144
วิธที าํ
145
แบบฝก หดั ที่ 2
จงเขยี นภาพดา นบน ดา นหนา และดา นขา งของรูปเรขาคณิตสามมิติท่ีกําหนดให
146
147
เรื่องท่ี 3 การวาดหรือประดิษฐรูปเรขาคณติ ทป่ี ระกอบข้นึ จากลูกบาศก
พิจารณารปู เรขาคณิตสามมติ ิทปี่ ระกอบขน้ึ จากลกู บาศกต อ ไปน้ี
จะเห็นวา เม่อื เขยี นรปู เรขาคณิตสองมิติ แสดงภาพท่ไี ดจากการมองดานหนา ดา นขา ง และดา นบน
ดงั ภาพ
จะเห็นวา การเขยี นรปู เรขาคณิตสองมิติ เพื่อแสดงรปู เรขาคณิตสามมติ ิท่ปี ระกอบข้นึ จากลูกบาศก
เราสามารถเขียนจาํ นวนลูกบาศกกํากบั ไวใ นตารางรปู สเี่ หล่ยี มจัตุรัสในดานท่ีมองทัง้ สามดา นดงั ภาพ
ตอ ไปน้ี
148
ตวั อยาง จงเขียนภาพทไ่ี ดจ ากการมองทางดา นหนา ดา นขา ง และดา นบนของรปู สามมติ ทิ ก่ี าํ หนดให พรอ ม
ท้งั เขยี นตวั เลขแสดงจาํ นวนลูกบาศกกาํ กับไวใ นตาราง
เขียนแสดงภาพทั้งหมดไดดังน้ี
149
แบบฝก หดั ที่ 3
จงจับคภู าพดา นหนา ดา นขา ง และดานบน ในแตละขอ ตอ ไปนก้ี บั รปู เรขาคณติ สามมติ ิทีก่ าํ หนดให
ทางขวามือ โดยเลอื กตวั อักษรทกี่ าํ กบั ไวใ นรปู เรขาคณิตสามมิติ เขียนเตมิ ลงในชอ งวา งบนขวาของแตละ
ขอ
150
151
2. จงเขียนภาพดานหนา ดานขา ง และดานบนของรูปเรขาคณิตสามมติ ิตอ ไปน้ี พรอ มท้งั เขยี นจํานวน
ลูกบาศกก าํ กับไวใ นตารางสเี่ หล่ียมจัตรุ สั
152
บทท่ี 9
สถติ ิ
สาระสําคัญ
1. ขอมูลเบ้ืองตน ของสถิติ จะชว ยใหทราบขอ เท็จจรงิ ที่ชัดเจนถูกตอง ซงึ่ จะเปน ประโยชน สาํ หรับ
การวางแผนการดําเนนิ งาน และตดั สินใจปรบั ปรงุ การดาํ เนินงานตามผลท่ีไดน าํ เสนอขอมูลไว
2. การนาํ เสนอขอมูล มีความมงุ หมายเพ่อื แสดงใหเ ห็นรายละเอียดของขอ มูลไดงาย ชดั เจน และ
รวดเร็ว สามารถนําขอ มูลไปใชประโยชนไ ดทนั ที ฉะนัน้ การเลอื กใชวธิ ีการนาํ เสนอขอมูลตองใหเ หมาะสม
กับลักษณะของขอ มูลและการใชป ระโยชนเ ปนสาํ คญั
ผลการเรียนรทู ่ีคาดหวงั
1. สามารถจดั เกบ็ รวบรวมขอ มูลที่เหมาะสมได
2. สามารถนาํ เสนอขอ มูลในรปู แบบทเ่ี หมาะสมได
3. หาคากลางของขอ มูลทไ่ี มแ จกแจงความถี่
4. เลอื กและใชคา กลางของขอมูลท่ีกําหนดใหไดอยางเหมาะสม
5. อาน แปลความหมาย และวเิ คราะหข อมลู จากการนําเสนอขอมลู ท่ีกาํ หนดใหได
6. อภิปรายและใหข อคดิ เห็นเก่ียวกบั ขอ มลู ขาวสารทางสถิตทิ ่สี มเหตสุ มผลได
ขอบขา ยเนือ้ หา การรวบรวมขอมูล
การนําเสนอขอ มูล
เร่ืองที่ 1 การหาคากลางของขอ มูล
เรื่องท่ี 2 การเลอื กใชค ากลางของขอ มลู
เรื่องที่ 3 การใชส ถิตขิ อ มลู และสารสนเทศ
เรื่องท่ี 4
เรื่องท่ี 5
153
เรอื่ งท่ี 1 การรวบรวมขอมลู
1.1 สถติ ิ
คาํ วา สถิติ (Statistics) มาจากภาษาเยอรมนั วา Statistik มีรากศพั ทม าจาก Stat
สถติ ิหมายถงึ ขอ มูลหรือสารสนเทศ หรอื ตัวเลขแสดงจํานวนหรอื ปริมาณของสงิ่ ตาง ๆ ที่ได
รวบรวมไว
สถติ หิ มายถงึ วิธกี ารที่วาดวยการเก็บรวบรวมขอมลู การนาํ เสนอขอ มูล การวเิ คราะหข อมลู และ
การตคี วามหมายขอ มลู สถิตใิ นความหมายน้ีเปนทัง้ วทิ ยาศาสตรแ ละศิลปศาสตร เรียกวา "สถิตศิ าสตร”
สรปุ สถิติ หมายถึง ศาสตรท วี่ า ดวยการเกบ็ รวบรวมขอมลู การนําเสนอขอมลู และการวเิ คราะห
ขอ มูล
1.2 การรวบรวมขอมลู (Data Collection)
การรวบรวมขอมลู หมายถึงการนาํ เอาขอมลู ตา งๆทผ่ี อู ืน่ ไดเกบ็ ไวแลว หรือรายงานไวใ นเอกสาร
ตางๆ มาทาํ การศกึ ษาวิเคราะหต อ
1.3 ประเภทของขอ มลู
ขอมลู หมายถงึ ขอเท็จจริงเกย่ี วกับตวั แปรทีส่ ํารวจโดยใชว ิธกี ารวดั แบบใดแบบหน่งึ โดยทว่ั ไป
จาํ แนกตามลกั ษณะของขอมลู ไดเ ปน 2 ประเภท คือ
1) ขอ มลู เชิงปรมิ าณ (Quantitative Data) คอื ขอมลู ทีเ่ ปนตัวเลขหรอื นาํ มาใหร หสั เปน ตัวเลข ซง่ึ
สามารถนําไปใชวเิ คราะหทางสถิติไดเ ชน อายุ นาํ้ หนกั สว นสงู
2) ขอมลู เชงิ คุณภาพ (Qualitative Data) คอื ขอมูลท่ไี มใชต ัวเลข ไมไดมกี ารใหรหัสตวั เลขทีจ่ ะ
นําไปวเิ คราะหทางสถติ ิ แตเปนขอ ความหรอื ขอสนเทศเชน เพศ ระดบั การศึกษา อาชีพ
1.4 แหลง ท่ีมาของขอ มูล
แหลงขอ มูลทส่ี ําคัญ ไดแก บคุ คล เชน ผใู หสัมภาษณ ผกู รอกแบบสอบถาม บคุ คลทีถ่ กู สังเกต
เอกสารทกุ ประเภท และขอมูลสถิตจิ ากหนว ยงาน รวมไปถึง ภาพถา ย แผนท่ี แผนภูมิ หรือแมแ ตว ัตถุ
สิง่ ของ ก็ถอื เปน แหลงขอมูลไดท้งั ส้นิ โดยท่ัวไปสามารถจดั ประเภทขอมูลตามแหลงที่มาได 2 ประเภท คือ
154
1) ขอ มลู ปฐมภมู ิ (Primary Data) คอื ขอ มลู ทีผ่ ูว ิจยั เก็บขึน้ มาใหมเ พื่อ ตอบสนอง
วัตถุประสงคก ารวิจยั ในเร่อื งนน้ั ๆ โดยเฉพาะการเลือกใชข อ มูลแบบปฐมภมู ิ ผูวิจัยจะสามารถเลือกเกบ็
ขอ มลู ไดตรงตามความตองการและสอดคลอ งกบั วัตถปุ ระสงค ตลอดจนเทคนคิ การวเิ คราะห แตม ขี อเสยี
ตรงทส่ี นิ้ เปลอื งเวลา คาใชจาย และอาจมีคณุ ภาพไมด ีพอ หากเกดิ ความผดิ พลาดในการเก็บขอ มลู ภาคสนาม
2) ขอมลู ทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary Data) คือ ขอมูลตา งๆ ทีม่ ีผูเกบ็ หรอื รวบรวมไวก อนแลว
เพียงแตน กั วิจัยนาํ ขอ มลู เหลาน้นั มาศกึ ษาใหม เชน ขอมลู สาํ มะโนประชากร สถติ ิจากหนว ยงาน และ
เอกสารทุกประเภท ชว ยใหผ วู ิจยั ประหยดั คา ใชจ า ย ไมต องเสียเวลากับการเกบ็ ขอ มูลใหม และสามารถศกึ ษา
ยอ นหลงั ได ทําใหทราบถึงการเปล่ียนแปลงและแนวโนมการเปล่ียนแปลงของปรากฏการณท ี่ศกึ ษา แตจ ะมี
ขอจํากดั ในเรื่องความครบถวนสมบรู ณ เนอ่ื งจากบางครั้งขอมลู ท่ีมอี ยแู ลว ไมตรงตามวัตถปุ ระสงคข องเรอื่ ง
ทีผ่ วู ิจยั ศึกษา และปญหาเรือ่ งความนาเชอื่ ถือของขอมูล กอนจะนาํ ไปใชจ ึงตองมกี ารปรับปรุงแกไขขอ มูล
และเกบ็ ขอ มลู เพิม่ เตมิ จากแหลงอ่นื ในบางสวนทไ่ี มส มบูรณ
1.4 วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ มูล อาจแบง เปน วิธกี ารใหญๆ ได 3 วิธี คือ
1) การสงั เกตการณ (Observation) ท้งั การสงั เกตการณแบบมสี วนรว ม และการ
สงั เกตการณแ บบไมม ีสวนรว ม หรอื อาจจะแบง เปนการสังเกตการณแ บบมโี ครงสราง และการสังเกตการณ
แบบไมม โี ครงสราง
2) การสมั ภาษณ (Interview) นยิ มมากในทางสงั คมศาสตร โดยเฉพาะการสัมภาษณโดยใช
แบบสอบถาม การสัมภาษณแบบเจาะลกึ หรอื อาจจะจําแนกเปนการสัมภาษณเ ปน รายบุคคล และการ
สัมภาษณเปน กลมุ เชน เทคนคิ การสนทนากลุม ซึ่งนิยมใชก นั มาก
3) การรวบรวมขอ มลู จากเอกสาร เชน หนงั สือ รายงานวจิ ยั วทิ ยานิพนธ บทความ ส่งิ พมิ พ
ตางๆ เปน ตน
1.5 ขั้นตอนการเก็บรวบรวมขอ มลู
1. การสมั ภาษณบคุ คลท่เี กยี่ วของ
2. การบันทกึ ขอ มลู จากบนั ทกึ หรือเอกสารของหนวยงานตา งๆ
3. การอานและศกึ ษาคน ควา
4. การคน หาขอมูลจากอนิ เทอรเนต็
5. การเขารว มในเหตุการณต า งๆ
6. การฟง วิทยุและดโู ทรทศั น
155
แบบฝก หดั ที่ 1
1. ใหผ เู รียนพิจารณาขอ ความตอ ไปนแี้ ลวเขยี นเครอ่ื งหมาย ลงในชอ งท่ตี รงกับความคดิ เหน็ ของผเู รียน
ขอ ที่ ขอ ความ ขอมลู สถิติ
เปน ไมเ ปน
1 แดงสูง 163 เซนตเิ มตร
2 นางสาวิภาวีมสี วนสัดเปน 35-24-36
3 น้ําหนกั ของนกั เรียนทุกคนทเ่ี รียนชุดการเรียนทางไกล
4 อุณหภูมิท่ีจังหวดั ปทมุ ธานวี ันน้วี ัดได 25 องศาเซลเซยี ส
5 สมศรไี ดคะแนน 15 คะแนน
ในการโยนเหรียญ 10 ครงั้ เกดิ หัว 6 ครั้ง เกดิ กอ ย 4 ครง้ั ได
66
อัตราสวนท่ีจะเกิดหวั 10
7 อาจารยศ ุภราเงนิ เดอื น 23,000 บาท
8 ความสงู เฉลี่ยของประชาชนท่ีเปน ชาย 162 เซนติเมตร
9 คน 6 คน เปนชาย 4 คน เปนหญงิ 2 คน ทอ่ี ยูใ นบานวิชยั
10 จํานวนคดีอาชญากรรมในป 2551 ซึง่ รวบรวมมาจากบนั ทกึ คดี
อาชญากรรมแตละวนั ในแตล ะสถานตี ํารวจ
2.ใหผ เู รียนพจิ ารณาขอมลู ในแตละขอ ตอไปน้ี แลวเขยี นเครอื่ งหมาย ลงในชองทต่ี รงกับความคดิ เห็น
ขอมลู สถติ ิ
ขอ ที่ ขอ ความ ขอ มูล ขอ มลู
คณุ ภาพ ปรมิ าณ
1 สถิติคนไขแยกตามเชื้อโรคของโรงพยาบาลแหง หน่งึ
2 จาํ นวนครัง้ ของการโทรศพั ททางไกลจากแตล ะเคร่ืองใน
สาํ นักงาน 10 เคร่ือง ในวันหนึ่ง
3 ผูจ ัดการถกู สัมภาษณถงึ จาํ นวนเปอรเซน็ ตข องเวลาทาํ งานท่ใี ชใน
การประชมุ
4 เคร่อื งสาํ อางโดยเฉพาะสีของสีทาปาก ซ่ึงแตล ะบรษิ ทั ใน 10
บริษทั ไดระบุวามยี อดขายมากท่สี ุด
156
3. ใหผ เู รยี นพจิ ารณาขอความตอไปน้ี แลวเตมิ คาํ ตอบลงในชอ งวา งตามความคดิ เหน็ ของผเู รยี นวาเปน ขอมูล
ปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิ
1) รายงานประจาํ ปของหนว ยงานตา งๆ
………………………………………………………………………………………………………
2) สาํ นกั งานสถิติแหงชาติ ตอ งการเกบ็ สถติ ผิ ลผลติ ขาวทวั่ ประเทศ โดยการไปสมั ภาษณชาวนา
………………………………………………………………………………………………………
3) ศิรนิ ภาไปขอขอมูลเกีย่ วกบั จํานวนคนเกดิ ตาย และยา ย ซงึ่ สํานกั งานเทศบาลแหงหน่งึ ได
รวบรวมไว
………………………………………………………………………………………………………
4) บรรณารกั ษห องสมุดโรงเรยี นแหงหนึ่ง ไดสังเกตและบนั ทึกการใชหองสมดุ ของนกั เรียน
แตละวนั
………………………………………………………………………………………………………
5) ครคู นหน่งึ ตอ งการทราบวา หอ งสมุดของโรงเรยี นมนี ักเรียนใชม ากหรอื นอ ยเพียงใดในแตละวนั
จงึ ไปขอลอกขอ มูลจากบรรณารกั ษ
………………………………………………………………………………………………………
157
เรือ่ งท่ี 2 การนาํ เสนอขอ มูล
การนาํ เสนอขอมลู เปน การนําขอ มลู ท่ีเก็บรวบรวมมาจากแหลง ตา ง ๆ ซึง่ ยังไมเ ปน ระบบ มาจัดเปน
หมวดหมูใ หม ีความสัมพนั ธเ กย่ี วขอ งกนั ตามวตั ถุประสงค เพ่ือสะดวกแกก ารอาน ทําความเขาใจ การ
วเิ คราะห และแปลความหมาย เพื่อประยกุ ตใ ชในชวี ิตประจาํ วันตอไป
การนําเสนอขอ มลู แบง ออกเปน 2 ประเภท ไดแ ก
1. การนาํ เสนอขอ มลู อยางไมมแี บบแผน (informal presentation) หมายถงึ การนาํ เสนอขอมูลทไี่ มม ี
กฎเกณฑ หรือแบบแผนท่ีแนน อนตายตวั เปน การอธบิ ายลักษณะของขอ มูลตามเนื้อหาขอ มูล ทีน่ ยิ มใชม สี อง
วิธีคอื การนาํ เสนอขอมูลในรูปบทความหรอื ขอ ความเรียง และการนาํ เสนอขอ มูลในรปู บทความกงึ่ ตาราง
- การนาํ เสนอขอมูลในรูปขอความ นิยมใชก ับขอ มลู ท่มี จี าํ นวนไมมากนกั เชน ในปงบประมาณ
2552 กศน.บานแพว ไดอนมุ ัตใิ หน กั เรียนระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาตอนตน จบการศกึ ษาจาํ นวน 480 คน คดิ เปน
รอ ยละ 92 อนุมัติใหนกั เรยี นระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายจบการศกึ ษาจํานวน 372 คน คดิ เปนรอ ยละ 95
- การนําเสนอขอมูลในรปู ขอความกึ่งตาราง (Semi – tabular arrangement) คอื การนําเสนอขอ มลู
โดยแยกตัวเลขออกจากขอ ความเพ่อื ตองการใหเห็นตวั เลขท่ชี ัดเจนและเปรยี บเทยี บความแตกตางไดสะดวก
ยง่ิ ขน้ึ ตวั อยาง เชน บรษิ ัทคอมพิวเตอรแหง หน่ึงมจี ํานวนยอดขายประจําเดือนมกราคม 2553 ของลูกคา
จําแนกตามภาคตาง ๆ ดงั น้ี
ภาค จํานวนยอดขาย ( พนั เครื่อง )
เหนือ 210
กลาง 398
ตะวนั ออก 135
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 102
ใต 170
2. การนําเสนอขอมลู อยางมีแบบแผน เปน การนาํ เสนอขอ มลู ที่มกี ฎเกณฑ โดยแตละแบบจะตอง
ประกอบดว ยชื่อเรือ่ ง สว นของการนาํ เสนอ และแหลงที่มาของขอมลู การนําเสนอขอมูลอยางมแี บบแผน
ประกอบดว ย การนาํ เสนอขอ มลู ในรปู ตาราง แผนภูมริ ูปภาพ แผนภมู วิ งกลม (แผนภมู กิ ง) แผนภูมิแทง
กราฟเสน และตารางแจกแจงความถี่
2.1 การนําเสนอขอ มลู ในรูปตาราง
การนําเสนอในรูปตาราง (Tabular presentation)ขอมูลตางๆท่ีเก็บรวบรวมมาไดเม่ือทําการ
ประมวลผลแลวจะอยใู นรูปตาราง เปนการนําเสนอขอมูลที่งาย และนิยมใชกันอยางแพรหลาย เพราะมี
ความสะดวกและงา ยแกก ารนําไปวเิ คราะหและแปลความหมายทางสถิติ
158
เปรยี บเทียบการปรับราคานํ้ามนั ป 2521-2523
(ราคา : บาท /ลติ ร)
ชนิดนาํ้ มนั 2521 2522 2523
10 ม.ี ค. 31 ม.ค. 22 ม.ี ค. 13 ก.ค. 20 ก.ค. 9 ก.พ. 20 ม.ี ค.
เบนซินพเิ ศษ 4.98 5.60 - 7.84 - 9.80 -
เบนซนิ ธรรมดา 4.98 5.12 - 7.45. - 9.26 -
นํ้ามนั กา ด 2.68 3.06 - 5.12 4.20 6.71 5.70
ดีเซลหมนุ เรว็ 2.64 3.03 - 4.88 - 7.39 6.50
ดีเซลหมนุ ชา 2.50 2.93 - 4.71 - 7.12 6.27
นาํ้ มนั เตา 450 1.52 - - - - - -
น้าํ มันเตา 600 1.66 1.86 1.90 3.04 - 3.78 -
นํา้ มนั เตา 1,200 1.62 1.79 1.83 2.93 - 3.64 -
น้ํามนั เตา 1,500 1.61 1.77 1.81 2.90- - 3.61 -
ท่ีมา:ภาวะการคาของประเทศไทยป 2522 สภาหอการคาแหง ประเทศไทย
2.2 การนาํ เสนอขอ มูลดว ยแผนภมู ิรปู ภาพ
แผนภมู ริ ปู ภาพ คอื แผนภูมิทีใ่ ชรูปภาพแทนจาํ นวนของขอ มลู ทน่ี าํ เสนอ เชน แผนภูมิรปู ภาพคน
รปู ภาพคน 1 คนแสดงประชากรทน่ี ําเสนอ 1 ลา นคน เปนตน
การเขยี นแผนภูมริ ปู ภาพอาจกาํ หนดใหร ปู ภาพ 1 รูปแทนจาํ นวนสง่ิ ของ 1 หนวย หรอื หลายหนว ยกไ็ ด
รูปภาพแตล ะรปู ตอ งมีขนาดเทากนั เสมอ
แผนภูมแิ สดงงานอดเิ รกของนกั เรยี นชั้น ป. 6 ของโรงเรยี นแหงหนึ่ง (สํารวจเมอื่ วนั ที่ 19 มกราคม 2548)
ปลกู ตน ไม
อานหนังสือ 1 ภาพ แทนจํานวนนกั เรยี น 15 คน
วาดรปู
เลีย้ งสตั ว
เลนกีฬา
หมายเหตุ
159
2.3 การนาํ เสนอดวยแผนภูมิแทง (Bar chart) ประกอบดวยรปู แทง ส่ีเหล่ียมผนื ผาซงึ่ แตละแทงมี
ความหนาเทา ๆ กนั โดยจะวางตามแนวต้ังหรือแนวนอนของแกนพิกดั ฉากกไ็ ด
แผนภูมแิ ทงแบบทางเดยี ว เปน การนําขอมลู เพยี งขอมูลเดยี วมานาํ เสนอในรปู แบบของแทง
สี่เหลี่ยม
ตัวอยาง แผนภมู แิ ทง แสดงการสงออกไกไปตางประเทศ
ปรมิ าณ (ตนั )
ประเทศ
แผนภูมิแทง แสดงการเปรยี บเทียบเปน การนําขอมลู ต้งั แต 2 ชุดขนึ้ ไปทีเ่ ปนเรอ่ื งเดยี วกนั นํามาเขยี น
บนแกนคูเ ดียวกัน แลว ระบายสแี ทง สี่เหล่ียมใหตางกันเพือ่ งา ยตอการดู แลว อธบิ ายวาสใี ดแทนอะไร
ตัวอยา ง แผนภมู แิ สดงการเปรยี บเทียบยอดการขายแตล ะเดือนของบรษิ ทั หน่งึ
จํานวน (ลานบาท)
160
2.4การนําเสนอดว ยกราฟเสน (Line graph) เปน แบบที่รูจ กั กนั ดีและใชก ันมากท่สี ุดแบบ
หนงึ่ เหมาะสาํ หรบั ขอมูลทอ่ี ยใู นรูปของอนกุ รมเวลาเชน ราคาขา วเปลอื กในเดอื นตา งๆ ปริมาณสนิ คา
สง ออกรายป เปนตน
จากตาราง นําเสนอขอ มูลดว นกราฟเสน ดงั น้ี
2.5การนําเสนอดว ยรปู แผนภูมวิ งกลม (Pie chart) เปน การแบงวงกลมออกเปน สว นตา งๆตาม
จํานวนชนิดของขอ มูลทจ่ี ะนาํ เสนอ
ตัวอยาง แผนภูมิวงกลมแสดงการใชทีด่ นิ ท่ถี ือครอบ เพื่อการเกษตร พ.ศ. 2518
161
2.6 การนาํ เสนอขอ มูลในรปู ตารางแจกแจงความถ่ี
ขอ มูลทเี่ ก็บรวบรวมมาไดน น้ั ถา มจี าํ นวนมากหรอื ซํา้ กนั อยมู าก เมื่อมาเรียงกันหรือจดั ใหอยูเปน
หมวดหมแู ลวจะชวยใหเราบอกรายละเอียดตา งๆ หรอื สรุปผลเก่ียวกับขอ มลู ไดสะดวกและรวดเรว็ ข้นึ
เชน
ในการช่ังน้ําหนกั ของนกั เรยี น 40 คน หนวยเปน กโิ ลกรมั ปรากฏผลดงั น้ี
57 44 46 41 48 50 51 42 43 45
45 43 42 40 50 41 47 60 50 52
46 42 42 53 46 55 45 41 50 42
44 41 40 45 59 44 49 50 39 42
ในทางสถติ เิ รียกวา ขอ มูลดบิ หรือคะแนนดบิ หรือคา จากสงั เกต เม่อื นาํ มาจัดเรยี งใหมใ หเปน ระบบ
โดยอาจเรียงจากมากไปหานอ ยหรือจากนอยไปหามาก แลว บนั ทึกรอยขดี แสดงจาํ นวนคร้ังของขอ มูลที่
เกดิ ขน้ึ ซํ้ากันในตาราง จํานวนรอยขีดทน่ี บั ไดเ รียกวา ความถข่ี องแตละขอ มูล
ตารางท่ีนําเสนอขอมลู ในรปู แบบน้เี รยี กวา ตารางแจกแจงความถแี่ ละวธิ กี ารจาํ แนกขอมลู โดยการ
บนั ทึกรอยขีดเพ่ือหาคา ความถ่ีเรียกวา การแจกแจงความถี่
การสรา งตารางแจกแจงความถี่
ในกรณีทขี่ อมลู ทีเ่ กบ็ รวบรวมมามีจํานวนมากๆ และไมคอยซ้ํากนั ถา จะเรียงลําดบั จะเปนการ
เสยี เวลาและสน้ิ เปลืองมาก จึงกาํ หนดขอ มลู เปนชวงๆ และหาความถขี่ องชวงขอมลู นัน้ ๆ
วธิ ีการสรา งตารางแจกแจงความถี่ โดยจดั เปน อันตรภาคชนั้ ใหทกุ ๆช้นั มีความกวางเทากนั มีวธิ ีการ
ดงั นี้
1. หาพิสัยของขอมูล
พิสัย =ขอ มลู ท่ีมคี าสงู สุด – ขอ มลู ท่มี ีคาต่ําสดุ
162
2. กําหนดจํานวนชน้ั หรือกําหนดความกวางของอนั ตรภาคชัน้ ขึ้นมา
- ถา กําหนดจํานวนชัน้ กใ็ หห าความกวางของอนั ตรภาคชนั้
ความกวางของอันตรภาคชนั้ = พิสยั
(เศษเทา ไรปด ข้นึ เสมอ) จํานวนอนั ตรภาคชนั้
-ถากาํ หนดความกวา งของอันตรภาคชัน้ กห็ าจํานวนช้นั ไดจ าก
จาํ นวนอนั ตรภาคชนั้ = พสิ ยั
ความกวางของอันตรภาคช้นั
(เศษเทาไรปด ขนึ้ เสมอ)
3. เขียนอันตรภาคชน้ั โดยเรียงคาจากนอ ยไปมากหรอื จากมากไปนอ ย ถา เรยี งคา จากนอ ยไปมากตองให
ขอ มลู ท่มี คี า ตาํ่ สุดในอันตรภาคชน้ั แรกและขอมูลทม่ี ีคา สูงสุดอยูในอันตรภาคชน้ั สุดทาย
4. นาํ ขอ มูลดิบมาใสใ นตารางโดยใชร อยขดี
5. รวมความถต่ี ามรอยขดี 46 54
ตัวอยางจากขอมูล 66 69
82 74
72 74 49 50 62 43 44 54 70 63
45 53 63 67 65 57 65 50
80 77 60 55 52 56 61 61
48 66 71 81 51 59 48 68
จงหา
1. พสิ ัย
2. จงสรางตารางแจกแจงความถ่ี ใหมีทัง้ หมด 6 ชน้ั
3. จงสรา งตารางแจกแจงความถีใ่ หม คี วามกวา งของอนั ตรภาคชนั้ ทกุ ชั้นเปน 8 ทุกชัน้
163
วธิ ีทํา
1. ขอมลู ทมี่ ีคาสูงสุดเปน 82
ขอ มูลท่ีมีคา ตาํ่ สดุ เปน 43
ดังนั้นพิสัย = 82 – 43= 39
ตอบพิสยั เปน 39
2. โจทยก ําหนดใหสรา งตารางแจกแจงความถท่ี งั้ หมด 6 ชนั้
จํานวนอนั ตรภาคชนั้ = พสิ ยั
ความกวา งของอันตรภาคช้นั
จํานวนชนั้ = 39
6
= 6.5
7
ดงั นั้นความกวา งของอนั ตรภาคชนั้ เปน 7
เขยี นอนั ตรภาคชน้ั โดยเรยี งคา จากนอยไปมากหรอื จากมากไปนอยถา เอาขอ มลู ที่มคี า ต่าํ สุดเปนตัวเรม่ิ ตน
และใหมีความกวางของอันตรภาคชั้นเปน 7 จัดไดด งั นี้
อนั ตรภาคชน้ั รอยขดี ความถี่
43-49 //// // 7
50-56 //// //// 9
57-63 //// /// 8
64-70 //// /// 8
71-77 //// 5
78-84 /// 3
รวม 40
จากตารางแจกแจงความถข่ี า งตน มคี า ตา งๆ ทผี่ ูเ รียนควรทราบอีก คือ
1. ขอบลา ง = คาที่นอ ยทีส่ ุดของอนั ตรภาคชนั้ นนั้ + คาทม่ี ากท่ีสดุ ของอนั ตรภาคชัน้ ทต่ี า่ํ กวา หน่งึ ช้นั
2
หรือ ขอบลาง = คาท่ีนอยทส่ี ดุ ของอันตรภาคชน้ั ทเ่ี ราตอ งการ - 0.5
เชน ขอบลา งของอัตรภาคชนั้ 50-56 ไดแ ก 49.5
164
2. ขอบบน = คา ทม่ี ากที่สดุ ของอนั ตรภาคชั้นนนั้ + คาทน่ี อยทส่ี ุดของอนั ตรภาคชน้ั ทส่ี ูงกวาหนงึ่ ช้ัน
2
หรอื ขอบบน = คา ที่มากท่ีสุดของอนั ตรภาคชน้ั ที่เราตองการ + 0.5
เชน ขอบบนของอันตรภาคชน้ั 50 - 56= 56 57 56.5 หรือ ขอบบน = 56 + 0.5 = 56.5
2
3. จดุ ก่ึงกลางชั้น = ขอบลาง + ขอบบน (ของอันตรภาคชั้น)
2
เชน อันตรภาคชนั้ 50 – 56 มขี อบบน และขอบลาง ไดแก 49.5 และ 56.5 ตามลําดบั
49.5 56.5 53
2
ดังน้ัน จดุ ก่งึ กลางช้ัน =
165
แบบฝกหดั ท่ี 2
1. แผนภมู ริ ปู วงกลมแสดงรายไดข องหา งสรรพสนิ คาแหงหนง่ึ โดยเฉล่ียตอวนั จําแนกตามแผนกตา งๆ
จากแผนภมู ิจงตอบคําถามตอ ไปน้ี
1) รายไดจ ากแผนกเส้อื ผา บรุ ุษ และแผนกเสอ้ื ผาสตรรี วมกนั มากกวาหรอื นอยกวารายไดจ ากแผนกเครื่อง
เขยี น แบบเรยี นอยกู ่เี ปอรเซน็ ต
................................................................................................................ ............................................
.................................................................................................... ........................................................
2) รายไดจ ากแผนกใดนอ ยท่สี ดุ และคดิ เปนรอยละเทาไรของรายไดจากแผนกท่ีรายไดมากทส่ี ุด
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
3) รายไดจากแผนกเสอ้ื ผา สตรีคิดเปนรอ ยละเทาไรของรายไดจากแผนกเครอ่ื งเขียน แบบเรียน
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
4) แผนกใดทมี่ รี ายไดม ากเปน อนั ดบั สอง และรายไดน นั้ คดิ เปนรอยละเทาไรของรายไดท้งั หมด
................................................................................................................. ...........................................
.................................................................................................... ........................................................
166
2. จากการสอบถามงบประมาณท่ีแตล ะกลมุ สาระการเรยี นรูไดมาจากการจดั สรรงบประมาณของทาง
โรงเรยี น เปน ดงั นี้
กลมุ สาระการเรียนรู งบประมาณ จาํ นวนเปอรเ ซ็นต ขนาดของมุมที่จุดศนู ยก ลาง
(บาท) ของรูปวงกลม (องศา)
คณติ ศาสตร 35,000 35000 100 10.29 35000 360 37.06
วิทยาศาสตร 100,000 340000 340000
ภาษาตา งประเทศ 48,000
ภาษาไทย 34,500
ศลิ ปะ 18,500
การงานอาชพี และเทคโนโลยี 40,500
สขุ ศึกษาและพลศึกษา 29,500
สังคมศึกษา ศาสนา และ 34,000
วฒั นธรรม
รวม 340,000
3. จงเขยี นแผนภูมริ ปู วงกลมโดยใชจ ํานวนเปอรเ ซน็ ตและขนาดของมุมท่ีจุดศูนยกลางของรูปวงกลมที่
คํานวณไดจากตารางขา งตน
167
4. ใหผ ูเ รยี นพจิ ารณากราฟเสนตอไปน้ี
จากกราฟเสน จงตอบคาํ ถามตอไปนี้
1) ใน พ.ศ. ใดบางทป่ี ริมาณไมส กั ท่ีผลิตไดมมี ากกวา ไมป ระดู
.................................................................................................... ........................................................
2) ในพ.ศ. ใดท่ปี ริมาณของไมสกั และไมประดูทผี่ ลติ ไดต างกันมากท่สี ดุ และตา งกนั ประมาณก่ีลูกบาศก
เมตร
.................................................................................................... ........................................................
........................................................................................................... .................................................
168
3) ในชว ง พ.ศ. 2531 – 2533 ปรมิ าณไมส ักและไมป ระดทู ผ่ี ลิตไดม ลี ักษณะการเปลี่ยนแปลงเปนอยางไร
และชนิดใดมกี ารเปลย่ี นแปลงมากกวา
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
4) ใน พ.ศ. 2532 ปรมิ าณไมสกั ทีผ่ ลติ ไดคดิ เปน กเี่ ปอรเซ็นตของปรมิ าณไมประดูท ีผ่ ลิตไดใ นปเ ดียวกนั
(ตอบเปนคา ประมาณของจํานวนเตม็ หนวย)
.................................................................................................... ........................................................
.............................................................................................................................................................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................. ..........................................................
.................................................................................................... ........................................................
.......................................................................................................................................... ..................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
.............................................................................................................................................................
5) ปรมิ าณไมประดูในปทผี่ ลติ ไดม ากทส่ี ดุ และในปท่ผี ลิตไดนอยทีส่ ุดแตกตางกนั ประมาณกล่ี กู บาศกเ มตร
.............................................................................................................................................................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................................. ..........................................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................. ..........................................................
.................................................................................................... ........................................................
.......................................................................................................................................... ..................
.................................................................................................... ........................................................
...............................................................................................................................................
169
4. ตารางแสดงรายจบั – รายจา ยของนาย ก ในรอบ 6 เดอื นแรกของป พ.ศ. 2546 เปน ดงั นี้
จากตารางจงนาํ เสนอขอมลู ดวยกราฟเสน
170
เรือ่ งท่ี 3 การหาคา กลางของขอ มูล
การหาคากลางของขอมูลทเี่ ปนตัวแทนของขอ มูลท้ังหมดเพือ่ ความสะดวกในการสรปุ เรอื่ งราว
เก่ยี วกับขอ มูลนนั้ ๆจะชว ยทําใหเกดิ การวเิ คราะหขอมลู ถกู ตองดขี ึ้นการหาคา กลางของขอ มูลมวี ธิ หี าหลายวธิ ี
แตละวิธมี ขี อ ดแี ละขอเสียและมคี วามเหมาะสมในการนําไปใชไมเ หมือนกนั ขน้ึ อยกู บั ลักษณะขอ มลู และ
วัตถุประสงคของผใู ชข อ มูลนน้ั ๆ
คากลางของขอมลู ทส่ี ําคัญมี 3 ชนดิ คอื
1. คาเฉลย่ี เลขคณติ (Arithmetic mean)คอื คาที่ไดจ ากผลรวมของขอ มูลทง้ั หมด หารดว ยจํานวนขอ มลู
ท้ังหมด ใชสญั ลกั ษณค ือ x
x x1 x2 x3 ...xn
N
X แทน ขอมลู
N แทน จํานวนขอ มลู
ตวั อยา งจากการสอบถามอายุของนกั เรยี นกลมุ หนึ่งเปนดงั น1้ี 4 , 16 , 20 , 25 , 30
วิธีทํา คา เฉลี่ยเลขคณติ ของขอมลู ชดุ นี้ คือ 14 16 20 25 30
5
= 105
5
= 21
ตวั อยาง จากขอมูล 4, 8, 4, 5, 8, 5, 6, 8 48458568
วธิ ีทํา คา เฉลี่ยเลขคณติ ของขอ มูลชดุ น้ี คอื
8
=6
= 48
8
171
2. มัธยฐาน (Median)
คือคา ทมี่ ตี าํ แหนงอยกู ง่ึ กลางของขอ มูลท้งั หมด เม่อื ไดเรียงขอมูลตามลาํ ดับไมวาจากนอ ยไปมาก
หรอื จากมากไปนอย ใชส ญั ลกั ษณM ed
หลกั การคดิ
1) เรียงขอ มูลที่มอี ยูท ั้งหมดจากนอยไปมาก หรือมากไปนอ ยก็ได
2) ตําแหนงมัธยฐานคอื ตาํ แหนงกึง่ กลางขอมลู ดังนนั้ ตําแหนง ของมัธยฐาน = N 1
2
เมือ่ N คอื จํานวนขอ มลู ท้ังหมด
ตวั อยา ง จงหามัธยฐานจากขอ มูลตอ ไปน้ี 3, 10, 4, 15, 1,24, 28, 8, 30, 40, 23
วิธที าํ 1. เรยี งขอ มลู จากนอยไปหามาก หรือมากไปหานอย
จะได 1, 3, 4, 8, 10, 15, 23, 24, 28, 30, 40
2. หาตําแหนงของขอ มลู จาก N 1
2
จะได 11 1 6
2
ดังน้ัน มธั ยฐานอยตู าํ แหนง ท่ี 6 มคี าเปน 15
ถาขอ มูลชุดนั้นเปน จํานวนคู จะใชคาเฉลย่ี เลขคณิตของขอมูลคทู ี่อยูต รงกลางเปน มธั ยฐาน
ตวั อยาง จงหามัธยฐานจากขอมลู ตอไปน้ี 25, 3, 2, 10, 14, 6, 19, 22, 30, 8, 45, 36, 50, 17
วิธที าํ 1. เรยี งขอมูลจากนอยไปหามาก หรอื มากไปหานอ ย
จะได 2, 3, 6, 8, 10, 14, 17, 19, 22, 25, 30, 36, 45, 50
2. หาตําแหนงของขอ มลู จาก N 1
2
จะได 14 1 7.5
2
มธั ยฐานอยรู ะหวางตาํ แหนง ท่ี 7 และ 8
ดงั นั้น มธั ยฐาน คือ 17 19 18
2
172
3. ฐานนิยม (Mode)
ฐานนยิ มของขอ มูลชดุ หนึ่ง คือ ขอมูลท่ีมีความถ่ีสงู สดุ ในขอ มูลชดุ นัน้ หรอื อาจกลาววา ขอ มูลใด
การซ้าํ กนั มากที่สดุ (ความถีส่ ูงสดุ )ขอมลู น้ันเปน ฐานนิยมของขอ มูลชดุ นน้ั และฐานอาจจะไมม ี หรือมี
มากกวา 1 คากไ็ ด
ตวั อยา ง จากขอ มลู 2, 3, 4, 3, 4, 5, 6, 8, 6, 4, 6, 7 จงหาฐานนยิ ม
วธิ ีทาํ จากขอ มูลจะเหน็ วา
มี 2 อยูหนง่ึ ตัว
มี 3 อยูสองตวั
มี 4 อยสู ามตัว
มี 5 อยูหนึ่งตวั
มี 6 อยูสามตวั
มี 7 อยูหน่ึงตวั
มี 8 อยหู นง่ึ ตวั
ขอ มลู ทม่ี ีความถ่สี ูงสุดในท่ีนมี้ ี 2 ตัวคือ 4 และ 6 ซง่ึ ตา งก็มคี วามถเี่ ปน 3
ดงั น้ัน ฐานนิยมของขอมูลชดุ น้ี คือ 4 และ 6
173
แบบฝก หดั ที่ 3
1. จากขอมูล 2, 6,1, 5, 13, 6, 16 จงหาคาเฉลีย่ เลขคณติ ฐานนิยม และมัธยฐาน
คาเฉลี่ยเลขคณติ = ………………………………………………….\
มธั ยฐาน = ………………………………………………….
ฐานนิยม = ………………………………………………….
เรยี งขอ มลู จากมากไปหานอยหรือนอยไปหามาก
คา เฉลย่ี เลขคณติ = ………………………………………………….
มัธยฐาน คอื = ………………………………………………….
ฐานนิยม คือ = ………………………………………………….
2. จากขอมูล 24, 16,18, 36, 7, 28, 6, 36, 12 จงหาคาเฉลยี่ เลขคณติ ฐานนยิ ม และมธั ยฐาน
คาเฉลี่ยเลขคณติ = ………………………………………………….\
มธั ยฐาน = ………………………………………………….
ฐานนยิ ม = ………………………………………………….
เรยี งขอ มูลจากมากไปหานอ ยหรือนอ ยไปหามาก
คา เฉล่ยี เลขคณติ = ………………………………………………….
มัธยฐาน คอื = ………………………………………………….
ฐานนิยม คือ = ………………………………………………….
3. จากขอ มูล 10.1, 13.8, 15.6, 4.5, 18.6, 8.4 จงหาคาเฉลี่ยเลขคณติ ฐานนยิ ม และมัธยฐาน
คาเฉล่ียเลขคณติ = ………………………………………………….\
มัธยฐาน = ………………………………………………….
ฐานนยิ ม = ………………………………………………….
เรยี งขอ มูลจากมากไปหานอยหรอื นอยไปหามาก
คาเฉล่ยี เลขคณติ = ………………………………………………….
มธั ยฐาน คือ = ………………………………………………….
ฐานนยิ ม คอื = ………………………………………………….
174
เรื่องที่ 4 การเลอื กใชคากลางของขอ มลู
ในการท่ีจะเลือกใชคา กลางคา ใดนน้ั ข้ึนอยกู ับจดุ ประสงคข องผใู ช ซง่ึ คากลางท้งั สามมสี มบตั ิที่
แตกตา งกันดงั นี้
คาเฉลี่ยเลขคณติ
ขอเสยี
1. ถาขอมูลมบี างคาต่ําเกนิ ไปหรือสูงเกนิ ไป จะมีผลตอคาเฉลี่ยเลขคณิต จงึ ไมเ หมาะสมท่จี ะใช เชน
รายไดของพนกั งาน 5 คน เปน ดงั น้ี 7,000 บาท 9,000 บาท 13,500 บาท 18,000 บาท 80,000 บาท
2. ถา ขอมูลแจกแจงความถีช่ นิดปลายเปด เชน นอ ยกวาหรอื เทากับ มากกวาหรอื เทา กับ จะ
คํานวณหาคา เฉลีย่ เลขคณติ ไมได
3. ใชไ ดก บั ขอมลู เชิงปริมาณเทา น้ัน
ขอ ดี
1. มปี ระโยชนใ นการใชข อมลู จากตัวอยางอา งอิงไปสูประชากร
2. สามารถคํานวณไดง า ยโดยใชค า ทีไ่ ดมาทกุ จํานวน
3. มกี ารนาํ ไปใชในสถิติช้นั สูงมากกวาคาเฉล่ยี แบบอน่ื ๆ
4. สามารถเปรียบเทียบกบั ขอ มลู ชดุ อ่นื ไดงาย
ฐานนยิ ม
ขอเสยี
1. บางคร้งั หาฐานนิยมไมไ ด
2. การคํานวณฐานนิยมไมไ ดใ ชค า ของขอ มูลทกุ ตวั จงึ ไมเปน ตัวแทนทด่ี ีนกั
3. คาฐานนิยมไมค อยนยิ มใชในสถิติชนั้ สงู
ขอ ดี
1. เขาใจงายและคาํ นวณงาย
2. สามารถคํานวณจากกราฟได
3. เปนคากลางทใ่ี ชไ ดก บั ขอมูลเชงิ คณุ ภาพ
4. เมื่อมีขอ มลู บางตวั เล็กหรอื ใหญผดิ ปกตจิ ะไมก ระทบฐานนิยม
5. ใชไ ดดีเมือ่ จดุ ประสงคมุงที่จะศึกษาส่ิงท่ีเกดิ ขึน้ บอย หรอื ลักษณะทคี่ นชอบมากหรอื มคี ะแนน
สวนใหญร วมกนั อยู ณ คา ใดคา หนึง่
6. กรณที ขี่ อ มลู แจกแจงความถชี่ นิดปลายเปดสามารถหาฐานนยิ มได
175
มธั ยฐาน
ขอ เสยี
1. ใชไดก บั ขอ มูลเชิงปริมาณเทา น้นั
2. สําหรบั ขอ มูลที่แจกแจงความถ่ีหรือขอมูลท่ีจดั กลุมมัธยฐานทคี่ าํ นวณไดจ ะไมใ ชค า ขอมูลจริง
ขอ ดี
1. คํานวณไดงา ยสาํ หรับขอ มูลไมจดั กลมุ
2. ขอ มลู บางคามีคา สงู หรอื ต่าํ เกนิ ไป ไมก ระทบกระเทือนตอมัธยฐาน จงึ เหมาะท่ีจะใชม ัธยฐานมาก
ทสี่ ุด
3. กรณีทขี่ อมูลแจกแจงความถี่ชนิดปลายเปด ก็สามารถหามธั ยฐานได
แบบฝกหดั ที่ 4
1. จากตารางใหน กั เรียนหาความถีส่ ะสม โดยเตมิ ลงในชองความถส่ี ะสม
176
2. จากตารางในขอ 1
ฐานนยิ ม คอื ........................................................................................
มัธยฐาน คอื .......................................................................................
หาคา เฉลี่ยเลขคณติ ใหน กั เรยี นเตมิ คา ตางๆ ลงในชองวางใหสมบรู ณ
คาเฉลย่ี เลขคณติ = ……………………………………………..
= ……………………………………………..
ดังนัน้ คาเฉลยี่ เลขคณติ คอื .......................................................
177
3. ตอไปน้เี ปน ตารางแจกแจงความถขี่ องนา้ํ หนกั (หนว ยเปน กิโลกรัม) ของนกั เรยี น 60 คน
178
2) ฐานนยิ มของนาํ้ หนักอยใู นชว งใด
.................................................................................................... ........................................................
3) โดยสว นใหญนกั เรยี นหนกั อยใู นชว งใด
.................................................................................................... ........................................................
4) ถา เรยี งนํา้ หนักนอยที่สุดไปยังน้าํ หนกั มากทส่ี ุด จงหาตําแหนง ของมธั ยฐาน
.............................................................................................................................. ..............................
5) นักเรยี นคดิ วา มัธยฐานของนา้ํ หนกั อยใู นชว งใด
.................................................................................................... ........................................................
6) หาคาเฉลยี่ เลขคณติ ใหนักเรยี นเตมิ คา ตางๆ ลงในชองวา งใหส มบรู ณ
179
คาเฉลยี่ เลขคณติ = ……………………………………………..
= ……………………………………………..
ดงั นัน้ คาเฉลย่ี เลขคณติ คือ .......................................................
180
เรอื่ งที่ 5 การใชสถติ ิ ขอมลู สารสนเทศ
5.1 สถิตใิ นชวี ติ ประจาํ วัน
ในชวี ติ ประจําวนั ของคนเรานนั้ สถิติมสี วนเก่ียวขอ งอยูเสมอ เชน
ในเรอื่ งเกย่ี วกบั ตัวนกั เรียน อาจจะมกี ารหาความสูงโดยเฉล่ยี หรือหาน้ําหนกั โดยเฉลีย่ หรือหา
คะแนนเฉลยี่ หรือหาสวนสัดโดยเฉลย่ี ของนักเรยี นท้ังหอ งเรยี น เปนตน
ในเรื่องเก่ยี วกับคร-ู อาจารย ก็มีสถติ ิเกี่ยวกบั จาํ นวนคร-ู อาจารย ระดับผลการเรยี นของนกั เรยี น
จาํ นวนนกั เรยี นท่ีตดิ 0, ร. มส. จาํ นวนนกั เรยี นท่สี อบเขามหาวิทยาลัยไดในแตล ะรนุ แตล ะปและสถติ ิการ
ทาํ งานในสถานทต่ี างๆ ของนกั เรียนทจ่ี บการศกึ ษาในแตละรนุ เปน ตน
ในเรือ่ งของขาวสาร สารสนเทศ จะเห็นวา ในหนังสือพิมพ หรอื ในโทรทศั นจ ะมตี วั เลข แสดงให
เหน็ ขอ เท็จจริงตางๆ เชน สถติ ิเกีย่ วกับการเปล่ียนแปลงราคาหนุ อาจจะนาํ เสนอในรปู แบบตา งๆ เชน
นาํ เสนอในรปู ตาราง นาํ เสนอในรปู แผนภมู แิ ทง นาํ เสนอในรูปแผนภมู วิ งกลม หรือนาํ เสนอในรปู กราฟเสน
เปนตน
ในเรื่องของแรงงาน กม็ ีสถิติเกีย่ วกับจาํ นวนคนในกําลงั แรงงานเปอรเซ็นตของคนวางงาน รายได
และสวัสดิการที่คนงานไดรับ เปน ตน
ในเรอ่ื งเกยี่ วกบั การกสกิ รรม จะเหน็ วา เกษตรกรตองมกี ารพัฒนาอยเู รือ่ ยๆ เชน การศกึ ษา ผลผลติ
ขา วพนั ธใุ หมเ ทียบกับพนั ธเุ ดมิ หรือการทดลองปลกู ออ ยในท่ดี ินลกั ษณะตา งๆ การปลกู มนั สําปะหลงั แบบ
ใดจงึ จะเหมาะกับสภาพดนิ ของตนเอง หรือการปลกู หมอนเลย้ี งไหมพนั ธไุ หนดีกวา กัน จงึ จะไดใ บหมอ นที่
มีคณุ ภาพทง้ั ยังเปนการประหยัดเวลาและแรงงาน ซง่ึ สถติ มิ สี ว นในการวางแผนการทดลองและการวเิ คราะห
ขอ มูล
ในเรอ่ื งของการประกนั ชวี ติ บรษิ ัทประกนั กต็ อ งมีสถิติของพนักงานหรือตวั แทน หรือผูจดั การแต
ละฝาย หรอื ตําแหนงท่สี ูงกวา หรอื สถติ ิยอดขายในแตละเดอื น หรอื การปรบั อัตราการชาํ ระเบีย้ ประกนั ทีม่ ี
การปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงอาจจะแยกตามเพศ ตามอายุ ตามวงเงิน การกําหนดอตั ราเบย้ี ประกนั จะตอ งอาศยั
ขอ มูลท่ผี านมา สถติ มิ สี วนในการคาํ นวณเบย้ี ประกนั ตามวธิ ีของการประกนั ภยั พรอ มทั้งมกี ารเสนอใน
รปู แบบตางๆ โดยเฉพาะแบบตาราง เปน ตน
ในเรอ่ื งเก่ียวกับธรุ กิจการคา บริษทั หางรา นหรอื สรรพสินคาตา งๆ ก็มีสถิตเิ กยี่ วกับยอดขายสินคาใน
แผนกตา งๆ สถิติแสดงปรมิ าณสินคา ทข่ี ายประเภทตางๆ สถิตยิ อดขายของพนกั งานแตล ะคนนอกจากนี้สถติ ิ
ยังไปเกีย่ วขอ งกบั การรบั ประกันอายใุ ชงานของสนิ คา สถติ ิชวยในการกําหนดวธิ เี ก็บรวบรวมขอมูลและการ
วิเคราะหข อมูล นอกจากนส้ี ถิติกย็ ังมสี วนเก่ียวขอ งกับการควบคุมคณุ ภาพสินคา ทีผ่ ลิตดว ย
181
ในวงการแพทยก ็มสี ถติ ิเกยี่ วกับจํานวนแพทย พยาบาล จํานวนผปู วย จําแนกโรคตา งๆ สถิตกิ าร
ผลิตและจาํ นวนยาประเภทตางๆ จาํ นวนคนตายจําแนกตามสาเหตขุ องการตาย จาํ นวนผบู รจิ าคเลือดในแต
ละป เปน ตน นอกจากนี้สถิติยงั ไมเกย่ี วของในการออกแบบ และการวางแผนการทดลอง การเก็บรวบรวม
ขอมลู การวิเคราะหขอมลู เพ่อื หาขอสรปุ เกย่ี วกับการทดสอบประสิทธิผลของยารักษาโรคชนดิ ตางๆ อกี
ดวย
ในเรื่องของการบรหิ ารงานขององคก รตา งๆ อาทิ องคกรของรัฐ เชน ระดับอําเภอกม็ ีสถติ เิ ก่ียวกบั
ประชากรในแตล ะหมูบา น ในแตล ะตําบล สถติ ิเกย่ี วกับอาชพี ตา ง ๆ ผลผลิตแตล ะป การศกึ ษาของคนในแต
ละชุมชนเปน อยา งไร จะจดั สรรงบประมาณไปใหแตล ะแหง มากนอยเพยี งใด สถิตมิ ีสว นเกยี่ วของมาก
นอกจากทก่ี ลา วมาแลวขางตน สถติ ิยงั ไปเก่ยี วของกบั ชวี ติ ประจาํ วันอกี หลายอยาง เชน การสาํ รวจ
ความคดิ เหน็ หรอื โพล การรว มแสดงความคดิ เห็นโดยการสง sms ซ่งึ คดิ ออกมาในรูปรอ ยละเห็นดว ยไมเห็น
ดว ย นาํ เสนอผานหนา จอโทรทศั นเปนประจาํ สถิติเกยี่ วกบั น้ําทว ม ไรนาเสียหายไปก่ีไร จะมีมาตรการ
อยา งไรท่จี ะแกไ ข ในปต อ ไปซง่ึ ตอ งมกี ารเก็บรวบรวมขอ มลู จากปท ผี่ า นๆ มา หรือสถิติคนใชบ ริการรถ
โดยสารในชวงเทศกาลตางๆ สถิติการเกดิ อุบัติเหตบุ นทอ งถนน ซ่ึงขอ มลู เหลา นล้ี วนแตเ กี่ยวของกับสถิติ
ทงั้ ส้ิน
แบบฝก หดั ที่ 1
ใหน กั ศกึ ษาอภิปรายหาขอ มูลสารสนเทศท่เี คยมปี ระสบการณ มา 4 – 5 ชนิด
182
5.2 การใชขอ มูลสารสนเทศ
การเลอื กใชข อมูลในการตดั สนิ ใจ เปน ส่ิงที่มปี ระโยชนมาก เพราะในการดํารงชวี ิตของคนเรามัก
เกยี่ วของกับเหตุการณต างๆ มากมาย จงึ จาํ เปน ตอ งอาศัยการตัดสินใจอยา งมีระบบระเบียบ มหี ลกั มเี กณฑ
และมเี หตผุ ล โดยนําปจ จยั ตา งๆ มาพิจารณากอนทจี่ ะตัดสนิ ใจ เพอื่ ใหไ ดท างเลือกท่ดี ที ส่ี ุด ซึ่งตอ งอาศยั ทง้ั
ความรู ประสบการณ ขอมูล ขา วสารตางๆ เปนสวนประกอบ เพื่อไมใหเ กิดความผิดพลาดหรือโอกาสที่จะ
ผิดพลาดมนี อยทสี่ ดุ เชน
การเลอื กสิ่งตาง ๆ การตดั สินใจ
การเลอื กซือ้ สินคา อยางหนง่ึ 1. คุณภาพดี
2. ราคาไมแพงเกนิ ไป
3. มคี นนยิ มมาก
4. จําเปน ตอ งใช
5. ชอบเปนชวี ิตจิตใจ
การเลอื กธนาคารเพือ่ การออม 1. ธนาคารของรฐั บาล
2. ธนาคารใกลบ าน
การลงทุนในกจิ การอยางใดอยา งหน่ึง 3. ธนาคารใกลทีท่ ํางาน
การเลอื กชมรายการโทรทศั นช อ งตางๆ 4. ใหผ ลประโยชนมาก
5. การไปมาสะดวก
6. ธนาคารทม่ี คี วามมั่นคงไม
ส่ันคลอน หรอื ไมม ขี าวออกมา
ในทางไมสูด ีอยเู สมอๆ
1. เงนิ ลงทุน
2. ผลผลิตทไี่ ด
3. คมุ คา แรงงานหรือไม
4. เปน ทีน่ ิยมหรอื เปลา
1. รายการโปรด
2. เนือ้ หาสาระดี
3. ใหความบนั เทิง
4. การนําเสนอทนั สมยั
5. มีประโยชนสามารถนาํ ไป
ประยุกตใ ชได
6. เพือ่ การลงทนุ เชน หุน
183
การเดนิ ทาง
รายงานขาวบอกวามรี ถตดิ ท่ถี นนใดบาง 1. อาจหลีกเลยี่ งเสนทางดงั กลาว
2. รอจนกวา จะเดนิ รถสะดวกกอน
เทศกาลตา งๆ รถจะแนน เมอ่ื เดนิ ทาง 1. อาจไมกลับในชว งเทศกาล
ไปตางจังหวัด 2. อาจเลือกกลบั หลังเทศกาล 1 – 2 วัน
เปน ตน
นอกจากนก้ี ารตัดสินใจยังมีความสําคัญในการประกอบธุรกิจตางๆ ท้ังธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจ
ขนาดใหญ นักธรุ กจิ อาจพบปญ หาในดา นตา งๆ มากมายท่ีจะตองตดั สนิ ใจอยเู สมอ เชน ปญ หาดา นการตลาด
ปญหาดานการขยายการลงทุน ปญหาแรงงาน ปญ หาในดานการกําหนดราคา ปญหาพนักงาน คาครองชีพ
ปญหาดานการเงนิ ซง่ึ นักธรุ กิจจะใชประสบการณห รือคําสั่งสอนอบรมจากพอแม บรรพบุรุษมาแกปญหา
อยา งเดยี วไมได อาจจะเกิดความผิดพลาดได ดงั นัน้ นักธรุ กจิ ควรใชขอมลู และวธิ ีการทางสถิติมาชว ยใน
การตัดสนิ ใจ
สาํ หรบั ในระดบั นก้ี ารเลอื กใชข อ มลู ในการตัดสนิ ใจอาจจะเกี่ยวกับคา กลางท่ีกลา วมาแลวดวย เชน ถา
ตองการกะประมาณรายไดของประชากรทง้ั ประเทศ ควรใชคากลาง คอื คา เฉลย่ี เลขคณิต หรือประมาณจํานวน
พลเมอื งทช่ี อบดทู วี สี ีชอง 7ควรเลือกใชคากลางฐานนยิ ม หรือถาขอมูลมีคา ต่าํ และคาสูงแตกตางกันมากควร
ตัดสินใจเลือกใชค ากลางมัธยฐาน เปนตน
ในเรอ่ื งนี้ผูเรยี นจะไดเรยี นละเอยี ดในช้ันสูงตอไป
184
บทที่ 10
ความนา จะเปน
สาระสําคัญ
1. การนับจาํ นวนผลลัพธทเ่ี กดิ จากการทดลองใด ๆ
2. ความนาจะเปน แสดงใหท ราบวา เหตกุ ารณใ ดเหตกุ ารณห นงึ่ มีโอกาสเกดิ ขนึ้ มากนอ ยเพยี งใด
อันจะมปี ระโยชนต อการตัดสนิ ใจในการดาํ เนนิ งานนน้ั ๆ
ผลการเรยี นรูท ่คี าดหวงั
1. หาความนา จะเปนของเหตกุ ารณจ ากการทดลองสุมที่ผลแตล ะตวั มีโอกาสที่จะเกดิ ขน้ึ เทา ๆ กัน
2. ใชความรเู กีย่ วกบั ความนาจะเปนในการคาดการณไ ดอ ยา งสมเหตุสมผล
3. ใชความรเู กยี่ วกบั ความนาจะเปน ประกอบการตดั สนิ ใจ
ขอบขา ยเนือ้ หา การทดลองสุมและเหตกุ ารณ
ความนา จะเปน ของเหตกุ ารณ
เรื่องท่ี 1 การนาํ ความนา จะเปน ของเหตุการณต างๆ ไปใช
เรื่องท่ี 2
เรือ่ งที่ 3
185
เรอ่ื งท่ี 1 การทดลองสุม และเหตกุ ารณ
1.1 การทดลองสุม
คือการกระทาํ ทเ่ี ราทราบผลท้งั หมดทอ่ี าจจะเกิดข้นึ ไดแ ตเราไมท ราบวาผลลพั ธใดจะเกดิ ขนึ้ เชน
1. โยนเหรยี ญ 1 อัน 1 ครัง้ ผลทเ่ี กิดขน้ึ ไดม สี องอยาง คอื “ออกหวั ” หรอื “ออกกอย” จะไดว า ผล
ทงั้ หมดท่ีอาจจะเกดิ ขึ้นคอื หัวและกอย
2. ทอดลูกเตา 1 ลกู 1 ครง้ั ผลทีเ่ กดิ ขน้ึ คือ การข้นึ แตม ของหนาใดหนาหนึ่งของลูกเตา ซึง่ มที งั้ หมด
6 หนา ไดแ ก 1, 2 , 3, 4, 5, 6
ตวั อยางจงเขียนผลทอ่ี าจเกิดขน้ึ ไดท ั้งหมดในการโยนเหรยี ญสบิ บาท 1 อัน และเหรียญหา บาท 1 อัน พรอ ม
กนั
วิธีทํา ในการโยนเหรียญ 1 อนั ผลท่อี าจเกดิ ข้นึ คือ หวั และกอ ย
ถา ให H แทนหวั
ให T แทนกอ ย
ในการหาผลทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ไดทง้ั หมด จากการโยนเหรยี ญสิบบาท และโยนเหรียญหาบาทอยา งละ
1 อนั อาจใชแผนภาพชว ยไดด งั นี้
ผลท่ีอาจจะเกดิ จาก ผลท่อี าจจะเกดิ จาก ผลท่อี าจเกิดจากการ
การโยนเหรียญบาท การโยนเหรยี ญ โยนท้ังสองเหรยี ญ
หา สบิ สตางค
H
186
จากแผนภาพจะเห็นวา ถา เหรียญสบิ บาทออกหวั เหรยี ญหา บาทจะออกหัวหรอื ออกกอยก็ได จงึ
ไดผ ลท่ีอาจเกิดจากการโยนท้ังสองเหรียญเปน H,H กบั H,T
ในทํานองเดียวกนั ถา เหรยี ญสบิ บาทออกกอย เหรยี ญหา บาทอาจจะออกหัวหรอื ออกกอยกไ็ ดจ ึง
ไดผลทีอ่ าจเกดิ จากการโยนเหรยี ญทั้งสองเปน T,H กับ T,T
ฉะนั้น ถา เราใชคอู ันดบั เขยี นผลทง้ั หมดที่อาจเกิดขน้ึ ได โดยใหสมาชิกตวั ทห่ี นึง่ ของคูอันดับแทน
ผลทอ่ี าจเกดิ ข้ึนจากเหรยี ญสิบบาท สมาชิกตวั ท่ีสองของคอู ันดับแทนผลที่อาจเกดิ ขึน้ จากเหรยี ญหา บาท จะ
ได
ผลทง้ั หมดทอ่ี าจจะเกดิ ข้นึ คอื (H,H), (H,T), (T,H), (T,T)
เราอาจเขียนแสดงผลในรปู ตารางไดด งั น้ี
187
แบบฝก หดั ที่ 1
1. ใหผูเ รียนพจิ ารณาการทดลองสมุ ตอไปนว้ี าผลจากการทดลองสมุ อาจเปน อยา งไรบาง
1). โยนเหรยี ญสิบบาท 1 อัน
……………………………………………………………………………………………...
2). โยนเหรยี ญสิบบาทสองอนั พรอ มกัน
……………………………………………………………………………………………...
3). หยบิ ลกู ปง ปอง 2 ลกู พรอมๆกนั จากกลอ งทม่ี ลี กู ปง ปองสเี หลือง 3 ลกู สีแดง 1 ลูก
……………………………………………………………………………………………...
2.จงเขียนผลที่อาจจะเกิดขนึ้ ไดทั้งหมดจากการหมนุ แปน วงกลมท่มี หี มายเลข 1 และ2 แลวมาโยนเหรยี ญ
บาท 1 อัน
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….
3. จงเขยี นผลทง้ั หมดทีอ่ าจจะเกดิ ข้นึ ไดจ ากการหยบิ สลาก 1 ใบ จากสลากท่ีเขียนหมายเลขต้งั แต
10 ถึง 20 ไว
………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………….
1.2 เหตุการณ
ในการทดลองสมุ โยนเหรยี ญบาท 1 เหรยี ญและเหรยี ญหา สิบสตางค 1 เหรยี ญ นักเรยี นทราบแลว
วาผลทงั้ หมดท่อี าจจะเกดิ ขน้ึ ไดคือ (H, H), (H, T), (T, H) และ (T, T) ถา เราสนใจผลทจ่ี ะเกดิ กอยอยาง
นอ ย 1 เหรียญ จะไดว า ผลทจ่ี ะเกดิ กอ ยอยา งนอย 1 เหรยี ญ คอื (H, T), (T, H) และ (T, T) เราเรยี กผลท่ี
เราสนใจจากการทดลองสมุ วา เหตกุ ารณ
พจิ ารณาการหลับตาหยิบลูกบอล 1 ลูกจากถุงซ่งึ มลี กู บอลสีเขยี ว 4 ลูก คอื ข1, ข2, ข3 และ ข4
ดงั น้ัน
188
จากการทดลองสมุ ครงั้ นจ้ี ะเหน็ ไดว าจะหยบิ ลูกบอลครั้งใดกจ็ ะไดลกู บอลสีเขยี วเสมอ ซึง่ ผลท้งั หมด
ท่ีอาจจะเกดิ ขนึ้ ไดค ือ ข1, ข2, ข3 และ ข4
และถา สนใจเหตุการณ "หยบิ ไดลกู บอลสเี ขยี ว” จะไดวาเหตกุ ารณคือข1, ข2, ข3 และ ข4
จะเห็นวา ผลท้ังหมดที่อาจเกิดขึน้ ได และเหตุการณที่จะหยบิ ไดลกู บอลสเี ขียวเปน ผลชดุ เดยี วกันเรา
เรียกเหตกุ ารณ "หยบิ ไดลกู บอลสเี ขียว" จากการทดลองสมุ ครงั้ นี้วา "เหตกุ ารณท แ่ี นนอน"
และจากการทดลองสุมครั้งนีจ้ ะเหน็ วา เราไมอ าจทจ่ี ะหยิบไดลูกบอลสแี ดงไดเลย เราเรยี กเหตกุ ารณ
"หยบิ ไดล ูกบอลสแี ดง" จากการทดลองสมุ ครง้ั นวี้ า "เหตุการณที่เปนไปไมได”
ตวั อยางเหตกุ ารณ
ตัวอยา งท่ี 1 หลับตาหยิบลูกบอล 1 ลูกจากกลองทีม่ ลี กู บอลสีแดง 1 ลกู สขี าว 1 ลกู และสนี ้ําเงิน 1 ลกู
จงหาความนา จะเปนของเหตุการณต อไปน้ี
(1) หยิบไดลกู บอลสีแดง
(2) หยบิ ไดลกู บอลท่ไี มใ ชสแี ดง
วิธที าํ ผลทัง้ หมดทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ ไดจ ากการทดลองสมุ คอื แดง ขาว และน้าํ เงิน
ดงั น้นั จาํ นวนท้งั หมดทีอ่ าจจะเกดิ ขน้ึ ไดเปน 3
(1) เหตกุ ารณท จี่ ะหยิบไดลูกบอลสีแดง คอื แดง
จํานวนผลที่เกดิ ในเหตุการณน ้ีเปน 1 1
3
ฉะนั้นความนา จะเปนของเหตกุ ารณหยิบไดลูกบอลสีแดงเปน
(2) เหตกุ ารณท่จี ะหยบิ ไดล กู บอลทไ่ี มใ ชส ีแดง คอื
หยิบได ขาว และ นาํ้ เงนิ
จํานวนผลทเี่ กดิ ขนึ้ ในเหตกุ ารณเปน 2 2
3
ฉะน้นั ความนา จะเปนของเหตกุ ารณห ยิบไดล กู บอลทีไ่ มใชส แี ดงเปน
189
แบบฝกหดั ท่ี 2
1. ทอดลกู เตา 1 ลกู 1 คร้งั จงเขยี น
1) ผลทงั้ หมดทอี่ าจเกิดข้ึน
……………………………………………………………………………………………
2) เหตุการณท ่ไี ดแตมไมเ กนิ 5
……………………………………………………………………………………………
3) เหตกุ ารณทไี่ ดแตม เปนจํานวนท่หี ารดว ย 3 ลงตวั
……………………………………………………………………………………………
2. ทอดลกู เตา 2 ลกู พรอ มกนั 1 ครั้งจงเขยี น
1) ผลทั้งหมดที่อาจเกิดขน้ึ
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
2) ผลรวมของแตมเปน 8
……………………………………………………………………………………………
3) ผลรวมของแตม มากกวา 9
……………………………………………………………………………………………
4) ผลรวมของแตมนอ ยกวา 4
……………………………………………………………………………………………
5) ผลรวมของแตมหารดว ย 2 ลงตวั
……………………………………………………………………………………………
6) ผลรวมของแตมนอ ยกวา 2
……………………………………………………………………………………………
3. จากการสอบถามถงึ ปกรายงานที่ผเู รยี นชอบ 2 สี ในจาํ นวน 5 สี คอื สขี าว สีฟา สีชมพู สเี ขยี วและ
สเี หลอื ง จงเขยี น
1) ผลท้ังหมดทอ่ี าจเกิดข้ึน
……………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………
2) เหตุการณท ่นี ิตยาจะชอบสฟี า หรือสชี มพู
…………………………………………………………………………………………
190
เรอ่ื งท่ี 2ความนา จะเปนของเหตุการณ
พิจารณาการทดลองสุมและเหตกุ ารณท่ีสนใจ
ทอดลกู เตา 1 ลกู 1 ครงั้ ผลทัง้ หมดทีอ่ าจเกดิ ข้ึน คือ 1, 2, 3, 4, 5, 6 ซึง่ มีทัง้ หมด 6 จํานวน
1). ถาเหตกุ ารณทส่ี นใจ คือ แตมหงายบนหนาลกู เตา เปน จาํ นวนคู ซ่ึงไดแก 2, 4, 6 จะเห็นไดวามี 3
จาํ นวน นน่ั คือ จํานวนผลท่จี ะเกดิ ในเหตกุ ารณ เปน 3
เรากลาววา ความนา จะเปน ของเหตกุ ารณท่แี ตมหงายบนหนา ลกู เตา เปน จาํ นวนคู คอื 3 หรือ 1
62
2). ถา เหตกุ ารณท ่สี นใจ คือ แตมทห่ี งายบนหนา ลกู เตา เปนจาํ นวนทน่ี อยกวา 3 ซงึ่ ไดแก
1, 2 จะเห็นวา มีทั้งหมด 2 จํานวน นนั่ คอื จํานวนผลทจี่ ะเกดิ ในเหตกุ ารณเปน 2
เรากลาววาความนา จะเปนของเหตกุ ารณท ี่แตมหงายบนหนา ลูกเตาเปนจาํ นวนคู คอื 2 หรอื 1
63
จากท้งั 2 เหตกุ ารณทก่ี ลาวมาเราสามารถเขยี นใหอยูในรปู ของตารางได ดงั นี้
จากตวั อยา งทีก่ ลาวมาแลวขางตน อาจจะสรุปเปนสตู รการหาความนาจะเปน ของเหตกุ ารณไ ดดังน้ี
จํานวนผลของเหตกุ ารณท ส่ี นใจ
ความนาจะเปน =
จาํ นวนเหตกุ ารณท้งั หมดของการทดลองสมุ
191
ขอควรจาํ
1. เหตุการณทแ่ี นน อน คือ เหตกุ ารณทม่ี คี วามนาจะเปน = 1 เสมอ
2. เหตุการณทเ่ี ปน ไปไมไ ด คอื เหตกุ ารณท่ีมคี วามนาจะเปน = 0
3. ความนา จะเปน ใด ๆ จะมีคา ไมต ํ่ากวา 0 และ ไมเกนิ 1 เสมอ
4. ในการทดลองหนึง่ สามารถทาํ ใหเกดิ ผลท่ีตอ งการอยา งมีโอกาสเทากันและมีโอกาสเกดิ ได N
ส่ิง และเหตุการณ A มีจํานวนสมาชิกเปน n ดังน้ันความนาจะเปน ของ A คือ P(A)
=n
N
192
แบบฝกหดั ที่ 3
1. มีสลาก 10 ใบ เขียนเลข 1-10 แลวมวนใสกลอง ความนา จะเปนทีจ่ ะหยิบไดส ลากที่เปน
จาํ นวนค่ีเทาไร
………………………………………………………………………………………………………
2. ใสลูกเตา 1 ลูกลงในถว ยแกว เขยา แลว เทออก จงหาความนาจะเปน ของเหตุการณทข่ี น้ึ แตม 6
………………………………………………………………………………………………………
3. ถงุ ใบหน่ึงมีลกู กวาดสแี ดง 5 เมด็ สเี หลอื ง 2 เม็ด แมวหยบิ ข้ึนรบั ประทาน 1 เมด็ โดยไมไ ดด ู
จงหาความนาจะเปนทแ่ี มวจะหยบิ ไดล กู กวาดสแี ดง
………………………………………………………………………………………………………
4. ความนาจะเปน ท่จี ะหยิบไดไพ K โพแดง จากไพ 1 สํารับเปน เทาไร
………………………………………………………………………………………………………
5. ความนา จะเปนที่จะหยิบไดไ พส ดี ําจากไพ 1 สาํ รับ เปน เทา ไร
………………………………………………………………………………………………………
6. ทอดลูกเตา 2 ลูกพรอมกนั ความนา จะเปน ท่ีจะทอดไดแ ตม รวมกนั เปน 7 คอื ขอใด
………………………………………………………………………………………………………
7. ทอดลูกเตา 2 ลกู พรอ มกนั ความนาจะเปน ทจ่ี ะทอดไดแ ตม รวมกนั ไมเ กิน 1 คอื ขอ ใด
………………………………………………………………………………………………………
8. ถาตองการถูกรางวัลเลขทาย 2 ตวั แนๆ จะตองซือ้ สลากกนิ แบง รฐั บาลกใี่ บ
………………………………………………………………………………………………………
9. จากการทดลองโยนเหรยี ญหน่งึ อนั 3 ครัง้ ความนา จะเปนทอ่ี อกหวั 1 คร้งั เปน เทาไร
………………………………………………………………………………………………………
10. ถา ทอดลูกเตาทีส่ มดลุ 1 ลูกจงหาความนา จะเปนท่แี ตม บนลกู เตา จะเปน แตม คู
………………………………………………………………………………………………………
193
เรอื่ งท่ี 3 การนาํ ความนาจะเปน ของเหตุการณตางๆไปใช
ในชวี ติ ประจําวันคนเราไดน ําประโยชนจ ากความนาจะเปน มาใชอ ยตู ลอดเวลา เพียงแตไมไ ด
เรยี กวาความนา จะเปน เทา นนั้ เชน ในเร่อื งการซอ้ื หวย หรอื สลากกนิ แบงรัฐบาล จะเหน็ วา โอกาสที่จะถกู
เลขทา ย 2 ตัวมีคาเปน 1 ใน100 และโอกาสที่จะถกู รางวลั อื่นๆ ย่งิ นอ ยลงตามลาํ ดับ
นอกจากน้ียงั มกี ารคาํ นวณคาความนา จะเปนเพื่อประมาณคาอตั ราการเกดิ อบุ ัติเหตุ ในแตล ะลักษณะ
ของการกาํ หนดเบี้ยประกนั ภยั รถยนต หรอื การคาดหมายผลการเลือกตัง้ การพยากรณต า งๆ ทางธรุ กจิ การ
ทดสอบคุณภาพผลติ ภณั ฑใ หมจากโรงงาน ฯลฯ ซ่งึ ความนา จะเปนมบี ทบาทสาํ คญั มาก ผเู รยี นจะไดเห็น
ประโยชนช ดั เจนขน้ึ เมอื่ เรียนตอ ในระดับสูงขึน้ ไป
แบบฝกหดั ท่ี 4
จากโจทยตอ ไปนใ้ี หน ักเรยี นตอบวา ใครไดเปรยี บ
1. ใหนกั เรยี นทาํ ลูกบาศกห นงึ่ ลูกแลวเขียนเลข 1 ที่หนาหน่งึ ของลกู บาศก เขยี นเลข 2 ท่หี นาอกี สองหนา
สวนอีกสามหนา ทเี่ หลือเขียน 3 ใชกตกิ าตอ ไปนี้ตดั สนิ การแพ ชนะ เสมอ ในการโยนลกู บาศกท ท่ี าํ ขึ้นนี้
คนละครง้ั
1) ผเู ลนคนท่ีหนง่ึ ชนะถา เขาโยนลกู บาศกแลว หนา ท่ีเขยี นเลข 3 หงายข้ึน และคูแขงขนั ไดเลข 3
ดว ย ผเู ลนคนที่สองชนะถา ไดเ ลขทต่ี ํา่ กวา 3 และผูแขงขนั ไดเลขทตี่ ํา่ กวา 3 กรณีอื่น ๆ ถือวา เสมอกนั
2) ผเู ลนคนทีห่ น่ึงถาเขาโยนลูกบาศกแ ลวหนา ทเี่ ขียนเลข 1 หงายขึน้ และคูแ ขง ขนั ไดเ ลขท่ีตา่ํ กวา
3 ผูเลนคนท่ีสองชนะ ถาเขาโยนลกู บาศกหงายหนาทเี่ ขยี นเลข 3 และคูแ ขง ขนั ไดเ ลขสูงกวา 1 กรณอี ื่นถอื
วาเสมอกนั