The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิตวิทยาสำหรับครู.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nampheung15, 2022-10-20 22:12:27

งานจิตวิทยาสำหรับรู.

จิตวิทยาสำหรับครู.

48

ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์

1. กฎแห่งผล ( Law of Effect ) กล่าวว่าเมื่อการเชื่อมโยงระหว่างสิ่ง
เร้ากับอาการตอบสนองนำความพอใจมาให้การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับ
อาการตอบสนองก็จะแน่นแฟ้นขึ้น ถ้าความสัมพันธ์นี้นำความรำคาญใจมา
ให้ความสัมพันธ์นี้ ก็จะคลายความแน่นแฟ้นลง

2. กฎแห่งการฝึก ( Law of Exercise ) ความสัมพันธ์นี้จะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เมื่อมีการฝึกหัดหรือซ้ำบ่อย ๆ และความสัมพันธ์นี้จะคลายอ่อนลงเมื่อไม่ได้
ใช้ และธอร์นไดค์เชื่อว่าการกระที่ไม่มีรางวัลเป็นผลตอบแทนหลังการตอบ
สนองนั้น ๆ สิ้นสุดลงจะต้องลงเอยด้วยความสำเร็จ

3. กฎแห่งความพร้อม ( Law of Readiness )

1. เมื่อหน่วยของการกระทำพร้อมที่จะแสดงออกมา ถ้าผู้กระทำทำด้วย
ความสบายหรือพอใจไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงการกระทำ นี้ได้
2. ถ้าหน่วยของการกระทำพร้อมที่จะแสดงออกแต่ไม่ได้แสดง จะทำให้
เกิดความไม่สบายใจ
3. ถ้าหน่วยของการกระทำยังไม่พร้อมที่จะแสดงออกแต่จำเป็นต้อง
แสดงออก การแสดงออกนั้น ๆ กระทำไปด้วยความไม่สบายใจ

49

การทดลองของธอร์นไดค์

ที่มา : http://youtube.com/watch?v=btrpRFo6FMo

50

ทฤษฎีของบี.เอฟ.สกินเนอร์
Burrhus Skinner

การเสริมแรง หมายถึง ผลของพฤติกรรมใดๆ ที่ทำให้พฤติกรรมนั้น
เข้มแข็งขึ้น การเสริมแรงทางบวก

สกินเนอร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยได้แยกวิธีการเสริมแรง
ออกเป็น 2 วิธี คือ

1. การให้การเสริมแรงทุกครั้ง (Continuous Reinforcement)
เป็นการให้การเสริมแรงทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์
ตามที่กำหนดไว้

2. การให้การเสริมแรงเป็นครั้งคราว (Partial Reinforcement)
เป็นการให้การเสริมแรงเป็นครั้งคราวโดยไม่ให้ทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดง
พฤติกรรมที่พึงประสงค์

51

ทฤษฎีของสกินเนอร์

ที่มา : http://youtube.com/watch?v=5-xdeesW7zA

52

ความสำคัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู

1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนำ
ความรู้ที่ได้มาจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับ
ธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย

2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธี
การวัดและประเมินผลการศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้
จัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ

3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของ
ความเข้าใจ การให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน

4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก ทำให้
ปกครองเด็กง่ายขึ้นและสามารถทำงานกับเด็กได้อย่างราบรื่น

5.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก
ได้อย่างเหมาะสม

53

บทที่ 4 พัฒนาการ
ของมนุษย์กับการเรียนรู้

54

หัวข้อหลักในการเรียนรู้

1.ความหมายของพัฒนาการ
2.องค์ประกอบที่ส่งผลต่อพัฒนาการ
3.ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ
4.พัฒนาแต่ละช่วงวัยของมนุษย์

55

1.ความหมายของพัฒนาการ

พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือกระบวนการ
เปลี่ยนแปลงของมนุษย์อย่างเป็นระบบตั้งแต่แรกเกิดมี
ความต่อเนื่องกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆจนตลอดชีวิต
พัฒนาการของวัยรุ่น หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรือ
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ที่มีอายุระหว่าง
11-17 ปี ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงด้าน ร่างกาย
อารมณ์ และจิตใจ เป็นการพัฒนาจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่

56

องค์ประกอบที่ส่งผลต่อพัฒนาการ

1.พันธุกรรม คือ ลักษณะต่างๆ
ทั้งทางกายและทางพฤติกรรมที่
ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน
ผ่านทางเเป็นตัวกำหนด เพศ รูป
ร่าง ชนิดของโลหิต

2. วุฒิภาวะ (Maturation) เป็นกระ
บวนการเจริญเติบโตและการ
เปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติของบุคคล โดยไม่ต้องอาศัย
การฝึกหัดหรือประสบการณ์ใดๆ

3. สิ่งแวดล้อม (Environment) คือ
สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นๆ ทั้งสิ่งที่มี
ชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งแวดล้อมยัง
หมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ
ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น เช่น ระบบ
ครอบครัว ระบบสังคม

57

ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ

เพียเจต์ ( Piaget)

การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญาซึ่งจะมีพัฒนาการ
ไปตามวัยต่างๆเป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติไม่
ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะ
จะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของ
เด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าสามารถช่วยให้เด็กพัฒนา
ไปอย่างรวดเร็ว

58

1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) เริ่มตั้งแต่
แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วน
ใหญ่

2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี
แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก

3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) เริ่มจากอายุ 7-
11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎ
เกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้

4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) เริ่มจากอายุ
11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุด
ยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะ
สามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่

5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ
การเปลี่ยนแปลง

6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้
ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน

59

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)

ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด
พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับ
พื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ
สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลักษณะคือ

1. สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
2. สัญชาตญาณเพื่อความตาย

พัฒนาการทางเพศไว้ 5 ขั้นตอน

1 . ขั้นปาก ( Oral Stage)
2. ขั้นทวารหนัก ( Anal Stage)
3. ขั้นอวัยวะเพศ ( Phallic Stage)
4. ขั้นพัก หรือขั้นแฝง ( Latency Stage)
5. ขั้นเพศ (Genital Stage)

60

ไวก็อตสกี้(Vygotsky)

วีก็อตสกี้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและสังคมมาก
เขาอธิบายว่ามนุษย์ได้รับอิทธิพล จากสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่แรกเกิดซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
แล้ว ก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทาง สังคม ซึ่งก็คือ
วัฒนธรรมที่แต่ละสังคมสร้างขึ้น ดังนั้น สถาบันสังคม
ต่างๆ เริ่มตั้งแต่สถาบัน ครอบครัว จะมีอิทธิพล
ต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคล

วีก็อตสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญา
ออกเป็น 2 ขั้น

1 . เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือเชาว์ปัญญา
มูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้

2 . เชาว์ปัญญาขั้นสูง คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจาก
การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรม เลี้ยงดู
ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา

61

พัฒนาแต่ละช่วงวัยของมนุษย์

1.ช่วงวัยของทารก

แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่างวัยแรกเกิด (infancy) และช่วงวัยทารก (babyhood)
- ช่วงวัยทารกแรกเกิด นับตั้งแต่คลอดจนถึง 2 สัปดาห์เป็นระยะที่ทารกฟื้นตัว
จากการคลอด
- ช่วงวัยทารก นับตั้งแต่อายุได้ 2 สัปดาห์ถึง 2 ปี ในช่วงวัยนี้ ทารกจะแสดง
ความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก สามารถสื่อสารกับกับคนรอบตัวได้ดีขึ้น

การเจริญเติบโต พฤติกรรม และพัฒนาการของวัยทารกแรกเกิด

-พัฒนาการทางด้านร่างกาย โดยส่วนใหญ่ -พัฒนาการทางด้านพฤติกรรม ทำ
ทารกแรกเกิดจะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ อะไรได้ไม่มากนัก เนื่องจากสมองและ
3,100 กรัมและมีลำตัวยาวประมาณ 50 ประสาทยังพัฒนาได้ยังไม่เต็มที่
เซนติเมตร จะมีแขนขาสั้นและงออยู่แทบตลอด พฤติกรรมของทารกแรกเกิดมีไว้เพื่อ
เวลา มือและเท้าค่อนข้างเล็ก เล็กอ่อนนุ่ม ตอบสนองต่อการอยู่รอดของชีวิต
ตามหน้าผาก หลัง และแขนขามีขนอ่อนๆขึ้น เช่น การดิ้นไปมาของทารก หรือการ
ซึ่งจะค่อยๆร่วงไปในที่สุด หลับตาเมื่อมีแสงจ้า

62

-พัฒนาการทางด้านอารมณ์ อารมณ์ของทารก

แรกเกิด มี 3 ลักษณะคือ ความรัก ความโกธร

และความกลัว ซึ่งมีอิทธิพลมาจากคนรอบข้าง

โดยเฉพาะมารดาซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดู หากมารดามี

ยอมรับและเอาใจใส่ในตัวทารก ก็จะทำให้

อารมณ์แจ่มใส่ -พัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพ เป็นการพัฒนา

ตั้งแต่เกิด โดยระยะแรกนั้น เป็นผลมาจาก

พันธุกรรมต่อมาเป็นผลของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

โดยสิ่งแวดล้อมนั้นเริ่มมีความสำคัญมากตั้งแต่ทารก

อยู่ในครรภ์ของแม่ หากทารกได้รับความกระทบ

กระเทือน เนื่องจากที่มารดาไม่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพ

การปรับตัวของทารกแรกเกิด ต้องมีการ ของตนเอง ก็จะส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน

ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากโดย

เฉพาะอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมภายนอกที่

แตกต่างจากครรภ์มารดา และยังมีการปรับ

ตัวในการหายใจการดูดและกลืน รวมถึงการ

ขับถ่ายอีกด้วย

63

2.การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยเด็ก

ช่วงของเด็ก
วัยเด็กหมายถึง เด็กที่มีอายุระหว่าง 2-12 ขวบโดยสามารถแบ่งออก
เป็น 2ช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงเด็กวัยเรียน ซึ่งแต่ละช่วงวัยนั้นจะมีการ
เจริญเติบโตและพัฒนาการแตกต่างกัน ดังนี้

1.1 ระยะแรก อายุ 2-3 ปีหรือเรียกว่า วัยเด็กเล็ก หรือ
เตาะแตะ

1.2 ระยะที่สองอายุ 4-5 ปีเรียกว่า วัยเด็กหรือ วัยอนุบาล

การเจริญเติบโตทางด้านร่างการ

- การเจริญเติบโตของร่างกายโดยทั่วไป รูปร่างและสัดส่วนของเด็ก
วัยก่อนเรียนจะเปลี่ยนไปจากวัยทารก
- น้ำหนัก ส่วนใหญ่มาจากการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ
เป็นส่วนใหญ่โดยพบว่า เราอาจที่จะประมาณค่าน้ำหนักของเด็กวัยก่อน
เรียนที่เพิ่มขึ้นตามอายุได้

64

ส่วนสูง โดยเฉลี่ยแล้วจะมีความสูงเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 7.5
เซนติเมตร โดยเฉลี่ยอายุ 2ขวบนั้น จะมีความสูงประมาณ 1.75 เท่า
ความยาวแรกเกิด คือประมาณ 85-89 เซนติเมตร

- ศีรษะละสมอง เส้นรอบศีรษะเด็กก่อนวัยเรียนจะค่อยๆ
ขยายใหญ่ขึ้นเมื่อมีอายุ 3 ปี ศีรษะของเด็กจะโตเป็นร้อยละ 90 ชอง
ศีรษะผู้ใหญ่

- ฟัน เมื่อเด็กก้าวสู้วัยก่อนเรียน จะมีฟันน้ำนมงอกออกมา
ครบ 20 ซี่ เมื่ออายุได้ประมาณ 2 ปีและฟันแท้จะเริ่มขึ้นปลายของวัย
เด็ก คืออายุประมาณ 6 ปี

65

พัฒนาการของร่างกาย

- อายุ 2 ปีจะเริ่มวิ่งได้อย่างดี
สามารถที่จะเตะฟุตบอล โดนลูกบอล
ได้ ชี้บอกส่วนบนของอวัยวะต่างๆ
ของร่างกายได้

- อายุ 3 ปี เด็กในอายุขนาดนี้จะ
สามารถปีนป่ายและกระโดนโหนได้ เดิน
ถอยหลัง ขี่รถสามล้อถีบ

- อายุ 4 ปีจะสามารถเดินสลับ ขา
ขึ้นบันไดได้ กระโดดข้ามสิ่งของ หรือ
กระโดดขาเดียวได้ รวมถึงการเขย่ง
ลายเท้าก็สามารทำได้เช่นกัน

- อายุ 5 ปีเด็กสามารถกระโดด
สลับขา หรือโกรธโดดเชือกได้ เต้น
เป็นจังหวะ รวมถึงมีความสามารถ
ในการทรงตัวเป็นอย่างดี

66

พัฒนาการทางด้านอารมณ์
เด็กวัยก่อนเรียนเป็นวัยที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุ่นแรงมาก เมื่อไม่ได้สิ่งที่
ต้องการ ก็จะแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจน ล้มตัวลงนอนไปกับพื้น
ดิ้นเร่าๆ ทุบตีผู้อื่น หรือกรีดร้องเสียดัง โดยลักษณะอารมณ์ของเด็กจะ
เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก

พัฒนาการทางด้านสังคม
เป็นวัยที่เริ่มแน่ใจตัวของตัวเองมากขึ้น มีความต้องการเป็นอิสระ ดัง
นั้นจึงเริ่มออกห่างจากพ่อแม่ ชอบที่จะมีเพื่อนเล่น จะเห็นว่าในช่วงต้นๆ
จะเล่นแบบต่างคนต่างเล่น แต่เล่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน และอายุมากขึ้น
จะเริ่มเล่นเป็นกลุ่มและจะเปลี่ยนเรื่อยๆ ตามลักษณะที่ตัวเองสนใจ

67

พัฒนาการทางด้านสติปัญญา

โดยทั่วไปแล้ว พัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กก่อนวัย
เรียนจะเป็นไปตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น

พัฒนาการทางด้านจริยธรรม

เด็กอายุ 3 ขวบยังไม่รู้ว่าอะไรคือความผิดหรือความถูกต้องสามารถเรียน
รู้กฎเกณฑ์ง่ายๆ รู้ว่าตนเองทำอะไรบางอย่างไม่ได้ เช่น ตนจะเตะเตาไฟ
ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเข้าใจในเรื่องของความดี หรือความไม่ดี
ก็ได้ก็ตาม แต่เด็กเรียนรู้ว่าเขาจะเป็นเด็กดี เมื่อเขาประพฤติดีหรือ
ประพฤติตามที่พ่อแม่บอกให้ทำ และเขาจะกลายเป็นเด็กไม่ดีเมื่อเขา
ประพฤติหรือกระทำในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อนุญาตให้ทำ

68

3.การเจริญเติบโตและพัฒนาการของ
เด็กวัยเรียน

เด็กวัยเรียน ได้แก่ เด็กที่มีอายุ 6-12 ขวบ คือเริ่มตั้งแต่
เข้าเรียนประถมศึกษา จนเข้าวัยรุ่น เด็กวัยนี้มีการเจริญเติบโต
และพัฒนาการอย่างกว้างขวางกว่าเด็กก่อนเรียน โดยมี
อิทธิพลมาจาก 2 แหล่งด้วยกันคือ

- อิทธิพลจากครอบครัว
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ พี่น้องกับตัวเด็ก จะมี
ผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กโดยเฉพาะด้าน
จิตใจ

- อิทธิพลจากโรงเรียน
โดนเฉพาะระหว่างครูกับเด็กและความสัมพันธ์ใน
ระหว่างกลุ่มเพื่อน

69

พัฒนาการด้านร่างกาย โดยส่วนใหญ่การเจริญเติบโตด้าน
ร่างกายจะเริ่มช้าลง ส่วนสูงจะเพิ่มร้อยละ 5-6 ต่อปี ปละ
เป็นร้อยละ 10 เมื่ออายุ 11-12 ขวบ โดยจะไปเพิ่มอย่าง
รวดเร็วในช่วงวัยรุ่น โดยทั่วไปพบว่าเด็กชายจะมีส่วนสูง
มากกว่าเด็กผู้หญิงในช่วงอายุ 6-10 ขวบ จากนั้นเด็กหญิงจะ
มีส่วนสูงมากกว่า เมื่ออายุ 11-15 ปี เด็กในวัยนี้จะมีการใช้
กล้ามเนื้อในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

พัฒนาการทางด้านอารมณ์สังคม เด็กจะต้องมีการปนรับตัวอย่าง
มากในช่วงต้นชองวัย เนื่องจากการเข้าโรงเรียนจะต้องมีการ
ปรับตัวเข้ากับครู เพื่อน และบรรยากาศในโรงเรียน ซึ่งแตกต่าง
ออกไปจากบรรยากาศที่บ้าน โดยเด็กมักจะมีความเครียดอย่าง
มาก คิดว่าพ่อแม่ไม่รักตน การไปโรงเรียนคือการทำโทษ เด็กจะ
รู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจ

พัฒนาการทางด้านสติปัญญา เด็กเกิดกระบวนการคิดมากขึ้น สามารถเรียนรู้
สิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดีขึ้น มีความเข้าใจในภาษาพูดมากขึ้นและควบคุมการ
เคลื่อนไหวของตนเองได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอายุ 6-9ขวบ เด็กจะมี
ความสามารถในการใช้ภาษาอาศัยภาพเป็นสื่อเป็นส่วนใหญ่ โดยในช่วงอายุ
10-12 ขวบ เด็กจะเริ่มมีแนวคิดของตนเอง สามารถประเมินสถานการณ์
และตัดสินใจเองได้ มีลักษณะหุนหันพลันแล่นน้อยลง ชอบกิจกรรมรู้จัก
วางแผนและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มากขึ้นด้วย

70

4.การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น

วัยรุ่นและการเปลี่ยนแปลง

วัยแรกรุ่น อายุ 10-13 ปี เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงทาง
ด้านร่างกาย
วัยรุ่นตอนกลาง อายุ 14-16 ปี เป็นช่วงที่ยอมรับการ
เปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
วัยรุ่นตอนปลาย อายุ 17 - 19 ปี หรือ 20 ปี เป็นช่วงวัย
ที่กำลังฝึกฝนอาชีพ

การเปลี่ยนเเปลงด้านร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของ
วัยรุ่นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 10 - 13 ปี และจะลดอัตรา
การเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู้วัยรุ่นตอนกลาง สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทาง
ด้านร่างกายได้แก่

ขนาดของร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของกระดูก
การเปลี่ยนแปลงของไขมันและกล้ามเนื้อ
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้า

71

การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจและอารมณ์ วัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
จิตใจและอารมณ์ที่ต่างจากวัยเด็กเป็นอย่างมาก ดังนี้

วิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
วิตกถึงกลกับอารมณ์ทางเพศที่สูงขึ้น
วิตกกังวลกลืวการเป็นผู้ใหญ่
วิตกก็งวลในความจดรามของร่างกาย
ต้องการความรักความห่วงใย
ต้องการเป็นอิสระทำอะไรด้วยตนเอง
ต้องการเป็นตัวของตัวเอง
ต้องการความถูกต้อง ยุคิธรรม
ต้องการความตื่นเต้นทาทาย ความแปลกใหม่
ความอยากรู้ อยากเห็น อยากลองสูง

72

การเปลี่ยนเเปลงด้านสังคม

ช่วงวัยนี้จำทำตัวออกห่างจากทางบ้าน ไม่ค่อยคลุกคลีกับ
คนในบ้านสักเท่าไหร่ มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนๆและทำ
กิจกรรมนอกบ้าน

การเปลี่ยนแปลงทางด้านสติปัญญา

วัยนี้สติปัญญาจะพัฒนาสูงขึ้นจนมีความคิดเป็นรูปธรรม
มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สิ่งต่างๆได้มากขึ้น จนเมื่อ
พ้นช่วงวันรุ่นแล้วจะมีความสามารถทางสติปัญญาเหมือนผูั้ใหญ่

73

การเจริญเติบโตและพัฒนาการของผู้ใหญ่่
วัยผู้ใหญ่ออกเป็น 3 ระยะอย่างคร่าว ๆ โดยพิจารณาจากบทบาทภารกิจเชิง

พัฒนาการตามที่สังคมยอมรับ ตามแนวของ Havighurst ดังนี้คือ
1. วัยผู้ใหญ่ตอนต้นหรือวัยฉกรรจ์ (Early Adulthood) อายุ 18 – 35 ปี
2. วัยผู้ใหญ่ตอนกลางหรือวัยกลางคน (Middle Adulthood) อายุ 35 – 60 ปี
3. วัยผู้ใหญ่ตอนปลายหรือวัยชรา (Late Adulthood) อายุ 60 ปีขึ้นไป

การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (อายุ 18 – 35 ปี) ผู้ใหญ่ตอนต้นจะมีอารมณ์และ

ความมั่นคงทางจิตใจดีกว่าระยะวัยรุ่น

การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย ความเจริญเติบโตทางกายสมบูรณ์
และพัฒนาเต็มที่ ประสิทธิภาพและความสามารถของอวัยวะต่าง ๆ
ของร่างกายสูงสุด รวมทั้งความสามารถทางด้านการสืบพันธุ์เต็มที่
ประสิทธิภาพทางร่างกายจะมีสูงสุดในช่วงอายุประมาณ20–30ปี

74

การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมแบะการงาน วัยนี้เป็นวัยแห่งการ
เริ่มสร้างหลักฐานในชีวิต โดยประกอบอาชีพการงาน มีคู่ครอง
มีบุตร ฯลฯ ต้องปรับตัวหลายอย่าง เช่น ปรับตัวให้เมาหสมกับ
งานอาชีพ ชีวิตคู่ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญา วัยนี้จะมีประสิทธิภาพทางสมอง
พัฒนาเต็มที่และคงอยู่สูงสุดไปจนถึงวัยกลางคน จากการวิจัย
ของ ธอร์นไดค์ ได้ผลว่าระยะเวลาที่บุคคลเรียนรู้ได้ดีที่สุด คือ
อายุระหว่าง 20 – 25 ปี

75

วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง วัยกลางคน (อายุ 35 – 60 ปี)

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การเคลื่อนไหวทาง
ด้านกล้ามเนื้อทำงานช้าลง และกำลังเริ่มน้อยลง
เหนื่อยง่าย ประสาทสัมผัสต่าง ๆ รับรู้ช้า สายตา
เริ่มสั้นหรือยาว รูปร่างเปลี่ยนแปลง ผมเริ่มหงอก
ความต้องการทางเพศลดลง ผู้หญิงอายุประมาณ
45-60 ปี ประจำเดือนจะหมด

การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เนื่องจากบุคคลวัยนี้มี
ความกังวลใจในด้าน สุขภาพที่เปลี่ยนไป และยังเป็น
ห่วงการงานในหน้าที่ความรับผิดชอบของตน จึงทำให้
อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม และการงาน คนที่อยู่
ในวัยกลางคน มักจะประสบความสำเร็จในด้าน
อาชีพ หรือมีการโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น ทำให้
ต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านส่วนตัว ครอบครัว และ
เพื่อนร่วมงาน คนในวัยกลางคนนี้จะมีความรับผิด
ชอบต่อหน้าที่การงานสูงกว่าคนหนุ่มสาว

76

วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย วัยชรา (อายุ 60 ปีขึ้นไป)

การเปลี่ยนแปลงทางกายและประสาทสัมผัส ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทาง
ร่างกายของคนวัยชราจะเป็นไปในลักษณะเสื่อมโทรม ลักษณะที่เป็นเครื่อง
บ่งชี้ถึงความชราภาพที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ

ผิวหนังจะแห้งหยาบ ฟันในวัยชราจะร่อยหรอไปหมด
ดวงตาจะฝ้าฝาง ผมจะบางและหงอก

ลักษณะของวัยชรา

วัยชราเป็นวัยแห่งการรำลึกถึง วัยชราเป็นวัยแห่งความสุขสมหวัง
ความหลัง และประเมินผล สำหรับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จหรือความล้ม ในการปฏิบัติตามภารกิจเชิง
เหลวของชีวิต พัฒนาการที่ผ่านมาแต่ละวัย พอ
เข้าสู่วัยชราก็จะปรับตัวได้ง่าย

77

วัยชราเป็นวัยแห่งความทุกข์ ความสิ้นหวังและหดหู่ ในทางตรง
กันข้ามถ้าบุคคลใดผ่านภารกิจเชิงพัฒนาการตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น
วัยผู้ใหญ่มาด้วยความยากลำบากหรือประสบความล้มเหลวจะ
ทำให้มีผลสืบเนื่องต่อไปเมื่อเข้าถึงวัยชรา
วัยชราเป็นวัยแห่งความเสื่อมโทรม ความสามารถทุกด้านน้อยลง
มีแต่ความเจ็บไข้สุขภาพไม่ดี

บทที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผล
ต่อการเรียนรู้ที่ 1

78

การเรียนรู้คืออะไร?

การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่า หรือความ
พึงใจ ที่เป็นสิ่งแปลกใหม่หรือปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ และ
อาจเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารสนเทศชนิดต่าง ๆ
ผู้ประมวลทักษะของการเรียนรู้เป็นได้ทั้งมนุษย์ สัตว์
และเครื่องจักรบางชนิด

79

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้

1.แรงจูงใจ แรงจูงใจ(Motives) คือ แรงผลักดันที่เกิดจากความต้องการมาก
ระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรม เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางหรือเป้าหมาย
แรงจูงใจ มีลักษณะสำคัญ ดังต่อไปนี้
1.เป็นพลังงานที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรม
2.เป็นตัวกำหนดทิศทางและเป้าหมายของพฤติกรรม
3.เป็นตัวกำหนดระดับของความพยายามในการแสดงพฤติกรรม

ประเภทของแรงจูงใจ

1.แรงจูงใจทางกายภาพ หรือ แรงจูงใจทางสรีระ 2.แรงจูงใจทางจิตวิทยา หรือ แรงจูงใจทางสังคม
เป็นแรงจูงใจที่เกิดจากความต้องการจำเป็นทาง เป็นแรงจูงใจที่เกิดความต้องการทางจิตใจและ
ร่างกาย ซึ่งเป็นความขาด หรือ ความพร่องที่เกิด สังคม โดยทั่วไปเกิดจากการเรียนรู้และมีพัฒนาต่อ
ภายในตัวมนุษย์ เมื่อเกิดความขาดขึ้นมนุษย์ก็จะ เนื่อง จากการที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
แสดงพฤติกรรมที่มีเป้าหมาย เพื่อลดความขาดนั้น

80

ทฤษฎีแรงจูงใจ

ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์

อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) เป็นผู้วางรากฐานจิตวิทยามนุษยนิยม
เขาได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ เป็นหลักการเพียงอันเดียวที่มีความสำคัญที่สุดซึ่งมี
เบื้องหลังพฤติกรรมของมนุษย์ มาสโลว์มีหลักการที่สำคัญเกี่ยวกับแรงจูงใจ โดย
เน้นในเรื่องลำดับขั้นความต้องการ

มาสโลว์ แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เป็น 5 ระดับ ด้วยกัน ได้แก่
1.ความต้องการทางสรีระ
2.ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย
3.ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ
4.ความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า
5.ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริงและ พัฒนาศักยภาพของตน

81

ความสำคัญของเเรงจูงใจ

1. การจูงใจสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ
2. การจูงใจช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน
3. การจูงใจจะช่วยกระตุ้น และชี้แนะแนวทางให้ผู้เรียนประพฤติ
ตนในทางที่ดีงาม
4. การจูงใจจะช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบระดับความสามารถของตน
5. การจูงใจจะช่วยปลูกฝังเจตคติที่ดีต่อการเรียน การทำงาน
6. การจูงใจจะช่วยให้ผู้เรียนทราบถึงความก้าวหน้าของตนเอง

82

2.สิ่งแวดล้อม (Environment)หมายฉิง สิ่งเร้าต่างๆ ที่มากระทบหรือเกี่ยวข้องกับบุดคลทั้งที่เป็น
สิ่งเร้าทางกายภาพและสิ่งเร้าทางตวิทยา มีผลทำให้บุคคลแตกต่างกันอิทธิพล์ของสิ่งแวดล้อมที่มี
ต่อบุคคลสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อบุคคลแบ่งเป็น
3 ประเภท คือ

1. ซึ่งแวดล้อมก่อนคออด หรือสิ่งแวดล้อมในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วงถามเดือนแรกของ
การตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นระยะวิกฤต ทั้งนี้เพราเป็นระยะที่เนื้อเชื่อและส่วนสำคัญต่างๆของร่างกาย
กำลังพัฒนายช่ารวดเร็ว ยิ่งแวดล้อมระยะนี้งมีผอต่อการเตริมสร้างและทำกายโครงณร้ารฟื้นฐาน
แรระบบประถาทของร่างกายได้อย่ารุนแรง
2. สิ่งแวดล้อมชณะคลอด เช่น ภาวะที่สมองของหารถขาด
อาซีเวนขณะคฎด สมองได้รับงันตรายวากการคลอด หรือการ
คลอกก่อนกำหนด ส่งผอให้บุคคอมีรักษณะเลี่ยนแปงงได้
3. ฝั่งแวดล้อมหลังคลอด หมายถิง สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวซ้องกับบุคคล
ในช่วงต่อๆมาซองชีวัตหลังงาดที่คอออกมาวากครรล์มารดาแล้ว

83

การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้

1) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้สนับสนุนและ
อำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน สภาพ
แวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม เช่น ห้องเรียนมี
ความสะดวกสบาย มีอุปกรณ์และสื่อการเรียน
การสอนครบถ้วน

2) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีจะช่วยพัฒนา
บุคลิกภาพของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนมีบุคลิกภาพดี มี
การแสดงออกทางกาย วาจาและใจตามแบบอย่างที่
สังคมยอมรับกล่าวคือมีคุณธรรม และจริยธรรม

) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสมจะช่วย 4) สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ช่วยสร้าง
ลดความเมื่อยล้า หรือความอ่อนเพลีย การจัด ความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
โต๊ะเก้าอี้ที่มีขนาดพอเหมาะกับร่างกายของผู้ ทำให้ผู้สอนไปถึงตัวผู้เรียนได้สะดวก
เรียนช่วยให้การนั่งสบายสามรถนั่งได้นาน ๆ ตำแหน่งของผู้สอนไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าชั้น
โดยไม่ปวดหลัง เสมอไป

84

แนวคิดเชิงทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดสภาพแวดล้อมการเรียน

2.สิ่งแวดล้อม (Environment)หมายฉิง สิ่งเร้าต่างๆ ที่มากระทบหรือเกี่ยวข้องกับบุดคล
ทั้งที่เป็นสิ่งเร้าทางกายภาพและสิ่งเร้าทางตวิทยา มีผลทำให้บุคคลแตกต่างกันอิทธิพล์ของ
สิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคลสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อบุคคลแบ่งเป็น
3 ประเภท คือ
1. ซึ่งแวดล้อมก่อนคออด หรือสิ่งแวดล้อมในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วงถามเดือน
แรกของการตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นระยะวิกฤต ทั้งนี้เพราเป็นระยะที่เนื้อเชื่อและส่วนสำคัญ
ต่างๆของร่างกายกำลังพัฒนายช่ารวดเร็ว ยิ่งแวดล้อมระยะนี้งมีผอต่อการเตริมสร้างและ
ทำกายโครงณร้ารฟื้นฐานแรระบบประถาทของร่างกายได้อย่ารุนแรง

2. สิ่งแวดล้อมชณะคลอด เช่น ภาวะที่สมองของหารถขาดอาซีเวนขณะคฎด สมองได้รับ
งันตรายวากการคลอด หรือการคลอกก่อนกำหนด ส่งผอให้บุคคอมีรักษณะเลี่ยนแปงงได้

3. ฝั่งแวดล้อมหลังคลอด หมายถิง สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวซ้องกับบุคคลในช่วงต่อๆมาซองชี
วัตหลังงาดที่คอออกมาวากครรล์มารดาแล้ว

85

ความแตกต่างระหว่างบุคคล

อารี พันธ์มณี (2546) ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
หมายถึง ลักษณะของคนแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน มีลักษณะที่ไม่ซ้ำ
แบบใครและไม่เหมือนใคร ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างบุคคลทาง
กาย อารมณ์ สังคม เพศ อายุและสติปัญญา

86

ความแตกต่างทางด้านร่างกาย
สามารถแบ่งได้2ลักษณะ

1.ลักษณะทางร่างกายซึ่งสามารถมองเห็นได้เด่นชัด
2.ลักษณะทางร่างกายซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้เด่นชัด

ความแตกต่างทางด้านอารมณ์
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า
ทั้งสิ่งเร้าภายในและภายนอกและความรู้สึกที่เกิดขึ้น

มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล

ความแตกต่างทางด้านสังคม
บุคคลแต่ละบุคคลมีพฤติกรรมด้านสังคมแตกต่าง
กันนับตั้งแต่ลักษณะการพูดจา สื่อสาร การแต่งกาย

การคบเพื่อน และบุคลิกภาพทางสังคมอื่นๆ

ความแตกต่างทางเพศ
เพศ โดยธรรมชาติจะมี 2 เพศ คือ หญิงกับชายซึ่งมี
ลักษณะประจำเพศแตกต่าง เช่น เพศชายจะรูปร่างแข็ง
แรง ไหล่ผาย อกกว้าง มีหนวด เพศหญิงจะมีรูปร่าง

กลมกลืน สะโพกผาย

87

ความแตกต่างทางอายุ

อายุ ช่วงเวลาที่บุคคลมีชีวิตอยู่โดยนับ

เป็นจำนวนปีเต็มปีบริบูรณ์ นับตั้งแต่วัน

เกิดจนถึงวันที่อ้างอิงตามปีปฏิทินสุริยคติ ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา


ได้แก่ ความสามารถของบุคคลในการจำการคิด
การตัดสินใจการแก้ปัญหาการเรียนรู้และการกระ

ทำสิ่งต่างๆรวมทั้งความสามารถในการปรับตัว




สาเหตุของความแตกต่างระหว่างบุคคล

พันธุกรรม (Heredity) หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ ของบรรพบุรุษไปสู่รุ่นหลาน

สิ่งแวดล้อม (Environment)หมายถึง สิ่งเร้าต่างๆ ที่มากระทบหรือเกี่ยวข้อง
กับบุคคลทั้งที่เป็นสิ่งเร้าทางกายภาพและสิ่งเร้าทางจิตวิทยา สิ่งแวดล้อมที่มี
ผลต่อบุคคลแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมก่อนคลอด
2. สิ่งแวดล้อมขณะคลอด
3. สิ่งแวดล้อมหลังคลอด

บทที่ 6 ปัจจัยที่ส่งผล
ต่อการเรียนรู้ที่ 2

88

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับสติปัญญา

สติปัญญา คือ ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่
กับสิ่งแวดล้อมของแต่ละแห่ง สิ่งที่แสดงให้เห็นถึง สติปัญญา รวมทั้งศักยภาพใน
การตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบ หาความรู้ใหม่ๆ โดยเชื่อว่าสติปัญญานี้ เป็นสิ่งที่
สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้

ทฤษฎีเกี่ยวกับสติปัญญา

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์

เพียเจต์กล่าวว่าเด็กจะสร้างความรู้หรือพัฒนาสติปัญญาผ่าน
การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และมีพัฒนาการทางสติ
ปัญญาตามช่วงวัยด้วยกันทั้งหมด 4 ขั้น

89

พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่างๆ
4 ขั้นดังนี้

90

พัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควร
มีลักษณะ ดังต่อไปนี้

1. เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้
ศักยภาพของตนเองให้มากที่สุด
2. เสนอการเรียนที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่
3. เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการ
เรียนการสอน
4.ใช้กิจกรรมขัดแย้ง โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นนอกเหนือ
จากความคิดเห็นของตนเอง

91

1. ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น
2. เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์
3. ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่จริง
4. ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน

92

การแบ่งประเภทของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา 4 ระดับ ดังนี้

1. ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมาก จะมีการพัฒนาการล่าช้า
ชัดเจนตั้งแต่เล็กๆทั้งในด้านประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2. ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง พบความผิดปกติของ
พัฒนาการตั้งแต่ขวบปีแรก มักมีพัฒนาการล่าช้าทุกด้าน
3. ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง มักได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่
วัยก่อนเรียน เมื่ออายุประมาณ 2-3 ปี โดยพบว่าอาจมีความแตกต่างของ
ระดับความสามารถในด้านต่างๆ
4. ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย มักได้รับการวินิจฉัยเมื่อเด็ก
เข้าสู่วัยเรียนแล้ว

93

ครูมีวิธีแก้ไขปัญหาเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ดังนี้

1. พยายามอธิบายสิ่งที่สอนให้มีความเป็นรูปธรรมมากที่สุด แสดงสิ่งที่ครูอธิบาย
แทนการอธิบายด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว เช่น การแสดงภาพให้เด็กดู เป็นต้น

2. พยายามอธิบายข้อมูลแก่เด็กให้มีความกระชับที่สุด เช่น อธิบายข้อมูล
ยาวๆด้วยการทำให้เป็นวิธีสั้นๆ เป็นต้น

3. ครูควรค้นหาว่าจุดแข็ง หรือความสนใจของเด็กคืออะไรและเน้นที่สิ่ง
เหล่านั้น เพื่อสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จให้แก่เด็ก

94

ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมด้านสติปัญญาของโคลเบิร์ก

โคลเบิร์ก ได้ศึกษาการใช้เหตุผลเชิง
จริยธรรมของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10
-16 ปี และได้แบ่งพัฒนาการทาง
จริยธรรมด้านสติปัญญาออกเป็น 3 ระดับ
แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น

95

ดับที่ 1 ระดับก่อนกฏเกณฑ์สังคม จะพบในเด็ก 2-10 ปี โคลเบิร์กแบ่งขั้นพัฒนาการ
ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ระดับจริยธรรมของผู้อื่น ในขั้นนี้เด็กจะใช้ผลตามของพฤติกรรมเป็นเครื่องชี้
ว่า พฤติกรรมของตน “ถูก” หรือ “ผิด”เป็นต้น ว่าถ้าเด็กถูกทำโทษก็จะคิดว่าสิ่งที่ตน
ทำ “ผิด” และจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำสิ่งนั้นอีก พฤติกรรมใดที่มีผลตามด้วยรางวัล
หรือคำชม เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ “ถูก” และจะทำซ้ำอีกเพื่อหวังรางวัล

ขั้นที่ 2 ระดับจริยธรรมของผู้อื่น ในขั้นนี้เด็กจะสนใจทำตามกฎข้อบังคับ เพื่อประโยชน์หรือ
ความพอใจของตนเอง หรือทำดีเพราะอยากได้ของตอบแทน พฤติกรรมของเด็กในขั้นนี้ทำ
เพื่อสนองความต้องการของตนเอง แต่มักจะเป็นการแลกเปลี่ยนกับคนอื่น เช่น ประโยค
“ถ้าเธอทำให้ฉัน ฉันจะให้.......”


Click to View FlipBook Version