คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถนิ่ หนา้ | 72
ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวญั ถึงด้วยความภาคภูมิ “ท้าวทองกบี
ม้า”เจ้าตำรับอาหารไทยขนมที่ท่านท้าวทองกีบม้าทำขึ้นและยังเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบันก็ ได้แก่
ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และรวมไปถึง ขนมทองโปร่ง ขนมทองพลุ ขนม
สำปันนี ขนมไข่เต่า ฯลฯ แต่เดิมขนมเหล่านี้ เป็นของชาติโปรตุเกตุ เมื่อผ่านกาลเวลาผสมผสานกับ
ความคดิ ช่างประดิดประดอยของหญิงไทย ก็ทำให้ขนมเหล่าน้ี ปรบั เปลยี่ นเป็นขนมไทย ๆ ในเวลาตอ่ มา
1.1.1 ประเพณี 4 ถ้วย
สมัยอยุธยา คนไทยสมัยโบราณจะได้กินขนมก็ต่อเมื่อมีงานนักขัตฤกษ์ หรืองานบุญ
สำคัญเทา่ น้นั ขนมไทยท่ีใช้เลี้ยงแขกในงานขุดสระน้ำ เป็นขนมไทยที่กนิ กับน้ำกะทิ คือ “ขนมส่ีถ้วย”
หมายถึง ไข่กบ (เมล็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่องไทย) บัวลอย (ข้าวตอก) และอ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว)
เนอ่ื งจากมคี วามหมายทดี่ งี ามสมบูรณ์ เป็นการจารึกแบบลายแทงสมยั เกา่ ในแทง่ ศิลาจารึก
ไขก่ บ คอื เมด็ แมงลกั หมายถึง มลี ูกเต็มบ้านมหี ลานเตม็ เมือง
นกปล่อย คือ ลอดช่องไทย หมายถงึ มคี วามรักลื่นไหล ไม่มอี ปุ สรรค
บัวลอย คือ ข้าวตอก หมายถึง มีความรักอยู่ในกรอบประเพณีดีงามเหมือนการคั่ว
ข้าวตอกท่ไี ม่กระเด็นออกจากครอก
อ้ายตือ้ คอื ขา้ วเหนียวดำ หมายถงึ ตัวแทนรักหนักแน่นเหมือนข้าวเหนียวดำตอนนึ่งใหม่ ๆ
จากหลักฐานดังกล่าวเชื่อว่าอาจเกิดในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี
พ.ศ. 2215 - 2220 ขณะนั้นบ้านเรือนอยู่ ในความสงบสุข ไม่มีศึกสงคราม ราษฎรอยู่กันอย่างผาสุข
แผ่นดินมีความอุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูกอยู่ ทั่วราชอาณาจักร มีบริโภคกันอย่างอุดมสมบูรณ์
เหลือเฟือ จนมีการแลกเปลีย่ นซือ้ ขายกบั ต่างประเทศท้ังประเทศแถบตะวันตก และประเทศในเอเชยี
ด้วยกัน ในสมัยโบราณ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากนวดข้าวหรือช่วยกันทำงานต่าง ๆ เสร็จแล้ว
พวกผู้หญิงจะเตรียมทำขนมทั้งสี่ชนิดนี้ไว้เลี้ยงหลังเลิกงานอยู่เสมอ จนการเลี้ยงขนมแบบนี้ว่า
“ประเพณี 4 ถว้ ย”
วิธีรับประทานจะตักใส่มาผสมในถ้วยโดยมีน้ำกะทิที่เคี่ยวกับน้ำตาลมะพร้าว
หรือน้ำตาลโตนดแยกมาไว้เติมต่างหาก ใครชอบอะไรก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เป็นลอดช่องไทย
ในขนม 4 ถว้ ยมีจุดเด่นที่สำคัญอยู่ที่น้ำกะทิ ซง่ึ ลกั ษณะของตวั ลอดช่องน้ันจะมีเส้นเรียวยาวนุ่มตลอด
เส้น หอมกลิ่นใบเตยและเหนียว น้ำกะทิรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นน้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลโตนด
และเป็นสีน้ำตาล เข้มข้นแต่เมื่อส่วนผสมลงถ้วยโดย มีเส้นลอดช่อง น้ำกะทิที่เคี่ยวแล้ว และน้ำแข็ง
น้ำกะทิจะแตกออกมาเป็นสีขาว ขนมสี่ถ้วยจึงจัดได้ว่าเป็นขนมแห่งความสามัคคี เพราะจะนิยมใช้
เลีย้ งหลงั ทำกิจกรรมรว่ มกนั ของคนไทย
คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้สู ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ หนา้ | 73
1.2 ความหมาย และความสำคัญของขนมไทยสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา
ความหมาย
คำว่า “ขนม” เข้าใจว่ามาจากคำสองคำที่มาผสมกันคือ “ข้าวหนม” และ “ข้าวนม”
เข้าใจว่าเป็นข้าวผสมน้ำอ้อย น้ำตาล โดยอนุโลมคำว่าหนม แปลว่า หวาน ข้าวหนม ก็แปลว่า
ข้าวหวาน เรียกสั้นๆ เร็วๆ ก็กลายเป็น ขนม ส่วนที่ว่ามาจากข้าวนม (ข้าวเคล้านม) นั้นดูจะเป็น
ตำนานแขกโบราณ อยา่ งข้าวมธปุ ายาส (ทน่ี างสุชาดาทำถวายพระพุทธเจ้าเม่ือตอนตรัสรู้ก็ว่าเป็นข้าว
หุงกบั นม)
คำว่า ขนม มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิฐานแน่นอนได้ เช่นเดียวกับไม่มีหลักฐาน
ยืนยันแน่นอนว่า “ขนมไทย” เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดเป็นครั้งแรก แต่ตามประวัติศาสตร์ไทย
มีหลักฐานตอนหนึ่งว่า มีการจารึกชื่อขนมในแท่งศิลาจารึก เป็นการจารึกแบบลายแทงสมัยโบราณ
ขนมที่ปรากฏคอื “ไข่กบ นกปล่อย บวั ลอย อ้ายต้อื ”
ความสำคญั ของขนมไทยสมัยกรุงศรอี ยุธยา
ขนมไทยหัตถกรรมความอร่อยท่ีแสดงออกถึงความอ่อนชอ้ ยของความเปน็ ไทยต้ังแต่ครั้ง
อดีตกาลที่ก่อกำเนิดภูมิปัญญาไทยหลากหลายอย่างให้ สืบสานต่อทั้งวิถีชีวิตประเพณีวัฒนธรรม
ที่สามารถนำวัสดุมีอยู่ในท้องถิ่นมาปรุงแต่งเป็นของหวานได้มากหลายรูปแบบจัดเป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมอย่างหนึง่ ที่บง่ บอกวา่ คนไทยมีลักษณะนิสัยอยา่ งไรเพราะขนมแต่ละชนิดล้วนมีเสน่ห์แสดง
ให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตวิจิตรบรรจงในรูปลักษณ์ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้วิธีการทำที่กลมกลืน
ความพิถีพิถันสีที่ให้ความสวยงามมีกลิ่นหอมรสชาติของขนมที่ละเมียดละไมชวนให้รับประทาน
แสดงใหเ้ หน็ ว่าคนไทยเปน็ คนใจเย็น รักสงบ มีฝีมอื เชิงศลิ ปะ
วิถีชีวิตของคนไทยนั้นเป็นสังคมเกษตรท่ีมีผลติ ผลทางธรรมชาติอยู่มากมาย เช่น กล้วย
อ้อย มะม่วง รวมไปถึงข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ฯลฯ ที่สามารถปรุงเป็นขนมได้มากมายหลายชนิด เช่น
อยากได้ กะทิ ก็เก็บมะพร้าวมาขูดคั้นน้ำกะทิ อยากได้ แป้งก็นำข้าวมาโม่เป็นแป้งทำขนมอร่อย ๆ
เชน่ บวั ลอย กนิ กนั เองในครอบครัว
ขนมไทยถูกนำไปใช้ในงานบุญตามประเพณีและงานพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องในวิถีชีวิต
ชาวไทย โดยนิยมทำขนมชื่อมีมงคล ได้แก่ ขนมตระกูลทองทั้งหลาย เพราะคนไทยถือว่า “ทอง”
เป็นของดมี มี งคลทำแล้วได้มบี ญุ กุศล มีเงินมีทอง มีลาภยศ สรรเสรญิ สมช่อื ขนมนน่ั เอง
คูม่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนร้สู ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่ิน หน้า | 74
1.3 ช่อื วิทยาศาสตร์ วงศ์ ช่ืออืน่ ๆ และลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ชอ่ื สมนุ ไพร แมงลัก
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum africanum Lour.
ช่ือวงศ์ APIACEAE (LABIATAE)
ช่อื พอ้ ง Ocimum pilosum Willd.
. Ocimum basilicum L. var. pilosum (Willd.) Benth
Ocimum americanum L. var. pilosum (Willd.) A.J. Paton
ชอ่ื องั กฤษ Ocimum citratum Rumph.
ชอื่ ท้องถน่ิ Ocimum minimum sensu Burm.f.
Ocimum basilicum L. var. anisatum Benth.
Ocimum graveolens A. Braun
Ocimum petitianum A. Rich.
Hairy basil, American basil, Lemon basil
ก้อมกอ้ ข้าว (ภาคเหนือ), มังลกั , อตี ู่ (ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ไมล้ ้มลกุ อายสุ ้นั ฤดูเดียว ลำตน้ ตัง้ ตรง แตกกิง่ ก้านมาก มีกลน่ิ หอมเฉพาะตวั สงู 0.3-1 เมตร
ลำตน้ และก่งิ ก้านเป็นส่ีเหลี่ยม สเี ขียวแกมเหลอื ง เมือ่ ยงั ออ่ นอยู่มีขนสีขาวหนาแน่น ใบเด่ียวออกเรียง
ตรงขา้ ม เปน็ รูปหอกถึงวงรี กว้าง 1-2.5 เซนตเิ มตร ยาว 2.5-5 เซนติเมตร โคนใบรปู ลม่ิ ปลายใบแหลม
ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบ มีต่อมมันทั่วไป ก้านใบยาวได้ถึง 2.5 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อยาวได้ถึง
15 เซนติเมตร ประกอบด้วยช่อดอกยอ่ ยออกเป็นกระจุกๆ ละ 3 ดอก ข้อละ 2 กระจุก ใบประดับรปู
วงรีแกมใบหอก ยาว 2-3 มิลลิเมตร มีขน ก้านดอกย่อยยาวได้ถึง 4 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน
ปลายแยกเป็น 2 พู กลบี ดอกสขี าว เชือ่ มตดิ กันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ยาว 4-6 มิลลิเมตร
มเี กสรตัวผู้ 4 อนั ยาว 2 อัน สั้น 2 อนั เกสรตัวเมียมไี ข่ 4 อัน รงั ไข่เว้าเปน็ 4 พู ผลแห้งประกอบด้วย
ผลย่อย 4 ผล มีกลบี เลี้ยงหมุ้ อยู่ ผลย่อยทรงรปู ไข่ สดี ำ กวา้ ง 1 มลิ ลเิ มตร ยาว 1.25 มิลลิเมตร
คูม่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่ิน หน้า | 75
1.4 ประโยชน์และโทษของเมลด็ แมงลัก
1.4.1 ประโยชน์ของเมล็ดแมงลกั
สารเมอื กอยูโ่ ดยรอบเมล็ดแมงลกั ซงึ่ จะพองตัวเมอื่ ละลายในน้ำทันที ซงึ่ สามารถพองน้ำ
ได้ 45 เท่า ลักษณะการพองตัวจะมีสายเยื่อเมือกเหนียวข้น คล้ายวุ้น สีขาวขุ่น สำหรับส่วนประกอบ
ทางเคมีเป็น Polyuronic acid พบในธรรมชาติในรูปเกลือ สารเมอื กมวิ ซิเลจ (mucilage) ท่ีหุ้มเมล็ด
จดั เปน็ สารในกลมุ่ ใยอาหารทีล่ ะลายนำ้ ได้ ประเภทเดียวกับกมั (gum)
เมล็ดแมงลักมีฤทธิ์เป็นยาระบายช่วยการขับถา่ ยเพราะเปลอื กด้านนอกสามารถพองตวั
ได้ถึง 45 เท่า โดยไม่ถูกย่อย ทำให้เพิ่มกากและช่วยหล่อลื่น ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น จากการศึกษ า
ในอาสาสมัครโดยให้รบั ประทานเมล็ดแมงลัก ผสมน้ำ พบว่าสามารถเพิ่มปริมาณอจุ จาระและจำนวน
ครัง้ ในการถา่ ย และทำใหอ้ จุ จาระออ่ นตวั กว่าปกติ เช่นเดยี วกับการรับประทาน psyllium
นอกจากนี้ยังทำการศึกษากับผู้ป่วยที่จะผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือผ่าตัดนิ่วในไต พบว่า
กลุ่มที่รับประทานเมล็ดแมงลักมสี ัดส่วนของคนทีม่ ีอาการท้องผูกหลังการผา่ ตัดน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ
เมล็ดแมงลกั แสดงใหเ้ ห็นว่าเมลด็ แมงลกั สามารถลดอาการท้องผูกหลังผ่าตัดได้
1) เมล็ดแมงลัก ลดความอ้วน เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ มีสรรพคุณ
ในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเปน็ กรดน้ำดี และยงั ช่วยเพ่มิ การขับออกของกรดน้ำดดี ว้ ย ซง่ึ จะไปลด
เฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) แตไ่ มม่ ีผลใด ๆ กับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
2) เมล็ดแมงลัก ลดน้ำหนัก ตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักและความอ้วน
เนื่องจากเมล็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และมันสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า เมื่อนำมา
รับประทานเป็นอาหาร (ควรรับประทานแค่บางมื้อต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาดสารอาหาร) หรือ
จะรับประทานก่อนอาหารเพื่อทำให้กระเพาะไม่ว่างและรู้สึกอิ่มเป็นการช่วยควบคุมปริมาณอาหาร
ที่รับประทานไปด้วยเป็นอยา่ งดี
3) เม่อื รับประทานเปน็ ประจำจะชว่ ยลดความเสย่ี งจากการเป็นโรคหัวใจ
4) เมลด็ แมงลักเป็นอาหารที่เหมาะกบั ผปู้ ่วยโรคเบาหวาน เพราะช่วยทำให้การดูดซึม
ของนำ้ ตาลลดลง เนอ่ื งจากเมล็ดแมงลกั ทำให้รา่ งกายดูดซมึ สารอาหารได้ชา้ ลง
5) เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่รับประทานง่าย กลืนง่าย ลื่นคอ และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่
ค่อยรับประทานอาหารทมี่ ีกากใยอย่างผักผลไม้
6) ชว่ ยใหร้ ะบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกตแิ ละมีประสทิ ธิภาพ
ค่มู ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ หนา้ | 76
7) ใบแมงลักชว่ ยแก้อาการวิงเวยี นศรี ษะได้
8) ใบแมงลกั มสี รรพคณุ ในการช่วยขับเหงื่อ
9) ชว่ ยแก้อาการท้องอดื ท้องเฟ้อ ดว้ ยการใชใ้ บสดมาลา้ งนำ้ ใหส้ ะอาดแลว้ รบั ประทาน
10) ใบแมงลกั มฤี ทธิช์ ่วยขบั ลมในลำไส้
11) ใช้เป็นยาระบาย กระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้น โดยการรับประทานเมล็ดแมงลัก
ก่อนเขา้ นอน
12) ใบแมงลกั ต้มกบั น้ำด่ืมเปน็ ประจำชว่ ยรักษาโรคเก่ยี วกบั ลำไส้หรอื ทางเดนิ อาหาร
13) ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยยับยัง้ เชอื้ ราและเชื้อแบคทเี รยี บางชนิดได้
14) รักษาโรคกลากเกลื้อนด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้ว
นำมาตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้งประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการ
จะดีข้ึน
1.4.2 โทษของเมล็ดแมงลกั
1) การรับประทานเมล็ดแมงลักในปริมาณมาก ๆ อาจจะเกิดอาการแน่นท้องรู้สึก
ไมส่ บายตัวได้
2) ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้ เกิดอาการ
ขาดน้ำ และอาจเกดิ อาการลำไส้อดุ ตนั ไดโ้ ดยเฉพาะกับชนิดท่ีบดเป็นผง
3) ไม่ควรรับประทานเมล็ดแมงลักพร้อมกับกับยาอื่น ๆ เพราะจะมีผลทำให้ร่างกาย
ดูดซึมยาเหล่านั้นได้ ไม่ดีและน้อยลง ดังนั้นควรทานยาก่อนสักประมาณ 15-30 นาทีแล้วค่อย
รับประทานเมลด็ แมงลกั ตาม
4) สำหรบั ผู้ที่ตอ้ งการลดนำ้ หนกั การรบั ประทานเมล็ดแมงลักแทนมื้ออาหารหลักควร
รับประทานเปน็ บางมอื้ เพราะอาจจะทำให้รา่ งกายขาดสารอาหารทจ่ี ำเปน็ อน่ื ๆ ได้
5) การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อเมล็ดแมงลักที่มีความสะอาดได้มาตรฐานน่าเชื่อถือ
อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่เหมาะสม อาจมีเชื้อราหรือสารพิษอย่างอะฟลาทอกซินปน
เปื้อนมาด้วย (สารอะฟลาทอกซิน เมื่อบริโภคจำนวนมากอาจทำให้อาการท้องเดิน อาเจียน และสะสม
เปน็ สารกอ่ มะเรง็ โดยเฉพาะมะเรง็ ตับ)
คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถนิ่ หน้า | 77
ใบกจิ กรรมสำหรับผจู้ ดั กจิ กรรม
เรือ่ ง ตามรอยกรุงศรีอยุธยา ตามหาขนมไขก่ บ
วตั ถปุ ระสงค์
เพื่อออกแบบ สรา้ งสรรค์เมนู และลงมือปฏิบัตกิ ารทำขนมไข่กบได้
คำชแี้ จง
ให้ผู้รบั บริการออกแบบ สรา้ งสรรค์เมนู และลงมือปฏบิ ัตกิ ารทำขนมไข่กบ
ตอนท่ี 1 เรอื่ ง การพองตวั ของเมล็ดแมงลกั
คำชีแ้ จง ให้ผรู้ บั บรกิ ารสังเกตและบันทึกผลการพองตัวของเมลด็ แมงลกั
1. วิธีเทนำ้ จำนวน 80 มลิ ลลิ ติ ร ลงในถว้ ยทำขนม
2. จากนนั้ นำเมลด็ แมงลักจำนวน 10 กรัม (กอ่ นแช่น้ำให้สงั เกตแลว้ บันทึกผล) ลงไปแช่
ในถว้ ยทำขนม นำช้อนคนให้นำ้ ท่วมเมล็ดแมงลัก
3. จากนั้นให้ผรู้ ับบริการสังเกตและบนั ทกึ ผลลงในใบกจิ กรรมตอนที่ 1
ตอนที่ 2 เร่ือง ขนมไขก่ บนำโชค
คำชแี้ จง ให้ผรู้ ับบริการอา่ นสถานการณ์ ดงั นี้
สถานการณ์ : ในชว่ งปิดภาคเรยี น ผูร้ บั บริการตอ้ งการหารายได้พิเศษ จากการขายน้ำแข็งใสขนมไข่กบ
ให้ผ้รู บั บริการคำนวณ อัตราสว่ นและต้นทุนกำไรท่จี ะได้ในการขายน้ำแข็งใสขนมไข่กบ และออกแบบ
การทำขนมไขก่ บ ใหม้ ีลักษณะดึงดดู ความสนใจของลกู ค้าทม่ี าอดุ หนนุ ซื้อน้ำแข็งใสขนมไข่กบ
1. การวางแผนการออกแบบ สร้างสรรค์เมนู และลงมือปฏิบัติจากอุปกรณ์ที่เตรียมให้
โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษากบั วฒั นธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยา
2. ปฏิบัติการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา
3. บันทึกผลการปฏิบัติการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมยั กรุงศรอี ยุธยา
4. สรุปปัญหา/อุปสรรค ในการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึก ษากับ
วัฒนธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
คูม่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 78
วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ทเ่ี ตรยี มให้สำหรบั การออกแบบและปฏิบัตกิ ารทำขนมไขก่ บ
ท่ี รายการ จำนวนตอ่ กลุ่ม
1. เมล็ดแมงลกั 10 กรัม
2. ช้อนคน 2 คัน
3. นำ้ เปลา่ 1 ลติ ร
4. ทพั พี 1 อัน
5. กะชอนสำหรบั กรอง 1 อัน
6. กะละมงั พลาสตกิ ขนาดเล็ก (ใช้รองกะชอนกรอง) 1 ใบ
7. ถว้ ยใสข่ นม 2 ใบ
8. น้ำหวานสีตา่ ง ๆ 1 ขวด
9. นำ้ เช่อื ม 1 ขวด
10. นำ้ แขง็ 1 ถ้วย
11. เครอ่ื งทำนำ้ แข็งใส 1 เครื่อง
12. ชอ้ นตักน้ำแขง็ ใสพลาสติก 1 แพค
13. หลอด 1 แพค
14. กระติกน้ำแข็งทรงสเี่ หล่ยี ม 1 ใบ
15. ถว้ ยทำขนม 1 ใบ
1. จดุ ประสงคใ์ นการทำขนมไข่กบ
แนวคำตอบ เพือ่ ออกแบบ สร้างสรรคเ์ มนู และลงมือปฏบิ ัตกิ ารทำขนมไขก่ บได้
2. ร่างแบบแผนการทำขนมไขก่ บ
2.1 การระบุปัญหา
แนวคำตอบ สถานการณ์ : ในช่วงปิดภาคเรียน ผู้รับบรกิ ารต้องการหารายได้พเิ ศษ จากการ
ขายน้ำแข็งใสขนมไข่กบ ใหผ้ รู้ ับบริการคำนวณ อตั ราสว่ นและต้นทุนกำไรท่ีจะได้ในการขายน้ำแข็งใส
ขนมไข่กบ และออกแบบการทำขนมไข่กบ ให้มีลักษณะดึงดูดความสนใจของลูกค้าที่มาอุดหนุนซื้อ
นำ้ แขง็ ใสขนมไขก่ บ
2.2 การค้นหาแนวคิดท่เี ก่ยี วขอ้ ง
แนวคำตอบ ผู้รับบริการสืบค้นข้อมูลในการออกแบบสร้างสรรค์เมนู และการคำนวณ
อัตราส่วนและตน้ ทนุ กำไร
2.3 การวางแผนและพฒั นา
แนวคำตอบ ผู้รับบริการวางแผนการออกแบบ สร้างสรรค์เมนู และลงมือปฏิบัติการทำขนม
ไข่กบ ใหม้ ลี กั ษณะดึงดดู ความสนใจของลกู ค้าที่มาอุดหนุนซ้ือน้ำแขง็ ใสขนมไข่กบ
2.4 การทดสอบและการประเมินผล
ผลการปฏบิ ตั งิ านการทำขนมไข่กบ
แนวคำตอบ ไดข้ นมไข่กบจากการสร้างสรรคเ์ มนู ทดี่ ึงดดู ความสนใจของลกู ค้า
ค่มู อื การจดั กจิ กรรมการเรียนร้สู ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 79
วาดภาพ
ตารางบนั ทึกผลตอนที่ 1 เรอื่ ง การพองตัวของเมล็ดแมงลัก
เมล็ดแมงลัก ลกั ษณะท่ีสังเกตเหน็
กอ่ นแชน่ ำ้ มลี กั ษณะเลก็ กลมยาวสีดำ มเี มอื กหอ่ หุ้ม
หลงั แชน่ ้ำ ลักษณะเมลด็ มเี มอื กสีขาวขนุ่ คล้ายวุ้น
ตารางบนั ทึกผลตอนท่ี 2 เรอื่ ง ขนมไข่กบนำโชค
1. คำนวณต้นทุนทใี่ ช้
วัสดุ อุปกรณ์ ราคา (บาท) ปรมิ าณ ราคา/ถว้ ย ปริมาณ/ถ้วย
1 100 กรมั
นำ้ แขง็ 5 500 กรัม 5 1 ใบ
1 15 มิลลลิ ติ ร
ถ้วยใส่ขนม 5 1 ใบ 5 มลิ ลลิ ติ ร
0.006 1 อัน
นำ้ หวานสีตา่ ง ๆ 35 700 มิลลลิ ติ ร 0.2 1 อนั
0.1 0.5 กรมั
น้ำเชอ่ื ม 40 850 มิลลิลิตร 0.15
ช้อนตักน้ำแข็งใสพลาสติก 10 50 อนั /แพค
หลอด 20 200 อนั /แพค
เมลด็ แมงลกั 29 100 กรัม
1.1 ต้นทนุ ขนมไข่กบ 1 ถว้ ย ประมาณ 7.5 บาท
1.2 ขายขนมไขก่ บ 1 ถว้ ย ราคา 15 บาท
1.3 กำไรทีไ่ ด้รบั ตอ่ 1 ถว้ ย เท่ากับ 7.5 บาท
คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่นิ หน้า | 80
2. วาดภาพการออกแบบนำ้ แขง็ ใส
2.5 ผลการปฏบิ ตั งิ านการออกแบบสร้างสรรคเ์ มนู และลงมอื ปฏิบัติการทำขนมไข่กบ
แนวคำตอบ ผ้รู ับบรกิ ารสามารถออกแบบ สรา้ งสรรค์เมนู และลงมือปฏบิ ตั ิการทำขนมไข่กบ
ใหม้ ีลักษณะดงึ ดูดความสนใจของลูกคา้ ที่มาอุดหนุนซื้อน้ำแขง็ ใสขนมไข่กบ และคำนวณกำไรที่ได้จาก
การขาย
2.6 สรุปปัญหา/อุปสรรคในการการออกแบบสร้างสรรคเ์ มนู และลงมอื ปฏบิ ตั ิการทำขนมไข่กบ
แนวคำตอบ ในการออกแบบสร้างสรรค์เมนู และลงมอื ปฏบิ ตั ิการทำขนมไข่กบไม่เป็นไปตาม
การออกแบบ เนือ่ งจาก ใช้อตั ราสว่ นในการทำขนมไขก่ บไม่เหมาะสม และนำ้ แข็ง ละลายเรว็
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถ่นิ หน้า | 81
ใบกิจกรรมสำหรบั ผู้รับบริการ
เร่ือง ตามรอยกรุงศรีอยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ
วัตถปุ ระสงค์
เพ่อื ออกแบบ สร้างสรรคเ์ มนู และลงมือปฏิบตั กิ ารทำขนมไขก่ บได้
คำช้แี จง
ให้ผรู้ บั บรกิ ารออกแบบ สร้างสรรคเ์ มนู และลงมอื ปฏบิ ัติการทำขนมไขก่ บ
ตอนที่ 1 เรื่อง การพองตวั ของเมลด็ แมงลัก
คำชี้แจง ใหผ้ ู้รบั บริการสังเกตและบนั ทกึ ผลการพองตวั ของเมลด็ แมงลัก
1. วธิ เี ทนำ้ จำนวน 80 มิลลลิ ิตร ลงในถ้วยทำขนม
2. จากน้ันนำเมล็ดแมงลกั จำนวน 10 กรัม (ก่อนแช่น้ำใหส้ ังเกตแล้วบันทึกผล) ลงไปแช่
ในถว้ ยทำขนม นำช้อนคนให้นำ้ ท่วมเมลด็ แมงลัก
3. จากนัน้ ใหผ้ ู้รับบริการสงั เกตและบันทึกผลลงในใบกิจกรรมตอนท่ี 1
ตอนที่ 2 เร่ือง ขนมไข่กบนำโชค
คำชแ้ี จง ให้ผู้รบั บรกิ ารอ่านสถานการณ์ ดงั น้ี
สถานการณ์ : ในชว่ งปดิ ภาคเรยี น ผรู้ ับบรกิ ารตอ้ งการหารายได้พิเศษ จากการขายนำ้ แข็งใสขนมไข่กบ
ใหผ้ ้รู ับบรกิ ารคำนวณ อัตราส่วนและตน้ ทุนกำไรทีจ่ ะไดใ้ นการขายน้ำแข็งใสขนมไข่กบ และออกแบบ
การทำขนมไข่กบ ให้มีลักษณะดึงดดู ความสนใจของลูกค้าทม่ี าอุดหนนุ ซ้ือน้ำแข็งใสขนมไข่กบ
1. การวางแผนการออกแบบ สร้างสรรค์เมนู และลงมือปฏิบัติจากอุปกรณ์ที่เตรียมให้
โดยการบูรณาการสะเต็มศกึ ษากับวฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
2. ปฏบิ ตั ิการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเตม็ ศึกษากบั วฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรีอยุธยา
3. บันทึกผลการปฏิบัติการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรุงศรอี ยุธยา
4. สรุปปัญหา/อุปสรรค ในการทำขนมไข่กบโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับ
วัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา
คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถนิ่ หนา้ | 82
วสั ดุและอปุ กรณท์ ี่เตรยี มใหส้ ำหรบั การออกแบบและปฏบิ ตั ิการทำขนมไขก่ บ
ท่ี รายการ จำนวนต่อกล่มุ
1. เมลด็ แมงลกั 10 กรมั
2. ช้อนคน 2 คัน
3. น้ำเปลา่ 1 ลติ ร
4. ทัพพี 1 อัน
5. กะชอนสำหรับกรอง 1 อนั
6. กะละมงั พลาสตกิ ขนาดเล็ก (ใช้รองกะชอนกรอง) 1 ใบ
7. ถ้วยใส่ขนม 2 ใบ
8. นำ้ หวานสีต่าง ๆ 1 ขวด
9. น้ำเช่ือม 1 ขวด
10. นำ้ แขง็ 1 ถ้วย
11. เคร่ืองทำน้ำแข็งใส 1 เครื่อง
12. ช้อนตกั นำ้ แข็งใสพลาสตกิ 1 แพค
13. หลอด 1 แพค
14. กระตกิ นำ้ แข็งทรงสี่เหล่ียม 1 ใบ
15. ถว้ ยทำขนม 1 ใบ
1. จุดประสงคใ์ นการทำขนมไขก่ บ
2. ร่างแบบแผนการทำขนมไขก่ บ
2.1 การระบปุ ญั หา
2.2 การคน้ หาแนวคดิ ที่เก่ียวข้อง
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ หนา้ | 83
2.3 การวางแผนและพัฒนา
2.4 การทดสอบและการประเมินผล
ผลการปฏบิ ตั ิงานการทำขนมไข่กบ
ตารางบนั ทึกผลตอนท่ี 1 เร่อื ง การพองตวั ของเมล็ดแมงลัก
เมลด็ แมงลัก ลกั ษณะท่ีสงั เกตเหน็ วาดภาพ
กอ่ นแช่นำ้
หลังแชน่ ้ำ
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น หน้า | 84
ตารางบนั ทกึ ผลตอนท่ี 2 เรอื่ ง ขนมไขก่ บนำโชค
1. คำนวณตน้ ทนุ ท่ใี ช้
วัสดุ อุปกรณ์ ราคา (บาท) ปรมิ าณ ราคา/ถว้ ย ปริมาณ/ถ้วย
1 100 กรัม
น้ำแข็ง 5 500 กรมั 5 1 ใบ
1 15 มิลลลิ ติ ร
ถ้วยใสข่ นม 5 1 ใบ 5 มิลลิลิตร
0.006 1 อัน
นำ้ หวานสีต่าง ๆ 35 700 มิลลลิ ติ ร 0.2 1 อนั
0.1 0.5 กรมั
น้ำเช่อื ม 40 850 มิลลลิ ิตร 0.15
ช้อนตักน้ำแขง็ ใสพลาสติก 10 50 อนั /แพค
หลอด 20 200 อัน/แพค
เมล็ดแมงลกั 29 100 กรมั
1.1 ตน้ ทนุ ขนมไขก่ บ 1 ถว้ ย ประมาณ 7.5 บาท
1.2 ขายขนมไข่กบ 1 ถ้วย ราคา 15 บาท
1.3 กำไรท่ีไดร้ ับตอ่ 1 ถ้วย เทา่ กบั 7.5 บาท
คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถิ่น หนา้ | 85
2. วาดภาพการออกแบบนำ้ แข็งใส
2.5 ผลการปฏิบัตงิ านการออกแบบสรา้ งสรรคเ์ มนู และลงมอื ปฏิบตั ิการทำขนมไขก่ บ
2.6 สรุปปัญหา/อปุ สรรคในการการออกแบบสร้างสรรค์เมนู และลงมอื ปฏิบตั ิการทำขนมไข่กบ
ค่มู ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวฒั นธรรมท้องถิ่น หนา้ | 86
แบบทดสอบหลังเรยี น
เร่อื ง ตามรอยกรงุ ศรีอยุธยา ตามหาขนมไข่กบ
คำชี้แจง
1. แบบทดสอบจำนวน 10 ขอ้ ขอ้ ละ 1 คะแนน คะแนนเต็ม 10 คะแนน
2. จงทำเคร่อื งหมายถูก (✓) หน้าขอ้ ท่ถี ูก และทำเครอ่ื งหมายผิด () หน้าขอ้ ทผ่ี ดิ
1. เมลด็ แมงลัก ทานเปน็ ประจำจะช่วยลดความเสย่ี งการเป็นโรคหัวใจ
2. สารเมอื กมวิ ซิเลจ (mucilage) ทห่ี ุ้มเมลด็ แมงลกั จัดเปน็ สารในกลมุ่ ใยอาหารท่ลี ะลายน้ำได้
3. ขนมไขก่ บ เป็นขนมชนดิ แรก ทเ่ี กดิ ขึ้นในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
4. Ocimum Africanum Lour. เป็นชื่อทางวิทยาศาสตรข์ องตน้ แมงลัก
5. คำว่า "ขนม" มที ี่มาจากคำสองคำทม่ี าผสมกันคือ “ขา้ วหนม” และ “ขา้ วนม”
6. ขนมไข่กบ มปี ระโยชน์ชว่ ยทำหนา้ ทเ่ี ป็นตัวระบายในระบบขับถ่าย
7. ขนมไข่กบ ไดม้ าจากเมล็ดขา้ วโพดแช่น้ำ
8. ประเพณีสีถ่ ้วย หมายถึง ขนมไขก่ บ ขนมนกปลอ่ ย ขนมบัวลอย ขนมอา้ ยต้ือ
9. สารอะฟลาทอกซนิ เปน็ สารกอ่ มะเรง็ มมี ากในเม็ดแมงลักที่เกิดเช้อื รา
10. ขนมไขก่ บมีความสำคญั ในอดตี ใช้ในการจัดเลย้ี งในการขดุ สระในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น
1. 2. ✓ 3. ✓ 4. ✓ 5. ✓ 6. ✓ 7. 8. ✓ 9. ✓ 10. ✓
คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเต็มศกึ ษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หนา้ | 87
แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของผรู้ ับบรกิ ารในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
เรื่อง ตามรอยกรงุ ศรีอยธุ ยา ตามหาขนมไข่กบ
คำช้ีแจง กรุณาตอบแบบสอบถามโดยทำเครื่องหมาย หรือเติมข้อความ ในช่องว่างตามความเป็นจรงิ เพื่อใชเ้ ป็น
ขอ้ มูลในการพัฒนาและปรบั ปรุงการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ตอนท่ี 1 ข้อมลู ท่ัวไป
1. เพศ
ชาย หญิง
2. อายุ
10 – 20 ปี 21 - 30 ปี
31 – 40 ปี 50 ปี ขึ้นไป
3. ประเภทผ้รู บั บรกิ าร
นักเรียนในระบบโรงเรยี น นักศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น
ประชาชน อ่นื ๆ ระบุ
4. ระดบั การศกึ ษา
ประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนต้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย ปรญิ ญาตรี
สงู กวา่ ปริญญาตรี อน่ื ๆ ระบุ
ตอนที่ 2 ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรมการเรยี นรู้และการให้บริการ
รายการ มากท่สี ดุ ระดับความพงึ พอใจ น้อยทส่ี ดุ
(5) (1)
ด้านความรู้ความเขา้ ใจ มาก ปานกลาง นอ้ ย
1. ความร้คู วามเขา้ ใจในเร่อื งน้ี กอ่ น การจดั กิจกรรม (4) (3) (2)
2. ความรคู้ วามเข้าใจในเร่อื งน้ี หลัง การจัดกจิ กรรม
ด้านการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
1. รปู แบบ/กระบวนการจดั กิจกรรม
2. กิจกรรมทจี่ ัดเหมาะสมกับผรู้ ับบริการ
3. สาระความรทู้ ่ีไดร้ บั
4. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหล่งเรียนรู้
5. การมสี ว่ นร่วมของผรู้ ับบริการ
6. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรม
7. สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ดา้ นการใหบ้ ริการและผูจ้ ดั กจิ กรรม
8. การจัดบรรยากาศเอ้ือตอ่ การเรยี นรู้
9. การให้บรกิ ารของเจ้าหนา้ ท่ี
10. การบรรยายและการตอบคำถามที่ชัดเจนของผ้จู ดั กจิ กรรม
ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะเพมิ่ เติม
คูม่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนร้สู ะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หน้า | 88
ฐานการเรียนท่ี 4 เรื่อง ชวนนอ้ งล่องสำเภา
แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ที่ 4 เร่อื ง ชวนน้องลอ่ งสำเภา
เวลา 3 ชั่วโมง
แนวคิด
ชวนน้องล่องสำเภา เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการค้าขายทางทะเลโดยใช้
เรอื สำเภาซึ่งนำความเจริญรุ่งเรืองและม่ังคั่งสู่ราชอาณาจักรไทยในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา ซึ่งวัฒนธรรมอันดีน้ี
ควรค่าต่อการอนุรักษ์ และสืบทอดวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรือสำเภา ในการ
ออกแบบเรือสำเภาจำลอง ผู้รับบริการสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพและสร้างรายได้ ดังน้ัน
การออกแบบเรือสำเภาจำลองจึงเปน็ การบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม ซึง่ ใชค้ วามรู้ ใน 4 วิชา
ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ โดยเน้น
การนำความรู้ไปใช้แก้ปญั หาหรือใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตจริง พบวา่ มีการนำเทคโนโลยมี าใช้รว่ มกับความรู้
ในเรอื่ งแรงและการเคลอ่ื นทขี่ องวัตถุ มาออกแบบและสรา้ งเรือสำเภาจำลอง
วตั ถุประสงค์
1. อธิบายการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กับวฒั นธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยา
2. ออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
3. เห็นความสำคัญของการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการ
สะเต็มศกึ ษากับวัฒนธรรมสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
เน้อื หา
1. การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กับวัฒนธรรมสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
1.1 ความรเู้ บอื้ งตน้ เกี่ยวกบั เรอื สำเภากรงุ ศรอี ยธุ ยา
1.1.1 ความเปน็ มาของเรือสำเภาสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
1.1.2 ความหมาย และความสำคัญของเรอื สำเภาสมยั กรุงศรีอยุธยา
1.1.3 ลักษณะของเรือสำเภา
1.1.4 ส่วนประกอบของเรือสำเภา
1.1.5 อุปกรณป์ ระจำเรือ
1.2 การออกแบบและสร้างเรอื สำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยา
1.2.1 การเลอื กใชว้ ัสดแุ ละเครือ่ งมอื ในการสรา้ งเรือสำเภาจำลอง
1.2.2 ขนั้ ตอนการออกแบบเรอื สำเภาจำลอง
1.2.3 ขัน้ ตอนการสรา้ งเรือสำเภาจำลอง
1.3 หลกั การทางวทิ ยาศาสตรก์ ารสร้างเรือสำเภาจำลองสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
1.3.1 แรงและการเคลอื่ นท่ี
คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หนา้ | 89
1.3.2 ชนิดของแรง เรอ่ื ง แรงกริ ิยาและแรงปฏิกริ ยิ า
2. การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วฒั นธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
2.1 การออกแบบเชิงวศิ วกรรม
2.1.1 การระบปุ ัญหา
2.1.2 การค้นหาแนวคิดท่เี ก่ียวข้อง
2.1.3 การวางแผนและพัฒนา
2.1.4 การทดสอบและการประเมินผล
2.1.5 การนำเสนอผลลพั ธ์
2.2 การสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามการออกแบบเชิงวิศวกรรมการสร้างเรือสำเภาจำลอง โดยการบูรณาการ
สะเต็มศกึ ษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรอี ยุธยา
แผนผงั ความเชื่อมโยงสะเต็มศึกษาการบรู ณาการ
S : Science T : Technology E : Engi
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรร
1. แรงและการเคล่ือนท่ี 1. การเลอื กใชว้ สั ดุ อปุ กรณ์ การออกแบบแล
2. แรงกริ ิยาและแรงปฏิกิรยิ า 2. การสืบค้นขอ้ มูล เรือสำเภาจำลองใน
ให้แลน่ ได้
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้สู ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถนิ่
รกบั วฒั นธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยา เรอ่ื ง “ชวนนอ้ งล่องสำเภา”
ineering M : Mathematics C : Culture
รมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วัฒนธรรม
ละการสร้าง 1. การวัดขนาดและการหาพ้ืนที่ 1. ความเปน็ มาของเรือสำเภา
นสมัยกรุงศรีอยุธยา ขององค์ประกอบของ ในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
เรอื สำเภาจำลอง
2. การคา้ ขายในสมยั กรุงศรีอยุธยา
2. การวัดระยะทาง
หนา้ | 90
คู่มอื การจดั กจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 91
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ข้นั ตอนท่ี 1 จดุ ประกายการเรียนรู้ (Inspiration : I)
1. ผู้จัดกิจกรรมทักทายผู้รับบริการ พร้อมทั้งแนะนำตนเอง และฐานการเรียนรู้
เร่ือง ชวนน้องลอ่ งสำเภา ซง่ึ ผ้รู บั บรกิ ารจะตอ้ งปฏิบตั ิกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่เปน็ สะเต็มศึกษาบูรณาการ
กบั วฒั นธรรมสมัยกรุงศรอี ยุธยา
2. ผู้จัดกิจกรรมชี้แจงวัตถุประสงค์ของฐานการเรียนรู้ เรื่อง ชวนน้องล่องสำเภา ซึ่งมี
วตั ถปุ ระสงค์ จำนวน 3 ข้อ ดังน้ี
(1) อธิบายการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กับวฒั นธรรมสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
(2) ออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับ
วฒั นธรรมสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
(3) เห็นความสำคัญของการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการ
สะเตม็ ศึกษากับวฒั นธรรมสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา
3. ให้ผู้รับบริการทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง ชวนน้องลอ่ งสำเภา โดยใชเ้ วลา 10 นาที
4. ผู้จัดกิจกรรมแจกใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง การออกแบบและสร้าง
เรือสำเภาโดยบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อใช้สำหรับประกอบ
การเรียนรู้ ฐานการเรียนรู้ เร่อื ง ชวนนอ้ งล่องสำเภา
5. ผู้จัดกิจกรรมชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับประสบการณ์เดิมของผู้รับบริการ ในเรื่องที่
จะเรียนรู้ตามฐานการเรียนรู้นี้ โดยผู้จัดกิจกรรมสุ่มผู้รับบริการตามความสมัครใจ จำนวน 2 - 3 คน
หลงั จากน้นั ให้ตอบคำถาม จำนวน 2 ประเด็น ดงั นี้
ประเด็นท่ี 1 “ทา่ นรจู้ กั เรอื อะไรบ้าง ยกตัวอย่าง”
แนวคำตอบ เรือใบ เรอื ทอ้ งแบน เรอื กำป่ัน เรือสำเภา ฯลฯ
ประเด็นที่ 2 “ในการค้าขายทางนำ้ ในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา นิยมใช้เรอื อะไร”
แนวคำตอบ เรือสำเภาไทยสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา เรอื สำเภาไทยสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้
เรอื สำเภาเซีย่ มโล้ เรอื สำเภากำปนั่
หลงั จากนน้ั ผจู้ ดั กจิ กรรมเปิดคลิปวีดโิ อให้ผู้รับบริการชม เรือ่ ง อยุธยาเมอื งท่าการค้า
นานาชาติตามลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=dvso04m32oc เวลา 6.08 นาที
ให้ผ้รู บั บรกิ ารตอบคำถามจำนวน 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นท่ี 1 “ท่านไดเ้ รียนรอู้ ะไรจากคลิปวดี โิ อนี้”
แนวคำตอบ ได้เรียนถึงวฒั นธรรมการค้าขายในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา โดยใช้เรือสำเภา
ในการทำการค้าขายกับชาวต่างขาติ จึงทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรือง
เปน็ ท่รี ู้จักในฐานะเมอื งท่าการค้านานาชาติ
ประเด็นที่ 2 “การที่อยุธยาได้รับการขนานนามว่า เมืองท่านานาชาติ ดังน้ัน
การค้าขายกับนานาชาติทางนำ้ นยิ มใชเ้ ร่ืองอะไร เพราะเหตใุ ด”
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ หน้า | 92
แนวคำตอบ นิยมใช้เรือสำเภา เพราะเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และสามารถ
บรรทุกสินค้าได้จำนวนมากผู้จัดกิจกรรมโชว์ภาพเรือสำสมัยกรุงศรีอยุธยา และให้ผู้รับบริการตอบ
คำถามเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ในประเด็น “จากภาพท่ีท่านเห็น ทา่ นคดิ ว่าเป็นภาพของเรอื อะไร”
แนวคำตอบ เรอื สำเภา
6. ผ้จู ดั กจิ กรรมและผู้รับบรกิ ารอภิปรายและสรปุ ผลการเรยี นรู้ร่วมกนั
ขัน้ ตอนที่ 2 การปฏบิ ัตแิ ละประยุกตใ์ ช้ (Implementation : I)
1. ผู้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงประสบการณ์สิ่งที่ได้เรียนรู้ในขั้นตอนที่ 1 ในการนำความรู้
ไปสกู่ ารปฏิบัติและการประยกุ ต์ใช้โดผจู้ ดั กิจกรรมคลปิ วีดิโอ เรื่อง สอนศิลป์ : เรือสำเภาแล่นฉิว
(13 มกราคม 2561) จากอินเตอร์เน็ต https://www.youtube.com/watch?v=V1orJFt3qHM
เวลา 9.59 นาที
หลังจากนัน้ ผจู้ ดั กิจกรรม ดำเนินการดังน้ี
(1) ผู้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงสะเต็มศึกษากับการบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น
ที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่จะเรียนรู้ ตามใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยง
สะเต็มศึกษากับการบูรณาการวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา “ชวนน้องล่องสำเภา” และบรรยาย
เน้อื หาตามใบความรู้สำหรบั ผู้จดั กิจกรรม เร่อื ง การออกแบบและสร้างเรอื สำเภาจำลองโดยการบูรณา
การ สะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อใช้สำหรับประกอบการเรียนรู้ฐานการเรียนรู้
เรื่อง ชวนน้องล่องสำเภา
ในส่วนของผู้รับบริการให้ศึกษาใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ ประกอบการบรรยาย
ของผู้จัดกิจกรรม ตามใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยงสะเต็มศึกษา
กับการบูรณาการวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา “ชวนน้องล่องสำเภา” และศึกษาใบความรู้สำหรับ
ผู้รับบริการเรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการ
สะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่แจกให้ผู้รับบริการหลังการทดสอบก่อนเรียน
ประกอบการบรรยายของผู้จดั กจิ กรรม
(2) อธิบายและสาธิตการการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการสะเต็ม
ศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง การออกแบบ
และสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งให้
ผู้รับบริการร่วมปฏิบัติในการสาธิตของผู้จัดกิจกรรมด้วย ทั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการ
ได้ร่วมแลกเปลีย่ นเรยี นรู้โดยใหผ้ ู้รับบริการตั้งประเดน็ ขอ้ สงสัยหรือสิ่งที่ต้องการเรยี นร้ใู นกระบวนการ
ของการสาธติ และเชือ่ มโยงสูก่ ารนำไปใช้ในชวี ติ จริงของผู้รบั บริการต่อไป
2. แบ่งผู้รับบริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 – 8 คน ให้การออกแบบและสร้างเรือสำเภา
จำลองบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ลงมือปฏิบัติโดยการวางแผน
และดำเนินการเกี่ยวกับการออกแบบการสร้างโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรม
สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามใบกิจกรรมของผู้รับบริการ เรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
โดยการบูรณาการสะเตม็ ศึกษากับวฒั นธรรมสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
ทั้งนี้ ผู้จัดกิจกรรมเตรียมวัสดอุ ุปกรณ์ให้กับผู้รับบรกิ ารในออกแบบและสร้างเรือสำเภา
จำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามใบความรู้สำหรับ
คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถิน่ หนา้ | 93
ผู้จัดกิจกรรม เรื่อง การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการ
สะเตม็ ศกึ ษากบั วฒั นธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
3. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มตามข้อ 1 ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรมของผู้รับบริการ
เรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการกับวัฒนธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้
ผ้จู ัดกิจกรรมจะตอ้ งกำกบั การปฏิบัตกิ ิจกรรมของผรู้ ับบริการจนกิจกรรมแลว้ เสร็จ
4. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานการโดยการออกแบบและสร้างเรือสำเภา
จำลองบรู ณาการสะเต็มศกึ ษากับวฒั นธรรมสมยั กรงุ ศรีอยุธยาจำนวน 5 ประเด็น ดงั น้ี
ประเด็นที่ 1 ในการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วัฒนธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยาของทา่ นมลี ักษณะเปน็ อยา่ งไร
แนวคำตอบ มลี ักษณะเป็นภาพ 2 มิติ ของเรือสำเภา
ประเด็นที่ 2 ท่านใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในกิจกรรมการออกแบบ
และสรา้ งเรือสำเภาจำลองบรู ณาการสะเตม็ ศึกษากบั วฒั นธรรมสมยั กรุงศรีอยธุ ยาบา้ งหรือไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ แรงกิริยา
และแรงปฏกิ ิรยิ า
ประเด็นที่ 3 ท่านใช้ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ในกิจกรรมการออกแบบ
และสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการสะเตม็ ศกึ ษากบั วัฒนธรรมสมยั กรุงศรีอยธุ ยาบา้ งหรอื ไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ ใช้ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ในเรื่องของการวัดขนาดและการหาพื้นที่
ขององค์ประกอบของเรือสำเภาจำลองและการวัดระยะทาง
ประเดน็ ที่ 4 ท่านใช้อนิ เตอร์เนต็ สืบค้นข้อมูลบา้ งหรอื ไม่ สืบคน้ ในเร่อื งใดบ้าง
แนวคำตอบ ใช้อินเตอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล เรื่อง ความเป็นมาของเรือสำเภา
สมัยกรุงศรีอยุธยา ความหมาย และความสำคัญของเรือสำเภาสมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะของ
เรือสำเภาส่วนประกอบของเรือสำเภา อุปกรณ์ประจำเรือ แรงและการเคลื่อนที่ แรงกริยาและ
แรงปฏกิ ิริยา
ประเด็นที่ 5 ท่านใชก้ ระบวนออกแบบเชิงวศิ วกรรมในการออกแบบและสรา้ งเรือสำเภา
จำลองบูรณาการสะเตม็ ศึกษากบั วฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาบา้ งหรือไม่ อย่างไร
แนวคำตอบ การออกแบบและการสร้างเรือสำเภาจำลองในสมัยกรุงศรีอยุธยาให้แล่นได้
5. ผู้จัดกิจกรรมและผรู้ ับบริการอภปิ รายและสรุปผลการเรียนรู้รว่ มกนั
ขั้นตอนที่ 3 การสรปุ ผลการเรยี นรู้ (Conclusion : C)
1. ผู้จัดกิจกรรมชวนคิดชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เรียนรู้ในฐานการเรียนรู้นี้ โดยผู้จัด
กจิ กรรมสุ่มผรู้ บั บรกิ าร ตามความสมคั รใจ จำนวน 2 - 3 คน ใหต้ อบคำถามในประเด็น
“ท่านจะนำความรู้ เรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองบูรณาการสะเต็มศึกษา
กับวัฒนธรรมสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการแกป้ ญั หาหรอื ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ จรงิ ไดอ้ ยา่ งไร
2. ผู้จัดกิจกรรมและผู้รับบริการอภิปรายและสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกันตาม
PowerPoint เรื่องการสรุปผลการเรยี นรู้ เร่อื ง ชวนน้องล่องสำเภา
3. ใหผ้ ู้รบั บรกิ ารทำแบบทดสอบหลังเรียน เรอื่ ง ชวนน้องลอ่ งสำเภา
คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่นิ หน้า | 94
4. ให้ผู้รับบริการทำแบบประเมินความพึงพอใจในการเข้าร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้
เร่ือง ชวนนอ้ งลอ่ งสำเภา
สือ่ วัสดุอปุ กรณ์ และแหล่งเรยี นรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน เรอื่ ง ชวนน้องล่องสำเภา เวลา 10 นาที
2. ใบความรู้สำหรับผู้รับบริการ เรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
โดยการบรู ณาการสะเต็มศึกษากับวฒั นธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
3. คลิปวีดโิ อ เรอื่ ง อยธุ ยาเมอื งทา่ การค้านานาชาติ ตามลงิ ค์
https://www.youtube.com/watch?v=dvso04m32oc เวลา 6.08 นาที
4. ภาพเรอื สำเภาจำลองสมัยกรงุ ศรีอยุธยา
5. คลิปวีดโิ อสอนศลิ ป์ : เรือสำเภาแลน่ ฉวิ (13 ม.ค. 61) จากอนิ เตอรเ์ น็ต
https://www.youtube.com/watch?v=V1orJFt3qHM เวลา 9.59 นาที
6. ใบความรู้สำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง แผนผังความเชื่อมโยงสะเต็มศึกษาบูรณาการ
กบั วฒั นธรรมสมัยกรุงศรอี ยุธยา เรอื่ ง “ชวนน้องลอ่ งสำเภา”
7. ใบความร้สู ำหรับผู้จัดกิจกรรม เร่ือง การออกแบบเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการ
สะเตม็ ศึกษากับวฒั นธรรมสมัยกรุงศรอี ยุธยา
8. ใบกิจกรรมสำหรับผู้รับบริการ เรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
สมัยกรุงศรีอยุธยา
9. ใบกิจกรรมสำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรงุ ศรีอยุธยา
10. PowerPoint การสรปุ ผลการเรียนรู้ เรอ่ื ง ชวนนอ้ งลอ่ งสำเภา
11. แบบทดสอบหลังเรียน เรอื่ ง ชวนน้องลอ่ งสำเภา
12. แบบประเมินความพงึ พอใจในการเข้ารว่ มกิจกรรมฐานการเรียนรู้ เรื่อง ชวนน้องลอ่ งสำเภา
วัดและประเมนิ ผลการ
1. สังเกตพฤตกิ รรมการมสี ว่ นร่วม ความตง้ั ใจ และความสนใจของผ้รู ับบรกิ าร
2. ผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
3. ผลการออกแบบและสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมและส่งิ ท่ีตอ้ งการพฒั นา/ช้นิ งาน/ผลงาน
4. ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจในการเขา้ ร่วมกจิ กรรม
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเตม็ ศึกษาบรู ณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น หน้า | 95
บนั ทกึ ผลหลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ผลการใช้แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. จำนวนเนือ้ หากบั จำนวนเวลา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
ระบเุ หตุผล
2. การเรยี งลำดับเน้ือหากับความเขา้ ใจของผรู้ บั บริการ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
ระบเุ หตุผล
3. การนำเข้าส่บู ทเรียนกับเนื้อหาแต่ละหัวข้อ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
ระบเุ หตุผล
4. วธิ กี ารจดั กิจกรรมการเรียนรู้กบั เนือ้ หาในแตล่ ะข้อ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
ระบุเหตุผล
5. การประเมนิ ผลกับวตั ถปุ ระสงค์ในแต่ละเนือ้ หา เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม
ระบุเหตผุ ล
ผลการเรยี นรขู้ องผ้รู ับบริการ
ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ของผู้จดั กจิ กรรม
ขอ้ เสนอแนะ
ค่มู ือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถน่ิ หนา้ | 96
แบบทดสอบกอ่ นเรียน
เรอื่ ง ชวนน้องล่องสำเภา
คำช้แี จง
1. แบบทดสอบจำนวน 10 ขอ้ ข้อละ 1 คะแนน คะแนนเต็ม 10 คะแนน
2. จงทำเครอื่ งหมายถูก (✓) หน้าขอ้ ท่ีถกู และทำเครอ่ื งหมายผิด () หนา้ ขอ้ ท่ีผดิ
1. ในการตดิ ต่อค้าขายระหว่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาใชน้ ยิ มเรอื ในติดต่อค้าขาย
2. ไม้ที่นิยมใช้ในการสรา้ งลำเรือสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา คอื ไม้สกั ไมป้ ระดู่ ไมต้ ะเคยี น
3. แรง (force) หมายถึง สิ่งที่สามารถทำให้วัตถุที่อยู่นิ่งเคลื่อนที่หรือทำให้วัตถุที่กำลัง
เคลื่อนที่มีความเรว็ เพม่ิ ข้ึนหรือชา้ ลง หรือเปลีย่ นทิศทางการเคล่อื นทข่ี องวัตถุได้
4. กระดูกงู หมายถึง ส่วนประกอบของเรือที่เป็นแผ่นไม้กระดาน ที่ต่อเติมเสริมให้ลำเรือ
ขยายกวา้ งออกตรงกลางลำเรือ แลว้ เรียวแคบไปทางส่วนหวั เรอื และทา้ ยเรอื
5. การออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองใช้หลักการวิทยาศาสตร์ในเรื่องแรงและ
การเคลอื่ นท่ี แรงกริ ิยาและแรงปฏกิ ริ ิยา
6. เครอ่ื งส่งสญั ญาณใชส้ ำหรบั ตดิ ตอ่ กันระหว่างเรือสำเภาในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา เรยี กว่า แตร
7. เรือสำเภาในสมัยโบราณ แบ่งลักษณะเรือออกเป็น 2 ประเภท คือ เรือตะวันออ ก
เรือตะวันตก
8. เรือสำเภาที่สร้างโดยช่างไทยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ เรือสำเภาไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
เรอื สำเภาไทยสมยั กรุงรตั นโกสินทรต์ อนตน้ เรอื สำเภาเซ่ียมโล้
9. แรงท่ีกระทำต่อวัตถุที่จุดจุดหนึ่ง อาจเป็นแรงเพียงแรงเดียวหรือแรงลัพธ์ของแรงย่อยก็ได้
เรียกว่า แรงปฏิกริ ยิ า
10. ลักษณะเรือส่วนใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเรือมีเสาใบเรือ 2 เสา 3 เสา โดยใช้ ลม
และพายุในการเคลือ่ นท่ี
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน
1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10.
ใบความรู้ส
แผนผังความเชื่อมโยงสะเต็มศึกษาการบูร
เรอ่ื ง“ชวนนอ้
S : Science T : Technology E : Engi
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรร
1. แรงและการเคลอ่ื นท่ี 1. การเลือกใช้วสั ดุ อุปกรณ์ การออกแบบแล
2. แรงกริ ิยาและแรงปฏกิ ริ ยิ า 2. การสืบค้นขอ้ มูล เรอื สำเภาจำลองในส
ใหแ้ ล่นได้
คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถิ่น
สำหรบั ผจู้ ัดกิจกรรม
รณาการกบั วฒั นธรรมสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
องล่องสำเภา”
ineering M : Mathematics C : Culture
รมศาสตร์ คณติ ศาสตร์ วัฒนธรรม
ละการสรา้ ง 1. การวัดขนาดและการหาพ้ืนที่ 1. ความเปน็ มาของเรือสำเภาใน
นสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา ขององคป์ ระกอบของ สมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
เรอื สำเภาจำลอง
2. การค้าขายในสมัยกรุงศรีอยธุ ยา
2. การวดั ระยะทาง
หนา้ | 97
คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน หนา้ | 98
ใบความรสู้ ำหรับผู้จัดกจิ กรรม
เรอื่ ง การออกแบบและสรา้ งเรือสำเภาจำลองโดยการบรู ณาการ
สะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
1. ความเปน็ มาของเรอื สำเภาสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ราชอาณาจักไทยเมื่อกว่า 400 ปีก่อน ในยุคโบราณใช้
ทะเลและแม่น้ำในการสัญจร และการค้าทาง
ทะเลนีน้ ำมาซงึ่ ความเจริญรุ่งเรืองและมั่งค่ังสู่
ราชธานี โดยใช้เรือสำเภาติดต่อระหว่าง
ประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส อังกฤษ วิลันดา จีน
ญี่ปุ่น และไทย สมัยโบราณนั้น และมีเรือ
ประเภทต่าง ๆ พ่อค้าวานิช นักเดินเรือออก
เดินทางสำรวจพื้นที่ใหม่ๆเพื่อทำการค้าหรือ
แสวงหาอาณานิคม มักออกเดินทางด้วยเรือ
สำเภาขนาดใหญ่ ต้องเดนิ เรอื ตามลมมรสุม
ชาวต่างชาติที่เข้ามาสำรวจดินแดนแถบเอเชียใต้ มักใช้การเดินทางในทะเลด้วย
เรอื สำเภาซง่ึ ต่อมากลายเป็นการล่องเรือสำเภาเพ่ือตดิ ต่อทำการค้าสมยั กรุงศรีอยธุ ยา แล่นใบลงไปถึง
ปลายแหลมมลายูด้านทิศใต้กับเขมรทางทิศตะวันออกการเดินทางในทะเลด้ วยเรือสำเภา
ในสมัยโบราณนั้นตกอยู่ในความควบคุมของราชสำนักของไทยซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจ
ของแผ่นดินแหลมทอง แทนท่ีอาณาจักรตา่ ง ๆ ทเี่ คยรุ่งเรืองอยูใ่ นบริเวณคาบสมุทรมลายู ซึ่งในยุคนั้น
ได้สูญเสียอำนาจและตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ฝรั่งนักเดินเรือ
ที่เข้ามาค้าขาย และแผ่อำนาจนั้นมีความสามารถในการเดินเรืออ้อมแหลมมลายู และเข้ามาค้าขาย
โดยตรงกับอาณาจักรไทย ที่มีความรุ่งเรืองอย่างเมืองหลวงอยุธยาได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเส้นทาง
ข้ามคาบสมุทร ทำให้ศูนย์กลางการค้าขายในภูมิภาคนี้ตกมาอยู่ที่อยุธยา แม้เมืองจะไม่ได้ติดกับ
ชายทะเลกต็ าม (ขอ้ มลู จาก โดย ไทยรฐั ออนไลน์https://pantip.com/topic/37094845)
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี การติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศ มีความ
เจริญรุ่งเรืองมาก ทำให้ราชสำนักของอยุธยามีความจำเป็นต้องมีเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เช่น
เรือสำเภาและ เรือกำปน่ั ไวส้ ำหรับลำเลียงสินค้า มอี ู่ต่อเรอื หลวงอยู่เป็นจำนวนมาก เฉพาะที่ท้ายบ้าน
ท่าเสือข้ามแห่งเดยี ว มีอู่ต่อเรือสำเภาและเรือกำปั่นหลวงถึง 18 อู่ โดยมีนายช่างเป็นชาวจีนหรือฝร่งั
สว่ นกรรมกรในอ่ตู อ่ เรือ นน้ั ใชน้ กั โทษเป็นหลัก
เมื่อศูนย์กลางอำนาจประเทศอยู่ท่ี
กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีทำเลที่ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มมีแม่น้ำ
ลำคลองมากมายและมีพาหนะชนิดเดียวเท่านั้นที่ใช้ได้
สะดวก คือ เรือ สภาพสิ่งแวดล้อมดังกล่าวทำให้เกิด
การค้าขายกับต่างชาติโดยเฉพาะชาติมหาอำนาจทาง
เรือในทวีปยุโรปอย่างอังกฤษ ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศสและ
โปรตุเกส
คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ หน้า | 99
การค้าขายกับชาวต่างชาติในสมัย
อยุธยาตอนต้น มักทำการค้ากับประเทศในเอเชีย
ทส่ี ำคัญ ไดแ้ ก่ จนี อาณาจกั รในแหลมมลายู หมู่เกาะ
ชวา และประเทศทางมหาสมุทรอินเดีย เช่น อินเดีย
ลังกา เปอร์เซีย และอาหรับ ต่อมา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตอนกลาง การค้าทางตะวันออกได้แผ่ขยายจากจีนไป
เกาหลี ญี่ปุ่น ทางทะเลจีนใต้ขยายจากหมู่เกาะ
อินโดนีเซียไปยังหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
การค้าส่วนใหญ่เป็นการค้าทางเรือ ใช้เรือสำเภาเป็น
พาหนะ เมืองท่าที่สำคัญ คือ กรุงศรีอยุธยา
นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี มะริด ทวาย ตะนาวศรี และไทรบุรี ส่วนการขนส่งสินค้าจากเมือง
ท่าทางตะวันตกมายังกรุงศรีอยุธยา และจากกรุงศรีอยุธยาไปเมืองท่าทางตะวันตก ใช้เส้นทางบก
เพ่อื จะไดไ้ มต่ ้องอ้อมแหลมมลายู
ชาติตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อ
ค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จ
พระรามาธิบดที ่ี 2 (พ.ศ. 2060) โดยโปรตเุ กส
เป็นชาติแรก แต่การค้ากับชาติตะวันตกเริ่ม
ขึ้นอย่างจริงจังและกว้างขวางในรัชสมัย
สมเด็จพระเอกทศรถเป็นต้นไป สำหรับการ
ทำมาค้าขายกับต่างชาติโดยเฉพาะชาตินัก
เดินเรือจากยุโรปในช่วงที่ถือว่าเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดก็คือในรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เมื่อพ่อค้าชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยานั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงให้
การต้อนรับชาวตะวันตกอย่างดี กล่าวคือ ทรงอนุญาตให้โปรตุเกส ต้ังบ้านเรอื น ห้างร้าน ค้าขายและ
เผยแพร่คริสต์ศาสนาได้ พวกโปรตุเกสก็ตอบแทนโดยช่วยจัดหาปืน กระสุนดินดำให้ และยังเข้ารับ
ราชการในกองอาสาปืนไฟถงึ 300 คน
ในบรรดาพ่อค้าตะวันตกที่เข้ามาติดต่อ
ค้าขายกับกรงุ ศรีอยุธยาในชว่ งเวลานน้ั พ่อค้าฮอลันดา
หรือฮอลแลนด์มีอิทธิพลมากที่สุด การค้าของชาติ
ตะวันตกเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับจนถึง รัชสมัย
พระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. 2165) จึงซบเซาลง ห้างของ
บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา และบริษัท
อินเดียตะวันออกของอังกฤษถึงกับปิดกิจการลงในปี
พ.ศ. 2165 และ พ.ศ. 2167 ตามลำดับจนถึงรัชสมัย
พระเจ้าปราสาททองจึงได้มกี ารฟื้นฟูการคา้ กับชาติตะวันตกขึ้นอีกครั้ง ในห้วงเวลาน้ัน กรุงศรีอยุธยา
ยอมอนุญาตให้ฮอลันดาผูกขาดการคา้ สินค้า 2 ประเภท คือ หนังกวางและไม้ฝาง ฮอลันดากลายเปน็
ชาติที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของกรุงศรีอยุธยา ทั้งยังเข้าคุมการค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยากับญ่ีปุ่นอีก
คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถิ่น หนา้ | 100
ทำให้ กรุงศรีอยุธยาไม่ได้รบั ประโยชน์จากการค้าเท่าที่ควร สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททองจึงทรงหาทาง
แก้ไข โดยการหาตลาดใหม่ทางอินเดีย แถบชายฝั่งโคโรแมนเดิล และ เมืองกัลกัตตา นอกจากนั้นยัง
ทรงบัญญัติประเภทของสินค้าต้องห้ามเพิ่มเติม (สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่ต้องซื้อขายผ่านพระ
คลงั สนิ คา้ ของรัฐบาล)
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฮอลนั ดาพยายามบีบบังคับกรุงศรีอยธุ ยาในเรื่อง
การค้ากับญี่ปุ่น จนกลายเป็นกรณีพิพาทขึ้น แต่ในที่สุดก็ยุติลงด้วยการทำสนธิสัญญา 11 สิงหาคม
พ.ศ. 2207 การค้ากับต่างประเทศในสมัยกรุงศรีอยุธยาเริ่มเสื่อมโทรมลง เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชาทรงขับไล่ชาวตะวันตกรวมทั้งพ่อค้าฝร่ั งเศสออกไป
ส่วนพ่อค้าอังกฤษ และฮอลันดาไม่ค่อยได้ติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยามาตั้งแต่ฝรั่งเศสเข้ามา
มีอทิ ธิพล ดังนนั้ การคา้ กบั ต่างประเทศจึงเส่อื มโทรมลง
สินค้าขายเข้า ที่กรุงศรีอยุธยาต้องการมี 2 ประเภท คือ สินค้าที่เกี่ยวกับความมั่นคง
ปลอดภัยของอาณาจักร ได้แก่ พวกอาวุธปืนกระสุนดินดำ และสินค้าที่ทางรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า
จะทำกำไร ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าลาย เครื่องถ้วยชาม และเครื่องกระเบื้อง ผู้ซื้อสินค้าเหล่าน้ี
คอื พระมหากษัตรยิ ์ เจ้านาย และขุนนาง
สินคา้ ออก สินค้าออกของราชอาณาจักรอยธุ ยาขายผ่านพระคลังสินค้า ทั้งน้ีเพราะสนิ ค้าพื้นเมืองบาง
ชนิดเป็นที่ต้องการของชาวต่างประเทศมาก หากปล่อยให้ซื้อขายกันโดยเสรีเกรงว่าของเหล่านั้นจะ
หมดสิ้นไป ไมม่ ีใชใ้ นราชการบ้านเมืองจึงกำหนดใหเ้ ป็นสินค้าต้องห้าม ตอ้ งซ้อื ขายผ่านพระคลังสินค้า
เช่น ไม้กฤษณา นอแรด ดีบุก งาช้าง ไม้จันทน์ ไม้หอม และไม้ฝาง เป็นต้น สินค้าต้องห้ามนี้เพิ่ม
ประเภทขึ้นโดยลำดับ เช่น ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง สินค้าต้องห้าม เช่น ดินประสิว ตะกั่ว ฝาง
หมากสง หนงั สัตว์ เนือ้ ไม้ งาชา้ ง ดบี กุ ไม้หอม เป็นตน้
(ข้อมลู จาก https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/thailand-trading-
history/prathesthiy-smay-kxn-prawatisastr/thailand-trading-hitory)
2. ความหมาย และความสำคัญของเรอื สำเภาสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
“เรือสำเภา” เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จ ในอดีตการค้าขาย
สินค้า ความรู้ การศึกษา จะเดินทางมาด้วยเรือเป็นหลัก เรือสำเภาที่ใหญ่ถึงจ ะเดินทางได้เป็น
ระยะไกลและนำพาสำภาระสินค้า ไปยังจุดหมายดินแดนปลายทาง “ไปให้ถึงฝั่ง” หมายถึง
“ความสำเร็จ ความสมปรารถนา” พ่อค้าชาวจีน บริษัทนำเข้าส่งออก ฮ่องกง มาเลเซีย ชาวไทย
เชื้อสายจีนและผู้ที่รู้เรื่องฮวงจุ้ย มักจะพบเรือสำเภาวางไว้ที่ห้องทำงาน หรือในร้านค้าอยู่เสมอ
ด้วยความเชื่อที่ว่า “ผู้ที่มีเรือไว้ในครอบครอง ชีวิตจะประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรือง และ
อดุ มสมบูรณ์ด้วยความมัง่ ค่ัง”
3. ลกั ษณะของเรอื สำเภา
ลักษณะเรอื สว่ นใหญ่ เป็นเรอื มเี สาใบเรอื 2 เสา 3 เสา ใช้ ลม และ พาย เคล่ือนที่ ทำให้
เรือในสมัยนี้แล่นด้วยความเร็วสูงและสามารถแล่นได้ทั้งน้ำตื้นและลึก แต่เนื่องจากพายนั้นมี
ขนาดใหญ่และหนัก ต้องใช้คนงานถึง 6 คนในการช่วยกันพาย แต่หลังจากยุคนี้หมดไป นั่นก็ คือ
สมัย โรมันล่มสลายเรือสำเภาก็มาแทนที่ลักษณะเรือของนักเดินทางส่วนใหญ่เรียกว่าเรือสำเภา
พาณชิ ยห์ รอื เรอื สำเภารบ มีเสาใบเรอื 1-3 หรอื แมแ้ ต่ 4 เสา ใช้ลมแทนการใช้พายกบั ลม เป็นเหตุให้
คู่มอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้สู ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถิ่น หน้า | 101
เรือแล่นได้คอ่ นข้างช้า แต่เรือสำเภาโบราณของฝร่ังนั้นมีขอ้ ดีคอื แลน่ ไปได้ไกลและมีท้องเรือหลายช้ัน
ใช้เก็บเสบียงและเป็นที่พักของลูกเรือ แต่ที่พักในท้องเรือจะอึดอัดและร้อนมาก ส่วนมากเป็น
แค่ลูกเรือ หรือไม่ก็ทาสในเรือจะอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ สำหรับกัปตันจะได้อยู่ห้องที่ดีกว่านี้นั้นคือ
ทา้ ยเรอื เรอื สำเภาฝรั่งในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาส่วนใหญจ่ ะตดิ ปนื ใหญ่ (ยุคแรกๆ) บริเวณดา้ นข้างของเรือ
(ซ้าย-ขวา) ส่วนใหญ่เรือสำเภาทุกลำจะติดตั้งอาวุธไม่ว่าจะเป็นเรือสำเภาขนส่งสินค้าหรือเรือสำเภา
พาณชิ ย์ เพอ่ื ปอ้ งกันตัวจากศัตรูและโจรสลดั ซง่ึ มคี อ่ นชกุ ชมในมหาสมุทร
เรอื สำเภาในสมัยโบราณ ในยามสงครามใชส้ ำหรบั การรบทางทะเล ในยามปกติก็ใช้แล่น
ใบเพื่อทำการค้ากบั ชาตติ า่ ง ๆ ทวั่ โลก โดยแบ่งลักษณะเรือออกเป็น 2 ประเภท คอื
เรือตะวันออก ได้แก่ เรือสำเภาจนี หรอื เรอื แบบจีน
เรอื ตะวนั ตก ไดแ้ ก่ เรอื กำปนั่ แบบฝร่งั คำวา่ “กำปน่ั ” ซงึ่ หมายถึง เรือเดินทะเลแบบฝรงั่
เรือชนดิ บรกิ (Brig) เปน็ เรอื 2 เสา ทง้ั สองเสาใช้ใบตามขวาง และมใี บใหญท่ ก่ี าฟฟ์
ค่มู อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรูส้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถิน่ หน้า | 102
เรือชนดิ บาร์ก (Bargue) เป็นเรือสำเภา 3 เสาหนา้ และเสาใหญ่ใช้ใบตามขวาง เสาหลงั ใชใ้ บตามยาว
เรือชนิดสกูเนอร์ (Schooner) เป็นเรือ 2 เสา แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ เรือบรรทุกสินค้า และแบบ
เรือยอชท์ สำหรบั ท่องเทีย่ ว
https://www.facebook.com/ponnasak/posts/1691667977565878
พบวา่ เรือสำเภาท่สี รา้ งโดยช่างไทยแบง่ ออกเปน็ 3 รูปแบบ ดงั นี้
1. เรือสำเภาไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะเป็นเรือท้องแบน เสาเรือจำนวน 3 เสา
มใี บเรือจำนวน 2 ใบ โดยใบเรือ 2 ใบนใ้ี ชไ้ มไ้ ผส่ านเป็นตาเฉลวประกบท้งั สองดา้ น ภายในใบเรือบุดว้ ย
ใบไม้ เชน่ ใบไผ่ ใบลาน เพือ่ ให้มนี ำ้ หนักเบา นอกจากนย้ี ังมใี บเรอื เล็ก 2 ใบ อยทู่ ปี่ ลายเสาหัวเรือ และ
ตอนบนของเสากระโดงเรือ หัวเรือมีการเขียนลายราหู ท้ายเรือมีการเขียนลวดลายนกวายุภักษ์ หรือ
ลายนกอินทรี
2. เรือสำเภาไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ตอนต้น มีลักษณะเป็นเรือท้องแบน เสาเรือ จำนวน 3 เสา
มีใบเรือใหญ่ 3 ใบ มีใบเรือเล็ก 2 ใบอยู่ที่ปลายเสาหัวเรือ
และตอนบนของเสากระโดงเรือใช้เพื่อช่วยในการเลี้ยว
มีการเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาดเช่นสีแดง สีเขียว ไว้ที่หัว
เรอื และท้ายเรือ โดยหวั เรือมีการเขยี นลวดลายราหู ท้ายเรือ
มีลาย 3 ลายทใ่ี ชใ้ นการเขยี นคอื ลายนกวายุภกั ษล์ ายนกฟนิ กิ ส์
และลายมังกร
คู่มอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ หน้า | 103
3. เรือสำเภาเซ่ียมโล้ มีลกั ษณะเป็นเรือท้องกลม มีรูปร่างอ้วนป้อมท้องเรือมีความจุมาก
เสาเรือจำนวน 3 เสา มีใบเรือผ้าจำนวน 3 ใบ นอกจากนี้ยังมีใบเรือเล็ก 2 ใบ อยู่ที่ปลายเสาหัวเรือ
และตอนบนของเสากระโดงเรือใช้เพื่อช่วยในการเลี้ยว หัวเรือมีการเขียนลวดลายราหูด้วยสีแดงหรือ
สีเขยี ว ทา้ ยเรือมกี ารเขยี นลวดลายมังกร (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุร)ี
4. สว่ นประกอบของเรอื สำเภา
องค์ประกอบเรอื
เรือสำเภาเป็นเรือที่ใช้ในการค้าขายในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทำขึ้นโดยการนำแผ่นไม้
กระดานยาวมาเรียงซ้อนกันขึ้นเป็นลำเรือที่เรียวไปทางด้านหัวและด้านท้าย เริ่มจากการน ำไม้
กระดานวางซ้อนกันจากฐานตรงกลาง ที่เป็นไม้กระดูกงู ซึ่งถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของเรือ โดยวาง
ไม้กระดานซ้ายขวาขึ้นไปเป็นคู่ ๆ ทั้งนี้เพื่อให้กราบเรือ ทั้งสองข้างสมดุลกัน การซ้อนต่อแผ่นไม้
กระดานจะต้องเชื่อมต่อกันอย่างประณีตและตะปูเดือยไม้ต่อไปคือการนำไม้ลักษณะโค้งคล้ายตัว U
ที่เรียกว่า “กง”มาวางเรียงกันภายในลำเรือตามขนาดและระยะที่เหมาะสม ตั้งแต่ส่วนของเรือจนถึง
ท้ายเรือ กงมีหน้าที่เป็นโครงกระดูกหรือโครงสร้าง ช่วยยึดไม้กระดานที่วางซ้อนกันขึ้นไปใหต้ ิดกับกง
ด้วยตะปูทำให้ลำเรือมีความแข็งแรงขึ้น เมื่อลำเรือมีความสมบูรณ์แล้วจึงมีการต่อเติม ส่วนหัว
ส่วนท้าย กราบเรือและส่วนประกอบต่าง ๆ ของลำเรือ ขั้นสุดท้ายคือ การทาสี และเขียนลวดลาย
จิตรกรรมให้มสี สี นั สวยงามพร้อมท่ีจะออกเรือเพื่อการค้าขาย
ทม่ี า : เรือสำเภาhttp://www.siamsouth.com/smf/index.
องค์ประกอบโดยท่ัวไป ของเรอื สำเภา ได้แก่
1. ลำเรือ ลำเรือของเรือสำเภา เป็นลำยาวท่ีต่อด้วยไม้กระดานยาว ซึ่งได้จากการเลื่อย
ตัดท่อนซุงประเภทไม้ตะเคียน ไม้สัก ไม้ประดู่ ที่มีขนาดความยาวที่จะต่อ โดยเลื่อยตัดท่อนไมใ้ หเ้ ป็น
แผ่นไม้กระดานบาง ๆ ที่มีขนาด 1 x 6 นิ้ว นำแผ่นไม้กระดานดังกล่าวมาวางซ้อนต่อขึ้นเป็นลำเรือ
ความยาวของเรือแต่ละลำ จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้สอย เรือสำเภาที่ใช้เพื่อ
ประกอบอาชีพทางการคา้ ขาย หรือเป็นพาหนะสำหรับรับสง่ สนิ คา้ ลำเรือจะขยายกว้างออกตรงกลาง
ลำเรือ ทัง้ นใี้ หเ้ รอื มบี รเิ วณภายในกว้าง เพอ่ื ประโยชนใ์ นการบรรทุกสินค้า และวางอุปกรณ์ที่ใช้ในการ
ประกอบอาชีพคา้ ขาย (จเร รกั ษ์แกว้ 2537 : 38)
ส่วนประกอบของลำเรอื ได้แก่
1. กระดูกงู คือ ไม้แกนกลางของลำเรือที่มีความยาวตามขนาดของลำเรือ เป็นที่ยึด
เกาะของแผ่นไม้กระดาน ที่ซ้อนต่อขึ้นเป็นลำเรือ และเป็นทีสำหรับติดตั้งกงของเรือ เวลาจะบอก
ถงึ ความยาวของเรือสำเภาน้ันจะต้องบอกความยาวของกระดกู งู
2. กง คือไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับ U ที่วางขวางอยู่ในลำเรือ ตามขนาดความโค้งของ
เรอื ต้งั แต่หัวเรือจนถึงท้ายเรือ กงจะมขี นาดความกว้างท่สี ุดตรงกลางลำเรือ แลว้ คอ่ ย ๆ เรียวเล็กแคบ
ลงไปทางส่วนหัวและส่วนท้ายตามลำดับ กงจึงเปรียบเสมือนโครงสร้างหรือโครงกระดูก เพราะไม้
กระดานแต่ละแผ่นที่ประกอบขึ้นเป็นลำเรือ จะต้องถูกตอกตรึงกับกงด้วยตะปู จึงสร้างความแข็งแรง
ให้กับลำเรือเปน็ อยา่ งยงิ่
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถน่ิ หน้า | 104
3. กราบเรือ คือส่วนประกอบของเรือที่เป็นแผ่นไม้กระดาน ที่ต่อเติมเสริมให้ลำเรอื
ขยายกว้างออกตรงกลางลำเรือ แล้วเรียวแคบไปทางส่วนหัวเรือ และท้ายเรือ ขนาดของแผ่นไม้
กระดานท่ีนำมาตอ่ เปน็ กราบเรือ จะใชไ้ มข้ นาด 1 x 6 นว้ิ ยาวตลอดทัง้ ลำ ข้างละ 5 – 6 แผน่ ถดั จาก
แผ่นไม้กระดานก็จะต่อเตมิ ดว้ ยไม้เป็นขอบอกี จำนวนข้างละ 3 ทอ่ น
แสดงการตัง้ กระดกู งู เพอ่ื ตอ่ เป็นลำเรอื แสดงการติดต้งั กงในลำเรือ แสดงลกั ษณะการวางโครงเรอื (แซตอ)
ท่ีมา : วฒุ ิ วฒั นสิน. 2542,15,20
5. อุปกรณป์ ระจำเรอื
5.1 ใบเรือ เป็นอุปกรณ์ประจำเรือสำเภาที่สำคัญในอดีต ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรือแล่นไปได้
เมื่อโดนกระแสลมพัดพาออกสู่ทะเลในเวลาเช้า และแล่นกลับเข้าฝั่งในเวลาบ่ายแต่ในปัจจุบัน
ชาวค้าขายเลิกใช้ใบเรือ หันมาใช้เครื่องยนต์แทน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการใช้เครื่องยนต์
มคี วามสะดวกสบาย
5.2 สมอเรือ คือ เครื่องมือสำหรับการหยุดรั้งเรือให้อยู่กับที่ โดยการทอดสมอในขณะที่นำเรือ
ออกทำการค้าขายกลางทะเล หรือขณะจอดเทียบทา่ ชายฝ่ัง สมอเรือมี 2 ชนดิ คอื สมอเรอื แบบเหล็ก
และสมอเรือแบบไม้ สมอเรือแบบเหล็ก มีลักษณะเหมือนสมอเรือท่ีใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
แต่สมอเรือแบบไม้มีลักษณะรูปร่างคล้ายตัว “ง” ทำด้วยไม้ สมอเรือแบบไม้เวลาทอดสมอจะต้องใช้
ก้อนอิฐหรือกอ้ นหินถว่ งเพือ่ ให้เกดิ น้ำหนัก
5.3 ธง ธงที่ใช้ในเรือสำเภาเป็นธงผ้าสีต่าง ๆ บ้างเป็นรูปสามเหลี่ยมบ้างก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม
ขนาดกว้าง ยาวประมาณหนึ่งศอก โดยใช้ไม้ไผ่กลมทำเป็นด้าม ประโยชน์ของธง คือ สามารถบอก
ท่ีหมายของการวางอวน เป็นสัญลกั ษณบ์ อกให้เรือลำอ่ืนทราบวา่ บริเวณท่ีมีธงปักอยู่ ได้มีการวางอวน
จับปลาเพื่อไม่ให้เรือลำอื่นมาวางอวนทับซ้อนกัน วิธีการใช้ธง คือ การเสียบธงติดกับทุ่นที่ลอยน้ำได้
ผูกติดกับปลายอวนแล้วทงิ้ ลงในทะเลบรเิ วณที่จะวางอวน
5.4 หวูด คือ เครื่องส่งสัญญาณใช้สำหรับติดต่อกันระหว่างเรือสำเภา หวูดทำด้วยเขาควายที่มี
ลักษณะเขาสวยงามมีขนาดใหญ่พอสมควร ตัดปลายแหลมของเขาควายออกประมาณ 1 นิ้ว ตกแต่ง
ให้สวยงาม และมีรูทะลุไปยังส่วนกลางของเขาควาย สามารถเป่าลมผ่านไปทำให้เกิดเสียงได้คนเป่า
หวูดตอ้ งเป็นคนแขง็ แรง เพราะต้องใช้ลมมากจงึ จะเกดิ เสยี งดังปูด ๆ ที่โหยหวนไปไกล หวดู หรอื หวดู น้ี
เป็นอุปกรณ์ชนิดหน่ึงสำหรับเป่าเพื่อส่งสัญญาณติดต่อกัน นิยมใช้ในหมู่ชาวค้าขาย ในขณะที่เดินเรือ
คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ หนา้ | 105
อยู่กลางทะเล หวูดนี้ยังมีประโยชน์เพื่อตอบสนองความเชื่อที่ว่า เสียงโหยหวนนี้สามารถเรียกลมได้ด้วย
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ช่วยในการเดินเรือ (สถาบันทักษิณคดีศึกษา 2529 : 1345) อนึ่งนอกจากนี้ยังใช้
หวดู เปา่ ส่งสัญญาณการนำปลามาขายของชาวคา้ ขาย และเพือ่ ใหท้ ราบว่ามีปลามากมาย ใหเ้ ตรียมตัว
ออกมาซื้อได้
5.5 ไม้พาย ทำมาจากไม้สักหรือไม้ตะเคียน มดี า้ มกลมและปลายของด้ามจะเปน็ รูปตัว T เหมือน
ด้ามจบั ของแจว มแี ผ่นพายเปน็ แผ่นปลายแหลมคล้ายใบโพธิ์ ไม้พายจะทำมาจากไม้แผ่นเดียว จะไม่มี
การตอ่ ทั้งน้เี พอื่ ความทนทาน
6. แรงและการเคลอ่ื นท่ี
แรง (force) หมายถึง ส่ิงที่สามารถทำให้วัตถุที่อยู่นิ่งเคลื่อนที่หรือทำให้วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่มี
ความเร็วเพ่มิ ขนึ้ หรือชา้ ลง หรอื เปล่ยี นทิศทางการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถไุ ด้
ชนดิ ของแรง
1. แรงกริ ิยาและแรงปฏิกริ ิยา
1.1 แรงกริ ิยา คือ แรงท่ีกระทำต่อวตั ถุทีจ่ ุดจุดหน่ึง อาจเปน็ แรงเพียงแรงเดียวหรือแรงลัพธ์
ของแรงย่อยกไ็ ด้
1.2 แรงปฏิกิริยา คือ แรงที่กระทำตอบโต้ต่อแรงกิริยาที่จุดเดียวกัน โดยมีขนาดเท่ากับ
แรงกริ ิยา แตท่ ิศทางของแรงทัง้ สองจะตรงข้ามกนั
ดังน้ัน เราจะสรุปเรือ่ งแรงและการเคลื่อนที่ได้ดังนี้
1. แรงทำให้วัตถุเคล่อื นท่ีหรือเปล่ียนแปลงไปจากเดิม เชน่ ตำแหนง่ ความเร็ว ขนาด รูปร่าง
2. แรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และแรงที่เกิด
จากธรรมชาติ
3. แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น แรงดึง แรงผลัก แรงจากเครื่องกล แรงที่เกิดจาก
ธรรมชาติ เชน่ แรงลม แรงน้ำ แรงแม่เหลก็
Description: http://student.nu.ac.th/phyedu12/PHYSICS_IcPhysics0_.gif
7. ข้ันตอนการสรา้ งเรอื สำเภาจำลอง
วัสดุอุปกรณ์
1. กระดาษแขง็
2. กระดาษ A 4
3. ปากกาเคมี
4. ไมบ้ รรทัด
5. กา้ นลกู โป่ง
6. กระดาษ A 4 สี
7. เชือกขาวเกลยี วยาว 1 เมตร
8. กรรไกร
9. เทปใส opp
10. สโี ปสเตอร์
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน หน้า | 106
11. คัตเตอร์
12. วงเวยี น
13. ปนื กาว
14. แทง่ กาว
15. แปรงทาสี (ขนาดเลก็ )
16. เทปกาวย่น ขนาด 1 นิว้
ข้ันตอนการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
1. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มออกแบบร่างเรือสำเภาจำลอง ตามแนวคิดของผู้รับบริการ
และกำหนดขนาดโดยใชห้ น่วย เมตร และ เซนติเมตร พรอ้ มต้ังชือ่ ชิ้นงาน
2. สรา้ งเรือสำเภาจำลองตามแบบร่างทีอ่ อกแบบ
3. นำเรือสำเภาจำลองไปทำสีเรอื เพ่อื ความสวยงาม
4. นำเรอื ทที่ าสเี รียบรอ้ ยแล้วมาประกอบเสากระโดง
5. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลมุ่ นำเสนอผลงานการโดยการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
6. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มทดสอบการแล่นเรือสำเภาจำลองและบันทึกข้อมูล
ระยะทางและเวลาที่ได้จากการทดสอบการแล่นเรือ หรือกรณีที่ผลการทดสอบไม่บรรลุผลตามท่ี
ตอ้ งการหรอื มีการปรับปรุงชิ้นงาน
7. แข่งขนั เลน่ เรอื สำเภาจำลอง ใหเ้ รอื แล่นได้ตามเงือ่ นไขท่ีกำหนด
8. ผู้จัดกิจกรรมและผู้รบั บริการรว่ มกันสรุปกจิ กรรม
คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเต็มศกึ ษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถนิ่ หน้า | 107
ใบความรูส้ ำหรับผรู้ ับบรกิ าร
เร่อื ง การออกแบบและสรา้ งเรอื สำเภาจำลองโดยการบรู ณาการสะเตม็ ศึกษา
กับวฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา
1. ความเปน็ มาของเรือสำเภาสมัยกรุงศรอี ยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ราชอาณาจักไทยเมื่อกว่า 400 ปีก่อน ในยุคโบราณใช้
ทะเลและแม่น้ำในการสัญจร และการค้าทางทะเลนี้นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งสู่ราชธานี
โดยใชเ้ รือสำเภาตดิ ต่อระหวา่ งประเทศ อาทิ ฝรง่ั เศส อังกฤษ วิลนั ดา จนี ญ่ีปนุ่ และไทย สมัยโบราณ
น้ัน และมเี รือประเภทต่าง ๆ พอ่ คา้ วานิชนักเดนิ เรือ ออกเดินทางสำรวจพ้ืนท่ีใหม่ๆเพ่ือทำการค้าหรือ
แสวงหาอาณานิคม มกั ออกเดินทางด้วยเรือสำเภาขนาดใหญ่ ต้องเดนิ เรอื ตามลมมรสุม
ชาวต่างชาติที่เข้ามาสำรวจดินแดนแถบเอเชียใต้ มักใช้การเดินทางในทะเล
ด้วยเรือสำเภาซึ่งตอ่ มากลายเป็นการล่องเรือสำเภาเพื่อติดต่อทำการค้าสมัยกรุงศรีอยุธยา แล่นใบลง
ไปถึงปลายแหลมมลายูด้านทิศใต้กับเขมรทางทิศตะวันออกการเดินทางในทะเลด้ว ยเรือสำเภา
ในสมัยโบราณนั้นตกอยู่ในความควบคุมของราชสำนักของไทยซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจ
ของแผ่นดนิ แหลมทอง แทนที่อาณาจักรต่าง ๆ ท่ีเคยรุ่งเรอื งอยใู่ นบริเวณคาบสมุทรมลายู ซง่ึ ในยุคนั้น
ได้สูญเสียอำนาจและตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ฝรั่งนักเดินเรือ
ที่เข้ามาค้าขายและแผ่อำนาจนั้นมีความสามารถในการเดินเรืออ้อมแหลมมลายู และเข้ามาค้าขาย
โดยตรงกับอาณาจักรไทย ที่มีความรุ่งเรืองอย่างเมืองหลวงอยุธยาได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเส้นทาง
ข้ามคาบสมุทร ทำให้ศูนย์กลางการค้าขายในภูมิภาคนี้ตกมาอยู่ที่อยุธยา แม้เมืองจะไม่ได้ติดกับ
ชายทะเลก็ตาม (ขอ้ มูลจาก โดยไทยรฐั 7 เม.ย.2561 06:05 น.ออนไลน์ https://pantip.com/topic/37094845)
2. ความหมาย และความสำคญั ของเรือสำเภาสมัยกรงุ ศรีอยุธยา
“เรือสำเภา” เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จ ในอดีตการค้าขาย
สินค้า ความรู้ การศึกษา จะเดินทางมาด้วยเรือเป็นหลัก เรือสำเภาที่ใหญ่ถึงจะเดินทางได้
เป็นระยะไกลและนำพาสำภาระสินค้า ไปยังจุดหมายดินแดนปลายทาง “ไปให้ถึงฝั่ง” หมายถึง
“ความสำเร็จ ความสมปรารถนา” พ่อค้าชาวจีน บริษัทนำเข้าส่งออก ฮ่องกง มาเลเซีย ชาวไทย
เชื้อสายจีนและผู้ที่รู้เรื่องฮวงจุ้ย มักจะพบเรือสำเภาวางไว้ที่ห้องทำงาน หรือในร้านค้าอยู่เสมอ
ด้วยความเชื่อที่ว่า “ผู้ที่มีเรือไว้ในครอบครอง ชีวิตจะประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรือง
และอุดมสมบรู ณ์ด้วยความมั่งคงั่ ”
คู่มอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถิ่น หน้า | 108
3. ลักษณะของเรือสำเภา
ลกั ษณะเรือสว่ นใหญ่ เป็นเรือมีเสาใบเรือ 2 เสา 3 เสา ใช้ ลม และ พาย เคล่ือนท่ี ทำให้
เรือในสมัยนี้แล่นด้วยความเร็วสูงและสามารถแล่นได้ทั้งน้ำตื้นและลึก แต่เนื่องจากพายนั้นมี
ขนาดใหญ่และหนัก ต้องใช้คนงานถึง 6 คนในการช่วยกันพาย แต่หลังจากยุคนี้หมดไป นั่นก็ คือ
สมัย โรมันล่มสลายเรือสำเภาก็มาแทนที่ลักษณะเรือของนักเดินทางส่วนใหญ่เรียกว่าเรือสำเภา
พาณิชย์หรือ เรอื สำเภารบ มีเสาใบเรือ 1-3 หรอื แมแ้ ต่ 4 เสา ใช้ลมแทนการใช้พายกับลม เป็นเหตุให้
เรือแล่นได้ค่อนข้างช้า แต่เรือสำเภาโบราณของฝรั่งนั้นมขี ้อดีคือแล่นไปได้ไกลและมีท้องเรอื หลายช้นั
ใช้เก็บเสบียงและเป็นที่พักของลูกเรือ แต่ที่พักในท้องเรือจะอึดอัดและร้อนมาก ส่วนมากเป็น
แค่ลูกเรือ หรือไม่ก็ทาสในเรือจะอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ สำหรับกัปตันจะได้อยู่ห้องที่ดีกว่านี้นั้น คือ
ท้ายเรอื เรอื สำเภาฝร่ังในสมัยกรุงศรีอยุธยาสว่ นใหญ่จะติดปนื ใหญ่ (ยคุ แรกๆ) บรเิ วณด้านข้างของเรือ
(ซ้าย-ขวา) ส่วนใหญ่เรือสำเภาทุกลำจะติดตั้งอาวุธไม่ว่าจะเป็นเรือสำเภาขนส่งสินค้าหรือเรือสำเภา
พาณชิ ย์ เพือ่ ปอ้ งกันตัวจากศตั รแู ละโจรสลดั ซ่งึ มีค่อนชุกชมในมหาสมทุ ร
เรอื สำเภาในสมัยโบราณ ในยามสงครามใช้สำหรบั การรบทางทะเล ในยามปกตกิ ็ใช้แล่น
ใบเพอ่ื ทำการค้ากับชาตติ ่าง ๆ ทวั่ โลก โดยแบง่ ลกั ษณะเรือออกเปน็ 2 ประเภท คอื
เรือตะวันออก ได้แก่ เรอื สำเภาจนี หรือเรอื แบบจีน
เรอื ตะวนั ตก ได้แก่ เรือกำปนั่ แบบฝรัง่ คำว่า “กำปน่ั ” ซึ่งหมายถึง เรือเดินทะเลแบบฝร่ัง
เรอื ชนดิ บรกิ (Brig) เป็นเรือ 2 เสา ทงั้ สองเสาใช้ใบตามขวาง และมีใบใหญ่ท่ีกาฟ์ฟ
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถ่ิน หนา้ | 109
เรอื ชนิดบารก์ (Bargue) เป็นเรอื สำเภา 3 เสาหน้าและเสาใหญใ่ ชใ้ บตามขวาง เสาหลังใช้ใบตามยาว
เรือชนิดสกูเนอร์ (Schooner) เป็นเรือ 2 เสา แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ เรือบรรทุกสินค้า และแบบ
เรือยอชท์ สำหรบั ท่องเทีย่ ว https://www.facebook.com/ponnasak/posts/1691667977565878
พบวา่ เรอื สำเภาทส่ี ร้างโดยชา่ งไทยแบง่ ออกเปน็ 3 รูปแบบ ดังนี้
1. เรือสำเภาไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะเป็นเรือท้องแบน เสาเรือจำนวน 3 เสา
มีใบเรอื จำนวน 2 ใบ โดยใบเรือ 2 ใบนใ้ี ช้ไมไ้ ผส่ านเป็นตาเฉลวประกบท้งั สองดา้ น ภายในใบเรือบดุ ้วย
ใบไม้ เชน่ ใบไผ่ ใบลาน เพือ่ ใหม้ ีนำ้ หนกั เบา นอกจากนีย้ ังมีใบเรือเล็ก 2 ใบ อยทู่ ่ีปลายเสาหวั เรอื และ
ตอนบนของเสากระโดงเรือ หัวเรือมีการเขียนลายราหู ท้ายเรือมีการเขียนลวดลายนกวายุภักษ์ หรือ
ลายนกอินทรี
2. เรือสำเภาไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ตอนต้น มีลักษณะเป็นเรือท้องแบน เสาเรือ จำนวน 3 เสา
มีใบเรือใหญ่ 3 ใบ มีใบเรือเล็ก 2 ใบอยู่ที่ปลายเสาหัวเรือ
และตอนบนของเสากระโดงเรือใช้เพื่อช่วยในการเลี้ยว
มีการเขียนลวดลายด้วยสีฉูดฉาดเช่นสีแดง สีเขียว ไว้ที่หัว
เรอื และท้ายเรือ โดยหวั เรือมกี ารเขยี นลวดลายราหู ทา้ ยเรือ
มีลาย 3 ลายที่ใช้ในการเขียนคือ ลายนกวายุภักษ์ลาย
นกฟินกิ ส์ และลายมังกร
คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถนิ่ หน้า | 110
3. เรอื สำเภาเซี่ยมโล้ มลี กั ษณะเป็นเรือท้องกลม มรี ปู ร่างอ้วนป้อมท้องเรือมีความจุมาก
เสาเรือจำนวน 3 เสา มีใบเรือผ้าจำนวน 3 ใบ นอกจากนี้ยังมีใบเรือเล็ก 2 ใบ อยู่ที่ปลายเสาหัวเรือ
และตอนบนของเสากระโดงเรือใช้เพื่อช่วยในการเลี้ยว หัวเรือมีการเขียนลวดลายราหูด้วยสีแดงหรือ
สเี ขยี ว ทา้ ยเรอื มีการเขียนลวดลายมังกร (มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบรุ ี)
1. สว่ นประกอบของเรอื สำเภา
องคป์ ระกอบเรือ
เรือสำเภาเป็นเรือที่ใช้ในการค้าขายในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทำขึ้นโดยการนำแผ่นไม้
กระดานยาวมาเรียงซ้อนกันขึ้นเป็นลำเรือที่เรียวไปทางด้านหัวและด้านท้าย เริ่มจากการนำไม้
กระดานวางซ้อนกันจากฐานตรงกลาง ที่เป็นไม้กระดูกงู ซึ่งถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของเรือ โดยวาง
ไม้กระดานซ้ายขวาขึ้นไปเป็นคู่ ๆ ทั้งนี้เพื่อให้กราบเรือ ทั้งสองข้างสมดุลกัน การซ้อนต่อแผ่นไม้
กระดานจะต้องเชื่อมต่อกันอย่างประณีตและตะปูเดือยไม้ต่อไปคือการนำไม้ลักษณะโค้งคล้ายตัว U
ที่เรียกว่า “กง”มาวางเรียงกันภายในลำเรือตามขนาดและระยะที่เหมาะสม ตั้งแต่ส่วนของเรือจนถึง
ท้ายเรือ กงมีหน้าที่เป็นโครงกระดูกหรือโครงสร้าง ช่วยยึดไม้กระดานที่วางซ้อนกันข้ึนไปให้ติดกับกง
ด้วยตะปูทำให้ลำเรือมีความแข็งแรงขึ้น เมื่อลำเรือมีความสมบูรณ์แล้วจึงมีการต่อเติม ส่วนหัว
ส่วนท้าย กราบเรือและส่วนประกอบต่าง ๆ ของลำเรือ ขั้นสุดท้ายคือ การทาสี และเขียนลวดลาย
จิตรกรรมใหม้ ีสสี ันสวยงามพร้อมทจี่ ะออกเรือเพ่ือการคา้ ขาย
ทม่ี า : เรอื สำเภาhttp://www.siamsouth.com/smf/index.
องค์ประกอบโดยทัว่ ไป ของเรอื สำเภา ได้แก่
1. ลำเรือ ลำเรือของเรือสำเภา เป็นลำยาวท่ีต่อด้วยไมก้ ระดานยาว ซึ่งได้จากการเลื่อย
ตัดท่อนซุงประเภทไม้ตะเคียน ไม้สัก ไม้ประดู่ ที่มีขนาดความยาวที่จะต่อ โดยเลือ่ ยตัดท่อนไม้ให้เป็น
แผ่นไม้กระดานบาง ๆ ที่มีขนาด 1 x 6 น้ิว นำแผ่นไม้กระดานดังกล่าวมาวางซ้อนต่อขึ้นเป็นลำเรือ
ความยาวของเรือแต่ละลำ จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้สอย เรือสำเภาที่ใช้
เพื่อประกอบอาชีพทางการค้าขาย หรือเป็นพาหนะสำหรับรับส่งสินค้า ลำเรือจะขยายกว้างออกตรง
กลางลำเรือ ทั้งนี้ให้เรือมีบริเวณภายในกว้าง เพื่อประโยชน์ในการบรรทกุ สินค้า และวางอุปกรณ์ที่ใช้
ในการประกอบอาชพี คา้ ขาย (จเร รกั ษแ์ กว้ 2537 : 38)
ส่วนประกอบของลำเรือ ได้แก่
1. กระดูกงู คือ ไม้แกนกลางของลำเรือที่มีความยาวตามขนาดของลำเรือ เป็นที่ยึด
เกาะของแผ่นไม้กระดาน ที่ซ้อนต่อขึ้นเป็นลำเรือ และเป็นทีสำหรับติดตั้งกงของเรือ เวลาจะบอกถึง
ความยาวของเรือสำเภาน้ันจะต้องบอกความยาวของกระดูกงู
2. กง คือไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับ U ที่วางขวางอยู่ในลำเรอื ตามขนาดความโค้งของ
เรือตง้ั แต่หวั เรือจนถึงท้ายเรือ กงจะมีขนาดความกว้างทส่ี ุดตรงกลางลำเรือ แลว้ ค่อย ๆ เรียวเล็กแคบ
ลงไปทางส่วนหัวและส่วนท้ายตามลำดับ กงจึงเปรียบเสมือนโครงสร้างหรือโครงกระดูกเพราะไม้
กระดานแต่ละแผ่นที่ประกอบขึ้นเป็นลำเรือ จะต้องถูกตอกตรึงกับกงด้วยตะปู จึงสร้างความแข็งแรง
ให้กับลำเรือเป็นอยา่ งยิ่ง
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่ิน หน้า | 111
3. กราบเรือ คือส่วนประกอบของเรือที่เป็นแผ่นไม้กระดาน ที่ต่อเติมเสริมให้ลำเรอื
ขยายกว้างออกตรงกลางลำเรือ แล้วเรียวแคบไปทางส่วนหัวเรือ และท้ายเรือขนาดของแผ่นไม้
กระดานที่นำมาต่อเป็นกราบเรือจะใช้ไม้ขนาด 1 x 6 นิ้ว ยาวตลอดทั้งลำ ข้างละ 5 – 6 แผ่น
ถัดจากแผ่นไมก้ ระดานกจ็ ะตอ่ เติมด้วยไมเ้ ป็นขอบอกี จำนวนขา้ งละ 3 ท่อน
แสดงการต้งั กระดูกงู เพอ่ื ต่อเป็นลำเรือ แสดงการตดิ ตัง้ กงในลำเรอื แสดงลกั ษณะการวางโครงเรือ (แซตอ)
ท่ีมา : วุฒิ วฒั นสนิ . 2542,15,20
2. อปุ กรณป์ ระจำเรอื
2.1 ใบเรือ เป็นอุปกรณ์ประจำเรือสำเภาที่สำคัญในอดีต ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรือแล่นไปได้
เมื่อโดนกระแสลมพัดพาออกสู่ทะเลในเวลาเช้า และแล่นกลับเข้าฝั่งในเวลาบ่ายแต่ในปัจจุบัน
ชาวค้าขายเลิกใช้ใบเรือ หันมาใช้เครื่องยนต์แทน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการใช้เครื่องยนต์มี
ความสะดวกสบาย
2.2 สมอเรือ คือ เครื่องมือสำหรับการหยุดรั้งเรือให้อยู่กับที่ โดยการทอดสมอในขณะที่นำเรือ
ออกทำการค้าขายกลางทะเล หรือขณะจอดเทียบทา่ ชายฝั่ง สมอเรือมี 2 ชนดิ คอื สมอเรือแบบเหล็ก
และสมอเรือแบบไม้ สมอเรือแบบเหลก็ มีลักษณะเหมือนสมอเรอื ที่ใช้อยูท่ ัว่ ไปในปัจจุบัน แต่สมอเรือ
แบบไม้มีลักษณะรูปร่างคล้ายตัว “ง” ทำด้วยไม้ สมอเรือแบบไม้เวลาทอดสมอจะต้องใช้ก้อนอิฐหรือ
ก้อนหนิ ถว่ งเพ่อื ใหเ้ กดิ น้ำหนัก
2.3 ธง ธงที่ใช้ในเรือสำเภาเป็นธงผ้าสีต่าง ๆ บ้างเป็นรูปสามเหลี่ยมบ้างก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม
ขนาดกว้าง ยาวประมาณหนึ่งศอก โดยใช้ไม้ไผ่กลมทำเป็นด้าม ประโยชน์ของธง คือสามารถบอก
ทห่ี มายของการวางอวน เป็นสญั ลักษณ์บอกใหเ้ รือลำอื่นทราบวา่ บรเิ วณท่ีมีธงปักอยู่ ได้มีการวางอวน
จับปลาเพื่อไม่ให้เรือลำอื่นมาวางอวนทับซ้อนกัน วิธีการใช้ธง คือ การเสียบธงติดกับทุ่นที่ลอยน้ำได้
ผูกตดิ กับปลายอวนแลว้ ทง้ิ ลงในทะเลบรเิ วณที่จะวางอวน
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ หน้า | 112
2.4 หวูด คือ เครื่องส่งสัญญาณใช้สำหรับติดต่อกันระหว่างเรือสำเภา หวูดทำด้วยเขาควายที่มี
ลักษณะเขาสวยงามมีขนาดใหญ่พอสมควร ตัดปลายแหลมของเขาควายออกประมาณ 1 นิ้ว ตกแต่ง
ให้สวยงาม และมีรูทะลุไปยังส่วนกลางของเขาควาย สามารถเป่าลมผ่านไปทำให้เกิดเสียงได้คนเป่า
หวดู ต้องเป็นคนแขง็ แรง เพราะต้องใชล้ มมากจึงจะเกิดเสยี งดังปูด ๆ ที่โหยหวนไปไกล หวดู หรอื หวดู นี้
เป็นอุปกรณ์ชนิดหน่ึงสำหรบั เปา่ เพื่อส่งสญั ญาณติดต่อกัน นิยมใช้ในหมู่ชาวค้าขาย ในขณะที่เดินเรือ
อยู่กลางทะเล หวูดนี้ยังมีประโยชน์เพื่อตอบสนองความเชื่อที่ว่า เสียงโหยหวนนี้สามารถเรียกลมได้
ด้วย ท้งั นี้เพ่อื ประโยชน์ชว่ ยในการเดินเรือ (สถาบนั ทักษิณคดีศกึ ษา 2529 : 1345) อน่ึงนอกจากนี้ยัง
ใช้หวดู เป่าส่งสญั ญาณการนำปลามาขายของชาวค้าขาย และเพื่อให้ทราบว่ามปี ลามากมาย ให้เตรียม
ตวั ออกมาซ้อื ได้
2.5 ไมพ้ าย ทำมาจากไม้สักหรือไม้ตะเคียน มดี ้ามกลมและปลายของด้ามจะเปน็ รูปตัว T เหมือน
ดา้ มจับของแจว มีแผ่นพายเป็นแผ่นปลายแหลมคลา้ ยใบโพธิ์ ไมพ้ ายจะทำมาจากไมแ้ ผ่นเดียว จะไม่มี
การตอ่ ท้งั นี้เพ่ือความทนทาน
3. แรงและการเคลอ่ื นท่ี
แรง (force) หมายถึง สิ่งที่สามารถทำให้วัตถุที่อยู่นิ่งเคลื่อนที่หรือทำให้วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่มี
ความเร็วเพม่ิ ข้ึนหรอื ช้าลง หรือเปล่ียนทศิ ทางการเคลือ่ นทีข่ องวตั ถุได้
ชนิดของแรง
1. แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา
1.1 แรงกิรยิ า คือ แรงทก่ี ระทำต่อวัตถุท่ีจุดจุดหน่ึง อาจเป็นแรงเพียงแรงเดียวหรือแรงลัพธ์
ของแรงย่อยก็ได้
1.2 แรงปฏิกิริยา คือ แรงที่กระทำตอบโต้ต่อแรงกิริยาท่ีจุดเดียวกัน โดยมีขนาดเทา่ กับแรง
กริ ิยา แตท่ ิศทางของแรงทั้งสองจะตรงข้ามกัน
ดังนน้ั เราจะสรุปเรอื่ งแรงและการเคลอ่ื นท่ไี ด้ดงั นี้
1. แรงทำให้วตั ถุเคลื่อนท่ีหรือเปลยี่ นแปลงไปจากเดิม เชน่ ตำแหนง่ ความเรว็ ขนาด รปู ร่าง
2. แรงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และแรงที่เกิด
จากธรรมชาติ
3. แรงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น แรงดึง แรงผลัก แรงจากเครื่องกล แรงที่เกิดจาก
ธรรมชาติ เชน่ แรงลม แรงน้ำ แรงแมเ่ หลก็
Description: http://student.nu.ac.th/phyedu12/PHYSICS_IcPhysics0_.gif
คูม่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถิน่ หนา้ | 113
4. ขั้นตอนการสร้างเรอื สำเภาจำลอง
วสั ดุอปุ กรณ์
1. กระดาษแข็ง
2. กระดาษ A 4
3. ปากกาเคมี
4. ไม้บรรทัด
5. กา้ นลูกโป่ง
6. กระดาษ A 4 สี
7. เชอื กขาวเกลียวยาว 1 เมตร
8. กรรไกร
9. เทปใส opp
10. สโี ปสเตอร์
11. คตั เตอร์
12. วงเวียน
13. ปืนกาว
14. แท่งกาว
15. แปรงทาสี (ขนาดเล็ก)
16. เทปกาวยน่ ขนาด 1 นวิ้
ขนั้ ตอนการออกแบบและสรา้ งเรอื สำเภาจำลอง
1. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มออกแบบร่างเรือสำเภาจำลอง ตามแนวคิดของผู้รับบริการ
และกำหนดขนาดโดยใชห้ น่วย เมตร และเซนติเมตร พรอ้ มต้งั ช่ือช้นิ งาน
2. สรา้ งเรือสำเภาจำลองตามแบบรา่ งที่ออกแบบ
3. นำเรอื สำเภาจำลองไปทำสีเรอื เพอ่ื ความสวยงาม
4. นำเรอื ทีท่ าสีเรยี บร้อยแลว้ มาประกอบเสากระโดง
5. ใหผ้ รู้ ับบริการแตล่ ะกล่มุ นำเสนอผลงานการโดยการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลอง
6. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มทดสอบการแล่นเรือสำเภาจำลองและบันทึกข้ อมูล
ระยะทางและเวลาที่ได้จากการทดสอบการแล่นเรือ หรือกรณีที่ผลการทดสอบไม่บรรลุผลตามที่
ตอ้ งการหรือมกี ารปรับปรงุ ชน้ิ งาน
7. แขง่ ขนั เลน่ เรอื สำเภาจำลอง ใหเ้ รือแลน่ ได้ตามเงือ่ นไขทก่ี ำหนด
8. ผจู้ ัดกิจกรรมและผ้รู ับบริการรว่ มกนั สรุปกจิ กรรม
คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมท้องถ่นิ หน้า | 114
ใบกิจกรรมสำหรับผูจ้ ัดกจิ กรรม
เร่ือง ข้นั ตอนการสรา้ งเรือสำเภาจำลองสมัยกรงุ ศรีอยุธยา
วตั ถปุ ระสงค์
ออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรร ม
สมัยกรุงศรีอยุธยา
คำชี้แจง
ให้ผูร้ ับบริการออกแบบและสรา้ งเรอื สำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยา
1. การวางแผนการออกแบบ และลงมือปฏิบัติจากอุปกรณ์ที่เตรียมให้ โดยการบูรณาการ
สะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัยกรงุ ศรอี ยะยา
2. ปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กับวฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
3. บันทึกผลปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการ
สะเต็มศกึ ษากับวัฒนธรรมสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
4. สรุปปัญหา/อุปสรรค ในปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยการบูรณาการสะเตม็ ศึกษากับวฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
วัสดุและอุปกรณท์ ี่เตรียมให้สำหรบั การออกแบบและปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลอง
ลำดบั รายการ จำนวนต่อกลมุ่
1 กระดาษแขง็ 4 แผน่
2 กระดาษ A4 สีขาว 3 แผน่
3 ปากกาเคมี 1 ชุด
4 ไม้บรรทดั 1 อัน
5 กา้ นลกู โป่ง 10 อนั
6 กระดาษสี A4 ความหนา 170 แกรม 3 แผ่น
7 เชือกขาวเกลยี วยาว 1 เมตร 1 เสน้
8 กรรไกร 2 เล่ม
9 เทปใส opp 1 อัน
10 เทปกาวย่นหน้ากวา้ ง 1 น้ิว 1 มว้ น
11 สีโปสเตอร์ 1 กลอ่ ง
12 คัตเตอร์ 1 อัน
13 วงเวียน 1 อัน
14 ปนื กาว 1 อนั
15 แทง่ กาว 5 แท่ง
16 แปรงทาสีขนาดเลก็ 1 แท่ง
ค่มู อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ หนา้ | 115
จดุ ประสงคใ์ นการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
แนวคำตอบ ผรู้ ับบรกิ ารสามารถวางแผนการออกแบบ และลงมือปฏบิ ัตกิ ารสรา้ งเรือสำเภาจำลอง
จากอปุ กรณท์ ี่เตรยี มให้ได้
รา่ งแบบแผนการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
1. การระบุปัญหา
แนวคำตอบ เพ่อื ให้ผูร้ บั บรกิ ารแตล่ ะกลมุ่ ออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองจากวัสดทุ ่กี ำหนดให้
2. การค้นหาแนวคดิ ที่เก่ียวข้อง
แนวคำตอบ ผูจ้ ัดกจิ กรรมให้ผู้รบั บริการแตล่ ะกล่มุ รวบรวมข้อมลู ท่ีเก่ยี วข้องกับเรือสำเภาจำลอง
สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งอาจศึกษาจากใบความรู้ อินเตอร์เน็ต หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง
ผูจ้ ัดกิจกรรมและผู้รับบรกิ าร
3. การวางแผนและพัฒนา
แนวคำตอบ 1. ผู้จดั กิจกรรมให้ผ้รู ับบริการแต่ละกล่มุ วางแผนการออกแบบและสร้างเรือสำเภา
จำลองท่ีได้ออกแบบไว้ จากนั้นดำเนนิ การสร้างตามแผน
2. ผ้จู ัดกิจกรรมใหผ้ รู้ บั บริการทดสอบเรือสำเภาจำลอง ว่าเปน็ ไปตามแผนทว่ี างไว้
หรือไม่และต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร
ค่มู ือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ หน้า | 116
4. ผลการปฏิบัติงานการการออกแบบและสรา้ งเรอื สำเภาจำลองจำลองสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
แนวคำตอบ 1. ผ้จู ัดกจิ กรรมให้ผู้รับบริการสรุปผลการสรา้ งโบราณสถานจำลอง
2. ผู้รับบริการสรุปผลการแก้ไขปัญหา และแนวทางการปรับปรุงแก้ไขชิ้นงาน
เปน็ ไปตามแผนทว่ี างไวห้ รอื ไม่
5. สรปุ ปัญหา/อุปสรรค ในการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองจำลองสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
แนวคำตอบ ชน้ิ งานไมส่ ามารถแลน่ ได้ตามแผนท่ีวางไว้ เกิดความเสยี หายทำใหต้ ้องเสยี เวลาใน
การสร้างช้ินงานใหม่
คูม่ อื การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวัฒนธรรมทอ้ งถิ่น หน้า | 117
ใบกิจกรรมสำหรับผูร้ ับบริการ
เรือ่ ง ข้นั ตอนการสรา้ งเรอื สำเภาจำลองสมยั กรุงศรีอยธุ ยา
วตั ถปุ ระสงค์
ออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษากับวัฒนธรรมสมัย
กรุงศรีอยุธยา
คำช้ีแจง
ให้ผูร้ บั บริการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา
1. การวางแผนการออกแบบ และลงมือปฏิบัติจากอุปกรณ์ที่เตรียมให้ โดยการบูรณาการ
สะเตม็ ศึกษากบั วฒั นธรรมสมัยกรุงศรอี ยะยา
2. ปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการสะเต็มศึกษา
กบั วฒั นธรรมสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
3. บันทึกผลปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยการบูรณาการ
สะเต็มศกึ ษากับวฒั นธรรมสมัยกรุงศรอี ยุธยา
4. สรุปปัญหา/อุปสรรค ในปฏิบัติการสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยการบรู ณาการสะเตม็ ศกึ ษากับวัฒนธรรมสมยั กรุงศรีอยุธยา
วัสดุและอปุ กรณ์ท่ีเตรยี มใหส้ ำหรับการออกแบบและปฏบิ ตั กิ ารสรา้ งเรือสำเภาจำลอง
ลำดบั รายการ จำนวนต่อกลุม่
1 กระดาษแข็ง 4 แผน่
2 กระดาษ A4 สขี าว 3 แผน่
3 ปากกาเคมี 1 ชุด
4 ไมบ้ รรทัด 1 อนั
5 ก้านลกู โปง่ 10 อนั
6 กระดาษสี A4 ความหนา 170 แกรม 3 แผ่น
7 เชอื กขาวเกลยี วยาว 1 เมตร 1 เส้น
8 กรรไกร 2 เลม่
9 เทปใส opp 1 อัน
10 เทปกาวย่นหน้ากว้าง 1 นิ้ว 1 ม้วน
11 สีโปสเตอร์ 1 กลอ่ ง
12 คตั เตอร์ 1 อัน
13 วงเวียน 1 อัน
14 ปืนกาว 1 อัน
15 แทง่ กาว 5 แท่ง
16 แปรงทาสขี นาดเล็ก 1 แท่ง
คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สะเต็มศึกษาบูรณาการวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ หนา้ | 118
จุดประสงค์ในการออกแบบและสรา้ งเรอื สำเภาจำลองสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
ร่างแบบแผนการออกแบบและสร้างเรือสำเภาจำลองสมัยกรุงศรีอยุธยา
1. การระบปุ ญั หา
2. การค้นหาแนวคดิ ท่เี กี่ยวขอ้ ง
คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูส้ ะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการวฒั นธรรมท้องถิ่น หนา้ | 119
3. การวางแผนและพฒั นา
4. ผลการปฏบิ ตั งิ านการการออกแบบและสร้างเรอื สำเภาจำลองจำลองสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
5. สรุปปญั หา/อปุ สรรค ในการออกแบบและสรา้ งเรอื สำเภาจำลองจำลองสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา