The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by e-book takcc, 2023-07-18 02:18:35

รายงานการวิจัย(เปลือกโกโก้)

รายงานการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก

รายงานการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก Value added of agricultural waste (Cocoa Pod Husk) by the agricultures of Cocoa growth network in Tak province area. โดย นางสวาท ไพศาลศิริทรัพย์ และคณะ วิทยาลัยชุมชนตาก ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากส านักงานการวิจัยแห่งชาติประจ าปีงบประมาณ 2565 พ.ศ. 2566


รายงานการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก Value added of agricultural waste (Cocoa Pod Husk) by the agricultures of Cocoa growth network in Tak province area. โดย นางสวาท ไพศาลศิริทรัพย์ และคณะ วิทยาลัยชุมชนตาก ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากส านักงานการวิจัยแห่งชาติประจ าปีงบประมาณ 2565 พ.ศ. 2566


ก บทสรุปผู้บริหาร 1. รายละเอียดเกี่ยวกับแผนงานวิจัย / โครงการวิจัย 1.1 ชื่อเรื่อง (ภาษาไทย) การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก (ภ าษาอั งกฤษ) Value added of agricultural waste (Cocoa Pod Husk) by the agricultures of Cocoa growth network in Tak province area. 1.2 ชื่อคณะผู้วิจัย ชื่อ-สกุล หน่วยงาน ต าแหน่ง ในโครงการ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ที่ติดต่อ/E-mail นางสวาท ไพศาลศิริทรัพย์ วิทยาลัยชุมชนตาก หัวหน้า โครงการวิจัย 14 ถ.ประสาทวิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก 63110 086-328-7999 [email protected] นางสาวหฤทัย ศิระวงษ์ วิทยาลัยเกษตรและ เทคโนโลยีตาก ผู้ร่วมวิจัย 208 หมู่ 3 ต.ประดาง อ.วังเจ้า จ.ตาก 63180 081-710-9870 [email protected] นายภิรมย์ ทองคุ้ม สมาพันธ์ เกษตรกรรมยั่งยืน ตาก ผู้ร่วมวิจัย 3/19 ถ.สายเอเชีย ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก 63110 083-939-3661 [email protected] นายธีรรัตน์ ใจโปร่ง วิสาหกิจชุมชน ออร์แกนิก ผู้ร่วมวิจัย 13/11 ถ.บัวคูณ ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก 63110 081-786-4310 [email protected] นายพัฒน์นาวิน ตรัยวิริยกูล วิทยาลัยชุมชนตาก ผู้ร่วมผู้วิจัย 3/14 ถ.บัวคูณ ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก 63110 094-694-5532 [email protected] นายสุริยาศักดิ์ ปินขาว วิสาหกิจชุมชน ออร์แกนิก ผู้ร่วมวิจัย 256/161 ม.13 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ล าปาง 062-413-5354 [email protected] นางสาวพรนภา โวหาร วิสาหกิจชุมชน ออร์แกนิก ผู้ร่วมวิจัย 9 ถ.ราษฏร์อุทิศ ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก 63110 096-416-5897 [email protected] นายธีรศิลป์ กันธา มหาวิทยาลัยราชภัฏ ก าแพงเพชร ที่ปรึกษาโครงการ 222 หมู่ 7 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก 63110 081-111-8176 [email protected]


ข 1.3 งบประมาณและระยะเวลาท าวิจัย - ได้รับงบประมาณ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ.2565 งบประมาณที่ได้รับ 300,000 บาท - ระยะเวลาท าวิจัย ตั้งแต่เมษายน 2565 ถึง เมษายน 2566 2. สรุปโครงการวิจัย 2.1 ความส าคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย ประชาชนในพื้นที่จังหวัดตากมีอาชีพเกษตรกรรม ส่วนใหญ่เกษตรกรท าการเกษตรต้นทุนสูงแต่ราคา พืชผลตกต่ า ทั้งยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออแกร์นิกมีสมาชิกทั้งหมด 101 ราย มีพื้นที่ปลูกโกโก้กว่า 500 ไร่ มีผลผลิต 7,000-8,000 กิโลกรัมต่อเดือน ในปัจจุบันมีการแปรรูปเป็นผงโกโก้/โกโก้ นิสบ์/โกโก้แห้งและบัสเตอร์โกโก้ส่งผลให้มีเปลือกโกโก้จ านวนมากทิ้งไร้ประโยชน์และยังเป็นขยะในพื้นที่ เปลือกโกโก้มีสารอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถน ามาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อหาทางเลือกทางรอด สร้างรายได้ ลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรภายใต้ทุนทรัพยากรในพื้นที่หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและพัฒนา กลุ่มเกษตรกรด้านการแปรรูป การผลิต และการตลาดเป็นเกษตรผู้ประกอบการ สร้างภาคีร่วมพัฒนาแลกเปลี่ยน ให้กับเครือข่ายเกษตรกรจะสามารถสร้างเศรษฐกิจฐานรากได้ 2.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูก โกโก้และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออแกร์นิก ในพื้นที่จังหวัดตาก 2. พัฒนาถ่ายทอดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 3. ส่งเสริมช่องทางการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 2.3 ระเบียบวิธีวิจัย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (The Research and Development) ที่ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้า อย่างเป็นระบบ โดยผสมผสานกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community Based Research) มุ่งพัฒนา ทางเลือกหรือวิธีการใหม่ ๆ ในการยกระดับเศรษฐกิจในชุมชน ด้านการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกลับมาใช้ ประโยชน์โดยผู้วิจัยได้ศึกษาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Quantitative Research and Qualitative Research ) โดยมุ่งเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมทั้งบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน บุคลากรภายในชุมชน กลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจออร์แกนิก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดตาก โดยแบ่งการท างานออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ 1.ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้2.หารูปแบบการแปรรูปจากเปลือกโกโก้เพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่ม ทดลองใช้ ประเมินผล สรุปผลและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้เกี่ยวข้อง 3.ส่งเสริมช่องทางการตลาด สร้างอาชีพ สร้างรายได้ประชากรที่ใช้ได้แก่ 1) บุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐ 2) บุคลากรจากหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและผู้ประกอบการตลาดโค 3) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ปราชญ์ เกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ประกอบด้วย สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)


ค 2.4 ผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ในพื้นที่จังหวัดตาก พบว่า พื้นที่จังหวัดตากเริ่มปลูกโกโก้มาเมื่อปี 2560 หลากหลายสายพันธุ์โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ส่งเสริมการปลูกโกโก้สายพันธุ์ M1 มีพื้นที่การปลูกกระจายอยู่หลายแห่งปลูกมากที่อ าเภอพบพระ นิยมปลูกเป็น พืชแซมกับพืชเศรษฐกิจอื่น ประโยชน์จากโกโก้เช่น น าใบมาท าจานลดภาวะโลกร้อน ส่วนเมล็ดแปรรูปเป็นอาหาร และเครื่องดื่ม ส่วนฝักน ามาย้อมผ้าหรือแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือหมักท าปุ๋ย ปัจจุบันในพื้นที่ยังไม่มีการน า เปลือกโก้โก้มาใช้ประโยชน์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกที่ส่งเสริมการปลูกโกโก้พันธุ์ M1รับซื้อผลโกโก้น ามา แปรรูปส่งผลให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นขยะในพื้นที่เปลือกโกโก้ทิ้งเปล่าหลังการเก็บเกี่ยวมีปริมาณสูง 70เปอร์เชนต์ เพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเราสามารถน าเปลือกโกโก้มาแปรรูปได้ 3 รูปแบบดังนี้ 1.อาหารสัตว์ 2.ดินปลูก และ 3.ถ่านไบโอชาร์ (Biochar) 2. ผลการพัฒนาถ่ายทอดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้พบว่า ขยะจากผลโกโก้สดส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อขยะคือภาระของทุกคน จึงเป็น ที่มาของความต้องการใช้ชีวิตแบบ Zero Waste คือการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมาชิกวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกร่วมท าการวิจัยและทดลองการแปรรูผลิตภัณฑ์เปลือกโกโก้อาหารสัตว์ช่วยลด ต้นทุนการเลี้ยงโคได้ถึงร้อยละ 14. 81 เมื่อเทียบอาหารสัตว์ส าเร็จรูปในท้องตลาดและเมื่อเทียบอัตราการ เจริญเติบโตกับโคพื้นเมืองเพศผู้ อายุ 2 – 3 ปี น้ าหนักประมาณ 300 กิโลกรัม จ านวน 5 ตัวแสดงให้เห็นว่า คุณภาพอาหารที่ใช้ขุนโคทั้ง 2 กลุ่ม มีคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน อัตราการเจริญเติบโตของโคกลุ่มที่ 1 เฉลี่ย 0.495 : ตัว : วัน กลุ่มที่ 2 เฉลี่ย 0.445 : ตัว : วัน ราคาอาหารของทีมวิจัยถูกกว่าราคาอาหารที่สหกรณ์ขุนโคจังหวัดตาก ใช้อยู่วันละ 12 บาท ประหยัดต้นทุนได้ตัวละ 1,080 บาทตลอดช่วงการทดลอง 90 วัน เกษตรกรจะมีก าไรเพิ่มขึ้น 1,080 บาท ต่อตัว ส่วนการใช้เปลือกโกโก้เป็นอินทรียวัตถุทดแทน สามารถลดรายจ่ายการซื้อวัตถุดิบ และสามารถแก้ไข การขาดแคลนวัตถุดิบ เนื่องจากเปลือกโกโก้มีตลอดทั้งปี ส่วนวัตถุดิบอย่างอื่นจะมีเฉพาะฤดูกาลปลูกเท่านั้นเมื่อ ต้นทุนอินทรียวัตถุที่ใช้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ลดลง ต้นทุนของการท าดินพร้อมปลูกย่อมลดลงไปด้วย ท าให้ธุรกิจมีก าไร มากขึ้น 3. ผลการส่งเสริมช่องทางการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้พบว่า ความต้องการช่องทางการจัดจ าหน่ายสินค้าจากเปลือกโกโก้กับกลุ่มภาคีเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ ในพื้นที่จังหวัดตาก ประกอบด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกมีช่องทางการเพิ่มมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทาง การเกษตรสามารถขายเปลือกโกโก้ทิ้งเปล่าไปยังสหกรณ์โคขุนจังหวัดตาก และผู้ประกอบการดินปลูก สหกรณ์โคขุน จังหวัดตากผลิตอาหารสัตว์จ าหน่ายแก่สมาชิกและผู้ประกอบการดินปลูกผลิตดินปลูกขายกับเครือข่าย ผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิตและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดเศรษฐกิจชุมชน


ง 2.5 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะต่อการวิจัยต่อเนื่อง 1. เผยแพร่ผลงานวิจัยให้กับปศุสัตว์อ าเภอและวิทยาลัยชุมชนตาก เพื่อต่อยอดท าหลักสูตรบริการ วิชาการให้กับผู้สนใจ และในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นขั้นตอนที่ช่วยเติมเต็มหลักวิชาการเพื่อต่อยอด ขยายผลการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อช่วยสร้างเศรษฐกิจชุมชนและช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 2. การต่อยอดงานวิจัยไปสู่การขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อ เกษตรกรภาคีที่เกี่ยวข้องและเพื่อการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากร อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังพื้นที่ใกล้เคียงให้เกิดเป็นต้นแบบการแก้ไข สถานการณ์ต้นทุนด้านการเกษตรที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อน าไปสู่ความยั่งยืน 3. สนับสนุนส่งเสริมกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเพื่อสอดรับกับหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียน (BCG) เพิ่มโอกาสให้กับประชาชน ชุมชนท้องถิ่นเข้าถึงทุนของงานวิจัยเพราะกระบวนการงานวิจัยจะเป็นเครื่องมือ ส าคัญในการพัฒนาชุมชนฐานรากได้อย่างทั่วถึงของภาครัฐ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์จาก หน่วยงานต่าง ๆ 4. ต่อยอดงานวิจัยการแปรรูปอาหารสัตว์เพื่อรองรับสถานการณ์ต้นทุนอาหารสัตว์ที่มีราคาสูงเกษตรกร ประสบปัญหาขาดทุน เศรษฐกิจถดถอย หากมีการต่อยอดงานวิจัยจะช่วยแก้ไขปัญหาการประกอบอาชีพของ เกษตรกรและลดรายจ่ายได้ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากยกระดับคุณภาพชีวิต ข้อเสนอแนะการด าเนินงาน 1. การท างานวิจัยด้วยกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (CBR) เป็นเครื่องมือในการพัฒนา ศักยภาพทีม นักวิจัยและชุมชนที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงกับตัวบุคคลในทิศทางที่ดี มีความรู้มีวิธีคิด สร้างความสามัคคี สร้างการมีส่วนร่วมสร้างกระบวนการท างานอย่างเป็นระบบที่ใช้แก้ไขปัญหาร่วมกันได้ 2.การเก็บข้อมูลท าให้ทีมวิจัยได้เรียนรู้ทักษะและเครื่องมือการจัดเก็บข้อมูลได้เทคนิคและวิธีการให้ได้มา ซึ่งข้อมูลที่เป็นจริง ได้ร่วมวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลร่วมกับปราชญ์ นักวิชาการ ผู้รู้ ส่งผลต่อการพัฒนาที่ บูรณาการวิชาการกับผู้ปฏิบัติเกิดเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของ เครือข่ายเกษตรได้ 3.การด าเนินการวิจัยเชิงทดลองโดยการแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ต้องใช้ระยะเวลาในการกระบวนการผลิต การทดลอง ประเมินผลและสรุปผล ทีมนักวิจัยจึงต้องมีการวางแผนการท างานอย่างเป็นระบบตามขั้นตอนเพื่อ ช่วยกระชับเวลาและด าเนินการให้บรรลุผลได้ตามแผน 4. การสร้างความเชื่อมั่นทางวิชาการด้วยการขอ “ใบรับรอง” คุณค่าทางโภชนาการ จะเป็นเครื่องมือ สร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้เกี่ยวข้องได้และสามารถต่อยอดขยายผลหรือการดัดแปลงการน าไปใช้ประโยชน์แต่ การตรวจหาคุณค่าทางโภชนาการนั้นอาจมีค่าใช้จ่ายใช้เวลาทีมนักวิจัยควรวางแผนการท างานให้ชัดเจน


จ ชื่องานวิจัย (ภาษาไทย) การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่าย เกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก ผู้วิจัย นางสวาท ไพศาลศิริทรัพย์และคณะ ปีที่ศึกษา 2565 บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่อง “การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร(เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก” มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือก โกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกในพื้นที่จังหวัดตาก 2) พัฒนา ถ่ายทอดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้และ 3) ส่งเสริมช่องทางการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จาก เปลือกโกโก้เป็นการวิจัยและพัฒนา (The Research and Development) ที่ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็น ระบบ โดยผสมผสานกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community Based Research) มุ่งพัฒนาทางเลือกหรือ วิธีการใหม่ ๆ ในการยกระดับเศรษฐกิจในชุมชนด้านการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกลับมาใช้ประโยชน์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1) บุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐ 2) บุคลากรจากหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและผู้ประกอบการตลาดโค 3) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ปราชญ์ เกษตรกรผู้ เลี้ยงสัตว์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ ปลูกโกโก้และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ในพื้นที่จังหวัดตาก พบว่า พื้นที่จังหวัดตากเริ่มปลูกโกโก้มาเมื่อ ปี2560 หลากหลายสายพันธุ์กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกส่งเสริมการปลูกโกโก้สายพันธุ์M1 มีพื้นที่การปลูก กระจายอยู่หลายแห่งปัจจุบันในพื้นที่ยังไม่มีการน าเปลือกโก้โก้มาใช้ประโยชน์ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อลด ปัญหาดังกล่าวด้วยการน าเปลือกโกโก้มาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ดินปลูกและ ถ่านไบโอชาร์ ผลการพัฒนาถ่ายทอดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้พบว่า การวิจัยและทดลองการแปรรูป ผลิตภัณฑ์เปลือกโกโก้เป็นอาหารสัตว์ช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงโคได้ถึงร้อยละ 14. 81 เมื่อเทียบอาหารสัตว์ส าเร็จรูป ในท้องตลาด และเมื่อเทียบอัตราการเจริญเติบโตกับโคพื้นเมืองเพศผู้อายุ 2–3 ปี น้ าหนักประมาณ 300 กิโลกรัม จ านวน 5 ตัว แสดงให้เห็นว่าคุณภาพอาหารที่ใช้ขุนโคทั้ง 2 กลุ่ม มีคุณภาพที่ใกล้เคียงกัน อัตราการเจริญเติบโต ของโคกลุ่มที่ 1 เฉลี่ย 0.495 : ตัว : วัน กลุ่มที่ 2 เฉลี่ย 0.445 : ตัว : วัน เมื่อเทียบราคาอาหารสัตว์จากเปลือกโกโก้ ถูกกว่าอาหารที่สหกรณ์ขุนโคจังหวัดตากใช้วันละ 12 บาท ประหยัดต้นทุนได้ตัวละ 1,080 บาท ส่วนการใช้เปลือก โกโก้เป็นอินทรียวัตถุทดแทนช่วยลดรายจ่ายการซื้อวัตถุดิบ และสามารถแก้ไขการขาดแคลนวัตถุดิบได้ ผลการส่งเสริมช่องทางการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้พบว่าช่องทางการจัดจ าหน่าย ผลิตภัณฑ์แปรรูปเปลือกโกโก้ของภาคีเครือข่ายเกษตรกรประกอบด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกมีช่องทางการ เพิ่มมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเปลือกโกโก้ทิ้งเปล่าขายให้สหกรณ์โคขุนจังหวัดตากและ


ฉ ผู้ประกอบการดินปลูก สหกรณ์โคขุนจังหวัดตากผลิตอาหารสัตว์จ าหน่ายแก่สมาชิกและผู้ประกอบการดินปลูกผลิต ดินเปลือกโกโก้ขายเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิตและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิด เศรษฐกิจชุมชน ค าส าคัญ : การสร้างมูลค่าเพิ่ม และ วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร


ช Research Title Value added of agricultural waste (Cocoa Pod Husk) by the agricultures of Cocoa growth network in Tak province area Researcher Mrs. Sawart Phaisarnsirisap and co-researchers Year (B.E.) 2023 Abstract This research aims to 1) to study the context of the area utilization and how to get rid of cocoa husks and a network of cocoa growers and organic community enterprises. In Tak province, 2) develop and convey the form of processing products from cocoa husks and 3) promote distribution channels for cocoa husk products. It is the Research and Development that uses a systematic research process by combining work processes Community Based Research aims to develop alternatives or new methods to enhance the community economy. Regarding the use of agricultural waste materials, the population and the sample consisted of 1) personnel from government agencies. 2) Personnel from the private sector, including agricultural product entrepreneurs and cattle market entrepreneurs, 3) Organic Community Enterprise Group, Philosopher, and Farmer Statistics used in data analysis were frequency, mean, percentage, standard deviation, and content analysis. The results of the study of the area context utilization and how to get rid of cocoa husks and a network of farmers groups Cocoa plantations and organic community enterprises in the area of Tak province found the area in Tak Province started growing cocoa in 2017. Several varieties of cocoa were grown by the organic community enterprise group, promoting the cultivation of the M1 cocoa variety. There are many planting areas. Environmental impact to reduce such problems by processing cocoa husks into animal feed, potting soil, and biochar. The results of the development of cocoa husk product processing patterns were conveyed. Research and experimentation of processing cocoa husk products into feed can reduce the cost of raising cattle by 14.81 percent compared to ready-made animal feed in the market. And when comparing the growth rate with 5 native male cattle aged 2–3 years, weighing about 300 kilograms, it shows that the feed quality used for fattening


ซ cattle in both groups is similar. The growth rate of cows in group 1 averaged 0.495 : head : per day, and group 2 averaged 0.445 : head : per day. Compared to the price of animal feed from cocoa husks, it was 12 baht cheaper than the feed used by the Tak Cattle Cooperative, saving costs. 1,080 baht per person, while using cocoa husks as a substitute for organic matter helps reduce the cost of purchasing raw materials. And can solve the shortage of raw materials. The results of promotion of distribution channels for products made from cocoa husks It was found that the distribution channels for cocoa husk processing products of the Farmer Network Partnership consisted of Organic community enterprises that have a way to add added value from agricultural waste. The empty cocoa husks are sold to the Fattened cattle Cooperative, Tak Province, and to soil entrepreneurs. Fattened cattle Cooperative, Tak Province produces animal feed for sale to members and Soil entrepreneurs produce cocoa husk soil and sell it to a network of small entrepreneurs, which reduces production costs and reduces environmental problems resulting in the community economy Keywords: Value added / Agriculture waste


ฌ กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ ได้รับทุนอุดหนุนจากส านักงานการวิจัยแห่งชาติ ประจ าปีงบประมาณ 2565 คณะผู้วิจัย ขอขอบพระคุณส านักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัย ติดตามการด าเนินการวิจัยและ เป็นพี่เลี้ยงด้วยดีเสมอมา งานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลงได้ด้วยการเอื้อเฟื้อข้อมูลที่เป็นประโยชน์และการอ านวยความ สะดวกให้ความร่วมมือของหลาย ๆ ท่าน ซึ่งให้การสนับสนุนผู้ท าการวิจัยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ด้วยดี ขอขอบพระคุณ ทีมกลไกภาคเหนือน าโดย รศ.ดร.จิราพร กุลสารินและทีมงาน ที่คอยให้ค าปรึกษาประสานงาน ช่วยเหลือ ส่งเสริมสนับสนุนและเติมเต็มการด าเนินการวิจัยอย่างเป็นกัลยาณมิตรด้วยดีเสมอมา ที่กรุณาให้ ข้อเสนอแนะ แนวทางการด าเนินงานวิจัยรวมไปถึงการสละเวลาให้ค าปรึกษา แนะน าแนวทางการศึกษา หาข้อมูล เทคนิค วิธีการด าเนินงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า ในการเสนอแนะ การปรับปรุงผลการศึกษาค้นคว้าและการน าเสนอผลการวิจัยฉบับนี้ ช่วยให้ผู้ท าการวิจัยได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน และสามารถน ามาใช้ในการวิเคราะห์วางแผน รวมทั้งแผนงานต่าง ๆ และสรุปข้อมูลได้อย่างราบรื่นส าเร็จได้ด้วยดี ตลอดจนขอขอบพระคุณทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นผู้ให้ค าแนะน าเพิ่มเติมในการแก้ไขข้อบกพร่องและเติมเต็มการด าเนิน การวิจัย กระบวนการต่าง ๆ ตลอดถึงวิธีคิดที่ครอบคลุมอย่างเป็นระบบส่งเสริมสนับสนุนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้งานวิจัยฉบับนี้มีความถูกต้องสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้วิจัยขอขอบคุณผู้น าชุมชน ปราชญ์ ผู้รู้ หน่วยงานในพื้นที่ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุก ๆ คน ที่มีส่วนช่วยในการสัมภาษณ์และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ ผู้วิจัย ขอขอบคุณเพื่อนทีมนักวิจัยที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือเติมเต็มการด าเนินการวิจัย ให้ความร่วมมือ เป็นก าลังใจและช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการท างานวิจัยครั้งนี้ สุดท้ายนี้ คุณค่าอันพึงมีจากงานศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อท้องถิ่นฉบับนี้ ผู้วิจัย ขอมอบให้เป็นสาธารณะ ประโยชน์แก่ชุมชน สังคม ประเทศชาติ โดยส่วนรวมเป็นเครื่องบูชาพระคุณ บิดา มารดา ครู อาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้และวางรากฐานการศึกษาแก่ผู้ท าการวิจัย ตลอดจนทีมผู้บริหารวิทยาลัยชุมชนตากและภาคี ที่เกี่ยวข้องที่ส่งเสริมสนับสนุนด้วยดีตลอดมาและให้โอกาสทีมนักวิจัยได้เรียนรู้พัฒนาต่อยอดการด าเนินงานที่เป็น ประโยชน์ต่อนักศึกษา ชุมชน สังคมต่อไป คณะผู้วิจัย กุมภาพันธ์ 2566


ญ สารบัญ เรื่อง หน้า บทสรุปผู้บริหาร ก บทคัดย่อภาษาไทย จ บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (Abstract) ช กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) ฌ สารบัญ ญ สารบัญภาพ ฏ สารบัญตาราง ฐ บทที่ 1 บทน า 1 1 ความส าคัญ และที่มาของปัญหาที่ท าการวิจัย 1 2 ปัญหา/โจทย์การวิจัย 2 3 วัตถุประสงค์การวิจัย 4 4 เป้าหมายการวิจัย 4 5 นิยามศัพท์ปฏิบัติการ 4 6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 7 1 แนวคิดและทฤษฎีการสร้างมูลค่าเพิ่ม 7 2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจชุมชน 9 3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมโดยชุมชน 12 4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับ BCG 15 5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการตลาด 20 6 ทฤษฎีเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อท้องถิ่น 21 7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 25 บทที่ 3 ระเบียบวิธีการด าเนินวิจัย 34 1 ระเบียบวิธีวิจัยและวิธีการด าเนินการวิจัย 34 2 ขอบเขตการศึกษา 39 3 ระยะเวลาท าการวิจัยและแผนการด าเนินงานตลอดโครงการวิจัย (timeline) 41


ฎ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิจัย 44 ผลการด าเนินงานเทียบกับแผนการด าเนินงานวิจัย และผลการด าเนินงานตาม วัตถุประสงค์ 44 1 ผลการด าเนินงานตามจุดประสงค์ข้อที่ 1 ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ในพื้นที่จังหวัดตาก 44 2 ผลการด าเนินงานตามจุดประสงค์ข้อที่ 2 พัฒนาถ่ายทอดรูปแบบการ แปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 65 3 ผลการด าเนินการวิจัยตามจุดประสงค์ข้อที่ 3 ส่งเสริมช่องทางการจัด จ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 83 บทที่ 5 อภิปรายและวิจารณ์ผล 97 1 อภิปรายผลการวิจัย 97 2 วิจารณ์ผลการวิจัย 98 บทที่ 6 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 101 1 สรุปผลการวิจัย 101 2 ข้อเสนอแนะ 104 3 การน าไปใช้ประโยชน์ 105 บรรณานุกรม 106 ภาคผนวก 110 1 แบบฟอร์มสรุปผลงานวิจัย/โครงการวิจัย 5 บรรทัด 111 2 แบบฟอร์มสรุปผลงานวิจัย/โครงการวิจัย 1 หน้ากระดาษ A4 112 3 แบบฟอร์มประเมินผลการวิจัยในการน าไปใช้ประโยชน์อย่างเป็น รูปธรรมที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 114 4 หัวหน้าโครงการและคณะนักวิจัย 118


ฏ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 4.1 แผนที่แสดงจ านวนสมาชิกวิสาหกิจออร์แกนิกและจ านวนการปลูกโกโก้ 52 4.2 ผลจากการวิเคราะห์สถานการณ์กลุ่มวิสาหกิจออร์แกนิก 55 4.3 การทดลองท าอาหารสัตว์ 63 4.4 การท าดินปลูก 64 4.5 การท าถ่านไปโอชาร์ (Biochar) 64 4.6 รูปแบบที่ 1 แปรรูปเป็นอาหารสัตว์ ในรูปเปลือกโกโก้หมักยีสต์ 67 4.7 กราฟแสดงพฤติกรรมโคต่อการกินอาหาร 4 สัปดาห์ 71 4.8 กราฟแสดงการเปรียบเทียบราคาค่าใช้จ่ายในการขุนโค 74 4.9 โครงสร้างกลุ่ม “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร จังหวัดตาก” 81 4.10 ท าดินปลูกโดยเพิ่มจากวัสดุเปลือกโกโก้เป็น 2 สูตร 84 4.11 แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบราคาก่อนและหลังใช้สินค้าจากเปลือกโกโก้ต่อ 1 ตัน 87 4.12 ช่องทางการตลาดเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก 87 4.13 การอบรมเชิงปฏิบัติการการตลาดและทักษะด้านการท าสื่อประชาสัมพันธ์ 88 4.14 ช่องทางการตลาด 4P 89


ฐ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.1 การแสดงค่าใช้จ่ายต้นทุนในการผลิตเปลือกโกโก้เป็นอาหารสัตว์ 67 4.2 การเปรียบเทียบอาหารสัตว์ส าเร็จรูปในท้องตลาดกับเปลือกโกโก้หมักยีสต์ 68 4.3 แสดงผลการสังเกตพฤติกรรมการกินอาหารข้น สัปดาห์ที่ 1 70 4.4 แสดงผลการสังเกตพฤติกรรมการกินอาหารข้น สัปดาห์ที่ 2 70 4.5 แสดงผลการสังเกตพฤติกรรมการกินอาหารข้น สัปดาห์ที่ 3 70 4.6 แสดงผลการสังเกตพฤติกรรมการกินอาหารข้น สัปดาห์ที่ 4 71 4.7 ข้อมูลการเจริญเติบโตของโคน าเสนอผลรวมเป็นกลุ่ม 72 4.8 แสดงข้อมูลราคาค่าอาหารที่ใช้ในการขุนโค 73 4.9 การเปรียบเทียบราคาวัตถุดิบทดแทน 75 4.10 ตารางเทียบผลการทดลองการผลิตปุ๋ยหมักและดินปลูกโดยใช้เปลือกโกโก้ เป็นส่วนผสม 76 4.11 แสดงการเปรียบเทียบราคาก่อนและหลังการใช้สินค้าจากเปลือกโกโก้ต่อ 1 ตัน 86


บทที่ 1 บทน า 1.1 ความส าคัญ และที่มาของปัญหาที่ท าการวิจัย การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ ในพื้นที่จังหวัดตาก เป็นโครงการวิจัยโดยมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกจ านวน 101 ราย โดยมีพื้นที่การปลูก จ านวน 768 ไร่ ปัจจุบันเก็บผลผลิตขายรวมเดือนละ 10,000 – 15,000 กิโลกรัม แต่การขายผลผลิตนั้นขายได้ราคา เพียง 10% ของผลผลิต ส่วนที่เหลือเป็นเปลือกโกโกโก้ที่ทิ้งเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์และยังกลายเป็นปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมไม่มีที่ทิ้งขยะ ส่งกลิ่นเหม็น แม้ว่าเปลือกโกโก้จะย่อยสลายได้แต่ใช้เวลาในการย่อยสลายนานส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนด้านเศรษฐกิจนั้นเกษตรกรขายได้เพียงเมล็ดเท่านั้น ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้น รายได้ยังไม่เพียงพอ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกจึงสนใจการน าเปลือกโกโก้มาใช้ประโยชน์ประกอบกับ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า เปลือกโกโก้มีประโยชน์และมีสารอาหารที่มีคุณค่าในการน าไปใช้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์ สีย้อมผ้า ดินปลูก เป็นต้น หากเกษตรกรสามารถน ากลับมาใช้ใหม่หรือแปรรูปอาหารสัตว์ที่ เหมาะสมกับบริบทพื้นที่จังหวัดตาก กับทรัพยากรที่มีในพื้นที่เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจออร์แกนิก และเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ด้วยการสร้างภาคีเครือข่ายกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ด้วยการน าอาหารที่เกิดจากการแปรรูป จากเปลือกโกโก้ให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ทดลองใช้ น าผลที่ได้ไปพัฒนาปรับปรุงจนได้คุณภาพแล้วถ่ายทอด องค์ความรู้ให้กับภาคีเครือข่าย หาช่องทางการจ าหน่ายของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ หรือเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกและ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ข้อดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบริบทพื้นที่การใช้ประโยชน์และวิธีการ ก าจัดเปลือกโกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก 2) พัฒนาถ่ายทอดรูปแบบการแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 3) ส่งเสริมช่องทางการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ โดยมีประชากร กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย 1) บุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐ 2) บุคลากรจากหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรและผู้ประกอบการตลาดโค 3) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ปราชญ์ เกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบส ารวจ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แนวค าถามในการสนทนากลุ่ม ประเด็นชุดค าถามในการสร้างการเรียนรู้ และ แบบประเมินผลการเข้าร่วมการเรียนรู้ จัดเวทีและประชุมกลุ่มย่อย เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันใน ทุกภาคส่วน อันน าไปสู่การวิเคราะห์สังเคราะห์หาแนวทาง ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายเกษตรที่เกี่ยวข้อง งานวิจัย นี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (The Research and Development) ที่ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ โดยผสมผสานกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community Based Research) มุ่งพัฒนาทางเลือกหรือวิธีการ ใหม่ ๆ ในการยกระดับเศรษฐกิจในชุมชน ด้านการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกลับมาใช้ประโยชน์โดยแบ่ง การท างานออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้1)ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้2) หารูปแบบ


2 การแปรรูปจากเปลือกโกโก้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทดลองใช้ ประเมินผล สรุปผล และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับ ผู้เกี่ยวข้อง 3)ส่งเสริมช่องทางการตลาดสร้างอาชีพ สร้างรายได้มีขั้นตอนการท างาน 6 ขั้นตอน คือ 1.ศึกษาบริบท พื้นที่ การใช้ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้ ทบทวนองค์ความรู้และทาบทามภาคีเครือข่าย 2.หารูปแบบที่ เหมาะสมของการสร้างนวัตกรรมจากโกโก้และเปลือกโกโก้3.พัฒนากลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้และกลุ่มแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้และพัฒนารูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 4.หาช่องทางการจัดจ าหน่ายการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 5.สังเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเพื่อชุมชน “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยการสร้างนวัตกรรมจากเปลือกโกโก้ในพื้นที่ จังหวัดตาก” ที่เน้นการปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยชุมชนมีส่วนร่วมการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนในชุมชนและพื้นที่ ใกล้เคียง 6.สรุปผลการวิจัยเพื่อจัดท ารายงานความก้าวหน้าและรายงานฉบับสมบูรณ์ 1.2 ปัญหา/โจทย์การวิจัย โกโก้ (Cocoa) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Theobroma cacao L. เป็นพืชในวงศ์ STERCULIACEAE เป็นไม้ ยืนต้น ใบเดี่ยว เรียงสลับรูปขอบขนานแกมไข่กลับหรือรูปขอบขนาน ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก ที่ล าต้นและ กิ่งก้าน กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง เกสรตัวผู้ที่เป็นหมันสีม่วงเข้ม ปลายยอดสีขาว ผลสดรูปไข่แกมกระสวย ผิวย่น เมื่อสุกสีม่วงหรือเหลือง เมล็ดรูปกระสวยสีน้ าตาล มีแหล่งก าเนิดอยู่ในแถบลุ่มน้ าอเมซอนตอนบน ปัจจุบันพื้นที่ ปลูกส่วนใหญ่จะอยู่ในแอฟริกาตะวันตก (63%) ประเทศในเขตร้อนของอเมริกา (20%) และเอเชีย (17%) ใน ประเทศไทยมีแหล่งปลูกโกโก้อยู่หลายจังหวัด เช่น ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง พังงา และสมุทรสงคราม เป็นต้น (ส านักงานข้อมูล สมุนไพร, 2014) โกโก้จะเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคต เนื่องจากทั่วโลกมีความต้องการมาก น าไปผลิตช็อกโกแลต เครื่องส าอาง อาทิ ลิปสติก ยาทาเล็บ ฯลฯ เฉลี่ยปีละ 2 หมื่นตัน ราคาเมล็ดแห้งมีแนวโน้มจะขยับขึ้นไปสูงกว่าปัจจุบันที่ราคากิโลกรัมละ 40-50 บาท โดยเฉพาะผลผลิต โกโก้ที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์หรือออร์แกนิกจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ซึ่งถือว่าตลาดโกโก้ในไทยมีโอกาส ขยายตัวจึงเริ่มมีเกษตรกรให้ความสนใจปลูกโกโก้มากขึ้นด้วยเพราะราคาดี โดยพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศ อยู่ที่ 5,464.39 ไร่ และพื้นที่เก็บเกี่ยว 4,090.66 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ คิดเป็นพื้นที่ 3,957.59 ไร่ ซึ่งจังหวัดที่ ปลูกมาก คือ น่าน เชียงราย ล าปาง ตาก ภาคตะวันออกก็ปลูกมากเช่นกันโดยมีพื้นที่เพาะปลูก 586.48 ไร่ จังหวัดที่ ปลูกมาก คือ จันทบุรี (ศิริพร เหลียงกอบกิจ, 2560) แต่เนื่องจากตลาดมีความต้องการโกโก้เพื่อแปรรูปจ านวนมาก ผลผลิตจากโกโก้ในพื้นที่ไม่พอขาย โกโก้จึงเป็นเป็นพืชผลที่เป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรที่สามารถสร้างรายได้และเป็นที่ต้องการของตลาด ประกอบกับจ านวนการปลูกโกโก้ในพื้นที่จังวัดตากยังมีปริมาณการผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ทั้งยังใช้ระยะเวลาในการปลูกโดยประมาณ 18 เดือน ก็สามารถให้ผลผลิตได้และผลผลิตนั้นออกตลอดทั้งปี ดังนั้น จึงมีกลุ่มเกษตรกรผู้สนใจมีการรวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกที่มีการส่งเสริมสนับสนุนให้สมาชิกในกลุ่ม และเครือข่ายปลูกโกโก้และเก็บผลผลิตขายได้จ านวน 10,000-15,000 กิโลกรัมต่อเดือน และมีการแปรรูปเป็นผง โกโก้/โกโก้นิสบ์/ โกโก้แห้ง และบัสเตอร์โกโก้ จ านวนการแปรรูปโกโก้ที่ทิ้งเปลือกนั้นมีปริมาณมากและทิ้งเป็นขยะ ส่งผลให้พื้นที่มีขยะเพิ่มขึ้นเป็นปัญหาเรื่องสถานที่ทิ้งขยะในพื้นที่ชุมชน เกษตรกรเองก็สามารถขายได้เฉพาะเมล็ด


3 โกโก้เท่านั้น ทางกลุ่มเกษตรกรจึงเล็งเห็นว่าหากสามารถน าเปลือกโกโก้มาสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบต่าง ๆ ที่ เหมาะสมตามบริบทพื้นที่ได้จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับภาคีทั้งกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ ประชาชนที่สนใจ เกษตรกรผู้ปลูก พืช ผัก ผลไม้เพื่อลดปัญหาการทิ้งขยะในชุมชนและสร้างรายได้ สร้างอาชีพเสริมให้กับกลุ่มเกษตรกรดังกล่าว ได้จากข้อมูลงานวิจัยฝ่ายเกษตร ประจ าสถานเอคอัคราชฑูต ณ กรุงจาการ์ตา ส านักงานปลัดกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ (แหล่งที่มา www.Pertanian.go.id ฉบับวันที่ 17 มิถุนายน 2563) เปลือกโกโก้แปรรูปเป็นอาหารสัตว์ ทดแทนหญ้าได้ประเทศอินโดนีเซียมีผลผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดในเอเชียส่งผลให้เปลือกโกโก้มีมากถึง 72% สถาบันวิจัยและพัฒนากระทรวงเกษตรได้ประสบผลส าเร็จในงานวิจัยเรื่องเปลือกโกโก้สามารถทดแทนหญ้า ซึ่งเป็น อาหารสัตว์ได้โดยในเปลือกโกโก้มีโปรตีน 6-9% และน้ า 80% แต่อายุการเก็บรักษาไม่เกินสามวัน โดยการวิจัย ดังกล่าวน าเปลือกมาท าแปรรูปโดยการหมักและง่ายต่อการท าส่งผลให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์จากเปลือก โกโก้ที่ทิ้งเปล่าเป็นจ านวนมาก นอกจากนั้นในเปลือกโกโก้ยังมีสรรพคุณมากมาย เปลือกโกโก้ยังเป็นที่ชื่นชอบของ โค แพะ แกะ สามารถน ามาใช้ทดแทนหญ้าได้ 100% โดยการผสมกับพืชตระกูลถั่วและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หาก แปรรูปผสมกับอาหารต่าง ๆ จะเพิ่มสรรพคุณให้แก่อาหารสัตว์และสามารถเก็บในถุงได้ถึง 21 วัน จากการ ประเมินผลการทดลองใช้เป็นอาหารกับแพะโดยให้อาหารดังกล่าวปริมาณ 500 ถึง 700 กรัมต่อวันต่อตัว สามารถ เพิ่มน้ าหนักตัวได้ถึง 57 – 80 กรัมต่อวันต่อตัว จากงานวิจัยดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้และภาคี เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในพื้นที่จังหวัดตากที่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้จ านวนเพิ่มขึ้น และมีการขยายเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลผลิตที่สามารถส่งขายสร้างรายได้มีจ านวน มากขึ้น และกลุ่มเกษตรกรสามารถขายผลผลิตสดและแปรรูปขายท าให้มีเปลือกโกโก้เหลือทิ้งเป็นจ านวนมากและ ไม่สามารถน ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งยังทิ้งเป็นขยะที่สร้างปัญหาให้กับพื้นที่ เกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ได้เห็นคุณค่าและประโยชน์จากโกโก้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจที่ตลาดมีความต้องการสูง และกลุ่มเกษตรกรมีความสนใจ ที่จะเพิ่มรายได้และใช้ประโยชน์จากเปลือกโกโก้ที่ทิ้งไป น ากลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้าง รายได้ลดต้นทุนการผลิต และสามารถน ามาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างภาคีเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรเพื่อยกระดับ เศรษฐกิจชุมชนด้วยการน าวัสดุเหลือใช้จากเปลือกโกโก้มาแปรรูป เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อ สร้างรายได้ตั้งแต่ต้นน้ า ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ ประชาชนในพื้นที่ และกลางน้ า ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์และประชาชนทั่วไป และปลายน้ า ได้แก่ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างรายได้และสร้างภาคีเครือข่ายให้กับเกษตรกรผู้ผลิต สามารถน าทรัพยากร ในพื้นที่มาใช้ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าลดปัญหาขยะในชุมชน ทั้งยังส่งเสริมให้คนที่สนใจสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้เสริมจากทรัพยากรในพื้นที่ช่วยลดต้นทุน การผลิตเป็นอีกช่องทางเลือกทางรอดให้กับกลุ่มเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และกลุ่มเกษตรกรที่สนใจ สถานการณ์การระบาดโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างกับทุกกลุ่มคนทุกอาชีพเกษตรกร ผู้ผลิต สินค้าทางการเกษตรต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ เช่นเดียวกันทั้งด้านราคา ด้านการขนส่ง รวมไปถึงด้านการจัด จ าหน่ายที่ส่งต่อไปยังผู้บริโภค ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางและยังประสบปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกพืช ผัก และผลไม้ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการท า เกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นเกษตรผสมผสาน โดยมีหลายหน่วยงานที่ก าลังมุ่งเน้นการแก้ปัญหาสถานการณ์ดังกล่าว


4 ที่เผชิญทั้งในรูปแบบการท าโครงการส่งเสริม สนับสนุนด้านการเกษตรตลอดจนการสนับสนุนงบประมาณในรูปแบบ ต่างๆ ที่รัฐบาลสามารถช่วยได้ แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังคงอยู่และแก้ได้ไม่ทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะ จังหวัดตากที่มีบริบทพื้นที่สภาพอากาศ ดิน และน้ า เหมาะสมกับการท าการเกษตรเพาะปลูกพืช ผัก ผลไม้นานาชนิด เกษตรกรเองก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ปัญหาหนี้สินก็ยังคงอยู่ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นประเด็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรด้วยวิธีการที่ศึกษาและพัฒนา รูปแบบการแปรรูปเปลือกโกโก้และพัฒนากลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้และกลุ่มเกษตรกรผู้เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับกลุ่ม ผู้มีหน้าที่หน้าที่ส่งเสริมพัฒนาและจัดการความรู้ให้คนในชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาและกระจายรายได้พัฒนา ชุมชนสู่ความยั่งยืน กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการพัฒนา สร้างอาชีพ สร้างรายได้แบบ ห่วงโซ่ การน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาแปรรูปจึงเป็นช่องทางที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้และสร้าง อาชีพให้กับคนในพื้นที่จังหวัดตาก และยังช่วยลดปัญหาขยะในพื้นที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้นแบบในการ ส่งเสริมพัฒนาและการบริหารจัดการกลุ่มในรูปแบบวงรอบ และยกระดับกระบวนการผลิตพืชผลแบบครบวงจร ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาและพัฒนากลุ่มดังกล่าว ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้และลดต้นทุนการผลิตให้กลุ่มเกษตรกร และเพื่อศึกษาพัฒนาค้นหาค าตอบสู่การน าไปเป็น ต้นแบบด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรควรมีรูปแบบอย่างไร ? 1.3 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้และเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูก โกโก้และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ในพื้นที่จังหวัดตาก 2. พัฒนาถ่ายทอดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 3. ส่งเสริมช่องทางการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 1.4 เป้าหมายการวิจัย เพื่อพัฒนาศักยภาพตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน โดยใช้กิจกรรมเศรษฐกิจสร้าง “กระบวนการ เรียนรู้” ซึ่งจะท าให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ในขณะเดียวกันยังมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ฯลฯ หรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่าง บูรณาการ 1.5 นิยามศัพท์ปฏิบัติการ 1. การสร้างมูลค่าเพิ่ม หมายถึง การน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ มาพัฒนาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้มีคุณค่า ราคา และก่อเกิดประโยชน์กับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 2. วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร หมายถึง วัสดุเหลือจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตของเกษตรกร โดยถูกทิ้งไว้ใน เรือกสวนไร่นา ได้แก่ เปลือกโกโก้ ฟางข้าว ต้นถั่ว มันส าปะหลัง ต้นอ้อย ซึ่งยังไม่มีการน ามาใช้ประโยชน์อย่างมี


5 ประสิทธิภาพ เช่น ฟางข้าว ข้าวโพด ต้นถั่ว มันส าปะหลัง ต้นอ้อย โดยวัสดุเหล่านี้ยังไม่มีการน าไปใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 3. เครือข่ายเกษตรกร หมายถึง กลุ่มเกษตรกรชุมชนประกอบด้วย เกษตรกรผู้เลี้ยงโค เกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ เกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจออร์แกนิก 4. พื้นที่จังหวัดตาก หมายถึง พื้นที่ที่ท าการปลูกโกโก้ของเกษตรกรสมาชิกวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก ในพื้นที่ อ าเภอท่าสองยาง อ าเภอแม่ระมาด อ าเภอแม่สอด อ าเภออุ้มผาง อ าเภอสามเงา จังหวัดตาก ที่เข้าร่วม โครงการฯ 5. เปลือกโกโก้ หมายถึง เปลือกโกโก้ที่เหลือทิ้งจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตของเกษตรกรสมาชิกวิสาหกิจ ชุมชนออร์แกนิกในพื้นที่จังหวัดตาก 6. ดินปลูก หรือวัสดุปลูก หมายถึง ดินปลูกที่มีส่วนผสมจากเปลือกโกโก้ตากแห้งบดและวัสดุหาง่ายใน ท้องถิ่นใช้ส าหรับ ปลูกไม้กระถาง 7. ถ่านไบโอชาร์ หมายถึง เป็นผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ที่ใช้เป็นส่วนผสมในการปรับปรุงดิน เกิดจาก กระบวนการย่อยสลายเชิงความร้อนของชีวมวลหรือสารอินทรีย์ ซึ่งเป็นสารประกอบของสิ่งมีชีวิตที่ย่อยสลายได้ ตามธรรมชาติ 8. วิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก หมายถึง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกที่มีบทบาทหน้าที่ส่งเสริมสมาชิก เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจพอเพียง ท าเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการจ าหน่ายสินค้าเกษตรที่ได้รับมาตรฐาน SDG PGS ในพื้นที่จังหวัดตาก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้สมาชิก 9. เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ หมายถึง สมาชิกเกษตรกรสหกรณ์โคขุนจังหวัดตากและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ที่เข้าร่วมโครงการวิจัยฯ 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ด้านวิชาการ 1. ส านักงานเกษตรจังหวัดตาก รวมถึงยุทธศาสตร์จังหวัดตาก สามารถใช้ต้นแบบการสร้าง มูลค่าเพิ่มวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) เป็นแหล่งเรียนรู้และสามารถใช้องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาวิจัยและพัฒนา ในครั้งนี้เป็นบทเรียนในการสร้างจิตส านึกและความเข้าใจการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ 2. วิทยาลัยชุมชนตากและสถาบันการศึกษา สามารถใช้ผลของการวิจัยเป็นข้อมูลในการพัฒนา การเรียน การสอน บริการวิชาการ และเป็นแหล่งเรียนรู้หรือห้องเรียนธรรมชาติส าหรับนักศึกษาและบุคคลที่สนใจทั่วไป 3. น าผลงานเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเปลือกโกโก้ตีพิมพ์เผยแพร่ ด้านสังคม 1. ทีมวิจัยชุมชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ได้บทเรียน ประสบการณ์ และองค์ความรู้จากการใช้กระบวนการ งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้และผู้เกี่ยวข้อง โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นต้นแบบ ส าหรับการพัฒนากลุ่มเกษตรกร การน านวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาต่อยอดและถ่ายทอดองค์ความรู้ขายเป็นวงกว้าง


6 2. เครือข่ายกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก เห็นความส าคัญของการใช้วัสดุเหลือใช้ทาง การเกษตรให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์ไม่ท าลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3. เกิดความร่วมมือกันระหว่างภาคีเกี่ยวข้องเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจออร์แกนิก เกษตรผู้ปลูกโกโก้ เกษตรกร ผู้เลี้ยงสัตว์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้านนโยบาย 1. ส านักงานเกษตรจังหวัดตากหรือส านักงานปศุสัตว์จังหวัดตากน าผลการวิจัยไปก าหนดแผน เพื่อพัฒนา เกษตรกรในจังหวัดตาก พัฒนาชุมชนพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ ด้านเศรษฐกิจ 1. เครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก สามารถพัฒนาเศรษฐกิจจากการสร้าง มูลค่าเพิ่ม วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) โดยชุมชนเป็นฐานเพื่อพัฒนาหนุนเสริมไปสู่การเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง ยืนอยู่บนความคิดและความสามารถของตน อันจะน าไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 2. ลดรายจ่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และสามารถเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจออร์แกนิกและเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้


บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของเครือข่าย เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตากครั้งนี้ ทีมวิจัยได้ศึกษาแนวคิด เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็น พื้นฐานในการก าหนดกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัยเพื่อเป็นแนวทางการศึกษา ดังนี้ 1. แนวคิดและทฤษฎีการสร้างมูลค่าเพิ่ม 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจชุมชน 3. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมโดยชุมชน 4. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับ BCG 5. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการตลาด 6. ทฤษฎีเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อท้องถิ่น 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8. กรอบแนวความคิดของการวิจัย 1. แนวคิดและทฤษฎีการสร้างมูลค่าเพิ่ม พูนลาภ ทิพชาติโยธิน กล่าวว่า แนวคิดเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากในปัจจุบันผู้บริโภคนั้นมีทางเลือก มากขึ้น ซึ่งมีอีกสิ่งหนึ่งที่เมื่อก่อนอาจเล่นบทเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น แต่ปัจจุบันก้าวขึ้นมามีความส าคัญไม่แพ้กัน เลยทีเดียวที่จะมีส่วนช่วยทั้งดึงผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามา รวมถึงรักษาผู้บริโภครายเดิมให้อยู่ไปนาน ๆ ก็คือ เรื่อง ของการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยในอดีตนั้น หากผลิตภัณฑ์หรือบริการหนึ่งจะประสบความส าเร็จได้ในท้องตลาด สิ่งที่ ส าคัญที่สุดก็คงจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักนั่นเองที่ต้องมีคุณภาพที่เยี่ยมยอดกว่าคู่แข่ง และสามารถ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า อย่างไรก็ดีในปัจจุบันจะพบว่า จริงอยู่ที่บ่อยครั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลักอาจจะยังเป็นเรื่องส าคัญมาก แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ก้าวขึ้นมามีส่วนส าคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ เรื่องของ “มูลค่าเพิ่ม” ที่ติดมากับตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักนั้น ๆ ในบางกรณีส่วนของมูลค่าเพิ่มก็จะเป็นตัวดึงดูด ผู้บริโภคให้หันมามองหรือตัดสินใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการหลัก ดังนั้น ธุรกิจในปัจจุบันเราจะเห็นว่า ไม่ใช่เป็น การขายเพียงตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักอย่างเดียว แต่จะต้องมีส่วนเพิ่มมูลค่าที่จะท าให้ผู้บริโภครู้สึกได้ประโยชน์ มากขึ้นด้วย 1.1 ความหมายการสร้างมูลค่าเพิ่ม ความหมายการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added Creation) ในการให้ความหมายและค าจ ากัดความของ การสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้มีการให้นิยามไว้ในหลาย ๆ ด้าน ดังต่อไปนี้ ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2542, หน้า 868) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม หมายถึง ความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในด้านต่าง ๆ ให้มีคุณค่าในสายตาของลูกค้ามากขึ้น


8 Louis (อ้างถึงใน ดนัย จันทร์ฉาย, 2547 หน้า 239) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม หมายถึง การน าเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ บริการและราคา เพื่อตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจในการซื้อ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ในความหมายด้านการตลาด การสร้าง มูลค่าเพิ่ม คือ การพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้บริโภคสูงสุดและเกินความคาดหมายของผู้บริโภค อีกทั้งมูลค่าเพิ่มอาจเกิดจากการเพิ่มสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่ผู้บริโภคคาดว่าจะได้รับ (Nilson, 1992) นอกจากนี้ การสร้างมูลค่าเพิ่มที่เป็นการเพิ่มหรือเสริมสิ่งใหม่ ๆ สู่ตัวผลิตภัณฑ์ควรมีความเกี่ยวข้องและเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ (Chematony & Harris, 1998) สรุปได้ว่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม หมายถึง สิ่งที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยผ่านการสร้าง คุณค่าส าหรับลูกค้าที่ดีขึ้น (Customer Value) โดยมีขั้นตอนการผลิตหรือบริการที่ดีกว่า เพื่อการเป็นผู้น าใน ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ นอกจากการสร้างความแตกต่างในตลาดแล้ว มูลค่าเพิ่มจะเป็นตัวช่วยในการสร้างคุณค่าที่ส่งผลต่อ การรับรู้ของผู้บริโภคที่สูงกว่า ซึ่งน าไปสู่ความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกหรือซื้อผลิตภัณฑ์และบริการต่อไป 1.2 ความส าคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในปัจจุบันการด าเนินธุรกิจมีการแข่งขันอย่างรุนแรง และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ธุรกิจ ต่าง ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงแนวคิด กลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถ ท าให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มมีความส าคัญต่อการด าเนินธุรกิจ (พินพัสนีย์ พรหมศิริ, 2547, หน้า 20) ดังต่อไปนี้ 2.1 การสร้างมูลค่าเพิ่มที่มากกว่าคู่แข่ง จะท าให้สามารถตอบสนองความต้องการและท าให้ ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มอาจท าได้ด้วยการเสนอผลประโยชน์ที่ผู้บริโภคต้องการ 2.2 การสร้างมูลค่าเพิ่มสามารถสร้างความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่ดีที่สุดเพราะ ท าให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ธุรกิจมอบให้ 2.3 การสร้างมูลค่าเพิ่มท าให้ธุรกิจสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในภาวะที่มีการแข่งขันอย่าง รุนแรงได้ และท าให้ธุรกิจมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน 1.3 ความส าคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในปัจจุบันการด าเนินธุรกิจมีการแข่งขันอย่างรุนแรงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นธุรกิจ ต่าง ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงแนวคิด กลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กลยุทธ์การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถท าให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มมีความส าคัญต่อการด าเนินธุรกิจ ดังต่อไปนี้ 1. การสร้างมูลค่าเพิ่มที่มากกว่าคู่แข่ง จะท าให้สามารถตอบสนองความต้องการและท าให้ผู้บริโภคเกิด ความพึงพอใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งการสร้างมูลค่าเพิ่มอาจท าได้ด้วยการเสนอ ผลประโยชน์ที่ผู้บริโภคต้องการ 2. การสร้างมูลค่าเพิ่ม สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้บริโภคที่ดีที่สุด เพราะท าให้ ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ธุรกิจมอบให้ 3. การสร้างมูลค่าเพิ่ม ท าให้ธุรกิจสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในภาวะที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงได้ และท าให้ธุรกิจมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน


9 สามารถสรุปได้ว่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม คือ การที่น าเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วย คุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจในการซื้อ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ เป็นการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้บริโภคสูงสุด การสร้างมูลค่าเพิ่มจะเป็นตัวช่วยในการสร้าง คุณค่าที่ส่งผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคที่สูงกว่า ซึ่งน าไปสู่ความมั่นใจในการตัดสินใจเลือก 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเศรษฐกิจชุมชน แนวคิดทั่วไปของเศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจชุมชนถือเป็นรูปแบบการด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่ม ตั้งแต่ในระดับฐานล่าง โดยมีชุมชนเป็นแหล่งตั้งต้นของการด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มีครอบครัวเป็นหน่วยการ ผลิตที่ส าคัญของชุมชน ซึ่งแนวคิดในเรื่องเศรษฐกิจชุมชนมีผู้ให้แนวคิดไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจชุมชนไว้ว่า เศรษฐกิจชุมชนมีครอบครัวเป็นหน่วย การผลิตแรงงานของสมาชิกในครอบครัวเป็นปัจจัยที่ส าคัญที่สุด เพราะแรงงานเป็นสิ่งที่ครอบครัวมีอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ต้องจ้าง เป็นสิ่งที่มีมากับสถาบันครอบครัวโดยทั่วไป ครอบครัวคิดถึงการอยู่รอดก่อนแล้วจึงสะสมและค้าขาย พึ่งแรงงานในครอบครัว พึ่งทรัพยากรท้องถิ่น พึ่งตัวเองและพึ่งชุมชนก่อน และหากจะขายซึ่งเป็นขั้นตอนที่สูงก็จะ ขายในตลาดใกล้ตัวตลาดภายในประเทศ แนวคิดนี้มุ่งให้ค านึงถึงชุมชน ศีลธรรม ครอบครัว เพื่อนบ้านและท้องถิ่น เป็นหลัก เศรษฐกิจชุมชน หมายถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตการบริโภค การจ าหน่าย จ่ายแจกที่คนในท้องถิ่นชุมชนได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมท า ร่วมรับประโยชน์ของประชาชน และร่วมกันเป็นเจ้าของ เศรษฐกิจชุมชน มีรากฐานมาจากศักยภาพของชุมชน ภูมิปัญญาของชุมชนหรือทุนในชุมชน อาทิวัฒนธรรม ประเพณีสภาพภูมิประเทศ ความหลากหลายทางทรัพยากรที่มีอยู่ (ศิริพร สัจจานันท์, “แนวคิดเศรษฐศาสตร์ ทางเลือกแนวคิดเศรษฐกิจชุมชน,” สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช) เป้าหมายส าคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน คือ เพื่อพัฒนาศักยภาพตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว และ ชุมชน โดยใช้กิจกรรมเศรษฐกิจสร้าง “กระบวนการเรียนรู้” ซึ่งจะทาให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ ในขณะเดียวกันยังมุ่ง พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ฯลฯ หรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอย่างบูรณาการ (สยามรัฐออนไลน์, “ประเทศไทย 4.0 อย่าลืมเศรษฐกิจ ชุมชน) สรุปได้ว่า แนวคิดเศรษฐกิจชุมชน หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของชุมชนซึ่ง ประกอบด้วยกิจกรรมทางการผลิต การบริโภค การจ าหน่ายจ่ายแจกที่คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมท า ร่วมรับ ประโยชน์ และร่วมกันเป็นเจ้าของ โดยการด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีฐานมาจากศักยภาพของชุมชน ภูมิปัญญา ของชุมชนหรือทุนในชุมชน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน โดยการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนจะมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 2.1 ความหมายของเศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจชุมชนนั้นมีผู้ให้ความหมายไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 “เศรษฐกิจ” หมายถึง งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจ าหน่ายจ่ายแจก และการบริโภค ใช้สอย สิ่งต่าง ๆ ของชุมชน


10 “ชุมชน” หมายถึง หมู่ชน กลุ่มคนที่อยู่รวมกันเป็นสังคมขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน และมีผลประโยชน์ร่วมกัน ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการด าเนินงานโครงการเศรษฐกิจชุมชน พ.ศ. 2541 ได้ให้ความหมายไว้ว่า เศรษฐกิจชุมชน หมายถึง เศรษฐกิจทุกสาขาของชุมชนและหมู่บ้านซึ่งด าเนินอยู่บนพื้นฐาน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสม คุ้มค่าและยั่งยืน เป็นการผลิตที่เลี้ยงชีวิต ครอบครัว และชุมชนได้อย่างพอเพียง ส่วนเกินแห่งผลผลิตนี้เป็นเศรษฐกิจแห่งการแลกเปลี่ยนซื้อขาย หรือแปรรูปตามก าลัง และวัฒนธรรมของชุมชนเอง สัมพันธ์ เตชะอธิก เสนอค าว่าเศรษฐกิจชุมชนที่มีความหมายครอบคลุมค าอื่น เช่น เศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพึ่งตนเอง มีนัยทางหลักการและแนวคิดเหมือนกัน และน าไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของ ชุมชนนี้ มีนัยของความยั่งยืน 6 ประการ ดังนี้ 1) การพึ่งตนเองได้ทางเศรษฐกิจ เริ่มจากสิ่งที่มีอยู่ไม่เป็นหนี้หรือเป็นหนี้น้อย ๆ ลดความต้องการวัตถุ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการผลิต โดยการศึกษา เรียนรู้ แบ่งปันความรู้ เทคนิคและทรัพยากรด้วยกันเองและ ภายนอก ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีความขยันหมั่นเพียร ด ารงชีวิตอย่างมีอิสระและศักดิ์ศรีมีความสมดุลทั่วภายใน ครอบครัวและการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายเกื้อกูลกัน 2) การดูแลรักษาสุขภาพตนเองได้ รู้จักการกินอยู่หลับนอน การพึ่งตนเองทางสุขภาพ ศึกษา หาความรู้ สาเหตุอาการทางสุขภาพ 3) การรวมกลุ่มวิเคราะห์ปัญหาและทางเลือกจนน าไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ เน้นการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในหลากหลายกลุ่ม เปิดเวทีส ารวจปัญหาและทางเลือกที่แก้ไขได้จริงร่วมกัน 4) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยชุมชน ด้วยจิตส านึกความเป็นเจ้าของ และมี ส่วนร่วมในการดูแลรักษาฟื้นฟูอนุรักษ์และพัฒนา โดยมีหลักคิดคนอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ 5) การด ารงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวการอยู่ร่วมกัน ในครอบครัวและชุมชน โดยไม่ละเลยและให้ความส าคัญกับความเป็นท้องถิ่นที่มีองค์ความรู้ในการด ารงความเป็น ชุมชนอย่างยั่งยืน 6) การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชุมชน เน้นกระบวนการผลิต การแปรรูป ลดการใช้สารเคมี การ น าเข้าเครื่องจักรกล พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และส่งเสริมเทคโนโลยีพื้นบ้าน (สัมพันธ์ เตชะอธิก, การวิจัยเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ในเอกสารประกอบการเสวนา ทางวิชาการ เรื่อง “การวิจัยเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น : ภาคเหนือ” จัดโดยคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์และส านักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2545 ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย นเรศวร: 4, อ้างถึงใน อัครเจตน์ ชัยภูมิ, “แนวคิดเศรษฐกิจชุมชน: เหลียวหลัง แลหน้า น าพาเศรษฐกิจชุมชน สู่ทางรอด The economic community concept: Look back, Go forward ,Bring Economic Community to survive,”


11 สรุปได้ว่าเศรษฐกิจชุมชน หมายถึง กลุ่มคนที่อยู่รวมกันเป็นสังคมขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณ เดียวกันและมีผลประโยชน์ร่วมกัน ด าเนินอยู่บนพื้นฐานการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่าง เหมาะสม คุ้มค่าและยั่งยืน เป็นการผลิตที่เลี้ยงชีวิต ครอบครัวและชุมชนได้อย่างพอเพียง 2.2 รูปแบบการด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเศรษฐกิจชุมชน ด้วยเศรษฐกิจชุมชนเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายและครอบคลุมการด าเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งการผลิต การบริโภค การแปรรูป และการขาย ซึ่งกิจกรรมในกระบวนการนี้อาจจ าแนก ได้ดังต่อไปนี้ 1) การเกษตรต่อเนื่องการเกษตรและนอกการเกษตร ประกอบไปด้วย ผลิตภัณฑ์จากผ้า เช่น การท า ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ ผ้าไหม มัดหมี่ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์จักสานไม้ไผ่และหวาย เช่น ตะกร้า เข่ง กระจาด เป็นต้น ผลิตภัณฑ์อาหารและการแปรรูป เช่น ไวน์จากผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น 2) กิจกรรมลานค้าชุมชน ได้แก่ การจัดหาพื้นที่ที่ชาวบ้านน าผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดซึ่งร้านค้าอาจตั้ง ในตลาดชนบท ตลาดเมือง โดยปลอดการเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ 3) กิจกรรมร้านค้าชุมชน ได้แก่ การส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันตั้งร้านค้าเพื่อขายผลิตภัณฑ์ ของตน ซึ่งมักมีความเกี่ยวพันกับกิจกรรมการออมทรัพย์ การระดมหุ้น ระดมทุน การผลิต และการแปรรูป ซึ่งถือว่า เป็นวงจรที่กลุ่มเกษตรกรผู้มีประสบการณ์จัดตั้งขึ้น 4) การท่องเที่ยว ประเทศไทยอุดมไปด้วยแหล่งโบราณสถาน น้ าตก แม่น้ า ล าคลอง และทิวทัศน์ ธรรมชาติ ซึ่งการฟื้นฟูความส าคัญของสิ่งเหล่านี้จะท าให้ผู้คนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเข้ามาเที่ยว เป็น โอกาสให้คนในชุมชนสามารถเก็บเงินค่าขนส่งและการขายผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นของฝากหรือของที่ระลึกได้ 5) ศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ หรือเรียกว่า ศูนย์One-Stop-Service เป็นการจัดตั้งเพื่อเจริญรอย ตามพระราชด าริที่ว่าควรมีสถานที่ที่เกษตรกรสามารถแสวงหาข้อมูล ค าแนะน าในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์บก สัตว์น้ า การใช้น้ า บ ารุงดิน การป้องกันและปราบศัตรูพืช การลงทุน การตลาด การแปรรูปผลผลิต เป็นต้น ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนั้น ยังมีการแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ตามเกณฑ์ของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดย เป็นผลิตภัณฑ์ในโครงการหนึ่งต าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(One Tampon One Product) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการสร้างงาน สร้างรายได้ด้วยการน าทรัพยากร และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีจุดเด่น และมีมูลค่าเพิ่มเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ของโครงการนี้ออกได้เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ประเภท อาหาร ประเภทเครื่องดื่ม ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย ประเภทของใช้ ของตกแต่งและของที่ระลึก และประเภท สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร สรุปได้ว่า การด าเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเศรษฐกิจชุมชนเป็นการรวมกลุ่มกันภายใต้ข้อก าหนด ร่วมกันในรูปแบบต่างๆตามจุดประสงค์การด าเนินการเศรษฐกิจชุมชนสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างงานสร้างรายได้ด้วยการน าทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นสินค้าที่มี คุณภาพมีจุดเด่นและมีมูลค่าเพิ่มเป็นที่ต้องการของตลาด


12 3. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมโดยชุมชน ปัจจุบันในการด าเนินการแก้ไขปัญหาป่าไม้ทั้งรัฐและเอกชน ต่างพยายามแสวงหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด ทุกฝ่ายต่างให้ความส าคัญกับแนวคิดเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวยิ่งขึ้น ในการศึกษาครั้งนี้จึงได้น าแนวคิดเรื่องการมีส่วนร่วมมาใช้เป็นกรอบแนวคิดเพื่อ อธิบายคุณลักษณะของประชาชนและองค์กรในท้องถิ่นที่เข้าร่วมในการบริหารและจัดการป่าชุมชนของตนเอง เพื่อให้ทราบถึงความหมาย องค์ประกอบ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมก่อนที่จะน าไปเป็นกรอบและ แนวทางในการศึกษา ดังต่อไปนี้ เสน่ห์ จามริก (2547) กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนว่าที่แท้จริงนั้นคือการที่ประชาชนมีโอกาสอย่าง อิสระ ปราศจากการแทรกแซง ครอบง า บังคับ ให้ได้พัฒนาขีดความสามารถของตนเองในการจัดแจง ใช้ควบคุม ระดมทรัพยากร และปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในชุมชนมาใช้ประโยชน์เพื่อการด ารงชีพตามความจ าเป็นอย่างสมศักดิ์ศรี ในฐานะสมาชิกของสังคม เป็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และภูมิปัญญาซึ่งแสดงออกในรูปของการตัดสินใจที่จะ ก าหนดวิถีชีวิตของตนอย่างเชื่อมั่นเพื่อเป้าหมายแห่งการพึ่งตนเองได้ในที่สุด สอดคล้องกับทวีทอง (2527, หน้า 1- 2) ที่กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนคือการที่ประชาชนหรือชุมชนพัฒนาขีดความสามารถของตนเองในการ จัดการ กระจายทรัพยากร และปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในสังคมเพื่อประโยชน์ต่อการด ารงชีพทางเศรษฐกิจและสังคม โดยได้พัฒนาการรับรู้และภูมิปัญญา ซึ่งแสดงออกในรูปแบบการตัดสินใจการก าหนดชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง ไพรัตน์ เตชะรินทร์ (2527) กล่าวว่า ความต้องการที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามีมาแต่ โบราณ ตั้งแต่มนุษย์อยู่ร่วมกันหรืออีกนัยหนึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับที่มีการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ชาติจะ แตกต่างก็แต่ในรูปแบบและวิธีการเท่านั้น การเข้าร่วมพัฒนาอาจท าโดยบังคับ โดยสมัครใจโดยความจ าเป็น การเข้า ร่วมอาจเกิดจากการชักชวนของผู้น าชุมชนหัวหน้าเผ่า หัวหน้า หมู่บ้าน ข้าราชการ ผู้มีอ านาจหน้าที่ หรือแม้กระทั่ง รัฐบาลหรือองค์กรเอกชน การเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมอาจท าในระยะสั้น ระยะยาวต่อเนื่อง อาจกระท าตาม นโยบายที่ก าหนดหรือท าตามความจ าเป็นที่อยู่ร่วมกันในชุมชนที่ต้องช่วยกันเพื่อความอยู่รอดและอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุข จากการศึกษาแนวคิดการมีส่วนร่วมข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า เป็นการเข้าร่วมพัฒนาอาจท าโดยบังคับ โดยสมัครใจ โดยความจ าเป็น ของประชาชนหรือชุมชนพัฒนาเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตนเองในการจัดการ กระจายทรัพยากรและปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในสังคม เพื่อประโยชน์ต่อการด ารงชีพทางเศรษฐกิจและสังคม การมอบ อธิปไตยขั้นพื้นฐานคืนสู่ประชาชนโดยได้พัฒนาการรับรู้และภูมิปัญญา ซึ่งแสดงออกในรูปแบบการตัดสินใจการ ก าหนดชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเองเพื่อความอยู่รอดและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข 3.1 ความหมายการมีส่วนร่วมโดยชุมชน ท านอง ภูเกิดพิมพ์ (2551) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมว่า การมีส่วนร่วมหมายถึง การท างาน ร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความคิด ความเชื่อ และความยึดมั่นของแต่ละบุคคล แต่ละหน่วยงาน แต่ละองค์กร อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับกาลเวลาแต่ละยุคแต่ละสมัยอีกด้วย การมีส่วนร่วมเป็นหัวใจของ การเสริมสร้างพลังการท างานร่วมกันเป็นกลุ่ม (Teamwork) ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเพราะการมีส่วนร่วมท า ให้ผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนร่วมเข้าใจสถานการณ์และอุทิศตนมากยิ่งขึ้น


13 Cohen and Uphoff (1981) ได้ให้ความหมาย การมีส่วนร่วมของชุมชนไว้ว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน หมายถึง การสร้างโอกาสให้สมาชิกทุกคนของชุมชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือและเข้ามามีอิทธิพลต่อ กระบวนการด าเนินกิจกรรมในการพัฒนา รวมถึงได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนานั้นอย่างเสมอภาค องค์การสหประชาชาติ (United Nation, 1981) และรีเดอร์ (Reeder, 1974) ได้ให้ความหมายเจาะจงถึง การมีส่วนร่วมไว้ว่า การมีส่วนร่วม เป็นการปะทะสังสรรค์ทางสังคมทั้งในลักษณะการมีส่วนร่วมของปัจเจกบุคคล และการมีส่วนร่วมของกลุ่ม สรุปความหมายของการมีส่วนร่วมของชุมชน คือการร่วมมือเพื่อเป้าหมายของทุก ๆ ชุมชนที่ต้องการให้คน ในชุมชนร่วมมือกันในการพัฒนาชุมชนให้บรรลุเป้าหมาย แต่ถ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวก็เพื่อให้เกิดความยั่งยืนซึ่ง จะต้องประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆเพื่อที่จะท าให้การมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3.2 รูปแบบการมีส่วนรวมโดยชุมชน World Health Organization อ้างโดย อนงค์ (2535 หน้า 42) กล่าวว่า รูปแบบของการมีส่วนร่วมของ ประชาชนจะต้องประกอบด้วยกระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ (1) การวางแผน (Planning) ประชาชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์จัดล าดับความส าคัญตั้งเป้าหมาย ก าหนดการใช้ทรัพยากร ก าหนดวิธีการติดตามประเมินผลและการตัดสินใจ (2) การด าเนินกิจกรรม (Implementation) ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการและการบริหารการใช้ ทรัพยากร มีความรับผิดชอบในการจัดสรร การควบคุมการเงินและบริหาร (3) การใช้ประโยชน์ (Utilization) ประชาชนมีความสามารถน าเอากิจกรรมมาใช้ประโยชน์ได้เป็นการ เพิ่มระดับของการพึ่งพาตนเอง และการควบคุมทางสังคม (4) การได้รับผลประโยชน์ (Obtaining benefits) ประชาชนต้องได้รับการแจกจ่ายผลประโยชน์ จากชุมชนในพื้นฐานที่เท่ากัน องค์การสหประชาชาติ (1981) อ้างโดย อนงค์ พัฒนจักร (2535 หน้า 3) ได้รวบรวมรูปแบบของการมี ส่วนร่วมไว้ 3 รูปแบบ คือ (1) การมีส่วนร่วมแบบเป็นไปเอง (Spontaneous) เป็นการอาสาสมัครหรือรวมตัวกันเอง (2) การมีส่วนร่วมแบบชักน า (Induced) เป็นการเข้าร่วมโดยความต้องการความเห็นชอบหรือการ สนับสนุนโดยรัฐบาล (3) การมีส่วนร่วมแบบบังคับ (Coercive) เป็นการเข้าร่วมภายใต้การจัดการของเจ้าหน้าที่รัฐหรือ โดยการบังคับโดยตรง Cohen และ Uthoff (1977 หน้า 7-9) อ้างโดย รัชนก (2549 หน้า 13) ได้แบ่งระดับขั้นของการมีส่วนร่วม มี 4 ระดับ ดังนี้ (1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) (2) การมีส่วนร่วมในการด าเนินการ (Implementation) (3) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ (Benefit) (4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation)


14 3.3 ขั้นตอนการมีส่วนร่วมโดยชุมชน การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน เพื่อการกระท ากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้เกิดประโยชน์ต่อ ชุมชนนั้น มีนักวิชาการได้เสนอเกี่ยวกับขั้นตอนการมีส่วนร่วมของชุมชนไว้ ดังนี้ Cohen and Uphoff (1981) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการมีส่วนร่วมของชุมชนไว้ว่า สมาชิกของชุมชนจะต้อง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน 4ขั้นตอน ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วมการตัดสินใจว่าควรท าอะไรและท าอย่างไร (2) การมีส่วนร่วมเสียสละในการพัฒนา รวมทั้งลงมือปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจ (3) การมีส่วนร่วมในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการด าเนินงาน (4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ Fomaroff (1980) เสนอว่ากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน มีขั้นตอนการมีส่วนร่วม ดังนี้ (1) การวางแผน การตัดสินใจในการก าหนดเป้าหมาย (2) การติดตามประเมินผล (3) การค าเนินงาน (4) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ในขณะเดียวกัน อภิญญา กังสนารักษ์ (2544) ได้น าเสนอขั้นตอนการมีส่วนร่วมของชุมชนว่า ชุมชนต้องมีส่วนร่วมใน 4ขั้นตอน คือ (1) การมีส่วนร่วมในการริเริ่มโครงการ ร่วมค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาภายในชุมชน ร่วมตัดสินใจก าหนดความต้องการและร่วมล าดับความส าคัญของความต้องการ (2) การมีส่วนร่วมในขั้นการวางแผน ก าหนดวัตถุประสงค์ วิธีการ แนวทางการด าเนินงาน รวมถึง ทรัพยากรและแหล่งวิทยากรที่จะใช้ในโครงการ (3) การมีส่วนร่วมในขั้นตอนการด าเนินโครงการ ท าประโยชน์ให้แก่โครงการ โดยร่วมช่วยเหลือ ด้านทุนทรัพย์วัสดุอุปกรณ์และแรงงาน (4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ เพื่อให้รู้ว่าผลจากการด าเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่ ก าหนดไว้หรือไม่ โดยสามารถก าหนดการประเมินผลเป็นระยะต่อเนื่องหรือประเมินผลรวมทั้งโครงการในคราวเดียว ก็ได้ อคิน รพีพัฒน์ (2547) ได้แบ่งขั้นตอนการมีส่วนร่วมออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ (1) การก าหนดปัญหาและค้นหาสาเหตุของปัญหา ตลอดจนแนวทางแก้ไข การตัดสินใจเลือกแนว ทางการพัฒนา (2) การวางแผนพัฒนา แก้ไขปัญหา (3) การปฏิบัติงานในกิจกรรมการพัฒนาตามแผน (5) การประเมินผลงานกิจกรรมการพัฒนา ไพรัตน์ เตชะรินทร์ (2527) กล่าวถึงขั้นตอนของการมีส่วนร่วมในการด าเนินงานเรื่องให้บรรลุวัตถุประสงค์ และนโยบายการพัฒนาที่ก าหนดไว้ 8 ประการ คือ


15 (1) ร่วมท าการศึกษาค้นคว้าปัญหาและสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์การ (2) ร่วมคิดหรือสร้างรูปแบบวิธีการพัฒนาเพื่อแก้ไขและลดปัญหาขององค์การหรือเพื่อสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์การ หรือสนองความต้องการขององค์การ (3) ร่วมวางนโยบายหรือแผนงานหรือโครงการ หรือกิจกรรมเพื่อขจัดหรือแก้ไขและสนองความ ต้องการขององค์การ (4) ร่วมตัดสินใจการใช้ทรัพยากรที่มีจ ากัดให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม (5) ร่วมจัดหรือปรับปรุงระบบบริหารงานพัฒนาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (6) ร่วมการลงทุนโครงการของชุมชน ตามขีดความสามารถของตนเองและของหน่วยงาน (7) ร่วมปฏิบัติตามนโยบาย แผนงาน โครงการและกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ร่วมควบคุม ติดตามประเมินผลและร่วมบ ารุงรักษาโครงการและกิจกรรมที่ท าไว้ ทั้งภาครัฐและเอกชนให้เกิดประโยชน์ได้ ตลอดไป สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมโดยชุมชนเป็นกระบวนการที่ประชาชนเข้ามาร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ แก้ไข ปัญหา ร่วมกันพัฒนาเพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นเกิดความเข้มแข็ง และสามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนได้เป็น อย่างดี 4. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับ BCG การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ให้ความส าคัญกับการกระจายโอกาส รายได้ และความเจริญ ไปสู่ประชาชนของ ประเทศอย่างทั่วถึง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภายใต้เงื่อนไขการดูแลทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ซึ่งต้อง อาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เข้าไปยกระดับผลิตภาพของผู้ผลิตส่วนใหญ่ที่อยู่ที่ฐานของ ปิรามิดด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนและนวัตกรรมการจัดการที่จะน าไปสู่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องส่งเสริมผู้ประกอบการนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise) ที่มีความพร้อมในส่วนยอดของปิรามิดให้ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมุ่งเป้าสู่ การเป็นประเทศที่เป็นผู้สร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมในท้ายที่สุด ลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพิ่มโอกาสในการเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยี 4.1 ความหมายของ BCG BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) คือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นแนวคิดการน าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไป ยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรม เกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการ ท่องเที่ยวและบริการ โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตที่เป็น ฐานการผลิตเดิม เช่น เกษตรกรและชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการที่มี มูลค่าเพิ่มสูงหรือนวัตกรรม


16 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ สามารถออกแบบ ผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด (Eco-design & Zero-Waste) ส่งเสริมการใช้ซ้ า (Reuse, Refurbish, Sharing) และให้ความส าคัญกับการจัดการของเสียจากการผลิตและบริโภค ด้วยการน าวัตถุดิบ ที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพเพื่อกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle) ซึ่งต่างจาก ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ที่เน้นการใช้ทรัพยากร การผลิต และการสร้างของเสีย (Linear Economy) การบริหารจัดการจากหน่วยงานเครือข่ายซึ่งประกอบด้วยสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐและ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิก น ามาสู่ชุดความรู้เพื่อการบริหารจัดการขยะจากเปลือก โกโก้ โดยยึดหลักการ 3H ซึ่งประกอบด้วย Heart สมาชิกวิสาหกิจชุมชนออร์แกนิกเปิดใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ที่จะเข้ามากระทบกับวิถี ชีวิตโดยปรับมุมมอง ทัศนคติ โดยยึดประโยชน์ของชุมชนเป็นส าคัญ Head เปิดประเด็นความคิดที่เป็นเป้าหมายร่วมกันเพื่อน าไปสู่การหาเครื่องมือหรือแนวทางการ ปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชนในการจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของ สมาชิก Hand ลงมือปฏิบัติ และร่วมแลกเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ที่ได้รับจากการจัดการสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณค่าและมูลค่าเพิ่มของชุมชน น ามาซึ่ง “บันได 4 ขั้น” การปรับตัวเพื่อเป็นเกษตรกรยุคใหม่ ดังนี้


17 บันไดขั้นแรก “เรียนรู้” เนื่องจากเรายังมีข้อจ ากัดอยู่ “ควรค านึงถึงความอยู่รอดเป็นส าคัญ” การเริ่มต้น ด้วยการศึกษาเคล็ดลับและบทเรียนจากผู้อื่นมาลงมือท าด้วยตนเอง “โดยไม่ด่วนตัดสินใจท าอะไรตามกระแส” จะท าให้เกิดประสบการณ์ตรง หากยังมีข้อจ ากัดด้านพื้นที่เพาะปลูก อาจเริ่มจากพื้นที่ขนาดเล็ก เงินลงทุนน้อย ๆ หรือหากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง การขอแบ่งเช่าจากญาติพี่น้อง จากเพื่อนบ้าน หรือขอผู้น าชุมชนใช้ประโยชน์ ที่ดินสาธารณะถือเป็นทางออกที่น่าสนใจ บันไดขั้นที่ 2 “พัฒนาทักษะ” เมื่อเรามีความพร้อมในการท าเกษตรแล้ว ควรเลือกตัดสินใจท าในสิ่งที่ ตนเองช านาญ เพื่อยกระดับทักษะฝีมือไปสู่อาชีพหลัก สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง เช่น เลือกปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ ที่ตนเองถนัด เป็นต้น บันไดขั้นที่ 3 “ขยับขยาย” ต่อยอดไปสู่การท าเกษตรเชิงพาณิชย์ โดยใช้เทคโนโลยีร่วมกับการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ในขนาดปริมาณที่มากขึ้น หรือเน้นที่คุณภาพเพื่อพลิกบทบาทก้าวไปสู่ผู้ประกอบการเกษตร (Arbitrageur) ที่มีทั้งความรู้ด้านเกษตร และสามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้อย่างเหมาะสม บันไดขั้นที่ 4 “ยั่งยืน” เมื่อเราสามารถสร้างฐานะจากการท าเกษตรได้แล้ว ควรที่จะวางแผนให้อยู่รอด อย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและอ านาจต่อรอง เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดได้ในระยะยาว เช่น การรวมกลุ่มก่อตั้งเป็น “วิสาหกิจชุมชน” เป็นต้น รูปแบบที่เหมาะสมของการสร้างนวัตกรรมจากเปลือกโกโก้ จากการระดมสมองและการจัดการความรู้จาก กระบวนการดังกล่าวข้างต้น สรุปเป็นมติร่วมกันจะใช้หลักการ BCG Model BCG ย่อมาจาก “Bio-Circular-Green” Economy หรือการผสมผสานของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ (bio) เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular) และเศรษฐกิจสีเขียว (green) ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่จ าเป็นที่จะต้องน ามา สู่การปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง เพื่อเตรียมความพร้อมปรับตัวต่อความท้าทายของโลก อาทิการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ พลังงาน และอาหาร ที่เชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อกัน และเพื่อปรับให้ระบบเศรษฐกิจมีความสมดุล และความยั่งยืนมากขึ้น เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio economy) หรือ เศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Biobased economy) มาจาก ฐานคิดของการใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งของการมีทรัพยากรชีวภาพ (biological resources) ภาคการเกษตร และผลผลิต ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนที่แท้จริง (engine) แต่การผลิตแบบเดิมจะต้องมุ่งหน้าสู่โจทย์ใหม่ของการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ซึ่งท าได้ด้วยการน าความรู้ องค์ความรู้จากท้องถิ่นเอง เสริมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สามารถ สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่ของการผลิตนี้ พร้อมกับที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของภาคการเกษตรที่มีแต่เดิมเฉก เช่นพืชผล (ที่ไม่มีการเพิ่มมูลค่า) มีราคาผันผวนอยู่เสมอและสร้างรายได้น้อย เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) เข้ามาช่วยไขวงจรปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากร มลพิษและของเสีย ที่เป็นผลจากระบบเศรษฐกิจแบบเส้นตรง (linear economy) หรือการผลิตแบบใช้แล้วทิ้งซึ่งก่อ ขยะมหาศาล โดยเศรษฐกิจหมุนเวียนจะให้ความส าคัญกับ “การจัดการขยะ” ภายหลังจากการบริโภคแล้วและ “การลดปริมาณของเสียให้น้อยลงหรือเท่ากับศูนย์” (Zero Waste) ให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมากที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ตั้งแต่การผลิต การออกแบบที่ให้เกิดของเสียน้อยที่สุด การใช้วัสดุทางเลือก ตลอดจนการน าวัสดุ กลับมาใช้ซ้ า (Reuse, Refurbish, Sharing) และแปรสภาพกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Upcycle)


18 เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) เน้นใจความของการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนา สังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่าง “สมดุล” ให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพโดยลดหรือไม่ให้มีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม พร้อมกับปกป้อง-อนุรักษ์-ฟื้นฟูแหล่งธรรมชาติ ต้นน้ า ผืนดิน ความหลากหลายทางชีวภาพบนบกและ ท้องทะเล การควบคุมมลพิษและของเสีย การลงทุนสีเขียวและงานสีเขียว ตลอดจนการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน โดยที่มี “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของคนเป็นเป้าหมาย 4.2 ความส าคัญของ BCG BCG เป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอย่างน้อย 5 เป้าหมาย ได้แก่ การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความ หลากหลาย ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การลดความเหลื่อมล้ า อีกทั้งยังสอดรับกับปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงซึ่งเป็นหลักส าคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย BCG มีความส าคัญต่อประเทศสูงทั้งในมิติด้านสังคมเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ การจ้างงานมากถึงครึ่งหนึ่งของจ านวนการจ้างงานรวม มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจรวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งครอบคลุม 4 สาขา คือ เกษตรและอาหาร สุขภาพและ การแพทย์ พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยทั้ง 4 สาขายุทธศาสตร์ดังกล่าว สามารถพัฒนาอย่างอิสระ แต่การเชื่อมโยงและพัฒนาไปพร้อมกันทั้ง People-Planet-Profit จะก่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุด โดยมีแนวทางในการด าเนินการที่ส าคัญในแต่ละสาขา ดังนี้ 4.2.1 การเกษตรและอาหาร ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่า GDP ของสาขาเกษตรเติบโตในอัตราติดลบ การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรทั้งระบบจะท าให้มีศักยภาพในการเพิ่ม GDP ของภาคเกษตรได้สูงขึ้นเป็น 1.7 ล้านล้านบาท ด้วยการเพิ่มความหลากหลายของผลผลิตทางการเกษตร มีระบบสนับสนุนการตัดสินใจจาก เทคโนโลยีการวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค (Customer Behavior Analytics) ก่อให้เกิดการผลิตแม่นย า สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ลดของเหลือทิ้ง (Optimized Wasted Production) ตรวจสอบและติดตาม ผลผลิตได้แบบเรียลไทม์ ลดการบุกรุกผืนป่า (Forest Management) เนื่องจากมีการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูก ตามความเหมาะสมของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีระบบการผลิตและเครื่องจักรกลที่เหมาะสม โดยค านึงถึงความยั่งยืน การยกระดับสินค้าเกษตรสู่สินค้าปลอดภัย การสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Product Diversification) การสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ (Product Differentiation) การมีระบบ ตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) และการพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรให้ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในส่วน ของผลิตภัณฑ์อาหารมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า GDP จาก 0.6 ล้านล้านบาท เป็น 0.9 ล้านล้านบาท ด้วยการพัฒนา ต่อยอดจากพื้นฐานความพร้อมของผู้ประกอบการไทยในการยกระดับคุณภาพ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัย ของผลิตภัณฑ์ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารส าหรับแต่ละช่วงวัย หรือการ พัฒนาเป็นสารประกอบมูลค่าสูง (Functional Ingredient) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดเติบโตอย่างมาก


19 4.2.2 สุขภาพและการแพทย์ในปัจจุบันประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและ การแพทย์โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์มีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากการขาด การพัฒนาอุตสาหกรรมรวมถึงการสร้างบุคลากรด้านนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ความเข้มแข็งของบุคลากรวิจัย ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์ของประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในต้นน้ าของห่วงโซ่อุตสาหกรรม การแพทย์ ประเทศไทยจึงขาดศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาและ เวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสากล ประเทศไทยจึงต้องเร่งรัดการพัฒนาขีดความสามารถด้านการสร้าง นวัตกรรม ยา วัคซีน ยาชีววัตถุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการวิจัยทางคลินิกและการบริหารจัดการข้อมูล วิทยาศาสตร์การแพทย์รองรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ เพื่อลดการน าเข้า ให้ความส าคัญกับนโยบายป้องกันการเกิด ปัญหาสุขภาพด้านการแพทย์ (Preventive Medicine) มากกว่านโยบายด้านการรักษา การขยายบริการด้านสุขภาพ ไปสู่การให้บริการทางการแพทย์เฉพาะบุคคล (Precision Medicine) ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรม รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มการวิจัยทางคลินิกของประเทศประกอบการสอดประสานการท างานกับฝ่ายก ากับดูแล ของรัฐ (Regulatory Body) ด้วยแนวทางดังกล่าว รัฐจะสามารถเพิ่มมูลค่า GDP ในหมวดนี้ เป็น 90,000 ล้านบาท 4.2.3 พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ มูลค่า GDP ของสาขาพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ มีมูลค่ารวมกัน ประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท ในกลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการเพิ่ม สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2579 ในส่วนของพลังงานมีศักยภาพในการสร้าง มูลค่าเพิ่มด้วยการพัฒนานวัตกรรมการผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถรองรับของเสียที่หลากหลายทั้งชนิด และคุณสมบัติ เช่น ขยะจากอุตสาหกรรม ครัวเรือน รวมถึงของเหลือทิ้งทางการเกษตร ของเสียเหล่านี้เป็น ทรัพยากรที่สามารถน ากลับมาใช้ใหม่ในรูปของแหล่งพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ได้แก่ การผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ (Refuse Derived Fuel, RDF) ก๊าซชีวภาพที่น าไปสู่การสร้าง Site Reference ของโรงไฟฟ้าชุมชน (Community-based Biomass Power Plant) ที่มีแหล่งพลังงานทดแทนในพื้นที่ (Distributed Energy Resources, DERs) เช่น พลังงานจาก แสงอาทิตย์ ชีวมวล (รวมขยะ) และก๊าซชีวภาพที่เพียงพอ โรงไฟฟ้า ชุมชนสามารถสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าผ่านการเชื่อมต่อระบบด้วย Smart Microgrid และใช้เทคโนโลยี Blockchain เป็นแพลตฟอร์มในการบริหารจัดการ ทั้งนี้จ าเป็นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบการจัดเก็บ พลังงาน (Energy Storage System) เนื่องจากมีความส าคัญต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงาน ทดแทนในส่วนของวัสดุและเคมีชีวภาพมีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด ผลผลิตทางการเกษตรและของเสียไป เป็นสารประกอบหรือผลิตภัณฑ์เคมีและวัสดุชีวภาพที่มีมูลค่าสูง อาทิ พลาสติกชีวภาพ ไฟเบอร์ เภสัชภัณฑ์ ด้วยแนวทางทั้งหมดดังกล่าวข้างต้นมีศักยภาพในการเพิ่ม มูลค่า GDP มากกว่า 2.6 แสนล้านบาท


20 5. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการตลาด การตลาด หมายถึง กิจกรรมที่บริษัทด าเนินการเพื่อส่งเสริมการซื้อหรือขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึง การโฆษณา การขาย และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคหรือธุรกิจอื่น ๆ โดยที่ก่อให้เกิดก าไรแก่บริษัทและ ความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค ส่วนแนวความคิดทางการตลาดก็คือการที่บริษัทวางแผนและด าเนินการเพื่อเพิ่มผล ก าไรสูงสุดโดยการกระตุ้นยอดขาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการแซงหน้าคู่แข่งขัน การน าแนว ความคิดทางการตลาดไปใช้ให้ได้ผลดีต้องเข้าใจ 3 ส่วนนี้ก่อน ได้แก่ Needs คือ ความอยากได้ อยากครอบครองสิ่งได้สิ่งหนึ่ง เช่น อาหาร ที่พักพิง การพัฒนาตนเอง ความมั่นคง สังคม ความนับถือตนเอง และความเคารพ Wantsคือความต้องการ ความปรารถนาในชีวิตของแต่ละบุคคล ทั้งทางสังคมและวัฒนธรรม Demands คือ สิ่งที่มาสนับสนุนความอยาก ความต้องการของเราได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถใช้เงินเพื่อ แลกเปลี่ยนให้ได้สิ่งเหล่านี้มา หรือพูดง่าย ๆคือความต้องการซื้อเมื่อเราเจอสิ่งใดที่สามารถสนับหรือตอบสนองสิ่งที่ เราต้องการได้ ฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ได้ให้แนวคิดการตลาดไว้ว่าการตลาด คือ การส่งมอบ คุณภาพ บริการ และคุณค่าไปสู่ลูกค้า หน้าที่ของนักการตลาด จึงหมายถึง การแปรความต้องการของผู้คนให้กลายเป็นโอกาสในการ สร้างผลก าไรให้กับธุรกิจ นักการตลาดที่ดีจะต้องมีเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พยายามค้นหาข้อเสนอ สินค้า บริการ และข้อมูลข่าวสาร น ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างถูกที่ถูกเวลาจุดมุ่งหมายทางการตลาด เพิ่มผลก าไรให้มากที่สุดในระยะยาว การตลาดที่แท้จริงก็คือการผลักดันกลยุทธ์ธุรกิจ ไม่เน้นขายเกินไป แต่ควร สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ 5.1 ความหมายของการตลาด Phillip Kotler ให้ความหมายการตลาดว่า“เป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่จะด าเนินเพื่อให้มีการตอบสนองความ พอใจ และความต้องการต่างๆโดยอาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยน” E. Jerome McCarthy ให้ความหมายการตลาดว่า “เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมทั้งหลายที่เกี่ยวกับ ความพยายามให้องค์การบรรลุผลส าเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยอาศัยการคาดหมายความต้องการต่าง ๆ ของลูกค้า และยังรวมถึงการที่สินค้าและบริการผ่านจากผู้ผลิตไปยังลูกค้า เพื่อตอบสนองความพอใจให้กับลูกค้า” Kotler (2003) ได้ให้ความหมายของตลาด ว่าเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่จะด าเนินเพื่อให้มีการตอบสนอง ความพอใจ และความต้องการต่าง ๆ โดยอาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยน เพื่อค้นหาความจ าเป็นและความต้องการของ มนุษย์ แล้วจึงวิเคราะห์ออกมาเพื่อที่จะหาสินค้าหรือบริการที่มาสนองตอบความต้องการนั้น ๆ คณะกรรมการสมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา ให้ความหมายการตลาดว่า “เป็นการปฏิบัติทางธุรกิจที่ เกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในการให้สินค้าและบริการผ่านจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือผู้ใช้ ให้ได้รับความพอใจ ขณะเดียวกันก็บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการ”


21 5.2 หลักการของการตลาด Philip Kotler และ E. Jerome McCarth (1967) ได้ให้ของการตลาด 4P นั้นปะกอบไปด้วย 4 อย่าง ซึ่งก็คือ Product, Price, Promotion และ Place แต่ละข้อก็มีความหมายและความส าคัญต่างกัน แต่จะท างานควบคู่ไป ด้วยกันอยู่เสมอ 1. Product สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของธุรกิจนั้น ๆ ที่เป็นเหมือนหัวใจหลักของธุรกิจนั้นเอง ซึ่งอาจจะเป็น สินค้าที่ต้องการขาย สินค้าที่สนองความต้องการของผู้บริโภค และจะต้องมีคุณภาพด้านความเหมาะสมในการใช้งาน คุณภาพด้านการออกแบบและคุณภาพตามมาตรฐานที่ก าหนดไว้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดภาพลักษณ์ของ ร้านค้าอีกด้วยครับ 2. Price กลยุทธ์ในการก าหนดราคาสินค้า เนื่องจากลูกค้าแต่ละกลุ่มมีความสามารถและพฤติกรรมในการ ใช้เงินต่างกัน นอกจากนั้นแล้วสินค้าบางชนิดก็มีมูลค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับราคาและมุมมองของตลาดด้วย ซึ่งกลยุทธ์ด้านราคาที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่สามารถเพิ่มยอดขายและก าไรให้กับสินค้าได้มากที่สุดนั่นเอง 3. Place สถานที่จัดจ าหน่าย หรือวิธีการขายยังไง สินค้าตั้งโชว์อยู่ที่ไหน จะจัดส่งให้ลูกค้าอย่างไร หากพ่อค้าแม่ขายต้องการมีร้านจริง ๆ อาจต้องมีการเลือกสรรท าเลที่เหมาะสมด้วย เช่น บริเวณไหนมีกลุ่มลูกค้า ของเราอยู่ แต่ถ้าเป็นร้านค้าออนไลน์ ช่องทางการจัดจ าหน่ายก็คือเว็บไซต์นั่นเอง หรือบางร้านก็อาจจะขายผ่านทาง My Shop หรือแอปโซเชียลต่าง ๆ แล้วก็ส่งสินค้าผ่านทางบริการไปรษณีย์ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะช่วยลด ต้นทุนได้มากกว่า และท าได้ง่ายกว่าผ่านระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ 4. Promotion กลยุทธ์ส่งเสริมการขายหรือบางทีก็ถูกเรียกว่าการสื่อสารการตลาด (Marketing Communication) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยส าคัญ เพราะนอกจากจะดึงดูดลูกค้าในเข้ามาซื้อของ ยังรวมถึงการท า โฆษณา การประชาสัมพันธ์ลูกค้า โปรโมชัน การบริการทั้งก่อนและหลังการขาย สามารถสรุปได้ว่าแนวคิดด้านการตลาด คือ กิจกรรมเพื่อส่งเสริมการซื้อหรือขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงการโฆษณา การขาย และการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคหรือธุรกิจอื่น ๆเพื่อเพิ่มผลก าไรสูงสุดโดยการ กระตุ้นยอดขาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มผลก าไรให้มากที่สุดในระยะยาวเกิดการตลาดที่แท้จริง 6. ทฤษฎีเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อท้องถิ่น 6.1 ความหมายการวิจัยเพื่อท้องถิ่น การวิจัยในทัศนะของนักคิดและนักปฏิบัติก่อนที่จะท าความเข้าใจเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อท้องถิ่น เราควรท า ความเข้าใจเกี่ยวกับนิยามความหมายของค าว่า “การวิจัย” จากนานาทัศนะของนักคิดและนักปฏิบัติผู้มีส่วนในการ หนุนเสริมกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ดังนี้ ประเวศ วะสี(อ้างในเอกสารสรุปการประชุมรับฟังความคิดเห็นเรื่อง จุดเปลี่ยนระบบวิจัยไทย, 2546) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการวิจัยไว้ว่า การวิจัย คือ กระบวนการทางปัญญาเป็นการเรียนรู้ที่สามรถสร้างความรู้ใหม่ การวิจัยเป็นเรื่องของทุกคนและทุกองค์กร ไม่ใช่เฉพาะขององค์กรที่มีค าว่าวิจัยเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับทุกคน ทุกพื้นที่ ทุกองค์กร และทุกเรื่อง


22 เสน่ห์ จามริก (อ้างใน สกว. ส านักงานภาค, 2545, น.17) ได้กล่าวไว้ว่า การวิจัยที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็น การวิจัยที่หมายถึง การแสวงค าตอบที่เป็นระบบเปิดและเรื่องของการพัฒนาจะต้องตั้งโจทย์ที่เป็นระบบเปิด เพราะฉะนั้น นอกจากเข้าใจปัญหาและมองแนวทางในการแก้ปัญหา เราก็มีโจทย์ในการวิจัยนั้นซึ่งได้ชี้ช่องทางให้เรา เห็นถึงแนวทางการพัฒนา หมายความว่า เป็นการพัฒนาต่อไป เป็นการก าหนดแนวทางการพัฒนาที่ขึ้นอยู่กับ ศักยภาพของท้องถิ่นโดยเฉพาะการท างานวิจัยในรูปนี้เราจะต้องมองเงื่อนไขศักยภาพ เพื่อที่จะให้ท้องถิ่นสามารถ พัฒนาตัวเองต่อไปได้ ทิพวัลย์ สีจันทร์ (อ้างใน ลักขณา วงศ์ยะรา, 2549, น.29) ได้อธิบายไว้ว่าการวิจัยคือ กระบวนการสร้าง ปัญญาหรือองค์ความรู้ (วิจัย=วิจัย / วิจโย: ปัญญา สอดส่อง) ให้รู้เท่าทันสภาวะต่าง ๆ ตามความเป็นจริงทั้งโลก นอกตัวและโลกในตัว โลกนอกตัว เช่น เศรษฐกิจ สังคมการเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ ภูมิภาค/ทวีป และโลกรู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมท้องถิ่น และกระแสโลกาภิวัตน์ เพื่อสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ โลกในตัว เช่น ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ อารมณ์กล่าวคือรู้จักตัวตนที่แท้จริงทั้งของผู้วิจัยและของผู้คนในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นที่วิจัยรู้เท่าทันกิเลสภายในตน จนสามารถยับยั้งตนเองมิให้ไหลไปตามกระแสของกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นได้ 6.2 ลักษณะของงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ส าหรับลักษณะส าคัญของโครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่น คือ (สกว. ส านักงานภาค, 2545, น.7-8) (1) เป็นเรื่องอะไรก็ได้ โจทย์อะไรก็ได้ ที่ชุมชนหรือคนในท้องถิ่นเห็นว่ามีความส าคัญ และอยากจะ ค้นหาค าตอบร่วมกัน (2) ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการค้นหาค าตอบร่วมกัน หมายความว่ากระบวนการวิจัยต้องเปิด โอกาสให้ชุมชนได้เรียนรู้และเป็นผู้ท ามากขึ้น (3) มีการด าเนินงานรวบรวมข้อมูล และทดลองปฏิบัติการ นั่นคือ มีการด าเนินงานใน 2 ระยะ โดยระยะแรกวิจัยเพื่อให้ทราบสภาพที่เป็นอยู่ ได้แก่ - สภาพหรือบริบทชุมชน ภูมิปัญญาในชุมชน - สภาพของปัญหานั้น - ทราบสาเหตุ ปัจจัย เงื่อนไขของปัญหา - เลือกทางเลือกในการแก้ไขปัญหาระยะที่สอง เป็นการทดลองท า (วิจัยปฏิบัติการ) เพื่อแก้ปัญหา และวิเคราะห์ สรุปบทเรียน รวมทั้งสิ่งที่ได้เรียนรู้ วิจารณ์ พานิช (อ้างใน สกว. ส านักงานภาค, 2545, น. 8-9)ยังให้ทัศนะเพิ่มเติมว่างานวิจัยเพื่อท้องถิ่นควรมี ลักษณะ ดังนี้ (1) เป็นการวิจัยปลายทาง เพื่อทดลองประยุกต์ใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีในบริบทของท้องถิ่นมากกว่า เป็นการวิจัยเพื่อสร้างความรู้ใหม่อาจมีลักษณะเป็น (เป็นลักษณะที่ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัด สมุทรสงครามใช้ในการด าเนินงาน) - R & D คือ การวิจัยและพัฒนา - D & R คือ การพัฒนามากกว่าวิจัย การวิจัยเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ หรือ


23 - D & R & M คือ นอกจากการวิจัย พัฒนา แล้วยังอาจมีการเคลื่อนไหวสังคม (Movement) อยู่ด้วย (2) อาจมีการสร้างทฤษฎีใหม่จากข้อมูลภายในประเทศ หมายความว่าข้อมูลจากหลายๆ โครงการย่อย เมื่อน ามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ร่วมกันอาจเกิดทฤษฎีใหม่ (3) เป็นการวิจัยแบบองค์รวม (Holistic หรือ Integrated) ไม่แยกสาขาวิชามีลักษณะการด าเนินการ เป็นสหวิชา และจะต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการวิจัยด้านการจัดการเพื่อชุมชน ท้องถิ่นให้มากขึ้น สรุปว่างานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเป็นแนวคิดที่สามารถน ามาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนเพื่อแก้ไข ปัญหาและสร้างการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบด้วยเครื่องมือ และกระบวนการที่สร้างการมีส่วนร่วมโดยมีชุมชนเป็น ผู้ก าหนด ด าเนินการวิจัยจากสภาพปัญหาและสถานการณ์ที่เผชิญเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างยั่งยืน จากภายในชุมชน 6.3 ผลที่คาดหวังของงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ระดับโครงการ (1) ชุมชนสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง สามารถพึ่งพาตนเองได้โดยอาศัยการตัดสินใจผ่านข้อมูล ความรู้ที่ได้จากการศึกษา (2) เกิดความรู้ในท้องถิ่นและเป็นประโยชน์กับท้องถิ่นโดยตรง (3) เกิดกระบวนการเรียนรู้โดยคนท้องถิ่นเอง ท าให้คนท้องถิ่นเก่งขึ้นและด าเนินงานในเรื่องอื่นได้ดี ขึ้น (4) เกิดกลไกการจัดการความรู้ท้องถิ่น หรือองค์กรภายในชุมชนที่สามารถลุกขึ้นมาจัดการความรู้และ น าความรู้มาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นของตนเอง ระดับเหนือโครงการ (1) องค์ความรู้ที่ได้จากโครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่นในประเด็นต่าง ๆ หลาย ๆ โครงการสามารถน ามา สังเคราะห์เชื่อมโยงระหว่างงานวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับองค์ความรู้ และสามารถขับเคลื่อนไปสู่การผลักดัน แนวคิด มาตรการ นโยบาย หรือระบบและกลไกภายในประเทศ ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น มากขึ้น ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงแนวคิดสู่การพัฒนาระดับนานาชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ (2) เชื่อมภาคีเครือข่าย เพื่อยกระดับความรู้ท้องถิ่นเชื่อมโยงความรู้ของนักวิชาการ ภาคประชาสังคม รวมถึงหน่วยงานของรัฐ เกิดกลไกการจัดการความรู้ที่น าไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม 6.4 รูปแบบการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น การวิจัยเพื่อท้องถิ่นสามารถด าเนินการได้ 2 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้ (1) การวิจัยแบบเต็มรูปแบบ (PAR) เป็นงานวิจัยที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบตามแนวความคิดการวิจัย เพื่อท้องถิ่น ทั้งในเชิงเนื้อหาและในเชิงกระบวนการ ภายใต้หลักการว่า “เป็นปัญหาของชาวบ้าน ชาวบ้านเป็น ทีมวิจัย และมีปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหา” โดยใช้ระยะเวลาด าเนินการไม่เกิน 2 ปี งานวิจัยลักษณะนี้มี2 ลักษณะ กล่าวคือ


24 1.1) การวิจัยที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาสังคมในทุกประเด็นเป็นการศึกษาในเชิงกระบวนการ การเคลื่อนตัวของชุมชนท้องถิ่นในบริบทหนึ่งๆ ต่อการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมกันด าเนินการ 1.2) การวิจัยที่เน้นการทดลองเปรียบเทียบและทดสอบปัจจัยต่าง ๆ เป็นการศึกษาเพื่อที่จะ ทดลอง/ทดสอบทางเลือกจากหลาย ๆ ทางเลือก เพื่อที่จะหาทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค าและคุ้มทุนที่สุดของ ชุมชนโดยเน้นการพึ่งตนเองของชุมชนเป็นหลัก (2) การวิจัยทางเลือกใหม่เพื่อท้องถิ่น เป็นงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นรูปแบบใหม่ที่พัฒนามาจากแบบแรก เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและสอดคล้องกับศักยภาพของท้องถิ่นและกลุ่มคนที่มีหลากหลายระดับ หรือ เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมเป็นการเริ่มต้นทดลองท างานวิจัยอย่างง่าย ๆ โดยใช้ระยะเวลา ด าเนินการไม่มากนัก ประมาณ 3-6 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี มีหลายทางเลือก ดังนี้ 2.1) การวิจัยเบื้องต้น เป็นกระบวนการพัฒนาโจทย์วิจัยและการรวบรวมความรู้ รวมถึงการเตรียม ชุมชน เตรียมทีมวิจัยชาวบ้าน เพื่อวางแผนและแก้ปัญหาในเบื้องต้นหรือพัฒนาไปสู่งานวิจัยเต็มรูปแบบต่อไป 2.2) การวิจัยที่เน้นการถอดความรู้และรวบรวมองค์ความรู้จากการท างานพัฒนาของชุมชน เป็นเรื่องที่ชุมชนอยากรู้ อยากรวบรวมความรู้ของตนเอง และชุมชนร่วมกันท างานวิจัย โดยไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาชุมชน มากนัก 2.3) การวิจัยเชิงความร่วมมือ เป็นการสนับสนุนการสร้างความรู้ร่วมกับหน่วยงานหรือภาคีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการท างานเพื่อชุมชนท้องถิ่น เป็นความร่วมมือทั้งในแง่การมีเป้าหมายเพื่อท้องถิ่น ความ ร่วมมือของคนหรือทีมงาน การสนับสนุนปัจจัยและทุนด าเนินการร่วมกัน งานวิจัยลักษณะนี้จะมุ่งสร้างวิธีการ ท างานที่เป็นทางเลือกใหม่ของภาคีภายนอกร่วมกับคนท้องถิ่นต่อการพัฒนาและแก้ปัญหาท้องถิ่นทั้งนี้ การวิจัย ทางเลือกใหม่ทั้งสามลักษณะ เป็นการท าวิจัยในเบื้องต้นเพื่อพัฒนาความพร้อมของประเด็นศึกษาหรือกลุ่มคนโดย คาดหวังว่าจะน าไปสู่การท าวิจัยแบบเต็มรูปแบบต่อไป 6.5 ระบบการวิจัยเพื่อท้องถิ่น วิจารณ์ พานิช (อ้างใน สกว.ส านักงานภาค, 2545, น.4-5) ได้กล่าวถึงระบบการวิจัยเพื่อท้องถิ่นไว้ว่าจะต้อง มีส่วนประกอบส าคัญ ดังต่อไปนี้ (1) ระบบทรัพยากร คือ ต้องมีระบบทรัพยากรที่มาจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น (2) หน่วยงานจัดการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น คือ ต้องมีหน่วยงานจัดการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่สามารถ เรียนรู้ และพัฒนาศาสตร์และศิลปะในการจัดการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับการจัดการงานวิจัยในภาพรวม ของประเทศ (3) นักบริหารวิจัยเพื่อท้องถิ่น เนื่องจากการวิจัยเพื่อท้องถิ่นในประเทศไทยเป็นเรื่องใหม่จึงต้องการ นักบริหารงานวิจัยเข้าไปจัดกระบวนการแปรความต้องการของชาวบ้านให้เป็นโจทย์วิจัยจัดกระบวนการเพื่อก าหนด กระบวนการหรือวิธีวิจัย และแปลผลการวิจัยตลอดจนน าผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในท้องถิ่น (4) สถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น กล่าวคือ ต้องมีการจัดตั้งและส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรทั้ง 3กลุ่ม ได้แก่ สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อให้ท าหน้าที่เป็นกลไกในการรับใช้ ชุมชนท้องถิ่นในการส่งเสริมงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นควบคู่ไปกับการสร้างฐานความรู้เพื่อท้องถิ่น


25 (5) นักวิจัยเพื่อท้องถิ่น ควรประกอบไปด้วยนักวิจัยจากหลายสาขาวิชาหลายพื้นฐาน ประสบการณ์ แต่มีส่วนที่เหมือนกันหรือมีเจตนารมณ์ร่วมกัน คือ ต้องการเข้ามาอ านวยความสะดวกให้ชาวบ้าน สร้างความรู้เพื่อใช้ในการพัฒนาท้องถิ่นของตน (6) นักวิจัยเชิงทฤษฎี จะต้องเข้ามาจับภาพรวมภาพใหญ่ พัฒนาเป็นทฤษฎีที่สร้างขึ้นเองภายใน ประเทศจากข้อมูลท้องถิ่น (7) ระบบข้อมูลเพื่อการวิจัยท้องถิ่น ข้อมูลส่วนหนึ่ง คือ ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทั่วประเทศ ประเด็นที่ส าคัญ คือ ความแม่นย าและทันสมัยของข้อมูลจะต้องมีการจัดเก็บและเชื่อมโยงกันอย่าง เป็นระบบ และมีการประมวลและใช้ข้อมูลในแต่ละท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์ สามารถสรุปได้ว่า กระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเป็นเครื่องมือที่ทีมนักวิจัยชุมชนน ามาใช้ในการ สร้างการเปลี่ยนแปลงของคนในชุมชนให้มาร่วมคิด ร่วมท า ร่วมหาทางออกของปัญหาต่าง ๆ ด้วยการพูดคุย ผ่านกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ โดยใช้กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเพื่อให้เกิดพลังการ เปลี่ยนแปลง สร้างความเข้มแข็งของคนในชุมชนในการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชนต่อไป 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จากผลการวิจัยของ รุ่งนภา ประกอบกิจ เรื่อง การสกัดใยอาหารจากเปลือกโกโก้และการประยุกต์ใช้ใน ผลิตภัณฑ์คุกกี้ พบว่า เปลือกโกโก้ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบประกอบด้วยน้ าร้อยละ 82.28 ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ า และใยอาหารที่ละลายน้ าร้อยละ 48.40 และ 11.55 โดยน้ าหนักแห้งตามล าดับ เมื่อท าการสกัดในอาหารจาก เปลือกโก้โก้ได้สภาวะที่เหมาะสมโดยใช้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้นร้อยละ 20 โดยน้ าหนักของวัตถุดิบ ใช้เวลาแช่นาน 30 นาที ที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส โดยเตรียมเปลือกโกโก้ อบแห้งให้มีความเข้มข้นร้อยละ 20 โดยน้ าหนักของวัตถุดิบ แช่นาน 20 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องควบคุมพีเอชที่ 8.5-10.8 ในระหว่างกระบวนการและ ท าฟอก 2 ครั้ง เป็นสภาวะที่เหมาะสมในการฟอกสี และก าจัดลิกนินหลังจากท าการอบแห้งและบดแล้วจะได้ ใยอาหารที่มีลักษณะเป็นผงสีขาวอมเหลือง มีปริมาณใยอาหารที่ไม่ละลายน้ า ใยอาหารที่ละลายน้ าลิกนินและ เซลลูโลสเท่ากับร้อยละ 90.32, 2.27, 20.82 และ 54.09 โดยน้ าหนักแห้ง ตามล าดับ มีความสามารถในการดูดซับ น้ าเท่ากับ 3.80 กรัม น้ าต่อกรัมใยอาหาร ค่าสีในรูปของค่า L, a และ b เท่ากับ 70.28 0.21 และ 18.44 ตามล าดับ เมื่อน าใยอาหารที่ผลิตได้มาเสริมในผลิตภัณฑ์คุกกี้ โดยการทดแทนแป้งในอัตราส่วนร้อยละ 0, 5, 10, 15 และ 20 แล้วทดสอบคุณภาพทางประสาทสัมผัส ในปัจจัยลักษณะปรากฏสีแปลกปลอม กลิ่นเนย กลิ่นแปลกปลอม ความร่วน ความรู้สึกเป็นทรายภายในปาก ความฝาด และความรู้สึกภายหลัง การกลืนโดยผู้บริโภคที่ผ่านการฝึกฝน พบว่า การทดแทนแป้งด้วยใยอาหารร้อยละ 5 จะให้ผลไม่แตกต่างทางสถิติจากชุดควบคุม (p>0.05) ส าหรับการ ทดสอบความชอบรวมของผู้บริโภคทั่วไปมีคะแนนความชอบในระดับชอบเล็กน้อยถึงชอบมาก โดยที่คะแนน ความชอบรวมจะลดลง เมื่อทดแทนแป้งด้วยใยอาหารในปริมาณมากขึ้น อย่างไรก็ตามคะแนนความชอบของชุดที่ ทดแทนแป้งด้วยใยอาหารร้อยละ 5เท่านั้นที่ผู้บริโภคไม่สามารถชี้ความแตกต่างจากคุกกี้ชุดความคุม (p>0.05)


26 งานวิจัยของนพรัตน์ อุทัยพันธ์ เรื่องการผลิตถาดจากเส้นใยของเปลือกโกโก้พบว่าเปลือกโกโก้ ประกอบด้วยน้ าร้อยละ 82.77 (น้ าหนักเปียก) เยื่อใย ลิกนิน เซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลส ร้อยละ 26.12, 11.74, 23.13 และ 6.40 (น้ าหนักแห้ง) ตามล าดับ เมื่อน าเปลือกโกโก้ไปแช่ในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่ความเข้มข้น ต่าง ๆ พบว่า ที่ความเข้มข้น ร้อยละ 30 โดยน้ าหนัก ที่อุณหภูมิห้องสามารถแยกกะลาออกจากเปลือกได้อย่างมี ประสิทธิภาพดีที่สุด ในเวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง เมื่อน าเปลือกที่แยกกะลาออกแล้วมาต้มกับสารละลายโซเดียม ไฮดรอกไซด์เข้มข้นร้อยละ 20 โดยน้ าหนักที่อุณหภูมิ 121องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 30 นาที จะได้เส้นใยสีน้ าตาล ซึ่งประกอบด้วยเซลลูโลสร้อยละ 62.19 และลิกนินร้อยละ 27.08 (น้ าหนักแห้ง) และ ท าการฟอกสีด้วยสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นร้อยละ 15 โดยน้ าหนักที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง จะได้เส้นใยสีขาวอมเหลืองที่มีค่า L, a และ b เท่ากับ 75.427, -3.320 และ 17.707 ตามล าดับ และมีความสามารถในการดูดซับน้ า 2.08 กรัม น้ าต่อกรัม เส้นใย เมื่อน าเส้นใยที่ได้มาผสมกับแป้งมันธรรมดา แป้งมันดัดแปลง น้ า และสารยึดเหนี่ยว คือ คาร์บอกซีเมทธิล เซลลูโลสไฮดรอก-ซีโพรพิลเมทธิลเซลลูโลส และ ไมโครคริสตอลลายน์เซลลูโลสในอัตราส่วนต่าง ๆ จากนั้น ขึ้นรูปเป็นถาดด้วยแม่พิมพ์ที่มีอุณหภูมิประมาณ 120 องศาเซลเซียส ให้ความดัน 8,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 5 นาที และที่ความดัน 0 ปอนด์ ต่อตารางนิ้วอีก 15 นาที จะได้ถาดที่มีลักษณะคล้ายถาดโฟม เมื่อน าไปวัดค่าการต้านแรงดัดโค้ง การต้านแรงกด และการดูดซึมน้ า พบว่าชนิดของแป้งและสารยึดเหนี่ยวมีผลต่อคุณสมบัติทางกายภาพอย่างมีนัยส าคัญ (p<0.05) โดยถาดจากเส้นใย ผสมแป้งมันและคาร์บอกซีเมทธิลเซลลูโลสร้อยละ 10 โดยน้ าหนักแป้งเป็นถาดที่มีความแข็งแรงมากที่สุดและ เมื่อทดลองบรรจุฝรั่งตัดแต่งลงในถาดและห่อด้วยฟิล์มพลาสติก เก็บไว้ที่ 8-10 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 วัน พบว่าถาดดูดซึมน้ าจากฝรั่งไว้ ท าให้ถาดนิ่มจนเสียรูปทรงและมีน้ าหนักเพิ่มขึ้น ในขณะที่ฝรั่งมีน้ าหนักลดลง ผิวแห้ง และมีสีน้ าตาล งานวิจัยของวิมาลีเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ที่ได้จากการผลิตโกโก้พบว่าส่วนประกอบหลัก ของผลโกโก้ที่ถูกน ามาใช้ คือ ส่วนของเมล็ดที่น าไปหมักและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์โกโก้และช็อกโกแลต แต่ส่วนของ เยื่อหุ้มเมล็ดที่แยกได้ก่อนน าเมล็ดสดไปหมัก และส่วนของเปลือก เนื้อ และเปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้หลังจากการคั่วเมล็ด โกโก้นั้นยังมีการน าไปใช้ประโยชน์ได้ 1.) เปลือกผลโกโก้ (cacao pod husk) สามารถน ามาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ ปุ๋ยอินทรีย์ใส่บ ารุงตันโกโก้เป็นการประหยัดต้นทุนในการผลิตโกโก้การท าสีย้อมผ้าจากเปลือกโกโก้ นอกจากนี้มี การศึกษาพบว่าสารสกัดจากเปลือกผลโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (Karim et.al, 2014) หากมีการน าเปลือกผล มาสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมากเนื่องจากโกโก้หนึ่งผลจะเป็นส่วนของเปลือกมาก ถึง 70-75เปอร์เซ็นต์ 2.) เยื่อหุ้มเมล็ด (pulp) ประกอบด้วยน้ าตาล 10-15เปอร์เซ็นต์ กรดซิตริก 0.4-0.8เปอร์เซ็นต์ และเพคติน เยื่อหุ้มเมล็ดเป็นตัวท าให้เกิดแอลกอฮอล์ และกรดอะซิติกในกระบวนการหมักจะมีการสูญเสียน้ าหมักไป 5-7เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้ าส่วนที่ออกมาจากกระบวนการหมักที่เรียกว่า Sweeting นี้สามารถน าไปใช้ประโยชน์ในการ ท าเยลลี่ (ปียนุช และคณะ, 2538 (ก)) หรือท าน้ าโกโก้ส าหรับดื่มเหมือนเครื่องดื่มทั่ว ๆ ไป (ปิยนุช และคณะ, 2538 (ข); ปิยนุช, 2539) การน าน้ าโกโก้ไปท าเยลลี่ท าไอศกรีม ในปัจจุบันผู้ผลิตช็อกโกแลตรายใหญ่ เช่น บริษัท เนสท์เล่ ลินด์ และริตเตอร์สปอร์ต ได้ผลิตดาร์กช็อกโกแลตที่น าส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดโกโก้มาใส่เพื่อเพิ่มความหวานแทน น้ าตาล ซึ่งในผลโกโก้จะมีเยื่อหุ้มเมล็ดประมาณ 10เปอร์เซ็นต์ ท าให้ช็อกโกแลตนี้มีราคาสูงกว่าดาร์กช็อกโกแลต


27 ทั่วไป 3.) เปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้ (shell/husk) หลังจากคั่วเมล็ดโกโก้แล้ว จะมีการแกะเปลือกหุ้มเมล็ดออกเพื่อน าเนื้อ เมล็ดโกโก้ไปแปรรูปต่อไป ซึ่งเมล็ดโกโก้หนึ่งเมล็ดเป็นเปลือกหุ้มเมล็ดประมาณ 10-12เปอร์เซ็นต์ โดยในเปลือกหุ้ม เมล็ดโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ดีต่อสุขภาพ เช่น พีนอล (phenol) ธีโอโบรมีน (theobromine) คาทีชิน (catechin) เป็นต้น ซึ่งสารสกัดจากเปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีมูลค่าสูงเป็นที่สนใจส าหรับ อุตสาหกรรมอาหารและยา จึงมีการน ามาแปรรูปเป็นชาเปลือกโกโก้ (cocoa husk tea) การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้จากโกโก้ช่วยลดปริมาณของเสีย ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพืชชนิดนี้และ ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโกโก้ เป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ขยายกลุ่มของผู้บริโภคให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยสมาคมเปลี่ยนวัตถุดิบอาหารเหลือทิ้งให้ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (The Upcycled Food Association) ระบุว่าหากโกโก้สามารถจ าหน่ายได้ทั้งเนื้อและ เมล็ดโดยการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบอาหารที่เหลือทิ้งจะส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อมเนื่องจากสามารถลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกลงได้มากกว่า 20ล้านตันต่อปี งานวิจัยของ จันทิมา ชั่งสิริพร, พฤกระยา พงศ์ยี่หล้า และ นิรณา ชัยฤกษ์สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี คณะ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์หาดใหญ่ สงขลา (30 พฤษภาคม 2565) เรื่อง การใช้เปลือกโกโก้ อบแห้งเป็นส่วนประกอบในอาหารส าหรับไก่ไข่ต่อผลผลิตและคุณภาพของไข่พบว่า การเตรียมเปลือกโกโก้เป็น วัตถุดิบร่วมกับส่วนผสมอื่น ๆ ท าโดยน าเปลือกโกโก้ไปอบแห้งด้วยเครื่องอบแห้งแบบลมร้อนที่มีอัตราการไหลของ ลมร้อน 3 ลิตร/นาทีการอบแห้งเปลือกโกโก้ท าที่อุณหภูมิ 50, 60 และ 70องศาเซลเซียส เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสม ในการอบแห้ง และเพื่อศึกษาแบบจ าลองทางคณิตศาสตร์ของการอบแห้งเปลือกโกโก้ในการศึกษาผลของอาหาร ส าหรับไก่ไข่ผสมเปลือกโกโก้ต่อผลผลิตและคุณภาพไข่ไก่ ใช้อาหารส าหรับไก่ไข่ผสมเปลือกโกโก้ 3 สูตร ที่มีปริมาณ เปลือกโกโก้ร้อยละ 2, 4 และ 6 จากการทดลอง พบว่า สภาวะที่เหมาะสมในการอบแห้งเปลือกโกโก้ คือ การอบแห้ง แบบลมร้อนที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ที่เวลา 555 นาที ซึ่งเป็นสภาวะที่มีความสิ้นเปลือง พลังงานจ าเพาะต่ าสุด ที่ 5.25 เมกะจูล/กิโลกรัม น าการศึกษาแบบจ าลองทางคณิตศาสตร์ของการอบแห้งเปลือกโกโก้พบว่า สมการ กึ่งทฤษฎีของ Logarithmic เป็นสมการท านายการลดลงของความชื้นเปลือกโกโก้ที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากให้ค่า สัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R 2) ที่สูงที่สุดและให้ค่า root mean square error (RMSE) และ sum of square error (SSE) ต่ าที่สุด โดยมี R 2 มากกว่า 0.9996 ค่า RMSE และค่า SSE เท่ากับ 0.00434 และ 0.00345 ตามล าดับ การศึกษาผลของอาหารส าหรับไก่ไข่ผสมเปลือกโกโก้ต่อผลผลิตและคุณภาพไข่ไก่ พบว่า ไก่ที่ได้รับอาหารผสม เปลือกโกโก้มีอัตราผลผลิตไข่ น้ าหนักไข่ มวลไข่ อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นไข่ และ ค่าฮอฟ์ยูนิตดีกว่าไก่ที่ได้รับ อาหารทางการค้า แต่มีปริมาณการกินอาหารไม่แตกต่างกัน งานวิจัยของ Njukeng Jetro Nkengafac.(2019) ได้ท า “คู่มือการฝึกอบรมการใช้เปลือกฝักโกโก้เพื่อ เพิ่มผลผลิตและพืชผลและปรับปรุงคุณภาพดิน” การใช้สองกระบวนการที่อธิบายไว้ในคู่มือนี้เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ สามารถลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีและสารฆ่าเชื้อราที่มีราคาแพง และท้ายที่สุดเพิ่มผลผลิตพืชผล ป้องกันโรคฝักด าบน ฝักโกโก้ ปรับปรุงคุณภาพดินโดยรวม ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา


28 การป้องกันโรคฝักด าและการส่งเสริมดินที่อุดมด้วยสารอาหารเป็นภาระราคาแพงส าหรับเกษตรกรรายย่อย ดิน และโรคทางการเกษตรที่เสื่อมโทรมเป็นสาเหตุหลักของการผลิตพืชผลต่ าส าหรับเกษตรกรรายย่อย ส าหรับต้น โกโก้ซึ่งส่วนใหญ่ปลูกโดยเกษตรกรรายย่อย โรคฝักด าจ ากัดการผลิต โรคฝักด าเกิดจากเชื้อราชื่อ Phytophthora โรคที่ท าลายล้างนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วท่ามกลางเปลือกฝักโกโก้ที่เปลี่ยนสีเหลืองสดใสที่มีสุขภาพดีเป็นสีด า และท าลายพืชผล เกษตรกรจ านวนมากหันไปใช้สารเคมีฆ่าเชื้อราและต้องก าจัดฝักที่เป็นโรคอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งต้องใช้ เวลาและเงิน ค่าใช้จ่ายในการดูแลฝักโกโก้ที่ปราศจากโรคสามารถคิดเป็นร้อยละ 50 ของยอดขาย สิ่งนี้ท าให้เกิด ภาระทางการเงินอย่างหนักส าหรับเกษตรกรรายย่อยที่ต้องพึ่งพาการเกษตรเพื่อหาเลี้ยงชีพและหาเลี้ยงครอบครัว ปุ๋ยหมักและถ่านไบโอชาร์ที่ท าจากเปลือกฝักโกโก้มีวิธีแก้ปัญหาสองแบบในราคาประหยัด ในขณะที่หลาย คนมองว่าฝักโกโก้เป็นของเสีย เกษตรกรสามารถน าวัสดุที่หาได้ง่ายเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ได้ การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าปุ๋ยหมักที่ท าจากเปลือกฝักโกโก้ (ทั้งที่มีสุขภาพดีและเป็นโรค) มีประสิทธิภาพทั้งในการปรับปรุง คุณภาพดินและยับยั้งโรคฝักด าในโกโก้ งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่าถ่านไบโอชาร์ที่ผลิตด้วยเปลือกฝักโกโก้สามารถ ช่วยสร้างดินที่ใช้มากเกินไปโดยการเพิ่มสารอาหารและปรับปรุงลักษณะทางกายภาพของดิน ซึ่งสนับสนุนการ เจริญเติบโตของพืช คู่มือนี้ประกอบด้วยค าแนะน าที่ผ่านการพิสูจน์แล้วส าหรับการท าปุ๋ยหมัก (ดูหัวข้อ I หน้า 2) และถ่านไบโอชาร์ (ดูส่วนที่ 2 หน้า 6) จาก Nkengafac, Ph.D., ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการเกษตร (IRAD) ประเทศแคเมอรูน เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร องค์กรพัฒนาเอกชน และสมาคมเกษตรกรรมที่ให้การฝึกอบรมและ ทรัพยากรส าหรับเกษตรกรสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อสนับสนุนเกษตรกร ในท้องถิ่นในการน าแนวทางปฏิบัติที่มี ประสิทธิภาพและยั่งยืนเหล่านี้ไปใช้ การใช้เปลือกฝักโกโก้เพื่อปรับปรุงผลผลิตพืชผลและคุณภาพดิน 1. ประโยชน์ของ Cocoa Pod Husk Compost ส่งเสริมดินที่อุดมด้วยสารอาหารและเพิ่มความสามารถ ในการกักเก็บน้ า 2. ป้องกันแบคทีเรีย ไวรัส หรือจุลินทรีย์อื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรค (เช่น เชื้อที่ท าให้เกิดโรคฝักด า) รองรับการ เจริญเติบโตของพืชที่มีสุขภาพดี 3. ส่งเสริมการแพร่กระจายของรากที่ดี 4. ช่วยลดวัชพืช 5. ลดมลภาวะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้านลบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปุ๋ยเคมีและสารฆ่าเชื้อรา 6. ปรับปรุงดินส าหรับพืชผลในอนาคต งานวิจัยของTarun Belwal, Christian Cravotto, Sudipta Ramola, Monika Thakur, Farid Chemat and Giancarlo Cravotto, (2022) เรื่องสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากเปลือกโกโก้: การสกัดการ วิเคราะห์และ การประยุกต์ใช้ในห่วงโซ่การผลิตอาหาร กล่าวว่า เปลือกโกโก้ถือเป็นของเสียหลังจากการแปรรูปโกโก้และสร้าง ปัญหาสิ่งแวดล้อม ของเสียเหล่านี้อุดมไปด้วยโพลีฟีนอล เมทิลแซนทีน เส้นใยอาหาร และไฟโตสเตอรอล ซึ่งสามารถสกัดและน าไปใช้ในอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ เมล็ดโกโก้มีน้ าหนักผลไม้เพียง 32-34% วิธีการสกัดแบบต่างๆ ถูกน ามาใช้ในการเตรียมสารสกัดและ/หรือการน าสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพกลับมา ใช้ใหม่ นอกจากวิธีการสกัดแบบทั่วไปแล้ว การศึกษาต่าง ๆ ได้ถูกน ามาใช้โดยใช้วิธีการสกัดขั้นสูง รวมถึงการสกัด


29 ด้วยไมโครเวฟ (MAE), การสกัดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (UAE), การสกัดน้ าใต้วิกฤต (SWE), การสกัดของเหลว วิกฤตยิ่งยวด (SFE) และการสกัดของเหลวด้วยแรงดัน (ป.ล). เพื่อรวมเอาของเสียจากเปลือกโกโก้หรือสารสกัดใน ผลิตภัณฑ์อาหารที่แตกต่างกัน ได้มีการเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ แยม ช็อคโกแลต เครื่องดื่มและไส้กรอก การทบทวนนี้เน้นที่องค์ประกอบและลักษณะการท างานของผลิตภัณฑ์เหลือจากเปลือกโกโก้ เป็นหลัก และการใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนะการใช้ของเสียเหล่านี้ให้ สมบูรณ์และการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจหมุนเวียน งานวิจัยของ M. Syamsiro,H. Saptoad,B.H. Tambunan, และ N.A. Pambudi, 2012 เรื่อง การศึกษา เบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้เปลือกฝักโกโก้เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียนในประเทศอินโดนีเซีย สรุปผลได้ว่า อินโดนีเซีย เป็นผู้ผลิตเมล็ดโกโก้รายใหญ่เป็นอันดับสามของโลก สิ่งตกค้างที่เกิดขึ้นหลังจากน าเมล็ดโกโก้ออกจากผลแล้วคือ เปลือกฝักโกโก้(CPH) งานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการใช้ CPH เป็นแหล่งพลังงานหมุนเวียน CPH ถูกตากแห้ง บด และคัดกรองเพื่อให้ได้ขนาดอนุภาคน้อยกว่า 1 มม. ส่วนผสมห้ากรัมของสารยึดเกาะ CPH ในสัดส่วน 70% และ 30% โดยน้ าหนักตามล าดับ ถูกท าให้เป็นเม็ดและท าให้แห้งที่ 50 °C เป็นเวลา 5 ชั่วโมง คาร์บอนไดออกไซด์ถูก ด าเนินการที่ 400 °C เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่า CPH มีค่าความร้อนสูงถึง 17.0 MJ/kg อัตราการไหลของ อากาศและองค์ประกอบของเชื้อเพลิงส่งผลต่อเวลาการเผาไหม้และปัจจัยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมี นัยส าคัญ การเพิ่มขึ้นของส่วนคาร์บอนไนซ์ CPH ในเชื้อเพลิงเพิ่มเวลาการเผาไหม้ของเม็ด การเพิ่มขึ้นของอัตราการ ไหลของอากาศและส่วน CPH ที่เป็นคาร์บอนยังเพิ่มปัจจัยการปล่อย CO (โคบอลต์) งานวิจัยของ Wisri Puastuti dan Susana IWR, 2014 เรื่องศักยภาพและการใช้ประโยชน์ของเปลือกฝัก โกโก้เป็นอาหารทางเลือกส าหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง ผลการวิจัยพบว่า เปลือกเมล็ดโกโก้ (PHI) มีศักยภาพในการเป็น แหล่งอาหารทางเลือกส าหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องเนื่องจากปริมาณและคุณภาพ ความพร้อมของ CPH ในอินโดนีเซีย ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวมีมากมายและสามารถให้อาหารสัตว์ได้ประมาณ 635,305 หน่วย (AU) ต่อปีเปลือกฝักโกโก้เป็น อาหารสัตว์ซึ่งมีโปรตีนหยาบระหว่าง 6.80-13.78%; NDF S5.30-73.90% และ ADF 38.31- 58.98% เป็นแหล่ง ไฟเบอร์และทดแทนหญ้าได้ อย่างไรก็ตาม PH ยังมีสารประกอบต่อต้านสารอาหาร เช่น ลิกนิน แทนนิน และธีโอ โบรมีน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ CPH เป็นอาหารสัตว์ จ าเป็นต้องมีการบ าบัดเพื่อปรับปรุงคุณค่าทางโภชนาการ และการย่อยได้ เพื่อลดผลกระทบด้านลบและเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา วิธีการประมวลผลสามารถท าได้ทั้งทาง ร่างกาย ทางเคมี และทางจุลชีววิทยา การแปรรูปสามารถเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของ CPH โดยเฉพาะปริมาณ โปรตีน การให้อาหารปศุสัตว์โดยใช้ CPH ที่ผ่านกระบวนการท าให้น้ าหนักเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าการกิน CPH ที่ยังไม่ได้ แปรรูป นอกจากนี้ ความพยายามที่จะใช้ CPH เป็นอาหารสัตว์สามารถเอาชนะปัญหาการขาดแคลนอาหารสัตว์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูแล้งและเพิ่มผลผลิตสัตว์เคี้ยวเอื้องในบริเวณสวนโกโก้ค าส าคัญ: เปลือกฝักโกโก้ อาหาร ทางเลือก การแปรรูป สัตว์เคี้ยวเอื้อง งานวิจัยของ F Alemawor, VP Dzogbefia, EOK Oddoye andJH Oldham เรื่องผลของการหมัก Pleurotus ostreatus ต่อองค์ประกอบเปลือกเมล็ดโกโก้: อิทธิพลของระยะเวลาการหมักและการเสริม Mn2+ ต่อกระบวนการ หมัก พบว่า เปลือกฝักโกโก้ (CPH) เป็นกากอุตสาหกรรมเกษตรที่ส าคัญในประเทศกานา โดยมีมูลค่าที่เป็นไปได้ว่า เป็นอาหารสัตว์แหวกแนวต้นทุนต่ าส าหรับปศุสัตว์ อย่างไรก็ตาม การใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกจ ากัดโดย


30 องค์ประกอบของสารอาหารที่ไม่ดี สาเหตุหลักมาจากลิกโนเซลลูโลสหรือเส้นใยที่สูงและระดับโปรตีนต่ า เชื้อราเน่า ขาว เช่น เชื้อรา Pleurotus เป็นระบบเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพส าหรับกระบวนการแปลงทางชีวภาพ เช่น การแปลง วัสดุลิกโนเซลลูโลสทางชีวภาพให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงอาหารสัตว์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีรายงาน การมีอยู่ของโลหะ เช่น ไอออนของแมงกานีส (I) เพื่อเพิ่มการท างานของเอนไซม์จากเชื้อราในการแปลงทางชีวภาพของ สารตกค้าง ลิกโนเซลลูโลสทางอุตสาหกรรม การศึกษาในปัจจุบันได้ตรวจสอบความเป็นไปได้ของการใช้และเพิ่ม ประสิทธิภาพกระบวนการหมักที่เกี่ยวข้องกับเห็ดนางรมที่กินได้ (Pleurotus ostreatus) เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทาง ชีวภาพเพื่อปรับปรุงภาวะโภชนาการของ CPH ระยะเวลาการหมักและระดับของการเสริมไอออนของแมงกานีส (Mn2+) ของ CPH เป็นปัจจัยหลักสองประการของกระบวนการหมักที่ได้รับการประเมินและปรับให้เหมาะสมใน การศึกษานี้ การเสริม Mn มีความส าคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพในเชิงบวกต่อ CPH โดย P. ostreatus ห้า (5) สัปดาห์ของการหมักแบบแข็งของ P. ostreatus ของ CPH ที่แก้ไขด้วย MnCI2 ที่ความ เข้มข้น 0.075% (w/w) ถูกสังเกตว่าเป็นการบ าบัดที่ประหยัดและเหมาะสมที่สุดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และมีนัยส าคัญ (P < 0.05) ในองค์ประกอบ CPH กล่าวคือเพิ่มขึ้น 36% ในโปรตีนหยาบและคาร์โบไฮเดรตที่ละลาย ได้ทั้งหมด เส้นใยดิบและลิกนินลดลง17% และแทนนินทั้งหมดลดลง 88% จากผลการวิจัยของ รุ่งนภา ประกอบกิจ เรื่อง การสกัดใยอาหารจากเปลือกโกโก้และการประยุกต์ใช้ใน ผลิตภัณฑ์คุกกี้ พบว่า เปลือกโกโก้ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบประกอบด้วยน้ าร้อยละ 82.28 ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ า และใย อาหารที่ละลายน้ าร้อยละ 48.40 และ 11.55 โดยน้ าหนักแห้งตามล าดับ เมื่อท าการสกัดในอาหารจากเปลือกโก้โก้ ได้สภาวะที่เหมาะสมโดยใช้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้นร้อยละ 20 โดยน้ าหนักของวัตถุดิบใช้เวลาแช่นาน 30 นาที ที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส โดยเตรียมเปลือกโกโก้อบแห้งให้มีความเข้มข้นร้อยละ 20 โดยน้ าหนักของ วัตถุดิบแช่นาน 20 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้องควบคุมพีเอชที่ 8.5-10.8 ในระหว่างกระบวนการ และท าฟอก 2 ครั้ง เป็น สภาวะที่เหมาะสมในการฟอกสี และก าจัดลิกนินหลังจากท าการอบแห้งและบดแล้วจะได้ใยอาหารที่มีลักษณะเป็น ผงสีขาวอมเหลือง มีปริมาณใยอาหารที่ไม่ละลายน้ า ใยอาหารที่ละลายน้ าลิกนินและเซลลูโลสเท่ากับร้อยละ 90.32, 2.27, 20.82 และ 54.09 โดยน้ าหนักแห้ง ตามล าดับ มีความสามารถในการดูดซับน้ าเท่ากับ 3.80 กรัม น้ าต่อกรัม ใยอาหารค่าสีในรูปของค่า L, a และ b เท่ากับ 70.28, 0.21 และ 18.44 ตามล าดับ เมื่อน าใยอาหารที่ผลิตได้มา เสริม ในผลิตภัณฑ์คุกกี้ โดยการทดแทนแป้งในอัตราส่วนร้อยละ 0 5 10 15 และ 20 แล้วทดสอบคุณภาพทาง ประสาทสัมผัส ในปัจจัยลักษณะปรากฏสีแปลกปลอม กลิ่นเนย กลิ่นแปลกปลอม ความร่วน ความรู้สึกเป็นทราย ภายในปาก ความฝาด และความรู้สึกภายหลัง การกลืนโดยผู้บริโภคที่ผ่านการฝึกฝน พบว่าการทดแทนแป้งด้วยใย อาหาร ร้อยละ 5 จะให้ผลไม่แตกต่างทางสถิติจากชุดควบคุม (p>0.05) ส าหรับการทดสอบความชอบรวมของ ผู้บริโภคทั่วไปมีคะแนนความชอบในระดับชอบเล็กน้อยถึงชอบมาก โดยที่คะแนนความชอบรวมจะลดลง เมื่อ ทดแทนแป้งด้วย ใยอาหารในปริมาณมากขึ้น อย่างไรก็ตามคะแนนความชอบของชุดที่ทดแทนแป้งด้วยใย อาหาร ร้อยละ 5 เท่านั้นที่ผู้บริโภคไม่สามารถชี้ความแตกต่างจากคุกกี้ชุดความคุม (p>0.05) งานวิจัยของ นพรัตน์ อุทัยพันธ์ เรื่องการผลิตถาดจากเส้นใยของเปลือกโกโก้พบว่า เปลือกโกโก้ประกอบด้วย น้ าร้อยละ 82.77 (น้ าหนักเปียก) เยื่อใย ลิกนิน เซลลูโลส และเฮมิเซลลูโลส ร้อยละ 26.12, 11.74, 23.13 และ 6.40 (น้ าหนักแห้ง) ตามล าดับ เมื่อน าเปลือกโกโก้ไปแช่ในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ที่ความเข้มข้นต่าง ๆ พบว่า


31 ที่ความเข้มข้นร้อยละ 30 โดยน้ าหนักที่อุณหภูมิห้องสามารถแยกกะลาออกจากเปลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพดีที่สุด ในเวลาประมาณ 6 - 7 ชั่วโมง เมื่อน าเปลือกที่แยกกะลาออกแล้วมาต้มกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้น ร้อยละ 20 โดยน้ าหนักที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 30 นาที จะได้เส้น ใยสีน้ าตาลซึ่งประกอบด้วยเซลลูโลสร้อยละ 62.19 และลิกนินร้อยละ 27.08 (น้ าหนักแห้ง) และท าการฟอกสีด้วย สารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นร้อยละ 15 โดยน้ าหนักที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง จะได้เส้นใยสีขาวอมเหลืองที่มีค่า L, a และ b เท่ากับ 75.427, -3.320 และ 17.707 ตามล าดับ และมีความสามารถ ในการดูดซับน้ า 2.08 กรัมน้ าต่อกรัม เส้นใยเมื่อน าเส้นใยที่ได้มาผสมกับแป้งมันธรรมดา แป้งมันดัดแปลง น้ า และ สารยึดเหนี่ยว คือ คาร์บอกซีเมทธิลเซลลูโลสไฮดรอก-ซีโพรพิลเมทธิลเซลลูโลส และไมโครคริสตอลลายน์เซลลูโลส ในอัตราส่วนต่าง ๆจากนั้นขึ้นรูปเป็นถาดด้วยแม่พิมพ์ ที่มีอุณหภูมิประมาณ 120 องศาเซลเซียส ให้ความดัน 8,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 5 นาที และที่ความดัน 0 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว อีก 15 นาที จะได้ถาดที่มีลักษณะคล้าย ถาดโฟม เมื่อน าไปวัดค่าการต้านแรงดัดโค้ง การต้านแรงกด และการดูดซึมน้ า พบว่าชนิดของแป้งและสารยึดเหนี่ยว มีผลต่อคุณสมบัติทางกายภาพอย่างมีนัยส าคัญ (p<0.05) โดยถาดจากเส้นใยผสมแป้งมันดัดแปรและคาร์บอกซีเมทธิล เซลลูโลสร้อยละ 10 โดยน้ าหนัก แป้งเป็นถาดที่มีความแข็งแรงมากที่สุดและเมื่อทดลองบรรจุฝรั่งตัดแต่งลง ในถาดและห่อด้วยฟิล์มพลาสติก เก็บไว้ที่ 8-10 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 วัน พบว่าถาดดูดซึมน้ าจากฝรั่งไว้ ท าให้ถาดนิ่มจนเสียรูปทรงและมีน้ าหนักเพิ่มขึ้น ในขณะที่ฝรั่งมีน้ าหนักลดลง ผิวแห้งและมีสีน้ าตาล งานวิจัยของ วิมาลีเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้ที่ได้จากการผลิตโกโก้พบว่า ส่วนประกอบหลักของผลโกโก้ที่ถูกน ามาใช้ คือ ส่วนของเมล็ดที่น าไปหมักและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์โกโก้และ ช็อกโกแลต แต่ส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดที่แยกได้ก่อนน าเมล็ดสดไปหมัก และส่วนของเปลือก เนื้อ และเปลือกหุ้มเมล็ด โกโก้หลังจากการคั่วเมล็ดโกโก้นั้นยังมีการน าไปใช้ประโยชน์ได้ 1.เปลือกผลโกโก้ (cacao pod husk) สามารถน ามา แปรรูปเป็นอาหารสัตว์ปุ๋ยอินทรีย์ใส่บ ารุงตันโกโก้เป็นการประหยัดต้นทุนในการผลิตโกโก้การท าสีย้อมผ้าจากเปลือก โกโก้ นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่าสารสกัดจากเปลือกผลโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง (Karim et.al, 20 14) หากมี การน าเปลือกผลมาสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมากเนื่องจากโกโก้หนึ่งผลจะเป็นส่วน ของเปลือกมากถึง 70-75 เปอร์เซ็นต์ 2.เยื่อหุ้มเมล็ด (pulp) ประกอบด้วยน้ าตาล 10-15 เปอร์เซ็นต์ กรดซิตริก 0.4-0.8 เปอร์เซ็นต์และเพคติน เยื่อหุ้มเมล็ดเป็นตัวท าให้เกิดแอลกอฮอล์ และกรดอะซิติก ในกระบวนการหมักจะมี การสูญเสียน้ าหมักไป 5-7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้ าส่วนที่ออกมาจากกระบวนการหมักที่เรียกว่า Sweeting นี้สามารถ น าไปใช้ประโยชน์ในการท าเยลลี่ (ปียนุช และคณะ, 2538 (ก)) หรือท าน้ าโกโก้ส าหรับดื่มเหมือนเครื่องดื่มทั่ว ๆ ไป (ปิยนุช และคณะ, 2538 (ข); ปิยนุช, 2539) การน าน้ าโกโก้ไปท าเยลลี่ ท าไอศกรีม ในปัจจุบันผู้ผลิตช็อกโกแลต รายใหญ่ เช่น บริษัท เนสท์เล่ ลินด์ และริตเตอร์สปอร์ต ได้ผลิตดาร์กช็อกโกแลต ที่น าส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดโกโก้มา ใส่เพื่อเพิ่มความหวานแทนน้ าตาล ซึ่งในผลโกโก้จะมีเยื่อหุ้มเมล็ดประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ท าให้ช็อกโกแลตนี้มี ราคาสูงกว่าดาร์กช็อกโกแลตทั่วไป 3.เปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้ (shell/husk) หลังจากคั่วเมล็ดโกโก้แล้ว จะมีการแกะ เปลือกหุ้มเมล็ดออกเพื่อน าเนื้อเมล็ดโกโก้ไปแปรรูปต่อไป ซึ่งเมล็ดโกโก้หนึ่งเมล็ด เป็นเปลือกหุ้มเมล็ดประมาณ 10-12เปอร์เซ็นต์โดยในเปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ดีต่อสุขภาพ เช่น พีนอล (phenol)


32 ธีโอโบรมีน (theobromine) คาทีชิน (catechin) เป็นต้น ซึ่งสารสกัดจากเปลือกหุ้มเมล็ดโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ มีมูลค่าสูงเป็นที่สนใจส าหรับอุตสาหกรรมอาหารและยา จึงมีการน ามาแปรรูปเป็นชาเปลือกโกโก้ (cocoa husk tea) การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้จากโกโก้ช่วยลดปริมาณของเสีย ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพืชชนิดนี้และ ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมโกโก้ เป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ขยายกลุ่มของผู้บริโภคให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยสมาคมเปลี่ยนวัตถุดิบอาหารเหลือทิ้งให้ กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (The Upcycled Food Association) ระบุว่าหากโกโก้สามารถจ าหน่ายได้ทั้งเนื้อและ เมล็ดโดยการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบอาหารที่เหลือทิ้งจะส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อมเนื่องจากสามารถลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกลงได้มากกว่า 20 ล้านตันต่อปี งานวิจัยของ บุญล้อม ชีวะอิสระกุล เรื่ององค์ประกอบทางเคมีของเปลือกโกโก้พบว่าเปลือกโกโก้มี ความชื้นสูงถึงร้อยละ 82.7 (น้ าหนักเปียก) เถ้าร้อยละ 8.85 (น้ าหนักแห้ง) ใกล้เคียงกับรายงานของไพบูลย์ ธรรมรัตน์วาสิก และคณะ (2534) และมีเยื่อใยร้อยละ 26.12 ใกล้เคียงกับรายงานของบุญล้อม ชีวะอิสระกุล (2530) มีปริมาณลิกนิน เซลลูโลสและเฮมิเซลจุโลสร้อยละ 11.74. 23.13 และ 6.40 (น้ าหนักแห้ง) ตามล าดับ (ตารางที่ 5) เมื่อเปรียบเทียบกับเปลือกข้าวโอ๊ต ฟางข้าวและต้นข้าวโพด (ตารางที่ 6 จะเห็นว่า ลิกนินของเปลือกโกโก้ใกล้เคียง กับเปลือกข้าวโอ๊ต แต่ต่ ากว่าฟางข้าวและต้นข้าวโพด ส่วนเซลลูโลสและเฮมิเซลลูโลสต่ ากว่าพืชทั้งสามชนิด ทั้งนี้ เนื่องจากเปลือกโกโก้ประกอบด้วยน้ าและคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ โดยมีน้ ามากกว่าร้อยละ 80 (น้ าหนักเปียก) และมีคาร์โบไฮเดรตถึงร้อยละ 49-61 (น้ าหนักแห้ง) สรุปได้ว่า ปริมาณเปลือกโกโก้ที่ทิ้งเป็นจ านวนมากนั้นสามารถน ามาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและยังมีประโยชน์ช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนหากกลุ่มวิสาหกิจหรือ กลุ่มเกษตรกรที่ปลูกโกโก้สามารถน าเปลือกโกโก้ที่ทิ้งจ านวนมากมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ เกษตรกรมากขึ้น


8. กรอบแนวความคิดของการวิจัย - กลุ่มวิสาหกิจชุมชนออแกร์นิกมีสมาชิกทั้งหมด 101 ราย มีพื้นที่ปลูก 500 ไร่ ผลผลิตของเกษตรกรมีจ านวน 7,000-8,000 ก.ก ต่อเดือน วิสาหกิจได้ด าเนินการ มาแล้ว 3 ปีขณะนี้ได้มีการแปรรูปเป็นผงโกโก้/โกโก้นิสบ์/โกโก้แห้งและบัสเตอร์โกโก้ ส่งผลให้มีเปลือกโกโก้จ านวนมากทิ้งไม่ได้ใช้ประโยชน์และยังเป็นขยะในพื้นที่เปลือก โกโก้มีสารอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถน ามาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้าง รายได้ สร้างทางเลือกทางรอดให้เกษตรกร -จังหวัดตากมีสภาพพื้นที่เหมาะกับการท าการเกษตรและประชากรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ เป็นพื้นที่ที่มีการปลูกโกโก้จ านวนมากประกอบ กับเกษตรกรสนใจปลูกโกโก้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง -สถานการณ์โควิดส่งผลกระทบกับทุกอาชีพ การท าการเกษตรต้นทุนสูง ราคาพืชผล ตกต่ า หาทางเลือกทางรอด นวัตกรรมใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ทุนทรัพยากรใน พื้นที่ - เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง หากมีการพัฒนากลุ่มเกษตรกร ด้านการตลาด ทั้งการการผลิต การแปรรูปและการจ าหน่ายเป็นเกษตรผู้ประกอบการ สร้างภาคีร่วมพัฒนาแลกเปลี่ยน สร้างรายได้ ลดต้นทุนการผลิตให้กับเครือข่าย เกษตรกรจะสามารถสร้างเศรษฐกิจฐานรากได้ การสร้า การเกษต เกษตรกรผ กลุ่มเป้าหมาย - กลุ่มวิสาหกิจออร์ - เกษตรกรผู้ปลูกโก เอกสารแนวคิดทีเกี - องค์ความรู้ที่หลาก โกโก้ - องค์ความรู้การแป - การสร้างมูลค่าเพิ่ม - การมีส่วนร่วมของ - การตลาดออนไลน์ - เศรษฐกิจชุมชน Output 1. ความรู้ ทักษะแปรรูปเปลือกโกโก้ที่มีคุณภาพที่สามารถใช้ ประโยชน์ได้ 2. เกิดภาคีเครือข่ายความร่วมมือระหว่าง กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูก โกโก้ เกษตรกรผู้เกี่ยวข้อง แกนน าชุมชน และหน่วยงานทั้ง ภาครัฐและเอกชน 3.เกิดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ 4.เกิดช่องทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ ทั้งภายใน และภายนอก Outcome 1. ลดต้นทุนเกษตรกร ใช้ท สิ่งแวดล้อม 2. เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเ 3. เกิดตลาดและช่องทางก 4. เกิด BCG model Input


างมูลค่าเพิ่มวัสดุเหลือใช้ทาง ตร(เปลือกโกโก้) ของเครือข่าย ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก ร์แกนิก ก้โก้และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ต้นน้ า ประสาน กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ นักวิชาการ ส ารวจ ช่วงเวลาการเก็บผลผลิต การแปรรูป, ประโยชน์ และการ ด าเนินงานกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้, หารูปแบบ, หาภาคี เครือข่ายเกษตรกร ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นเกษตร จังหวัด เกษตรอ าเภอ กลางน้ า การพัฒนา ตรวจสอบ และประเมินคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, การพัฒนาช่องทางการตลาด และ สร้างตราสินค้า บรรจุภัณฑ์, การประสานความร่วมมือกับ หน่วยงานในชุมชนและนอกชุมชน, การพัฒนากลุ่ม เครือข่าย สร้างการมีส่วนร่วมชุมชนเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้, นักวิจัย, อปท.,ชาวบ้านผู้สนใจ ปลายน้ า - ถ่ายทอดองค์ความรู้ - ช่องทางการตลาด(ตลาดในชุมชน ตลาดนอกชุมชน Process กี่ยวข้องข้อง กหลายของการใช้ประโยชน์จาก ปรรูปผลิตภัณฑ์ ม/ความคิดสร้างสรรค์ งชุมชน น์และออฟไลน์ ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเป็นมิตรกับ เป็นรูปธรรม การจ าหน่ายทั้งในและนอกชุมชน Impact 1. เกิดทางเลือกและทางรอดในการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับ เกษตรกร 2. สร้างความสามัคคีในชุมชนให้มีส่วนร่วมและมีวงสนทนาพูดคุย ได้ ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วม 3. เกิดกลุ่มชุมชนที่มีพลังคานงัดที่จะต่อรองกับบุคคลหรือหน่วยงาน ภายนอกทั้งทางตรงและทางอ้อม 4. เกิดนวัตกรรม องค์ความรู้ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เกิด จากการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในชุมชน 5. ลดปัญหาขยะ 6. ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ (BCG) ประยุกต์ใช้ ทรัพยากรของชุ่มชนโดยเฉพาะเปลือกโกโก้จะเป็นการลดของเสียที่


บทที่ 3 ระเบียบวิธีด าเนินการวิจัย ในการด าเนินงานวิจัยเรื่อง การสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (เปลือกโกโก้) ของ เครือข่ายเกษตรกร ผู้ปลูกโกโก้ในพื้นที่จังหวัดตาก และเพื่อให้การวิจัยสามารถได้มาซึ่งค าตอบเชิงประจักษ์ในแต่ ละวัตถุประสงค์ ทีมวิจัยได้ก าหนดวิธีด าเนินการวิจัยเป็นกรอบกว้าง ๆ ตามแต่ละวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ 1. ระเบียบวิธีวิจัยและวิธีการด าเนินการวิจัย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (The Research and Development) ที่ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้า อย่างเป็นระบบ โดยผสมผสานกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community Based Research) มุ่งพัฒนา ทางเลือกหรือวิธีการใหม่ ๆ ในการยกระดับเศรษฐกิจในชุมชน ด้านการน าวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรกลับมาใช้ ประโยชน์ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Quantitative Research and Qualitative Research ) โดยมุ่งเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมทั้งบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน บุคลากรภายในชุมชน กลุ่ม เกษตรกร วิสาหกิจออร์แกนิกที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดตาก โดยแบ่งการท างานออกเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ ระยะที่ 1 1. ศึกษาบริบทพื้นที่ การใช้ประโยชน์ และวิธีการก าจัดเปลือกโกโก้ ได้แก่ (1) ศึกษาบริบทพื้นที่การปลูก วิธีการก าจัดเปลือกโกโก้การแปรูปโกโก้และประโยชน์จากเปลือก โกโก้ของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้เพื่อการทบทวนองค์ความรู้ที่มีอยู่ในชุมชน (2) ประสาน รวมกลุ่มเกษตรกร และทาบทามปราชญ์ชาวบ้าน นักวิชาการ เพื่อสร้างภาคีเครือข่าย (3) ศึกษาช่วงเวลาการเก็บเกี่ยวโกโก้ประโยชน์และการด าเนินกิจกรรมของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูก โกโก้และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง 2. หารูปแบบที่เหมาะสมของการสร้างนวัตกรรมจากโกโก้และเปลือกโกโก้ เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับ ชุมชนในพื้นที่จังหวัดตาก (1) ศึกษาสรรพคุณ คุณสมบัติของเปลือกโกโก้ โดยการประสานความร่วมมือกับนักวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาตาก มหาวิทยาลัยราชภัฏก าแพงเพชร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตาก (2) การศึกษาดูงาน รูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และ การใช้ประโยชนจากโกโก้ (3) ประชุมภาคีเครือข่ายเพื่อร่วมกันก าหนดรูปแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้กับวัสดุ หรือพืชผลอื่น ๆ ในชุมชนที่ช่วยเพิ่มสรรพคุณของผลิตภัณฑ์จากเปลือกโกโก้ในชุมชนและน าไปทดลองใช้ ประเมินผล สรุปผลการทดลอง


Click to View FlipBook Version