The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อานนท์ ดิษฐ์จาด, 2022-06-04 05:10:39

คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น

คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น

คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ หน้า | 26

2. การออกแบบและตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กับวัฒนธรรมการแต่งกายในสมัยกรุงศรอี ยุธยา

2.1 การออกแบบเชิงวิศวกรรม
2.1.1 การระบปุ ญั หา
2.1.2 การค้นหาแนวคิดท่เี กย่ี วขอ้ ง
2.1.3 การวางแผนและพัฒนา
2.1.4 การทดสอบและการประเมนิ ผล
2.1.5 การนำเสนอผลลัพธ์

2.2 การตดั เย็บชุดไทยโดยการบูรณาการสะเตม็ ศึกษากับวฒั นธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตามการออกแบบเชิงวิศวกรรมการสร้างชุดไทย โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา

แผนผงั ความเช่ือมโยงสะเต็มศึกษากับกา
“แต่งกายไทย

S : Science T : Technology E : Engin
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรม

การถ่ายโอนความร้อน 1. การสืบค้นขอ้ มลู การออกแบบ สีแ
2. การเลอื กใชว้ ัสดุ

คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเต็มศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ

ารบูรณาการวัฒนธรรมสมยั กรุงศรอี ยุธยา
ยไปกับออเจา้ ”

neering M : Mathematics C : Culture
มศาสตร์ คณิตศาสตร์ วัฒนธรรม

และลวดลาย การหาพน้ื ท่ีรูปเรขาคณิต ความเป็นมาของการแต่งกาย
สมยั กรุงศรีอยธุ ยา

หนา้ | 27

คูม่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถ่นิ หน้า | 28

ข้นั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้

ขน้ั ตอนท่ี 1 จดุ ประกายการเรยี นรู้ (Inspiration : I)

1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายผู้รับบริการ พร้อมทั้งแนะนำตนเอง และฐานการเรียนรู้
เร่ือง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า ซึ่งผู้รับบริการจะต้องปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ เกี่ยวกับสะเต็มศึกษา
บูรณาการกับวฒั นธรรมสมยั กรุงศรอี ยุธยา

2. ผู้จัดกิจกรรมชี้แจงวัตถุประสงค์ของฐานการเรียนรู้ เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า
ซึ่งมีจำนวน 3 ข้อ ดงั นี้

(1) อธิบายการออกแบบและการแต่งกายไทยสมัยกรงุ ศรีอยุธยา โดยการบูรณาการ
สะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา

(2) ออกแบบการแต่งกายไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วฒั นธรรมสมัยกรุงศรีอยธุ ยา

(3) เห็นความสำคัญของการแต่งกายไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการบูรณาการ
สะเต็มศกึ ษากับวัฒนธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา

3. ให้ผู้รับบริการทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า โดยใช้เวลา
10 นาที

4. ผู้จัดกิจกรรมแจกใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า
โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อใช้สำหรับประกอบการเรียน รู้
ฐานการเรยี นรู้ เรือ่ ง แต่งกายไทยไปกับออเจา้

5. ผู้จัดกิจกรรมชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการ ในเรื่อง
ที่จะเรยี นร้ตู ามฐานการเรยี นรู้นี้ โดยผจู้ ดั กจิ กรรมสุ่มผู้รบั บริการตามความสมัครใจ จำนวน 2 - 3 คน
ใหต้ อบคำถาม จำนวน 2 ประเดน็ ดังน้ี

ประเด็นท่ี 1 ทา่ นเคยสวมใสช่ ดุ ไทยหรือไม่อย่างไร
แนวคำตอบ เคย เพราะ เปน็ ชดุ ประจำชาติหรอื ร่วมงานประเพณี

ไมเ่ คย เพราะ ใส่ไมเ่ ป็น หรือชุดไมม่ ี
ประเด็นที่ 2 ทา่ นรจู้ ักชดุ ไทยสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา หรอื ไม่ อยา่ งไร
แนวคำตอบ รู้จัก เพราะเคยแต่งกายชุดไทย และเคยชมภาพยนตร์หรือละคร
ประวตั ิศาสตรส์ มัยกรุงศรีอยธุ ยา
หลังจากนั้นผู้จัดกิจกรรมเปิดคลิปวีดิโอให้ผู้รับบริการ เรื่อง นักท่องเที่ยวแต่งกาย
ชุดไทยเที่ยวโบราณสถาน (https://www.youtube.com/watch?v=tdy3aLkWJjU) เวลา 1.59 นาที
ให้ผูร้ ับบรกิ ารตอบคำถามจำนวน 2 ประเดน็ ดงั นี้
ประเดน็ ที่ 1 ท่านไดเ้ รยี นรู้อะไรจากคลิปวีดิโอนี้
แนวคำตอบ ความภาคภูมใิ จในความเปน็ ไทย
ประเดน็ ที่ 2 ท่านคดิ ว่าการแต่งกายชดุ ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยามีคุณคา่ ต่อการสืบสาน
วัฒนธรรมนีห้ รอื ไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ มคี ณุ ค่า เพราะเป็นสง่ิ ทีบ่ ง่ บอกถงึ อตั ลักษณ์การแต่งกายของคนไทย

ค่มู ือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ หน้า | 29

6. ผู้จัดกิจกรรมโชว์ภาพชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา และให้ผู้รับบริการตอบคำถาม
เป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ในประเด็น จากชดุ ไทยทเ่ี ห็น ทา่ นคิดวา่ ชุดไทยนี้อยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมยั ใด ระบุเหตผุ ล

7. ผ้จู ัดกิจกรรมและผู้รบั บรกิ ารอภปิ รายและสรปุ ผลการเรยี นรู้รว่ มกนั

ขั้นตอนที่ 2 การปฏบิ ัติและการประยุกตใ์ ช้ (Implementations : I)

1. ผู้จัดกิจกรรมเช่อื มโยงสงิ่ ทีไ่ ด้เรยี นร้ใู นข้นั ตอนที่ 1 ในการนำความรไู้ ปสู่การปฏบิ ตั ิ
และการประยกุ ต์ใช้ โดยผจู้ ดั กจิ กรรมเปิดคลิปวิดโี อ เรอ่ื ง ชุดไทยแม่การะเกด งบหลกั ร้อย วธิ ีนงุ่ จีบ
หน้านาง โจงกระเบน ใสเ่ ล่นสงกรานต์กเ็ ริด่ เวลา 8.33 นาที
(https://www.youtube.com/watch?v=lKpatfU3v2A) หลังจากน้ันผูจ้ ดั กจิ กรรม ดำเนินการดงั น้ี

(1) ผู้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงสะเต็มศึกษากับการบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น
ที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่จะเรียนรู้ ตามใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยง
สะเตม็ ศึกษากบั การบูรณาการวัฒนธรรม “แตง่ กายไทยไปกับออเจา้ ” การออกแบบการตัดเยบ็ ชดุ ไทย
ไปหาออเจ้าโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อใช้สำหรับ
ประกอบการเรียนรู้ฐานการเรียนรู้ เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า ในส่วนของผู้รับบริการให้ศึกษา
ใบความรู้สำหรับผู้รบั บริการประกอบการบรรยายของผู้จัดกิจกรรม ตามใบความรู้สำหรับผู้รับบรกิ าร
เรื่อง แผนผังความเชือ่ มโยงสะเต็มศึกษากับการบรู ณาการวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยธุ ยา“แต่งกายไทย
ไปกับออเจ้า”และศึกษาใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง การออกแบบและการตัดเย็บชุดไทย
โดยการบูรณาการสะเต็มศกึ ษากับวฒั นธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่แจกให้ผู้รับบริการหลังการทดสอบ
กอ่ นเรยี น ประกอบการบรรยายของผู้จัดกจิ กรรม

(2) อธิบายและสาธิตการตัดเย็บชุดไทยโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามใบความรู้
สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง การแต่งกายไทยไปกับออเจ้า พร้อมทั้งให้ผู้รับบริการร่วมปฏิบัติในการ
สาธติ ของผู้จดั กิจกรรมด้วย ท้ังนี้เปดิ โอกาสให้ผู้รับบริการได้รวมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยให้ผู้รับบริการ
ตั้งประเด็นข้อสงสัยหรือสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ในกระบวนการของการสาธิตและเชื่อมโยงสู่การนำไปใช้
ในชีวิตจริงของผูร้ บั บริการตอ่ ไป

2. แบง่ ผ้รู ับบริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 8 คน ให้ออกแบบตดั เย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
และให้ผู้รับบริการลงมือปฏิบัติจริง โดยผู้รับบริการแต่ละกลุ่มวางแผนและดำเนินการเกี่ยวกับ
การตดั เย็บชุดไทย ตามใบกิจกรรมของผรู้ ับบรกิ าร เรือ่ ง การออกแบบและตดั เยบ็ ชุดไทย

ทั้งนี้ ผู้จัดกิจกรรมผู้รับบริการในการออกแบบและตัดเย็บชุดไทยโดยการบูรณาการสะ
เต็มศึกษากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ตามใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรมเรื่อง การออกแบบและตัดเย็บ
ชดุ ไทยสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา

3. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มตามข้อ 1 ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรมของผู้รับบริการ
เรื่อง การออกแบบและตัดเยบ็ ชดุ ไทยสมัยกรุงศรีอยธุ ยา

ท้งั น้ี ผจู้ ัดกจิ กรรมจะต้องกำกับการปฏิบัติกิจกรรมของผูร้ ับบริการจนกิจกรรมแล้วเสร็จ
ตามใบกิจกรรมสำหรับผ้จู ดั กจิ กรรม เรื่อง การออกแบบและตัดเย็บชุดไทยสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา

4. ให้ผู้รบั บริการแต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานการออกแบบตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
จำนวน 5 ประเด็น ดงั น้ี

คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หน้า | 30

ประเด็นท่ี 1 ในการออกแบบชดุ ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาของท่านมีลักษณะเปน็ อยา่ งไร
แนวคำตอบ ลักษณะสเ่ี หลย่ี มผนื ผ้าแบบผา้ ถุงหนา้ นาง
ประเด็นที่ 2 ท่านใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในกิจกรรมการตัดเย็บชุดไทย
สมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
แนวคำตอบ การถ่ายโอนความรอ้ น
ประเด็นที่ 3 ท่านใช้ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ในกิจกรรมการตัดเย็บชุดไทย
สมัยกรุงศรอี ยธุ ยาบา้ งหรือไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ ใชค้ วามรู้ทางดา้ นคณิตศาสตร์ เรือ่ ง การหาพ้นื ทร่ี ปู สีเ่ หลียมผนื ผ้า
ประเดน็ ที่ 4 ทา่ นใชอ้ ินเตอรเ์ น็ตสบื คน้ ข้อมูลบา้ งหรือไม่ สืบคน้ ในเรื่องใดบา้ ง
แนวคำตอบ ใชอ้ นิ เตอร์เน็ตสืบค้นขอ้ มลู เร่อื ง รูปแบบชุดไทย วธิ ีการตดั เยบ็
ประเด็นที่ 5 ท่านใช้กระบวนออกแบบเชิงวิศวกรรมในการตัดเย็บชุดไทยบา้ งหรือไม่
อย่างไร
แนวคำตอบ ใช้ในการออกแบบ สแี ละลวดลาย
5. ผ้จู ัดกจิ กรรมและผ้รู ับบริการอภปิ รายและสรุปผลการเรยี นรู้ร่วมกนั

ข้นั ตอนที่ 3 การสรปุ ผลการเรยี นรู้ (Conclusion : C)

1. ผู้จัดกิจกรรมชวนคิดชวนคุยเก่ียวกับเรื่องที่ได้เรียนรู้ในฐานการเรียนรู้นี้ โดยผู้จัด
กิจกรรมสุ่มผู้รับบริการ ตามความสมัครใจ จำนวน 2 - 3 คน ให้ตอบคำถามในประเด็น “ท่านจะนำ
ความรู้ เรื่อง แต่งกายไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือที่ฐานการเรียนรู้ เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า
นำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาหรือใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้อย่างไร

2. ผจู้ ัดกิจกรรมและผู้รับบริการอภิปรายและสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน ตาม PowerPoint
การสรุปผลการเรยี นรู้ เรือ่ ง แตง่ กายไทยไปกบั ออเจา้

3. ให้ผรู้ ับบริการทำแบบทดสอบหลงั เรียน เร่ือง แตง่ กายไทยไปกับออเจ้า
4. ให้ผู้รับบริการทำแบบประเมินความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้
เร่ือง แต่งกายไทยไปกบั ออเจ้า

สอ่ื วสั ดุอุปกรณ์ และแหลง่ เรียนรู้
1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า
2. ใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า โดยการบูรณาการ

สะเตม็ ศึกษากบั วัฒนธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
3. คลิปวดี โิ อ เร่ือง นกั ทอ่ งเท่ียวแต่งกายชุดไทยเทย่ี วโบราณสถาน

https://www.youtube.com/watch?v=tdy3aLkWJjU) เวลา 1.59 นาที
4. ภาพชดุ ไทยสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
5. คลิปวิดีโอ เรื่อง ชุดไทยแม่การะเกด งบหลักร้อย วิธีนุ่งจีบหน้านาง โจงกระเบน

ใส่เล่นสงกรานต์ก็เร่ิด เวลา 8.33 นาที (https://www.youtube.com/watch?v=lKpatfU3v2A)
6. ใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยงสะเต็มศึกษากับการ

บูรณาการวัฒนธรรม “แตง่ กายไทยไปกับออเจา้ ”

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้สู ะเต็มศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถ่ิน หนา้ | 31

7. ใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง การออกแบบและการตัดเย็บชุดไทยโดย
การบรู ณาการสะเต็มศึกษากบั วัฒนธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยา

8. ใบความรสู้ ำหรับผจู้ ัดกจิ กรรม เร่อื ง การแต่งกายไทยไปกับออเจา้
9. ใบกิจกรรมของผรู้ ับบรกิ าร เร่อื ง การออกแบบและตดั เยบ็ ชุดไทยสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา
10. ใบกจิ กรรมสำหรับผู้จดั กจิ กรรม เร่ือง การออกแบบและตดั เย็บชดุ ไทยสมยั กรุงศรอี ยุธยา
11. PowerPoint การสรปุ ผลการเรยี นรู้ เรอ่ื ง แตง่ กายไทยไปกับออเจ้า
12. แบบทดสอบหลงั เรยี น เร่อื ง แตง่ กายไทยไปกบั ออเจ้า
13. แบบประเมินความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้เรื่อง แต่งกาย
ไทยไปกับออเจ้า

การวดั และประเมินผล
1. สงั เกตพฤติกรรมการมีสว่ นรว่ ม ความตั้งใจ ความสนใจของผรู้ บั บริการ
2. ผลการทดสอบกอ่ นและหลังเรียน
3. ผลการออกแบบและสร้างสรรคน์ วัตกรรมและสงิ่ ทตี่ อ้ งการพฒั นา/ ชิน้ งาน/ ผลงาน
4. ผลการประเมนิ ความพึงพอใจในการเขา้ รว่ มกิจกรรม

ค่มู อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น หน้า | 32

บันทกึ ผลหลงั การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ผลการใชแ้ ผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
1. จำนวนเนอื้ หากับจำนวนเวลา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม
ระบเุ หตผุ ล

2. การเรียงลำดบั เน้ือหากบั ความเข้าใจของผู้รบั บริการ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม
ระบุเหตุผล

3. การนำเข้าสูบ่ ทเรียนกับเน้ือหาแต่ละหวั ข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม
ระบุเหตุผล

4. วิธีการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้กับเนือ้ หาในแตล่ ะขอ้  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม
ระบุเหตผุ ล

5. การประเมนิ ผลกบั วตั ถุประสงค์ในแต่ละเนื้อหา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม
ระบเุ หตผุ ล

ผลการเรยี นรู้ของผ้รู บั บรกิ าร

ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรขู้ องผู้จัดกิจกรรม

ข้อเสนอแนะ

คูม่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถนิ่ หน้า | 33

แบบทดสอบกอ่ นเรียน
เรื่อง แต่งกายไทยไปกับออเจ้า

คำชแี้ จง
ใหอ้ ่านข้อความแต่ละข้อแลว้ พิจารณาว่าข้อความนั้นถูกหรือผิด โดยเติมเครื่องหมายถูก

(✓) ลงหน้าขอ้ ที่ถกู และเติมเครอ่ื งหมายผดิ () ลงหน้าขอ้ ทีผ่ ิด

1. เครอ่ื งนุ่งหม่ เปน็ หนงึ่ ในปัจจัยสตี่ ่อการดำรงชีวติ ของมนุษย์
2. เสน้ ใยไหมเสื่อมคณุ ภาพง่าย เมอื่ ถกู ความร้อนสงู จากเตารีดหรอื แสงแดด
3 การแต่งกายยุคกรงุ ศรีอยธุ ยา แบ่งออกเปน็ 4 สมยั
4. ผ้าเบญจรงค์ มหี า้ สี ได้แก่ สดี ำ สขี าว สีแดง สีเขียว และสีเหลือง
5. การหาพื้นทข่ี นาดผ้านงุ่ รูปส่ีเหลียมผนื ผ้า = กว้าง × ยาว
6. การถ่ายโอนความร้อน มี 3 แบบ 1. การนำความร้อน 2. การพาความรอ้ น 3. การแผ่รังสีความร้อน
7. การนำความรู้ เรื่อง การนำความร้อน ไปใชป้ ระโยชน์ในการเลือกเสือ้ ผ้าสวมใส่ตามฤดกู าล
8. การถา่ ยโอนความรอ้ นคือ การถา่ ยโอนความร้อนจากอณุ หภมู ิสูง ไปยังอุณหภูมิต่ำ
9. เสอื้ ผา้ ฝ้ายไม่ทนทานตอ่ เช้อื ราและแสงแดด ควรเกบ็ รกั ษาไว้ในท่ีแห้ง
10. ผ้าทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากดอกของต้นฝ้าย เ ป็นผ้าที่สวมใส่ไม่สบาย
ระบายความร้อนได้ไมด่ ี

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน
1. ✓ 2. ✓ 3. ✓ 4. ✓ 5. ✓ 6. ✓ 7. ✓ 8. ✓ 9. ✓ 10. 

ใบความรู้สำหร
เรอื่ ง แผนผงั ความเชือ่ มโยงสะเต็มศกึ ษากับ

“แต่งกายไทย

S : Science T : Technology E : Engi

วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรร

การถ่ายโอนความร้อน 1. ความคิดสร้างสรรค์ด้านการ การออกแบบ สแี
ออกแบบ

2. การใช้ทรพั ยากรอยา่ งคมุ้ ค่า
3. การสืบค้นข้อมูล

คูม่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถ่ิน

รบั ผู้จดั กิจกรรม
บการบรู ณาการวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
ยไปกับออเจา้ ”

ineering M : Mathematics C : Culture

รมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วฒั นธรรม

และลวดลาย การหาพ้ืนท่รี ูปเรขาคณติ 1. สิ่งที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์
การแต่งกายของคนไทย
ในสมัยกรงุ ศรีอยุธยา

2. วัฒนธรรมการแต่งกา ย
ในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา

หน้า | 34

คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หนา้ | 35

ใบความรสู้ ำหรับผู้รับจดั กจิ กรรม
เรือ่ ง แตง่ กายไทยไปกับออเจ้า

1. ความเป็นมาของการแต่งกายสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา
มนุษย์รู้จักวิธีดัดแปลงสิ่งที่มีตามธรรมชาติ มาใช้ทำเป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย

ให้เหมาะสม เช่น การผูก มัด สาน ถัก ทอ ฯลฯ ตลอดจนถึงการ ใช้วิธีการตัดและเย็บในปัจจุบัน
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น พอจะสรุปความหมายของคำ วา่ “เครือ่ งแต่งกาย” หมายถึง ส่ิงที่มนุษย์
นำมาใชเ้ ป็นเครือ่ งห่อหุ้มรา่ งกาย โดยที่มนุษยม์ คี วาม จำเปน็ ตอ้ งแตง่ กายดว้ ยเหตผุ ลทส่ี ำคัญ คอื

1. ใชป้ กปิดร่างกาย
2. ใหค้ วามอบอ่นุ
3. เพ่ือปอ้ งกนั สัตว์ และแมลง

2. ประเภทของการแตง่ กายสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
การแต่งกายยคุ กรุงศรีอยุธยา จึงแบง่ ออกเป็น 4 สมัย ดังนี้
สมยั ที่ 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031
เครือ่ งแต่งกาย นงุ่ กางเกงยาวลงมาแคห่ น้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผ้าหยักรั้ง

แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ
ผ่าอก สาบซา้ ยทับสาบขวา มีผา้ กนุ๊ ตรงปลายแหลม คอ สาบหนา้ และชายเสอื้

เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ
มงกฎุ ท่ีครอบมวยพระเศียรของกษัตรยิ ์ พาหุรดั หรอื ทองกร เครือ่ งประดบั ศรี ษะถักด้วยลวดทองคำ

การแตง่ กายสมยั อยธุ ยา (สมยั ที่ 1)
ภาพเขยี นเลยี นแบบจากพวงผกา คโุ รวาท (2535: 55)

คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรียนร้สู ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถนิ่ หนา้ | 36

สมยั ที่ 2 พ.ศ. 2034 ถงึ 2171
เครอ่ื งแต่งกาย นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเสือ้ แขนกระบอก คอกลมผา่ อก ไม่นิยม

สไบ ผู้หญิงชั้นสูงสวมเสื้อคอแหลม มีผ้าคล้องไหล่ 2 ข้าง ผู้ชาย ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง นุ่งโจง
กระเบน ไมส่ วมเสือ้ มีผ้าคล้องไหล่

การห่มสไบมหี ลายแบบ
1. รอบตวั เหนบ็ ทงิ้ ชาย
2. ห่มแบบสไบเฉียง คอื พนั รอบอก 1 รอบแลว้ เฉวยี งขึ้นบา่ ปล่อยชายไวข้ ้างหลังเพยี งขาพบั
3. แบบสะพกั สองบ่า ใชผ้ ้าพันรอบตัวทับกนั ท่ีอกแลว้ จึงสะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชายไป
ข้างหลัง ท้ัง 2 ข้าง
4. แบบคลอ้ งไหล่ เอาชายไวข้ า้ งหลังทั้งสองชาย
5. แบบคล้องคอหอ้ ยชายไวข้ า้ งหนา้
6. แบบห่มคลุม

การแต่งกายสมัยอยุธยา (สมยั ท่ี 2)

สมยั ท่ี 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275
การแต่งกาย ผู้หญิงในราชสำนักนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อ ผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม คอกลม)

แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และ
หม่ ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแลว้ รวบไปผกู ไว้หลงั คอ) เหมาะสำหรบั เวลาทำงาน บุกป่า ออกรบ

การแต่งกาย ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้ทาง
ด้านหลังสวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อ ยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม
ด้านหน้า 8 – 10 เม็ด แขนเสื้อ กว้าง และสั้น มาก ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนาง
จะสวม ลอมพอกยอดแหลมชไปงานพธิ ีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมวั ร์

คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ หน้า | 37

(การแตง่ กายสมยั อยุธยา (สมัยท่ี 3)

สมยั ท่ี 4 พ.ศ. 2275 ถงึ พ.ศ. 2310
การแต่งกาย ของคนชั้น สูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อริ้วทอง (ทำด้วยผ้าไหม

สลบั ดว้ ยเส้นทองแดง) หม่ สไบ ชาวบา้ นท่อนบนคาดผ้าแถบหรือหม่ สไบ น่งุ โจงกระเบนหรอื ผ้าถุง
การห่มสไบมี 2 แบบ คือ
1. ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อ ริ้วทอง และใช้เจียระบาด

(ผ้าคาดพงุ ) คาดทับเส้ือปลอ่ ยชายลงตรงดา้ นหนา้
2. ห่มสไบเฉียงไมใ่ สเ่ สื้อเมอื่ อยกู่ ับบา้ น
ชาย ไวท้ รงมหาดไทย ทานำ้ มนั หอม
การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอแล้ว

ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน แล้วทรงภูษา จีบโจง
มีไหมถักรดั พระองค์ แล้วจงึ ทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทพิ ยท์ บั ฉลองพระองค์อีกทีการแต่งกายสมัยอยุธยา

การแต่งกายสมัยอยธุ ยา(สมัยท่ี 4)

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน หน้า | 38

3. ความสำคญั และชนดิ ของผา้ ไทยในสมัยกรุงศรอี ยุธยา

ผา้ (Fabric) หมายถึง วสั ดชุ นดิ หน่ึง จงึ เป็นสงิ่ สำคญั ในการถักทอ และลวดลาย บนผ้า
นั้นได้รับการสืบสานจากวัฒนธรรมโบราณเพื่อใช้เป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย วัสดุหลักที่ ใช้ในการผลิต
ผ้า ได้แก่ วัสดุ จากสัตว์ วัสดุจากพืช และจากการสังเคราะห์ จนได้เป็นเส้นด้าย และผ่านกรรม
วิธีผลิตจนได้เป็นผืนผ้าคนไทยเรารู้จักนำเอาฝ้าย ปอ และไหม มาทอเป็นผ้า ซึ่งในอดีตการตัดเย็บ
เสื้อผ้าที่สวมใส่จะเย็บด้วยมือเอกลักษณ์ของชาติไทย จะถูกถ่ายทอดให้ปรากฏเป็นลวดลายต่าง ๆ
เช่น ลายไทย ดอกไม้รูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ สัญลักษณ์ประจำท้องถิ่น เป็นต้น ลงบนผืนผ้า
โดยฝีมือและภูมิปัญญาของชาวบ้าน ลวดลายดังกล่าวละเอียดอ่อน สวยงาม อ่อนช้อย ผู้สวมใส่รู้สึก
สบาย สงา่ งาม มเี สนห่ ์ และเหมาะสมกับฤดูกาล

ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความนิยมให้ลักษณะของผ้าเป็นเครื่องแสดงฐานะ และตำแหน่ง
ของผู้สวมใส่ จึงให้ความสำคัญกับการเลือกผ้าที่จะมาใช้ในการทำเครื่องนุ่งห่ม ผ้าที่มีค่า คือ ผ้าไหม
ผ้าแพร ผ้ากำมะหยี่ และรองลงมาคือ ผ้าที่ท่อด้วยด้ายหรือฝ้าย และย้อมเป็นสีต่างๆ ที่เรียกว่า ห้าสี
คงไดแ้ ก่ สีดำ สีขาว สแี ดง สีเขยี ว และสีเหลือง ครงั้ นัน้ เรียกว่า ผ้าเบญจรงค์ ซ่ึงมีคุณสมบัตทิ ่ีแตกต่าง
กันไป เช่น ผ้าไหม ทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากสัตว์จำพวกหนอนไหม เมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้า
ทำให้อ่อนนุ่ม เป็นมัน เหนียว ยืดหยุ่นตัวดี ดูดซับความชื้น ย้อมสีง่ายและสวมใส่สบายเนื่องจาก
มีความชื้นในตัวเอง แต่มีข้อจำกัดคือเส้นใยไหมเส่ือมคุณภาพง่าย เมื่อถูกความร้อนสูงจากเตารีด
แสงแดด แมลงชอบกดั กินเส้นไหมเพราะเปน็ เส้นใยโปรตีน

ผ้าฝ้ายทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากดอกของต้นฝ้าย เมื่อนำมาทอผ้าจะดูดซับ
ความชื้นได้ดี ย้อมสีและพิมพ์ลวดลายง่าย สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี คงทนต่อการเสียดสี
ข้อจำกัดของผ้าฝ้ายจะเสื่อมคุณภาพง่าย เมื่อถูกความร้อนสูง หรือแสงแดด ทำให้สีที่ย้อมจางลง
ไมท่ นเชื้อราและแสงแดด ควรเก็บรักษาในท่ีแหง้

ผ้าแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติเรื่องของการถ่ายโอนความร้อน ซึ่งช่วยให้มีระบาย
ความร้อนได้ดี เมื่อสวมใส่และจะรู้สึกสบายตัว โดยคนมัยนั้น จะเรียนรู้การถ่ายเทความรู้ด้วย
ภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงต้องมีการออกแบบเครื่องนุ่งห่มให้เกิดการถ่ายเทความร้อนในระบบได้
อย่างเหมาะสม อีกหนึ่งตัวช่วยคลายร้อนก็คือการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยบางชนิดที่มี

คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศกึ ษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถิน่ หน้า | 39

คุณสมบัติคลายร้อนการแบ่งการถ่ายเทความร้อน (Heat Transfer) ออกเป็น 3 ชนิดคือ การนำความร้อน
การพาความร้อน และการแผ่รังสี แต่ว่าในความเปน็ จรงิ การถ่ายเทความร้อนทัง้ สามชนิดอาจเกิดขึน้
พร้อม ๆ กนั อย่างแยกไม่ออก

4. ความรูเ้ กี่ยวกับการตัดเยบ็ เสอื้ ผา้
ศึกษาชนิดและคุณสมบัตขิ องเสน้ ใย การทดสอบคุณสมบัติของผ้าเบื้องตน้ ประเภทของ

เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การเลือกใช้และดูแลรักษาเสื้อผ้า การแต่งกายให้เหมาะสมกับบุคลิกลักษณะ
โอกาส สถานที่ สมยั นยิ ม และการใช้งาน กระบวนการตัดเย็บเสื้อผ้ามลี ำดบั ตามข้ันตอนดงั ต่อไปนี้

1. ขั้นตอนการวัดตัว เป็นการวัดขนาดเพื่อตรวจสอบความกว้าง ความยาว ของสัดส่วน
ซ่ึงการวัดตวั สำคญั มาก

2. ขั้นตอนการสร้างแบบและแยกแบบ ทำได้โดยการนำสัดส่วนที่ได้วัดขนาดไว้หรือ
การออกแบบมาสร้างแบบตัดหรือแพทเทิร์น (Pattern) ลงกระดาษสร้างแบบ ตามกระบวนการ
ของการสร้างแบบเสื้อผ้า แต่ละชนิด เช่น สร้างแบบตัดเสื้อ สร้างแบบตัดผ้าถุง สร้างแบบตัดกางเกง
เป็นต้น

3. ขั้นตอนการคำนวณผ้า เลือกผ้า การตัดเย็บเสื้อผ้านั้นเราควรคำนวณผ้าให้ถูกต้อง
เพอื่ ความประหยัด และเลอื ก ผ้าให้เหมาะสมกับประโยชน์ใชส้ อย โดยคำนึงถึงคุณสมบตั ิของผ้า

4. ขั้นจัดเตรียมผ้า เป็นการจัดเตรียมวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการเย็บทุกชนิด เช่น เข็ม ด้าย
กรรไกร ผา้ จักรเยบ็ ผ้าบรเิ วณปฏิบัตงิ าน

5. ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ เป็นการตรวจสอบคุณภาพของงาน ซึ่งในการ
ตรวจสอบคุณภาพของงานตดั เยบ็ เส้อื ผา้ ที่สวยงาม ความเรียบรอ้ ย เป็นต้น เพิม่ เติม

5. หลกั การวิทยาศาสตร์ เร่ือง การถา่ ยโอนความร้อน
ความหมายของการถา่ ยโอนความร้อน
การถ่ายโอนความร้อน หมายถึง ความร้อนมีการถ่ายโอนได้ ในบริเวณที่สัมผัสกัน

ถ้าอุณหภูมิของบรเิ วณท่ีสมั ผัสตา่ งกนั จะมกี ารถา่ ยโอนความร้อนให้แก่กันจนอุณหภูมิคงท่ี วตั ถตุ า่ ง ๆ
ถ่ายโอนความร้อนได้ดีไม่เท่ากัน วัตถุใดที่ยอมให้ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ดีเรียกว่า ตัวนำความร้อน
วตั ถุทค่ี วามร้อนไม่สามารถถ่ายโอนผา่ นไปไดห้ รือความร้อนผ่านได้ไมด่ ี เรียกวา่ ฉนวนความร้อน

ประเภทของการถา่ ยโอนความร้อน
วธิ กี ารถ่ายโอนพลังงานความรอ้ นแบง่ ไดเ้ ป็น 3 วธิ ี ดงั น้ี
1. การนำความร้อน (Conduction) เป็นการถ่ายเทความร้อนจากโมเลกุลไปสู่อีก
โมเลกุลหนึ่งซึ่งอยู่ติดกันไปเรื่อย ๆ จากอุณหภูมิสูงไปสู่อุณหภูมิต่ำ ยกตัวอย่างเช่น หากเราจับทัพพี
ในหม้อหุงข้าว ความร้อนจะเคลื่อนที่ผ่านทัพพีมายังมือของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อน โลหะเป็นตัวนำ
ความร้อนทด่ี ี อโลหะและอากาศเปน็ ตัวนำความร้อนทไ่ี มด่ ี
2. การพาความร้อน (Convection) เปน็ การถ่ายเทความร้อนด้วยการเคลื่อนที่ของอะตอม
และโมเลกุลของสสารซึ่งมีสถานะเป็นของเหลวและก๊าซ ส่วนของแข็งนั้นจะมีการถ่ายเท
ความร้อนด้วยการนำความร้อน และการแผ่รังสีเท่านั้น การพาความร้อนจึงมากมักเกิดขึ้นใน
บรรยากาศ และมหาสมทุ ร รวมทง้ั ภายในโลก และดวงอาทิตย์

คูม่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน หนา้ | 40

3. การแผ่รังสี (Radiation) เป็นการถ่ายเทความร้อนออกรอบตัวทุกทิศทุกทาง โดยมิ
ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งถ่ายพลังงาน ดังเช่น การนำความร้อน และการพาความร้อน การแผ่รังสี
สามารถถ่ายเทความร้อนผ่านอวกาศได้ วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่า -273°C หรือ 0 K (เคลวิน)
ย่อมมีการแผร่ งั สี วัตถุท่มี ีอุณหภมู ิสงู แผ่รังสคี ล่ืนส้นั วตั ถทุ มี่ ีอุณหภูมิต่ำแผร่ งั สคี ลนื่ ยาว

การนำความร้อนไปใช้ประโยชน์
เรานำความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนพลังงานความร้อนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
หลายประการ เช่น การออกแบบกระทะหรือหม้อหุงต้มนิยมทำด้วยสแตนเลสหรืออลูมิเนียม แต่ด้ามจับ
ทำด้วยพลาสติกเพราะเป็นฉนวน พื้นเตารีดทำด้วยโลหะแต่มือจับทำด้วยพลาสติก ตัวกระติกน้ำแข็ง
นิยมทำด้วยพลาสติกเพราะเปน็ ฉนวนความร้อนทำให้ความรอ้ นจากภายนอกไม่สามารถผ่านเข้าไปใน
กระติกน้ำแข็งได้ ที่รองอุปกรณ์ปรุงอาหารในครัวนิยมทำด้วยไม้คอร์ก ป้องกันพื้นโต๊ะเสียหายเมื่อนำ
อุปกรณ์ร้อนๆวางบนโต๊ะ อุปกรณ์บัดกรีไฟฟ้านิยมทำด้วยทองแดงมอื จับทำด้วยฉนวน เช่น พลาสติก
แข็ง เรซิน อากาศเป็นฉนวนความร้อนที่ดี จึงมีการนำอากาศมาใช้เป็นฉนวนความร้อนของเครื่องใช้
แต่อากาศเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระจึงต้องทำช่องหรือตาข่ายเก็บอากาศไว้ เช่น ถุงมือที่ใช้จับภาชนะหุง
ต้มอาหารจะมีช่องหรือบริเวณที่ใช้เก็บกักอากาศ เวลาใช้จึงรู้สึกว่าถุงมือโป่งพอง ท้ังนี้เพื่อให้อากาศ
เป็นตัวกันไม่ให้ความร้อนไหลเข้าสู่มือขณะจับจาน กระทะหรือภาชนะหุงต้มขณะยังร้อนอยู่ ผ้าห่ม
จะถูกทำให้มีช่องอากาศ เมื่อใช้ผ้าห่มห่มร่างกายขณะที่อากาศภายนอกเย็น อากาศที่ถูกเก็บไว้ในผ้า
หม่ จะช่วยป้องกันไมใ่ ห้ความรอ้ นจากรา่ งกายไหลออกไปทำใหร้ ่างกายอบอุ่นขณะหม่ ผา้ หม่

คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถน่ิ หน้า | 41

ใบความรสู้ ำหรบั ผู้รับบริการ
เรือ่ ง แต่งกายไทยไปกบั ออเจา้

1. ความเป็นมาของการแตง่ กายสมัยกรุงศรอี ยุธยา
มนุษย์รู้จักวิธีดัดแปลงสิ่งที่มีตามธรรมชาติ มาใช้ทำเป็นเคร่ื องห่อหุ้มร่างกาย

ให้เหมาะสม เช่น การผูก มัด สาน ถัก ทอ ฯลฯ ตลอดจนถึงการ ใช้วิธีการตัดและเย็บในปัจจุบัน
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้น พอจะสรุปความหมายของคำ ว่า “เครื่องแต่งกาย” หมายถึง สิ่งท่ี
มนษุ ย์นำมาใช้เป็นเครือ่ งห่อหุม้ ร่างกาย โดยทม่ี นุษยม์ ีความ จำเป็นต้องแตง่ กายด้วยเหตผุ ลทส่ี ำคัญ คอื

1. ใชป้ กปดิ ร่างกาย
2. ใหค้ วามอบอุน่
3. เพอื่ ป้องกนั สตั ว์ และแมลง

2. ประเภทของการแตง่ กายสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
การแต่งกายยคุ กรงุ ศรีอยุธยา จึงแบง่ ออกเป็น 4 สมยั ดังน้ี
สมัยท่ี 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031
เครอื่ งแต่งกาย นงุ่ กางเกงยาวลงมาแค่หนา้ แขง้ ปลายขาเรียวเลก็ กว่าเดิม นุ่งผ้าหยักร้ัง

แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ
ผา่ อก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากนุ๊ ตรงปลายแหลม คอ สาบหนา้ และชายเสื้อ

เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ
มงกุฎท่ีครอบมวยพระเศียรของกษตั รยิ ์ พาหรุ ดั หรือทองกร เครื่องประดบั ศรี ษะถักดว้ ยลวดทองคำ

การแตง่ กายสมัยอยุธยา (สมยั ท่ี 1)
ภาพเขยี นเลียนแบบจากพวงผกา คุโรวาท (2535: 55)

คู่มอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ หน้า | 42

สมยั ท่ี 2 พ.ศ. 2034 ถงึ 2171
เคร่อื งแต่งกาย นุง่ กางเกงหรือโจงกระเบน สวมเส้อื แขนกระบอก คอกลมผ่าอก ไม่นิยม

สไบ ผู้หญิงชั้นสูงสวมเสื้อคอแหลม มีผ้าคล้องไหล่ 2 ข้าง ผู้ชาย ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง นุ่งโจง
กระเบน ไม่สวมเสอื้ มีผา้ คลอ้ งไหล่

การห่มสไบมหี ลายแบบ
1. รอบตัวเหน็บท้ิงชาย
2. ห่มแบบสไบเฉียง คอื พนั รอบอก 1 รอบแลว้ เฉวียงขนึ้ บ่าปล่อยชายไวข้ า้ งหลังเพียงขาพบั
3. แบบสะพัก สองบ่า ใช้ผ้าพันรอบตัวทับกันที่อกแล้วจึงสะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชาย
ไปขา้ งหลงั ทั้ง 2 ข้าง
4. แบบคล้องไหล่ เอาชายไว้ข้างหลงั ทั้งสองชาย
5. แบบคลอ้ งคอห้อยชายไว้ข้างหน้า
6. แบบห่มคลมุ

การแต่งกายสมัยอยธุ ยา (สมัยที่ 2)

สมัยท่ี 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275
การแต่งกาย ผู้หญิงในราชสำนักนุ่งผ้าซ่ิน สวมเสื้อ ผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม คอกลม)

แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และ
ห่มตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแลว้ รวบไปผูกไว้หลงั คอ) เหมาะสำหรับเวลาทำงาน บุกปา่ ออกรบ

การแต่งกาย ผู้ชายนุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้ทาง
ด้านหลังสวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อ ยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม
ด้านหน้า 8 – 10 เม็ด แขนเสื้อ กว้าง และสั้น มาก ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนาง
จะสวม ลอมพอกยอดแหลมชไปงานพธิ ีจะสวมรองเทา้ แตะปลายแหลมแบบแขกมวั ร์

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถ่นิ หน้า | 43

(การแตง่ กายสมัยอยุธยา (สมัยที่ 3)

สมัยท่ี 4 พ.ศ. 2275 ถึง พ.ศ. 2310
การแต่งกาย ของคนชั้น สูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อร้ิวทอง (ทำด้วยผ้าไหม

สลับดว้ ยเส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบา้ นทอ่ นบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ นงุ่ โจงกระเบนหรือ ผ้าถุง
การหม่ สไบมี 2 แบบ คือ
1. ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อ ริ้วทอง และใช้เจียระบาด

(ผา้ คาดพุง) คาดทบั เสือ้ ปล่อยชายลงตรงด้านหน้า
2. หม่ สไบเฉียงไมใ่ ส่เสอ้ื เม่ืออยกู่ บั บา้ น
ชาย ไวท้ รงมหาดไทย ทานำ้ มนั หอม
การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอ

แล้ว ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน แล้วทรงภูษา
จีบโจงมีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกทีการแต่งกาย
สมัยอยุธยา

คูม่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถ่นิ หนา้ | 44

การแตง่ กายสมัยอยธุ ยา(สมยั ท่ี 4)

3. ความสำคญั และชนดิ ของผา้ ไทยในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา

ผา้ (Fabric) หมายถึง วสั ดชุ นิดหนงึ่ จึงเปน็ สิง่ สำคญั ในการถักทอ และลวดลาย บนผ้า
นั้นได้รับการสืบสานจากวัฒนธรรมโบราณเพื่อใช้เป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกาย วัสดุหลักที่ ใช้ในการผลิต
ผ้า ได้แก่ วัสดุ จากสัตว์ วัสดุจากพืช และจากการสังเคราะห์ จนได้เป็นเส้นด้าย และผ่านกรรม
วิธีผลิตจนได้เป็นผืนผ้าคนไทยเรารู้จักนำเอาฝ้าย ปอ และไหม มาทอเป็นผ้า ซึ่งในอดีตการตัดเย็บ
เสื้อผ้าที่สวมใส่จะเย็บด้วยมือเอกลักษณ์ของชาติไทย จะถูกถ่ายทอดให้ปรากฏเป็นลวดลายต่าง ๆ
เช่น ลายไทย ดอกไม้รูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ สัญลักษณ์ประจำท้องถิ่น เป็นต้น ลงบนผืนผ้า
โดยฝีมือและภูมิปัญญาของชาวบ้าน ลวดลายดังกล่าวละเอียดอ่อน สวยงาม อ่อนช้อย ผู้สวมใส่รู้สึก
สบาย สงา่ งาม มเี สนห่ ์ และเหมาะสมกบั ฤดกู าล

ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความนิยมให้ลกั ษณะของผ้าเป็นเครื่องแสดงฐานะ และตำแหน่ง
ของผู้สวมใส่ จึงให้ความสำคัญกับการเลือกผ้าที่จะมาใช้ในการทำเครื่องนุ่งห่ม ผ้าที่มีค่า คือ ผ้าไหม
ผ้าแพร ผ้ากำมะหยี่ และรองลงมาคือ ผ้าที่ท่อด้วยด้ายหรือฝ้าย และย้อมเป็นสีต่างๆ ที่เรียกว่า ห้าสี
คงได้แก่ สดี ำ สีขาว สแี ดง สเี ขียว และสีเหลือง คร้งั นน้ั เรยี กวา่ ผา้ เบญจรงค์ ซง่ึ มคี ุณสมบัตทิ ีแ่ ตกต่าง
กันไป เช่น ผ้าไหม ทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากสัตว์จำพวกหนอนไหม เมื่อนำมาทอเป็นผืนผ้า
ทำให้อ่อนนุ่ม เป็นมัน เหนียว ยืดหยุ่นตัวดี ดูดซับความชื้น ย้อมสีง่ายและสวมใส่สบายเนื่องจาก
มีความชื้นในตัวเอง แต่มีข้อจำกัดคือเส้นใยไหมเสื่อมคุณภาพง่าย เมื่อถูกความร้อนสูงจากเตารีด
แสงแดด แมลงชอบกัดกินเส้นไหมเพราะเป็นเสน้ ใยโปรตนี

ผ้าฝ้ายทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากดอกของต้นฝ้าย เมื่อนำมาทอผ้าจะดูดซับ
ความชื้นได้ดี ย้อมสีและพิมพ์ลวดลายง่าย สวมใส่สบาย ระบายความร้อนได้ดี คงทนต่อการเสียดสี
ข้อจำกัดของผ้าฝ้ายจะเสื่อมคุณภาพง่าย เมื่อถูกความร้อนสูง หรือแสงแดด ทำให้สีที่ย้อมจางลง
ไม่ทนเชอ้ื ราและแสงแดด ควรเกบ็ รักษาในทแ่ี ห้ง

ผ้าแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติเรื่องของการถ่ายโอนความร้อน ซึ่งช่วยให้มีระบาย
ความร้อนได้ดี เมื่อสวมใส่และจะรู้สึกสบายตัว โดยคนมัยนั้น จะเรียนรู้การถ่ายเทความรู้ด้วย
ภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงต้องมีการออกแบบเครื่องนุ่งห่มให้เกิดการถ่ายเทความร้อนในระบบได้
อย่างเหมาะสม อีกหนึ่งตัวช่วยคลายร้อนก็คือการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยบางชนิดที่มี

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถิน่ หนา้ | 45

คุณสมบัตคิ ลายร้อนการแบ่งการถา่ ยเทความร้อน (Heat Transfer) ออกเปน็ 3 ชนดิ คือ การนำความ
ร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสี แต่ว่าในความเป็นจริง การถ่ายเทความร้อนทั้งสามชนิดอาจ
เกดิ ข้ึนพร้อม ๆ กันอย่างแยกไมอ่ อก

4. ความรู้เกย่ี วกับการตัดเย็บเส้อื ผ้า
ศกึ ษาชนดิ และคุณสมบตั ิของเส้นใย การทดสอบคุณสมบตั ิของผ้าเบื้องต้น ประเภทของ

เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การเลือกใช้และดูแลรักษาเสื้อผ้า การแต่งกายให้เหมาะสมกับบุคลิกลักษณะ
โอกาส สถานท่ี สมัยนิยม และการใช้งาน กระบวนการตัดเยบ็ เสื้อผ้ามีลำดับตามขน้ั ตอนดังต่อไปน้ี

1. ขั้นตอนการวัดตัว เป็นการวัดขนาดเพื่อตรวจสอบความกว้าง ความยาว ของสัดส่วน
ซ่งึ การวัดตัว สำคัญมาก

2. ขั้นตอนการสร้างแบบและแยกแบบ ทำได้โดยการนำสัดส่วนที่ได้วัดขนาดไว้หรอื การ
ออกแบบมาสร้างแบบตัดหรือแพทเทิร์น (Pattern) ลงกระดาษสร้างแบบ ตามกระบวนการของ
การสรา้ งแบบเสอื้ ผา้ แตล่ ะชนิด เชน่ สร้างแบบตดั เส้อื สรา้ งแบบตดั ผา้ ถุง สรา้ งแบบตัดกางเกง เป็นต้น

3. ขัน้ ตอนการคำนวณผ้า เลอื กผ้า การตัดเย็บเส้ือผา้ นั้นเราควรคำนวณผา้ ให้ถูกต้องเพื่อ
ความประหยดั และเลือก ผ้าใหเ้ หมาะสมกบั ประโยชนใ์ ชส้ อย โดยคำนงึ ถงึ คุณสมบัตขิ องผา้

4. ขั้นจัดเตรียมผ้า เป็นการจัดเตรียมวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการเย็บทุกชนิด เช่น เข็ม ด้าย
กรรไกร ผา้ จักรเยบ็ ผา้ บรเิ วณปฏิบัติงาน

5. ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ เป็นการตรวจสอบคุณภาพของงาน ซึ่งในการ
ตรวจสอบคุณภาพของงานตดั เย็บเสอ้ื ผ้าท่ีสวยงาม ความเรียบร้อย เป็นตน้ เพิ่มเติม

5. หลกั การวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง การถ่ายโอนความรอ้ น
ความหมายของการถ่ายโอนความร้อน
การถ่ายโอนความร้อน หมายถึง ความร้อนมีการถ่ายโอนได้ ในบริเวณที่สัมผัสกัน

ถ้าอุณหภมู ิของบริเวณทส่ี มั ผสั ตา่ งกัน จะมีการถา่ ยโอนความร้อนใหแ้ ก่กันจนอุณหภูมิคงท่ี วัตถตุ ่าง ๆ
ถ่ายโอนความร้อนได้ดีไม่เท่ากัน วัตถุใดที่ยอมให้ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ดีเรียกว่า ตัวนำความร้อน
วตั ถุท่คี วามรอ้ นไมส่ ามารถถา่ ยโอนผา่ นไปไดห้ รือความร้อนผา่ นได้ไม่ดี เรยี กว่า ฉนวนความร้อน

ประเภทของการถา่ ยโอนความร้อน
วิธกี ารถ่ายโอนพลังงานความร้อนแบง่ ไดเ้ ป็น 3 วิธี ดงั น้ี
1. การนำความร้อน (Conduction) เป็นการถ่ายเทความร้อนจากโมเลกุลไปสู่
อกี โมเลกุลหนงึ่ ซ่งึ อย่ตู ดิ กนั ไปเรอื่ ย ๆ จากอุณหภูมสิ งู ไปสู่อุณหภมู ิต่ำ ยกตวั อย่างเช่น หากเราจับทพั พี
ในหม้อหุงข้าว ความร้อนจะเคลื่อนที่ผ่านทัพพีมายังมือของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อน โลหะเป็นตัวนำ
ความรอ้ นท่ดี ี อโลหะและอากาศเป็นตัวนำความรอ้ นที่ไม่ดี
2. การพาความร้อน (Convection) เป็นการถ่ายเทความร้อนด้วยการเคลื่อนท่ี
ของอะตอมและโมเลกุลของสสารซึ่งมีสถานะเป็นของเหลวและก๊าซ ส่วนของแข็งนั้นจะมีการถ่ายเท
ความร้อนด้วยการนำความร้อน และการแผ่รังสีเท่านั้น การพาความร้อนจึงมากมักเกิดขึ้นในบรรยากาศ
และมหาสมุทร รวมท้ังภายในโลก และดวงอาทิตย์

คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเต็มศกึ ษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 46

3. การแผ่รังสี (Radiation) เป็นการถ่ายเทความร้อนออกรอบตัวทุกทิศทุกทาง โดยมิ
ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งถ่ายพลังงาน ดังเช่น การนำความร้อน และการพาความร้อน การแผ่รังสี
สามารถถ่ายเทความร้อนผ่านอวกาศได้ วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่า -273°C หรือ 0 K (เคลวิน)
ย่อมมกี ารแผ่รังสี วตั ถทุ ่มี ีอณุ หภมู ิสูงแผ่รังสคี ล่นื สน้ั วตั ถุที่มอี ณุ หภมู ิต่ำแผ่รงั สคี ลน่ื ยาว

การนำความร้อนไปใช้ประโยชน์
เรานำความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนพลังงานความร้อนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
หลายประการ เช่น การออกแบบกระทะหรือหม้อหุงต้มนิยมทำด้วยสแตนเลสหรืออลมู ิเนียม แต่ด้าม
จับทำด้วยพลาสติกเพราะเป็นฉนวน พื้นเตารีดทำด้วยโลหะแต่มือจับทำด้วยพลาสติก ตัวกระติก
น้ำแข็งนิยมทำด้วยพลาสติกเพราะเป็นฉนวนความร้อนทำให้ความร้อนจากภายนอกไม่สามารถผ่าน
เข้าไปในกระตกิ น้ำแขง็ ได้ ที่รองอุปกรณ์ปรุงอาหารในครวั นยิ มทำด้วยไมค้ อรก์ ปอ้ งกันพ้นื โตะ๊ เสยี หาย
เมื่อนำอุปกรณ์ร้อนๆวางบนโต๊ะ อุปกรณ์บัดกรีไฟฟ้านิยมทำด้วยทองแดงมือจับทำด้วยฉนวน เช่น
พลาสติกแข็ง เรซิน อากาศเป็นฉนวนความร้อนที่ดี จึงมีการนำอากาศมาใช้เป็นฉนวนความร้อนของ
เครื่องใช้ แต่อากาศเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระจึงต้องทำช่องหรือตาข่ายเก็บอากาศไว้ เช่น ถุงมือที่ใช้จับ
ภาชนะหุงต้มอาหารจะมีช่องหรือบริเวณที่ใช้เก็บกักอากาศ เวลาใช้จึงรู้สึกว่าถุงมือโป่งพอง ทั้งน้ี
เพอื่ ใหอ้ ากาศเปน็ ตวั กันไม่ให้ความร้อนไหลเข้าสมู่ ือขณะจับจาน กระทะหรอื ภาชนะหงุ ต้มขณะยังร้อน
อยู่ ผ้าห่มจะถูกทำใหม้ ชี ่องอากาศ เมอื่ ใช้ผ้าหม่ ห่มร่างกายขณะท่ีอากาศภายนอกเย็น อากาศท่ีถูกเก็บ
ไวใ้ นผ้าห่มจะช่วยปอ้ งกนั ไม่ให้ความร้อนจากร่างกายไหลออกไปทำใหร้ า่ งกายอบอ่นุ ขณะห่มผา้ ห่ม

คูม่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 47

ใบกิจกรรมสำหรบั ผ้จู ดั กิจกรรม
เร่ือง ข้ันตอนการตดั เยบ็ ชดุ ไทยสมยั กรุงศรีอยธุ ยา

วตั ถุประสงค์
1. อธิบายการออกแบบชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับ

วฒั นธรรมการ แตง่ กายในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
2. ออกแบบและตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับ

วัฒนธรรมการแตง่ กายในสมยั กรุงศรีอยุธยา
3. เห็นความสำคัญของการแต่งกายชุดไทยสมัยกรุงศรีอยธุ ยาโดยการบูรณาการสะเต็ม

ศกึ ษากบั วฒั นธรรมการแตง่ กายในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา

คำชี้แจง
ให้ผ้รู บั บริการออกแบบ และลงมือปฏบิ ัตกิ ารตดั เยบ็ ชดุ ไทยสมัยอยธุ ยา
1. การวางแผนการออกแบบ และลงมือปฏิบัติจากอุปกรณ์ที่เตรียมให้ โดยการบูรณา

การ สะเต็มศกึ ษาและวฒั นธรรมการแตง่ กายในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
2. ปฏิบัติการทำตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรอี ยุธยา โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา และ

วัฒนธรรมการแต่งกายในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา
3. บันทึกผลการปฏิบัติการทำตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการ

สะเต็มศึกษาและวฒั นธรรมการแต่งกายในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
4. สรุปปัญหา/อุปสรรค ในการทำตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการบูรณาการ

สะเต็มศกึ ษาและวัฒนธรรมการแตง่ กายในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา

วัสดแุ ละอุปกรณ์ที่เตรยี มให้สำหรับการออกแบบและปฏบิ ตั ิการตดั เย็บชดุ ไทยสมัยกรงุ ศรีอยุธยา

ลำดับ วสั ดอุ ุปกรณ์ จำนวน
1. กระดาษปรู๊ฟ 6 แผน่
2. สายวัด 1 เส้น
3. ยางลบ 1 กอ้ น
4. ดนิ สอ 1 แท่ง
5. กรรไกร 3 เลม่
6. กาวสองหน้าแบบบาง 1 ม้วน
7. เทปใส 1 ม้วน
8. กระดาษสี คละสี 3 แผน่
9. สไี ม้ หรอื สเี มจกิ 1 กล่อง
10. เมจกิ เทป 3 น้วิ
11. ที่เย็บกระดาษ 1 อนั
12. ตวั อยา่ งผา้ ตา่ งเนือ้ และต่างสี 5 ช้ิน
13. เชือกมัดพสั ดุ 10 เมตร
14. ตนี ตุก๊ แก 5 นิ้ว

คูม่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 48

ร่างแบบแผนการตัดเย็บชุดไทยสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
ให้ผู้รบั บริการระบุชอื่ นางแบบ แลว้ บันทึกความยาวที่ต้องการสำหรับชุดไทยหน้านางห่ม

สไบ ของนางแบบที่เลือกไว้และสเก็ตช์ภาพ โดยใช้ สูตรการหาพื้นที่ขนาดของผ้าเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
= กว้าง x ยาว นำมาแทนค่า A = L × W เพ่ือหาพน้ื ท่ี (A คอื พน้ื ทีข่ นาดของผา้ L คือ ความยาว และ
W คอื ความกวา้ ง พร้อมทงั้ ระบหุ น่วยในการวัด โดยใช้หน่วยความยาว คอื นวิ้

ชอ่ื

ความยาวรอบเอว น้ิว

ความยาวของผ้า นว้ิ

ความยาว(L) = นวิ้
ความกว้าง(W) = นิ้ว
ขนาดของผ้า(A) = ตร.น้วิ .

คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้สู ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น หนา้ | 49

2.1 จุดประสงค์ในการตดั เยบ็ ชดุ ไทยสมัยกรุงศรอี ยุธยา
แนวคำตอบ เพ่อื ใหเ้ หน็ คณุ ค่า ในออกแบบและตดั เยบ็ ชดุ ไทยสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา

2.2 การระบุปัญหา
แนวคำตอบ ให้จำลองสถานการณ์ผู้รับบริการเป็นดีไซน์เนอร์ออกแบบชุดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยตอ้ งเปน็ ชดุ ไทยหนา้ นาง ใหส้ มบูรณแ์ ละสายงาม เหมาะสมกับนางแบบ

2.3 การค้นหาแนวคดิ ทเี่ ก่ียวขอ้ ง
แนวคำตอบ ผูร้ บั บรกิ ารสืบค้นข้อมลู ใหผ้ รู้ บั บริการออกแบบการตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
และผู้รบั บริการดำเนินการการตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา

2.4 การวางแผนและพฒั นา
แนวคำตอบ ผู้จัดกิจกรมให้ผู้รับบริการวางแผนการตัดเย็บตัดเย็บชุดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
แบบหน้านาง ให้มีรูปทรงที่สวยงามขนาดที่เหมาะสมกับนางแบบ ผู้จัดกิจกรรมให้ผู้รับบริการ
ตรวจสอบผลการตัดเย็บชุดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา และสามารถแก้ปัญหาตามที่ต้องการ
ไดห้ รือไม่ ตอ้ งปรบั ปรงุ แก้ไขอยา่ งไร

2.5 ผลการปฏบิ ตั งิ านการตดั เย็บชุดไทยสมยั กรุงศรอี ยุธยาปฏิบตั งิ าน
แนวคำตอบ ผู้รับบริการได้ชุดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา สำหรับการสวมใส่ให้เกิดความสวยงาม
และสามารถนำความรู้ เรอ่ื ง การตดั เย็บชดุ ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จรงิ ได้

2.6 สรปุ ปญั หา/อปุ สรรค ในการตัดเย็บชุดไทยสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
แนวคำตอบ ชิ้นงานไม่เป็นไปตามแผนในการตัดเย็บชุดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้องคำนวณ
ขนาดของผ้าที่ใช้ให้เหมาะสมกบั สดั ส่วนพอดกี ับนางแบบ

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน หนา้ | 50

ใบกิจกรรมสำหรับผู้รับบริการ
เรอ่ื ง ขนั้ ตอนการตัดเยบ็ ชุดไทยสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา

วตั ถุประสงค์
1. อธิบายการออกแบบชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับ

วัฒนธรรมการ แต่งกายในสมยั กรุงศรีอยุธยา
2. ออกแบบและตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับ

วฒั นธรรมการแตง่ กายในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
3. เห็นความสำคัญของการแต่งกายชดุ ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็ม

ศึกษากับวฒั นธรรมการแตง่ กายในสมยั กรุงศรอี ยุธยา

คำชี้แจง
ให้ผู้รบั บรกิ ารออกแบบ และลงมอื ปฏิบัติการตัดเย็บชุดไทยสมัยอยธุ ยา
1. การวางแผนการออกแบบ และลงมือปฏิบัติจากอุปกรณ์ที่เตรียมให้ โดยการบูรณา

การ สะเตม็ ศกึ ษาและวฒั นธรรมการแต่งกายในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
2. ปฏิบัติการทำตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา และ

วัฒนธรรมการแต่งกายในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
3. บันทึกผลการปฏิบัติการทำตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการ

สะเตม็ ศกึ ษาและวฒั นธรรมการแตง่ กายในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
4. สรุปปัญหา/อุปสรรค ในการทำตัดเย็บชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการบูรณาการ

สะเต็มศึกษาและวฒั นธรรมการแต่งกายในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา

วัสดุและอปุ กรณท์ ีเ่ ตรียมให้สำหรับการออกแบบและปฏิบัตกิ ารตดั เย็บชุดไทยสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา

ลำดับ วัสดอุ ุปกรณ์ จำนวน
1. กระดาษปร๊ฟู 6 แผ่น
2. สายวัด 1 เสน้
3. ยางลบ 1 กอ้ น
4. ดินสอ 1 แท่ง
5. กรรไกร 3 เลม่
6. กาวสองหนา้ แบบบาง 1 มว้ น
7. เทปใส 1 มว้ น
8. กระดาษสี คละสี 3 แผน่
9. สีไม้ หรือ สีเมจกิ 1 กล่อง
10. เมจิกเทป 3 นว้ิ
11. ที่เยบ็ กระดาษ 1 อนั
12. ตัวอยา่ งผา้ ตา่ งเนือ้ และต่างสี 5 ชน้ิ
13. เชือกมดั พัสดุ 10 เมตร
14. ตีนต๊กุ แก 5 นิ้ว

คูม่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 51

ร่างแบบแผนการตัดเย็บชุดไทยสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
ให้ผู้รบั บริการระบุชอื่ นางแบบ แลว้ บันทึกความยาวที่ต้องการสำหรับชุดไทยหน้านางห่ม

สไบ ของนางแบบที่เลือกไว้และสเก็ตช์ภาพ โดยใช้ สูตรการหาพื้นที่ขนาดของผ้าเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
= กว้าง x ยาว นำมาแทนค่า A = L × W เพอ่ื หาพน้ื ท่ี (A คอื พน้ื ทีข่ นาดของผา้ L คือ ความยาว และ
W คอื ความกวา้ ง พร้อมทงั้ ระบหุ น่วยในการวัด โดยใช้หน่วยความยาว คอื นวิ้

ชอ่ื

ความยาวรอบเอว น้ิว

ความยาวของผ้า นวิ้

ความยาว(L) = นวิ้
ความกว้าง(W) = นิว้
ขนาดของผ้า(A) = ตร.น้วิ .

คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถิน่ หนา้ | 52

2.1 จดุ ประสงค์ในการตัดเยบ็ ชดุ ไทยสมัยกรุงศรีอยธุ ยา

2.2 การระบุปัญหา

2.3 การคน้ หาแนวคิดทเ่ี ก่ียวขอ้ ง

2.4 การวางแผนและพฒั นา

2.5 ผลการปฏิบตั งิ านการตัดเยบ็ ชดุ ไทยสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาปฏบิ ัตงิ าน

2.6 สรุปปญั หา/อุปสรรค ในการตดั เยบ็ ชดุ ไทยสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา

คูม่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ หน้า | 53

แบบทดสอบหลังเรยี น
เรื่อง แตง่ กายไทยไปกับออเจา้

คำช้ีแจง
ใหอ้ ่านข้อความแตล่ ะข้อแล้วพิจารณาวา่ ข้อความนั้นถูกหรือผิด โดยเติมเครื่องหมายถูก

(✓) ลงหน้าขอ้ ท่ถี กู และเตมิ เครื่องหมายผดิ () ลงหน้าข้อทผ่ี ดิ

1. เครือ่ งนุง่ ห่มเป็นหน่งึ ในปจั จัยสีต่ อ่ การดำรงชวี ิตของมนุษย์
2. การแตง่ กายยุคกรุงศรีอยธุ ยา แบ่งออกเป็น 4 สมัย
3. เสน้ ใยไหมเส่ือมคณุ ภาพง่าย เม่อื ถูกความร้อนสูงจากเตารดี หรือแสงแดด
4. ผ้าเบญจรงค์ มหี ้าสี ไดแ้ ก่ สีดำ สีขาว สแี ดง สเี ขยี ว และสีเหลอื ง
5. การหาพืน้ ทข่ี นาดผา้ นุ่งรปู ส่เี หลียมผนื ผา้ = กว้าง×ยาว
6. การถ่ายโอนความรอ้ น มี 3 แบบ 1. การนำความร้อน 2. การพาความรอ้ น 3. การแผ่รงั สีความรอ้ น
7. การนำความรู้ เรื่อง การนำความร้อน ไปใช้ประโยชน์ในการเลอื กเสื้อผา้ สวมใสต่ ามฤดูกาล
8. การถา่ ยโอนความรอ้ นคอื การถา่ ยโอนความรอ้ นจากอุณหภมู ิตำ่ ไปยงั อณุ หภมู ิสูง
9. เส้อื ผ้าฝ้ายไมท่ นทานตอ่ เช้อื ราและแสงแดด ควรเก็บรักษาไว้ในที่แหง้
10. ผ้าทำจากเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากดอกของต้นฝ้าย เป็นผ้าท่ีสวมใส่ไม่สบาย ระบาย
ความร้อนได้ไม่ดี

เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น
1. ✓ 2. ✓ 3. ✓ 4. ✓ 5. ✓ 6. ✓ 7. ✓ 8.  9. ✓ 10. 

คูม่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น หนา้ | 54

แบบประเมินความพึงพอใจของผรู้ ับบริการในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

เรอ่ื ง แตง่ กายไทยไปกับออเจ้า

คำชี้แจง กรณุ าตอบแบบสอบถามโดยทำเครือ่ งหมาย หรือเตมิ ขอ้ ความ ในชอ่ งวา่ งตามความเป็นจรงิ เพ่อื ใชเ้ ป็น

ขอ้ มูลในการพฒั นาและปรบั ปรงุ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ตอนท่ี 1 ข้อมลู ทัว่ ไป

1. เพศ

 ชาย  หญิง

2. อายุ

 10 – 20 ปี  21 - 30 ปี

 31 – 40 ปี  50 ปี ข้ึนไป

3. ประเภทผรู้ ับบริการ

 นักเรียนในระบบโรงเรียน  นกั ศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น

 ประชาชน  อ่นื ๆ ระบุ

4. ระดับการศกึ ษา

 ประถมศึกษา  มัธยมศึกษาตอนต้น

 มธั ยมศึกษาตอนปลาย  ปรญิ ญาตรี

 สูงกว่าปรญิ ญาตรี  อืน่ ๆ ระบุ

ตอนที่ 2 ความพงึ พอใจตอ่ กิจกรรมการเรียนร้แู ละการใหบ้ ริการ

รายการ มากท่ีสุด ระดบั ความพึงพอใจ น้อยที่สุด
(5) (1)
ด้านความรูค้ วามเข้าใจ มาก ปานกลาง น้อย
1. ความรคู้ วามเข้าใจในเรอ่ื งน้ี ก่อน การจัดกจิ กรรม (4) (3) (2)
2. ความร้คู วามเขา้ ใจในเร่ืองน้ี หลัง การจดั กจิ กรรม
ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. รูปแบบ/กระบวนการจดั กิจกรรม
2. กจิ กรรมท่ีจัดเหมาะสมกับผู้รับบริการ
3. สาระความรู้ทไ่ี ด้รับ
4. สอ่ื การเรียนร้/ู แหล่งเรยี นรู้
5. การมีสว่ นรว่ มของผู้รบั บรกิ าร
6. ระยะเวลาในการจดั กิจกรรม
7. สามารถนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
ด้านการใหบ้ ริการและผู้จดั กิจกรรม
8. การจัดบรรยากาศเออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้
9. การใหบ้ รกิ ารของเจา้ หนา้ ท่ี
10. การบรรยายและการตอบคำถามทชี่ ัดเจนของผ้จู ัดกจิ กรรม

ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเติม

คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถ่นิ หนา้ | 55

ฐานการเรียนท่ี 3 เรื่อง ตามรอยกรุงศรีอยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ

แผนการจัดกิจกรรมการเรียนร้ทู ี่ 3 เร่อื ง ตามรอยกรงุ ศรอี ยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ

เวลา 3 ชวั่ โมง

แนวคิด
ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรี

อยุธยา ซึง่ มีรายละเอียดเกี่ยวกบั ประวัตคิ วามเป็นมาของขนมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา และขนมไข่กบ
เป็นหน่ึงในขนมตามประเพณีสถ่ี ว้ ย อนั เป็นมรดกทางวฒั นธรรมอนั ทรงคุณค่าที่คนร่นุ หลังพึงได้เรียนรู้
เกี่ยวกับขนมไข่กบ และการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม ในการออกแบบการทำขนมไข่กบ
ซึ่งสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพสร้างรายได้ ดังนั้น การออกแบบตกแต่งขนมไข่กบจึงเป็นการ
บูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม ซึ่งใช้ความรู้ใน 4 วิชาได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ โดยเน้นการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหา
หรือใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ ร่วมกับความรู้เกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยา
ระหวา่ งน้ำกับสารเมือกมิวซเิ ลจ (Mucilage) ในเมลด็ แมงลกั มาออกแบบและทำขนมไขก่ บ

วตั ถปุ ระสงค์
1. อธิบายการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากบั วัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา
2. ออกแบบและการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม

สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา
3. เห็นความสำคัญของการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม

สมยั กรงุ ศรีอยุธยา

เนื้อหา
1. การออกแบบและการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม

สมัยกรุงศรอี ยุธยา
1.1 ความรเู้ บ้อื งต้นเกี่ยวกับขนมไข่กบ
1.1.1 ประวตั คิ วามเป็นมาของขนมไทยสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
1.1.2 ความหมาย และความสำคัญของขนมไทยสมยั กรงุ ศรีอยุธยา
1.1.3 ชอื่ วิทยาศาสตร์ วงศ์ ชื่ออืน่ ๆ และลักษณะทางพฤกษศาสตร์
1.1.4 ประโยชน์และโทษของเมลด็ แมงลัก

ค่มู อื การจัดกจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน หนา้ | 56

2. การออกแบบและการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา

2.1 การออกแบบเชิงวิศวกรรมตกแต่งขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา

2.1.1 การระบปุ ญั หา
2.1.2 การค้นหาแนวคิดท่ีเก่ียวขอ้ ง
2.1.3 การวางแผนและพฒั นา
2.1.4 การทดสอบและการประเมินผล
2.1.5 การนำเสนอผลลพั ธ์
2.2 การปฏิบัติการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามการออกแบบเชิงวิศวกรรมการทำขนมไข่กบ โดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วฒั นธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา คอื วตั ถุดิบและอุปกรณใ์ นการทำขนมไข่กบ

แผนผงั ความเช่ือมโยงสะเตม็ ศึกษากับการวัฒนธรรมทอ้ งถ่ินทส่ี

S : Science T : Technology E:E
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศว

1. การพองตัวของเมล็ด 1. การเลือกใช้วัสดุ-อุปกรณ์ การออกแบ
แมงลกั ในการทำขนมไขก่ บ

2. คณุ สมบตั ิของสารเมอื ก 2. การสบื คน้ ข้อมลู
มิวซเิ ลจ (Mucilage)

3. ชือ่ วิทยาศาสตร์ วงศ์
และชอ่ื อื่น ๆ คณุ ลักษณะ
ทางพฤกษศาสตร์
และสรรพคุณ
ของตน้ แมงลัก

คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเต็มศกึ ษาบรู ณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ

สอดคลอ้ งกบั เนือ้ หา เรอื่ ง “ตามรอยกรุงศรอี ยุธยา ตามหาขนมไข่กบ”

Engineering M : Mathematics C : Culture
วกรรมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วฒั นธรรม

บบขนมไข่กบ 1. การคิดอตั ราส่วน 1. ประวัติความเปน็ มา
2. การคำนวณต้นทนุ กำไร ของขนมไทยสมัยกรุง
ศรีอยุธยา

2. ประเพณีสถ่ี ้วย

หน้า | 57

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถ่ิน หน้า | 58

ขนั้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 1 จดุ ประกายการเรยี นรู้ (Inspiration : I)

1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายผู้รับบริการ พร้อมทั้งแนะนำตนเอง และฐานการเรียนรู้
เรื่อง ตามรอยกรุงศรีอยุธยาตามหาขนมไข่กบ ซึ่งผู้รับบริการจะต้องปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็น
การบรู ณาการสะเตม็ ศึกษากับวฒั นธรรมที่เน้นการทำขนมไทยในสมัยกรงุ ศรีอยุธยา

2. ผู้จัดกิจกรรมช้ีแจงวัตถุประสงค์ของฐานการเรียนรู้ เรื่อง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา
ตามหาขนมไข่กบ ซงึ่ มจี ำนวน 3 ข้อ ดังนี้

(1) อธิบายการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา

(2) ออกแบบและทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมยั กรุงศรอี ยุธยา

(3) เห็นความสำคัญของการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วฒั นธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยา

3. ใหผ้ ู้รับบรกิ ารทำแบบทดสอบก่อนเรียน เร่ือง ตามรอยกรุงศรีอยุธยาตามหาขนมไข่กบ
โดยใช้เวลา 10 นาที

4. ผู้จัดกิจกรรมแจกใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหา
ขนมไขก่ บ เพือ่ ใชส้ ำหรบั ประกอบการเรียนรู้ฐานการเรียนรู้ ตามรอยกรุงศรอี ยุธยา ตามหาขนมไขก่ บ

5. ผู้จัดกิจกรรมชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการ ในเรื่อง
ท่ีจะเรยี นรู้ตามฐานการเรยี นรู้น้ี โดยผจู้ ดั กิจกรรมสุ่มผู้รับบริการ ตามความสมัครใจ จำนวน 2 - 3 คน
ใหต้ อบคำถาม จำนวน 2 ประเด็น ดงั นี้

ประเด็นที่ 1 “ท่านรูจ้ ักขนมไทยหรือไม่ อย่างไร ใหร้ ะบุชือ่ ขนมไทยนั้น”
แนวคำตอบ กระยาสารท กล้วยไข่เชื่อม กล้วยบวดชี กลีบลำดวน กะละแม แกงบวด
ขนมกรอก ขนมกล้วย
ประเด็นที่ 2 “ท่านรู้จักขนมไทยในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาหรอื ไม่ อยา่ งไร”
แนวคำตอบ ทองหยอด ทองหยบิ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปรง่ ขนมผิง
หลงั จากนน้ั ผ้จู ดั กจิ กรรมเปดิ คลปิ วดิ ีโอให้ผู้รบั บรกิ ารชม เร่ือง [Ep7] ทรูยูชวนชิม
กบั เชลล์ 4/4 (สดุ ยอดรา้ นหมูสะเตะ๊ ) #สุดยอดตำรบั สยาม
(https://www.youtube.com/watch?v=EEWrWkpAzzk)
เวลา 8 นาที ใหผ้ รู้ ับบรกิ ารตอบคำถาม จำนวน 2 ประเด็น ดงั น้ี
ประเด็นที่ 1 ท่านได้เรียนรู้อะไร จากคลิปวีดีโอเรื่อง [Ep7] ทรูยูชวนชิมกับเชลล์ 4/4
(สุดยอดรา้ นหมสู ะเตะ๊ ) #สุดยอดตำรบั สยาม
แนวคำตอบ ประวัตขิ องขนมไทยในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา วา่ มที ่ีมาและความสำคญั อย่างไร
ประเด็นท่ี 2 ประเพณีขนม 4 ถ้วย ตามคลิปวดี โี อ มีขนมอะไรบ้าง
แนวคำตอบ 1. ขนมไขก่ บ คือ เมลด็ แมงลัก

2. ขนมนกปลอ่ ย คือ ลอดชอ่ งไทย
3. ขนมบัวลอย คือ ขา้ วตอก

คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถ่นิ หนา้ | 59

4. ขนมอ้ายตอ้ื คือ ขา้ วเหนยี วดำ
ประเดน็ ที่ 3 ขนมไข่กบตามประเพณขี นม 4 ถว้ ย มลี กั ษณะอยา่ งไร ใหอ้ ธิบาย
แนวคำตอบ มีลักษณะ เป็นเมล็ดแมงลักที่พองตัวจากการแช่น้ำ รอบๆ คล้ายวุ้น
สขี าวขุ่น
6. ผู้จัดกิจกรรมโชว์โมเดลขนมสี่ถ้วย และให้ผู้รับบริการตอบคำถามเป็นรายบุคคล
และรายกลุ่ม ในประเด็น จากโมเดลขนมสี่ถ้วยท่านคิดว่ามีขนมอะไรบ้าง ทำมาจากอะไร และมีที่มา
อย่างไร
7. ผ้จู ดั กจิ กรรมและผู้รับบรกิ ารอภปิ รายและสรุปผลการเรียนรรู้ ่วมกัน

ข้ันตอนที่ 2 การปฏิบัติและประยกุ ตใ์ ช้ (Implementation : I)

1. ผ้จู ัดกิจกรรมเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนร้ใู นข้นั ตอนที่ 1 ในการนำความรไู้ ปสูก่ ารปฏิบตั ิ
และการประยกุ ต์ใช้ โดยผู้จดั กจิ กรรมเปิดคลิวดี โิ อและบรรยายประกอบการดูคลิปวดี ิโอ เรือ่ ง Bingsu
เทพเจา้ แห่งความเย็น น้ำแขง็ ใสสไตล์เกาหลี
(https://www.youtube.com/watch?v=PewAAaNuXZE) เวลา 4.53 นาที

หลังจากนน้ั ผู้จดั กิจกรรม ดำเนนิ การดงั นี้
(1) ผู้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงสะเต็มศึกษากับการบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่ิน
ที่สอดคล้องกับเนื้อหาท่ีจะเรียนรู้ ตามใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยง
สะเต็มศึกษากับการบูรณาการวัฒนธรรม “ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ” และบรรยาย
เนื้อหาตามใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ เพื่อใช้
สำหรับประกอบการเรยี นรู้ ตามรอยกรุงศรอี ยุธยา ตามหาขนมไข่กบ
(2) อธิบายและสาธิตการทำขนมไข่กบ ตามใบกิจกรรมสำหรับผู้จัดกิจกรรม
เรอื่ ง การทำขนมไข่กบ พร้อมทั้งให้ผรู้ ับบริการร่วมปฏิบัติในการสาธติ ของผู้จัดกิจกรรมด้วย ทั้งนี้เปิด
โอกาสให้ผูร้ บั บริการไดร้ วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยใหผ้ รู้ บั บริการตั้งประเด็นข้อสงสัยหรือส่ิงที่ต้องการ
เรียนรู้ในกระบวนการของการสาธิตและเชอื่ มโยงสู่การนำไปใชใ้ นชีวิตจริงของผรู้ บั บริการต่อไป
2. แบ่งผู้รับบริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 8 คน ให้ออกแบบสร้างสรรค์เมนูการทำ
ขนมไข่กบ และให้ผู้รับบริการลงมือปฏิบัติจริง โดยผู้รับบริการแต่ละกลุ่มวางแผนและดำเนินการ
เกย่ี วกบั การทำขนมไข่กบตามใบกจิ กรรมของผรู้ บั บรกิ ารเรื่อง ตามรอยกรงุ ศรีอยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ
ทั้งนี้ ผู้จัดกิจกรรมเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้กับผู้รับบริการในการออกแบบการทำขนม
ไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา ตามใบความรู้สำหรบั ผูจ้ ัดกิจกรรม เรื่องการเตรียมวสั ดุอุปกรณ์
ในการออกแบบและทำขนมไข่กบ
3. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มตามข้อ 1 ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรมของผู้รับบริการ
เร่ือง การออกแบบ สรา้ งสรรคเ์ มนู และการทำขนมไขก่ บ
ทั้งนี้ ผู้จัดกิจกรรมจะต้องกำกับการปฏิบัติกิจกรรมของผู้รับบริการจนกิจกรรมแล้ว
เสร็จตามใบกจิ กรรมสำหรบั ผู้จดั กิจกรรม เรือ่ ง ตามรอยกรงุ ศรอี ยุธยา ตามหาขนมไข่กบ
4. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานการออกแบบและทำขนมไข่กบ จำนวน
5 ประเด็น ดงั น้ี

ค่มู ือการจดั กจิ กรรมการเรียนร้สู ะเต็มศกึ ษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น หน้า | 60

ประเดน็ ที่ 1 ในการทำขนมไขก่ บของท่านมีลักษณะเป็นอย่างไร
แนวคำตอบ นำเมล็ดแมงลักไปแช่น้ำเปลา่ จนพองตัว จากน้ันใชก้ ะชอนกรองจากน้ำ
เติมนำ้ นำ้ กะทิทีเ่ ค่ยี วกบั นำ้ ตาลมะพรา้ วหรือน้ำตาลตะโตนด
ประเด็นที่ 2 ท่านใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในกิจกรรมการทำขนมไข่กบ
หรือไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ ใช้ คือ 1. การพองตวั ของเมล็ดแมงลัก

2. คุณสมบตั ิของสารเมอื กมิวซเิ ลจ (Mucilage)
3. ชื่อวิทยาศาสตร์ วงศ์ และชื่ออน่ื ๆ คุณลักษณะทางพฤกษศาสตร์
และสรรพคณุ ของตน้ แมงลกั
ประเด็นท่ี 3 ท่านใช้ความรทู้ างดา้ นคณิตศาสตร์ในกจิ กรรมการทำขนมไข่กบ หรือไม่
อย่างไร
แนวคำตอบ ใช้ คอื 1. การคดิ อัตราส่วน
2. การคำนวณต้นทนุ กำไร
ประเด็นที่ 4 ทา่ นใชอ้ ินเตอร์เน็ตสืบคน้ ขอ้ มูลบ้างหรอื ไม่ สืบคน้ ในเร่ืองใดบา้ ง
แนวคำตอบ ใช้ สบื คน้ ในเรอ่ื ง ดังน้ี
1. ประวตั ิความเปน็ มาของขนมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
2. ความหมาย และความสำคญั ของขนมไทยสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
3. ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ วงศ์ ช่ืออ่ืน ๆ และลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
4. ประโยชน์และโทษของเมล็ดแมงลัก
ประเด็นที่ 5 ท่านใช้กระบวนออกแบบเชิงวิศวกรรมในการทำขนมไข่กบหรือไม่
อย่างไร
แนวคำตอบ ใช้ คือ การออกแบบขนมไข่กบให้มีลักษณะน่ารับประทาน ดึงดูด
ความสนใจของลูกคา้ ท่มี าอุดหนุนซื้อนำ้ แขง็ ใสขนมไข่กบ
5. ผ้จู ัดกจิ กรรมและผรู้ บั บริการอภปิ รายและสรปุ ผลการเรียนรรู้ ่วมกัน

ข้ันตอนท่ี 3 การสรุปผลการเรียนรู้ (Conclusion : C)

1. ผู้จัดกิจกรรมชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียนรู้ในฐานการเรียนรู้นี้ โดยผู้จัด
กิจกรรมสุ่มผู้รบั บริการ ตามความสมัครใจ จำนวน 2 - 3 คน ให้ตอบคำถามในประเดน็

“ท่านจะนำความรู้ เรื่อง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ ไปประยุกต์ใช้
ในการแก้ปญั หาหรอื ใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ จริงได้อย่างไร

แนวคำตอบ 1. นำไปใช้ในการคิดอตั ราสว่ น
2. คำนวณต้นทนุ กำไร ในการขายของ
3. นำไปใช้ในการออกแบบขนมให้นา่ รบั ประทาน

2. ผู้จัดกิจกรรมและผู้รับบริการอภิปรายและสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกันตาม
PowerPoint เรื่อง การสรุปผลการเรยี นรู้ เรอื่ ง ตามรอยกรงุ ศรอี ยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ

3. ให้ผ้รู บั บริการทำแบบทดสอบหลงั เรียน เร่อื ง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ

คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หน้า | 61

4. ให้ผู้รับบริการทำแบบประเมินความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้
เรื่อง ตามรอยกรงุ ศรีอยุธยา ตามหาขนมไขก่ บ

ส่ือ วัสดอุ ปุ กรณ์ และแหลง่ เรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรยี น เรอื่ ง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ
2. ใบความร้สู ำหรับผรู้ ับบริการ เรื่อง ตามรอยกรงุ ศรอี ยธุ ยา ตามหาขนมไข่
3. คลิปวิดีโอ เรื่อง [Ep7] ทรูยูชวนชิมกับเชลล์ 4/4 (สุดยอดร้านหมูสะเต๊ะ) #สุดยอด

ตำรับสยาม (https://www.youtube.com/watch?v=EEWrWkpAzzk) เวลา 5 นาที
4. โมเดลขนมสีถ่ ว้ ย
5. คลปิ วดี ิโอ เร่อื ง Bingsu เทพเจา้ แห่งความเย็น นำ้ แขง็ ใสสไตล์เกาหลี

(https://www.youtube.com/watch?v=PewAAaNuXZE) เวลา 4.53 นาที
6. ใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยงสะเต็มศึกษากับการ

บรู ณาการ วฒั นธรรม “ตามรอยกรุงศรีอยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ”
7. ใบความรู้สำหรับผู้จดั กจิ กรรม เรอื่ ง ตามรอยกรุงศรอี ยุธยา ตามหาขนมไข่
8. ใบกจิ กรรมสำหรับผู้จัดกจิ กรรม เรือ่ ง ตามรอยกรงุ ศรอี ยุธยา ตามหาขนมไข่กบ
9. ใบกจิ กรรมของผรู้ บั บรกิ าร เร่ือง ตามรอยกรงุ ศรอี ยุธยา ตามหาขนมไขก่ บ
10. PowerPoint เรื่อง ตามรอยกรุงศรอี ยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ
11. แบบทดสอบหลังเรียน เรอื่ ง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ
12. แบบประเมินความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้ เรื่อง ตามรอย

กรุงศรีอยธุ ยาตามหาขนมไข่กบ

การวัดและประเมินผล
1. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี ่วนร่วม ความตัง้ ใจ ความสนใจของผรู้ บั บริการ
2. ผลการทดสอบกอ่ นและหลังเรยี น
3. ผลการออกแบบและสร้างสรรคน์ วตั กรรมและสงิ่ ทตี่ อ้ งการพฒั นา/ชิน้ งาน/ผลงาน
4. ผลการประเมินความพงึ พอใจในการเข้าร่วมกิจกรรม

คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถนิ่ หนา้ | 62

บันทกึ ผลหลงั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ผลการใช้แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
1. จำนวนเนือ้ หากับจำนวนเวลา  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม
ระบเุ หตผุ ล

2. การเรยี งลำดบั เน้ือหากบั ความเขา้ ใจของผูร้ บั บริการ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม
ระบเุ หตผุ ล

3. การนำเข้าส่บู ทเรยี นกับเน้ือหาแต่ละหวั ข้อ  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม
ระบเุ หตุผล

4. วธิ กี ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้กบั เนื้อหาในแตล่ ะข้อ  เหมาะสม  ไม่เหมาะสม
ระบุเหตุผล

5. การประเมนิ ผลกบั วัตถปุ ระสงค์ในแต่ละเนอ้ื หา  เหมาะสม  ไมเ่ หมาะสม
ระบุเหตผุ ล

ผลการเรยี นรขู้ องผู้รบั บริการ

ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ของผู้จดั กจิ กรรม

ขอ้ เสนอแนะ

ค่มู ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ หน้า | 63

แบบทดสอบก่อนเรียน
เรือ่ ง ตามรอยกรุงศรีอยธุ ยา ตามหาขนมไขก่ บ

คำชีแ้ จง
1. แบบทดสอบจำนวน 10 ขอ้ ขอ้ ละ 1 คะแนน คะแนนเต็ม 10 คะแนน
2. จงทำเครื่องหมายถูก (✓) หนา้ ขอ้ ท่ถี ูก และทำเครื่องหมายผิด () หนา้ ข้อที่ผดิ

1. ประเพณสี ถี่ ้วย หมายถึง ขนมไขก่ บ ขนมนกปล่อย ขนมบวั ลอย ขนมอ้ายตอ้ื
2. ขนมไขก่ บ ได้มาจากเมลด็ ข้าวโพดแช่น้ำ
3. ขนมไข่กบ เป็นขนมชนิดแรก ท่ีเกิดข้ึนในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
4. ขนมไขก่ บมคี วามสำคญั ในอดตี ใช้ในการจดั เล้ยี งในการขดุ สระในสมัยกรุงศรอี ยุธยา
5. คำว่า “ขนม” มที ี่มาจากคำสองคำท่มี าผสมกันคือ “ข้าวหนม” และ “ขา้ วนม”
6. ขนมไขก่ บ มีประโยชนช์ ว่ ยทำหน้าท่ีเปน็ ตัวระบายในระบบขบั ถา่ ย
7. สารเมือกมิวซิเลจ (mucilage) ที่หมุ้ เมลด็ แมงลักจัดเป็นสารในกลุ่มใยอาหารท่ีละลายนำ้ ได้
8. เมลด็ แมงลกั ทานเป็นประจำจะชว่ ยลดความเส่ยี งการเปน็ โรคหัวใจ
9. สารอะฟลาทอกซิน เป็นสารกอ่ มะเร็ง มีมากในเมด็ แมงลักท่เี กดิ เช้ือรา
10. Ocimum Africanum Lour. เปน็ ช่อื ทางวิทยาศาสตรข์ องต้นแมงลกั

เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน
1. ✓ 2.  3. ✓ 4. ✓ 5. ✓ 6. ✓ 7. ✓ 8.  9. ✓ 10. ✓

ใบความรสู้ ำหร
เร่ือง แผนผงั ความเชื่อมโยงสะเต็ม

“ตามรอยกรงุ ศรอี ยุธย

S : Science T:Technology E:Engin
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรร

1. การพองตัวของเมล็ดแมงลัก 1. การเลือกใช้วัสดุ-อุปกรณ์ การออกแบบขน
2. คุณสมบัติของสารเมอื ก ในการทำขนมไข่กบ

มิวซิเลจ (Mucilage) 2. การสบื คน้ ข้อมลู
3. ช่ือวทิ ยาศาสตร์ วงศ์

และช่ืออน่ื ๆ คณุ ลักษณะ
และสรรพคุณ
ของต้นแมงลัก

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน

รบั ผู้จัดกิจกรรม
มศึกษากับการบูรณาการวัฒนธรรม
ยา ตามหาขนมไขก่ บ”

neering M:Mathematics C:Culture
รมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วฒั นธรรม

นมไข่กบ 1. การคิดอตั ราส่วน 1. ประวตั ิความเป็นมา
2. การคำนวณต้นทุน กำไร ของขนมไทยโบราณ

2. ประเพณีสถ่ี ้วย

หน้า | 64

คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ หน้า | 65

ใบความรสู้ ำหรบั ผูร้ ับผู้จดั กิจกรรม
เรื่อง ตามรอยกรงุ ศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ

1. ความรเู้ บื้องต้นเก่ียวกับขนมไขก่ บ
1.1 ประวัตคิ วามเป็นมาของขนมไทยสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา

ที่มา : http://inews.bangkokbiznews.com/read/326368

คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญสำคัญเท่าน้ั น
ขนมไทยที่ใช้เลี้ยงแขกในงานขุดสระน้ำ เป็นขนมไทยที่กินกับน้ำกะทิ คือ “ขนมสี่ถ้วย” หมายถึง ไข่กบ
(เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว) และได้กลายเป็น
ประเพณีเลี้ยงขนมชื่อว่า “ประเพณี 4 ถ้วย” นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เริ่มมีการเจริญสัมพันธไ์ มตรีกับ
ต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ
มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัย
การบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไร
ทีเ่ รายมื เค้ามา เชน่ ทองหยบิ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคดิ วา่ เปน็ ของไทยแทๆ้

แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย “มารี กีมาร์” หรือ “ท้าวทอง
กีบม้า” เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการ
แต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ “ฟานิก
(Phanick)” เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ “อุรสุลา ยามาดา
(Ursula Yamada)” ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจาก
พวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ “ท้าวทองกีบม้า” ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง “หัวหน้า
ห้องเครื่องต้น” ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บ
ผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วย
ความซ่อื สัตย์สุจริต เป็นที่ช่ืนชม ยกยอ่ ง มีเงินคืนทองพระคลังปลี ะมาก ๆ ระหว่างที่รับราชการน่ีเอง มารี
กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและ
อื่น ๆ ให้แก่ผูท้ ำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านัน้ ได้นำมาถ่ายทอดตอ่ มายังแต่ละครอบครัวกระจาย
ไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า “มารี กีมาร์” หรือ “ท้าวทองกีบม้า” จะมีชาติกำเนิดเป็น
ชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้

ค่มู ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 66

ทิ้งสิ่งท่ีเธอคน้ คิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ “ท้าวทองกีบ
ม้า”เจ้าตำรับอาหารไทยขนมที่ท่านท้าวทองกีบม้าทำขึ้นและยังเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันก็ ได้แก่
ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และรวมไปถึง ขนมทองโปร่ง ขนมทองพลุ ขนม
สำปันนี ขนมไข่เต่า ฯลฯ แต่เดิมขนมเหล่านี้ เป็นของชาติโปรตุเกตุ เมื่อผ่านกาลเวลาผสมผสานกับ
ความคิด ชา่ งประดิดประดอยของหญิงไทย กท็ ำให้ขนมเหล่านี้ ปรบั เปล่ียนเป็นขนมไทย ๆ ในเวลาต่อมา

1.1.1 ประเพณี 4 ถว้ ย
สมัยอยุธยา คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญ

สำคัญเทา่ น้ัน ขนมไทยท่ีใช้เลีย้ งแขกในงานขดุ สระน้ำ เป็นขนมไทยท่ีกินกบั น้ำกะทิ คือ “ขนมสี่ถ้วย”
หมายถึง ไข่กบ (เมล็ดแมงลกั ) นกปล่อย (ลอดช่องไทย) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว)
เน่ืองจากมคี วามหมายท่ีดงี ามสมบรู ณ์ เปน็ การจารึกแบบลายแทงสมยั เกา่ ในแท่งศิลาจารึก

ไขก่ บ คือ เมด็ แมงลกั หมายถึง มีลูกเตม็ บ้านมหี ลานเต็มเมือง
นกปลอ่ ย คอื ลอดชอ่ งไทย หมายถึง มีความรักลื่นไหล ไม่มีอปุ สรรค
บัวลอย คือ ข้าวตอก หมายถึง มีความรักอยู่ในกรอบประเพณีดีงามเหมือนการค่ัว
ขา้ วตอกทไ่ี มก่ ระเด็นออกจากครอก
อ้ายต้อื คอื ขา้ วเหนยี วดำ หมายถงึ ตวั แทนรกั หนักแน่นเหมือนขา้ วเหนียวดำตอนนึ่งใหม่ ๆ
จากหลักฐานดังกล่าวเชื่อว่าอาจเกิดในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี
พ.ศ. 2215 - 2220 ขณะนั้นบ้านเรือนอยู่ ในความสงบสุข ไม่มีศึกสงคราม ราษฎรอยู่กันอย่างผาสุข
แผ่นดินมีความอุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูกอยู่ ทั่วราชอาณาจักร มีบริโภคกันอย่างอุดมสมบูรณ์
เหลือเฟือ จนมีการแลกเปลีย่ นซือ้ ขายกบั ตา่ งประเทศท้ังประเทศแถบตะวันตก และประเทศในเอเชยี
ด้วยกัน ในสมัยโบราณ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากนวดข้าวหรือช่วยกันทำงานต่าง ๆ เสร็จแล้ว
พวกผู้หญิงจะเตรียมทำขนมทั้งสี่ชนิดนี้ไว้เลี้ยงหลังเลิกงานอยู่เสมอ จนการเลี้ยงขนมแบบนี้ว่า
“ประเพณี 4 ถว้ ย”
วิธีรับประทานจะตักใส่มาผสมในถ้วยโดยมีน้ำกะทิที่เคี่ยวกับน้ำตาลมะพร้าว
หรือน้ำตาลโตนดแยกมาไว้เติมต่างหาก ใครชอบอะไรก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เป็นลอดช่องไทย
ในขนม 4 ถว้ ยมีจุดเดน่ ที่สำคัญอยู่ท่ีนำ้ กะทิ ซง่ึ ลกั ษณะของตวั ลอดช่องนั้นจะมเี ส้นเรียวยาวนุ่มตลอด
เส้น หอมกลิ่นใบเตยและเหนียว น้ำกะทิรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นน้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลโตนด
และเป็นสีน้ำตาล เข้มข้นแต่เมื่อส่วนผสมลงถ้วยโดย มีเส้นลอดช่อง น้ำกะทิที่เคี่ยวแล้ว และน้ำแข็ง
น้ำกะทิจะแตกออกมาเป็นสีขาว ขนมสี่ถ้วยจึงจัดได้ว่าเป็นขนมแห่งความสามัคคี เพราะจะนิยมใช้
เลี้ยงหลังทำกิจกรรมร่วมกันของคนไทย

คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถนิ่ หนา้ | 67

1.2 ความหมาย และความสำคัญของขนมไทยสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
ความหมาย
คำว่า “ขนม” เข้าใจว่ามาจากคำสองคำที่มาผสมกันคือ “ข้าวหนม” และ “ข้าวนม”

เข้าใจว่าเป็นข้าวผสมน้ำอ้อย น้ำตาล โดยอนุโลมคำว่าหนม แปลว่า หวาน ข้าวหนม ก็แปลว่า
ข้าวหวาน เรียกสั้นๆ เร็วๆ ก็กลายเป็น ขนม ส่วนที่ว่ามาจากข้าวนม (ข้าวเคล้านม) นั้นดูจะเป็น
ตำนานแขกโบราณ อยา่ งข้าวมธุปายาส (ทีน่ างสุชาดาทำถวายพระพุทธเจ้าเม่ือตอนตรัสรู้ก็ว่าเป็นข้าว
หุงกับนม)

คำว่า ขนม มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิฐานแน่นอนได้ เช่นเดียวกับไม่มีหลักฐาน
ยืนยันแน่นอนว่า “ขนมไทย” เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดเป็นครั้งแรก แต่ตามประวัติศาสตร์ไทย
มีหลักฐานตอนหนึ่งว่า มีการจารึกชื่อขนมในแท่งศิลาจารึก เป็นการจารึกแบบลายแทงสมัยโบราณ
ขนมท่ีปรากฏคือ “ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตอื้ ”

ความสำคัญของขนมไทยสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ขนมไทยหัตถกรรมความอรอ่ ยทีแ่ สดงออกถึงความอ่อนช้อยของความเป็นไทยตั้งแต่คร้ัง

อดีตกาลที่ก่อกำเนิดภูมิปัญญาไทยหลากหลายอย่างให้ สืบสานต่อทั้งวิถีชีวิตประเพณีวัฒนธรรม
ที่สามารถนำวัสดุมีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงแต่งเป็นของหวานได้มากหลายรูปแบบจัดเป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมอย่างหนึง่ ที่บง่ บอกวา่ คนไทยมลี ักษณะนิสัยอยา่ งไรเพราะขนมแต่ละชนดิ ล้วนมีเสน่ห์แสดง
ให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตวิจิตรบรรจงในรูปลักษณ์ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้วิธีการทำที่กลมกลืน
ความพิถีพิถันสีที่ให้ความสวยงามมีกลิ่นหอมรสชาติของขนมที่ละเมียดละไมชวนให้รับประทาน
แสดงใหเ้ ห็นวา่ คนไทยเปน็ คนใจเยน็ รักสงบ มีฝมี อื เชงิ ศิลปะ

วิถีชีวิตของคนไทยนั้นเป็นสังคมเกษตรที่มผี ลติ ผลทางธรรมชาติอยู่มากมาย เช่น กล้วย
อ้อย มะม่วง รวมไปถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ฯลฯ ที่สามารถปรุงเป็นขนมได้มากมายหลายชนิด เช่น
อยากได้ กะทิ ก็เก็บมะพร้าวมาขูดคั้นน้ำกะทิ อยากได้ แป้งก็นำข้าวมาโม่เป็นแป้งทำขนมอร่อย ๆ
เชน่ บวั ลอย กนิ กนั เองในครอบครัว

ขนมไทยถูกนำไปใช้ในงานบุญตามประเพณีและงานพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องในวิถีชีวิต
ชาวไทย โดยนิยมทำขนมชื่อมีมงคล ได้แก่ ขนมตระกูลทองทั้งหลาย เพราะคนไทยถือว่า “ทอง”
เป็นของดีมีมงคลทำแลว้ ได้มบี ุญกุศล มเี งินมที อง มลี าภยศ สรรเสริญ สมช่ือขนมนัน่ เอง

คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถนิ่ หน้า | 68

1.3 ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ วงศ์ ชอ่ื อ่ืน ๆ และลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ชอ่ื สมนุ ไพร แมงลัก
ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Ocimum africanum Lour.
ชือ่ วงศ์ APIACEAE (LABIATAE)
ชือ่ พอ้ ง Ocimum pilosum Willd.
. Ocimum basilicum L. var. pilosum (Willd.) Benth
Ocimum americanum L. var. pilosum (Willd.) A.J. Paton
ชือ่ อังกฤษ Ocimum citratum Rumph.
ชื่อทอ้ งถ่ิน Ocimum minimum sensu Burm.f.
Ocimum basilicum L. var. anisatum Benth.
Ocimum graveolens A. Braun
Ocimum petitianum A. Rich.
Hairy basil, American basil, Lemon basil
กอ้ มก้อข้าว (ภาคเหนือ), มงั ลัก, อตี ู่ (ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ไมล้ ้มลกุ อายสุ ้นั ฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง แตกก่งิ ก้านมาก มีกลน่ิ หอมเฉพาะตวั สงู 0.3-1 เมตร
ลำต้นและก่ิงก้านเป็นสีเ่ หลี่ยม สีเขียวแกมเหลอื ง เมือ่ ยงั อ่อนอยู่มีขนสีขาวหนาแน่น ใบเดี่ยวออกเรียง
ตรงขา้ ม เป็นรปู หอกถึงวงรี กวา้ ง 1-2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-5 เซนติเมตร โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบแหลม
ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ มีต่อมมันทั่วไป ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อยาวได้ถึง
15 เซนติเมตร ประกอบด้วยช่อดอกย่อยออกเป็นกระจุกๆ ละ 3 ดอก ข้อละ 2 กระจุก ใบประดับรปู
วงรีแกมใบหอก ยาว 2-3 มิลลิเมตร มีขน ก้านดอกย่อยยาวได้ถึง 4 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน
ปลายแยกเป็น 2 พู กลีบดอกสีขาว เชอื่ มตดิ กันเปน็ หลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 4-6 มิลลิเมตร
มเี กสรตวั ผู้ 4 อัน ยาว 2 อัน ส้ัน 2 อนั เกสรตวั เมียมีไข่ 4 อัน รงั ไข่เวา้ เปน็ 4 พู ผลแหง้ ประกอบด้วย
ผลยอ่ ย 4 ผล มีกลีบเล้ียงหุ้มอยู่ ผลย่อยทรงรปู ไข่ สีดำ กว้าง 1 มลิ ลิเมตร ยาว 1.25 มลิ ลเิ มตร

คูม่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้สู ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิน่ หน้า | 69

1.4 ประโยชนแ์ ละโทษของเมลด็ แมงลัก
1.4.1 ประโยชนข์ องเมล็ดแมงลกั

สารเมอื กอยโู่ ดยรอบเมล็ดแมงลัก ซ่งึ จะพองตวั เม่ือละลายในนำ้ ทันที ซึง่ สามารถพองน้ำ
ได้ 45 เท่า ลักษณะการพองตัวจะมีสายเยื่อเมือกเหนียวข้น คล้ายวุ้น สีขาวขุ่น สำหรับส่วนประกอบ
ทางเคมีเป็น Polyuronic acid พบในธรรมชาติในรูปเกลือ สารเมือกมิวซิเลจ (mucilage) ที่หุ้มเมล็ด
จดั เปน็ สารในกล่มุ ใยอาหารทีล่ ะลายน้ำได้ ประเภทเดยี วกบั กัม (gum)

เมล็ดแมงลักมีฤทธิ์เป็นยาระบายช่วยการขับถา่ ยเพราะเปลอื กด้านนอกสามารถพองตวั
ได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย ทำให้เพิ่มกากและช่วยหล่อลื่น ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น จากการศึกษา
ในอาสาสมัครโดยให้รับประทานเมล็ดแมงลกั ผสมน้ำ พบว่าสามารถเพิม่ ปริมาณอุจจาระและจำนวน
ครั้งในการถา่ ย และทำให้อจุ จาระอ่อนตวั กว่าปกติ เช่นเดียวกบั การรับประทาน psyllium

นอกจากน้ียังทำการศึกษากับผู้ป่วยที่จะผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือผ่าตัดนิ่วในไต พบว่า
กลมุ่ ที่รับประทานเมล็ดแมงลักมีสดั สว่ นของคนท่ีมีอาการท้องผูกหลงั การผ่าตดั น้อยกวา่ กลุ่มที่ไม่ได้รับ
เมลด็ แมงลกั แสดงให้เหน็ ว่าเมล็ดแมงลกั สามารถลดอาการทอ้ งผูกหลังผา่ ตัดได้

1) เมล็ดแมงลัก ลดความอ้วน เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ มีสรรพคุณ
ในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี และยังชว่ ยเพิม่ การขับออกของกรดน้ำดดี ว้ ย ซ่ึงจะไปลด
เฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) แต่ไมม่ ผี ลใด ๆ กบั คอเลสเตอรอลชนดิ ดี (HDL)

2) เมล็ดแมงลัก ลดน้ำหนัก ตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักและความอ้วน
เนื่องจากเมล็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และมันสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า เมื่อนำมา
รับประทานเป็นอาหาร (ควรรับประทานแค่บางมื้อต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาดสารอาหาร) หรือ
จะรับประทานก่อนอาหารเพื่อทำให้กระเพาะไม่ว่างและรู้สึกอิ่มเป็นการช่ว ยควบคุมปริมาณอาหาร
ที่รับประทานไปด้วยเป็นอย่างดี

3) เม่ือรับประทานเปน็ ประจำจะชว่ ยลดความเส่ยี งจากการเป็นโรคหัวใจ
4) เมลด็ แมงลักเป็นอาหารท่ีเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะชว่ ยทำให้การดูดซึม
ของนำ้ ตาลลดลง เนอ่ื งจากเมล็ดแมงลักทำให้รา่ งกายดดู ซึมสารอาหารได้ช้าลง
5) เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่รับประทานง่าย กลืนง่าย ลื่นคอ และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่
ค่อยรับประทานอาหารท่มี กี ากใยอย่างผักผลไม้
6) ช่วยให้ระบบขบั ถ่ายทำงานไดเ้ ป็นปกตแิ ละมีประสทิ ธิภาพ

ค่มู อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่ิน หน้า | 70

7) ใบแมงลกั ชว่ ยแก้อาการวงิ เวียนศีรษะได้
8) ใบแมงลกั มสี รรพคุณในการช่วยขบั เหงือ่
9) ชว่ ยแกอ้ าการท้องอดื ท้องเฟ้อ ดว้ ยการใชใ้ บสดมาลา้ งนำ้ ใหส้ ะอาดแลว้ รับประทาน
10) ใบแมงลกั มฤี ทธิช์ ่วยขบั ลมในลำไส้
11) ใช้เป็นยาระบาย กระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้น โดยการรับประทานเมล็ดแมงลัก
กอ่ นเขา้ นอน
12) ใบแมงลกั ตม้ กบั น้ำด่มื เป็นประจำช่วยรักษาโรคเกยี่ วกบั ลำไส้หรอื ทางเดินอาหาร
13) ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยยับยงั้ เช้อื ราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
14) รักษาโรคกลากเกลื้อนด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้ว
นำมาตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วทาบริเวณทีเ่ ป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้งประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการ
จะดขี น้ึ
1.4.2 โทษของเมล็ดแมงลกั
1) การรับประทานเมล็ดแมงลักในปริมาณมาก ๆ อาจจะเกิดอาการแน่นท้องรู้สึก
ไม่สบายตัวได้
2) ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้ เกิดอาการ
ขาดนำ้ และอาจเกดิ อาการลำไสอ้ ดุ ตนั ไดโ้ ดยเฉพาะกับชนิดทบี่ ดเปน็ ผง
3) ไม่ควรรับประทานเมล็ดแมงลักพร้อมกับกับยาอื่น ๆ เพราะจะมีผลทำให้ร่างกาย
ดูดซึมยาเหล่านั้นได้ ไม่ดีและน้อยลง ดังนั้นควรทานยาก่อนสักประมาณ 15-30 นาทีแล้วค่อย
รับประทานเมล็ดแมงลกั ตาม
4) สำหรบั ผู้ที่ตอ้ งการลดนำ้ หนัก การรบั ประทานเมล็ดแมงลักแทนม้ืออาหารหลักควร
รับประทานเป็นบางมอื้ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารทจ่ี ำเปน็ อ่นื ๆ ได้
5) การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อเมล็ดแมงลักที่มีความสะอาดได้มาตรฐานน่าเชื่อถือ
อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่เหมาะสม อาจมีเชื้อราหรือสารพิษอย่างอะฟลาทอกซินปน
เปื้อนมาด้วย (สารอะฟลาทอกซิน เม่ือบริโภคจำนวนมากอาจทำให้อาการท้องเดิน อาเจียน และสะสม
เปน็ สารกอ่ มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ)

คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ หน้า | 71

ใบความรูส้ ำหรบั ผู้รับบริการ
เรื่อง ตามรอยกรงุ ศรีอยุธยา ตามหาขนมไขก่ บ

1. ความร้เู บ้ืองต้นเกย่ี วกับขนมไข่กบ
1.1 ประวตั ิความเปน็ มาของขนมไทยสมัยกรุงศรีอยธุ ยา

ที่มา : http://inews.bangkokbiznews.com/read/326368

คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญสำคัญเท่านั้น
ขนมไทยที่ใช้เลี้ยงแขกในงานขุดสระน้ำ เป็นขนมไทยที่กินกับน้ำกะทิ คือ “ขนมสี่ถ้วย” หมายถึง ไข่กบ
(เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว) และได้กลายเป็น
ประเพณีเลี้ยงขนมชื่อว่า “ประเพณี 4 ถ้วย” นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เริ่มมีการเจริญสัมพันธไ์ มตรีกับ
ต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ
มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัย
การบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไร
ที่เรายืมเคา้ มา เชน่ ทองหยบิ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคดิ วา่ เป็นของไทยแท้ๆ

แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย “มารี กีมาร์” หรือ “ท้าวทอง
กีบม้า” เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการ
แต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ “ฟานิก
(Phanick)” เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ “อุรสุลา ยามาดา
(Ursula Yamada)” ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจาก
พวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ “ท้าวทองกีบม้า” ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง “หัวหน้า
ห้องเครื่องต้น” ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บ
ผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วย
ความซอ่ื สัตย์สุจริต เปน็ ทีช่ ่นื ชม ยกย่อง มีเงินคนื ทองพระคลังปีละมาก ๆ ระหว่างทร่ี ับราชการน่ีเอง มารี
กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและ
อื่น ๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจาย
ไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า “มารี กีมาร์” หรือ “ท้าวทองกีบม้า” จะมีชาติกำเนิดเป็น
ชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้


Click to View FlipBook Version