วิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ โดยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน นางสาวชุติมณฑน์ หาระคุณโน รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ โดยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน นางสาวชุติมณฑน์ หาระคุณโน รายงานการวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
หัวข้อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ โดยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน ผู้วิจัย นางสาวชุติมณฑน์ หาระคุณโน สาขาวิชา คอมพิวเตอร์ศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิศนุ ชัยจิตวานิชกุล ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา ปีการศึกษา 2566 อาจารย์ที่ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับบนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา ……………………………………………….....................หัวหน้าสาขาวิชา (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปณวรรต คงธนกุลบวร) คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน …..……………………………………….....................ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.พิศนุ ชัยจิตวานิชกุล) …………….……………………………………………….....................กรรมการ (นางสาวฐิติกฤตา ภิภัทราภัทร) …………………………………………………………….....................กรรมการ (นางดรุณี โพธิ์ชัยแก้ว)
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ โดยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน ผู้วิจัย นางสาวชุติมณฑน์ หาระคุณโน อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิศนุ ชัยจิตวานิชกุล ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบบฝึกนวัตกรรมการเรียน ได้แก่ 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม 2. แบบบันทึกคะแนนประจำหน่วยและใบงาน 3. สมุดแบบฝึกหัดและใบกิจกรรมของนักเรียน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม มาใช้ในการเรียนการสอนวิชาวิทยาการ คำนวณ ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 4.82 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 8.10 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 3.28 คะแนน และนักเรียนทุกคนมี คะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็น ร้อยละ 68.05 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเพิ่มขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด และกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและเอื้อต่อการเรียนการสอน ช่วยให้นักเรียนมีความ กระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความ กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ช่วยสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดม ความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทางนี้เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถสร้าง ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณเป็นอย่างมาก ผลพฤติกรรมการทำงานและความรับผิดชอบของ
ข นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมจากการสังเกตพฤติกรรมการทำงานและความ รับผิดชอบของนักเรียน ทุกคนมีคะแนนพฤติกรรมการทำงานที่เพิ่มขึ้น Title: Development of academic achievement in computational science. Using innovative teaching methods. Grade 2: Step-by-step problem solving Researcher Miss Chutimon Harakhunno Advisor: Asst. Prof. Dr. Phisanu Chaichitwanichakul Degree: Bachelor of Education Department of Computer Studies Year 2023 Abstract This study has the following objectives: 1. To develop students' learning methods by using innovative learning exercises. of Grade 2 students, with the goal that all students will have academic results that meet the specified criteria. Regarding solving problems step by step 2. To improve student academic achievement and serve as a guideline for teaching development. Tools used in researching innovative learning practices include: 1. Teaching model using innovative exercises 2. Unit score recording form and worksheets 3. Exercise books and student activity sheets 4. Student Behavior Observation Form and Student Desired Characteristics Assessment Form
ค Results from teaching and learning using innovative exercises used in the teaching of computational science. The results showed that the average score of the pre-test was 4.82 points and the average score after the test was 8.10 points, with the average score after studying being 3.28 points higher than before, and all students had Scores were higher than before with the progress score comparing the pre-study score to the post-study score being 68.05 percent and having a standard deviation of 68.05 percent decreased Students' academic achievement in the subjects increased significantly. And student group activities create a good atmosphere and are conducive to teaching and learning. Helps students to be more enthusiastic, interested, attentive, and responsible for their studies. It also helps stimulate students to be enthusiastic at all times. Help create unity in the group. Know how to solve problems together. It is a team brainstorming ideas of many people. This approach is suitable for solving problems in the classroom very well. Including being able to create a very positive attitude towards studying computational science. Results of work behavior and responsibility of students who received Organizing teaching and learning using innovative exercises based on observation of students' work behavior and responsibilities. All had increased work behavior scores.
ง กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยชั้นเรียนฉบับนี้ เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยคณะครู ผู้เชี่ยวชาญ และผู้อำนวยการโรงเรียน ที่กรุณาให้คำปรึกษา พร้อมทั้งช่วยเหลือ แนะนำตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ผู้รายงานขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ในโอกาสนี้ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนในโรงเรียนทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลใน การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สู่งานวิจัยในครั้งนี้ด้วยดีและการวิจัยจะส่งผลดีต่อนักเรียนและผู้วิจัยมีแนวทางในการ พัฒนาการเรียนการสอนได้มากขึ้น ด้วยคุณค่าและประโยชน์ของรายงานฉบับนี้ ทางผู้รายงานขอมอบเป็นเครื่องแสดงความกตัญญูต่อผู้มี พระคุณในชีวิต ที่ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้มีสติปัญญาและคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นเครื่องมือนำไปสู่ ความสำเร็จในชีวิตของผู้รายงาน และจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมได้อีกและผู้วิจัยสามารถพัฒนาแบบฝึกนวัตกรรม เพื่อการเรียนรู้ของนักเรียนได้สืบไป นางสาวชุติมณฑน์ หาระคุณโน ผู้จัดทำ
จ สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ .................................................................................................................................. ก กิตติกรรมประกาศ .................................................................................................................... ง สารบัญ ..................................................................................................................................... จ บทที่1 บทนำ .......................................................................................................................... ความเป็นมาและความสำคัญ........................................................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย................................................................................................. 3 สมมติฐานของการวิจัย .................................................................................................... 3 ขอบเขตของการวิจัย........................................................................................................ 3 นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................................. 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .................................................................................. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ …………………………………………………………………………………. 6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน…………………………………………………………………………………… 10 พฤติกรรมที่คาดหวังทางด้านสติปัญญา……………………………………………………………… 14 การสอนวิชาการ........................................................................................................ 20 การเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม..................................................................... 31 บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย .......................................................................................................... ประชากรกลุ่มตัวอย่าง ……………………………………………………………………………………….. 42 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย …………………………………………………………………………………….. 42 การเก็บรวบรวมข้อมูล ………………………………………………………………………………………… 43
ฉ สารบัญ (ต่อ) การวิเคราะห์ข้อมูล …………………………………………………………………………. 44 สติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล .......................................................................................... 44 บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................................ วิเคราะห์ข้อมูล ………………………………………………………………………………………………… 49 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ .......................................................................... สรุปผลการวิจัย............................................................................................................... 53 อภิปรายผลการวิจัย .................................................................................................... 54 ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................. 55 บรรณานุกรม ........................................................................................................................... 57 ภาคผนวก ................................................................................................................................ 58 ภาค ก ............................................................................................................................. - แผนการจัดการเรียนรู้................................................................................ 58 - แบบฝึกทักษะ ................................................................................................................. 76
ช สารบัญตาราง ตาราง หน้า 4.1 แสดงค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบความสามารถในการเรียนรู้ในวิชา วิทยาการคำนวณ 49 4.2 แสดงผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม .................................................................................................................... 49 4.3 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) 51
1 บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ แบบฝึกนวัตกรรมมีความสำคัญต่อการศึกษาหลายประการ ทั้งนี้เนื่องจากในโลกยุคโลกาภิวัตน์ Globalization มีการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าทั้งด้านเทคโนโลยีและ สารสนเทศ การศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการศึกษาที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ทันสมัยต่อการ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านการศึกษาบางอย่างที่ เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับแบบ ฝึกนวัตกรรมการศึกษาที่จะนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทางด้านการศึกษาในบางเรื่อง เช่น ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับ จำนวนผู้เรียนที่มากขึ้น การพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย การผลิตและพัฒนาสื่อใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการ เรียนรู้ของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง การใช้แบบฝึกนวัตกรรมมาประยุกต์ในระบบการบริหาร จัดการด้านการศึกษาก็มีส่วนช่วยให้การใช้ทรัพยากรการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เกิดการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ประเภทของแบบฝึกนวัตกรรมทางการศึกษา มี 2 ประเภท 1. เทคนิคและวิธีการ 2. สิ่งประดิษฐ์วัสดุ อุปกรณ์ คุณค่าและประโยชน์ของแบบฝึกนวัตกรรมการศึกษาและการเรียนการสอน แบบฝึกนวัตกรรมการศึกษามี คุณค่าและประโยชน์ต่อ การจัดการเรียนการสอน สามารถ สรุปได้ดังนี้ 1. ช่วยพัฒนาศักยภาพ และความสามารถ สูงสุดของบุคคล 2. ช่วย ขยายขอบเขตความรู้ และโลกทัศน์ทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยลดปัญหา เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล 4. ช่วยเปิดโอกาสทางการเรียนให้กับผู้เรียนอย่างทั่วถึง 5. ช่วยให้คนสามารถ ปรับตัวในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ 6. ช่วยให้ผู้เรียนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการศึกษาหา ความรู้ เพิ่มเติม ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารงานวิจัยและตำรา พบว่ามีวิธีการสอนหลากหลายวิธีที่ช่วยพัฒนา การคิดอย่างมี วิจารณญาณและการแก้ปัญหา การจัดการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมเป็นฐานเป็นวิธีหนึ่งที่ ช่วยเสริมสร้าง การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา และการจัดการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมเป็น ฐานเป็นการ จัดการเรียนรู้ตามความสนใจของผู้เรียน การออกแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมที่ดีจะกระตุ้นผู้เรียนให้มี การค้นคว้า อย่างกระตือรือร้นและใช้ทักษะการคิดขั้นสูง เพราะกิจกรรมในการเรียนการสอนแบบ ใช้แบบฝึกนวัตกรรมจะช่วย เพิ่มระดับความสามารถของผู้เรียน ในการสอนคิดซึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการทางสมองนั้น มีความเป็น นามธรรม การสอนคิดนี้จะนำไปสู่การพัฒนา ทักษะการคิด และทักษะกระบวนการคิด ให้กับนักเรียน โดยเฉพาะ การสอนคิดด้วยการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมนั้น เป็นการสอนกระบวนการคิดซึ่งเป็นทักษะการคิดขั้นสูงคือ การสอนให้นักเรียนใช้วิธีการทางวิทยาการคำนวณในการค้นหาความรู้ใหม่และสิ่งประดิษฐ์ใหม่
2 การคิดอย่างมีวิจารณญาณถือได้ว่า เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการคิดแก้ปัญหา เพราะฉะนั้น ในการพัฒนา ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา จึงจำเป็นต้องพัฒนาการคิดอย่าง มีวิจารณญาณเป็น อันดับแรกการคิดอย่างมี วิจารณญาณเป็นการคิดในระดับสูง การส่งเสริมให้เด็กเกิดการคิด ในระดับนี้ ได้นั้นจะต้องผ่านการคิดในระดับ ง่ายๆ มาก่อน นั่นคือ การคิดขั้นพื้นฐานและ การคิดระดับกลาง ซึ่งมี ขั้นตอนและความซับซ้อนในการคิดไม่มากนัก เป็นทักษะที่ใช้อยู่เสมอ ในชีวิตประจำวันและในการ เรียนรู้เนื้อหาวิชาต่างๆ เช่น การอ่าน การฟัง การถาม การ อธิบาย ไปจนถึงการสังเกต การจำแนก แยกแยะ การเปรียบเทียบ การสรุปความ การเรียงลำดับ การเชื่อมโยง การวิจารณ์ การลงสรุป เป็น ต้น เมื่อนำทักษะเหล่านี้มา ผสมผสานเข้าด้วยกันเข้าก็จะเป็นการคิดในระดับสูง การ คิดอย่างมี วิจารณญาณ เป็นสิ่งที่ สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัย โดยการฝึกทักษะการคิดขั้น พื้นฐานก่อน และ เพิ่มความซับซ้อนให้มากขึ้นเป็นความคิดระดับกลาง ถ้าได้ฝึกฝนอยู่เสมอก็จะ กลายเป็นการคิด ระดับสูงหรือการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้ แนวทางที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการคิดอย่างมี วิจารญาณ คือ การให้ผู้เรียน ได้ลงมือทำกิจกรรมโดยได้รับจากประสบการณ์ตรงเรียนรู้จากของจริง และแบบฝึกนวัตกรรมมีความสำคัญอีก ดังนี้ 1. เพื่อนำแบบฝึกนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน เช่น 1.1 ปัญหาเรื่องวิธีการสอน ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ คือ ครูส่วนใหญ่ยังคงยึดรูปแบบการสอนแบบบรรยาย โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการ สอนที่ขาดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในบั้นปลาย เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย ขาดความสนใจแล้ว ยังเป็นการ ปิดกั้นความคิด และสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย 1.2 ปัญหาด้านเนื้อหาวิชา บางวิชาเนื้อหามาก และบางวิชามีเนื้อหาเป็นนามธรรมยากแก่การเข้าใจจึง จำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย 1.3 ปัญหาเรื่องอุปกรณ์การสอน บางเนื้อหามีสื่อการสอนเป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้เพื่อ ทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้นหาเทคนิควิธีการสอน และผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายได้ 2. เพื่อนำแบบฝึกนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็น ประโยชน์ต่อการศึกษา โดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรียนการสอนนั้นเผยแพร่ไปสู่ครู อาจารย์ท่านอื่น ๆ หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่งให้กับครู อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกัน ได้นำ แนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป 3. เพื่อนำไปใช้ในการบริหารการศึกษา เพื่อให้เป็นไปด้วยความสะดวกและมีประสิทธิภาพซึ่งสุดท้าย ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะนำไปผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษาที่สูงขึ้นต่อไป วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ ที่แปลกไปจากเดิมโดย อาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฏิบัติ ทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้ อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ด้วยเหตุผลและความสำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงพัฒนากระบวนการได้รับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แบบฝึกนวัตกรรมมีประโยชน์ทางด้านอารมณ์ บุคลิกภาพ สังคมและการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนมีทัศนคติที่
3 ดีต่อการเรียนการสอน นักเรียนได้รับความรู้จากแบบฝึกนวัตกรรม และเรียนจากแบบฝึกนวัตกรรมด้วยความ สนุกสนาน ดังนั้นครูจึงนำแบบฝึกนวัตกรรมไปสอดแทรกได้เกือบทุกวิชา วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2/1 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอน สมมติฐานของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม สามารถทำให้ นักเรียนบางส่วนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น กลับมาเข้าใจบทเรียนมากขึ้นและเรียนรู้ได้มากขึ้นกว่าคำอธิบายของครู ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 40 คน ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 100 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษาได้แก่ 2.1 ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การสอนโดยใช้ แบบฝึกนวัตกรรม 2.2 ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณเรื่องการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน 3. การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2/2566 ประโยชน์คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการการวิจัยครั้งนี้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาการคำนวณและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ สามารถนำวิธีการการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมเป็นฐาน ไปปรับใช้และประยุกต์ใช้ได้ใน กระบวนการ เรียนการสอนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ไขปัญหาได้ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมเป็นฐาน มีความสามารถในการคิด และ สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ไขปัญหาที่สูงขึ้นขณะเรียนได้
4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม 2. แบบบันทึกคะแนนประจำหน่วยและใบงาน 3. สมุดแบบฝึกหัดและใบกิจกรรมของนักเรียน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ระยะเวลาการดำเนินงานวิจัย ภาคเรียนที่ 2/2566 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของนักเรียนที่ได้จากการประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งเครื่องมือเป็นข้อสอบที่ครูสร้างขึ้นเองและได้ตรวจสอบคุณภาพแล้ว 2. ความสนใจเรียน หมายถึง การที่นักเรียนแสดงออกถึงความรู้สึกชอบ และพอใจในวิธีสอน ที่ใช้การ สอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบการใช้กระบวนการกลุ่มการพัฒนาการคิด การสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมใน ชั้นเรียน และเอาใจใส่ต่อวิชาที่เรียนอยู่ด้วยการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ การทำแบบฝึกหัด ด้วยความพอใจ มีความกระตือรือร้นและจดจ่อต่อการเรียนการสอนในชั่วโมง และสนใจซักถาม ปัญหา ในเรื่องที่ครูสอนเมื่อมีข้อสงสัย สนทนา โต้แย้งอภิปรายปัญหาในเรื่องที่เรียน ติดตามเอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือตำราเรียนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนด้วยความสมัครใจ 3. แบบฝึกนวัตกรรม หมายถึง ชุดการสอนสิ่งที่สร้างจากความคิดของจุดประสงค์การเรียนรู้การปฏิบัติ และการกระทำใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดี ยิ่งขึ้น เมื่อนำแบบฝึกนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม 4. การสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม หมายถึง กลวิธีต่างๆ ที่ครูใช้สอนนักเรียนมีการสร้าง หลังจากได้ ศึกษาสภาพปัญหา หลักการและเหตุผลของการสร้าง จึงดำเนินการตามขั้นตอน เช่น เขียนวัตถุประสงค์ วาง โครงสร้าง เขียนขั้นตอนการใช้แบบทดสอบความเหมาะสม มีการนำมาทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง แล้วจึงแก้ไข ปรับปรุง 5. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ หมายถึง ความสามารถในการตัดสินข้อความหรือปัญหาว่าเป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นเหตุเป็นผลกัน เป็นกระบวนการคิดที่ใช้เหตุผลโดยมีการศึกษาข้อเท็จจริง หลักฐาน และข้อมูลต่าง ๆ เพื่อ ประกอบการตัดสินใจ แล้วนำมาพิจารณาวิเคราะห์อย่างสมเหตุผล ก่อนตัดสินใจว่าสิ่งใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ 6. การแก้ปัญหา หมายถึง การตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา วิเคราะห์ความสำคัญ สาเหตุปัญหา เงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสถานการณ์ปัญหา เพื่อกำหนดขอบเขตของปัญหา เสนอแนวทางวิธีการ แก้ไขปัญหา จากสถานการณ์ของปัญหาได้ตรงประเด็น ซึ่งจะนำไปสู่การคิดเลือกหัวข้อทำใช้แบบฝึกนวัตกรรม
5 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แบบแผนที่ใช้ในงานวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยดําเนินการทดลองแบบ One Group Pretest Posttest Design ดังแผนภาพนี้ สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2 เมื่อ T1 หมายถึง การวัดผลก่อนการทดลอง X หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม T2 หมายถึง การวัดผลหลังการทดลอง การเรียนการสอนแบบ ใช้แบบฝึกนวัตกรรม นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น และมีค่าผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
6 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. พฤติกรรมที่คาดหวังทางด้านสติปัญญา 4. การสอนวิชาการ 5. การเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิจารณญาณ (Judgment) หมายถึงปัญญาหรือความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม และ สอดคล้องตามเหตุผลอันได้มาจากกระบวนการคิด และพิจารณาด้วยความรู้ และประสบการณ์เดิมของตน การคิดอย่างมีวิจารณญาณ “ critical thinking” หมายถึง การรู้จักใช้ความคิดพิจารณาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินผลในเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาหรือข้อขัดแย้งโดยอาศัยความรู้ ความคิด และ ประสบการณ์ของตนเพื่อนำไปสู่การตัดสินในการปฏิบัติด้วยความเหมาะสมอันสอดคล้องกับหลักการ และเหตุผล การคิดอย่างมีเหตุผลและรอบคอบ ภายใต้พื้นฐานของหลักเกณฑ์ และมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ย่อมนำไปสู่ ข้อสรุป และการตัดสินใจในทิศทางที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ การคิดอย่างมีวิจารณญาณจำเป็นต้องประกอบด้วยทักษะต่างๆ คือ การตั้งคำถาม, การคิดวิเคราะห์, การ คิดสังเคราะห์, การสรุปประเมิน และการหาแนวทางในการนำไปใช้โดยใช้เหตุ และผล ประกอบการตัดสินใจ ไม่มี ความลำเอียง หรือมีอคติต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยยึดหลักการบนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นจริงมากกว่าอารมณ์และ พิจารณาแยกแยะความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆ ความรู้และความคิดเป็นสิ่งคู่กันไปเสมอ เพราะการใช้ความคิดจำเป็นต้องนำความรู้และประสบการณ์ ต่างๆมาเป็นพื้นฐานประกอบในกระบวนการคิด ดังนั้นการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความคิดจึงไม่อาจทำได้ หากไม่มี เนื้อหาของความรู้แทรกอยู่ทั้งการเรียนรู้ด้วยการอ่าน การฟัง และการดู เช่น การอ่านอย่างมีวิจารณญาณเป็นการ อ่านที่ต้องใช้ความคิดขณะอ่านข้อความ โดยนำความรู้และประสบการณ์ที่ตนมาคิดประเมินเนื้อเรื่องที่อ่านว่า ผู้เขียนมีความคิดอย่างไรเนื้อหามีความน่าเชื่อถือเพียงใด รวมถึงสามารถอธิบายและขยายความในประโยคที่อ่านได้
7 องค์ประกอบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 1.จุดหมาย จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณคือ คำตอบ หรือ ความรู้ใหม่ที่ได้จากการคิด รวมถึงแนวทางแก้ไขหรือประโยชน์ที่ตามมา 2.ประเด็นคำถาม ประเด็นคำถามคือ โจทย์ปัญหาที่ต้องการคำตอบ อันเกิดจากความสงสัย และการ อยากรู้ทั้งนี้การตั้งโจทย์ปัญหาจะต้องสั้น ได้ใจความ ไม่ยาวเกินไปและให้สัมพันธ์กับเนื้อหาหรือสถานการณ์ที่สงสัย 3.สารสนเทศ (ข้อมูล) สารสนเทศคือ แหล่งของข้อมูล หรือหลักฐานที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ อาจ เป็นหนังสือ ตำราหรือ ข้อความบนเว็บไซต์ เป็นต้น ซึ่งควรเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง และเชื่อถือได้ 4.ข้อมูลเชิงประจักษ์ข้อมูลเชิงประจักษ์ คือ ข้อมูลที่ได้กลั่นกรองและแยกแยะจากข้อมูลต่างๆที่หามาได้ จนได้ข้อมูลที่สำคัญและตรงประเด็นกับเรื่องหรือสิ่งที่เราต้องการหาคำตอบ ข้อมูลที่เป็นจริง ข้อเท็จจริง 5.แนวคิดอย่างมีเหตุผล แนวคิดอย่างมีเหตุผลคือ การเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างข้อมูลที่หามาได้ และ องค์ความรู้เดิมกับข้อมูลหรือสถานการณ์ที่ต้องการคำตอบเพื่อให้เข้าใจต่อข้อมูล และสถานการณ์นั้นอย่างแจ่มชัด หรือ ที่เรียกว่าคำตอบของโจทย์ ต้องอาศัยหลักการหรือทฤษฎีเข้าช่วยในการพิจารณาภายใต้พื้นฐานของเหตุและ ผลที่ถูกต้อง 6.ข้อสรุป และประโยชน์ข้อสรุปคือ คำตอบของโจทย์ปัญหาที่ชัดเจน และสำคัญที่สุดเป็นคำตอบที่ได้ จากการกลั่นกรองด้วยการวิเคราะห์ตามหลักเหตุ และผลแล้วสรุปลงมาให้สั้น กะทัดรัด และเข้าใจง่าย นอกจากนั้น ควรพิจารณาคำตอบนั้นว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร จึงจะถือเป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ดี ทักษะสำหรับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 1.การตั้งประเด็นปัญหา การตั้งประเด็นปัญหาเป็นพื้นฐานขั้นแรกที่นำไปสู่ข้อสรุป คือ ต้องรู้จักสงสัย และตั้งโจทย์ขึ้นมาก่อน 2.การรวบรวมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลคือ การเสาะแสวงหาข้อมูลทั้งที่เป็นหนังสือ เอกสารตีพิมพ์ การ สัมภาษณ์ เป็นต้นเพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณา 3.การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาใช้ประกอบพิจารณาในหลักการ และความเป็นไปได้ด้วยการเปรียบเทียบข้อมูลกับเนื้อหาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 4.การสังเคราะห์การสังเคราะห์เป็นการแยกแยะผลของการวิเคราะห์ ว่าอะไรคือเหตุ และอะไรคือผล ส่วนใดน่าเชื่อถือส่วนใดควรตัดออก 5.การประเมินข้อมูล การประเมินข้อมูลเป็นการตัดสินใจ และเลือกประเด็นที่ได้จากการสังเคราะห์ เพื่อให้เกิดความกระชับและชัดเจน ขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 1.การตั้งสมมติฐานหรือการตั้งคำถาม เป็นการตั้งคำถามต่อข้อสงสัยของตนซึ่งอาจเป็นประโยคบอกเล่า เช่น ปลาออกลูกเป็นตัว หรือ การตั้งเป็นประโยคคำถาม เช่นปลาออกหรือเป็นตัวหรือไม่ คอมพิวเตอร์ทำงาน อย่างไร เป็นต้น การตั้งประเด็นคำถามนี้เกิดได้ทั้งจากสถานการณ์ที่ที่เกิดขึ้น หรือ จากข้อมูลที่ได้อ่าน ได้ฟังซึ่งเป็น จุดเริ่มของกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
8 2.การรวบรวม และสืบหาข้อมูล การรวบรวมข้อมูลเป็นการแสวงหาข้อมูลหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อ นำมาใช้ประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ผู้รวบรวมจะต้องคัดเลือกข้อมูลให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนค้นหาเป็นหลักข้อมูล เหล่านี้ ได้แก่ หนังสือตำราเรียน หนังสืองานวิจัย การสัมภาษณ์บุคคล ข่าวสารจากโทรทัศน์ หรือวิทยุ สื่อออนไลน์ เช่น เนื้อหาในเว็บไซต์ วีดีโอบนเว็บไซต์ เป็นต้น 3.การจัดระเบียบหมวดหมู่ของข้อมูล หลังจากที่ได้ข้อมูลหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันแล้วข้อมูลเหล่านี้อาจ มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องน้อย เกี่ยวข้องมาก เนื้อหามีความชัดเจนหรือ ไม่ชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องคัดเลือกข้อมูลที่สำคัญไว้ และจัดกลุ่มข้อมูลเป็นหมวดๆ เพื่อให้สามารถนำไปประกอบการพิจารณาได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง และรวดเร็ว โดยในขั้นนี้ จำเป็นต้องใช้ความรู้เดิมช่วยในการพิจารณาซึ่งเป็นทั้งการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ร่วมกัน 4.การวิเคราะห์ การเปรียบเทียบ และการทดสอบ หลังจากที่ได้ข้อมูลเป็นหมวดหมู่หรือได้ข้อมูลที่สำคัญ แล้วจะเป็นการพิจารณา และวิเคราะห์สิ่งที่เราต้องการคำตอบด้วยการนำข้อมูลมาเปรียบเทียบมาเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ เพื่อให้รู้ข้อเท็จจริง ให้รู้ถึงเหตุและผลของสิ่งที่เราค้นหา นอกจากนั้นแล้ว เพื่อความแน่ใจ และ ชัดเจนอาจต้องทำการทดสอบหรือลองปฏิบัติดู 5.การสังเคราะห์ข้อมูล เมื่อทำการเปรียบเทียบข้อมูลในแต่ละส่วนที่สัมพันธ์กันแล้วก็จะได้สิ่งที่เรียกว่า ประเด็นสัมพันธ์ หรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกันอันถูกต้องและชัดเจน ซึ่งอาจเกิดได้ในหลายๆประเด็นที่เป็นไปได้ ดังนั้นจึงต้องทำการสังเคราะห์เพิ่มเติมว่า ประเด็นใดมีความน่าเชื่อถือที่สุดประเด็นใดมีความน่าเชื่อถือน้อย พร้อม เรียงลำดับให้ชัดเจนและคัดเลือกประเด็นที่สำคัญที่สุด 6.การสรุปผล หลังจากที่ได้ประเด็นที่น่าเชื่อถือหรือสำคัญที่สุดแล้วจึงนำประเด็นนั้น มาเป็นคำตอบของ โจทย์ที่เราตั้งไว้พร้อมกับอธิบายความสัมพันธ์อย่างมีเหตุ และผล ลักษณะผู้มีความคิดอย่างมีวิจารณญาณ 1.มักเป็นคนขี้สงสัย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ 2.ชอบการสังเกต และจดบันทึก 3.มักมีการแสวงหาหลักฐานหรือข้อมูลอ้างอิง 4.ชอบการอ่านหรือการฟัง 5.มักเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่มีการโต้แย้งจนกว่าจะแน่ใจว่าผิด 6.มักเป็นคนไม่ด่วนตัดสิน ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก จนกว่าจะมีหลักฐานที่ชัดเจน 7.มักเป็นคนใจเย็น มีความสุขุม 8.มักคาดเดาหรือทำนายเหตุในอนาคตได้ดี ข้อดีของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ –สามารถฟัง และอ่านเข้าใจในเนื้อหาได้ง่าย –สามารถพูด หรือสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ดี –สามารถเขียนได้เร็ว เนื้อหาครอบคลุม และถูกต้อง –สามารถตั้งปัญหาที่ตรงประเด็น สั้น และกะทัดรัดได้ดี
9 –สามารถมองเห็นภาพรวมของเนื้อหาหรือสถานการณ์ได้ –สามารถหาข้อมูลหรือหลักฐานมาประกอบการตัดสินใจได้ดี –มีการตัดสินใจที่ถูกต้อง สมเหตุสมผล – เป็นผู้ที่รู้ทันโลก รู้ทันสถานการณ์ในการดำเนินชีวิต –ช่วยให้มีมุมมองที่หลากหลาย –ช่วยให้เป็นผู้ไม่หลงงมงาย ไม่เชื่ออะไรง่าย –เป็นผู้มีน้ำใจ และเปิดใจกว้าง –ยอมรับในความคิดเห็นของผู้อื่น เพ็ญพิศุทธิ์ เนคมานุรักษ์ ( 2558 ) ได้แบ่งองค์ประกอบของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็น 6 ด้าน คือ 1. การระบุประเด็นปัญหา เป็นการระบุหรือทำความเข้าใจกับประเด็นปัญหา ข้อ คำถาม ข้ออ้าง หรือ ข้อโต้แย้ง ประกอบด้วย ความสามารถในการพิจารณาข้อมูลหรือสถานการณ์ ที่ปรากฏ รวมทั้งความหมายของ คำหรือความชัดเจนของข้อความ เพื่อกำหนดประเด็นข้อสงสัย และประเด็นหลักที่ควรพิจารณา และการแสวงหา คำตอบ 2. การรวบรวมข้อมูล เป็นความสามารถในการรวบรวมข้อมูลทั้งทางตรงและ ทางอ้อมจากแหล่งข้อมูล ต่าง ๆ รวมถึงการรวมข้อมูลจากประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ ซึ่งได้จากการคิด การพูดคุย การังเกตที่เกิดขึ้นจาก ตนเองและผู้อื่น 3. การพิจารณาความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล เป็นการวัดความสามารถในการ พิจารณา ประเมิน ตรวจสอบ ตัดสินข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยพิจารณาถึงที่มาของ ข้อมูลสถิติ และหลักฐานที่ ปรากฏ รวมทั้งความเพียงพอของข้อมูลในแง่มุมต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การ ลงข้อสรุปอย่างมีเหตุผล หากยังไม่ เกี่ยวข้องที่จะใช้พิจารณาลงข้อสรุป ก็จะต้องรวบรวมข้อมูล เพิ่มเติม 4. การระบุลักษณะของข้อมูล เป็นการวัดความสามารถในการจำแนกประเภทของ ข้อมูล ระบุแนวคิดที่ อยู่เบื้องต้นหลังข้อมูลที่ปรากฏ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถในการ พิจารณาแยกแยะ เปรียบเทียบความ แตกต่างของข้อมูล การตีความข้อมูล ประเมินว่าข้อมูลใดเป็น ข้อเท็จจริง ข้อมูลใดเป็นข้อคิดเห็น รวมถึงการ ระบุข้อสันนิษฐานหรือข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ เบื้องหลังข้อมูลที่ปรากฏ เป็นการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ที่อาศัยข้อมูลจาก ประสบการณ์เดิมมาร่วมพิจารณา เพื่อทำการสังเคราะห์ จัดกลุ่มและจัดลำดับความสำเร็จของ ข้อมูล เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการพิจารณาตั้งสมมติฐานต่อไป 5. การตั้งสมมติฐาน เป็นการวัดความสามารถเหนือกำหนดขอบเขต แนวทางการ พิจารณาหาข้อสรุป ของคำถาม ประเด็นปัญหา และข้อโต้แย้ง ประกอบด้วยความสามารถในการ คิดถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อระบุทางเลือกที่เป็นไปได้ โดยเน้นที่ ความสามารถพิจารณาเชื่อมโยงเหตุการณ์และ สถานการณ์ 6. การลงข้อมูล เป็นวัดความสามารถในการลงข้อสรุปโดยการใช้เหตุผลซึ่งถือว่า เป็นส่วนสำคัญของการ คิดอย่างมีวิจารณญาณ ในการลงข้อสรุปอย่างสมเหตุสมผลนั้นอาจใช้ เหตุผลเชิงอุปนัยหรือเหตุผลเชิงนิรนัย - การ ให้เหตุผลเชิงอุปนัย เป็นการสรุปความโดยพิจารณาข้อมูล หรือกรณี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะเรื่อง เพื่อไปสู่
10 กฎเกณฑ์ ในที่นี้เป็นการวัดความสามารถในการสรุปความ เหตุการณ์ หรือข้อมูลที่กำหนดเป็นคำถาม โดยใช้ ข้อมูลหรือข้อความที่บอกมาเป็นเหตุผลหรือ กฎเกณฑ์เพื่อการหาข้อสรุป 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับประสบการณ์ จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้ มีคุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณ หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงขนาดของ ความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2546) ให้ความหมายว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัด ความสำเร็จทางการเรียน หรือวัดประสบการณ์ทางการเรียนที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน โดยวัดตาม จุดมุ่งหมายของการสอนหรือวัดผลสำเร็จจากการศึกษาอบรมในโปรแกรมต่าง ๆ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการ เรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมาก น้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และ สิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการฝึกฝนด้วย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะทำให้ นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้าน จิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย
11 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความจำเป็นต่อการเรียนการสอน หรือการตัดสินผลการเรียน เพราะเป็น การวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ได้รับการฝึกฝน โดยอาศัยเครื่องมือประเภท แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมมากที่สุด การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom (1982) ถือว่าสิ่งใดก็ตาม ที่มีปริมาณอยู่จริงสิ่งนั้น สามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว ซึ่งผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะ ทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน และระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ดังนี้ 1) ความจำ คือ สามารถจำเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น คำจำกัดความสูตรต่าง ๆ วิธีการ เช่น นักเรียนสามารถ บอกชื่อสารอาหาร 5 ชนิดได้ นักเรียนสามารถบอกชื่อธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนได้ครบถ้วน 2) ความเข้าใจ คือ สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสำคัญได้ 3) การนำไปใช้ คือ สามารถนำความรู้ ซึ่งเป็นหลักการ ทฤษฎี ฯลฯ ไปใช้ในสภาพการณ์ที่ต่างออกไปได้ 4) การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเช่น วิเคราะห์ องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ หลักการดำเนินการ 5) การสังเคราะห์ คือ สามารถนำองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่อย่างมี ความหมาย 6) การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่าของ หลักการโดยใช้มาตรการที่ผู้อื่น กำหนดไว้หรือตัวเองกำหนดขึ้น
12 เยาวดี วิบูลย์ศรี (2557) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรคำนึงถึงในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ไว้ ดังนี้ 1) เนื้อหา หรือทักษะภายในขอบเขตที่ครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้อง สามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรม ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะที่จะสื่อสารไปยังบุคคลอื่นได้ ถ้า เป้าหมายทางการศึกษาไม่สามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรมแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะวัดได้ในลักษณะ ของผลสัมฤทธิ์ได้อย่างชัดเจน 2) ผลิตผลที่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วัดนั้น จะต้องเป็นผลิตผลเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการเรียนการ สอนตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการเท่านั้น จะวัดผลผลิตผลอย่างอื่นไม่ได้ 3) ผลสัมฤทธิ์หรือความรู้ต่าง ๆ ที่แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์วัดได้นั้น ถ้าจะนำไปเปรียบเทียบกัน แล้ว ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องมีโอกาสได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ เท่าเทียมกัน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมบูรณ์ ตันยะ (2545) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้ สำหรับวัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถใน เรื่องที่เรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝน อบรมมาแล้วมากน้อยเพียงใด ส่วน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่า บรรลุผลสำเร็จตาม จุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัด ความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนด ไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุดคำถามที่มุ่งวัด พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้ว มากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบหรือชุด ของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด ดังนั้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ และทักษะ ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีตหรือในสภาพปัจจุบันของแต่ละบุคคล
13 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) และแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกัน คือถามสิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนซึ่งจัดกลุ่ม พฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการ ประเมิน 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองเพื่อใช้ในการทดสอบผู้เรียนในชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบถูก – ผิด (True-false) แบบจับคู่ (Matching) แบบเติมคำให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบคำตอบสั้น (Short answer) และแบบ เลือกตอบ (Multiple choice) 1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ (Restricted response items) และ แบบไม่จำกัดความตอบ หรือ ตอบอย่างเสรี (Extended response items) 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ใน เนื้อหา และมีทักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มีคำชี้แจงเกี่ยวกับการ ดำเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มีความเที่ยงตรง (Validity) และ ความเชื่อมั่น (Reliability) แบบทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ California Achievement Test, Iowa Test of Basic Skills, Standford Achievement Test และ the Metropolitan Achievement tests เป็นต้น ส่วนพวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2543) ได้จัดประเภทแบบทดสอบไว้ 3 ประเภท ดังนี้ 3. แบบปากเปล่า เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคล ใช้ได้ผลดีถ้ามีผู้เข้าสอบจำนวนน้อย เพราะต้องใช้เวลามาก ถามได้ละเอียด เพราะสามารถโต้ตอบกันได้ 4. แบบเขียนตอบ เป็นการทดสอบที่เปลี่ยนแปลงมาจากการสอบแบบปากเปล่า เนื่องจากจำนวนผู้เข้า สอบมากและมีจำนวนจำกัด แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ 1. แบบความเรียง หรืออัตนัย เป็นการสอบที่ให้ผู้ตอบได้รวบรวมเรียบเรียงคำพูดของตนเองใน การแสดงทัศนคติ ความรู้สึก และความคิดได้อย่างอิสระภายใต้หัวเรื่องที่กำหนดให้ เป็นข้อสอบที่สามารถ วัดพฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้อย่างดี แต่มีข้อเสียที่การให้คะแนน ซึ่งอาจไม่เที่ยงตรง ทำให้มีความ เป็นปรนัยได้ยาก
14 2. แบบจำกัดคำตอบ เป็นข้อสอบ ที่มีคำตอบถูกใต้เงื่อนไขที่กำหนดให้อย่างจำกัด ข้อสอบแบบนี้ แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบถูกผิด แบบเติมคำ แบบจับคู่ และแบบเลือกตอบ 5. แบบปฏิบัติ เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการกระทำหรือลงมือปฏิบัติจริงๆ เช่น การทดสอบทางดนตรี ช่างกล พลศึกษา เป็นต้น สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่งสร้าง จากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านวัดผลการศึกษา มีการหาคุณภาพเป็นอย่างดี ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบในชั้นเรียน ในการออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คำศัพท์เพื่อการสื่อสาร ผู้วิจัยได้เลือกแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบปฏิบัติ ในการวัดความสามารถในการนำ คำศัพท์ไปใช้ในการสื่อสารด้านการการพูดและการเขียน และเลือกแบบทดสอบแบบเขียนตอบที่จำกัดคำตอบโดย การเลือกตอบจากตัวเลือกที่กำหนดให้ ในการวัดความรู้ความเข้าใจความหมายของคำศัพท์ และการนำคำศัพท์ไป ใช้ในการฟังและการอ่าน การวางแผนการสร้างและการเลือกชนิดของแบบทดสอบให้เหมาะสมกับเนื้อหา ในการสร้างแบบทดสอบให้ครอบคลุมเนื้อหาและสามารถวัดพฤติกรรมได้เหมาะสมกับเนื้อหา ควรมีการ สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร (Developing the table of specifications) เพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง เหมือนกับการเขียนแบบสร้างบ้าน ที่เรียกกันว่า Test blueprint ตารางวิเคราะห์หลักสูตรประกอบด้วยหัวข้อ เนื้อหา และวัตถุประสงค์การเรียนรู้กับพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเริ่มที่การสร้างตาราง 2 มิติ คือแนวตั้งเป็นพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ประกอบด้วย ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ส่วนแนวนอน เป็นหัวข้อเนื้อหาหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาและ/หรือวัตถุประสงค์ของวิชานั้น จากนั้นจึง กำหนดน้ำหนักของเนื้อหา พิจารณาจากความสำคัญของเนื้อหานั้นๆ โดยอาจกำหนดน้ำหนักเป็นร้อยละ พร้อมกับ กำหนดพฤติกรรมที่ต้องการจะวัดและกำหนดความสำคัญ โดยพิจารณาจากจุดประสงค์การเรียนรู้ควบคู่ไปกับ เนื้อหา สุดท้ายจึงกำหนดแบบทดสอบที่จะใช้วัด เช่น แบบถูกผิด แบบจับคู่ แบบเติมคำ แบบเลือกตอบ หรือแบบ อัตนัย เป็นต้น 3. พฤติกรรมที่คาดหวังทางด้านสติปัญญา การกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้ครอบคลุมจุดมุ่งหมายแต่ละด้าน มีข้อยุ่งยากอยู่ที่การกำหนด พฤติกรรมที่คาดหวัง จำเป็นที่ผู้กำหนดจะต้องเข้าใจก่อนว่า ในแต่ละด้านนั้นมีจุดมุ่งหมายย่อย ๆ อะไรบ้าง และมี พฤติกรรมอะไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อมิให้พฤติกรรมที่คาดหวังเป็นเพียงพฤติกรรมง่าย ๆ ในระดับต่ำ เพราะจะเป็นผลให้ การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมพฤติกรรมชั้นสูงที่มีคุณค่ามากกว่า ในเอกสารนี้จะกล่าวถึงพฤติกรรมที่คาดหวังสำหรับ ด้านสติปัญญาเท่านั้น (นวลน้อยเจริญผล. 2538 : 44-48)
15 เมเกอร์ (Mager, 1975, p. 21) ได้เสนอว่าองค์ประกอบของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) พฤติกรรมหรือทักษะที่ผู้เรียนแสดงออก จุดประสงค์จะต้องอธิบายสิ่งที่ผู้เรียนสามารถทำได้ ไม่ใช่ กิจกรรมการเรียนการสอนที่ครูให้ทำความของจุดประสงค์ประกอบด้วย การกระทำและเนื้อหา ยกตัวอย่างเช่น วาดภาพเหมือนของตัวเอง วิเคราะห์โจทย์เลข 2) เงื่อนไขการแสดงพฤติกรรมหรือการทำงานของผู้เรียน จุดประสงค์จะต้องระบุสภาพของ การทำงานซึ่ง เป็นสิ่งเร้าภายนอก หรืออุปกรณ์/เครื่องมือที่ให้ผู้เรียนใช้ในขณะปฏิบัติงาน ยกตัวอย่างเช่น อนุญาตให้ผู้เรียนใช้ เครื่องคิดเลขในการคำนวณเลข หลังการอ่านหนังสือจบ นักเรียนสามารถสรุป สาระสำคัญได้ 3) เกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรมเพื่อใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของผู้เรียน เกณฑ์มักระบุ ในรูปของ ความถูกต้อง เวลาที่ใช้ หรือระดับคุณภาพในการแสดงพฤติกรรมของผู้เรียนซึ่งเป็นที่ยอมรับ เกณฑ์อาจระบุในเชิง ปริมาณที่สามารถแจงนับได้ หรือเกณฑ์ในเชิงคุณภาพซึ่งบอกลักษณะของพฤติกรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของ ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นหากต้องการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่แสดงถึงความสามารถ ในระดับใดก็ควรเลือกใช้ คำกริยาที่ชี้บ่งให้เห็นขั้นพฤติกรรมในระดับนั้น หรือกำหนดเกณฑ์ที่ชี้ให้เห็นสภาพ ที่ต้องการพัฒนา ยกตัวอย่าง เช่น แก้ปัญหาได้ถูกต้อง 2 ใน 3 ข้อ โยนลูกบอลได้ 10 ครั้ง ภายใน 1 นาที หลักการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม การเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละองค์ประกอบ ควรมีหลักการดังนี้ 1) ข้อความที่ใช้บรรยายพฤติกรรมต้องชัดเจน เฉพาะเจาะจง ไม่สับสน เป็นพฤติกรรมที่ สามารถ สังเกตเห็นได้ เช่น คำที่แสดงพฤติกรรมด้านความรู้ ใช้คำว่า ระบุ บอก อธิบาย ให้นิยาม สาธิต เป็นต้น แทนคำที่มี ลักษณะกำกวม ไม่สามารถสังเกตพฤติกรรมได้ เช่น คำว่า “รู้” “เข้าใจ” ส่วนคำที่ แสดงพฤติกรรมที่บอกเจตคติ นิยมใช้คำที่ให้ผู้เรียนเลือก ตัดสินใจแสดงพฤติกรรมที่มาจากความรู้สึกแทน คำว่า “ซาบซึ้ง” ซึ่งไม่เห็นพฤติกรรม จึงเป็นคำที่ไม่ควรใช้ สำหรับพฤติกรรมเกี่ยวกับทักษะทางกาย มี ลักษณะที่ชัดเจนในตัวเองเพราะผู้เรียนต้องแสดง พฤติกรรมให้ปรากฏจึงไม่เป็นปัญหา ตัวอย่างเช่น นักเรียนแต่งประโยคที่มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ประธาน กิริยา และกรรมได้ถูกต้อง นักเรียนเลี้ยงลูกวอลเลย์บอลได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 50 ลูก นักเรียนส่งงานทุกชิ้นที่ครูมอบหมายในเวลาที่กำหนด 2) การบอกเงื่อนไขของการแสดงพฤติกรรม พิจารณาจากสิ่งเร้าหรือตัวช่วยที่ผู้เรียนนำไป เชื่อมโยงกับ ความรู้/ความคิดรวบยอดที่เก็บไว้ในโครงสร้างทางปัญญา ทำให้ผู้เรียนสามารถระลึกได้และ นำกลับมาใช้ในการ ปฏิบัติงาน เงื่อนไขการเรียนรู้ พฤติกรรมที่แสดงออก
16 ตัวอย่าง เช่น นักเรียนบวกเลขสองหลักโดยคิดในใจได้ถูกต้อง จำนวน 8 ข้อ ใน 10 ข้อ นักเรียนยืนตรงแสดงความเคารพทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเพลงชาติไทย 3) การกำหนดเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรม สามารถเขียนเกณฑ์ได้หลายลักษณะขึ้นกับเกณฑ์ ที่ใช้และ ประเภทของพฤติกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ (1) เกณฑ์ความถูกต้องความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง กฎหรือทฤษฎีที่เป็นเนื้อหาซึ่งมีคำตอบที่ ถูกต้อง แน่นอนอยู่แล้ว เกณฑ์ก็คือความถูกต้องตรงตามเนื้อหา (2) เกณฑ์ความรอบรู้ หมายถึง เกณฑ์ที่แสดงว่ารู้จริง ทำได้จริง ใช้เกณฑ์การแสดง พฤติกรรมที่ ทำได้ถูกต้องเท่ากับหรือตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป (3) เกณฑ์ด้านทักษะ จะพิจารณาจากรายการของพฤติกรรมที่คาดหวังให้แสดงได้ซึ่งใช้ ระยะเวลาหรือความถี่ในการแสดงพฤติกรรมหรือลักษณะของการตอบสนองซึ่งเป็นที่ยอมรับจาก ผลการวิจัย (4) เกณฑ์ด้านเจตคติ พิจารณาจากจำนวนครั้งของการแสดงพฤติกรรมที่น่าพอใจ ในสถานการณ์ ที่จัดขึ้นโดยใช้แบบตรวจสอบรายการพฤติกรรมจากการสังเกตขณะทำงาน ตัวอย่างจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมที่กำหนดเกณฑ์ในการแสดงพฤติกรรม เช่น นักเรียนเลี้ยงลูกวอลเลย์บอลได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 50 ลูก นักเรียนจัดพานไหว้ครูด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่กำหนดได้สำเร็จในเวลา 3 ชั่วโมง ประเภทของจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้แบ่งตามลักษณะการแสดงออกทางพฤติกรรมที่เสนอโดยบลูม (Bloom) แครทโรล (Krathrohl) และแฮร์โรว์ (Harrow) ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย (cognitive domain) ด้านทักษะพิสัย (psychomotor domain) และด้านจิตพิสัย (affective domain) (Kellough & Roberts, 1991, pp. 210-218) 1. ด้านพุทธิพิสัย จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย หมายถึง จุดประสงค์ที่แสดง ความสามารถของ สติปัญญาในการประมวลข้อมูล พฤติกรรมที่ชี้บ่งความสามารถในด้านนี้สามารถแบ่งได้ 6 ระดับ จากระดับพื้นฐาน ไปสู่ระดับที่ซับซ้อน ดังนี้ 1) ความรู้ ความจำ (knowledge) หมายถึง การรับรู้ข้อมูล ความรู้ความสามารถในการ ระลึกได้ จำได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความสามารถระดับสูงขึ้นไป คำกริยาที่ใช้บ่งบอกพฤติกรรม ในระดับนี้ ได้แก่ เลือก ระบุ อธิบาย เติมคำให้สมบูรณ์ ชี้บ่ง จัดทำรายการ จับคู่ เรียกชื่อ ระลึก จำ บอก และกำหนด เป็นต้น
17 2) ความเข้าใจ (comprehension) หมายถึง ความสามารถในการแปลความ อธิบาย ความรู้ ตีความ คาดคะเน คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ เปลี่ยน อธิบาย ประมาณการ ขยายความ สรุป อ้างอิง แปล ความหมาย คาดคะเน ตีความ ขยายความ อุปมาอุปมัย ลงสรุป และยกตัวอย่าง เป็นต้น 3) การนำไปใช้ (application) หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูลไปใช้ คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ การประยุกต์ การคำนวณ การสาธิต การพัฒนา การค้นพบ การดัดแปลง การดำเนินการ การมีส่วนร่วม การแสดง วางแผน ทำนาย เชื่อมโยง แสดงและทำให้ดู เป็นต้น 4) การวิเคราะห์ (analysis) หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาแยกแยะองค์ประกอบย่อย ด้วยเกณฑ์หรือคุณสมบัติที่กำหนด คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ วิเคราะห์ แยกแยะ จัดพวก จัดชั้น จัดประเภท จัด กลุ่ม เปรียบเทียบ หาความแตกต่าง วิจารณ์ แสดงแผนภูมิ จำแนก สรุปอ้างอิง และกำหนดองค์ประกอบ เป็นต้น 5) การสังเคราะห์ (synthesis) หมายถึง ความสามารถในการรวบรวมองค์ประกอบย่อย เพื่อการ สร้างสิ่งใหม่ที่มีคุณลักษณะแตกต่างจากเดิม ได้แก่ การออกแบบ วางแผน และนำเสนอโครงการ คำกริยา ที่แสดงทักษะการสังเคราะห์ ได้แก่ จัดเตรียม จัดประเภท แบ่งพวก ผสมผสาน รวบรวม กำหนด สร้าง ออกแบบ พัฒนา ผลิต ดัดแปลง จัดระบบ วางแผน ปฏิรูป วางระบบ ปรับปรุง ทบทวน สรุปรวบยอด สังเคราะห์ ประพันธ์ แต่ง นำเสนอ และจัดการแสดง เป็นต้น 6) การประเมินคุณค่า (evaluation) เป็นระดับขั้นสูงสุดของความสามารถทางสติปัญญา หมายถึง การแสดงความคิดเห็นและการตัดสินคุณค่า คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ โต้แย้ง ประเมิน เปรียบเทียบ สรุปความ วิจารณ์ ตัดสิน อธิบาย ตีความ จัดลำดับที่ จัดชั้น และเทียบกับมาตรฐาน เป็นต้น 2. ด้านจิตพิสัย จุดประสงค์การเรียนรู้ด้านจิตพิสัย หมายถึง จุดประสงค์ที่แสดงพฤติกรรม ที่เกี่ยวกับ ความรู้สึก เจตคติและค่านิยม ซึ่งการเรียนรู้ด้านเจตคติและค่านิยม มีลำดับขั้นของการเกิด พฤติกรรมดังนี้ 1) การรับรู้ (receiving) เป็นลำดับของการตระหนัก รับรู้ต่อสิ่งเร้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของ ความรู้สึกพึงพอใจ นักเรียนจะแสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจ ความสนใจ ต่อสิ่งเร้าหรือประสบการณ์ ที่ ได้รับคำกริยาที่ใช้ ได้แก่ ถาม เลือก อธิบาย ตอบ บอกชื่อ สาธิต ระบุ บอกความแตกต่าง และบอกจุดเด่น เป็นต้น 2) การตอบสนอง (responding) เป็นขั้นของการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งอาจเนื่องมาจาก การ ถูกควบคุมซึ่งเป็นปัจจัยจากภายนอก หรือโดยความสนใจของนักเรียนเองซึ่งเป็นปัจจัยภายใน เพราะเห็น ว่าสิ่งเร้านั้นน่าสนใจ หรือเกิดความพึงพอใจต่อสิ่งเร้านั้น คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ พิสูจน์ รวบรวม ทำตามคำสั่ง แสดง ฝึกปฏิบัติ นำเสนอ และเลือก เป็นต้น
18 3) การเห็นคุณค่า (valuing) เป็นขั้นที่นักเรียนแสดงพฤติกรรมด้วยความเชื่อ ความประทับใจ ความซาบซึ้ง และศรัทธาที่มีต่อสิ่งนั้นด้วยตัวของนักเรียนเอง คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ อธิบาย ทำตาม ริเริ่ม เข้าร่วม นำเสนอ และทำให้สมบูรณ์ เป็นต้น 4) การจัดระเบียบ (organizing) เป็นขั้นที่นักเรียนสร้างระบบค่านิยมส่วนตนขึ้นมา โดยการ ยอมรับและจัดระเบียบคุณค่าต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงเข้ากับค่านิยมเดิมที่มีมาก่อนของตนเอง เป็นค่านิยม ใน ชีวิต คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ จัดระเบียบ รวบรวม สรุป บูรณาการ ดัดแปลง จัดลำดับ สังเคราะห์ สร้าง และ จัดระบบ เป็นต้น 5) การสร้างระบบค่านิยมของตนเอง (internalization of values) เป็นจุดประสงค์ ระดับสูงสุด พฤติกรรมในระดับนี้มีความคงเส้นคงวา แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงต่อความเชื่อของตนเอง คำกริยาที่ใช้ ได้แก่ ปฏิบัติ แสดงออก แก้ปัญหา ประกาศตัว แสดงตน อุทิศตน ทุ่มเท ยอมรับ และเกิดสำนึก เป็นต้น 3. ด้านทักษะพิสัย ทักษะเป็นความสามารถทางกาย ที่อาศัยการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ในการทำงาน เช่น ทักษะที่อาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อมัดใหญ่เป็นหลัก ได้แก่ การเล่นกีฬาต่าง ๆ การเต้นรำ เป็นต้น ทักษะที่ อาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นหลัก ได้แก่ การใช้มือและสายตา ประกอบกัน ได้แก่ งานช่างฝีมือต่าง ๆ การประกอบอาหาร การทำงานประดิษฐ์ การเล่นเครื่องดนตรี เป็นต้น การจัดประเภทของจุดประสงค์ด้านทักษะ พิสัยนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่ได้มี การนำเสนอทักษะที่เป็นความสามารถทางกายที่มีการพัฒนามา เป็นลำดับขั้นตั้งแต่เกิดดังนี้ 1) การเคลื่อนไหวสะท้อน (reflex movement) เป็นพฤติกรรมที่แสดงการตอบสนอง โดยไม่ตั้งใจ เป็นไป เองเมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น 2) การเคลื่อนไหวพื้นฐาน (fundamental movement) เป็นพฤติกรรมการเคลื่อนไหว พื้นฐานที่ พัฒนาขึ้นในขวบปีแรกของชีวิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามพัฒนาการตามวัยโดยไม่ต้องสอน 3) ความสามารถรับรู้ (perception abilities) เป็นพฤติกรรมที่พัฒนาจากการรับรู้ ดังนั้นในวัยเด็กเล็ก ควรส่งเสริมให้เด็กสำรวจ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ใช้ประสาทสัมผัสเพื่อพัฒนา ความสามารถในการรับรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ 4) ความสามารถทางกาย (physical abilities) เป็นพฤติกรรมที่แสดงความสามารถ ของการเคลื่อนไหว ร่างกาย ประกอบด้วย ความทนทาน ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และความคล่องแคล่ว 5) การเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว (skilled movement) เป็นพฤติกรรมที่แสดงถึง ทักษะในการ เคลื่อนไหว ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ คือได้ทั้งผลงานและการประหยัดพลังงานในการทำงาน
19 6) การสื่อสารโดยไม่อาศัยการพูดหรือการเขียน (nondiscursive communication) เป็นพฤติกรรมทาง กายที่แสดงออกหรือสื่อถึงความรู้สึกนึกคิดด้วยท่าทางหรือภาษาใบ้ การพัฒนาทักษะต้องอาศัยการพัฒนาเป็น ลำดับขั้น จากระดับที่ทำได้พื้นฐานไปสู่การปฏิบัติ อย่างเชี่ยวชาญชำนาญการ ซึ่งเริ่มต้นจากการทำได้โดยอาศัย การทำตามแบบ หรือตามกรอบที่กำหนดไว้ และพัฒนามาเป็นการทำได้ด้วยตนเอง มาสู่ขั้นที่ทำได้อย่าง คล่องแคล่ว การทำได้อย่างชำนาญการและสุดท้ายทำได้อย่างสร้างสรรค์ คือสามารถคิดประดิษฐ์สร้างงานหรือ ออกแบบการทำได้ถึงขั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นของตนเอง สามารถสื่อถึงหลักการและแนวคิดที่แฝงอยู่ในการ แสดงพฤติกรรมนั้นได้ ขั้นตอนการเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม การเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมีลำดับขั้นตอนในการดำเนินงาน ดังนี้ 1) กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้หรือผลการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล เช่น การวิเคราะห์จากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวบ่งชี้การเรียนรู้ของสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ในหลักสูตร 2) เขียนจุดประสงค์ปลายทางที่แสดงพฤติกรรมที่คาดหวังให้ผู้เรียนมีความรู้และความสามารถ ในการปฏิบัติซึ่งวิเคราะห์จากผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3) เขียนจุดประสงค์นำทางซึ่งวิเคราะห์ได้จากทักษะย่อยที่ผู้เรียนพึงมี พึงปฏิบัติได้เพื่อทำให้ บรรลุจุดประสงค์ปลายทาง 4) เขียนจุดประสงค์ของทักษะที่ผู้เรียนควรมีติดตัวก่อนเรียนรู้เรื่องใหม่ 5) เขียนจุดประสงค์ของความรู้เดิมซึ่งเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้เรื่องใหม่ หน้าที่ของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมีหน้าที่หลายประการที่มีความสำคัญต่อการออกแบบการเรียนการสอน ดังนี้ 1) บอกให้รู้ว่าหลังเรียน ผู้เรียนรู้อะไรและสามารถทำอะไรได้เพื่อใช้เป็นพฤติกรรมบ่งชี้ ความสำเร็จของการเรียนการสอน 2) ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ให้รู้จุดหมายปลายทางของการเรียนการสอน 3) ใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพขององค์ประกอบเชิงระบบใน กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนได้ 4) ใช้เป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือเพื่อวัดประเมินผลผู้เรียนก่อนเรียน ทำให้ได้ข้อมูลที่ใช้ ใน การออกแบบขั้นตอนการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการจัดกลุ่มผู้เรียน เป็นต
20 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่เขียนขึ้นจะทำให้ทราบว่าผู้เรียนจะมีพฤติกรรมที่สะท้อนความรู้ ความสามารถ อะไรภายหลังการเรียนรู้ ซึ่งใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการเรียนการสอนได้อย่าง เหมาะสม 4. การสอนวิชาการ การสอนวิชาการ เป็นภาวะอันหนักแก่ผู้สอนอย่างยิ่ง เพราะนักเรียนในชั้นมีทั้งเรียนเก่งและนักเรียนที่ เรียนอ่อน ถ้าครูวิทยาการคำนวณสอนโดยวิธีเดียวกันนักเรียนที่เรียนเก่งก็สามารถ เข้าใจได้รวดเร็วและไม่มีปัญหา มากนัก แต่นักเรียนที่เรียนอ่อนอาจไม่เข้าใจมากนัก จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน จึงมีความจำเป็นที่ จะต้องหาวิธีการสอนที่จะให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าใจได้และสนองตอบต่อความแตกต่างทางสติปัญญา (ยุพิน พิพิธกุล. 2527 : 276) ดังนั้น การสอนวิชาวิทยาการคำนวณเพื่อให้ได้ผลดีและเป็นไปตามความสามารถหรือความ แตกต่างระหว่างบุคคล ยุพิน พิพิธกุล (2530 : 174) ได้เสนอวิธีการสอนวิทยาการคำนวณไว้หลายวิธีคือ 1. วิธีสอนแบบบอกให้รู้เป็นวิธีสอนที่ครูเป็นผู้บอกให้นักเรียนเป็นผู้ตีความ เมื่อครูปรารถนาที่จะให้นัก เรียนรู้เรื่องใด ครูก็จะอธิบายและมักจะสรุปเสียเอง ในขณะที่ครูอธิบายนั้น ครูจะวิเคราะห์แยกแยะให้เห็น และ ตีความให้นักเรียนเข้าใจ ครูอาจจะมีวัสดุการสอนมาแสดงให้ดูแต่ครูใช้ประกอบการอธิบายหรือการบอกของครู เพื่อให้นักเรียนติดตามในการสอนกฎหรือสูตร ครูมักจะบอกสูตรนั้นและบอกว่านำไปใช้อย่างไร โดยยกตัวอย่าง ประกอบ เสร็จแล้วครูก็ให้นักเรียนลองทำแบบฝึกหัดโดยใช้สูตรนั้น ถ้านักเรียนทำได้ก็แสดงว่านักเรียนเข้าใจ 2. วิธีสอนแบบบรรยาย เป็นการสอนแบบบอกให้รู้เช่นเดียวกัน การสอนแบบนี้ครูจะเป็นฝ่ายพูดเป็น ส่วนมาก โดยมุ่งจะป้อนเนื้อหาวิชาให้แก่นักเรียนเพียงฝ่ายเดียว นักเรียนจะเป็นผู้ฟังครูอาจจะใช้สื่อการสอน ประกอบการบรรยายก็ได้ 3. วิธีสอนแบบสาธิตเป็นการแสดงให้นักเรียนดูซึ่งผู้แสดงจะใช้วัสดุประกอบการสอนหรือจะแสดงโดยวิธี ใดก็ตาม ให้นักเรียนสามารถสรุปบทเรียนได้จากการแสดงนั้น ๆ การแสดงนั้นอาจจะแสดงโดยครูหรือโดยนักเรียน ก็ได้และในบางครั้งครูและนักเรียนอาจจะร่วมกันแสดงกิจกรรม นั้น ๆ 4. วิธีสอนแบบทดลอง เป็นการสอนที่ให้นักเรียนได้กระทำด้วยตนเอง เพื่อค้นหาข้อสรุปการทดลองนั้น อาจทดลองเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ 5. วิธีสอนแบบถาม – ตอบ เป็นกลวิธีสอนที่ใช้แทรกกับวิธีสอนอื่น ๆ ซึ่งนับว่า เป็นวิธีที่สำคัญวิธีหนึ่ง ครู บางคนคิดว่า วิธีสอนที่ดีนั้นจะต้องมีสื่อการสอนเสมอ ความจริงแล้ว ยังมีวิธีสอนที่ดีอีกคือ “วิธีสอนแบบถาม – ตอบ” ถ้าครูสามารถใช้คำถามที่ดีนักเรียนสามารถเข้าใจก็ย่อมใช้ได้
21 6. วิธีสอนแบบฮิวริสติค ได้รับมาจากภาษากรีก ซึ่งหมายความว่า “ฉันพบ” นักเรียนจะต้องเป็นผู้ค้นพบ นักเรียนจะเป็นผู้ค้นหาคำตอบด้วยตนเองแทนการบอกครูวิธีนี้ต้องการให้นักเรียนได้กระทำด้วยตนเอง เป็นวิธีการ ที่นักเรียนจะได้ให้เหตุผลด้วยตัวของเขาเอง 7. วิธีสอนแบบวิเคราะห์– สังเคราะห์วิธีสอนแบบวิเคราะห์เป็นการแยกแยะปัญหานั้นออกมาจากสิ่งที่ไม่ รู้ไปสู่สิ่งที่รู้หรือการแยกสิ่งต่าง ๆ อยู่รวมกันออกจากกัน ผู้ที่วิเคราะห์นั้น จะต้องพยายามคิดอยู่เสมอว่าต้องการ ค้นพบอะไรเป็นอันดับแรก และคิดต่อไปว่าอะไรที่จะค้นพบต่อไปวิธีสอนแบบสังเคราะห์เป็นขบวนการตรงกันข้าม กับการวิเคราะห์การสังเคราะห์ประกอบด้วย การนำข้อสรุปย่อยที่จำเป็นต่าง ๆ มารวมกัน จนกระทั่งได้ข้อสรุป รวมที่ต้องการ หรืออีกนัยหนึ่ง การวิเคราะห์จะต้องเริ่มจากสิ่งที่รู้แล้ว เพื่อจะนำมาช่วยในการหาสิ่งที่ยังไม่รู้มา ช่วยในการพิสูจน์เนื้อหาใหม่ เรียกว่า เป็นการสังเคราะห์ 8. วิธีสอนแบบนิรนัย อุปนัยอุปนัย หมายถึง การนำไปสู่ ในระหว่างกระบวนการสอน ครูจะช่วยนักเรียน ให้ตีวงแคบเข้า จนสามารถกำหนดนัยทั่วไปได้นิรนัย วิธีนิรนัยนี้สัมพันธ์กับวิธีบอกให้รู้ครูที่ใช้วิธีนี้จะบอกกฏ หลักเกณฑ์หรือนัยทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่จะนำมาใช้ประโยชน์แล้วนักเรียนก็ถูกถาม เพื่อใช้คำบอกนั้นมาแก้ปัญหา 9. วิธีสอนแบบแก้ปัญหา หมายถึง วิธีสอนที่จะให้นักเรียนได้ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาวิธีการแก้ปัญหานั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหา หรือโจทย์ปัญหาที่จะให้นักเรียนคิด วิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาการคำนวณ ย่อมมีกลวิธีแตกต่าง กันตามลักษณะปัญหานั้น ๆ 10. วิธีสอนแบบค้นพบ มีความหมายเป็น 2 ประการ คือ 10.1 เป็นกระบวนการค้นพบ ครูจะมอบปัญหาให้แก่นักเรียน แล้วให้นักเรียนเสาะแสวงหาวิธีการที่จะ แก้ปัญหานั้น โดยครูจะให้ปัญหาที่ง่ายก่อนแล้วก็ให้นักเรียนทำปัญหาที่คล้ายกัน ซึ่งเชื่อว่านักเรียนจะค้นพบได้แต่ ครูก็ไม่คาดหวังว่านักเรียนจะค้นพบอะไร 10.2 เป็นการเน้นไปที่นักเรียนจะค้นพบอะไร เช่น ค้นพบสูตรคูณ นิยาม ฯลฯนักเรียนจะเกิดมโนมติและ กำหนดนัยทั่วไปได้การค้นพบนี้จะเป็นการค้นพบโดยวิธีใดก็ได้เช่น การถามตอบ สาธิตการทดลอง การอภิปราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนโดยวิธีอุปนัยหรือนิรนัย วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ วิธีสอนแบบต่างๆ ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้หลากหลายวิธีและสามารถ เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับผู้เรียน กับแต่ละสถานการณ์ และแต่ละสิ่งแวดล้อม การสอนแบบบรรยายอย่าง เดียวไม่เพียงพอ ครูผู้สอนต้องใช้วิธีสอน เทคนิคการสอนที่หลากหลายเข้ามาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการ สอน ซึ่งวิธีการสอนต่างๆ มีตัวอย่างดังนี้ 1. วิธีสอนแบบสาธิต (Demonstration Method)
22 วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง การที่ครูหรือนักเรียนคนใดคนหนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือให้เพื่อนๆดู อาจเป็นการแสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็นกระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการทดลองที่มี อันตราย ซึ่งไม่เหมาะที่จะให้นักเรียนทำการทดลอง การสอนวิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและ สามารถทำในสิ่งนั้นได้ถูกต้อง และยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และถือว่าเป็นการได้ ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการสอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็นผู้วางแผน ดำเนินการ และลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมบ้างเล็กน้อย วิธีสอนแบบนี้จึงเหมาะสำหรับ จุดประสงค์การ สอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการ งานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้ อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติตามได้ เมื่อใดจึงจะใช้การสอนแบบสาธิต 1. เมื่อนำเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้งปัญหาและเกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหาคำตอบต่อไป 2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด 3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความจริงหลักทฤษฎี โดยนักเรียน สามารถ มองเห็นโดยตรง 4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาการคำนวณส่วนไหนทำหน้าที่อะไร 5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำการทดลองมีราคาแพง หรือเกิดอันตรายได้ง่าย 6. ควรคำนึงถึงฤดูกาล โอกาสในการใช้ 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบทเรียน 2. ช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่ายขึ้นและประหยัดเวลา 3. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เช่น การทำ กิจกรรม วิชาศิลปะ หัตถกรรม งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์ 4. เพื่อช่วยสรุปบทเรียน 5. เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน
23 6. เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความจริง หลักทฤษฎี โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อทดสอบหรือยืนยันการสังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่ ประเภทของการสาธิต แบบที่ 1 1. สาธิตให้ดูทั้งชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวังให้ทุกคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิต ในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตามการสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจากบางคนมีพื้น ความรู้หรือประสบการณ์แตกต่างกัน 2. การสาธิตให้ดูเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่ เมื่อมีผู้เรียนจำนวนหนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึง จำเป็นต้องสาธิตให้ดูใหม่เป็นกลุ่มเล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้าไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ยกันจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำงานอย่างเต็ม ความสามารถของตน 3. การสาธิตให้ดูเป็นรายบุคคล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เป็นกลุ่มแต่ผู้เรียนบางคนไม่ อาจจะเข้าใจการสาธิตทั้งชั้นหรือเป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิตให้ดูเป็น รายบุคคล แบบที่ 2 1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher- Demonstration) 2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student- Demonstration ) 3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group Demonstration ) 4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student Demonstration ) 5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration ) ขั้นตอนการสอน 1. ขั้นเตรียมการสอน - กำหนดจุดประสงค์ในการสาธิตให้ชัดเจน - จัดลำดับเนื้อหาตามขั้นตอนให้เหมาะสม
24 - เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอน สิ่งที่จะให้นักเรียนปฏิบัติ ตลอดจนคำถามที่จะใช้ให้รอบคอบ - เตรียมสื่อการเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม - กำหนดเวลาในการสาธิตให้พอเหมาะ - กำหนดวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน - เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนมองเห็นการสาธิตให้ทั่วถึง - ทดลองสาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการติดขัด 2. ขั้นตอนการสาธิต - บอกจุดประสงค์การสาธิตให้นักเรียนทราบ - บอกกิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ เช่น นักเรียนจะต้องจดบันทึก สังเกตกระบวนการ สรุป ขั้นตอน ตอบคำถาม เป็นต้น - ดำเนินการสาธิตตามลำดับขั้นตอนที่เตรียมไว้ ประกอบกับอธิบายตัวอย่างชัดเจน 3. ขั้นสรุปและประเมินผล - ผู้สอนเป็นผู้สรุปความสำคัญ ขั้นตอนของสิ่งที่สาธิตนั้นด้วยตนเอง - ให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในบทเรียนนั้นๆมากน้องเพียงใด - ผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อเรื่อง ขั้นตอนการสาธิตมากน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบคำถาม ให้เขียนรายงาน ให้แสดงสาธิตให้ดู ฯลฯ - ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นภายหลังจากการสาธิตแล้ว 2. วิธีการสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนแสดงละคร ซึ่งเป็น เรื่องราวที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามเนื้อหาและบทละครที่ได้กำหนดไว้ (ทิศนา แขมมณี, 2558) และนำ เรื่องราวที่แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงมาอภิปรายร่วมกัน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพเรื่องราวที่ชัดเจน และสามารถจดจำเรื่องราวได้นาน 2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และฝึกทักษะต่างๆ ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอน / ผู้เรียนเตรียมบทละคร ผู้สอนและผู้เรียนควรอภิปรายวัตถุประสงค์ในการเลือกใช้ ละครเป็นวิธีการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ นักเรียนควรจะมีส่วนในการเลือกเรื่องราวที่จะแสดง ในการเตรียม
25 บทละครผู้สอนอาจเตรียมให้หรือผู้เรียนเตรียมกันเอง แต่ต้องมีการศึกษาเนื้อหาหรือเรื่องราวให้เข้าใจ ได้ เนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ให้มากที่สุด 2. ผู้เรียนศึกษาบทละครและเลือกบทบาทที่จะแสดง ในการเลือกละคร ควรคำนึงถึงความ เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มี บุคลิกภาพไม่ตรงกับบทที่จะแสดงเพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมีความ เต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. ผู้เรียนซ้อมการแสดง ในการซ้อมการแสดงต้องมีการฝึกซ้อมการแสดงร่วมกัน และในบางกรณี อาจจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตัวผู้แสดงคนใหม่ เพื่อให้การแสดงสมบทบาทและสื่อความหมายได้ถูกต้อง ส่วน ผู้เรียนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ผู้สอนจะต้องแนะนำในการชมการแสดงว่า ควรสังเกตและให้ความ สนใจที่เรื่องอะไรบ้าง จุดไหนบ้าง 4. ผู้เรียนแสดงและชมการแสดง ในขณะแสดง ผู้สวนและผู้ชมไม่ควรขัดการแสดงกลางคัน และ ควรให้กำลังใจผู้แสดง ผู้ชมควรตั้งใจสังเกตการแสดงในเรื่องราวที่สำคัญที่ผู้สอนได้แนะนำ 5. อภิปรายการแสดง ในการอภิปรายต้องมุ่งไปที่เรื่องราวที่แสดงออกมา และการแสดงของผู้ แสดงว่า สามารถแสดงได้สมจริงเพียงใด ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ทำให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จริง 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน 3. นักเรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการพูด การเขียน การแสดงออก การ จัดการ การแสวงหาความรู้ และการทำงานเป็นกลุ่มเป็นต้น ข้อจำกัด 1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก 2. มีค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรม 3. ต้องอาศัยความชำนาญในการเขียนบท 3. วิธีการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทใน สถานการณ์ซึ่งมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนและนำเอาการ แสดงออกของผู้แสดง ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่สังเกตพบ มาเป็นข้อมูลในการ อภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ทิศนา แขมมณี , 2557) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับบทบาทสมมติที่ตนแสดง 2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และฝึกทักษะต่าง ๆ ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอน / ผู้เรียนนำเสนอสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ บทบาทสมมติที่กำหนดขึ้นควรมี ความใกล้เคียงกับความเป็นจริง ไม่มีบทให้ ผู้สวมบทบาทจะต้องคิดแสดงเอง หรืออาจให้บทบาทสมมติ
26 แบบแก้ปัญหาซึ่งจะกำหนดสถานการณ์ที่มีปัญหาหรือความขัดแย้งให้ และผู้สวมบทบาทแก้ปัญหาตาม ความคิดของตน 2. ผู้สอน / ผู้เรียนเลือกผู้แสดงบทบาท ในการเลือกผู้แสดง ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับ ความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่ตรงกับ บทที่จะแสดงเพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. ผู้สอนเตรียมผู้สังเกตการณ์หรือผู้ชม ผู้สอนควรแนะนำการชมว่า ควรสังเกตอะไร และควร บันทึกข้อมูลอย่างไร หรือผู้สอนอาจจัดทำแบบสังเกตการณ์ให้ผู้ชมใช้ในการสังเกตด้วยก็ได้ 4. ผู้เรียนแสดงบทบาท ผู้ชมและผู้สอนสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก 5. ผู้เรียนและผู้สอนอภิปรายร่วมกัน เกี่ยวกับความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่ แสดงออกของผู้แสดง ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้อื่น 2. ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรมของตน 3. พัฒนาทักษะในการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจและแก้ปัญหา 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมาก ข้อจำกัด 1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก 2. ต้องอาศัยความสามารถของผู้สอนในการแก้ปัญหาเนื่องจากการแสดงของ ผู้เรียนอาจไม่เป็นไปตามความคาดหมายของผู้สอน ผู้สอนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรือปรับ สถานการณ์และประเด็นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ 4. วิธีการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case) คือกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติขึ้น จากความเป็นจริง และตอบประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วนำคำตอบและเหตุผลที่มาของคำตอบนั้นมาใช้ เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี , 2557) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ความคิดของผู้อื่น 2. ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอน / ผู้เรียนนำเสนอกรณีตัวอย่าง กรณีตัวอย่างส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวที่มีสถานการณ์ เป็นปัญหาขัดแย้ง ผู้สอนอาจใช้วิธีการตั้งประเด็นคำถามที่ท้าทายให้ผู้เรียนคิดก็ได้ ใช้เรื่องจริงหรือเรื่อง
27 จากหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ผู้สอนต้องเตรียมประเด็นคำถามสำหรับการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การ เรียนรู้ที่ต้องการ ในการเสนอทำได้หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณี ตัวอย่างให้ฟัง หรือนำเสนอโดยใช้สื่ออื่น 2. ผู้เรียนศึกษากรณีตัวอย่าง ผู้สอนควรแบ่งกลุ่มย่อยในการศึกษากรณีตัวอย่าง ไม่ควรให้ผู้เรียน ตอบประเด็นคำถามทันที 3. ผู้เรียนอภิปรายประเด็นคำถามเพื่อหาคำตอบ ผู้เรียนแต่ละคนควรมีคำตอบของตนเตรียมไว้ ก่อน แล้วจึงร่วมกันอภิปรายเป็นกลุ่ม และนำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม 4. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายคำตอบ นำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม คำถามสำหรับการ อภิปรายนี้ ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดอย่างชัดเจนแน่นอน แต่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นคำตอบและเหตุผลที่ หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบขึ้น การอภิปรายควรมุ่ง ความสนใจไปที่เหตุผลหรือที่มาของความคิดที่ผู้เรียนใช้ในการแก้ปัญหาเป็นสำคัญ 5. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาของผู้เรียน และสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิด แก้ปัญหา 2. ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น 3. ช่วยให้เกิดความพร้อมที่จะแก้ปัญหาเมือเผชิญปัญหานั้นในสถานการณ์จริง ข้อจำกัด แม้ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ กับผู้เรียน ความคิดในการแก้ปัญหาจึงมักเป็นไปตามเหตุผลที่ถูกที่ควรซึ่งอาจไม่ตรงกับการ ปฏิบัติจริงได้ 5. วิธีการสอนโดยใช้เกม (Game) คือกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา และ นำเนื้อหาและข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมของผู้เรียนมาใช้ในการอภิปรายเพื่อ สรุปการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2557) วัตถุประสงค์ 1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ 2. ทำให้เกิดประสบการณ์ตรง 3. เป็นวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอนนำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่นเกม เกมที่ได้รับการออกแบบให้เป็น เกมการศึกษาโดยตรงมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ 1) เกมแบบไม่มีการแข่งขัน 2) เกมแบบแข่งขัน 3) เกม จำลองสถานการณ์ การเลือกเกมเพื่อนำมาใช้สอนทำได้หลายวิธีผู้สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขึ้น หรืออาจนำ
28 เกมที่มีผู้สร้างขึ้นแล้วมาปรับดัดแปลงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และควรชี้แจงกติกาการเล่นเกมให้ เข้าใจ 2. ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา ผู้สอนควรติดตามสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของผู้เรียน 3. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายผล ควรอภิปรายผลเกี่ยวกับผลการเล่น และวิธีการหรือพฤติกรรม การเล่นของผู้เรียนที่ได้จากการสังเกตจดบันทึกไว้ และในการอภิปรายผลควรให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ การใช้เกมในการสอนโดยทั่ว ๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะต่าง ๆ 2) เรียนรู้เนื้อหา สาระจากเกม 3) เรียนรู้ความเป็นจริงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการอภิปรายควรมุ่งประเด็นไปตาม วัตถุประสงค์ของการสอน ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง 2. ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จากการเล่น ข้อจำกัด เป็นวิธีการสอนที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการนำการอภิปรายที่มีประสิทธิภาพ จึง จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนประมวลและสรุปการเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ 6. วิธีการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง (Simulation) กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มี บทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น ที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น โดยข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็นจริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะ ส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง (ทิศนา แขมมณี, 2557) วัตถุประสงค์ ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้สภาพความเป็นจริง เกิดความเข้าใจในสถานการณ์ ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอนเตรียมสถานการณ์จำลอง สถานการณ์จำลองโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1) สถานการณ์จำลองแท้ จะเป็นสถานการณ์การเล่นที่ให้ผู้เรียนได้เล่น เพื่อเรียนรู้จริง 2) สถานการณ์จำลอง แบบเกม มีลักษณะเป็นเกมการเล่น แต่เกมการเล่นนี้มีลักษณะที่สะท้อนความเป็นจริง ในขณะที่เกม ธรรมดาทั่ว ๆ ไป อาจจะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงอะไร 2. ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์จำลอง บทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น ในการนำเสนอ ผู้สอน ควรเริ่มด้วยการบอกเหตุผลและวัตถุประสงค์กว้าง ๆ แก่ผู้เรียนว่า การเล่นในสถานการณ์จำลองนี้จะให้ อะไรและเหตุใดจึงมาเล่นกัน ต่อไปจึงให้ภาพรวมทั้งของสถานการณ์จำลองทั้งหมด แล้วจึงให้รายละเอียด ที่จำเป็น 3. ผู้เรียนเลือกบทบาทที่จะเล่นหรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ ผู้เรียนทุกคนควรได้รับบทบาทใน การเล่น ซึ่งผู้เรียนอาจะเป็นผู้เลือกเองหรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ผู้เรียนบางคน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ตรงตามความต้องการ
29 4. ผู้เรียนเล่นตามกติกาที่กำหนด ในขณะที่ผู้เรียนกำลังเล่นผู้สอนควรติดตามพฤติกรรมอย่าง ใกล้ชิดและคอยให้คำปรึกษาตามความจำเป็น 5. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปราย ควรมุ่งไปประเด็นไปที่การเรียนรู้ความเป็นจริง อะไรเป็น ปัจจัยที่มีอิทธิพล ผู้เรียนควรได้เรียนรู้จากการเล่นของตน 6. ผู้สอนและผู้เรียนสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับจากการเล่น ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่มีความซับซ้อน อย่างเข้าใจเนื่องจากได้มี ประสบการณ์ด้วยตัวเอง 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนสูง 3. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก ข้อจำกัด 1. ใช้ค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลามาก 2. ผู้สอนต้องอาศัยการเตรียมการมาก 3. ถ้าไม่มีสถานการณ์จำลองต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง 7. วิธีการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model) 1. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ จอยส์และวีล(Joyce & Weil, 2016 : 161-178) พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของ บรุน เนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin) การเรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั้น สามารถทำได้โดยการค้นหาคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของสิ่งนั้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่ใช่ และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้ 2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำ นิยามของมโนทัศน์นั้นด้วยตนเอง 3. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจำแนก ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็น ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน ในการเลือก ตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่างที่มีจำนวน มากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของ มโนทัศน์ที่ต้องการนั้น ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช้ วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้น ๆ ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำเสนอแก่ผู้เรียนผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสม จะใช้นำเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อแสดง ให้เห็นลักษณะต่าง ๆ ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน
30 ขั้นที่ 2 ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกัน ผู้สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียน เกิดความเข้าใจพอสมควร ขั้นที่ 3 ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโน ทัศน์ที่ต้องการสอน การนำเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำได้หลายแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่น- จุดด้อย ดังต่อไปนี้ 1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด โดย บอกให้ ผู้เรียนรู้ว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะ สอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่ จะสอน ผู้เรียนจะต้องสังเกตตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่ แตกต่างกัน เทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้กระบวนการคิด น้อย 2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจนครบ เทคนิควิธีนี้ช่วย สร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้กระบวนการคิดมากกว่า 3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูลที่ เหลือทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลที่เหลือนั้นใช่หรือไม่ใช่ ตัวอย่างที่จะสอน เมื่อผู้เรียนตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรือผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้ กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไปทีละขั้นตอน 4) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วให้ผู้เรียนช่วยกัน ยกตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่ หรือไม่ใช่ วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอน จากกิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น ๆ ผู้เรียนจะต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้เรียนต้องการสอนและทดสอบ คำตอบของตน หากคำตอบของตนผิดผู้เรียนก็จะต้องหาคำตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยน สมมติฐานที่เป็นฐานของคำตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย ๆ สร้างความคิดรวบยอดของสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่ง ก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งที่ต้องการสอน เมื่อผู้เรียนได้รายการของ คุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียงให้เป็นคำนิยามหรือคำจำกัด ความ ขั้นที่ 6 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำตอบ ให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง 4. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้น ผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์
31 ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดย การอุปนัย(inductive reasoning) อีกด้วย 5. การเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม ความหมายของแบบฝึกนวัตกรรม แบบฝึกนวัตกรรมหมายถึง ความคิด ชุดฝึกที่มีการปฏิบัติและการกระทำใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือการ พัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำแบบฝึกนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้ การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม แบบฝึกนวัตกรรม (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา ความหมายของแบบฝึกนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มี อยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดย อาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่ แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม แบบฝึกนวัตกรรมเป็นตัวแปรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กรด้านต่างๆ ในเชิงธุรกิจ ได้แก่ ความอยู่รอด การเจริญเติบโต การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่และสมรรถนะหลัก ซึ่งแบบ ฝึกนวัตกรรมไม่ใช่แค่การพัฒนาสินค้าใหม่ เท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุน การแสวงหาแนวทางการ ตอบสนองความต้องการของตลาด การยกระดับคุณภาพชีวิตและการสร้างคุณภาพเพิ่ม แบบฝึกนวัตกรรมในยุคแรก ๆ เกิดจากการคิดค้นใหม่ทั้งหมด แต่แบบฝึกนวัตกรรมในยุคใหม่เกิดจากการ พัฒนาให้ เป็นชิ้นใหม่ที่มีมูลค่า และสามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ แบบฝึกนวัตกรรมทางการศึกษา คือ แบบฝึกนวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ใน รูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิด แรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้ วิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น องค์ประกอบของแบบฝึกนวัตกรรม 1. เป็นสิ่งใหม่ 2. เน้นใช้ความรู้ความคิดสร้างสรรค์ 3. เป็นประโยชน์ ต้องตอบได้ว่าสิ่งที่เราสร้างเป็นอย่างไร 4. เป็นที่ยอมรับ 5. มีโอกาสในการพัฒนา แบบฝึกนวัตกรรมมี 4 ประเภท 1. product innovation : การเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์หรือบริการของ
32 2. Process innovation : การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือกระบวน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ 3. Position innovation : การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสินค้าหรือบริการเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของ ผลิตภัณฑ์ โดยการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ต่อลูกค้า 4. Paradigm innovation : การมุ่งให้เกิดแบบฝึกนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงกรอบความคิด ประเภทของแบบฝึกนวัตกรรมการศึกษา แบบฝึกนวัตกรรมที่นำมาใช้ทั้งที่ผ่านมาแล้ว และที่จะมีในอนาคตมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ แบบฝึกนวัตกรรมในด้าน ต่างๆ ซึ่งจะขอแนะนำแบบฝึกนวัตกรรมการศึกษา 5 ประเภทดังนี้ 1. แบบฝึกนวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้อง ถิ่น และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศและ ของโลก แบบฝึกนวัตกรรมทางด้านหลักสูตรได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสูตร กิจกรรมและประสบการณ์ และหลักสูตรท้องถิ่น 2. แบบฝึกนวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบ ใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การ เรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและส นับสนุน การเรียนการสอน 3. แบบฝึกนวัตกรรมสื่อการสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการ ผลิตสื่อการ เรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบ มวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 4. แบบฝึกนวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เป็นแบบฝึกนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและ ประเมินผลได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วย การประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ 5. แบบฝึกนวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้แบบฝึกนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมา ช่วยในการบริหาร จัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงของโลก แบบฝึกนวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ ฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา การจำแนกแบบฝึกนวัตกรรมตามประเภทของผู้ใช้ 1. แบบฝึกนวัตกรรมที่เป็นสื่อสำหรับผู้สอน 2. แบบฝึกนวัตกรรมที่เป็นสื่อสำหรับผู้เรียน จำแนกตามลักษณะของแบบฝึกนวัตกรรม 1. เทคนิควิธีการ 2. สื่อการเรียนรู้
33 จำแนกตามจุดเน้นของแบบฝึกนวัตกรรม 1. แบบฝึกนวัตกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผลผลิต 2. แบบฝึกนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเทคนิค วิธีการ และกระบวนการ 3. แบบฝึกนวัตกรรมที่เน้นทั้งผลผลิต กระบวนการสร้างและพัฒนาแบบฝึกนวัตกรรม ขั้นตอนการพัฒนาแบบฝึกนวัตกรรมที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จในการดำเนินการทำโดยการบูร ณาการความรู้ของระเบียบ วิจัยทางคลินิกร่วมกับการดำเนินการวิจัยขณะปฏิบัติงานประจำหรือที่รู้จักกัน ว่า Routine to Research (R to R) มีข้อแนะนำดังนี้ 1. ประเมินความต้องการแบบฝึกนวัตกรรม (need analysis) โดยประเมินสภาพปัญหาเพื่อให้เกิดความ เข้าใจอย่างชัดเจนเพื่อค้นหา ความบกพร่อง ความไม่สมบูรณ์ของสิ่งที่มีอยู่ และก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติ 2. กำหนดประเด็นหรือหัวข้อ ที่ต้องการพัฒนาแบบฝึกนวัตกรรม ให้มีความเฉพาะเจาะจง ไม่ศึกษาหลาย เรื่องในเวลาเดียวกัน โดยแบบฝึกนวัตกรรมที่ จะพัฒนาอาจเป็น กลวิธี เทคนิค โปรแกรม วัสดุ/อุปกรณ์ การ ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม 3. ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบโดยตรวจสอบว่ามีกี่วิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น การ ประเมินคุณภาพข้อมูลเชิงประจักษ์ทำโดย 3.1 สืบค้นวรรณกรรมที่สนับสนุนความเข้าใจเกี่ยวกับการออกแบบแบบฝึกนวัตกรรม 3.2 ประเมินระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลเชิงประจักษ์ (level of evidence) หากมีประเด็นที่ ยังไม่มีการทำวิจัยหรือพบความขัดแย้งในผลงานวิจัยจึงใช้ความเห็นสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญการวิจัย หรือการเทียบเคียงผลของการปฏิบัติงานต่างหน่วยงาน 4. สังเคราะห์ข้อความรู้ที่ได้จากวรรณกรรมที่มีคุณภาพเมื่อนำมาบูรณาการวางแผนและการออกแบแบบ ฝึกนวัตกรรม 5. ออกแบบแบบฝึกนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลง 6. กำหนดวิธีวัดประสิทธิภาพของแบบฝึกนวัตกรรมซึ่งอาจมาจากตัวชี้วัด 7. กำหนดรายละเอียดของวิธีการใช้แบบฝึกนวัตกรรม 8. ดำเนินการศึกษาแบบฝึกนวัตกรรมในหน่วยงานหรือองค์กรเป้าหมาย ตามแผนที่วางไว้ในข้อ5 ข้อ6 และข้อ7 9. ประเมินประสิทธิภาพของแบบฝึกนวัตกรรม 10.บันทึกโดยสรุปผลพร้อมแหล่งอ้างอิงที่ใช้ในการสร้างแบบฝึกนวัตกรรม รูปแบบการพัฒนาสื่อและแบบฝึกนวัตกรรมทางการศึกษา 1. การพัฒนาสื่อและแบบฝึกนวัตกรรมทางการศึกษานั้น นักวิชาการศึกษาจะใช้รูปแบบการวิจัยและ พัฒนา เป็นระเบียบวิธีวิจัยในการพัฒนาแบบฝึกนวัตกรรมโดยมีรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนดังนี้
34 2. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง การศึกษาปัญหาในการจัดการเรียนการสอน การศึกษาเอกสารและวิจัย เพื่อค้นหาแนวทางที่เหมาะสมในแก้ปัญหา รวมทั้งความรู้ที่จะใช้ในการพัฒนาสื่อและ แบบฝึกนวัตกรรม 3. การวางแผนพัฒนาแบบฝึกนวัตกรรม หมายถึงการเตรียมการในด้านต่างๆ เช่นหลักสูตร ระยะเวลา งบประมาณ วัสดุ – อุปกรณ์ บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มตัวอย่างฯลฯ 4. การสร้างแบบฝึกนวัตกรรม หมายถึง การลงมือทำเพื่อสร้างแบบฝึกนวัตกรรม โดยจะใช้ กระบวนการพัฒนาสื่อ 7 ขั้นตอนของ Stephen M. Alessi and Stanley R. Trollip 5. การเตรียม ประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแบบฝึกนวัตกรรม การสร้าง แผนการสอนและกำหนดเนื้อหา และการสร้างแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน(โดยการวิเคราะห์ความสอดคล้อง กับวัตถุประสงค์โดยผู้เชี่ยวชาญ และการวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ) 6. การออกแบบสื่อและแบบฝึกนวัตกรรม ประกอบด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างแบบฝึกนวัตกรรม ออกแบบขั้นแรก ประเมินและแก้ไขการออกแบบ 7. การเขียนแผนผังของแบบฝึกนวัตกรรม คือการเขียนแผนผังเพื่อให้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของแบบฝึก นวัตกรรมที่จะสร้าง 8. การสร้างสตอรี่บอร์ด คือ การร่างลักษณะของแบบฝึกนวัตกรรมแต่ละส่วนหรือแต่ละหน้าให้เห็น รายละเอียดของแบบฝึกนวัตกรรม 9. การสร้างแบบฝึกนวัตกรรม คือ การลงมือทำตามที่ได้ออกแบบไว้ 10. การผลิตเอกสารประกอบ ประกอบด้วยคู่มือครู คู่มือการใช้ คู่มือนักเรียน ฯลฯ 11. การประเมินและการแก้ไขแบบฝึกนวัตกรรม คือการส่งแบบฝึกนวัตกรรมที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญ ประเมินคุณภาพและปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แนวคิดพื้นฐานแบบฝึกนวัตกรรมการศึกษา ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลง ไป อันมีผลทำให้เกิดแบบฝึกนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ 1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสำคัญใน เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัดการศึกษาตาม ความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบ ห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง แบบฝึกนวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนอง แนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น - การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - เครื่องสอน (Teaching Machine) - การสอนเป็นคณะ (Team Teaching) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
35 - เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) 2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็นพัฒนาการ ตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความพร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้าง ขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษาได้ แบบฝึกนวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน แบบฝึกนวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น - ศูนย์การเรียน (Learning Center) - การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) - การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases) 3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัยความ สะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัดเวลาเรียนเอาไว้แน่นอน เป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่ง จะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น แบบฝึกนวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น - การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) - มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) - แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book) - การเรียนทางไปรษณีย์ 4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีสิ่งต่างๆ ที่ คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึงจำเป็นต้อง แสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก แบบฝึก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น - มหาวิทยาลัยเปิด - การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ - การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป - ชุดการเรียน การเผยแพร่แบบฝึกนวัตกรรม การเผยแพร่ (Diffusion) หมายถึง กระบวนการที่ทำให้แบบฝึกนวัตกรรมได้รับการยอมรับและถูกนำไปใช้ โดยสมาชิกของชุมชนเป้าหมาย ฉะนั้น การเผยแพร่จึงเป็นกระบวนการซึ่งแบบฝึกนวัตกรรม (Innovation) จะถูก นำไปถ่ายทอดผ่านช่องทางของการสื่อสาร (Communication) ในช่วงเวลาหนึ่ง (Time) กับสมาชิกที่อยู่ในระบบสังคมหนึ่ง (Social System) ให้เกิดการยอมรับ (Adoption) จากการ วิเคราะห์ลักษณะของการเผยแพร่ พบว่ามีสิ่งที่มีอิทธิพลในการดำเนินการของกระบวนการเผยแพร่ อยู่ 5 ประการ
36 คือ 1. ตัวแบบฝึกนวัตกรรมเอง 2. สารสนเทศหรือข้อมูลที่นำไปใช้ในการสื่อสารของแบบฝึกนวัตกรรมนั้น 3. เงื่อนไขด้านเวลา 4. ธรรมชาติของระบบสังคมหรือชุมชนที่แบบฝึกนวัตกรรมจะนำไปเผยแพร่ 5. การยอมรับ ปัจจัยที่มีอิทธิพลของกระบวนการเผยแพร่แบบฝึกนวัตกรรม 1. แบบฝึกนวัตกรรม 2. ช่องทางการสื่อสาร 3. เวลา 4. ระบบสังคม 5. การยอมรับ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การเรียนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม งานวิจัยในประเทศ พัชรี ตระกูลแก้ว ( 2557 ) ได้ศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาการคำนวณของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมผลการการวิจัยพบว่า การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ทางวิทยาการคำนวณสามารถพัฒนาสูงขึ้นไปได้เมื่อใช้เทคนิคการสอนเหมาะสมกับเนื้อหาและการจัด กิจกรรมการ เรียนการสอนเน้นให้นักเรียนแสดงออกและปล่อยให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระสอดคล้อง กับการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนเน้นเนื้อหาให้นักเรียนแสดงออกและปล่อยให้ผู้เรียนได้คิด อย่างอิสระสอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม โดยนักเรียนได้มีโอกาส พัฒนาความคิดสร้างสรรค์งานการเรียนรู้ทาง วิทยาการคำนวณที่นักเรียนได้เรียนรู้หลายๆเนื้อหามา สร้างสรรค์งานอย่างอิสระ เพชรรัตน์ สุริยา ( 2557 ) ได้พัฒนาบทเรียนวิทยาการคำนวณใช้แบบฝึกนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะ ทาง ภาษาด้านการพูด และการเขียนนำเสนอใช้แบบฝึกนวัตกรรม ผลปรากฏว่าผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะ ทางภาษา ด้านการพูดและการเขียนนำเสนอใช้แบบฝึกนวัตกรรมโดยสามารถผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้อยู่ในระดับ ค่อนข้างดี และผลจากการสอบถามวัดความภาคภูมิใจตนเองของผู้เรียน ปรากฎว่าผู้เรียนมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอยู่ ระดับมาก ชาลีนี ศุขมิลินท์ ( 2558 ) ได้พัฒนาบทเรียนวิทยาการคำนวณใช้แบบฝึกนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้ ทางวัฒนธรรม ผลปรากฏว่าผู้เรียนได้รับความรู้ทางวัฒนธรรมโดยสามารถผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในระดับดีมาก และผลการประเมินความสามารถทางภาษาด้านทักษะการฟัง – พูด และทักษะการ อ่านเขียนของผู้เรียนภาย หลังจากการเรียนวิชาวิทยาการคำนวณใช้แบบฝึกนวัตกรรม ปรากฏว่าผู้เรียนมีความ สามารถทางด้านการฟัง – พูดอยู่ในระดับดี และมีความสามารถทางด้านการอ่าน - เขียนอยู่ใน ระดับดีมาก พจน์ วงศ์ปัญญา ( 2558 ) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาวิทยาการคำนวณ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เน้นการสร้างใช้แบบฝึกนวัตกรรม จากภาพรวมของ กิจกรรมการเรียนการสอนโดยการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจในการ สอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมอยู่ในระดับดีมาก และนักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับ ดี
37 นายสุระศักดิ์ อักษร (2558) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม เรื่องผลิตภัณฑ์ จากผ้า ไหมลายขิด กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทุ่งไชยพิทยา รัชมัง คลาภิเษก อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 89.39 / 83.48 มีค่าดัชนี ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม เท่ากับ 0.76 หมายความว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 76 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วย แผนการ จัดการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมมีความพึง พอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ย 4.61 บุศริน ช่างสลัก (2559) ได้ศึกษาเรื่อง ผลการใช้คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้แบบฝึก นวัตกรรม สำหรับครูการศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดนครพนม พบว่า ครูการศึกษานอกโรงเรียน สามารถนำคู่มือ การจัดการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในระดับมาก และ มีความ พึงพอใจในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม ทุกเรื่องอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้มี ความคิดเห็นว่า คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม สำหรับครูการศึกษา นอกโรงเรียน จังหวัดนครพนม มีประโยชน์โดยสร้างความรู้ความเข้าใจ ทำให้สามารถจัด กระบวนการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้ แบบฝึกนวัตกรรมได้ สามารถให้คำปรึกษาแนะนำนักศึกษาในการจัดทำ ใช้แบบฝึกนวัตกรรมได้ เป็นการสร้างเจต คติที่ดีให้กับผู้เรียน สามารถวัดผลงานของผู้เรียนได้ สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและ ครอบครัวได้ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาความคิดเห็นของ www.ssru.ac.th นักศึกษา พบว่า นักศึกษา มีความรู้ ความ เข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำใช้แบบฝึกนวัตกรรม ทุกเรื่องอยู่ ในระดับมาก และสามารถนำความรู้ที่ได้รับจาก ครูผู้สอนไปใช้ในการจัดทำใช้แบบฝึกนวัตกรรมและประโยชน์ที่ ได้รับจากการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม ทุก เรื่องอยู่ในระดับมาก โดยสามารถนำความรู้ไปใช้ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัว และการพัฒนาอาชีพได้และเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนสังคม วรรณา ใจกว้าง (2559) ได้ศึกษาเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกนวัตกรรม โรงเรียนชุมชน บ้านตาหลังใน พบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมสามารถทำให้นักเรียนมีความสามารถ เพิ่มขึ้น ดังนี้ 1) นักเรียนสามารถทำใช้แบบฝึกนวัตกรรมได้ถูกต้องทุกขั้นตอน 2) นักเรียนได้ฝึก กระบวนการกลุ่ม และฝึกการแก้ปัญหา 3) นักเรียนได้นำประสบการณ์ ความรู้ในแต่ละกลุ่มกลุ่ม สาระการเรียนรู้มาบูรณาการกับการ สอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมได้ 4) นักเรียนรู้จักวิธีการศึกษาค้นคว้า และเก็บ รวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ 5) นักเรียนสามารถเผยแพร่ความรู้ หรือให้คำแนะนำในการสอนโดยใช้แบบฝึกนวัตกรรมกับนักเรียนคนอื่นได้ ศักดิ์อนันต์ อนันตสุข (2559) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง งานและ พลังงานโดยใช้การสอนด้วยรูปแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ใน การทดลองเชิงปฏิบัติการ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม เรื่องงานและพลังงาน จำนวน 8 แผน 9 ชั่วโมง ดังนี้ (1) เรื่อง งาน, (2) เรื่อง กำลัง, (3) เรื่องพลังงานจลน์, (4) เรื่อง พลังงานศักย์, (5) เรื่องกฎการอนุรักษ์พลังงาน, (6) เรื่องการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนววงกลมในระนาบดิ่ง, (7) เรื่อง เครื่องกล, (8)
38 เรื่อง แหล่งพลังงานและการใช้พลังงานเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการปฏิบัติ ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง งานและพลังงาน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p)และค่าอำนาจจำแนก(r)อยู่ระหว่าง 0.20–0.80 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ 0.83 2) แบบสังเกต พฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นแบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนของ ครูผู้สอน โดยครูผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้สังเกต 3) แบบสำรวจตนเองและแบบสำรวจกลุ่ม เป็นแบบสำรวจสำหรับนักเรียน ได้สำรวจพฤติกรรมการเรียนของตนเองในชั้นเรียน 4) แบบบันทึกเหตุการณ์การเรียนการสอน เป็นแบบบันทึก เหตุการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน โดยผู้วิจัย และครูผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้บันทึก 5) แบบบันทึก ความคิดเห็น เป็นแบบแสดงความคิดเห็นของนักเรียน และครูผู้ร่วมวิจัยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 6) แบบสัมภาษณ์ เป็นแบบสัมภาษณ์ปลายเปิด ใช้คำถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้แสดงออกซึ่งความคิดและความรู้สึก ของตนเอง ทั้งครูผู้ร่วมวิจัยและนักเรียนที่เกี่ยวข้อง 7) แบบบันทึกประจำวันของครู 8) กล้องถ่ายภาพ และกล้อง วีดีโอบันทึกภาพเคลื่อนไหว จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์เรื่อง งานและพลังงาน พบว่า จำนวนนักเรียนร้อยละ 87.50 ทำคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 และมีนักเรียนเพียงร้อยละ 12.50 ที่ทำคะแนนไม่ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 27.18 คะแนน จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 67.94 ของคะแนนเต็ม และเมื่อนำแบบทดสอบรายจุดประสงค์ เรื่อง งานและพลังงาน ในปีการศึกษา 2548 มา ทดสอบกับนักเรียนที่เรียน เรื่อง งานและพลังงาน จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม ผลปรากฏว่า นักเรียนที่เรียนเรื่อง งานและพลังงาน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม สามารถทำแบบทดสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 จำนวน 32 คน คิดเป็นร้อยละ 80.00 ของนักเรียนทั้งหมด 40 คน และมีคะแนนเฉลี่ย 14.36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ซึ่งนักเรียนกลุ่มนี้สามารถทำคะแนน รชาดา บัวไพร (2559) ได้ทำการศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน แบบโมเดลใช้แบบฝึกนวัตกรรมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาการคำนวณและเจตคติทางวิทยาการคำนวณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้แบบแผนการวิจัย One Group PretestPosttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลใช้แบบฝึก นวัตกรรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบวัดเจตคติทางวิทยาการคำนวณสถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) หลัง การทดลองค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาการคำนวณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับ การจัดการเรียนการสอนวิทยาการคำนวณโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบโมเดลใช้แบบฝึกนวัตกรรมสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2)หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนเจตคติทางวิทยาการ คำนวณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาการคำนวณโดยใช้รูปแบบการ เรียนการสอน แบบโมเดลใช้แบบฝึกนวัตกรรมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
39 อรุณี ซ้อนกลิ่นสกุล (2560) ได้พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาเคมีเพิ่มเติม 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ์และผลิตภัณฑ์ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบใช้แบบฝึก นวัตกรรม รูปแบบการวิจัยดําเนินการตามหลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วยการวางแผน การปฏิบัติ การ สังเกตและการสะท้อนผลการปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการเรียนรู้ซึ่งเป็น แนวทางในการ ดําเนินการเรียนการสอน แบบบันทึกต่างๆ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดําเนินการดังนี้ 1) ดําเนินการสอนตามรูปแบบการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมนําการสะท้อนผลการปฏิบัติที่ได้ จากผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ จน ครบทุกแผนการเรียนรู้ 2) ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน 3) วิเคราะห์ข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพโดยการนําข้อมูลมาวิเคราะห์ ตีความ สรุปและรายงานผลในลักษณะ การบรรยาย และการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบวา การพัฒนา กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม เป็นกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับ ความต้องการของผู้เรียนทําให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้น ในการร่วมกิจกรรม ได้ลงมือปฏิบัติจริงทําให้เกิดการ สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง มีโอกาสได้ พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ในการแสวงหาความรู้เพื่อคิดและแก ปัญหาโดยใช้กระบวนการกลุ่มเป็นเครื่องมือจึงทําให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครูในการที่จะอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้ และนําเสนอผลงานที่ค้นพบทําให้เกิดความภาคภูมิใจและมีความสุขในการเรียน อีกทั้งยัง สามารถ นําความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กบสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจําวันได้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้มีการ พัฒนาโดยการปรับเปลี่ยนกิจกรรมในด้านต่างๆ เช่น 1) การศึกษาใบกิจกรรม 2) การแบ่งหน้าที่และความ รับผิดชอบในกลุ่ม 3) ทักษะในการปฏิบัติ การทดลองและการใช้อุปกรณ์ 4) การมีส่วนร่วมในกิจกรรม 5) การ อภิปรายซักถามและแลกเปลี่ยน ความรู้ 6) การใช้เวลาในการทํากิจกรรม และ 7) การรายงานและการนําเสนอ ผลงาน ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือได้คะแนนสูง กว่าร้อยละ 70 โดยมีจํานวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดจํานวน 24 คน คิดเป็น ร้อยละ 88.84 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 นายคณิต จันทสโร (2561) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง สารชีวโมเลกุล โดยใช้ รูปแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการ จัดการเรียนรู้แบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง สารชีว โมเลกุล และแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยปรากฏว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สาร ชีวโมเลกุล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สารชีวโมเลกุล หลังเรียน
40 ของนักเรียนดังกล่าวสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (3) ความสามารถในการคิด วิเคราะห์หลังเรียนของนักเรียนดังกล่าวสูงกว่าความสามารถก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ (4)ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนของนักเรียนดังกล่าวสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 และผ่านเกณฑ์มากกว่านักเรียนในปีการศึกษา 2548 ที่ทดสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 เพียง 14 คน คิดเป็นร้อยละ 38.89 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 36 คน และมีคะแนนเฉลี่ย 11.25 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน การเรียนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม งานวิจัยในต่างประเทศ บิกก์ (Bigge. 2017) ได้ศึกษาวิธีการเรียนการสอนแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ พบว่า สามารถช่วยให้นักเรียนพัฒนาในด้านความสามารถและความเข้าใจในการใช้ความคิด ความอยากรู้ อยาก เห็น การสืบสอบ ความเพียรพยายามและความรอบคอบ โกลับ และ โคเลน (Golub and Kolen. 2017) ได้ศึกษาและพบว่า เด็กที่มาจากรูปแบบ การสอนแบบใช้ แบบฝึกนวัตกรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ มีความคิดซับซ้อนมากกว่าเด็กที่มาจากโรงเรียนอนุบาลทั่วไป เมื่อ เปรียบเทียบในกิจกรรมการเล่นอิสระและพบว่า เด็กมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มีความร่วมมือ และ อิสระในการ ตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่ากลุ่มควบคุม เรนเนอร์ และ มาเรค (Renner and Marek: 2018) ได้ศึกษาโดยการนำทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของเพียเจต์มาออกแบบทดลองสอนวิทยาการคำนวณแบบใช้แบบฝึกนวัตกรรม โดยใช้วัฎจักรการเรียนรู้ (the learning cycle) พบว่า โมเดลนี้มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะ กระบวนการ ทางวิทยาการคำนวณ ทักษะทางสังคมและการเข้าใจความหมายของคำ การแก้ปัญหาและช่วยให้นักเรียนเรียนรู้วิธี คิด รอดดี้ โมเซนต์ (2019 : บทคัดย่อ) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการสอนบทเพลงว่า ครูควรจัดบทเพลง ประกอบการสอนให้เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอนอย่างเหมาะสม เพราะการใช้บทเพลงประกอบการสอน เป็นวิธีหนึ่งที่ให้เด็กสนใจบทเรียน และรู้สึกสนุกสนาน ไม่เบื่อหน่ายในการใช้บทเพลงประกอบการสอนนั้น ครูต้อง มีวิธีที่จะทำให้เด็กสนใจและร้องเพลงได้ และควรเลือกเพลงที่เหมาะสมกับเด็กด้วย ชาง ชู (2020 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการใช้แบบฝึกนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบการ จัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนในระดับประถมศึกษา พบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีพัฒนาการ ด้านทักษะการคิดสูงกว่ากลุ่มควบคุม และส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกบการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมากในทุก ด้าน