The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยาสำหรับครู.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nampheung15, 2022-10-20 22:12:27

งานจิตวิทยาสำหรับรู.

จิตวิทยาสำหรับครู.

จิตวิทยาสำหรับครู

เสนอ
อาจารย์ เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร

จัดทำโดย
นางสาวสุภาพร ขาวเชื้อ

6406510088

คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ สาขาภาษาไทย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

คำนำ

หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 600-106
จิตวิทยาสำหรับครู มีวัตถุประสงค์ในการค้นหาความรู้ในจิตวิทยาสำหรับครู
ตามหัวข้อเรื่องที่ได้ศึกษามา พร้อมแนวทางการแก้ปัญหาและประโยชน์ที่ได้รับ
ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง ในการจัดทำหนังสือเล่มนี้หวังว่ามีข้อมูลที่เป็น
ประโยชน์และถูกต้องเป็นไปตามกระบวนการในการจัดศึกษาจิตวิทยาสำหรับ
ครู ต่อผู้ที่สนใจรวมทั้งผู้ที่ได้อ่านเป็นอย่างดี

ขอขอบคุณอาจารย์ เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร อาจารย์ที่ปรึกษาใน
รายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ที่คอยชี้แนะความรู้ คำแนะนำ รวมถึงให้แนวทาง
ในการศึกษาเรียบเรียงเนื้อหาในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ จึงทำให้หนังสือเล่มนี้
สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากมีข้อผิดพลาดประการใดข้าพเจ้าขออภัยมานะที่นี้
และขอน้อมรับทุกคำแนะนำและคำติชม เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขให้เนื้อหาถูก
ต้องและสมบูรณ์

จัดทำโดย
นางสาวสุภาพร ขาวเชื้อ

6406510088

สารบัญ หน้า

เรื่อง 1-5
6-35
บทที่ 1 จิตวิทยาสำหรับครู 36-52
บทที่ 2 พฤติกรรมของมนุษย์ 53-77
บทที่ 3 ปรัชญาแนวคิด ทฤษฎีทางจิตวิทยา 78-87
บทที่ 4 พัฒนาการของมนุษย์กับการเรียนรู้ 88-106
บทที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ 1 107-113
บทที่ 6 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ 2 114-123
บทที่ 7 ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ 124-140
บทที่ 8 การนำหลักจิตวิทยาไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพความเป็นครู 141-176
บทที่ 9 จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา
บทที่ 10 (Case study)และการสร้างแบบฟอร์ม

1

บทที่1 จิตวิทยา
สำหรับครู

2

1.ความหมายของจิตวิทยา

จิตวิทยา
การศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ กระบวนความคิด และพฤติกรรม

ของมนุษย์เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ กระบวนการรับข้อมูล
ของมนุษย์อารณ์ บุคลิกภาพ พฤติกรรม และรูปแบบความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่างๆ
ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว
ระบบการศึกษาการจ้างงานเป็นต้น และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทาง
จิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามีความพยายามที่
จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุดประสงค์ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่
เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำการ
ศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและแสดงออกของ
พฤติกรรม

3

2.ความสำคัญของจิตวิทยาสำหรับครู

ความสำคัญของจิตวิทยาสำหรับครู
1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย (CHARACTERISTICS) ของนักเรียนที่ครูต้องสอนโดย
ทราบหลักพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์สังคม และบุคลิกภาพเป็น
ส่วนรวม
2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของ
นักเรียน เช่น อัตมโนทัศน์ (SELF CONCEPT) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรียนรู้ถึง
บทบาทของครูในการที่จะช่วยนักเรียนให้มี อัตมโนทัศน์ ที่ดีและถูกต้องได้อย่างไร
3.ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ช่วย
นักเรียนเป็นรายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
4. ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย
และขั้นพัฒนาการของนักเรียน เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจ
และอยากจะเรียนรู้
5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของ
นักเรียน เช่น แรงจูงใจ อัตมโนทัศน์ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อ
นักเรียน

4

3.ประโยชน์ของจิตวิทยาสำหรับครู

ประโยชน์ของจิตวิทยาสำหรับครู

1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนำความรู้ที่ได้มาจัดการเรียนการสอนได้อย่าง
เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย

2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้
วิธีการวัดและประเมินผลการศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้จัดการเรียนการสอน
มีประสิทธิภาพ

3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของความเข้าใจ
การให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน

4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก
ทำให้ปกครองเด็กง่ายขึ้นและสามารถทำงานกับเด็กได้อย่างราบรื่น

5.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กได้อย่างเหมาะสม

6.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลักสูตรอุปกรณ์การสอน
และการบริหารงานได้เหมาะสม

7.ช่วยให้ผู้เรียนเข้ากับสังคมได้ดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี

5

4.ขอบข่ายของจิตวิทยาสำหรับครู

ขอบข่ายของจิตวิทยาสำหรับครู

6.จิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) นักจิตวิทยาคลินิกทำงานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้โรคจิต
สถาบันเลี้ยงเด็กปัญญาอ่อน หรืออาจเปิดเป็นคลินิกส่วนตัวก็ได้

7.จิตวิทยาประยุกต์ (Applied Psychology) เป็นการนำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประโยชน์
ในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรมการแพทย์ การทหาร เป็นต้น

8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงาน
ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการทำงาน การคัดเลือกคนงาน การประเมินผลงาน

9.จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน
การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นวิชาที่สำคัญสำหรับครูและนักการศึกษา

10.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) มีการศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และ
สัตว์ทั้งในสภาพแวดล้อมทั่วไปและในห้องปฏิบัติการวิธีการศึกษาส่วนใหญ่ใช้การสังเกต

6

บทที่ 2 พฤติกรรม
ของมนุษย์

7

1.องค์ประกอบของพฤติกรรม

การเกิดพฤติกรรมของมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากการผสมผสาน
ขององค์ประกอบต่างๆในตัวมนุษย์แล้วจึงถูกกล่อมเกลาด้วยสิ่ง
แวดล้อม ในบทนี้จะกล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อ
พฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็น องค์ประกอบภายในตัวมนุษย์เอง ได้แก่
การรับรู้ สติปัญญา การคิด เจตคติ และอารมณ์

8

2.การรับรู้ (Perception)

หมายถึง การแปลความหมายจากการสัมผัส โดยเริ่มตั้งแต่การมีสิ่งเร้ามากระทบกับอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า และส่ง
ประสาทไปยังสมองเพื่อการแปลความ
องค์ประกอบของการรับรู้
1. สิ่งเร้า ได้แก่วัตถุ แสง เสียง กลิ่น รสต่างๆ

2. อวัยวะรับสัมผัส ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง ถ้าไม่สมบูรณ์จะทำให้สูญเสียการรับรู้ได้

3. ประสาทในการรับสัมผัส เพื่อเป็นตัวกลางส่งกระแสประสาทจากอวัยวะรับสัมผัสไปยังสมองส่วนกลางเพื่อการ
แปลความต่อไป

4. ประสบการณ์เดิม การรู้จัก การจำได้ ทำให้การรับรู้ได้ดีขึ้น

5. ค่านิยม ทัศนคติ เช่นการวาดรูปเหรียญ เด็กยากจนวาดเหรียญใหญ่กว่าเด็กมีเงิน อาจเนื่องมาจากการรับรู้ว่า
เหรียญมีค่ามาก
6. ความใส่ใจ ความตั้งใจ ข้อมูลที่สิ่งเร้ากระทบกับอวัยวะรับสัมผัสอาจสูญหายได้ ถ้าไม่มีความตั้งใจ สนใจรับรู้

7. สภาพจิตใจอารมณ์ เช่นการคาดหวัง ความดีใจ เสียใจ

8. ความสามารถทางสติปัญญา ทำให้รับรู้ได้เร็วรวมทั้งความสามารถในการประมวลความรู้เพื่อแปลความได้เร็วขึ้น

9

3.สติปัญญา (Intelligence)

แมคเนมาร์ (McNemar) ได้สรุปความหมายของสติปัญญาตามแนวคิด
ของนักจิตวิทยากลุ่มต่างๆ ได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้

กลุ่มที่ 1 ให้ความหมายของสติปัญญาในแง่ของ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม(Adaptation)
ผู้ที่มีสติปัญญาสูง จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าผู้มีสติปัญญาต่ำ

กลุ่มที่ 2 ให้ความหมายของสติปัญญาว่า เป็นความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem solving) ผู้มีสติปัญญา
สูง จะแก้ปัญหาได้ดีกว่าผู้มีสติปัญญาต่ำ

กลุ่มที่ 3 ให้ความหมายของสติปัญญาว่าเป็นเรื่องของความสามารถในการคิดแบบ นามธรรม(Abstract
thinking)ผู้มีสติปัญญาสูง จะคิดแบบนามธรรมได้ดีกว่าผู้มีสติปัญญาต่ำ

กลุ่มที่ 4 ให้ความหมายของสติปัญญาว่าเป็นความสามารถในการเรียนรู้ (Learning) ผู้ที่มีสติปัญญาสูงจะเรียน
รู้ได้เร็วกว่าผู้มีสติปัญญาต่ำ

10

สเปียร์แมน (Spearman)

ทั้งนี้ ได้มีทฤษฎีเกี่ยวกับสติปัญญาหลายทฤษฎี โดยแต่ละทฤษฎีก็พยายามอธิบายสติปัญญาว่ามี
องค์ประกอบใดบ้าง อาทิ

ผู้ตั้งทฤษฎี 2 องค์ประกอบ ซึ่งสรุปว่า สติปัญญาประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ ได้แก่

1. องค์ประกอบทั่วไป(General factor หรือ g factor) คือความสามารถพื้นฐาน
ในการกระทำต่างๆ ที่ทุกคนต้องมี

2. องค์ประกอบเฉพาะ (Specific factor หรือ s factor) คือความสามารถเฉพาะที่แต่ละคน
มีแตกต่างกันออกไป หรือที่เรียกกันว่า ความถนัดหรือพรสวรรค์

11

เธอร์สโตน (Thurstone)

จากของทฤษฎีหลายองค์ประกอบ แยกองค์ประกอบของสติปัญญามนุษย์
ออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่
1. ด้านความเข้าใจในภาษา(Verbal comprehension)
2. ด้านความคล่องแคล่วในการใช้ถ้อยคำ(Word fluency)
3. ด้านตัวเลข การคิดคำนวณทางคิณตศาสตร์(Number)
4. ด้านมิติสัมพันธ์ การรับรู้รูปทรง ระยะ พื้นที่ ทิศทาง(Spatial)
5. ด้านความจำ (Memory)
6. ด้านความรวดเร็วในการรับรู้(Perceptual speed)
7. ด้านการให้เหตุผล (Reasoning)

12

การ์ดเนอร์ (Gardner, 1986.
อ้างจาก Feldman, 1994:274-275)

เสนอทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple intelligences) ซึ่งสรุปว่าสติปัญญาประกอบไปด้วยความสามารถที่
แสดงออกในรูปของทักษะ 7 ด้าน ได้แก่

1. สติปัญญาด้านดนตรี (Musical intelligence) ได้แก่ทักษะในงานที่เกี่ยวกับดนตรี ผู้มีสติปัญญาด้าน
ดนตรี สูงจะมีความสามารถในด้านนี้ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เช่นการรับรู้เสียงดนตรีการเรียนรู้ได้อย่าง
รวดเร็วในการเล่นดนตรี

2. สติปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย(Bodily kinesthetic intelligence)เป็นทักษะในการใช้ร่างกาย
ทุกส่วน หรือบางส่วนในการเคลื่อนไหว แสดงออกได้อย่างคล่องแคล่ว กลมกลืนเช่นในการลีลาศ เล่น
กีฬา การฟ้อนรำ การแสดงละคร

3. สติปัญญาด้านการใช้เหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ (Logical-mathematical intelligence) เป็นทักษะใน
การคิด การคำนวณ การแก้ปัญหาในเชิงคณิตศาสตร์

13

การ์ดเนอร์ (Gardner, 1986.
อ้างจาก Feldman, 1994:274-275)

4. สติปัญญาด้านภาษา (Linguistic intelligence) เป็นทักษะในการใช้ภาษาการเขียนและการสื่อความต่างๆ

5. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์(Spatial intelligence) เป็นทักษะที่เกี่ยวกับมุมมอง
การกำหนดระยะ การเว้นช่วงระยะ การจัดลำดับ การใช้พื้นที่ และการเก็บรายละเอียดต่างๆของสิ่งที่เห็น

6. สติปัญญาด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่น(Interpersonal intelligence) เป็นทักษะ
การติดต่อกับบุคคลอื่นๆความไวในการรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของบุคคลที่ติดต่อด้วย

7. สติปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) เป็นทักษะในการรับรู้ และเข้าใจลักษณะต่างๆ
ภายในตนเอง สามารถประเมินอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้ โดยสรุปแล้วทฤษฎีทางสติปัญญาแต่ละทฤษฎี
ก็พยายามที่จะชี้ให้เห็นว่าบุคคลแต่ละบุคคลมีความสามารถที่แตกต่างกัน มีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่า
มีสติปัญญาด้านใดสูง

14

สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสติปัญญา

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับ โดยทั่วไปว่าสิ่งที่มีอิทธิพลต่อสติปัญญา ได้แก่ พันธุกรรม และ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งร่วมกันมีบทบาทต่อระดับของสติปัญญามนุษย์

พันธุกรรม เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางสายพันธุ์จากบรรพบุรุษไปยังลูกหลานซึ่ง
พิจารณาได้ใน เรื่องต่อไปนี้ คือ ระดับสติปัญญา เพศ วัย และเชื้อชาติ

สิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสติปัญญานั้น เริ่มตั้งแต่การปฏิสนธิ จนถึงการเจริญ
เติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งแวดล้อมที่สำคัญได้แก่สิ่งต่อไปนี้ คือ ความพร้อมในการตั้งครรภ์
อาหาร โรคภัยไข้เจ็บ การประสบอุบัติเหตุ การอบรม และการจัดสิ่งแวดล้อม

15

การพัฒนาสติปัญญา

เนื่องจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา มีอยู่ 2 ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่
พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในการพัฒนาสติปัญญา
จึงควรพิจารณาที่ปัจจัยทั้ง 2 นี้

1. ในเรื่องของพันธุกรรม เท่าที่จะทำได้ คือ การเลือกคู่ครอง นอกจากพิจารณา
ระดับสติปัญญาของคู่ครอง ควรเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณา
รวมไปถึงความพร้อมในการมีบุตร

2. ในด้านสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยในการพัฒนาสติปัญญา ควรจะเริ่มตั้งแต่การดูแลลูก
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ การให้อาหาร ยา การอบรมเลี้ยงดู การให้การศึกษา
และจัดสิ่งแวดล้อม และประสบการณ์ต่างๆที่เหมาะสมกับตัวเด็กเพื่อให้ได้ฝึกการคิด
การแก้ปัญหาและได้ปฏิบัติด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้และการใช้สติปัญญา

16

การคิด (Thinking)

การคิด เป็นกระบวนการทำงานของสมองในการสร้างสัญลักษณ์ หรือภาพ
ให้ปรากฏในสมอง ความสามารถในการคิดนั้น มีความสัมพันธ์กับระดับสติปัญญา

การคิด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

1. ความคิดรวบยอด (concept)

ความคิดรวบยอด เป็นลำดับขั้นที่เกิดจากการทำงานของสมอง หรือ การสรุปรวม ที่จะ
ทำความเข้าในสิ่งของ บุคคล เรื่องราว ประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับรู้ หรือต่อความคิดเห็น เพื่อให้เกิด
ความชัดเจน ว่าคืออะไร เช่นารรับรู้ มะม่วง ชมพู่ ส้ม มังคุด ว่าเป็นผลไม้ รับรู้ สุนัข แมว หมู เป็ด
ไก่ ว่าเป็นสัตว์เลี้ยง

2. จินตนาการ (imagination)

จินตนาการ เป็นสร้างภาพขึ้นในสมอง ตามความนึกคิดของตนเอง เป็นผลมาจากการสะสม
การรับรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผสมกับความต้องการ ความสนใจ ความคาดหวัง อารมณ์ และความ
รู้สึกของบุคคล การจินตนาการในสิ่งเดียวกันของบุคคลแต่ละคน จะแตกต่างกันออกไป

17

การคิด (Thinking)

ลักษณะพื้นฐานของการคิดที่กล่าวถึงข้างต้น ทำให้เกิดการคิด 2รูปแบบได้แก่

1. การคิดอย่างมีเป้าหมาย
การคิดอย่างมีเป้าหมาย เป็นกระบวนการคิดที่มีขั้นตอน มีทิศทางเพื่อ
มุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ การคิดอย่างมีเป้าหมาย ที่มีความสำคัญต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่
- การคิดหาเหตุผล (Reasoning) เป็นการสรุปความคิดจากข้อมูลที่มีอยู่ โดยสามารถ
อธิบายได้ด้วยหลักของเหตุผล
ซึ่งอาจคิดจากหลักการไปสู่รายละเอียดหรือข้อเท็จจริงย่อยๆ (คิดแบบนิรนัย) หรือคิดจากข้อเท็จ
จริงย่อยๆไปสู่หลักการ (คิดแบบอุปนัย)

- การตัดสินใจ (Decision Making) เป็นการเลือกทางปฏิบัติ ในกรณีที่มีตัวเลือกมากกว่า 1
ทางเลือก

- การคิดแก้ปัญหา (problem solving) เป็นการหาวิธีจัดการกับความยุ่งยากที่เกิดขึ้น

- การคิดสร้างสรรค์ (creativity) เป็นการหาวิธีการ แนวทาง รูปแบบ สิ่งแปลกใหม่
ที่มีประโยชน์

- การคิดวิเคราะห์วิจารณ์(Critical thinking) เป็นการคิดถึงความสมเหตุสมผล
ความสอดคล้องต้องกัน โดยการพิจารณาไตร่ตรองถึงผลดี ผลเสีย อย่างรอบครอบแล้

18

เจตคติ (Attitude)

ความหมายของเจตคติ คือ สภาพความพร้อมของความคิด ความรู้สึก และแนวโน้มพฤติกรรม
ของบุคคลอันเป็นผลมาจากประสบการณ์ สภาวะนี้เป็นแรงที่จะกำหนดทิศทางของพฤติกรรมของบุคคล
ต่อเหตุการณ์ สิ่งของ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง

เจตคติของบุคคล ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ
ซึ่ง เฟลด์แมน (Feldman, 1994:489-490) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของเจตคติไว้เป็นรูปแบบ ABC
(ABC Model)ดังนี้

1. องค์ประกอบด้านความรู้สึก (Affective component –A)
เป็นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ที่บุคคลมีต่อบุคคล
สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่รับรู้
2. องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioral component-B) เป็นการเตรียมพร้อมของบุคคลที่จะ
แสดง หรือไม่แสดงพฤติกรรม ต่อบุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆที่รับรู้
3. องค์ประกอบด้านความคิด (Cognitive component –C) เป็นความรู้ หรือความคิดของบุคคลที่มี
ต่อบุคคล สิ่งของ หรือสถานการณ์ต่างๆที่รับรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่ดี ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เหมาะสม ไม่
เหมาะสม ให้คุณ ให้โทษ

19

ลักษณะของเจตคติ

องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ จะมีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน หากองค์ประกอบด้านใดด้านหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป เจตคติ
ของบุคคลนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเจตคติของบุคคลมิได้มีมาแต่กำเนิด เจตคติ มีกระบวนการพื้นฐานมาจากการ
เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้รับ (Baron, 1996:529) การเกิดเจตคติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ของบุคคลนั้น เกิดได้จากหลายวิธี (ประภาเพ็ญ สุวรรณ, 2520:121-122)เช่น เกิิดจากการเลียนแบบบุคคลที่เขา
ศรัทธา นิยมชมชอบ สังเกตจากการกระทำของบุคคลอื่น และดูผลว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากประสบการณ์ที่นำความพอใจ
หรือไม่พอใจมาให้จากการได้รับข้อมูล ความรู้จากแหล่งต่างๆ จากกลุ่มเพื่อนจากการรับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่น
เป็นต้น เจตคติสามารถเปลี่ยนแปลง และพัฒนาให้เกิดขึ้นใหม่ได้แต่ต้องอาศัยระยะเวลา และกระบวนการหลายอย่าง

ลักษณะของเจตคติ สรุปได้ดังนี้

1. เจตคติไม่ใช่พฤติกรรม แต่เป็นสภาวะของจิตใจซึ่งเป็นแนวโน้มของการแสดงพฤติกรรม
ว่าจะเป็นเชิงบวก หรือเชิงลบ

2. เจตคติเกิดจากการเรียนรู้ จากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ เมื่อบุคคลเรียนรู้
เกิดผลดี ก็จะเกิดเจตคติเชิงบวก หากเป็นไปในทางตรงข้ามมักจะเกิดเจตคติเชิงลบ ต่อสิ่งนั้น

3. เจตคติเกิดจากการเรียนรู้ ความรู้สึกที่รุนแรง หรือที่สะสมมาเป็นเวลานาน หรือประสบการณ์ที่ทำให้เกิดความคิด
ความรู้สึกที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันซ้ำๆจะทำให้เกิดเจตคติได้เร็ว และมั่นคง

20

ลักษณะของเจตคติ

4. เจตคติเป็นสิ่งซับซ้อน บุคคลแต่ละคน จะมีเจตคติต่อสิ่งเดียวกันแตกต่างกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ภูมิหลังของบุคคล ประสบการณ์ การรับรู้ และการเรียนรู้
ของแต่ละคนต่อสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น

5. เจตคติอาจใช้ในการคาดคะเนพฤติกรรมของบุคคลโดยทั่วไปได้ แม้จะไม่ทุกกรณีก็ตาม
เพราะโดยทั่วไปแล้ว บุคคลที่มีเจตคติดีต่อสิ่งใด ก็จะแสดงพฤติกรรมที่ดี
ต่อสิ่งนั้น เช่น ผู้มีเจตคติดีต่อกีฬา ก็จะแสดงพฤติกรรมที่ดีในเรื่องที่เกี่ยวกับกีฬา เช่น
ดูกีฬา ติดตามข่าวเกี่ยวกับกีฬา เป็นต้น

6. ถึงแม้เจตคติจะมีความคงทน และแน่นอนพอสมควร แต่เจตคติก็สามารถเปลี่ยนแปลง
ได้ ถ้ามีการวางเงื่อนไข หรือจัดสภาพสิ่งแวดล้อม ที่เหมาะสมกับบุคคล และดำเนินการ
อย่างต่อเนื่องกัน

21

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติ

ปัจจัยที่พื้นฐานจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเจตคติ ที่ควรคำนึงถึงก็คือ แหล่งที่มาของข่าวสารข้อมูล เนื้อหาของ
ข้อมูล วิธีการสื่อสาร และ กลุ่มหรือบุคคลเป้าหมายที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติ โฮฟแลนด์ จานิส และ เคลลี
(Hovland, Janis, และ Kelly, 1985อ้างจาก Baron, 1996:529-530)
ได้เสนอผลการศึกษาที่พบว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติดังต่อไปนี้
1. ผู้เชี่ยวชาญ จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติของบุคคล มากกว่าผู้ไม่เชี่ยวชาญ เพราะบุคคลทั่วไปย่อมจะศรัทธา
และให้ความเชื่อถือในผู้เชี่ยวชาญมากกว่าอยู่แล้ว (Hovland & Weiss,1955)

2. ข้อมูลข่าวสารที่เป็นกลาง จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติของบุคคล มากกว่าข้อมูลข่าวสารที่แสดงให้เห็นอย่าง
ชัดเจนว่ามีเจตนาที่ให้ผู้รับคล้อย ตาม และบ่อยครั้งที่ข้อมูลข่าวสารประเภทหลังนี่ ได้รับการต่อต้านแทนที่จะได้รับการ
คล้อยตาม (Walster & Festinger, 1962)

3. แหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก อยู่ในความสนใจ และได้รับความนิยมชมชอบ
มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติ มากกว่าแหล่งข้อมูล ที่ธรรมดาทั่วๆไป (Kiesler&Kiesler,1969)

4. บุคคลที่มีอัตมโนทัศน์ (self-concept) ต่ำ จะถูกชักจูงให้เปลี่ยนแปลงเจตคติ
ได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีอัตมโนทัศน์สูง (Janis,1954)

5. กับบุคคลที่รู้ข้อมูลด้านเดียว การสื่อสารที่ให้ข้อมูลข่าวสารทั้ง 2 ด้าน
คือทั้งด้านดี และ ด้านไม่ดี จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติได้ดีกว่า ส่วนบุคคลที่รู้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน การสื่อสารที่ให้
ข้อมูลด้านเดียว จะให้ผลในการเปลี่ยนแปลงเจตคติได้ดีกว่า

6. วิธีการสื่อสารด้วยการพูดที่คล่อง ชัดเจน และเป็นธรรมชาติ จะมีผลต่อเจตคติ
มากกว่าการพูดช้าๆ และไม่ต่อเนื่อง เพราะการพูด แสดงถึงการมีความสามารถ
และความน่าเชื่อถือ (Miller,และคณะ:1976)

22

อารมณ์ (Emotion) ความหมาย

นายแพทย์เทิดศักดิ์ เดชคง (2542:20) กล่าวถึงอารมณ์ว่า เป็นสภาวะทางจิตใจที่มีผลจาก
ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ทั้งที่มาจากภายในได้แก่ความไม่สบาย ความเจ็บปวด และอาจมาจากสิ่งเร้า
ภายนอก เช่น บุคคล อุณหภูมิ ดินฟ้าอากาศ อารมณ์อาจมีความหมายได้หลายแง่ทั้งแง่ดี แง่ไม่ดี

อารี เพชรผุด (2541:210) ให้ความหมายไว้ว่า อารมณ์ คือภาวะที่อินทรีย์ (Organism) ถูก
เร้า ให้เกิดการตอบสนอง หรือที่เรียกว่า ผลกระทบจากสิ่งเร้า ไม่ว่าผลกระทบนั้นจะหนักหรือ เบา
ก็ตามจะทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นได้และ
มีการแสดงออกได้เป็น 3 แบบ คือ
1. แบบที่เกิดทันทีทันใด (Emotional experience) เช่น รู้สึกโกรธ กลัวดีใจ

2. พฤติกรรมที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากอารมณ์ (Emotional behavior)
เช่นกล่าวคำสบถสาบานเมื่อรู้สึกโกรธ กระโดดโลดเต้นเมื่อรู้สึกดีใจ

3. เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย (Physical change) เช่น หน้าแดง มือสั่น ปากสั่น

อารมณ์กับความรู้สึกเป็น สิ่งที่ต่อเนื่องกัน และยากที่จะแยกแยะว่าอันไหนเป็นความรู้สึก (Feeling)
อันไหนเป็นอารมณ์ (emotion) เพราะเป็นภาวะที่ต่อเนื่องกัน จากความรู้สึกที่ธรรมดา ไปจนถึงความ
รู้สึกที่ธรรมดา ไปจนถึงความรู้สึกที่รุนแรง

23

อารมณ์ (Emotion) ความหมาย

Feldman (1994:320) กล่าวว่า อารมณ์ เป็นความรู้ต่างๆ(Feeling)
เช่น สุข เศร้า เสียใจ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมีผลต่อ กระบวนการทางสรีระ
และทางความคิด ซึ่งร่วมกันทั้งหมดมีผลต่อการแสดงพฤติกรรม

Baron (1996:354)สรุปไว้ว่า อารมณ์เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงกายภาพ ระดับ
ของการคิดแบบอัตนัย และพฤติกรรมที่แสดงออก

อาจกล่าวสรุปได้ว่า อารมณ์เป็นความรู้สึกชนิดต่างๆ ที่บุคคลมีต่อสิ่งเร้าความรู้สึกเหล่านี้
อาจรุนแรง หรอเบาบางกว่าปกติ และอาจเกิดขึ้นพร้อมกับ
มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพร่วมไปด้วย

24

ทฤษฎีทางอารมณ์
ทฤษฎีของเจมส์ – แลงค์ ( James-Lange -Theory)

เป็นทฤษฎีที่วเลี่ยม เจมส์ (William James) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
และ คาร์ล จี แลงค์ (Carl G.Lange) แพทย์ชาวเดนมาร์ก ทั้ง 2 มีแนวคิดที่
ตรงกันว่า อารมณ์เป็นผลที่เกิดเนื่องมาจาก มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน
ขณะที่ระบบประสาทรับการสัมผัสจากสิ่งเร้าและสั่งการไปยังกล้ามเนื้อให้มี
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าอย่างทันทีทันใด แล้วจึงเกิดอารมณ์
(Baron,1996:354) เช่น เรารู้สึกว่ามีสิ่งเปียกๆ เหนียวๆ หล่นใส่แขนเราสลัด
ทันที เมื่อเรารู้ภายหลังว่าสิ่งนั้น คือ อะไรเราจึงเกิดอารมณ์ต่างๆ ตามมา
อาจกลัวถ้าเป็นงู อาจเกลียดถ้าเป็นตุ๊กแก อาจขยะแขยงถ้าเป็นน้ำมูก
หรือขบขันถ้าเป็นยางที่ทำเป็นรูปสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ

25

ทฤษฎีของเคนนอน- บาร์ด (Cannon –Bard Thry)

ผู้ตั้งทฤษฎีนี้คือ วอลเตอร์ บี แคนนอน (Walter B. Cannon) และ บาร์ด (Bard)
ซึ่งเป็นศิษย์ของ แคนนอน เขาได้อธิบายการเกิดอารมณ์ว่า เมื่ออินทรีย์หรือร่างกาย
รับสัมผัสจากสิ่งเร้าภายนอกแล้ว จะรายงานมายังสมองส่วนกลาง (Thalamus)

แล้วส่งต่อไปยังสมองส่วนกลางภายใน (Hypothalamus) ซึ่งเป็นแหล่งที่เกิดจากอารมณ์
จากนั้นเป็นการสั่งการให้กล้ามเนื้อตอบสนองต่อสิ่งเร้า
ทฤษฎีนี้บางที่เรียกว่า (Canon’s Thalamic Theory (Shaver,1993:152)

26

ทฤษฎีของชัคเตอร์ – ซิงเกอร์ (Schacter -Singer)

บางทีเรียกว่า “ ทฤษฎีการที่แสดงถึงการรู้การเข้าใจ” (Cognitive Labeling Theory)
ซึ่งเสนอโดย ชัชเตอร์ (Schachter) และ ซิงเกอร์ (Singer) เป็นทฤษฎีที่เน้นใน
2 องค์ประกอบที่สำคัญ (Baron,1996 : 355) คือ การรู้การเข้าใจและสถานการณ์ในสังคม
ที่มีบทบาทต่อการกำหนดสภาวะอารมณ์ คือ การที่บุคคลจะมีอารมณ์แบบใดขึ้นอยู่กับ
การรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อมทางสังคม และการเลือกตอบสนองของบุคคล ทฤษฏีนี้
มีการเปรียบเทียบมนุษย์เหมือนตู้เพลง การหยอดเหรียญลงไป เท่ากับเป็นการถูกกระตุ้น
จากสิ่งเร้าภายนอก เข้าไปปลุกระบบที่ทำให้เกิดอารมณ์แต่จะเป็นเพลงแบบใดนั้นขึ้นอยู่
กับผู้ที่เลือกเพลงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ทฤษฎีอารมณ์ตู้เพลง”
(Jukebox Theory of Emotion)

27

หน้าที่ของอารมณ์

การที่มนุษย์มีอารมณ์ ต่างๆที่ทำให้ชีวิตไม่จืดชืด มีสีสันที่น่าสนใจขึ้น นักจิตวิทยาพยายามแสดงให้เห็นถึงหน้าที่
สำคัญของอารมณ์ที่มีต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งมีดังนี้

1. เตรียมพร้อมในการกระทำต่างๆของเรา (Preparing) อารมณ์ ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์จากสิ่ง
แวดล้อมภายนอก กับแสดงพฤติกรรมตอบสนองของบุคคล เชื่อ เห็น สุนัขคำรามและวิ่งเข้าใส่เรา การเกิด
อารมณ์(กลัว)จะประสานกับการกระตุ้นระบบของร่างกายให้เกิดพฤติกรรมวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

2. ตกแต่งพฤติกรรมของเรา (Shaping) อารมณ์ทำหน้าที่ในการเรียนรู้ข้อมูลต่างๆที่จะช่วยกล่อมเกลาพฤติกรรมการ
ตอบสนองของเราให้มีความเหมาะสมการแสดงพฤติกรรมของบุคคลในขณะที่อารมณ์ไม่ดี จะสอนให้บุคคลรู้ว่า
ในคราวต่อไปควรจะแสดงออกเช่นไร จึงจะเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

3. ช่วยให้เรามีพฤติกรรมด้านสังคมที่เป็นระบบระเบียบขึ้น (Helping) ประสบการณ์ทางอารมณ์ ที่เราได้รับจากการพบปะ
กับบุคคลต่างๆ จะสังเกตได้จากการสื่อสารกันทั้งจากการพูดและจากการแสดวสีหน้า ท่าทาง ที่บุคคลแสดงโต้ตอบเราจะ
ช่วยให้เราเข้าใจว่า ในคราวต่อไปเราควรแสดงพฤติกรรมการโต้ตอบทางังคมอย่างไร จึงจะดูดีและเป็นที่ยอมรับ

28

การพัฒนาความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์

ซาโลเวย์ (Salovey, 1988 อ้างอิงจาก Goleman, 1995. 42-44) กล่าวถึง
องค์ประกอบที่สำคัญของความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์ไว้ 5 ด้าน ได้แก่

1. การรู้จักอารมณ์ตนเอง (Know one’s emotion)
2. การจัดการ(บริหาร)อารมณ์ตนเอง(managing emotion)
3. การสร้างการจูงใจให้ตนเอง(motivating oneself)
4. การหยั่งรู้อารมณ์ของผู้อื่น(recognizing emotions in others)
5. การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

29

แนวทางในการพัฒนาการรู้จักอารมณ์ตนเอง
ทำได้ดังนี้คือ

1. การรู้จักอารมณ์ของตนเอง (Know one’s emotion)
เป็นการรู้ว่าอารมณ์ของตนเป็นเช่นไรทั้งตามปกติและรู้ถึงลักษณะและการ แสดงออกของอารมณ์ที่ไม่ปกติ
(อารมณ์ชั่ววูบ) รวมถึงผลย้อนกลับของอารมณ์ต่างๆ ของตน

2. ฝึกการรู้ตัวบ่อยๆ มีสติกับการรู้ตัว
- ขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเองหรือกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา
- รู้สึกสบายใจ, ไม่สบายใจ
- คิดอย่างไรกับความรู้สึกนั้น
- ความคิด/ความรู้สึกมีผลอย่างไร กับการแสดงออกของตนเอง

3.การจัดการ(บริหาร) อารมณ์ของตนเอง(managing emotions)
เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์และแสดงออกได้อย่างเหมาะสม กับบุคคล สถานที่เวลาและเหตุการณ์
ทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดี ให้เกิดความสมดุล ในการจัดการกับอารมณ์
ของตนเองนี้จะทำได้ดีเพียงใดนั้นสืบเนื่องมาจากการรู้จักอารมณ์ของตนเอง

30

การฝึกการจัดการอารมณ์ของตนเอง

1. ทบทวนว่าอะไรบ้างที่เราทำลงไปเพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น
ดูด้วยว่าผลที่เกิดขึ้นตามมาเป็นเช่นไร

2. เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ตั้งใจไว้เกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ในคราวต่อไป
ฝึกการสั่งตัวเองว่าทำอะไร จะไม่ทำอะไร

3. ฝึกการรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือที่เราต้องเกี่ยวข้อง ในด้านดี มอง-ฟัง สิ่งดี-สร้าง
อารมณ์แจ่มใสเกิดความสบายใจ

4. ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง/ผู้อื่น/สิ่งอื่นที่อยู่รอบตัว ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากข้อ 3
ทำให้เกิดความคิดที่ดี การกระทำที่ดี ทำให้เกิดผลย้อนกลับที่ดีต่อทั้งตนเองและผู้อื่น

31

แนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง

วิธีการที่จะสร้างความเข้มแข็งของอารมณ์เพื่อเกิดความมุ่งมั่นที่จะกระตุ้นตัวเองให้มีการปฏิบัติไปสู่เป้า
หมายที่ตั้งไว้ซึ่งอาจทำให้ได้ดังนี้

1. ทบทวนว่าสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเรามีอะไรบ้าง ที่เราต้องการ อยากได้ อยากมี อยากเป็น จัดอันดับ
ความสำคัญ แล้วพิจารณาว่าการจะบรรลุสิ่งที่ต้องการแต่ละสิ่งนั้น สิ่งใดที่มีทางเป็นไปได้ สิ่งใดเป็นไปไม่
ได้ สิ่งใดจะเกิดประโยชน์ สิ่งใดจะเกิดโทษ

2. นำความต้องการในข้อ 1. ที่เป็นไปได้และเกิดประโยชน์มาตั้งเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนให้แก่ตนเอง แล้ว
วางขั้นตอนที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น

3. ในการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ต้องระวังอย่าให้เหตุการณ์บางอย่าง
มาทำให้ไขว้เขวไปจนออกนอกทางที่จะบรรลุ เป้าหมาย

4. ถ้าท่านเป็นบุคคลประเภท “สมบูรณ์แบบ” (Perfectionist) (คือทุกอย่างที่เกี่ยวกับท่านต้องดีที่สุด
สมบูรณ์ที่สุด ผิดพลาดไม่ได้) ต้องพยายามลด
ความสมบูรณ์แบบลง ฝึกสร้างความยืดหยุ่นในอารมณ์ จะได้ไม่เครียด ผิดหวัง เสียกำลังใจหากเกิดสิ่งผิด
พลาดบกพร่องขึ้น

5. ฝึกการมองหาประโยชน์จากอุปสรรค มองหาสิ่งดีจากสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว (เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ย่อมเปลี่ยนให้ไม่เกิดไม่ได้) เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ
ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดีอื่นๆต่อไป

32

แนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง

6. ฝึกสร้างทัศนคติที่ดี (ใช้พื้นฐานจากข้อ 5) ทำความเข้าใจในเรื่องการมองโลกแง่ดี
หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ มองปัญหาให้เป็นการเรียนรู้ การคิดในแง่ดีทำให้
รู้สึกดี มีพฤติกรรมที่ดี เกิดความพึงพอใจ เป็นการเพิ่มพลัง-แรงจูงใจให้ตัวเอง

7. หมั่นสร้างความหมายในชีวิตให้แก่ตนเอง มองสิ่งดีในตนเอง นึกถึงสิ่งที่
สร้างความภูมิใจแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ในตัวเราและพยายามใช้สิ่งดีในตน
สร้างให้เกิดคุณค่าแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น อยู่เสมอ ก็จะยิ่งเพิ่มพูนความหมายในชีวิตมาก
ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มแรงที่จะรู้สึก-คิด-และปฏิบัติสิ่งต่างๆ

8. ให้กำลังใจตัวเอง คิดอยู่เสมอ ว่าเราทำได้ –เราจะทำ-ลงมือทำ

33

การหยั่งรู้อารมณ์ผู้อื่น
(Recognizing emotion in others)

เป็นความสามารถในการรับรู้อารมณ์–ความรู้สึก
ของผู้อื่น มีความเข้าใจ เห็นใจผู้อื่นสามารถปรับความสมดุลของ
อารมณ์ตนเอง ตอบสนองต่อผู้อื่นได้อย่างสอดคล้องกัน ความ
สามารถในด้านนี้เป็นทักษะทางสังคม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการ
ดำรงชีวิตอยู่ทั้งในครอบครัวในงานอาชีพ ในสังคมทั่วไป เพราะ
เราต้องพบปะมีสัมพันธภาพกับผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

34

แนวทางการฝึกการหยั่งรู้อารมณ์ผู้อื่น

1. ให้ความสนใจการแสดงออกของผู้อื่น โดยการสังเกตสีหน้า, แววตา, ท่าทาง,
การพูด,ถ้อยคำน้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอื่นๆ ฝึกสังเกตบ่อยๆ จะเห็นอารมณ์ของเขาจากสิ่งต่างๆ เรา
สังเกตโดยเฉพาะสีหน้าแววตา จะสังเกตได้ง่ายกว่าจุดอื่น

2. อ่านอารมณ์ความรู้สึกของเขาจากสิ่งที่สังเกตเห็น ว่าเขากำลังมีอารมณ์ความรู้สึกใด อาจตรวจสอบโดย
การถามความรู้สึกของเขา แต่การตรวจสอบต้องทำในสภาพเหมาะสม มิฉะนั้นอาจเป็นการทำลายความรู้สึกกัน
ได้ ถ้าเราได้ฝึกการให้ความสนใจและการสังเกตบ่อยๆ จะมีความชำนาญในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกและการ
อ่านความรู้สึกของบุคคลมากขึ้น

3. ทำความเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของบุคคลตามสภาพที่เขาเผชิญอยู่หรือที่เรียกกันทั่วไป คือ เอาใจเขามา
ใส่ใจเรา ถึงแม้จะไม่ถูกต้องทุกประการแต่ก็จะมีความคล้ายคลึง
หรือใกล้เคียงบ้าง

4. แสดงการตอบสนองอารมณ์ ความรู้สึก ผู้อื่นที่เป็นการแสดงว่าเข้าใจ, เห็นใจกันทำให้
เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ดีต่อกัน

5. การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (Handling relationship)
เป็นความสามารถในการอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยมีความสัมพันธภาพ ที่ดีต่อกันและสร้างสรรค์
ผลงานที่เป็นประโยชน์ ผู้ที่มีความสามารถและทักษะด้านนี้จะสามารถใช้ทั้งความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม
ในการอยู่ร่วมกันกับบุคคลต่างๆ ได้อย่างราบรื่น

35

แนวทางในการพัฒนาการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

1. การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาจากการมองตนเองและผู้อื่นในแง่ดี สร้าง
อารมณ์ที่ดีต่อกัน การฝึกสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น-เห็นใจผู้อื่นจะทำให้การเริ่มต้นของ การมีสัมพันธ์ภาพ
ที่ดีเกิดขึ้น

2. ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ-สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ชัดเจน
ฝึกการเป็นผู้ฟังและผู้พูดที่ดี ที่สำคัญต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้รับการสื่อสารด้วย (สื่อสารกันด้วยหัวใจ)

3. ฝึกการแสดงน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อรู้จักการให้-การรับ-การแลกเปลี่ยน ให้เกิดคุณค่า เกิดประโยชน์
สำหรับตัวเอง และสำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

4. ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ- ให้การยอมรับ เพราะเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้รับ มีความภาคภูมิ
และความรู้สึกที่ดีตอบแทนมา

5. ฝึกการแสดงความชื่นชอบ ชื่นชม และให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม

ที่มา : http://hbdkru.blogspot.com/2009/12/3.html

36

บทที่ 3 ปรัชญาแนวคิด
ทฤษฎีทางจิตวิทยา

37

หัวข้อหลักในการเรียนรู้

1.ปรัชญาและแนวคิดด้านการศึกษา
2.แนวคิดและความสำคัญของจิตวิทยา

38

ปรัชญาการศึกษา

จอร์จ เอฟ เนสเลอร์

ปรัชญาการศึกษา คือ การค้นหาความเข้าใจในเรื่อง
การศึกษาทั้งหมด การตีความหมายโดยการใช้ความ
คิดรวบยอดทั่วไปที่จะช่วยแนะแนวทางในการเลือกจุด
มุ่งหมายและนโยบายของการศึกษา

39

เจมส์ อี แมคเคลนเลน

ปรัชญาการศึกษา คือ สาขาวิชาหนึ่งในบรรดาสาขา
ต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย อันเกี่ยวข้องกับการดํารงชีวิต
ของมนุษย์

40

วิจิตร ศรีสอ้าน

ปรัชญาการศึกษา คือจุดมุ่งหมาย ระบบความเชื่อ หรือ
แนวความคิดที่แสดงออกมาในรูปของอุดมการณ์ หรือ
อุดมคติ ทำนองเดียวกันกับที่ไซ้ในความหมายของปรัชญา
ชีวิตซึ่งหมายถึง อุดมการณ์ของชีวิต อุดมคติของชีวิต
แนวทางดำเนินชีวิตนั้นเอง

41

สรุป

ดังนั้นสรุปได้ว่า ปรัชญาการศึกษา คือการนำเอา
หลักการ ความคิด ความเชื่อ ผลจากการแสวงหา ความเข้าใจ
เกี่ยวกับการศึกษาที่ชัดเจน หรือการนำเอาทักษะเกี่ยวกับการ
ศึกษามาดัดแปลงให้เป็นระบบใหม่ เพื่อประยุกต์ใช้ให้เป็น
ประโยชน์ในการจัดการศึกษา ลักษณะของปรัชญาการศึกษา

42

แนวคิดของนักจิตวิทยาการศึกษา

William Wundt ผู้นำกลุ่ม
โครงสร้างแห่งจิต(Structuralism)

กลุ่มนี้จะมีความเชื่อว่ามนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย (Body)
กับจิตใจ (mind) ซึ่งต่างเป็นอิสระต่อกันแต่ทำงานสัมพันธ์กัน ดังนั้น
การกระทำของบุคคลจึงเกิดจากการควบคุมและสั่งการจิตใจ ผู้นำกลุ่ม
นี้ เขาสรุปว่าส่วนนี้มาสัมพันธ์กันภายใต้สถานการณ์แวดล้อมที่เหมาะสม
จะก่อให้เกิดเป็นความคิด อารมณ์ ความจำ เป็นต้น

43

John Dewey ผู้นำกลุ่มหน้าที่แห่งจิต
(Functionalism)

แนวคิดของกลุ่ม Functionalism เป็นดังนี้
- การกระทำทั้งหมดหรือการแสดงออกมนุษย์เป็นการ
แสดงออกของจิตเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การ
ศึกษาจิตใจคนจึงต้องศึกษาที่การแสดงออกในสถานการณ์ต่างๆ
- การกระทำหรือการแสดงออกทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ
ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล พฤติกรรมของแต่ละคนจึงแตก
ต่างกันออกไป

44

Sigmund Freud ผู้นำกลุ่มจิตวิเคราะห์
(Psychology)

Freud อธิบายว่า จิตของมนุษย์มี 3 ระดับ โดยเปรียบเทียบกับภูเขาน้ำแข็ง (Ice
burg) คือ

จิตสำนึก (Conscious mind) เปรียบเหมือน Ice burg ส่วนที่พ้น
ผิวน้ำซึ่งมีปริมาณเล็กน้อยเป็นสภาพที่บุคคลมีสติ รู้ตัว การแสดงออกเป็นไปอย่างมี
เหตุผลและแรงผลักดันภายนอกสอดคล้องกับหลักของความจริง (Principle of Reality)

จิตใต้สำนึก (Subconscious mind) หรือจิตกึ่งสำนึก (Preconscious)
เปรียบเหมือน Ice burg ที่อยู่ปริ่มผิวน้ำ เป็นสภาพที่บุคคลมีพฤติกรรมไม่รู้ตัวในบาง
ขณะ หรือพูดโดยไม่ตั้งใจ ประสบการณ์ที่ผ่านมากลลายเป็นความทรงจำในอดีตที่จะถูก
เก็บไว้ในจิตส่วนนี้ เมื่อไม่นึกถึงก็จะไม่รู้สึกอะไรแต่เมื่อนึกถึงจะสะเทือนใจทุกครั้ง

จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) เปรียบเหมือน Ice burg ที่อยู่ใต้
ผิวน้ำซึ่งมีปริมาณมากเป็นส่วนของพฤติกรรมภายในที่บุคคลกระทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่ง
Freud วิเคราะห์ว่าอาจเกิดจากการถูกเก็บกดหรือพยายามจะลืม เช่น ความอิจฉา
ความเกลียดชัง ความขมขื่นปวดร้าว บางเหตุการณ์เหมือนจะลืมไปจริงๆ

45

แนวคิดและความสำคัญของจิตวิทยา

ทฤษฎีการเรียนรู้

ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
ของพาฟลอฟ (Pavlov)

ธอร์นไดค์ (Edward L Thorndike)

บี.เอฟ.สกินเนอร์ Burrhus Skinner

46

ทฤษฎีของพาฟลอฟ (Pavlov)

-กฎแห่งการลดภาวะ ( Law of extinction) คือ ความเข้มข้นของการตอบ
สนอง จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ถ้าอินทรีย์ได้รับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว

-กฎแห่งการฟื้นคืนสภาพ ( Law of spontaneous recovery) คือ การตอบ
สนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไขที่ลดลงเพราะได้รับแต่สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเพียงอย่าง
เดียวจะกลับปรากฏขึ้นอีกและเพิ่มมากขึ้นๆถ้าอินทรีย์มีการเรียนรู้อย่างแท้จริง

-กฎแห่งการสรุปกฎเกณฑ์โดยทั่วไป ( Law of generalization) คือ ถ้า
อินทรีย์มีการเรียนรู้โดยการแสดงอาการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่
วางเงื่อนไขหนึ่งแล้วถ้ามีสิ่งเร้าอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม
อินทรีย์จะตอบสนองเหมือนกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น
-กฎแห่งความแตกต่าง (Law of discrimination) คือ ถ้าอินทรีย์มีการเรียนรู้
โดยการตอบสนองจากการวางเงื่อนไขต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขแล้วถ้าสิ่งเร้าอื่นที่มี
คุณสมบัติแตกต่างจากสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเดิม อินทรีย์จะตอบสนองแตกต่างไปจาก
สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขนั้น เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้ำลายไหลจากการสั่นกระดิ่งแล้วเมื่อ
สุนัขตัวนั้นได้ยินเสียงประทัดหรือเสียงปืนจะไม่มีอาการน้ำลายไหล

47

การทดลองของพาฟลอฟ

ที่มา : http://youtube.com/watch?v=tvP3k8LKFgk


Click to View FlipBook Version