96
ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม จะพบในวัยรุ่นอายุ 10 -16 ปี โคลเบิร์ก
แบ่งพัฒนาการ ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 การยอมรับของกลุ่มหรือสังคม ใช้เหตุผล
เลือกทำในสิ่งที่กลุ่มยอมรับโดยเฉพาะเพื่อน เพื่อเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับของเพื่อน พบใน
วัยรุ่นอายุ 10 -15 ปี ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อต้องการเป็นที่ยอมรับของหมู่คณะ การ
ช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อทำให้เขาพอใจ
ขั้นที่ 2 กฎและระเบียบของสังคม จะใช้หลักทำตามหน้าที่ของสังคม โดยปฏิบัติตาม
ระเบียบของสังคมอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามหน้าที่ของสังคมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ใน
สังคม พบในอายุ13 -16 ปี ขั้นนี้แสดงพฤติกรรมเพื่อทำตามหน้าที่ของสังคม โดยบุคคล
รู้ถึงบทบาทและหน้าที่ของเขา จึงมีหน้าที่ทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สังคมกำหนดให้ หรือ
คาดหมายไว้
97
ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมอย่างมีวิจารณญาณเป็นหลักจริยธรรมของผู้มีอายุ
20 ปี ขึ้นไป ผู้ทำหรือผู้แสดงพฤติกรรมได้พยายามที่จะตีความหมายของหลัก
การและมาตรฐานทางจริยธรรมด้วยวิจารณญาณ ก่อนที่จะยึดถือเป็นหลักของ
ความประพฤติที่จะปฏิบัติตาม การตัดสินใจ “ถูก” “ผิด” “ไม่ควร” มาจาก
วิจารณญาณของตนเอง โคลเบิร์กแบ่งพัฒนาการ ระดับนี้เป็น 2 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา ขั้นนี้เน้นถึงความสำคัญ
ของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่
ถูกสมควรที่จะปฏิบัติตามใช้ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบว่าสิ่งไหนผิดและสิ่ง
ไหนถูก ในขั้นนี้การ “ถูก” และ “ผิด” ขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของ
บุคคลแต่ละบุคคล
ขึ้นที่ 2 หลักการคุณธรรมราก: ขั้นนี้เป็นหรักการมาตรฐาน
ริยธรรมราก8 เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรมเพื่อความเสมอภาค
ในษัทธิมนุษขซนและเพื่อความยุติธรรมซองมนุษย์ทุกคน ในขึ้น
นี้สิ่งที่ "ถูก" และ "ผิด" เป็นสิ่งที่ขึ้นมโนธรรมซองแต่ละบุคคล
ที่เลือกยึดถือ
98
ปัจจียที่ส่งผลต่อความจำ
กระบวนการที่สมองรับรู้ข้อมูลจากสิ่งเร้าทั้งหลาย และกลั่น
กรองส่วนสำคัญเพื่อเก็บบันทึกในสมองส่วนที่เดียวซ้อง
และสามารถดิงเอาสิ่งที่บันทึกไว้ออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถ
ด้านความจำทฤษมีนี้สร้างขึ้นโดย แอตคืนสน และชิฟฟริน
ความจำระยะขึ้นเป็นความจำชั่วคราว สิ่ใดก็ตามถ้าอยู่ในความดำ
ระยะสั้นจะต้องได้รับการทบทวนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นงำนวนที่เรา
จำได้ในความจำระชะขึ้นจึงมีงำกัด การทบทวนป้องกันไม่ให้ความ
คำรอายตัวไปงากความงำระยะขึ้น ถ้าเรางำยิ่งใดไว้ในความจำ
ระยะยาวสิ่งนั้นก็ะติดอยู่ในความทรงจำตลอดไป
99
ทฤษฎีการสลายตัว
การลืมเกิดขึ้นเพราะการละเลยในการทบทวนทฤชฎี
การสลายตัวนี้น่าจะเป็นจริงในความจำ ระยะสั้น
เพราะในความจำระบะสั้นหากเรามิได้จดจ่อหรือ
สนโจทบทวนในสิ่งที่ต้องการจะจำ เพียงชั่วครู่สิ่งนั้น
จะหายไปจากความทรงจำทันที
ความทรงจำแบ่งได้เป็น
3 ประเภท
1. ความจำทันที หมายถึง ความจำที่เกิดทันทีที่ฐการรับรู้จากสิ่งเร้า
โดยยังไม่มีการทบทวนหรือใส่ใจ ทำให้ยืนได้ง่ยภายโนไม่กี่วันาที
2. ความจำระยะสั้น นพายถึง ความจำซึ่งเราตื้งโจจดจำไว้ชั่วคราว
ไม่กี่นาที และถ้าไม่มีการทบทวนความทรอจำก็จะยันไปได้เช่นกัน
3. ควานมจำระชะขาว หพายถึงความจำที่เราทบทวนอยู่เสพอ ทำโห้
เปลี่ยนจากความจำระยะชั้นมาเป็นความจำระยะยาว ซึ่งถาจอยู่ได้
นานเป็นปี หรือตลดดชีวิตก็ได้
100
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด
ความจำเสื่อม
1. รับประทานยาหลาย ๆ ชนิดพร้อมกันและยาบางชนิดอาจมีผลซ่างเคียงต่อสมอง
2. ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอยอล์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
.3.ได้รีบอุบัติเหตุที่ส่อผอกระทบกระเทือนศีรีษะ
4. มีอาการเครียดเป็นประจำและมีอาการซึมเศร้า
5. มีอาการของโรคต่อมไทรอยด์
6. เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
0101
การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ความจำเสื่อม ดังนี้
1. รดเครื่องดื่นที่มีส่วนผสมของแออกอฮอล์ทุกชนิด
2. ระวังเรื่องการใช้ยา ไม่ควรรับประทานยาลุ่มสี่สุ่มห้า ควรให้แพทย์
เป็นผู้สิ่งยาทุกครั้ง
3. ระมีดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบกระเทือนศีรษะ
4.สำหรับผู้ดูงายุที่เดินอำบากควรมีคนดูแอ เช่น เวลาเข้า
ห้องน้ำควรมีคนไปเป็นเพื่อน เพราะอาจเกิดการหกล้มในห้องน้ำได้
5. เพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุควรหมั่นไปตรวจอุขภาพเป็นประจำทุกปี
และไม่ควรลืมเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเบาหวานและโรคไข่ฝัในเลือดสูง
102
ปัจดียที่ส่งผลต่อด้านสรีระวิทยา
สรีระ คือ
ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆเพราะสรีระเป็นสิ่งจำเป็นหรือ
ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ เช่น การใช้ดวงตา มือ หู เป็นต้นหากสรีระของ
มนุษย์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ก็สามารถรับรู้ได้อย่างมีประษัทธิภาพมากขึ้น
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้าน
ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้านสรีระวิทยา
ทฤษฐีความเครียดและการปรับตัว
เชื่อว่าความเครียดที่เดีดขึ้นในชีวิตประจำวัน มีผอทำให้ Coll ตาย เพื่อเผชิญ
จับความเครียดบ่องๆ จะทำให้เช้าสู่วัยชราได้เร็วขึ้น เพื่อคนอยู่ในภาวะเครียด
ร่างกายจะตเบสนอง ราจเชื่อนและทำานผิดปกติได้
103
ทฤษฎีความต้องการของมายโอว์
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีความต้องการอัน ใหม่ที่สูงขึ้นเมื่อความ
ต้องการพื้นฐานได้รับการตอบอนองความต้องการพื้นฐานซองมนุษย์
เช่น ความต้องการทางสรีระ
ความต้องการฟื้นฐานทางด้านสรีระ
เป็นความต้องการลำดับต่ำสุดและเป็นพื้นฐานของชีวิต
ได้แก่ ความต้องการเพื่อตอบสนองความหิว ความกระหาย
ความต้องการเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เรียกง่ายๆ
ก็คือ ปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักชาโรค ที่พักอาศัย
รวมถึงสิ่งที่ทำให้การดำรงชีวิตสะดวกสบาย
104
พัฒนาการของมนุษย์
105
คือส่วนรับแฉงฉะท้อนซองร่างกาย คือส่วนที่รับฟังยิ่งต่างๆ หาก
ทำให้ธามารถมองเห็น และรับรู้สิ่ง หูหนวกทำให้การเรียนรู้ที่อะ
ต่าง ๆ รอบตัวได้ ซึ่งเป็นปังจัยสำคัญ พูดได้ช้า หรือพูดไม่ซีดเวน
ในการเรียนรู้ เราอำเป็นต้องใช้ตาใน เด็กจะต้องให้ผู้อื่นพูดซ้ำอีก
การมองดู หากขาดอวัยวะส่วนนี้ไป รอบ หรือตอบคำถามได้ไม่เห
จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่อำบากกว่า มารถม เนื่องอากฟังไม่
คนอื่นๆ ฉนัด เมื่อเรียกแล้วไม่มีการ
ตอบสนอง
คือส่วนที่ใช้ในการออกเสียง
ที่ซัดเวนขึ้น แต่หากขึ้นไก่
นก็จะ พูดไม่ชัด พูดไม่
ปกติ ทำให้สื่ออารได้ไม่
เข้าใฉ อนไม่อยากพูด / ไม่
กลาพูด
106
ปาก
คือส่วนที่เราต้องใช้พูด
สื่อสาร หากปากแหว่ง
เพดานโหว่ ก็จะทำให้
อีกษณะทางฤายภาพที่ฉะ
เรียนรู้ ในจารพูดสื่อสารจับ
ผู้อื่นที่ยากลำบาก
มือ
คือส่วนที่ใช้เขียน ใช้อด
บันทึกในการเรียน หากขาด
อวัยวะส่วนนี้ไป จะทำให้เกิด
การเรียนที่อำบาก ถึงแม้ว่า9ะ
มีตา มีหู แต่หากไม่สามารถ ซื้อน ได้ ชื่อมอศองรบุรีอจ
107
บทที่ 7 ทฤษฎีจิตวิทยา
การเรียนรู้
108
ความหมายของจิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้ โดยการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องเกิดจาก
พฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวรหรือเกิดจากการฝึกฝน
การเรียนจะเกิดขึ้นได้จาก 4 ขึ้นตอน
ตั้งใจจะรู้
ลงมือปฏิปัติและผลประจักษ์
กำหนดวิธีปฏิบัติเพื่อรู้
ตำหรับหฤงฎีการฝึกษานั้นตองฝึดอาว่ากระบวนการเรียนรู้นั้นมีนักขณะอย่างไร
109
ทฤษฎีการเรียนรู้ด้านจิตวิทยามี 3 กลุ่ม
1.ทฤษฎีการ 2.ทฤษมีการ
เรียนรูกลุ่ม เรียนรูกลุ่ม
พฤติกรรมนิยม ปัญญานิยม
3.ทฤษฎีการ
เรียนรู้กลุ่ม
มนุษย์นิยม
110
ทฤษฎีของพาฟลอฟ
ทพพออฟได้อรุปทฤษมีการเรียนรู้ และกมการเรียนรู้ดังนี้
พฤติกรรมการตอบสนองซองมนุษย์เกิดจากการวาง
เงื่อนไขที่ตอบสนองต่อความต้องการทางธรรมชาติ
พฤตักรรมการตอบสนงซองมนุษย์อามารถเกิดขึ้นได้จาก
สิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมซ่าติ
พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่เงิดวากสิ่งเร้าที่เชื่อม
โยกับสิ่งเร้าตามรรมชาติวะดลงเรื่อย ๆ และหยุดลงในที่สุด
หากไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ
พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ยิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับ
สิ่งเร้าตามธรรมชาติวะดมแถะหยุดไปเมื่อไม่ได้รับการตอบ
สนองตามธรรมชาติ และะกลับปราามชื้นได้อีกโดยไม่ต้องใช้
ยิ่งเร้าตามธรรมชาติ
มนุษย์มีแนวโน้มที่จะจำแนกรักษณะซองสิ่งเร้าให้แตกต่าง
กันและเลือกตอบสนองได้ถูกต้อง
111
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม
ทฤษมีในกลุ่มนี้อธิบายว่า การเรียนรู้เป็นผล
ของกระบวนการคิด ดวามเข้าใจ การเรียนรู้
สิ่งเร้าที่มากระตุ้นทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น
ทฤษฎีของเพียร์ เจต์
การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางยตัปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตาม
วัยต่าง ๆ เป็นลำดับขึ้น พัฒนาการเป็นยิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะ
เร่งเด็กให้ข้ามวากพัฒนาการจากขึ้นหนึ่งไปสู่อีกขึ้นหนึ่ง เพราะระทำให้เกิดผล
เสียแก่เด็ก แต่การวัดประรบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำวัง
จะพัฒนาไปยู่ขึ้นที่ดูกว่า รามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็วอย่ารไรก็ตาม
เพียเวล์เน้นความสำคัญของการเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่า
การกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเวต์รรุปว่า พัฒนาการของเด็ก
สามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดย
ปฏิสัมพันธ์ซองเด็กกับสิ่งแวดล้อม
112
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษย์นิยม
ถลุ่มมนุษย์นียมมีวิวัฒนาการมาจากกลุ่มทฤษฎีที่
เน้นการพัฒนาตามธรรมชาติ แต่จะมีการเป็น
วิทยาศาสตร์คือเป็นกระบวนการมากยิ่งขึ้น นัก
ทฤษฐ์ในกลุ่มนี้เห็นว่ามนุษย์มีความคิด มีสมอง
มีอารมณ์และอิสระภาพในการทำ
แบนดูรา
บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการ
เรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเอียนแบบ (Bandura 1963)
ถึงเรียกการเรียนรู้ว่ากการสังเกตว่า "การเรียนรู้โดยการ
สังเกต" หรือ "การเลียนแบบ" และเนื่องภากมนุษย์มี
ปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับสิ่งแวดล้อมชื่อยู่รอบ ๆ ตัวอยู่
เสมอ แบนดูราธิบายว่าการเรียนรู้เกิดวากปฏิสัมพันธ์
ระหว่าผู้เรียนและมั่งแวดล้อมในสังคม ซึ่งทั้งผู้เรียนและยิ่ง
แวดล้อมมีอิทธิพอต่อกันและกัน
113
การนำทฤษฎีมาประยุกต์
ในการเรียนการสอน
บ่งชี้วัตงถุประองค์ที่ให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมหรือเขียนวัตถุประสงค์
ในเชิงพฤติกรรม
แสดงตัวอย่างการกระทำหลายๆอย่าง
ให้คำอธิบายควบคู่ไปกับแต่ละตัวอย่าง
แจ้งขั้นตอนการเรียนรู้และถึงเกตนักเรียน
จ็ดเวลาให้นักเรียนได้แสดงเป็นตัวเอง
เสริมแรงสำหรับนักเรียนที่ประติบัติตนได้ถูกต้อง
114
บทที่ 8 การนำหลักจิตวิทยาไปใช้
ในการพัฒนาศักยภาพความเป็นครู
115
ความหมายของหลักจิต
วิทยาการศึกษา
ความหมายซองจิตวิทยาการศึกษาวิตวิทยาการ
ศึกษา หมายถึง วิซาที่เกี่ยวกับปัญหาทางวิตวิทยาที่
เกี่ยวข้องกับการศึกษา ตออดจนศึกษาธรรพชาติ
และกระบวนการศึกษาเรียนรูเพื่อนำหลักเกณฑ์ทาง
จิตวิทยาที่ได้รับจากการศึกซามาใช้ในการเรียนการ
สอนให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพ
116
จุดมุ่งหมายของจิตวิทยาการศึกษา
จุดมุ่งหมายทั่วไปซองการเรียนจิตวิทยาการศึกษาคือ เพื่อให้เข้าใจ (Understanding) เพื่อ
การทำนาย(Prediction),และเพื่อควบคุม(Control)พฤติกรรมการเรียนรู้ซองมนุษย์ใสถาน
การณ์ต่างๆกู๊ดวิน และคลอสไมเออร์ ได้กล่าวถึงจุดพุ่งหมายสำคัญของการเรียนจิตวิทยา
ไว้ดังนี้
1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยว 2.เป็นการนำดูวามรู้เดียวู 3.เพื่อให้ครูยอนลามารถ
กับการเรียนรู้ที่เป็นระบบ
ทั้งด้านทฤชมี หลักกาฐ กับการเรียนรู้ และตัวผู้ นำเทศนิคและวัธีการเรียน
เละมาระอื่นๆ ที่เกี่ยวจอง
กับการเรียนรู้ซูอพนุษย์ทิ้ง เรียนให้แก้ครูและผู้ รูไปใช้ในการเรียนการ
เด็กและผู้ใหญ่ เดี่ยวข้องกับการศึดขานำ ออน ตลอดจนลามารฉค้ารง
ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตนอยู่ในฮังคมได้อย่างมี
ต่อการเรียนการสอน ควาพสุข
117
ลักหณะการเป็นครูที่ดีและมีประสิทธิภาพ
ครูที่ดีและมีวิธีตอนดูย่างมีประมิทธิภาพ หมายจึงครูที่มีการออนที่รับรองได้ว่านักเรียน
จะเกิดการเรียนรู้ นี้กจิตวิทยาการศึถูษาหลายท่านได้ทำกรวิจัยหรือห้าตัวแปรที่ทำให้การสอน
มีประสิทธิภาพ ศาสตราจารย์ฤอห์น แคร์รอล (John Carroll, 1963) ได้เซียนบทความ
จิตวิทยาการศึกชาเกี่ยวกับรูปแบบการสอนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีอิทธิพอมากที่สุด
บทความนี้ซื้อว่า "A model of School Learning"
คุณสักษณะของนักเรียนมี
ส่วนทำให้นักูเรียนเกิดการเรียนรู้
และความเข้าใจที่แตกต่างกัน
1.ความฤนัด (Apt itude ) หนายฉิงความสาพารถซองรนักเรียนที่จะเรียนรู้
2.ความสามารถที่จะเซ๊าใจยิ่งที่ครูสอน (DbilitytoUnderstandInstruction)
3. ความเพียรพยายาม (Perseverance) นักเรียน ใช้เวลาสำหรับการ
เรียนรู้ ซึ่งมีกระเนืองมากากการที่นักเรียนมีแรรร ใจที่จะเรียนรู้
การมีโอการ ครูใช้เวมานักเรียนในการเรียนรู้สิ่งที่ครูลอน โดยคิดฉิงความ
ลามารถแระความถนัดจงงนักเรียนโดยรุปครูภามารถออนอย่างมีประษัทธิภาพ
หมายจึงการนซองครูที่รามารจใช้นักเรียนเกิดการเรีนรู้ตามความถนัดและ
811
สักษณะเฉพาะที่นักวัตวิทยา เอมเมอร์และคณะ
(Emmer, Evertson and Anderson, 1980)
ผู้ศึกษาความแตกต่างของครูที่มีการสอนอย่ารมี
ประษัทธิภาพ และครูที่ไม่มีประษัทธิภาพได้พบ
ตัวแปรหรือเทคนิคที่ทำให้ครูมีประษัทธิภาพ
1.อธิบายวัตถุประสงค์ของบทเรียนหน่วยเรียนที่ต้องการให้
นักเรียนเรียนรู้อย่างแจ่มแจ้ง
2.ใช้อุปกรณ์วัสดุเกี่ยวกับการสอนหลายซนิด
3.เตรียมการสอนและเครื่องใช้ที่จะใช้ในการสอนอย่างพร้อม
4.ใช่หนังสือ ประอบการณ์กิวกรรมที่จะช่วยให้นักเรียนเกิด
การเรียนรู้
5.บอกนักเรียนถึงเหตุผลว่าทำไมบทเรียนที่ครูสอนจึงมีความ
สำคัญและนักเรียนต้องตั้งใจเรียนให้เกิดการเรียนรู้
6.รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทุกวินาที และปรับเนื้อหาให้
เหม่าะฮมโดยคิดฉิงระยะเวอาความใส่ใโจซองนักเรียนด้วย
119
ความสำคัญ ของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู
จิตวิทยาการศึกษาสามารถช่วยครูได้ใน
เรื่องต่อไปนี้(สุรางค์โคว้ตระกรู,2550)
1. ช่วยให้ครู รู้จัดลักษณะนิสัย( Chargcteristics ) ซ9งนักเรียนที่ครูต้งง
สอนโดยทราบหลีกพัฒนาการทั้งทางร่าวกายสตัปัญญาอารพณ์สังคนและ
บุคอิกมาพเป็นส่วนรวม
2.ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคผักภาพบารประการขยง
นักเรียน เช่น ยตัชโนทัศน์(Self concept) ว่าเกิดชิ้นได้อย่างไร และ
เรียนรู้ถึรบทบาทของครูในการที่จะช่วยนี้กเรียนให้มีชี้ตนโนทัศน์ที่ดี และ
ถูกต้องได้อย่างไรขุคคลให้
3.ช่วยให้ครูมีความเข้าใฉในความแถกต่างระหว่างบุคคลเพื่อะได้ช่วย
นักเรียนเป็นรายพี่ฒนาศักขภาพซองแต่ละบุคคล
4. ช่วยให้ครูจัดสภาพแวดล้อมซองห้องเรียนให้เหมาะอมกับวัย
และขึ้นพัฒนาการของนักเรียนเพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความ
สนใจแลรอขากจะเรียนรู้
120
5. ช่วยให้ครูอัดอภาพแวดล้อมขางห้องเรียนให้เหมาะอมกับวัยและ
ขึ้นพัฒนาการของนักเรียนเพื่อดูรใจให้นักเรียนมีความยนใจและอยาก
จะเรียนรู้
6. ช่วยครูในการเตรียมการอนวางแผนก๊ารเรียน เพื่อทำให้การสอนมี
ประษัทธิภาพรามารถช่วยใช้นักเรียนทุกคนเรียนรู้ตานศักยภาพภาพซง
แต่ละบุคคลโดงคำนังถึงชัวซ้อต่อไปนี้
-6.1 ช่วยครูเลือกวัตถุประลงค์ ยงงบทเรียนโดยคำนิง
จังวักษณะนิสัยและความแตกต่าง
ระหว่ารบุคคตองนึกเรียนที่จะต้องสอนและามารถ
เซ็ยนวัตถูประณค์ใจ นักเรียน เขาใจว่าสิ่งที่ครูคาด
หวังให้นักเรียนเรียนรู้มีอะไรบาโดยถือวัตถุประยงค์
ซองบทเรียนคืสิ่งที่จะช่วยให้ครูทราบว่า เพื่ออบบท
เรียนแล้วนักเรียนจะถามารถทำะไรได้บาง
-6.2 ช่วยครูเลือกหลักการสอนแระวิธีการสอนที่
เหพาะ:น โดงคำนังถึงล็กชณะนิสัยขยง
นักเรียนแถวิซาที่ฐอนแระกระบวนการเรียนรู้
ตองนักเรียน
-6.3 ช่วยครูในการประเงินไม่เพีขงแต่เฉพาะเวลา
ครูได้ธอน9นงบบทเรียนเท่านั้นแต่ใช้ ประเงิน
ความพร้อมซองนักเรียนก่อนสอน ในระหว่างทำการ
สอน เพื่อจะทราบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าหรือมี
ปัญหาในการเรียนรู้อะไรบ้าง
121
ทฤษฎีของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวซ้องกับ
การนำไปใช้พัฒนาทางการศึกษา
ทฤษฎีพัฒนาจิต-สังคมของอิริคสัน
ทฤษฐพัฒน้าการทางจิต สังคมของอีริคมีนส่งผลให้วงการ
ศึกษาตื่นตัวอย่างน้อยที่สุด 2 เรื่องคือ มพันธภาพระหว่าง
บุคคลและการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งทั้งสองยั่งนี้เป็นสิ่ง
สำคัญยิ่งในการพัฒนาแต่ละช่ววัยของผู้เรียน นอกจากนี้
ครูที่นำขึ้นพัฒนาการมาใช้เป็นแนวคิดพื้นฐานในการ
จัด้การเรียนรู้ก็จะถามารถช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีบุคอีกภาพ
หรือคุณลักษณะที่พิงประมค์ได้
122
ทฤษฎีพัฒนาการตามวีย
ซองโรเบิร์ต เว ยาวิกเฮิร์ต
1.ในห้องเรียนครูจะเป็นตัวแบบที่มีอิทธิพลพากที่สุดครูควรคำนึงอยู่เสมอว่า การเรียนรู้
โดยการสังเกตและเสียแบบจะเกิดขึ้นได้เสมอ แม่ว่าครูจะไม่ได้ตั้งวิตถูประสงค์ไว้ก็ตาม
2.การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็นการสนโดยใช้หลักการและขึ้นตอนของทฤษฎี ปัญญา
สังคมทั้งน ครูต้องแสดงตัวอย่างพฤติจรรมที่ถูกต้องที่สุดเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิภาพ
ในการแสดงพฤติกรรมเสียนแบบ ความผิดพลาดของครูแม้ไม่ตั้งใจ ไม่ว่าครูะพร่ำบอก
ผู้เรียนว่าไม่ต้องสน ใจฤดจำ แต่ก็ผ่านการสังเกตและการรับรู้ของผู้เรียนไปแล้ว
3. ตัวแบบในขึ้นเรียนไม่ควรจำกัดไว้ที่ครูเท่านั้น ควรใช้ผู้เรียนด้วยกันเป็นตัวแบบได้ใน
บางกรณี โดยธรรมชาติเพื่อนในขึ้นเรียนย่อมมีอิทธิพลต่อการเอียนแบบรูงอยู่แล้ว ครู
ควรพยายามใช้ทักษะใจให้ผู้เรียนนใจและเลียนแบบเพื่อนที่มีพฤติกรรม ที่ดี มากกว่าผู้
ที่มีพฤติกรรมไม่ดี
123
สรุป
สรุป จิตวิทยาการศึกษามีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาการ
และพัฒนาศักยภาพของครู และสร้างหลักรูตรการเรียนการ สอน
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระระหว่างบุคคลของสู้เรียน และครูจำเป็น
จะต้องมีความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาการ"ฒนาศักยภาพของครูและ
หลักจิตวิทยาการศึกชาการศึกชาเพื่อจะได้เข้าใจพฤติ๊กรรมของผู้เรียน
และกระบวนการเรียนรู้ตออดจนแก่ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการ
เรียนการสอน เหมือนกับวิควกรรมที่จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐาน
ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
124
บทที่ 9 จิตวิทยาแนะแนว
และการให้คำปรึกษา
125
ความหมายความสำคัญของการแนะแนว
ปัจจุบันการแนะแนวได้เข้ามามีบทบาทในการศึกษามากขึ้น
เนื่องจากการแนะแนวมีจุดมุ่งหมายและหลักการที่สอดคล้องหรือ
เหมือนกันกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาคือ การช่วยให้เยาวชนขอชาติ
เป็นผู้ที่คิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาเป็นโดยเน้นให้ผู้เรียนได้รับการส่ง
เสริมพัฒนาในทุกๆ ด้านมุ่งสนองความต้องการและความสนใจของผู้
เรียนการที่วิชาการแนะแนวหรือจิตวิทยาการแนะแนวข้ามามีบทบาท
ในการศึกษามากขึ้น
126
ขอบเขตการแนะแนว
1. ด้านการศึกษา
ให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองในด้านการเรียน
อย่างเต็มตามศักยภาพ รู้อีกแสวงหาและใช้ซ้อมูล
ประกอบการวางแผนการเรียน หรือการศึกชาต่อได้
อย่างมีประสิทธิภาพ มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีวิธีการ
เรียนรู้ และสามารถวางแผนการเรียน
หรือการศึกษาต่อได้อย่างเหมาะสม
2.ด้านอาชีพ
ให้ผู้เรียนได้รู้จักตนเองในทุกด้าน
รู้และเข้าโใจโลกของงานอาชีพอย่างหลากหลาย
มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริต
มีการเตรียมตัวสู่อาเซียน สามารถวางแผนเพื่อ
ประกอบอาชีพตามที่ตนเองมีความถนัดและสนใจ
127
3. ด้านส่วนตัวและสังคม
ให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง รักและเห็นคุณค่า
ของตนเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
มีเจตคติที่ดีต่อการมีชีวิตที่ดี มีคุณภาพ มีทักษะชีวิต
สามารถปรับตัวและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีดวามสุข
128
ความหมายและความสำคัญของการให้คำปรึกษา
การให้คำบริกชา หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือ ติดต่อสื่อสารกัน
ด้วยวาวาและริยาท่าทาง ที่เกิดจากมพันสภาพทาวิซาชีพซองบูคคมอย่างน้อย
2 คน คือ ผู้ให้และผู้รับคำปรึกษาผู้ให้คำบรึกษาในที่นี้หมายฉิง ครูที่มีคุณอัก
ษณะที่เอื้อต่อการให้คำปรึกษา มีความรู้และทักชะในการให้คำปริกษาทำหน้าที่
ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับคำปรึกษาหรือนักเรียน
ซึ่งเป็นผู้ที่กำอัรประถบความยุ่งยากใจหรือมีความทุกข์และต้องการความช่วย
เหลือให้เข้าใจตนเอง เข้าใจยิ่งแวดล้าม ให้มีทักชะในการตัดใน ใจ และหา
ทางออกเพื่ออดหรือซวัดความทุกข์ ความยุ่งยากใจด้วยตนเองได้อย่างมีประ
ษัทธิภาพตามารถพัฒนาตนเองไปยู่เป้าหมายที่ต้องการ
129
คุณลักษณะของผู้ให้คำปรึกษา
1. รู้จัก และยอมรับตนเอง
2. อดทน ใจเย็น
3. จริงใจและตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น
4. มีท่าทีที่เป็นมิตร และมองโลกในแง่ดี
6. ใช้คำพูดได้เหมาะสม
5. ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น และช่างสังเกต
7. เป็นผู้รับพีรที่ดีนอกวางนี้ยัจควรพีคุณล็กชณะที่สำคัญ คือ
มีบุครีจภาพที่ดีและจารรักซาความยับ
130
ธุรรยาบรรณของผู้ให้คำปรึกษา
(จรรยาบรรณแห่งวิซาชีพจิตวิทยาการแนะแนว)
1. ให้บริการด้วย 2.ยอมรับและศรัทธา
ความเต็มใจโดย ในวิชาซีพจิตวิทยาการ
คำนิงถึงความแตก
ต่างระหว่างบุคคล แนะแนวและเป็น
สมาชิกที่ดีขององคกร
3. เอาใจใส่ช่วย
เหลือส่งเสริมให้กำลัล วิชาชีพ
ใจแก่ผู้รับบริการด้วย
ความบริสุทธิ์ใจโดย 4. มีวิสัยทัศน์และ
พัฒนาตนเองด้าน
เสมอหน้า
วิชาซีพ
ให้ทันต่อการ
เปลี่ยนแปลงของโลก
131
5.ปฏิบัติงานตาม 6. รักษามาตรฐาน
หลีกวิชาชีพ และรับผิดชอบต่อ
จิตวิทยาการ การประกอบวิชาชีพ
แนะแนว
จิตวิทยาการ
แนะแนว
7. ยุติการให้บริการที่
นอกเหนือความ
สามารถของตนและ
ส่งต่อไปขงั้นบุคคลที่
เหมาะสม
132
จรรยาบรรณของผู้ให้คำปรึกษา
เรื่องทั่วไป
เรื่องสัมพันธภาพในการให้คำ
ปรึกษา
เรื่องการวัดและประเมินผล
เรื่องการวิจัยและตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่
เรื่องการเป็นที่ปรึกษา
เรื่องการปฏิบัติที่เป็นส่วนตัว
เรื่องการบริหารส่วนบุดคล
เรื่องการเตรียมสู่มาตรฐาน
133
เทดนิคและทฤฎีก
ารให้คำปรึกษา
หลักการให้คำปริกษาการให้คำบรึกชาเป็นการช่วยเหลือรูปแบบหนึ่ง
ที่อาศัยความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับ
การปรึกษาเพื่อให้ผู้รับการปรึกชาเกิดความเข้าใจตนเองเข้าใจปัญหา
ได้ความรู้และทางเลือกในการแก๊ปัญหานั้นอย่างเพียงพอมีสภพ
อารมณ์และจิตใจที่พร้อมจะคิดและติดสินใจด้วยตัวเอง หล็กการที่
สำคัญในการให้คำปรึกษาเนื่องจากการให้คำปรึกชาเป็นกระบวนการ
ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นทั้งผู้ให้คำปริกษาและผู้รับคำปรึกษา ต้องมี
ระบบระเบียบ มีทคนิควิฮีในการเข้าใจ การสร้างมนุษยสัมพันธ์การ
ช่วยเหลือ การวางแผน การตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน
ในตัวผู้รับคำปรึกษา ดังนั้นในการให้คำปรึกษาจึงจำเป็นต้องมีหลีก
การที่สำคัญ ดังนี้
134
1.การให้คำบรึกษาตั้งอยู่บน 2.การให้คำปรึกษาตี้จอยู่
พื้นฐานที่ว่าผู้รับคำปรึกษา บนพื้นฐานที่ว่าผู้ให้คำ
ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ปรึกษาต้องได้รีบการ
ฝึดฝนเพื่อความชำนาญ
พฤติกรรมของตน
งานมาก่อน
3.การให้คำปรึกธาเป็นการ
ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาสาพารถ 4. การให้คำปรึกษา
พิจารณาตนเองได้ดีเช่นเดียว ยึดหลักความแตกต่าง
กับความสามารฉในการ ระหว่างบุคคล
พิจารณายิ่งแวดล้อมของตนงน
เกีดการตัดฝันใจได้ในที่สุด
135
5. การให้คำปรึกษาเป็นทั้ง
ศาสตร์ (Science) และศิลปะ
(Art) เป็นทั้งทนวิซาการ และ
วิชาชีพที่ต้องอาคียการฝึดฝนอน
ชำนาญมากกว่าการ ใช้
สามัญสำนึก
6. การให้คำปรึกษา เป็น
ความร่วมมือวันดีสำหรับผู้
ให้คำปรึกษา
และผู้รับคำปรึกษาในอันที่
ธุะช่วยกันค้นหาปัญหาหรือ
ทารออกที่เหพาะสมแท้งรัง
136
ข้อพึงตระหนักสำหรับการให้คำปรึกษาสำหรับครู
เพิ่มคำพูดนั้นมีผลต่อความรู้สึกและจารจระทำ หากคุณครูพูดบวก ถ้า
รถระทำของคุณครูก็จะสร้างฮรรค์ หลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ และผู้
ปกครองที่มีลูกที่มีความต้องการพิเศษหมดหวัง หมดกำลังใจ ท้อแท้
จากคำพูดของคนรอบตัวที่ยังไม่มีความเข้าใจถูกต้องการเริ่มต้นด้วยที
ศนคติเจ้งบวก จึงมีความจำเป็นอย่างมากคุณครูควรเลือกใช้คำพูดที่
เป็นเชีงบวกเพิ่มคุณค่า และให้เกียรติแก่บุคคลที่มีความต้องการพิเศษ
โดยมีหลักการสื่อสารกับผู้ปกครองเด็กที่มีความต้องการพิเศษตึงต่อไปนี้
1.เด็กที่มีควานต้องการ 2.คุณครูควรหกเสี่ยงคำาที่เป็น 3.ภาวะความต้องการพิเศษ
พีเศษ หรือมีความจำเป็น เพียจการวินีฤฉัย คือ ไม่พูด ไม่ใช่ "โรค" ยกตัวอย่าง
พิเศษฐีคือ คน ๆ หนึ่ง เพียงเพราะต้องการจะตัดอื่น ควรใช้คำว่า เขามีภาวะออ
ซักเรียนคุน ๆ หนึ่งว่าเขาเป็น ทิยซัม ไม่ใช่ น้องออ
ควรใชคำศัพท์ที่พูด เด็กบาพร่องหรือชีความต้องการ
เหมือนที่คุณครูพูดชับ เป็นต้น
นักเรียนปาติทั่วไป จำเป็นพิเศษ
137
4.เน้นความสามารถซอง 6.ความสำเร็จของเด็กที่มี
นักเรียน ไม่ใช้ข้อจำกัดที่ ความต้องการพิเศษ น่าทึ่ง
นักเรียนมีมาเป็นตัวชี้วัด ตรงที่นักเรียนเหล่านั้น
และกล่าวอ้าง เฮี่ยงการใช้ ใช้ความพยายาม และผ่าน
คำพูดที่มีความหมายใน อุปสรรคเพื่อที่จะทำในสิ่ง
ด้านลบ ทั่วไปได้
6.ส่งเสริมความเข้าใจ
การให้ความเคารพ การ
ให้เกียรติ และมุมพอง
ในเชิงบวก
ㆍ โรคซึมเศร้า
โรคทางจิตเวยผนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของ
สมอง ในส่วนที่มีผลกระทบต่อ ความคิด อารมณ์ ความ
ㆍ รู้สึก พฤติกรรมรวมถึง สุขภาพกาย
เกิดจากความไม่สมดุลของสารอื่น ประสาท 3 ชนิดคือ
ㆍ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน
ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ และอาจต้องใช้ยา
ในการรักษาพิ่มหัวเรื่องย่อย
138
สังเกตอาการ
สังเกตที่นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมซึม เศร้าทุกวันหรือเกือบ
ทั้งวัน รู้สึกเบื่อกับสิ่งรอบตัว
พูดน้อย เงียบลงกว่าเดิมไม่อยากออกสังคม ผอมลง
เบื่ออาหาร
ไม่มีแรง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
ร้องไห้ง่ายโดยไม่มีสาเหตุ
ใจลอยไม่มีสมาธิเบื่อชีวิตเป็นต้น
การป้องกัน การช่วยเหลือเบื้องต้น
การมีเพื่อนพูดคุยกัน ด้วยการฟัง ฟังให้มาก
การให้การปรึกษา ฟัง อย่างตั้งใจเข้าใจ
ลดความเครียด ให้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
ปรับความคิด ปรับอารมณ์ อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว
139
การให้กำลังใจ
ทำให้รู้สึกมีค่า มีกำลังใจในการใช้ชีวิต
การเป็นผู้ฟังที่ดีให้รู้สึกผ่อนคลาย
การพูด ด้วยประโยคเช่นเธอไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ฉันจะอยู่ข้างๆเจอเธอ
เหนื่อยไหม เธออยากให้เราช่วยอะไรบ้าง
คำพูดที่ไม่ควรพูด
เธอคิดไปเอง
ใครๆก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มา
ชีวิต มีอะไรอีกตั้งเยอะ
ทำไมถึง ไม่อยากอยู่
ลองมองในแง่ดีซิ ลองคิดใหม่ซิ
มีคนแย่กว่าเราตั้งเยอะ เขายังรู้ได้เลย
140
ห่างไกลโรคซึมเศร้า
1.ดูแลตนเองให้สุขภาพดีออกกำลังกาย
พักผ่อน รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ
2.ฝึกคิดบวก ไม่คิดร้ายกับใครไม่กล่าวโทษตนเอง ทุกเรื่องหางานอดิเรกทำ
คลายเครียด
3.ควรหาเวลาทำกิจกรรมสนุกสนานไม่เคร่งเครียด หรือทำงานหนักเกินไป
มีวิสัยทัศน์และพัฒนาตนเองด้านวิชาซีพให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
5.ปฏิบัติงานตามหลีาวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว
6. รักษามาตรฐานและรับผิดชอบต่อการประกอบวิชาชีพ
จิตวิทยาการแนะแนวยุติการให้บริการที่นอกเหนือความสามารถของตนและส่ง
ต่อไปข้อบุคคลที่เหมาะสม
141
บทที่ 10
(Case study)
142
การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี(Case study)
กระบวนการศึกษาบุคคลอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดยใช้เทคนิค
หลายๆ อย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำข้อมูลที่ได้มา
วิเคราะห์ สังเคราะห์ และวินิจฉัยปัญหาเพื่อทำความเข้าใจ
ถึงสาเหตุหรือที่มาของสิ่งที่ศึกษา อันจะนำไปสู่การดำเนินการ
หรือการให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการให้ความช่วยเหลือ
แก้ไข ป้องกันปัญหาหรือส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลต่อไป
143
ความหมายของการศึกษารายกรณี
การศึกษารายกรณี (Case Study) หมายถึง กระบวนการศึกษา
บุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ชมชนใดชุมชนหนึ่ง
หรือสถาบันใดสถาบันหนึ่งอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือ
เทคนิค หรือวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้รายละเอียดของข้อมูล แล้วนำมา
สังเคราะห์ วิเคราะห์ และวินิจฉัยหาสาเหตุของพฤติกรรม เพื่อ
ดำเนินการช่วยเหลือ แก้ไข ปู้องกัน หรือส่งเสริมพัฒนาการของบุคคล
กลุ่มคน ชุมชน และสถาบันนั้นต่อไป
144
145