรือธาตุอื่น เช่น ไฮโดรเจนและออกซิเจนถูกกำาจัดออกไป เหลือ
้
แต่คาร์บอน มีลักษณะเป็นรอยพิมพ์สีดำาของถ่าน (แกรไฟต์ : Graphite) ประทับบนหิน พบได้
ในชั้นหินดินดาน หินโคลน หินทรายแป้ง แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ใบไม้มักพบตามแอ่งสะสมตะกอน
ต่างๆ เช่น บริเวณจังหวัดลำาปาง ลำาพูน พะเยา เพชรบูรณ์
พืนกลุ่มเฟิน สฟีโนฟิลลัม เพชรบูรณ์เอนซี พืชกลุ่มเฟิน ไกลคีนอยเดส ปันติเอนซิส
(Sphenophyllum phetchabunense (Gleichenoides pantiensis) (Asama et al., 1981)
Asama, 1966) ยุคเพอร์เมียนตอนต้น ยุคครีเทเชียสตอนต้น (140 ล้านปีก่อน)
(280 ล้านปีก่อน) อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง
พืชกลุ่มสน วงศ์แท็กโซไดอะซีเอ พืชกลุ่มหูกวาง สกุล เทอร์มินาเลีย (Terminalia)
(Taxodiaceae) สมัยโอลิโกซีนถึงไมโอซีน สมัยไมโอซีนตอนกลาง (15 ล้านปีก่อน)
ตอนต้น (25-18 ล้านปีก่อน) อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์
อ.ลี้ จ.ลำาพูน
หน้า 99 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
็
3. ไม้กลายเปนหิน (Petrified woods)
ไม้กลายเป็นหิน (Petrified wood) คือ เนื้อไม้ที่กลายสภาพเป็นหิน เนื่องจาก
สารละลายซิลิกา (Silica) เข้าไปแทนที่เนื้อไม้อย่างช้า ๆ คือ แทนที่โมเลกุลต่อโมเลกุล จนกระทั่ง
แทนที่ทั้งหมดโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและโครงสร้าง ส่วนใหญ่ซิลิกาในเนื้อไม้นี้อยู่ในรูป
ของโอพอล (Opal) หรือคาลซิโดนี (Chalcedony) โดยมีเงื่อนไขการกำาเนิดของไม้กลายเป็นหินใน
เบื้องต้น ดังนี้
1. ไม้ต้นกำาเนิด ต้องไม่ผุพัง หรือถูกย่อยสลายก่อนถูกแทนที่ด้วยซิลิกา
2. ต้องมีแหล่งต้นกำาเนิดสารซิลิกาจากหินภูเขาไฟ หินแกรนิต หรือหินอื่นๆ ที่มีซิลิกา
3. ต้องมีน้ำาเป็นตัวปิดกั้นออกซิเจนไม่ให้ไม้ผุสลาย ทำาหน้าที่ละลายซิลิกา และพาซิลิกา
เข้าไปในเนื้อไม้
4. น้้ำาต้องมีสภาพเป็นด่างเพื่อให้ซิลิกาละลาย และเป็นกรดอ่อนเพื่อให้ซิลิกาตกผลึก
5. ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน
ซากดึกดำาบรรพ์ไม้กลายเป็นหินในประเทศไทยพบกระจายทั่วทุกภูมิภาค โดยพบซาก
ดึกดำาบรรพ์ลำาต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่เหมืองถ่านหินนาด้วง จังหวัดเลย มีอายุ
ในช่วงยุคคาร์บอนิเฟอรัส (ประมาณ 310 ล้านปีก่อน) นอกจากนี้ยังพบซากไม้กลายเป็นหินในชั้น
หินและตะกอนหลากหลายอายุ ตั้งแต่ยุคเพอร์เมียนจนถึงตะกอนยุคควอเทอร์นารีี เช่น บริเวณ
จังหวัดตาก กำาแพงเพชร เพชรบูรณ์ พิจิตร ขอนแก่น นครราชสีมา
แหล่งไม้กลายเป็นหินจังหวัดตาก เป็นแหล่งซากดึกดำาบรรพ์ไม้กลายเป็นหินที่พบท่อนไม้
ขนาดใหญ่และสมบูรณ์จำานวนมาก ในชั้นตะกอนยุคควอเทอร์นารี อายุ 120,000 ปีก่อน โดยเฉพาะ
บริเวณหลุมขุดค้นที่ 1 มีความยาวถึง 69.7 เมตร ซึ่งถูกบันทึกในสถิติโลกกินเนสส์ (Ginness World
Record) ว่าเป็นไม้กลายเป็นหินที่ยาวที่สุดในโลก
์
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - พช หน้า 100
ื
็
ไม้กลายเป็นหิน
ยุคควอเทอร์นารี
(200,000 ปีก่อน)
อ.สากเหล็ก จ.พิจิตร
ไม้กลายเป็นหิน
ยุคควอเทอร์นารี
(200,000 ปีก่อน)
อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ไม้กลายเป็นหิน
ยุคควอเทอร์นารี
(800,000 ปีก่อน)
อ.เมือง จ.นครราชสีมา
หน้า 101 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
4. เรณูสณฐาน (Palynomorphs)
ั
เรณูสัณฐาน (Palynomorphs) คือ กลุ่มละอองเรณู (Pollen) สปอร์ (Spores) ซึ่งเป็น
เซลล์สืบพันธุ์ของพืชที่มีขนาดเล็กมาก โดยทั่วไปมีขนาดไม่เกิน 200 ไมโครเมตร วิชาที่ศึกษาด้าน
เรณูสัณฐาน เรียกว่า เรณูวิทยา (Palynology) ในทางธรณีวิทยา ซากดึกดำาบรรพ์เรณูสัณฐาน
มีประโยชน์ได้ด้านการเปรียบเทียบอายุและลำาดับของชั้นหิน ส่วนทางด้านบรรพชีวินวิทยา จะมี
ประโยชน์ในการช่วยแปลความหมายของด้านพฤกษศาสตร์บรรพกาล ทั้งในแง่วิวัฒนาการ และ
แพร่กระจายพันธุ์ของพืชในแต่ละช่วงเวลา
ี
ั
เรณูสัณฐานมักถูกเก็บรักษาได้ดีในช้นหินตะกอนขนาดละเอียดท่สะสมตัวในสภาพ
ไร้ออกซิเจน ส่วนใหญ่มักมีสีเข้ม อย่างสีดำาและสีเทา เช่น หินโคลน หินทรายแป้ง หินปูนเนื้อ
ละเอียด หินเชิร์ต และถ่านหิน การศึกษาซากดึกดำาบรรพ์เรณูสัณฐานจำาเป็นต้องศึกษาภายใต้
กล้องจุลทรรศน์ เนื่องจากเป็นซากดึกดำาบรรพ์จุลภาค ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
สปอร์ของพืชตระกูลกูดเขากวาง (Watanasak, 1988)
ละอองเรณูของพืชตระกูลเมเปิ้ล (Watanasak, 1988) สมัยโอลิโกซีน-ไมโอซีนตอนต้น (25-20 ล้านปีก่อน)
สมัยไมโอซีนตอนต้น (20 ล้านปีก่อน) อ.ลี้ จ.ลำาพูน อ.ลี้ จ.ลำาพูน
สปอร์ของพืชตระกูลกระฉอดหนูหรือลิเภายุ่ง ละอองเรณูของพืชตระกูลโพทะเล (Watanasak,
(Watanasak, 1988) สมัยไมโอซีนตอนกลาง 1988) สมัยไมโอซีนตอนกลาง (15-12 ล้านปีก่อน)
(13 ล้านปีก่อน) อ.เชียงม่วน จ.พะเยา หลุมเจาะสำารวจแอ่งปัตตานี อ่าวไทย
็
์
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - พช หน้า 102
ื
ั
5. อำาพน (Ambers)
อำาพัน (Ambers) คือ ซากดึกดำาบรรพ์ยางไม้ มักจะเกิดจากยางไม้ประเภทไม้สน
จากเดิมที่เป็นของเหลวหนืดได้กลายเป็นก้อนยางที่แข็งตัว และใช้เวลานานผ่านธรณีกาล จนมี
สภาพเป็นของแข็งสีเหลือง ส่วนมากอำาพันจะมีรูปร่างเป็นหยดน้ำาตามการไหลของยางจากต้นไม้
หรือบางทีอาจจะไหลไปตามรอยแตกของต้นไม้นั้น ทำาให้เกิดเป็นรูปทรงอื่นๆ โดยปกติมักพบชิ้น
ส่วนของสิ่งมีชีวิตฝังอยู่ภายใน เช่น เศษพืช แมลงต่างๆ แมงต่างๆ หอย ขนนก หรือแม้กระทั่งสัตว์
เลื้อยคลานขนาดเล็ก ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ได้ทั้งเนื้อเยื่อและโครงร่างต่าง ๆ แต่ไม่เหลือสารประกอบ
อินทรีย์แล้ว อำาพันที่มีสีใสและมันวาว มักถูกนำามาเจียรไนเป็นอัญมณีที่มีราคาสูง โดยแหล่ง
ซากดึกดำาบรรพ์อำาพันที่มีชื่อเสียงในโลก เช่น ในประเทศเมียนมาร์ และโดมินิกัน
ี
ี
ำ
ำ
แหล่งอาพันในประเทศไทยมีโอกาสพบตามแหลงท่มซากดึกดาบรรพ์พืชเป็นจานวนมาก
่
ำ
เช่น ตามแหล่งเหมืองถ่านหิน บริเวณภาคเหนือ เช่น จังหวัดลำาปาง ลำาพูน พะเยา และในพื้นที่
ภาคใต้ เช่น จังหวัดกระบี่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ส่วนใหญ่มีสภาพไม่สมบูรณ์ สีเหลืองขุ่น จึงไม่มี
ศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าให้เป็นอัญมณีได้
ซากดึกดำาบรรพ์อำาพันยุคจูแรสซิก (170 ล้านปีก่อน) จากจังหวัดชุมพร
หน้า 103 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
6. ถ่านหิน (Coals)
ถ่านหิน (Coals) จัดเป็นซากดึกดำาบรรพ์รูปแบบหนึ่งที่เกิดจากการสะสมตัวของซาก
พืชเป็นชั้นหนา ที่เรียกว่า ชั้นพีต (Peat) เมื่อกาลเวลาผ่านไปความดันและความร้อนทำาให้น้ำาและ
สารประกอบต่างๆ ที่เป็นออกซิเจนและไฮโดรเจนถูกกำาจัดออกไป เหลือเฉพาะคาร์บอนกลายเป็น
ของแข็งสีดำาเงา ลักษณะเหมือนถ่านไม้ ถ่านหินเป็นทรัพยากรธรณีที่นำามาใช้ประโยชน์ในการสร้าง
พลังงานความร้อน เพื่อเป็นต้นกำาเนิดพลังงานในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ ตามกระบวนการ
กลายเป็นถ่าน (Coalification) สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ตามคุณสมบัติทางกายภาพและ
เคมี ดังนี้
1. ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่มีคุณภาพต่ำา มีซากพืชหลงเหลืออยู่เล็กน้อย มีสี
ดำาด้าน มีคาร์บอนร้อยละ 60-75 มีออกซิเจนและความชื้นค่อนข้างสูง สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิง
สำาหรับผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่นิยม เนื่องจากเมื่อติดไฟจะมีควันและเถ้าถ่านมาก
หรือสามารถใช้ในอุตสาหกรรมบ่มใบยาสูบได้
2. ซับบิทูมินัส (Subbituminous) เป็นถ่านหินคุณภาพต่ำาถึงปานกลาง มีสีดำาด้านหรือ
อาจมันวาว มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าลิกไนต์ มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นต่ำากว่าลิกไนต์ เป็น
เชื้อเพลิงที่มีคุณภาพกว่าลิกไนต์ จึงเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้าและงานอุตสาหกรรม
3. บิทูมินัส (Bituminous) เป็นถ่านหินคุณภาพปานกลาง มีสีดำาวาว เนื้อแน่นและ
แข็ง มีปริมาณออกซิเจนและความชื้นต่ำา มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าซับบิทูมินัส เหมาะสำาหรับใช้
เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการถลุงโลหะ และอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความร้อนสูง
4. แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหินที่มีการแปรสภาพสูงสุด เนื่องจากแรงกดดัน
และความร้อนใต้เปลือกโลกทำาให้น้ำาและสารระเหยต่างๆ ในพืชหมดไปเหลือแต่คาร์บอน
มีระยะเวลาการเกิดนานที่สุด มีสีดำา ลักษณะเนื้อแน่น แข็ง และเป็นมันวาว มีปริมาณออกซิเจน
และความชื้นต่ำา แต่มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่าถ่านหินชนิดอื่น จุดไฟติดยาก เมื่อติดไฟจะให้เปลวไฟ
สีน้ำาเงินจางๆ มีควันน้อย ให้ความร้อนสูงมาก และไม่มีสารอินทรีย์ระเหยออกมาจากการเผาไหม้
ถ่านหินประเภทนี้มันพบได้น้อย ส่วนใหญ่อยู่ในชั้นหินแข็งและฝังตัวอยู่ลึกมากจากผิวโลก ปัจจุบัน
จึงนำามาใช้ประโยชน์อย่างไม่แพร่หลายนัก เนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการนำาขึ้นมาใช้ประโยชน์
มากกว่า 2-3 เท่าเมื่อเทียบกับถ่านหินประเภทอื่นๆ
แหล่งถ่านหินที่สำาคัญในประเทศไทย เช่น เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำาปาง ซึ่งเป็นเหมือง
ถ่านหินที่ยังคงดำาเนินการอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีที่หลายแห่งที่เคยดำาเนินการในอดีต เช่น
เหมืองบ้านปู จังหวัดลำาพูน เหมืองเชียงม่วน จังหวัดพะเยา เหมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เหมือง
นาด้วง จังหวัดเลย
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - พช หน้า 104
์
็
ื
ถ่านหินแอนทราไซต์ (Anthracite) ยุคคาร์บอนิเฟอรัส ซากดึกดำาบรรพ์ไม้กลายเป็นถ่าน ยุคจูแรสซิก
(300 ล้านปีก่อน) อ.นาด้วง จ.เลย (170-150 ล้านปีก่อน) จ.กระบี่
ถ่านหินลิกไนต์ (Lignite) สมัยไมโอซีนตอนกลาง
(14-11 ล้านปีก่อน) เหมืองถ่านหินแม่เมาะ จ.ลำาปาง
หน้า 105 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ซากดึกดำาบรรพ์สโตรมาโตไลต์ อ.ละงู จ.สตูล
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - จุลชีพ หน้า 106
์
็
ซากดึกดำาบรรพจุลชีพ
์
(MICROORGANISM
FOSSILS)
หน้า 107 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
1. สโตรมาโตไลต์ (Stromatolites)
สโตรมาโตไลต์ (Stromatolites) เป็นซากดึกดำาบรรพ์ที่เกิดจากสะสมตัวพอกขึ้น
เป็นชั้นๆ ของกลุ่มจุลชีพ โดยเฉพาะไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) หรือสาหร่ายสีเขียว
แกมน้ำาเงิน (Blue-green algae) จัดเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวในโดเมนแบคทีเรีย (Domain
Bacteria) ที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่เริ่มปรากฎขึ้นมาบนโลก โดยพบ
หลักฐานชั้นสโตรมาโตไลต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อายุกว่า 3,500 ล้านปีก่อน ในทวีปออสเตรเลีย
และแอฟริกา และถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้สร้างแหล่งออกซิเจนที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กำาเนิดโลกมา
ซึ่งปัจจุบันยังคงพบอยู่ในบริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของออสเตรเลีย
สโตรมาโตไลต์ ถือเป็นโครงสร้างทางชีวภาพ ที่เกิดจากกลุ่มจุลชีพได้ดึงเอาตะกอนที่อยู่
รอบๆ มาพอกและเชื่อมประสานกันด้วยสารเคมีลักษณะเหมือนฟิล์ม (biofilms) จนเกิดเป็นชั้น
หนาขึ้นเรื่อยๆ มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมแต่ละบริเวณ เช่น แบบก้อน
กึ่งทรงกลม แบบโดม แบบแผ่ราบ หรือแบบโดมต่อกัน
ั
ั
ในประเทศไทยส่วนใหญ่มักพบช้นสโตรมาโตไลต์ในช้นหินตะกอนมหายุคพาลีโอโซอิก
โดยเฉพาะหินปูน ตั้งแต่ยุคออร์โดวิเชียนเป็นต้นไป ซึ่งกระจายตัวในหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศ
แหล่งที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง คือในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่งพบกระจายตัวอยู่หลายแห่งทั่วจังหวัด
แผนภาพจำาลองการเกิดชั้นสโตรมาโตไลต์ (ภาพจาก Government of Western Australia)
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - จุลชีพ หน้า 108
์
็
สโตรมาโตไลต์ ยุคออร์โดวิเชียน (480-450 ล้านปีก่อน) ในพื้นที่จังหวัดสตูล
สโตรมาโตไลต์ ยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
หน้า 109 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
2. ฟอแรมินิเฟอรา (Foraminiferans)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรโปรติสตา (Kingdom Protista)
ไฟลัม ฟอแรมินิเฟอรา (Phylum Foraminifera)
ลักษณะทั่วไป : เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่มีโครงร่างแข็งห่อหุ้มมักสร้างจากแคลเซียมคาร์บอเนต
หรือซิลิกา มักเรียนสั้นๆว่า ฟอแรม (Forams) ส่วนใหญ่มีขนาดไม่เกิน 1 มิลลิเมตร แต่มีบางกลุ่มที่
มีขนาดใหญ่ ซึ่งอาจใหญ่ได้ถึง 20 เซนติเมตร มีรูปร่างที่หลากหลาย เช่น รูปทรงกลม รูปพระจันทร์
เสี้ยว รูปแท่ง รูปกรวย
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : มหายุคพรีแคมเบรียนตอนปลาย (ประมาณ 542 ล้านปีก่อน)
ำ
ู
ั
ั
่
์
สถานะปัจจุบัน : ยงดารงเผาพนธอย (จำานวนกว่า 50,000 สปีีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
่
ุ
แหล่งที่อยู่อาศัย : ส่วนใหญ่อาศัยตามพื้นทะเล บางชนิดก็อาศัยแบบล่องลอยอยู่ในทะเล
หินที่พบบ่อย : หินปูน หินดินดาน หินเชิร์ต
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง มีรูปร่างที่หลากหลาย ซึ่งเป็นลักษณะสำาคัญ
ในการจำาแนกชนิด การศึกษาซากดึกดำาบรรพ์ฟอแรมินิเฟอราต้องศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์
เนื่องจากส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก และต้องศึกษาลักษณะโครงสร้างภายในเพื่อจำาแนกชนิดด้วย
ซากดึกดำาบรรพ์ฟอแรมมินิเฟอราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คือ กลุ่มฟิวซูลินิด
(Fusulinids) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อสิ้นสุดยุคเพอร์เมียน จัดอยู่ในอันดับ
ิ
ิ
ฟวซลนดา (Order Fusulinida) ส่วนใหญ่มีขนาดมากกว่า 2 มิลลิเมตร บางชนิดมีความยาวมาก
ิ
ู
ถึง 5 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นทรงรี คล้ายเม็ดข้าวสาร ทำาให้ถูกเรียกว่า “ข้าวสารหิน”
หรือ “คตข้าวสาร” มักพบตามภูเขาหินปูน ซากดึกดำาบรรพ์ฟิวซูลินิดถือเป็นซากดึกดำาบรรพ์ดัชนี
(Index fossil) ในช่วงยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนกลางถึงยุคเพอร์เมียน (Middle Carboniferous -
Permian) หรือประมาณ 320-252 ล้านปีก่อน เนื่องจากพบปรากฎเฉพาะในช่วงเวลาดังกล่าวเท่านั้น
ซากดึกดำาบรรพ์ฟิวซูลินิดประเทศไทยสามารถพบได้ตามภูเขาหินปูนยุคเพอร์เมียน
ซึ่งกระจายตัวอยู่หลายแห่ง เช่น จังหวัดลำาปาง แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี
สระแก้ว นครสวรรค์ กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี กระบี่
โครงสร้างภายในของฟิวซูลินิด
(ภาพจาก Kuhn-Schneider &
Rieber, 1986)
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - จุลชีพ หน้า 110
์
็
ตัวอย่างฟอแรมินิเฟอรารูปร่างต่างๆ
(ภาพจาก Kuhn-Schneider &
Rieber, 1986)
ฟิวซูลินิดชนิด เวอร์บีกินา เวอร์บิกิ
(Verbeekina verbeeki) ยุคเพอร์เมียน
ตอนกลาง (280-260 ล้านปีก่อน)
อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์
ฟิวซูลินิดยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์
ฟิวซูลินิดภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ชนิด พาราฟิวซูลินา เลยเอนซิส ฟิวซูลินิดยุคเพอร์เมียน
(Parafusulina loeyensis Pitakpaivan, 1965) ยุคเพอร์เมียน (290-250 ล้านปีก่อน)
ตอนกลาง (270 ล้านปีก่อน) อ.วังสะพุง จ.เลย อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี
หน้า 111 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
3. เรดิโอลาเรีย (Radiolarians)
อนุกรมวิธาน : อาณาจักรโปรติสตา (Kingdom Protista)
ไฟลัม เรดิโอลาเรีย (Phylum Radiolaria)
ลักษณะทั่วไป : เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่มีโครงร่างแข็งห่อหุ้มสร้างจากซิลิกา (Silica) ส่วนใหญ่
มีขนาดไม่เกิน 0.2 มิลลิเมตร มีรูพรุนอยู่ในโครงร่าง เป็นช่องสำาหรับให้อวัยวะยื่นแผ่ออกไปเป็น
รัศมี (radius) อันเป็นที่มาของชื่อเรียก มีหลากหลายรูปร่าง เช่น รูปทรงกลม รูปทรงกรวย
ช่วงเวลาที่ปรากฎบนโลก : ยุคแคมเบรียน (ประมาณ 535 ล้านปีก่อน)
ู
่
์
ั
ุ
ั
สถานะปัจจุบัน : ยงดารงเผาพนธอย (จำานวนกว่า 15,000 สปีชีส์ ทั้งที่มีชีวิตและสูญพันธุ์ไปแล้ว)
่
ำ
แหล่งที่อยู่อาศัย : ส่วนใหญ่ดำารงชีวิตแบบล่องลอยอยู่ในทะเล
หินที่พบบ่อย : หินเชิร์ต
ลักษณะซากดึกดำาบรรพ์ : พบเฉพาะโครงร่างแข็ง มีรูปร่างที่หลากหลาย มีขนาดเล็กมาก
จึงต้องอาศัยการศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ซากดึกดำาบรรพ์เรดิโอลาเรียถือเป็นซากดึกดำาบรรพ์
ดัชนี (Index fossil) ที่สำาคัญ เนื่องจากแต่ละชนิดจะมีช่วงชีวิตที่สั้น มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป
ตามธรณีกาล จึงสามารถกำาหนดอายุได้แน่นอน
ซากดึกดำาบรรพ์เรดิโอลาเรียสามารถพบได้ตามชั้นหินเชิร์ต ซึ่งเป็นหินตะกอนที่เกิดจาก
การสะสมตัวของสารละลายซิลิกา พบได้หลายแห่ง เช่น บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่
ลำาปาง แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำาแพงเพชร เพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี ปราจีนบุรี สระแก้ว
ระยอง กาญจนบุรี ราชบุรี นครศรีธรรมราช พัทลุง สตูล กระบี่
โครงสร้างภายในของเรดิโอลาเรีย (ภาพจาก Haq & Boersma, 1978)
ซากดึกดำาบรรพที ่ เปนตัว - จุลชีพ หน้า 112
์
็
อาร์โคซีร์เทียม ไรดีลี
(Archocyrtium reideli)
(Saesaengseerung et al, 2007)
ยุคดีโวเนียนตอนปลายถึงคาร์บอ-
นิเฟอรัสตอนต้น (370-350
ล้านปีก่อน) อ.ปากชม จ.เลย
ตัวอย่างเรดิโอลาเรียรูปร่างต่างๆ (ดัดแปลงจาก Jain, 2017)
แล็กซ์โตรัม ฮินได (Laxtorum hindei) (ซ้าย) และ
ไพเลนโตนีมา แอนทีคกา (Pylentonema antiqua)
(Sashida et al, 2021) ยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนต้น ซูโดสไตโลสฟีรา เฮลเลนิกา (Pseudostylosphaera
(350-340 ล้านปีก่อน) อ.สะเดา จ.สงขลา hellenica) (ขวา) (Kamata et al, 2002)
ยุคไทรแอสซิก (240-230 ล้านปีก่อน)
อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
หน้า 113 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
รอยตีนไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ภูแฝก จ.กาฬสินธุ์
ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 114
ร่องรอยบรรพชีวินหรือ
รอยซากดึกดำาบรรพ ์
(TRACE FOSSILS or
ICHNOFOSSILS)
หน้า 115 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ ์
(Trace fossils or Ichnofossils)
ร่องรอยที่เกิดจากกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตในอดีตเก็บรักษาไว้ในชั้นหิน ซึ่งแสดงให้เห็น
พฤติกรรมการดำารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในอดีต รวมถึงสภาพแวดล้อมบรรพกาลในบริเวณที่สิ่งมีชีวิต
นั้นอาศัยอยู่ด้วย วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต เรียกว่า รอยชีวินวิทยา
(Ichnology) ร่องรอยบรรพชีวิน สามารถจำาแนกได้ 5 รูปแบบ ดังนี้
1. รอยเหยียบย่ำา (Fossil tracks)
2. รอยชอนไชและรอยเจาะ (Burrow and Boring fossils)
3. ซากดึกดำาบรรพ์มูลสัตว์ (Coprolites)
4. ซากดึกดำาบรรพ์ไข่ (Egg fossils)
5. กรวดย่่อยอาหาร (Gastroliths)
1. รอยเหยียบย่ำา (Fossil tracks)
รอยเหยียบย่ำาเป็นร่องรอยที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต เช่น การเดินและ
การวิ่ง แสดงให้เห็นพฤติกรรมการดำารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในอดีต เช่น การหาอาหารและการล่า
เหยื่อ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบรอยตีน (Foot print หรือ Track) หากเกิดเป็นแนวทางเดินไปใน
ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จะเรียกว่า รอยทางเดิน (Trail หรือ Trackway) หรือในบางกรณีอาจพบ
ร่องรอยการประทับของผิวหนังอันเกิดจากการล้มหรือไล่ล่าเหยื่อ ทั้งนี้ กระบวนการเก็บรักษา
รอยเหยียบย่ำาบนชั้นหินนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชั้นตะกอนต้องอ่อนนุ่ม และร่องรอย
ต้องไม่ถูกทำาลายไปก่อนปิดทับตะกอนชุดถัดไป
ำ
่
ำ
ซากดึกดาบรรพ์รอยเหยียบยาสวนใหญ่มักเป็นรอยตีนและรอยทางเดินของสัตว ์
ดึกดำาบรรพ์ขนาดใหญ่ เช่น ไดโนเสาร์ จระเข้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยในประเทศไทยพบบริเวณ
ที่ราบสูงโคราช เช่น บริเวณจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนม เลย ชัยภูมิ หนองบัวลำาภู
แผนภาพจำาลองการเกิดรอยตีนสัตว์ดึกดำาบรรพ์
ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ - รอยเหยียบย่ำา หน้า 116
์
รอยตีนไดโนเสาร์ท่าอุเทน
จ.นครพนม แหล่งรอยตีน
ไดโนเสาร์ที่มีจำานวนมากกว่า
600 รอยประทับอยู่ใน
หินทรายยุคครีเทเชียส
ตอนต้น (115 ล้านปีก่อน)
รอยทางเดินของสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มอาร์โคซอร์
รอยทางเดินอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่เกาะตะรุเตา จ.สตูล ยุคแรกๆ (Primitive archosaurs) อ.น้ำาหนาว
เป็นรอยของสัตว์มีข้อปล้อง (Arthropod) ยุคแคมเบรียน จ.เพชรบูรณ์ ประทับอยู่ในหน้าผาหินโคลน
ตอนปลาย (495 ล้านปีก่อน) ยุคไทรแอสซิกตอนปลาย (220 ล้านปีก่อน)
รอยตีนไดโนเสาร์ภูแฝก จ.กาฬสินธุ์ รอยตีนไดโนเสาร์ภูหลวง จ.เลย
ยุคครีเทเชียสตอนต้น (140 ล้านปีก่อน) ยุคครีเทเชียสตอนต้น (120 ล้านปีก่อน)
หน้า 117 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
2. รอยชอนไชและรอยเจาะ (Burrow and
boring fossils)
รอยชอนไชสัตว์ดึกดำาบรรพ์ (Burrow fossils) คือ รูที่สัตว์ขุดเข้าไปในขณะที่ตะกอน
พื้นดินหรือท้องน้ำายังอ่อนนุ่มหรือร่วนซุย ยังไม่แข็งตัวกลายเป็นหิน เพื่อกินสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในดิน
หรือเพื่อพักอาศัยเป็นรูที่ขุดในแนวดิ่ง แนวนอน หรือแนวเอียงๆ ทั้งในบริเวณใกล้ผิวหน้าของชั้น
หิน หรืออยู่ในชั้นหิน ต่อมาภายหลังจะมีตะกอนขนาดต่างๆ เข้าไปอุดอยู่จนเต็มกลายเป็นแท่งเป็น
หลอดตัน อาจมีผนังบางๆ ด้วยก็ได้ ตะกอนนั้นอาจเป็นส่วนที่สัตว์ขับถ่ายออกมาหลังจากที่ได้กิน
สารอาหารที่แทรกปนอยู่ไปหมดแล้ว ต่อมารูที่มีตะกอนอุดตันอยู่ก็แข็งกลายเป็นหินด้วยเช่นกัน
รอยเจาะสัตว์ดึกดำาบรรพ์ (Boring fossils) คือ รูที่เกิดจากสัตว์เจาะไปบนวัสดุที่แข็ง
อยู่แล้ว เช่น กระดูก เปลือกหอย หินแข็งหรือเนื้อไม้ อาจเป็นการเจาะเพื่อกินสารอาหารที่อยู่ใน
วัสดุนั้นหรือเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ร่องรอยที่เหลืออยู่มักเป็นรูว่างๆ ไม่มีสิ่งใดไปอุด
ำ
ำ
ี
แหล่งซากดึกดาบรรพ์รอยชอนไชสัตว์ดึกดาบรรพ์มักพบได้ตามแหล่งท่มีหินดินดาน
หรือหินโคลน ซึ่งเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนโคลนที่อ่อนนุ่มและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของ
ั
ั
ำ
์
์
ึ
ี
สัตว์ที่ดำารงชีวิตโดยการมุดอยู่ใต้ชั้นตะกอนนี้ สวนรอยเจาะสตวดกดาบรรพมกพบตามแหลงทม ี
่
่
่
ซากดึกดำาบรรพ์สัตว์ขนาดใหญ่เป็นจำานวนมาก เช่น แหล่งซากดึกดำาบรรพ์ไดโนเสาร์ ซึ่งอาจพบ
ร่องรอยการถูกเจาะโดยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหลังจากที่ตายลง หรือสุสานหอยต่างๆ ที่บริวณเปลือก
อาจถูกเจาะสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กได้
แผนภาพตัวอย่างการเกิดรอยชอนไชและ
รอยเจาะในสภาพแวดล้อมในทะเลโซนต่างๆ
(ภาพจาก Pemberton & Maceachern,
2005)
ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ - รอยชอนไชและรอยเจาะ หน้า 118
์
รอยชอนไช สกุล กอร์เดีย (Gordia) รอยชอนไช สกุล เฮลมินธอปซิส (Helminthopsis)
(วัฒนา ตันเสถียร, 2549) ยุคแคมเบรียนตอนปลาย (วัฒนา ตันเสถียร, 2549) ยุคเพอร์เมียนตอนต้น
(495 ล้านปีก่อน) เกาะตะรุเตา จ.สตูล (290-280 ล้านปีก่อน) อ.สวี จ.ชุมพร
รอยชอนไช สกุล เบอร์เกาเออเรีย (Bergaueria) และ
รอยชอนไช สกุล พลาจิอ็อกมัส (Plagiogmus) คอนไดรเทส (Chondrites) (วัฒนา ตันเสถียร, 2549)
(วัฒนา ตันเสถียร, 2549) ยุคจูแรสซิกตอนกลาง ยุคครีเทเชียสตอนต้น (140 ล้านปีก่อน)
(170 ล้านปีก่อน) อ.แม่สอด จ.ตาก อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี
รอยเจาะบนกระดูกไดโนเสาร์ยุคจูแรสซิกตอนปลาย รอยเจาะบนเปลือกหอยนางรมยักษ์สมัยโฮโลซีน
(150 ล้านปีก่อน) ภูน้อย อ.คำาม่วง จ.กาฬสินธุ์ (5,500 ปีก่อน) วัดเจดีย์หอย อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
หน้า 119 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
ั
์
3. ซากดึกดำาบรรพมูลสตว์ (Coprolites)
ซากดึกดำาบรรพ์มูลสัตว์ (Coprolites หรือ Coproliths) คือ ซากมูลของสัตว์ดึกดำาบรรพ์
ชนิดต่างๆ ที่กลายเป็นหิน อาจพบเกล็ดปลาหรือกระดูก หรือเศษอาหารที่สัตว์กินแล้วไม่ย่อย
ได้แก่ มูลหินของไดโนเสาร์ มูลหินของปลาชนิดต่างๆ (มักเรียกว่า ดักแด้หิน เนื่องจากคล้ายดักแด้
ของแมลงที่แข็งกลายเป็นหิน) ซากดึกดำาบรรพ์มูลสัตว์สามารถศึกษาเกี่ยวกับการย่อยอาหารและ
ี
ี
่
ิ
ั
ำ
้
ั
ระบบขบถายของสงมชวตได ในประเทศไทยมักพบซากดึกดาบรรพ์มูลสัตว์ตามช้นหินมหายุค
ิ
่
มีโซโซอิก ซึ่งกระจายตัวตามที่ราบสูงโคราช
มูลจระเข้ดึกดำาบรรพ์ ยุคจูแรสซิก-ครีเทเชียส
มูลปลาดึกดำาบรรพ์ ยุคไทรแอสซิกตอนปลาย (170-130 ล้านปีก่อน) อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี
(220 ล้านปีก่อน) อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
มูลสัตว์ดึกดำาบรรพ์ ยุคครีเทเชียสตอนต้น มูลสัตว์ดึกดำาบรรพ์ สมัยไมโอซีนตอนกลาง
(115 ล้านปีก่อน) อ.นาแก จ.นครพนม (13 ล้านปีก่อน) อ.เชียงม่วน จ.พะเยา
์
ั
์
ร่องรอยบรรพชีวินหรือรอยซากดึกดำาบรรพ - ซากดึกดำาบรรพมูลสตว์, ซากดึกดำาบรรพไข่ หน้า 120
์
์
4. ซากดึกดำาบรรพไข่ (Egg fossils)
ซากดึกดำาบรรพ์ไข่ (Egg fossils) คือ ซากของไข่ที่กลายเป็นหินของสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่
เช่น ไดโนเสาร์ จระเข้ เต่า นก ส่วนใหญ่มักพบเฉพาะเปลือกไข่ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งและมีโครงสร้าง
เป็นแร่ สามารถนำามาศึกษารายละเอียดได้ บางครั้งอาจพบมีตัวอ่อนอยู่ในเปลือกไข่เหล่านี้ และ
บางครั้งพบทั้งรังวางไข่ ซึ่งมีไข่หลายๆ ใบ วางเรียงตัวในลักษณะที่แตกต่างกันการศึกษารังวางไข่
สามารถบอกลักษณะทางสังคมของสัตว์แต่ละชนิดได้
ซากดึกดำาบรรพ์ไข่สัตว์เลื้อยคลาน
กลุ่มกิ้งก่า (Fermandez et al., 2015)
ยุคครีเทเชียสตอนต้น (130 ล้านปีก่อน)
ภูพอก อ.ภูพาน จ.สกลนคร
ซากดึกดำาบรรพ์เศษเปลือกไข่เต่า
(Imai et al., 2016) ยุคครีเทเชียส
ตอนต้น (130 ล้านปีก่อน)
5. กรวดย่อยอาหาร (Gastroliths) อ.เมือง จ.ชัยภูมิ
กรวดย่อยอาหาร (Gastroliths) คือ ก้อนกรวดที่สัตว์กลืนเข้าไปเพื่อช่วยย่อยอาหาร พบใน
สัตว์เลื้อยคลานและนก มีลักษณะค่อนข้างมน มีความมันวาว เนื่องจากการถูกขัดสีเป็นเวลานานเมื่อ
อยู่ในกระเพาะ มักปรากฏอยู่ใกล้บริเวณส่วนท้องของซากดึกดำาบรรพ์สัตว์เหล่านั้น หรืออาจถูกขับ
ถ่ายออกมาปนอยู่ซากดึกดำาบรรพ์มูลสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นพวกแร่ควอตซ์ เรียกว่า Gizzard Stone
ตัวอย่างกรวดที่พบร่วมกับโครงกระดูก
ไดโนเสาร์ (ภาพจาก The Western
Australian Museum)
หน้า 121 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
การอนุรักษ์ซากดึกดำาบรรพ ์
ซากดึกดำาบรรพ์ที่ถูกค้นพบตามแหล่งต่างๆ มีขั้นตอนการอนุรักษ์มีขั้นตอนดังนี้
1. การเตรียมตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์
ขั้นแรกสุดเมื่อได้ตัวอย่างมาจากแหล่งที่ค้นพบแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการเตรียมตัวอย่าง เพื่อให้เห็น
รูปร่างได้ชัดเจนขึ้นก่อนนำาไปศึกษาวิจัยในรายละเอียด โดยทำาได้หลายวิธี ดังนี้
1.1 ในกรณีที่ตัวอย่างเป็นซากดึกดำาบรรพ์สัตว์ที่มีขนาดใหญ่ฝังอยู่ในหินแข็ง จำาเป็นต้องห่อเฝือกเพื่อ
ป้องกันการเสียหายก่อนเคลื่อนย้ายไปยังห้องปฏิบัติการ หลังจากนั้นจึงทำาความสะอาดโดยการสกัดก้อนหินที่ติด
ิ
ั
่
้
ี
ั
อยู่กับซากดึกดำาบรรพ์ออกไปด้วยเครื่องมือสกัดหิน เช่น ปากกาลม คอน มดสกดหน หากตวอยางมการแตกหก
ั
ี
เสียให้ซ่อมแซมด้วยกาว เมื่อได้ตัวอย่างออกมาจากหินแล้วจึงทำาการทาน้ำายาเคลือบ เพื่อป้องกันการผุพังที่อาจจะ
เกิดขึ้นภายหลัง ก่อนจัดเก็บในคลังตัวอย่าง
1.2 ในกรณีที่เป็นซากดึกดำาบรรพ์ขนาดเล็กมากๆ เช่น โคโนดอนต์ เรดิโอลาเรีย อาจใช้สารเคมีจำาพวก
้
ื
ำ
้
ั
่
ื
ิ
กรดนาสมหรอกรดมดเจอจาง โดยละลายหนออกจากซากดงกลาว หลังจากนั้นจะมีการคัดเลือกตัวอย่างที่ละลาย
ิ
ึ
ี
ั
มาได้โดยใช้กล้องขยายก่อนนำาตัวอย่างศกษาวจยในรายละเอยด
1.3 ในกรณีที่เป็นซากดึกดำาบรรพ์ที่จำาเป็นต้องศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อศึกษาโครงสร้างภายใน
ื
่
้
้
ิ
ั
ั
เช่น ปะการัง ฟองน้ำา ไบรโอซัว ฟิวซูลินิด ต้องทำาการนำาตัวอย่างไปตัดเป็นแผ่นหินบางดวยเครองตดหนและขดดวย
ผงขัดจนมีความบางตามที่ต้องการก่อนจะทำาไปศึกษารายละเอียดภายใต้กล้องจุลทรรศน์
2. การจัดทำาบัญชีซากดึกดำาบรรพ์
เมื่อเก็บตัวอย่างมาจากสนามแล้ว จะมีการกำาหนดรหัสประจำาตัวอย่างแต่ละชิ้นตามระบบการจัดเก็บ
ตัวอย่าง โดยเมื่อเตรียมตัวอย่างเสร็จแล้ว จะเขียนลงบนตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ นอกจากนี้ควรมีแผ่นบันทึก
ข้อมูลรายละเอียดของตัวอย่าง เช่น ชนิดซากดึกดำาบรรพ์ ชิ้นส่วนที่พบ แหล่งที่พบ ชื่อผู้เก็บ วันเดือนปีที่เก็บ
ข้อมูลธรณีวิทยา รายละเอียดการอนุรักษ์ เช่น ใช้สารเคมีอะไรบ้างในการเตรียมตัวอย่าง หรือใช้เครื่องมืออะไร
ั
ี
้
บางในการเตรยมตวอย่าง พร้อมทั้งจัดทำาบัญชีรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์แต่ละชิ้นในระบบฐานข้อมูล
ื
ื
เพ่อรวบรวมจัดเก็บหลักฐานและเป็นข้อมูลเบ้องต้นแก่นักวิจัยในการศึกษาวิจัยในรายละเอียดในอนาคต
การเก็บรักษาซากดึกดำาบรรพ์อย่างไม่เป็นระบบ จะทำาให้ขาดข้อมูลที่จำาเป็นต่อการศึกษาวิจัยและทำาให้ตัวอย่าง
ซากดึกดำาบรรพ์ขาดคุณค่าทางวิชาการไปด้วย
การอนุรักษซากดึกดำาบรรพ ์ หน้า 122
์
3. การจัดเก็บตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ในคลังจัดเก็บตัวอย่าง
การจัดเก็บรักษาตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ในคลังจัดเก็บตัวอย่าง ทำาได้หลายแบบ เช่น จัดเก็บ
ในคลังแยกตามประเภทของซากดึกดำาบรรพ์ เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง พืช ร่องรอย
หรือแยกตามแหล่งที่ค้นพบ เพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้น โดยห้องที่จัดเก็บตัวอย่างควรเป็นห้องที่มีความชื้นต่ำาและ
ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ มีเจ้าหน้าที่ที่มีองค์ความรู้ด้านบรรพชีวินวิทยาคอยดูแล และสามารถให้ผู้เชี่ยวชาญจาก
ึ
้
ี
ี
ื
ี
่
ทอนมาศกษาเปรยบเทยบไดสะดวก หากเป็นตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ต้นแบบ (Holotype) ซึ่งเป็นตัวอย่างของ
่
ซากดึกดำาบรรพ์ที่ศึกษาแล้วพบว่าเป็นชนิดใหม่ และมีเพียงชิ้นเดียวในโลก ใช้สำาหรับเป็นตัวอย่างอ้างอิงและใช้
เปรียบเทียบกับตัวอย่างอื่นๆ เมื่อมีนักวิจัยเข้ามาศึกษา โดยจะแยกเก็บรักษาในห้องพิเศษพร้อมตู้นิรภัยที่ปลอดภัย
เพื่อป้องกันการสูญหาย ทั้งนี้ ซากดึกดำาบรรพ์ต้นแบบจะไม่นำามาจัดแสดงในที่สาธารณะ เนื่องจากอาจเกิดการ
แตกหักชำารุดเสียหายได้ และถ้าตัวอย่างดังกล่าวเสียหายจะถูกยกเลิกจากการเป็นซากดึกดำาบรรพ์ต้นแบบทันที
4. การศึกษาวิจัยซากดึกดำาบรรพ์
ื
้
เมื่อตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ได้ทำาการอนุรักษ์จนจัดเก็บในคลังตัวอย่างเรียบร้อยแล้ว ถอวามความพรอม
่
ี
ในการศึกษาวิจัยในรายละเอียด นักวิจัยจะนำาตัวอย่างมาเปรียบเทียบกับซากดึกดำาบรรพ์ที่เคยพบมาแล้วจากบริเวณอื่น
ทั้งนี้ อาจเปรียบเทียบกับรูปในเอกสาร ตำาราวิชาการ หรือตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ของจริงที่เก็บในคลังตัวอย่าง
หากพบว่าตัวอย่างดังกล่าวไม่เหมือนกับตัวอย่างใดๆ ที่เคยบันทึกไว้ก่อนอาจเป็นซากดึกดำาบรรพ์ชนิดใหม่ของ
โลกก็ได้ โดยนักวิจัยจะเขียนเอกสารพร้อมคำาบรรยายลักษณะพิเศษ ขนาด และรูปภาพ พร้อมชี้แจงความ
แตกต่างจากซากดึกดำาบรรพ์ชนิดอื่นๆ อย่างไร แล้วส่งไปตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับ และตัวอย่าง
ซากดึกดำาบรรพ์ดังกล่าวถือว่าเป็นตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ต้นแบบ (Holotype) เพื่อใช้อ้างอิงและเปรียบเทียบกับ
ตัวอย่างซากดึกดำาบรรพ์ที่ค้นพบภายหลังต่อไป
5. การเผยแพร่องค์ความรู้แก่สาธารณชน
การค้นพบซากดึกดำาบรรพ์ชนิดใหม่ หรือซากดึกดำาบรรพ์บ่งชี้เหตุการณ์สำาคัญของประวัติโลก นอกจาก
จะต้องตีพิมพ์เผยแพร่การค้นพบในวารสารทางวิชาการแล้ว ควรจัดแสดงตัวอย่างจำาลองของซากดึกดำาบรรพ์
พร้อมจัดทำาป้ายสื่อความหมาย อาจจัดทำาในรูปแบบนิทรรศการถาวรภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ หรือนิทรรศการ
ชั่วคราว หรือนิทรรศการหมุนเวียน ตามแต่โอกาส เพื่อให้สาธารณชนได้ศึกษาหาความรู้
หน้า 123 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
เอกสารอ้างอิง
Agematsu, S., Sashida, K., Salyapongse, S., and Sardsud, A., 2006. Formation, Loei Fold Belt, Indochina Terrane, Thailand.
Lower Devonian tentaculite bed in the Satun area, southern Geological Magazine, 152(01); 106–142.
peninsular Thailand. Journal of Asian Earth Sciences, 26(6); 605–611. Cappetta, H., Buffetaut, E., and Suteethorn, V., 1990. A new hybodont
Agematsu, S., Sashida, K., Salyapongse, S. and Sardsud, A., 2008. shark from the Lower Cretaceous of Thailand. Neues Jahrbuch fur
Early Ordovician conodonts from Tarutao Island, southern Geologie und Palaontologie, Abhandlungen, 11; 659–666.
peninsular Thailand. Palaeontology, 51 (Part 6); 1435–1453. Cavin, L., Suteethorn, V., Buffetaut, E., Claude, J., Cuny, G., Le
Asama, K., 1966. Permian plants from Phetchabun, Thailand and Loeuff, J. and Tong, H., 2007. The first sinamiid fish (Holostei,
problem of floral migration from Gondwanaland. Bulletin of Halecomorpha) from southeast Asia (Early Cretaceous of
National Science museum, 9(2); 171-211. Thailand). Journal of Vertebrate Paleontology, 27; 827–837.
Asama, K., Nakornsri, N., Hinthong, C. and Sinsakul, S., 1981. Some Cavin, L., Suteethorn, V., Khansubha, S., Buffetaut, E., and Tong, H.
Younger Mesozoic Plants from Trang, Southern Thailand. 2003. A new semionotid (Actinopterygii, Halecostomi) from
Geology and Palaeontology of Southeast Asia, 22; 35-47. the Late Jurassic–Early Cretaceous of Thailand. Comptes
Barham, M., 2015. Comprehending conodonts. Geology Today, 31(2); 74-80. Rendus Palevol 2; 291–297.
Boardman, R.S., Chetham, A.H. and Rowell, A.J., (eds.), 1987. Fossil Chaimanee, Y. and Jaeger, J.-J., 2000. A new flying squirrel Belomys
Invertebrates. Blackwell, Oxford, 713 pp. thamkaewi n. sp. (Mammalia : Rodentia) from the Pleistocene of
Brown, J. (ed.), 1989. Fossils of the World. Arch Cape Press, New York, 495 pp. West Thailand and its biogeography. Mammalia, 64(3); 307–318.
Buffetaut, E. and Ingavat, R., 1980. A new crocodilian from the Chaimanee, Y., Suteethorn, V., Jaeger, J.-J. and Ducrocq., S., 1997.
Jurassic of Thailand, Sunosuchus thailandicus n. sp. (Mesosuchia, A new Late Eocene anthropoid primate from Thailand. Nature,
Goniopholididae), and the palaeogeographical history of south- 385; 429-431.
east Asia in the Mesozoic, Geobios, 13(6); 879-889. Cheneval, J., Ginsburg, L., Mourer-Chauvire, C. and Ratanasthien, B.,
Buffetaut, E., and Ingavat, R., 1981. Phytosaur remains (Reptilia, 1991. The Miocene avifauna of the Li Mae Long locality,
Thecodontia) from the Upper Triassic of North-Eastern Thailand. Thailand: systematics and paleoecology. Journal of Southeast
Geobios, 15(1); 7–17. Asian Earth Sciences, 6(2); 117–126.
Buffetaut, E. and Ingavat, R. 1984. A very small theropod dinosaur Chitnarin, A., Crasquin, S., Charoentitirat, T., Tepnarong, P. and
from the Upper Jurassic of Thailand. Comptes rendus de Thanee, N., 2012. Ostracods (Crustacea) of the Early–Middle
l’Académie des Sciences Paris II 298; 915–918. Permian fromCentral Thailand (Indochina block). Part 1. Order
Buffetaut, E., and Ingavat, R., 1986. Unusual Theropod dinosaur teeth Palaeocopida. Geodiversitas, 34; 801–835.
from the Upper Jurassic of Phu Wiang, Northeastern Thailand. Chitnarin, A., Crasquin, S., Chonglakmani, C., Broutin, J., Grote, P. J.
Revue de Paleobiologie. 5(2); 217-220. and Thanee, N., 2008. Middle Permian Ostracods from Tak
Buffetaut, E., and Suteethorn, V., 1992. A new species of the Fa Limestone, Phetchabun Province, Central Thailand. Geobios,
ornithischian dinosaur Psittacosaurus from the Early Cretaceous 41(3); 341–353.
of Thailand. Palaeontology, 35(4); 801-812. Chitnarin A., Crasquin S., Forel M.-B. & Tepnarong P. 2017. Ostracods
Buffetaut, E., and Suteethorn, V., 2011. A new iguanodontian (Crustacea) of the Early-Middle Permian (Cisarulian-Guadalupian)
dinosaur from the Khok Kruat Formation (Early Cretaceous, Aptian) from Central Thailand (Indochina Block): Part II, Orders Podocopida,
of Northeastern Thailand. Annales de Paleontologie, 97; 51-62. Platycopida and Myodocopida. Geodiversitas, 39 (4); 651-690.
Buffetaut, E., Dyke, G., Suteethorn, V., and Tong, H., 2005. First Chokchaloemwong, D., Hattori, S., Cuesta, E., Jintasakul, P., Shibata, M.
record of a fossil bird from the Early Cretaceous of Thailand. and Azuma, Y., 2019. A new carcharodontosaurian theropod
Comptes Rendus Palevol, 4(8); 681–686. (Dinosauria: Saurischia) from the Lower Cretaceous of Thailand.
Buffetaut, E., Martin, V., Sattayarak, N. and Suteethorn,V., 1995. The PLoS ONE, 14(10); e0222489.
oldest known dinosaur from southeast Asia: a prosauropod Clarkson, E.N.K., 1998. Invertebrate Palaeontology and Evolution.
from the Nam Phong Formation (late Triassic) of northeastern Forth edition. Blackwell Science Ltd.,; 452 pp.
Thailand. Geological Magazine, 132(6); 739-742. Cowper Reed, F. R., 1920. Carboniferous Fossils from Siam.
Buffetaut, E., Suteethorn, V., and Tong, H., 1996. The earliest known Geological Magazine, 57(04); 172-178.
tyrannosaur from the Lower Cretaceous of Thailand. Nature. 381; 689-691. Cuny, G., Liard, R., Deesri, U., Liard, T., Khamha, S. and Suteethorn, V.,
Buffetaut, E., Suteethorn, V., and Tong, H., 2009. An early ‘ostrich 2014. Shark faunas from the Late Jurassic-Early Cretaceous of
dinosaur’ (Theropoda: Ornithomimosauria) from the Early northeastern Thailand. Paläontologische Zeitschrift, 88(3); 309–328.
Cretaceous Sao Khua Formation of E Thailand. Geological Cuny, G., Srisuk, P., Khamha, S., Suteethorn, V. and Tong, H., 2009.
Society, London, Special Publications, 315; 229-243. A new elasmobranch fauna from the Middle Jurassic of southern
Buffetaut, E., Suteethorn, V. Cuny, G., Tong, H., Le Loeuff, J., Thailand. Geological Society, London, Special Publications,
Khansubha, S. and Jongautchariyakul, S., 2000. The earliest 315; 97–113.
known sauropod dinosaur. Nature, 407; 72-74. Daza, J. D., Stanley, E. L., Wagner, P., Bauer, A. M. and Grimaldi, D. A.,
Buffetaut, E., Raksaskulwong, L., Suteethorn, V., and Tong, H., 2016. Mid-Cretaceous amber fossils illuminate the past diversity
1994. First post-Triassic temnospondyl amphibians from the of tropical lizards. Science Advances, 2(3); 1-8.
Shan-Thai block: intercentra from the Jurassic of peninsular Ducrocq, S., Buffetaut, E., Buffetaut-Tong, H., Helmcke-Ingavat, R.,
Thailand, Geological Magazine, 131; 837–839. Jaeger, J.-J., Jongkanjanasoontorn, Y. and Suteethorn, V., 1992a.
Buffetaut, E., Suteethorn, V. and Tong, H., 2001. The first thyreophoran A lower Tertiary vertebrate fauna from Krabi (South Thailand).
dinosaur from Southeast Asia: a stegosaur vertebra from the Late Neues Jahrbuch für Geologie und Paläontologie Abhandlungen,
Jurassic Phu Kradung Formation of Thailand. Neues Jahrbuch fur 184; 101–122.
Geologie und Palaontologie, Monatshefte, 2; 95-102. Ducrocq, S., Buffetaut, E., Buffetaut-Tong, H., Jaeger, J.-J.,
Buffetaut, E., Suteethorn, V., Tong, H., Cuny, G. G. R. and Cavin, L., Yongkanjanasoontorn, Y., and Suteethorn, V., 1992b. First fossil
2003. A Pterodactyloid tooth from the Sao Khua Formation (Early flying lemur: A dermopteran from the Late Eocene of Thailand.
Cretaceous) of Thailand. Mahasarakham University Journal, 22; 92-98. Palaeontology. 35(2); 373–380.
Burrett, C., Udchachon, M., Thassanapak, H. and Chitnarin, A., 2015. de Broin F., 1984. Proganochelys ruchae n. sp., chélonien du
Conodonts, radiolarians and ostracodes in the Permian E-Lert Trias supérieur de Thaïlande [Proganochelys ruchae n. sp.,
เอกสารอ้างอิง หน้า 124
chelonian from the Upper Triassic of Thailand], Studia Geologica 20; 1-21.
Salmanticensia (St. Palaeo.1), vol. es. 1; 87-97. Komalarjun, P. and Sato, T., 1964. Aalenian (Jurassic) ammonites from
Deesri, U., Lauprasert, K., Suteethorn, V., Wongko, K. and Cavin, L., Mae Sot, northwestern Thailand. Geology and Palaeontology
2014. A new species of the ginglymodian fish Isanichthys of Southeast Asia 1; 237–251.
(Actinopterygii, Holostei) from the Late Jurassic Phu Kradung Kuhn-Schnyder, E. and Rieber, H., 1986. Handbook of Palaeozoology,
Formation, northeastern Thailand. Acta Palaeontologica translated by Kucera, E., The John Hopkins University Press,
Polonica. 59 (2); 313–331. Baltimore and London; 394 pp.
Enay, R., 1993. Palaeontology of Invertebrates. Springer-Verlag. Lauprasert, K., Cuny, G., Buffetaut, E., Suteethorn, V. and Thirakhupt, K.,
Berlin Heidelberg: 287p. 2007. Siamosuchus phuphokensis, a new goniopholidid from the
Fang, X., Li, C., Li, W.-J., Burrett, C., Udchachon, M. and Zhang, Y.-D., Early Cretaceous (ante-Aptian) of northeastern Thailand. Bulletin
2021. Sinoceras chinense (Foord, 1888) in western Thailand: first de la Société Géologique de France, 178(3); 201-216.
identification outside China. Palaeoworld 30(2); 278-285. Lauprasert, K. Cuny, G., Thirakhupt, K. and Suteethorn, V., 2009.
Fernandez, V., Buffetaut, E., Suteethorn, V., Rage, J. C., Tafforeau, P. Khoratosuchus jintasakuli gen. et sp. nov., an advanced neosuchian
and Kundrát, M., 2015. Evidence of egg diversity in squamate crocodyliform from the Early Cretaceous (Aptian-Albian) of NE
evolution from cretaceous anguimorph embryos. PLoS ONE, 10(7); 1-20. Thailand. In E. Buffetaut, G. Cuny, J. Le Loeuff, V. Suteethorn (eds.),
Fontaine, H., 1988. Permian corals of west Thailand. CCOP Late Palaeozoic and Mesozoic Ecosystems in SE Asia. The Geological
Technical Bulletin 20: 112-121. Society of London, Special Publication, 315; 175-187.
Fortey, R. A., 1989. An Early Devonian trilobite fauna from Thailand, Long, J. A., 1990. Late Devonian chondrichthyans and other
Alcheringa: An Australasian Journal of Palaeontology, 13(4); 257-267. microvertebrate remains from northern Thailand, Journal of
Haq, B.U. and Boersma, A., 1978. Introduction to Marine Vertebrate Paleontology, 10(1); 59-71.
Micropaleontology. Elsevier North Holland, Inc., New York, 375 p. Martin, V., Buffetaut, E., and Suteethorn, V., 1994. A new genus of
Hamada, T., 1960. Permo-Carboniferus fossils from Thailand. sauropod dinosaur from the Sao Khua Formation (Late Jurassic
Scientific Paper of the Collage of General Education. University or Early Cretaceous) of northeastern Thailand. C.R. Acad. Sci.
of Tokyo, 10(2): 337-361. Paris, 319(series I); 1085-1092.
Horne, D. J., Cohen, A., and Martens, K., 2002. Taxonomy, Martin, J. E., Suteethorn, S., Lauprasert, K., Tong, H., Buffetaut, E.,
morphology and biology of Quaternary and living ostracoda. Liard, L., Salaviale, C., Deesri, U., Suteethorn, V., and Claude, J., 2019.
Geophysical Monograph Series; 5–36. A new freshwater teleosaurid from the Jurassic of northeastern
Hupe, P., 1953. Classe des Trilobites. In: Piveteau J (ed) Traite de Thailand, Journal of Vertebrate Paleontology, 38(6); e1549059.
paleontologie, 3. Masson, Paris; 44-246. Metcalfe, I. and Sone, M., 2008. Biostratigraphy and palaeobiogeography
Imai T., Jintasakul P., Azuma Y., Noda Y. and Chokchaloemwong D., of Lower Permian (lower Kungurian) conodonts from the Tak
2016. First confirmed fossil turtle eggshells (Oogenus Testudoolithus) Fa Formation (Saraburi Limestone), Thailand. Palaeogeography,
from the Lower Cretaceous of Thailand. Memoir of the Fukui Palaeoclimatology, Palaeoecology, 257(1-2); 139–151.
Prefectural Dinosaur Museum, 15; 1-6. Morley, C.K., and Racey, A., 2011. Tertiary stratigraphy. In: Ridd, M.F.,
Ingavat, R. and Janvier, P., 1981. Cyclotosaurus cf. posthumus Fraas Barber, A.J. and Crow, M.J. (eds) The Geology of Thailand.
(Capitosauridae, Stereospondyli) from the Huai Hin Lat Geological Society, London; 223–271.
Formation (Upper Triassic), northeastern Thailand, with a note Naksri, W., Tong, H., Lauprasert, K., Suteethorn, V., and Claude, J.,
on capitosaurid biogeography, Geobios, 14; 711–725. 2013. A new species of Cuora (Testudines: Geoemydidae) from
Ishibashi, T., Nakornsri, N. and Nagai, K., 1994. Permian-Triassic the Miocene of Thailand and its evolutionary significance.
boundary and fauna at Doi Pha Phlung, northern Thailand. Geological Magazine, 150(05); 908–922.
Memoirs of the Faculty of Science, Kyushu University, Series D, Nonsrirach, T., Manitkoon, S., and Lauprasert, K., 2021. First occurrence
Earth and Planetary Science 28(2); 23-40. of brachyopid temnospondyls in Southeast Asia and review of
Jain, S., 2017. Fundamentals of Invertebrate Palaeontology : the Mesozoic amphibians from Thailand, Fossil Record, 24; 33–47.
Macrofossils. Springer Geology. Springer, New Delhi: 405p. Peigné, S., Chaimanee, Y., Yamee, C., Marandat, B., Srisuk, P. and
Jell, P.C., Burrett, C., Stait, B. and Yochelson, E., 1984. The Early Jaeger, J.-J., 2009. An astonishing example of convergent evolution
Ordovician bellerophontoid Peelerophon oehlerti (Bergeron) toward carnivory: Siamosorex debonisi n. gen., n. sp. (Mammalia,
from Argentina, Australia and Thailand. Alcheringa, v. 8, 269 pp. Lipotyphla, Soricomorpha, Plesiosoricidae) from the latest
Kamata, Y., Sashida, K., Ueno, K., Hisada, K., Nakornsri, N. and Oligocene of Thailand. Geodiversitas, 31(4); 973-992.
Charusiri, P., 2002. Triassic radiolarian faunas from the Mae Peigné, S., Chaimanee, Y., Yamee, C., Srisuk, P., Marandat, B. and
Sariang area, northern Thailand and their paleogeographic Jaeger, J.-J., 2006a. A new member of the Mustelida (Mammalia:
significane. Journal of Asian Earth Sciences, 20(5); 491–506. Carnivora) from the Paleogene of southern Asia. Journal of
Ketwetsuriya, C., Cook, A. G. and Nützel., A., 2020. Permian gastropods from Vertebrate Paleontology, 26(3); 788-793.
the Ratburi Limestone, Khao Phrik, central Thailand. PalZ 94: 53-77. Peigné, S., Chaimanee, Y., Yamee, C., Tian, P. and Jaeger, J.-J., 2006b.
Ketwetsuriya, C. and Dumrongrojwattana, P., 2021. A new microgastropod A new amphicyonid (Mammalia, Carnivora, Amphicyonidae) from
species, Orbitestella amphaengensis, (Gastropoda: Heterobranchia: the late middle Miocene of northern Thailand and a review of
Orbitestellidae) from Bangkok clay of Samut Sakorn Province, the amphicyonine record in Asia. Journal of Asian Earth Sciences,
Thailand. Raffles Bulletin of Zoology. 69: 304-308. 26(5); 519–532.
Kobayashi, T., 1957, Upper Cambrian fossils from peninsular Thailand: Pemberton, S. G. and Maceachern, J. A., 2005. Significance of Ichnofossils to
Journal of the Faculty of Sciences University of Tokyo, 2; 367–382. Applied Stratigraphy. (eds) Applied Stratigraphy, 23; 279–300.
Kobayashi, T., 1961. A new genus of the Phillipsiidae from Thailand. Pitakpaivan, K., 1965. Fusulinacean fossils from Thailand, Part 1:
Japanese Journal of Geology and Geography, 32(1); 1-4. Fusulines of the Ratburi limestone of Thailand. Faculty of
Kobayashi, T. and Hamada, T., 1968. A Devonian phacopid recently Science, Kyushu University, Memoir, Series D, Geology, 17; 1-69.
discovered by Mr. Charan Poothai in peninsular Thailand. Roberts, T. R. and Jumnongthai, J., 1999. Miocene fishes from Lake
Contributions to the geology and palaeontology of southeast Asia, Phetchabun in North- central Thailand, with descriptions of new
41. Geology and Palaeontology of Southeast Asia, 4; 22–28. taxa of Cyprinidae, Pangasiidae,and Chandidae. The Natural
Kobayashi T. and Hamada T., 1979. Permo-Carboniferous trilobites from History Bulletin of the Siam Society, 47; 153-189.
Thailand and Malaysia, Geology and Palaeontology of Southeast Asia, Rozhnov, S. V., 2010. Combinatorial model for the formation of body
หน้า 125 ความรู้เบื ้ องต้นเกี ่ ยวกับซากดึกดำาบรรพ ์
plans in higher metazoan taxa: Paleontological insight. of the Khorat Plateau, northeastern Thailand, Fossil Turtle
Paleontological Journal, 44(12), 1500–1508. Research, 1; 128-137.
Saesaengseerung, D., Sashida, K., and Sardsud, A., 2007. Late Devonian Tong, H., Claude, J., Naksri, W., Suteethorn, V., Buffetaut, E.,
to Early Carboniferous radiolarian fauna from the Pak Chom Khansubha, S., Wongko, K. and Yuangdetkla, P., 2009.
area, Loei Province, northeastern Thailand. Paleontological Basilochelys macrobios n. gen. and n. sp, a large cryptodiran
Research, 11(2); 109–121. turtle from the Phu Kradung Formation (latest Jurassic-earliest
Samathi, A., Chanthasit, P., and Sander, P. M., 2019. Two new basal Cretaceous) of the Khorat Plateau, NE Thailand. In E. Buffetaut,
coelurosaurian theropod dinosaurs from the Lower Cretaceous G. Cuny, J. Le Loeuff, V. Suteethorn (eds.), Late Palaeozoic and
Sao Khua Formation of Thailand. Acta palaeontologica Polonica, Mesozoic Ecosystems in SE Asia. The Geological Society of
64(2); 239-260. London, Special Publication 315; 153-173.
Saraswati, P. K. and Srinivasan, M. S., 2015. Phosphatic Microfossils. Tongtherm, K., Shigeta, Y., Sardsud, A., Sashida, K. and Agematsu, S.,
Micropaleontology; 133–138. 2020. Age of the Early Triassic ichthyopterygian Thaisaurus
Sashida, K., Ito, T., Salyapongse, S. and Putthapiban, P., 2021. inferred from ammonoid biostratigraphy. Paleontological
Additional occurrence report on early Carboniferous radiolarians Research, 24; 276–284.
from southern peninsular Thailand. Thai Geoscience Journal, Uyeno, T., 1969. Miocene Cyprinid Fishes from Mae Sot Basin,
2(2); 72-87. Northwestern Thailand. Contributions to the Geology and
Savage, N. M., 2013. Late Devonian conodonts from Northwestern Palaeontology of Southeast Asia, 26; 93-96.
Thailand. Bourland Printing, Oregon, USA; 48 pp. Watanasak., M., 1988. Mid-Tertiary palynology of onshore and
Savage, N. M., Sardsud, A. and Buggitsh, W., 2006. Late Devonian offshore Thailand. Doctor’s thesis, University of Adelaide; 207 pp.
conodonts and the global Frasnian-Famennian extinction event, Waterhouse, J. B. and Piyasin, S., 1970. Mid-Permian brachiopods from
Thong Pha Phum, western Thailand. Paleoworld, 15; 171-184. Khao Phrik, Thailand. Palaeontographica Abteilung A 135(3-6): 83-197.
Shibata, M., Jintasakul, P., and Azuma, Y., 2011. A New Iguanodontian Zimmer, C., 2014. The Tangled Bank : an introduction to evolution,
Dinosaur from the Lower Cretaceous Khok Kruat Formation, 2nd eds. Macmillan Higher Education, New York, USA; 464 pp.
Nakhon Ratchasima in Northeastern Thailand. Acta Geologica กมลลักษณ์ วงษ์โก, ชมพูนุท ชาญวิชา และ ราเมศ อมาตยคง, 2559. ความ
Sinica (English Edition), 85(5); 969-976. หลากหลายของสัตว์มีกระดูกสันหลังในช่วงครีเทเชียสตอนต้น บริเวณ
Shibata, M., Jintasakul, P., Azuma, Y., You, H.-L., 2015. A New Basal แหล่งขุดค้นพระปรง จังหวัดสระแก้ว. รายงานวิชาการ ฉบับที่ ศวพ.
Hadrosauroid Dinosaur from the Lower Cretaceous Khok Kruat 1/2559; 18 หน้า.
Formation in Nakhon Ratchasima Province, Northeastern กรมทรัพยากรธรณี, 2550ก. ความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต
Thailand. PLoS ONE 10(12); e0145904. ดึกดำาบรรพ์ในประเทศไทย. กรมทรัพยากรธรณี, กรุงเทพฯ; 199 หน้า.
Songtham, 2003. Stratigraphic correlation of tertiary basin in Northern กรมทรัพยากรธรณี, 2550ข. ไดโนเสาร์ของไทย. สำานักวิจัยซากดึกดำาบรรพ์
Thailand using algae pollen and spore. Doctor’s thesis, Chiang Mai และพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา กรมทรัพยกรธรณี, กรุงเทพฯ; 120 หน้า.
University; 280 pp. วัฒนา ตันเสถียร, 2549. ร่องรอยสัตว์ดึกดำาบรรพ์ในประเทศไทย. รายงาน
Songtham, W., Ratanasthien, B., and Mildenhall, D. C., 2004. New วิชาการฉบับที่ สธว. 10/2549, สำานักธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี,
species of algae Actinastrum Lagerheim and Closterium Nitzsch กรุงเทพฯ; 58 หน้า.
ex Ralfs from Middle Miocene sediments of Chiang Muan basin, วัฒนา ตันเสถียร, 2557. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับซากดึกดำาบรรพ์. โครงการ
Phayao, Thailand with tropical pollen composition. Science พัฒนาองค์ความรู้ด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี และธรณีพิบัติภัย, สำานัก
Asia, 30; 171-181. ธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี, กรุงเทพฯ; 128 หน้า.
Suraprasit, K., Jaeger, J.-J., Chaimanee, Y., Benammi, M., Chavasseau,O.,
Yamee, C., Tian, P., and Panha, S., 2015. A complete skull of เว็บไซต์
Crocuta crocuta ultima indicates a late Middle Pleistocene https://animaldiversity.org/collections/contributors/Grzimek_inverts/
age for the Khok Sung (northeastern Thailand) vertebrate Cephalopoda/Nautilus_pompilius/
fauna. Quaternary International, 374; 34–45. https://isgs.illinois.edu/outreach/geology-resources/brachiopods
Suteethorn, V., Buffetaut, E., Helmcke-Ingavat, R., Jaeger, J.-J., and https://isgs.illinois.edu/outreach/geology-resources/bryozoans
Jongkanjanasoontorn, Y., 1988. Oldest known Tertiary mammals https://isgs.illinois.edu/outreach/geology-resources/corals
from South East Asia: Middle Eocene primate and https://isgs.illinois.edu/outreach/geology-resources/gastropods
anthracotheres from Thailand. Neues Jahrbuch für Geologie https://isgs.illinois.edu/outreach/geology-resources/pelecypods
und Paläontologie Monatshefte, 9; 563–570. https://isgs.illinois.edu/outreach/geology-resources/trilobites
Suteethorn, V., Janvier, P., and Morales, M., 1988. Evidence for a https://stratigraphy.org/ICSchart/ChronostratChart2022-02.pdf
Plagiosaurid amphibian in the Upper Triassic Huai Hin Lat https://pandathings.com/learn-about-the-giant-panda/why-do-
Formation of Thailand, J. Southeast Asian Earth Sci., 2, 185–187. pandas-eat-bamboo/
Tassy P, Anupandhanant P, Ginsburg L, Mein P, Ratanasthien B https://humanorigins.si.edu/evidence/dating
and Suteethorn V. 1992. A new Stegolophodon (Proboscidea, https://www.nma.gov.au/defining-moments/resources/barrier-reef-
Mammalia) from the Early Miocene of Northern Thailand. marine-park
Geobios, 25; 511–523. https://www.npd.no/en/facts/geology/simplified-time-scale/
Thomas, H., Ginsburg, L., Hintong, C. and Suteethorn, V., 1990. A new https://pubs.usgs.gov/gip/2008/58/
tragulid, Siamotragulus sanyathanai n. g. n. sp. (Artiodactyla, https://pubs.usgs.gov/gip/geotime/fossils.html
Mammalia) from the Miocene of Thailand, Amphoe Pong, https://museum.wa.gov.au/explore/dinosaur-discovery/stomach-stones
Prayao Province. Comptes Rendus de l'Academie des Sci., https://wgnhs.wisc.edu/wisconsin-geology/fossils-of-wisconsin/coral-
310(Serie II); 989-995. gallery/corals/
Tougard, C., Chaimanee, Y., Suteethorn, V., Triamwichanon, S. http://muzeum.geology.cz/d.pl?item=67&l=e
and Jaeger, J.-J., 1996. Extension of the geographic distribution https://www.bbc.com/news/world-us-canada-61936818wisconsin-
of the giant panda (Ailuropoda) and search for the reasons for geology/fossils-of-wisconsin/coral-gallery/corals/
its progressive disappearance in Southeast Asia during the https://www.bbc.com/news/world-us-canada-61936818
Latest Middle Pleistocene. Comptes Rendus de l'Academie des
Sci., 323; 973–979.
Tong H., Buffetaut E. and Suteethorn, V., 2006. Isanemys, a new
adocid turtle from the Sao Khua Formation (Early Cretaceous)
่
่ ่
่
พบส ่ ่ ิ งที เชื อได้ว่าเป ็ ็ นซากดึกดำ า บรรพ ์ ์
พบสงทีเชือได้ว่าเปนซากดึกดำาบรรพ
ิ
ต้องทำาอย่างไร?
อย่างไร?
า
ต้องทำ
สแกน QR Code
่
้
เพือดูขันตอนการแจ้งฯ
ติดต่อกรมทรัพยากรธรณี
ติดต่อกรมทรัพยากรธรณี
โทรศพท์ 0 2621 9845, 0 2621 9640
ั
ั
โทรศ พท์ 0 2621 9845, 0 2621 9640
w.dmr.g
o.th
w
www.dmr.go.th
w
Facebook : กรมทรัพยากรธรณี
acebook
F
กรมทรัพยากรธรณี
: