The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พื้นฐานงานสำรวจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nongpairat, 2022-11-22 09:49:33

พื้นฐานงานสำรวจ

พื้นฐานงานสำรวจ

ใบความรทู้ ี่ 3 หนว่ ยท่ี 3
ชอื่ วิชา พ้ืนฐานการสำรวจ สอนสัปดาห์ที่ 3 – 6
ชื่อหน่วย การวดั ระยะดว้ ยเครือ่ งมอื และอุปกรณ์ชนดิ ต่าง ๆ จำนวน 5 ชวั่ โมง
ช่อื เรอ่ื ง การวัดระยะด้วยเคร่ืองมือและอุปกรณ์ชนดิ ตา่ ง ๆ

1. หน่วยวัดระยะในงานสำรวจ (Units of Measurement)
การรงั วัดระยะในงานสำรวจ มหี น่วยวัดที่ใชท้ ว่ั ไป ดงั นี้
1.1 หน่วยเมตริก (SI Units มาจาก International System of Units) ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ

ให้ใช้ความยาวเป็นเมตร คือ 1 เมตร เท่ากับ 1,650,763.73 ความยาวคลื่นในสุญญากาศ (ใช้แสงสีส้มในแท่ง
Spectrum หรือแท่งแก้วสามเหล่ยี มท่ีแยกแสงได้) โดยของเดมิ ใช้วดั ระยะ 1 เมตร เทา่ กบั 1 ใน 10,000,000 ของ
ความยาวของระยะจากเส้นศูนยส์ ตู ร(Equator) ถงึ ขัว้ โลก

1.2 ระยะเสน้ ตรง (Linear Measurement) มาตรฐานสากลใช้ความยาวเปน็ กิโลเมตร และ
มลิ ลเิ มตรเทา่ น้นั คือ

1 กิโลเมตรหรือ 1 ก.ม. หรือ 1 km. เทา่ กบั 1,000 เมตรหรอื 1,000 ม. หรอื 1,000 m.
1 เมตรหรอื 1 ม. หรือ 1 m. เทา่ กับ 1,000 มิลลิเมตรหรอื 1,000 ม.ม. หรือ 1,000 mm.
การเขียน เชน่
1) 70.025 เทา่ กับ 70 เมตร กับอีก 2 เซนตเิ มตร5 มิลลเิ มตร ( เขียนทศนยิ ม 3 ตำแหนง่ เสมอ )
2) 1,075.545 เทา่ กบั 1 กโิ ลเมตร กบั อกี 75 เมตร 54 เซนตเิ มตร 5 มลิ ลิเมตร
3) 100+075.025 หรือ 100 075.025 km หรอื 100,075.025 เท่ากบั 100 กโิ ลเมตร กับอกี 75
เมตร 2 เซนติเมตร 5 มิลลเิ มตร

1.3 การวัดพืน้ ท่ี ( Area Measurement ) มาตรฐานสากลใชต้ ารางกโิ ลเมตร
1 ตารางกิโลเมตร = 10,000 ตารางเมตร

ถ้าเปน็ มาตรฐานของอังกฤษการวัดพื้นที่จะใช้หน่วยเป็น เอเคอร(์ acre) โดย
1 ตารางกิโลเมตร = 247.105 acre
1 acre = 4,046.86 ตารางเมตร

1.4 การวดั พื้นท่ขี องไทย จะมีหน่วยเฉพาะทใี่ ช้ในการวดั ระยะ และวัดเนอ้ื ที่ คือ
1) หนว่ ยวดั ระยะของไทย
12 น้วิ = 1 คืบ
2 คืบ = 1 ศอก
4 ศอก = 1 วา
20 วา = 1 เสน้
400 เส้น = 1 โยชน์

2) หน่วยวดั ระยะของไทยเทยี บกบั ระบบเมตริก
1 โยชน์ = 16 กโิ ลเมตร
25 เส้น = 1 กโิ ลเมตร
1 เส้น = 40 เมตร
1 วา = 2 เมตร
1 ศอก = 0.5 เมตร
1 คบื = 0.25 เมตร
1 น้ิว = 2.083 เซนติเมตร

3) หนว่ ยวัดเน้อื ทีข่ องไทย = 4 งาน
1 ไร่ = 100 ตารางวา
1 งาน

4) หนว่ ยวัดเน้อื ทขี่ องไทยเทียบกับระบบเมตริกและระบบอังกฤษ
1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร
1 งาน = 400 ตารางเมตร
1 ไร่ = 1,600 ตารางเมตร
2.5 ไร่ = 1 เอเคอร์(acre)

2. เครื่องมอื ในงานสำรวจ
เครื่องมือสำรวจมีหลายอย่าง การเลือกใชเ้ ครื่องมือชนิดใด ขึ้นอยู่กับความละเอียดในการวัดความสะดวก

ในการใช้งาน การประหยดั ในการใช้งานท้งั แรงงาน ทนุ และเวลาในการทำงาน เครื่องมอื สำรวจทีค่ วรทราบไดแ้ ก่

2.1 ก้าว (Pace) เป็นการใช้ระยะก้าวของตนเองในการวัดระยะทางโดยการเดินนับก้าว (Distance by
Pacing) ซึ่งจ าเป็นจะต้องทราบความยาวก้าวเฉลี่ย หรือความเร็วของการเดินเฉลี่ยของตนเองก่อน ถ้าเดินด้วย
ความยาวก้าวสม่ำเสมอคงที่ และนับจำนวนก้าวจากจดุ เริ่มต้นเดินถึงปลายทางทีจ่ ุดหยุดเดิน และจับเวลาที่ใช้เดนิ
ก็สามารถหาความยาวของก้าวในการเดินนั้น ๆ ได้ซึ่งจะเท่ากับ ระยะทางที่เดิน หารด้วย จำนวนก้าวทั้งหมดจาก
จุดเริ่มต้นเดินถึงจุดสิ้นสุดการเดิน และความเร็วในการเดินก็สามารถหาได้โดยใช้ระยะทางที่เดิน หารด้วย
ระยะเวลาที่ใช้เดินจากจุดเริ่มต้นเดินถึงจุด สิ้นสุดการเดินดังนั้น เมื่อทราบความยาวของก้าวที่ใช้เดิน และทราบ
จำนวนก้าวที่เดินจากจุด เริ่มต้นเดินถึงจุดสิ้นสุดการเดิน ก็สามารถคำนวณหาระยะทางระหว่างจุดสองจุดนีไ้ ด้ ซึ่ง
จะเทา่ กับ ความยาวของ 1 ก้าวคณู ดว้ ย จำนวนกา้ วท่ใี ช้เดนิ ในทำนองเดยี วกันระยะทางท่ีเดนิ สามารถคำนวณจาก
เวลาทใี่ ชเ้ ดนิ ได้เช่นกนั ถ้าหากเราทราบความเร็วในการเดิน โดยใชเ้ วลาที่เดิน คณู ด้วย ความเร็วในการเดิน ซ่ึงจาก
หลกั การดังกลา่ วขา้ งตน้ สามารถสรปุ หลักการได้ดังนี้

2.2 เทปวัดระยะ(Tape) หรือโซ่(Chain) เทปวัดระยะ อาจทำด้วยโลหะ ผ้าหรือในล่อนจะมีเครื่องหมาย
ตวั เลขกำกับบอกระยะความยาวเป็นมิลลเิ มตร เซนตเิ มตรและเปน็ เมตร อกี ดา้ นจะมเี ครอื่ งหมาย ตวั เลขกำกับบอก
ระยะความยาวเปน็ หุน นว้ิ และฟุต

“โซ”่ ในประเทศไทยการรังวดั ที่ดินของสำนักงานท่ดี ินยงั คงมีการใช้โซ่รงั วดั ระยะทางอยู่โดยโซ่ 1 เส้น
จะมี 100 ข้อในแต่ละข้อจะมี 10 ปอยท์ ใน 1 ปอยท์จะมี 10 ปวน เช่นวัดระยะทางได้ 2 เส้นโซ่กับอีก 23 ข้อ 9
ปอยท์ และ 5 ปวน สามารถเขียนเป็นระยะทางมีความยาว = 2.2395 เส้น ซึ่ง 1 เส้นโซ่เมื่อเทียบเป็นระยะใน
ระบบเมตรกิ จะยาว 40 เมตร ดงั น้ัน 2.2395 เส้น จึงเทา่ กับ 2.2395 เสน้ x 40 เมตร/เส้น ไดร้ ะยะทาง = 89.580
เมตร

2.3 กล้องเข็มทิศ(Compass) เป็นเครื่องมือสำรวจที่ใช้สำหรับวัดมุมเบี่ยงเบนจากแนวทิศเหนือ-ใต้
แม่เหลก็ มจี านองศาราบ ทเี่ ลง็ แนว กล้องขยายสำหรับสอ่ งเล็งแนวและหลอดระดับสำหรบั ปรบั ตง้ั กล้องให้ได้ระดับ
เมื่อติดตั้งประกอบกับขาตั้งกล้องเข็มทิศ ใช้ในการเล็งแนวรังวัดค่ามุมราบในงานวงรอบต่าง ๆ มักใช้กับงานที่ไม่
ต้องการความละเอียดมากนัก ใช้ในการวางแนวในระยะทางใกล้ๆ ขอบเขตพื้นที่สำรวจขนาดเล็กการใช้งานจะใช้
อ่านค่ามุมราบที่อ้างอิงจากแนวทิศเหนือแม่เหล็กโดยหมุนกล้องเข็มทิศตามเข็มนาฬิกาเสมอจะได้ค่ามุมทิศ
(Azimuth) แต่ถา้ อ่านค่ามุมราบอา้ งอิงจากแนวทิศเหนือและทิศใต้โดยหมุนกล้องเข็มทิศ ตามหรือทวนเข็มนาฬิกา
จะได้มุมภาคทศิ (Bearing) ซ่ึงเข็มทิศและกล้องเข็มทศิ แสดงในภาพ

2.4 กล้องระดับ(Level) เป็นเคร่ืองมือที่ใช้กบั งานหาระดบั ความสูงต่ำของจดุ ต่าง ๆ วา่ จะมีความสูง-ต่ำ
แตกต่างกันมากน้อยเท่าไร ซึ่งมีอยู่หลายรุ่นบางรุ่นจะมีจานองศาราบติดอยู่ด้วยจึงสามารถนำมาใช้รังวัดมุมราบ
วางแนว และหาค่าระยะทางโดยประมาณได้ แต่ไม่นิยมใช้กันเนื่องจากมีความคาดเคลื่อนมากในการอ่านมุม จึง
นิยมใช้กลอ้ งระดับสำรวจหาคา่ ความสูงของจุดท่ตี ้องการ หรอื ใชก้ ล้องระดับเพ่ือกำหนดให้คา่ ระดับความสูงในการ
กอ่ สรา้ งให้เป็นไปตามรปู แบบรายการที่กำหนดไวใ้ นแบบก่อสร้างตา่ ง ๆ

2.5 กล้องวัดมุม(Theodolite) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรังวัดมุมราบ มุมดิ่ง และสามารถใช้ในการรังวัด
ระยะทางราบ หาระยะทางด่ิง หรือความสูงของวตั ถุได้ นอกจากนน้ั ยังสามารถใช้ในการวางแนวหาค่าระดบั ต่าง ๆ
ในการกอ่ สร้างได้อีกดว้ ย การใช้งานกล้องวัดมุมจงึ มีมากกว่ากล้องระดบั โดยมีจานองศาทรี่ ังวัดได้ท้ังมุมราบและมุ
ดิ่ง เมื่อติดตั้งเขม็ ทิศประกอบสามารถรังวัดค่ามุมทิศ และมุมภาคทิศได้ กล้องวัดมุมมีหลายชนิด หลายรุ่น มีความ
ละเอียดหลายระดับ มีราคาสูง ผู้สำรวจท่ีนำกลอ้ งชนิดนี้ไปใช้งานจึงตอ้ งมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ใช้ให้เหมาะ
กบั ประเภทของงานว่างานน้ัน ๆ ต้องการความละเอยี ดมากนอ้ ยเพียงใด กลอ้ งวดั มมุ ชนิดต่าง ๆ แสดงในภาพ

2.6 โต๊ะสำรวจ หรือโต๊ะแผนที่(Plane Table) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจทำแผนผังที่ไม่ต้อง
บันทึกข้อมูลในสมุดสนาม เมื่อทำการสำรวจรังวัดเสร็จสิ้นจะได้แผนผังของพื้นที่สำรวจไปพร้อมกันโต๊ะสำรวจจึง
เป็นโต๊ะเขียนแบบแผนผังพ้ืนที่สำรวจ มขี าต้งั สามารถถอดพับเก็บไดเ้ พ่ือความสะดวกในการใช้งานในสนาม การใช้
งานจะใช้คกู่ บั กล้องเล็ง หรอื บรรทดั เล็ง(Alidade) ในการสอ่ งเล็งเกบ็ ข้อมลู ในสนามเหมาะกับการสำรวจทำแผนผัง
แผนทใ่ี นบรเิ วณเล็กๆ พื้นท่รี าบ โล่งไม่ปดิ บงั แนวเลง็ และไมต่ อ้ งการความละเอียดมากนัก

2.7 หลักเล็งแนว(Ranging Pole) จะทำด้วยไม้หรือโลหะก็ได้ มีปลายข้างหนึ่งแหลม มีขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ขนาดยาว 2-3 เมตรเป็นเส้นตรงไม่คดงอ ทาสีขาว-แดงสลับกันเป็นช่วง ๆ ละ
50 เซนติเมตร ใช้สำหรบั เล็งแนวรงั วดั ระยะให้เปน็ เส้นตรง หรอื ใช้สำหรบั ปักเปน็ เปา้ เล็งแนวได้

2.8 ห่วงคะแนน (Pin) เป็นเหล็กปลายแหลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1/4 นิ้ว หรือประมาณ 6
มิลลิเมตร มีความยาวต้งั แต่ 40-70 เซนตเิ มตร ปลายอกี ข้างหน่ึงขดงอเป็นวงกลม ทาสีขาว-แดงสลบั กัน ใชส้ ำหรับ
หมายระยะในการรังวดั ระยะด้วยเทป หรอื โซ่เมือ่ ถึงจุดท่ีต้องการวัด จดุ แบ่งระยะของสายวัด หรือจุดสิ้นสุดในการ
วดั นอกจากน้ันยังใช้สำหรบั ลอ่ แนวเล็งในการวัดระยะได้อีกด้วย

2.9 หลักหมุด (Stake) อาจทำด้วยไม้หรือโลหะก็ได้ ถ้าเป็นไม้ควรใช้ไม้เนื้อแข็ง หลักหมุดจะมีขนาด
1 นิ้ว x 1 นิ้ว ยาว 6-8 นิ้ว ใช้เป็นหมุดสำหรับตอกกำหนดจุดต่างๆ โดยจะตอกไว้ในดินพร้อมกับทำเครื่องหมาย
เอาไว้ใหเ้ หน็ เดน่ ชดั

2.10 ค้อนปอนด์(Pound hammer) มีลักษณะเหมือนกับค้อนทั่วไป ทำด้วยโลหะมีไว้สำหรับตอก
หมุด หรอื ตอกตะปูสำหรับทำเครือ่ งหมายในการสำรวจ

2.11 ลูกดิ่ง(Plumb Bobs) ส่วนมากทำด้วยโลหะมีปลายข้างหนึ่งแหลม ตรงขั้วด้านบนจะเจาะรูป
สำหรบั รอ้ ยเสน้ ด้ายหรอื เชือกเอ็น ใชส้ ำหรับทงิ้ ดงิ่ หรอื ระยะในแนวดงิ่ เพอ่ื ให้ ตำแหนง่ ตรงกับตำแน่งท่ีกำหนด

2.12 ไม้วัดระดับ(Staff หรือ Rod) โดยทั่วไปไม้ระดับจะมีชนิดพับได้ หรือชนิดเลื่อนเข้า-ออกเพ่ือ
ความสะดวกในการใชง้ านและเก็บรกั ษา หรือขนย้าย ซงึ่ จะใช้รว่ มกับกล้องระดบั หรอื กล้องวัดมุม ดงั แสดงในภาพ

2.13 เครื่องวัดระยะทางด้วยคลื่นแสง (E.M.D.) เป็นเครื่องมือวัดระยะทางที่มีความละเอียดสูงมาก
สามารถอ่านได้ถึงเศษของมิลลิเมตร มักใช้กับงานทำวงรอบ งานโครงข่ายสามเหลี่ยม มีราคาแพงจึงมักจะมีใช้กับ
หนว่ ยงานบางหน่วยงานเทา่ น้นั

2.14 เป้าเล็ง จะใช้ร่วมกับกล้องแบบต่าง ๆ เพื่อให้เป็นที่หมายเล็งให้เห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อส่องกล้อง
อ่านคา่ ต่าง ๆ

2.15 ซับเทนส์บาร์(Subtense Bar) เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวัดระยะทางอ้อม จะใช้ร่วมกับกลอ้ ง
วัดมุม ลักษณะประกอบด้วยแท่งโลหะยาว 2 เมตร โดยวัดจากจุดกึ่งกลางออกไปข้างละ 1 เมตร ที่ปลายแขนทั้ง
สองข้างจะมีทห่ี มายเลง็ เพ่ือใชอ้ ่านมมุ สำหรบั หาระยะทางโดยการคำนวณจากสมการต่อไปนี้

2.16 กล้องส่องดูภาพถ่ายทางอากาศ ใช้กับงานในสำนักงานมีอยู่ 2 ชนิดคือ ชนิดกระเปา๋ และชนดิ ตง้ั
โตะ๊ ใชใ้ นการส่องดภู าพถ่ายทางอากาศ เพื่อตอ้ งการหาข้อมูลจากภาพถ่ายทางอากาศ ซง่ึ กล้องชนิดอื่นจะส่องดูไม่
เหน็ ดังแสดงในภาพ

2.17 เครอ่ื งมือหาพนื้ ท่ี(Planimeter) เปน็ เครื่องมอื ท่ใี ชส้ ำหรับหาพน้ื ท่บี ริเวณซึ่งมีรูปรา่ งสัดส่วนท่ีไม่
สามารถจะคำนวณได้ด้วยหลักเรขาคณิต ใช้เครื่องมือหาพื้นที่บนระนาบราบที่มีเส้นรอบรูปเป็นเส้นตรง หรือเส้น
คดโค้ง โดยการลากหมุดของเครื่องมือไปตามเส้นรอบรูปที่อยู่ในแผนผัง หรือแผนที่ที่เราต้องการหาพื้นที่ แล้วนำ
ค่าที่ได้จากเครื่องมือไปใช้ในการคำนวณหาขนาดของพืน้ ทีท่ ี่ต้องการหาได้ Planimeter มีแบบที่เป็นมาตรวัดและ
แบบลจิ ติ อลซง่ึ แบ่งออกได้ 2 ชนิด คอื ชนดิ แขนปรับได้ (Movable arm หรอื Adjustable arm) กับชนิดแขนปรับ
ไมไ่ ด้(Fixed arm) ดงั แสดงในภาพ

2.18 เครือ่ งมอื หาพิกัดแผนท่ี(GPS หรอื Global Positioning System) เปน็ เครื่องมอื ทนี่ ำมาใช้ในงาน
สำรวจที่สามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งระบบGPS มีส่วนประกอบ
3 สว่ นดว้ ยกันคือ ส่วนอวกาศทีม่ ีดาวเทยี มเป็นตัวส่งสัญญาณให้กับสว่ นควบคุม เพอ่ื สง่ ขอ้ มลู ใหก้ ับสว่ นผู้ใช้งานที่มี
เคร่ืองรบั สัญญาณ โดยได้มีการนำมาใชง้ านสำรวจทำแผนทีท่ ใ่ี หค้ ่าความถกู ต้องเปน็ เซนตเิ มตรจงึ มคี วามละเอียดสูง
สามารถใช้งานสำรวจเก็บข้อมูลได้รวดเร็วแล้วนำข้อมูลมาประมวลผลด้วย Software เฉพาะของเครื่องมือและ
ระบบ สามารถอา่ นคา่ พกิ ัดแผนท่แี ละแสดงผลได้ทนั ทีซ่ึงเครือ่ งรบั ส่งสญั ญาณ GPS

2.19 เครื่องมือเขียนแบบ ใช้สำหรับเขียนแบบขนาด รูปร่าง สัดส่วน จากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจใน
สนาม เพอ่ื เขยี นข้อเท็จจรงิ ใหถ้ กู ต้องตามความต้องการ

3. การสำรวจหาระยะก้าว และสำรวจด้วยกา้ ว (PACING SURVEY)
ในการสำรวจสิ่งต้องทราบเป็นเบื้องต้นคือระยะทาง (Distance) วิธีการวัดระยะทางมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับ

ความละเอียดของงานที่ต้องการ ในรา่ งกายมนุษยม์ อี วัยวะทีส่ ามารถใชว้ ดั ระยะทางได้ การวัดระยะทางโดยการนับ
ก้าว ก็เป็นการวัดระยะอีกวิธีหนึ่งที่สามารถกระทำได้ ขั้นตอนในการสำรวจต้องทราบระยะก้าวก่อน แล้วทำการ
เดินสำรวจภูมิประเทศ (Walking Survey) ร่างแผนผังขอบเขตพื้นที่ กำหนดหมุดขอบเขตกำหนดแนวเดินสำรวจ
จดบันทึกรายละเอียดข้อมูลในสมุดสนาม ตรวจสอบข้อมูล เขียนแผนผังลงรายละเอียดและคำนวณหาเนื้ อที่ให้
ถกู ต้องในการปฏิบตั งิ านต้องคำนึงถงึ ความพอประมาณในการก้าวเดนิ สำรวจ ไม่กา้ วเดนิ ยาวหรือสน้ั เกินไปต้องเดิน
ปกตติ ามธรรมชาติของตนเองไมร่ ีบเร่ง เพอ่ื ให้ไดข้ อ้ มูลทถี่ ูกต้องเปน็ จรงิ
การปฏิบัตงิ านสำรวจหาระยะก้าว และสำรวจด้วยกา้ ว

1. เครอ่ื งมือและอปุ กรณ์ ได้แก่ เทปวัดระยะ, สมุดสนาม, นาฬกิ าจบั เวลา
2. ลำดบั ขนั้ ตอนการปฏบิ ัตงิ านสำรวจหาระยะก้าว
3.1 หาความยาวก้าวเฉลี่ยโดยการวัดระยะทาง 100 เมตร แลว้ เดินนับจำนวนกา้ วและจับเวลาทใี่ ชใ้ นการ
เดนิ จดบันทึกไว้ในสมุดสนาม ทำการคำนวณหาความยาวก้าวของตนเอง จากสมการ
1) ความยาวกา้ ว = ระยะทางท่ีเดนิ 100 เมตร ÷ จำนวนกา้ วทีเ่ ดนิ (เมตรต่อกา้ ว)
2) อตั ราของความเร็วในการเดิน = ระยะทางที่เดนิ 100 เมตร ÷ ระยะเวลาทีเ่ ดิน (กิโลเมตรต่อ
ช่วั โมง)

3.2 ตัวอย่างการจดสมุดสนาม

3.3 วิธีการคำนวณหาความยาวระยะกา้ ว
1) คำนวณหาความยาวระยะก้าว (ม.) = 100 ÷ จำนวนก้าว ครั้งที่ 1 = 100 ÷ 340 ได้เท่ากับ

0.71 เมตร แลว้ เขียนระยะความยาว 1 ชว่ งกา้ วลงในสมุดสนาม สว่ นครัง้ ที่ 2, 3, 4 และ 5
งานสำรวจหาระยะกา้ วและ สำรวจด้วยก้าว คำนวณหาความยาวระยะก้าวได้ 0.709, 0.704, 0.694, และ

0.690 ตามล าดับ แล้วบันทึกลงในสมดุ สนาม ดงั ที่แสดงในตาราง
2) คำนวณหาผลรวมของความยาว 1 ช่วงก้าว จะได้ 0.71+0.71+0.70+0.69+0.69 ได้เท่ากับ

3.50 เมตร แล้วบนั ทกึ ลงในสมุดสนาม ดังทีแ่ สดงในตาราง
3) คำนวณหาความยาวระยะก้าว (ม.) เฉลยี่ = ผลรวมความยาว 1 ชว่ งก้าว ÷ จำนวน คร้ังท่ีเดิน

จะได้ 3.50 ÷ 5 ได้เทา่ กับ 0.70 เมตร แลว้ เขียนระยะความยาว 1 ช่วงกา้ วเฉล่ยี 0.70 เมตร ลงในสมุดสนาม ดังที่
แสดงในตาราง

3.4 วธิ ีการคำนวณหาความเร็วในการเดิน
1) หาความเร็วในการเดินเป็นเมตรต่อวินาที = ระยะทางที่เดิน ÷ ระยะเวลาที่เดินเป็นวินาที

แทนค่า ระยะทางทเ่ี ดิน 100 เมตร ÷ ระยะเวลาท่เี ดนิ 72 วินาที 1 นาที = 60 วนิ าที + 12 วินาที เป็น 72 วนิ าที)
จะไดค้ วามเรว็ ในการเดินเทา่ กับ 1.39 เมตรต่อวนิ าที

2) หาความเร็วในการเดินเป็นเมตรต่อชั่วโมง = ความเร็วในการเดิน 1.39 เมตรต่อวินาที คูณ
3600 วินาทีตอ่ ชวั่ โมง 1 ช่ัวโมง = 60 นาที x 60 วนิ าท)ี จะไดค้ วามเร็วในการเดินเท่ากับ 5004 เมตรตอ่ ช่ัวโมง

3) หาความเร็วในการเดนิ เป็นกโิ ลเมตรต่อชัว่ โมง = ความเร็วในการเดิน 5004 เมตรต่อช่ัวโมง ÷
1000 (1 กิโลเมตร = 1000 เมตร) จะได้ความเร็วในการเดินเทา่ กบั 5.00 กิโลเมตรต่อชว่ั โมง แล้วเขียนคา่ ความเร็ว
ในการเดิน 5.00 กม./ชม. ลงในสมุดสนาม

4) หาความเร็วในการเดินเป็นกิโลเมตรตอ่ ชั่วโมง ในส่วนครั้งท่ี 2 = 100 เมตร x 3600 วินาที ÷
(ระยะเวลาที่เดิน 73 วินาที x 1000 เมตร/กิโลเมตร) จะได้ 4.93 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วบันทึกค่า 4.93 ลงใน
สมดุ สนาม

5) ครงั้ ที่ 3, 4 และ 5 คำนวณหาความเร็วในการเดินเป็นกิโลเมตรต่อชว่ั โมงได้ 4800, 4737 และ
4 , 6 , 7 , 5 ตามลำดบั แลว้ บันทึกคา่ 4.80, 4.74 และ 4.68 ลงในสมุดสนาม ดงั ทแ่ี สดงในตาราง

6 ) ค ำ น ว ณ ห า ผ ลร ว ม ข อ ง ค ว าม เ ร็ ว ใ นก า ร เด ิน เ ป็ นก ิ โ ลเ ม ต รต ่อ ช ั่ ว โ ม งจะได้
5.00+4.93+4.80+4.74+4.68 ได้เท่ากับ 24.15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วบันทึกลงในสมุดสนาม ดังที่แสดงใน
ตาราง

7) คำนวณหาความเร็วในการเดินเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมงเฉลีย่ = ผลรวมของความเรว็ ในการเดนิ
เป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง ÷ จำนวน ครั้งที่เดิน จะได้ 24.15 ÷ 5 ได้เท่ากับ 4.83 กิโลเมตรตอ่ ช่ัวโมง แล้วเขียนลงใน
สมดุ สนาม ดังท่ีแสดงในตาราง

ข้อควรระวัง ในการเดนิ หาระยะความยาวของก้าวตนเองและการเดนิ หาระยะทางโดยการนบั กา้ วความถูกต้อง
ขึน้ อยกู่ ับ
1. ความสม่ำเสมอของกา้ วทเ่ี ดิน
2. การนบั จำนวนกา้ วท่ถี ูกต้อง
3.การเดินที่เปน็ แนวตรง

4. การวัดระยะด้วยโซ-่ เทป
การวัดระยะด้วยโซ่-เทป เปน็ วิธกี ารวดั ระยะทางราบทีใ่ ชก้ นั โดยทัว่ ไป เพราะสามารถวัดไดล้ ะเอยี ดถูกต้อง

เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวัดระยะมีราคาถกู กวา่ เคร่ืองมือชนิดอ่ืน และการฝึกหดั ผเู้ รยี น สามารถทำไดไ้ ม่ยากนกั ระยะท่ี
วดั ดว้ ยโซ่-เทป จะต้องมีลักษณะที่สำคัญๆ 2 ประการคือ ระยะท่ีวดั จะต้องเป็นระยะในแนวเสน้ ตรงระหวา่ งจุดท่ีทำ
การวัด และจะต้องเป็นระยะในแนวราบเท่านั้น หากการวัดระยะครั้งใดไม่ได้ลักษณะนี้ ระยะที่วัดได้จะ
คลาดเคลือ่ นจากความเป็นจรงิ

4.1 เครอ่ื งมอื ที่ใชว้ ัดระยะด้วยโซ่-เทป เคร่อื งมือและอุปกรณท์ ี่ใช้วดั ประกอบดว้ ย

4.1.1 โซล่ านเสน้ ความยาว 20 เมตร และ 40 เมตร หรือ 1 เส้น
4.1.2 โซ่ลานฟุตความยาว 100 ฟตุ

4.1.3 เทปเหล็ก

4.1.4 เทปเอสลอ่ น ความยาว 20, 25, 30 และ 50 เมตร

4.1.5 เทปอินวาร์ (Invar) ความยาว 20,30,50 และ 100 เมตร เทปอิวาร์ทำด้วยโลหะผสม
ระหว่างเหล็กกล้า 65% และนิเกิ้ล 35% มีความยืดหดตัวน้อยมาก เดิมใช้กับงานวัดระยะเส้นฐานโครงข่าย
สามเหลยี่ มและงานชั้นที่ 1 แต่ในปัจจบุ ันได้ใชเ้ ครอ่ื งมอื วัดระยะทางอเิ ล็กทรอนิกส์แทน

4.1.6 ห่วงคะแนน (Pin หรือ Arrow) ทำด้วยเหล็กขนาดเส้นผ่ายศนู ย์กลางประมาณ 6มิลลิเมตร
ปลายข้างหนึ่งแหลม ปลายอีกข้างหนึ่งงอเป็นห่วง ความยาวประมาณ 40-60เซนติเมตร หรือยาวกว่านี้ ทาสีขาว-
แดงสลบั กนั ห่วงคะแนนใช้สำหรบั ทหี่ มายของโซ่ – เทป เมอ่ื ระยะท่ีวดั ยาวกว่าความยาวของโซ่-เทป และสามารถ
ใชเ้ ปน็ เคร่อื งมอื ลอ่ แนวสำหรับวดั ระยะดว้ ย

4.1.7 หลักเล็งแนว (Ranging Pole) ส่วนมากทำด้วยอลมู เิ นียมเส้นผา่ ยศูนย์กลางประมาณ 1 น้ิว
ความยาว 2 และ 3 เมตร ทาสขี าว-แดงสลับกนั ใชป้ กั เปน็ เปา้ สำหรับเลง็ แนววดั ระยะให้เปน็ เส้นตรง

4.1.8 ดิ่ง (Plumb Bobs) ใช้สำหรับทิ้งดิ่งโซ่หรือเทปไปยังพื้นดิน เพื่อให้ตำแหน่งบนพื้นดินตรง
กับตำแหน่งทกี่ ำหนดบนโซห่ รอื เทป

4.1.9 ระดับมอื (Hand Level) เป็นเครื่องมือท่ีใช้สำหรับกำหนดความสูงของหวั และท้ายของโซ่-
เทปให้มีความสูงเทา่ กนั ระยะทีว่ ัดจึงจะอย่ใู นแนวราบ

4.1.10 เครื่องดึงโซ่-เทป (Tension Handle Balances) ใช้สำหรับดึงโซ่-เทปให้ได้แรงดึงตาม
กำหนดของโซ่-เทปแตล่ ะเส้น

5. วธิ กี ารวดั ระยะด้วยโซ่ - เทป การวดั ระยะดว้ ยโซ่ - เทป มวี ธิ กี ารปฏบิ ตั ิดงั น้ี
5.1 การเล็งแนววัดระยะเมื่อช่วงของระยะที่วัดยาวมากกว่าความยาวของโซ่ – เทป จุดประสงค์ของการ

เล็ง แนววัดระยะเพอื่ แนวทวี่ ัดเป็นเส้นตรง การเล็งแนววดั ระยะทำได้ 2 วิธคี อื
(1) การเล็งด้วยตาเปล่าทำได้โดยการใช้ หลักเล็งแนวที่ปักไว้ ที่มุมหัวและท้ายของระยะที่จะทำ

การวัด คนเล็งแนวอยู่ ที่จุดเริ่มต้น และต้องยืนอยู่ห่างจากหลักเล็งแนวอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพราะถ้ายืนใกล้
กวา่ นีก้ าร เล็งแนวอาจเกิดการคลาดเคลอ่ื นได้

(2) การเล็งแนวดว้ ยกล้อง กล้องทใี่ ช อาจเป็นกล้องวดั มุม กลอ้ งระดับหรือ กลอ้ งส่องของเข็มทิศ
กล้ องท้ังสาม มวี ิธเี ล็งแนว เหมือนกันแต่โดยทั่วไป จะใชก้ ล้อง วดั มุมเพราะ ช งานไดส้ ะดวกและลองตัวกว่ากล้อง
ชนิดอื่น การเล็งแนวด้วยกล้องวัดมุมจะได้แนวเส้นตรงที่ถูกต้องกว่า การเล็งแนวด้วยตาเปล่า สำหรับวิธีการเล็ง
แนวดว้ ยกลอ้ ง จะได้กลา่ วรายละเอียดในเรอ่ื งการวางแนวเสน้ ตรงดว้ ยกลอ้ งวดั มมุ

5.2 การล่อแนว เมื่อคนหัวโซ -เทปลากโซ่ -เทปไปได้ 1 ช่วง คนหัวโซ -เทปจะหา ตำแหน่งที่อยู่ ในแนว
เส้นตรงได้โดยถือห่วงคะแนนล่อแนว เพื่อให้คนเล็งแนวดูว่า หวงคะแนน อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน กับหลักเล็ง
แนวที่ปักไว้ ณ จุดหัวและท้ายหรือไม่ เมื่อคนเล็งแนวให้สัญญาณขยับห่วงคะแนนคนล่อแนวจะต้องขยับห่วง
คะแนนตามสญั ญาณ จนหว่ งคะแนนอยู่ในแนวเส้นตรงจงปกหวงคะแนนถา้ เปน็ พื้นแข็งเช่นเปน็ พื้นคอนกรีต ให้ ทำ
เครอ่ื งหมายไวบ้ นพนื้ การให้สัญญาณห่วงคะแนนตามรูป ปฏบิ ตั ิดงั น้ี

(1) ใหข้ ยบั หว่ งคะแนนไปทางแขนด้านท่ีโบก ถา้ โบกเรว็ ให้ยบั เรว็ ถ้าโบกชา้ ให้ขยับชา้ ๆ ซงึ่ แสดง
วา่ ใกล้ จะตรงแนวแลว้

(2) ถ้าคนให้สญั ญาณเหยียดแขนตรงท้ังสองข้างให้คนล่อแนวหยุดขยับหว่ งคะแนน และคอยดูว่า
คนให้ สัญญาณจะขยบั แขนทางไหนอีกก็ใหข้ ยับหวงคะแนนไปทางนน้ั ชา้ ๆ

(3) ถ้าคนเล็งแนวโบกแขนลงทั้งสองข้างพร้อมกัน แสดงว่าห่วงคะแนนตรงแนวแล้วคนล่อแนว
ต้องปกั ห่วงคะแนนใหแ้ นน่ หรือทำเครื่องหมายไว้เมอื่ ไม่สามารถปักห่วงคะแนนได้

(4) ทำเครื่องหมายบอกระยะ เมื่อปักห่วงคะแนนบนแนวเส้นตรงแล้วคนหัวโซ -เทป จะต้องดึง
โซ่ -เทป ให้ตึงโดยใช้เครื่องดึงให้ได้แรงดึงตามที่กำหนด และให้ โซ่ -เทปทาบผ่านห่วง คะแนนหรือเครื่องหมาย
ที่ทำไว้ ขณะเดียวกันคนท้ายโซ่ -เทป จะต้องระวังให้ขีดเครื่องหมายซึ่ง ห่วงคะแนนอีกอันหนึ่ง ปักหรือทำ
เคร่ืองหมายบนพื้น ใหต้ รงกับขีดเครื่องหมายที่หวั โซ่-เทป แลว้ ดงึ ห่วงคะแนนอนั ท่ใี ช้ลอ่ แนวออก ความยาวของช่วง
ทีว่ ดั ช่วงแรกนี้ จะเท่ากับความยาวของโซ่-เทป

(5) การวัดชว่ งตอ่ ไป คนหวั โซ่-เทปจะลากโซ่-เทปต่อ สว่ นคนท้ายโซ่-เทป จะเดินตามไป เพ่ือวัด
ระยะต่อ ณ ท่ซี ่งึ ทำเครื่องหมายหรือที่ปักห่วงคะแนนไว้ โดยการใชห่ ว่ งคะแนนที่ปักไว้เป็นหลักสำหรับการเล็งแนว
ต่อ หรืออาจนำหลกั เลง็ แนวอันแรก มาปักที่หลงั ห่วงคะแนนแล้วเล็งแนว โดยใช้หลักเล็งแนวที่ปักขึน้ ใหม่ก็ได้ ส่วน
วิธีการอ่ืน ๆ เช่นการลอ่ แนว และการทำเคร่ืองหมายบอกระยะ คงทำเชน่ เดมิ การวัดระยะต่อเนื่องเช่นน้ี ไปจนถึง
จดุ สุดทา้ ย แลว้ รวมระยะท่ีวัดท้งั หมดเข้าด้วยกนั กจ็ ะไดร้ ะยะระหว่างจดุ ทีต่ ้องการ

5.3 การวดั ระยะบนพน้ื ทล่ี าดเอียง ระยะท่ีวัดในงานสำรวจ จะตอ้ งเปน็ ระยะราบ ดงั น้นั ถา้ บรเิ วณทีท่ ำการ
วัดระยะเป็นพื้นราบ เช่น สนามฟุตบอล หรือทุ่งนาราบ การวัดระยะจะทำได้ง่ายโดยการวางโซ่-เทปบนพื้นดินได้
เลย แต่ถ้าบริเวณที่วัดระยะเป็นที่ลาดเอียง ก็จำเป็นจะต้องยกโซ่หรือเทปด้านใดด้านหนึ่งขึ้น เพื่อให้โซ่-เทปอยู่ใน
แนวราบ และใช้ดิ่งช่วยในการทำทีห่ มายตำแหนง่ บนพืน้ ดิน

6. ความคลาดเคลอ่ื นในการวดั ระยะดว้ ยโซ่-เทป
การวัดระยะด้วยโซ่-เทปให้ถูกต้อง ทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อน ที่อาจเกิดขึ้นใน

ระหว่างการวัดระยะ หลายประการ คือ

6.1 ความยาวของโซ่-เทปไม่ได้มาตรฐาน การตรวจสอบความยาวของโซ่-เทป ทำได้โดยเอาไปดงึ เทียบกับ
ความยาวมาตรฐาน ที่ถูกต้องแน่นอนแล้ว การดึงเทียบนี้จะต้องใช้เครื่องดึงเพื่อกำหนดขนาดแรงดึงให้แน่นอน
แล้วตรวจสอบดูว่า โซ่-เทปมีความยาวได้ตามมาตรฐานหรือไม่สั้นหรือยาวไปเท่าไร หรือจะต้องใช้แรงดึงเท่าไร
ความยาวของโซ่ – เทปจึงจะได้มาตรฐาน หากโซ่ - เทป สั้นกว่ามาตรฐาน ระยะที่วัดได้จะมากกว่าความเป็นจริง
แต่ถ้าโซ่ - เทป ยาวกวา่ มาตรฐาน ระยะที่วัดไดจ้ ะน้อยกว่าสความเป็นจริง

ถ้านำโซ่ – เทปที่มีความยาวไม่ได้ มาตรฐานไปทำการวัดระยะ ระยะที่วัดได้จะคลาด – เคลื่อนจากความเป็นจริง
จะต้องคาํ นวณปรับแก้ระยะท่วี ัดได้ใหถ้ ูกต้อง

6.2 การจดศูนย์และการทำเครื่องหมายบอกระยะไม่ถูกต้องความคลาดเคลื่อนใน กรณีนี้ไม่เป็นระบบไม่
อาจตรวจสอบไดร้ ะยะทีว่ ดั ได้อาจสัน้ หรือยาวกวา่ ความเปน็ จรงิ

6.3 โซ่ – เทป ไม่อยู่ในแนวเส้นตรง เช่น เล็งแนวไม่ดีหรือเวลาวัดโซ่ – เทปติดต้นไม้เล็ก ๆ ความคลาด
เคลื่อน ในกรณนี ี้ไม่อาจตรวจสอบได้ แตร่ ะยะที่วดั ได้ มกั ยาวกวา่ ความเป็นจรงิ เสมอ

6.4 เวลาวดั โซ่ – เทปไมไ่ ด้ระดับความคลาดเคลอื่ นในกรณีน้ไี ม่ อาจตรวจสอบได้ เชน่ กัน และระยะท่ีวัด
ไดจ้ ะยาวกว่าความเปน็ จริง

6.5 แรงดึง โซ่ -เทป ไมไ่ ด้ ตามมาตรฐานทก่ี ำหนด กอ่ นท่จี ะนำโซ - เทปไปใชง้ านจะต้องนําไปดงึ เทียบกับ
ขนาดมาตรฐาน โดยใช้เครื่องดึง เพื่อหาว่าจะต้องใช้แรงดึงเท่าไรโซ่ – เทป ที่จะนําไปใช้จงจะได้ความยาวตาม
มาตรฐานทก่ี ำหนด เวลาใชง้ านก็จะต้อง ใช้แรงดึงตามท่หี าได้ มฉิ ะนัน้ ระยะทวี่ ัดได้ จะคลาดเคลอ่ื นกล่าวคือ แรง
ดึงมากเกนิ ไป โซ่ – เทปจะยืดยาวกวา่ มาตรฐาน ระยะทีว่ ัดได้ จะน้อยกวา่ ความจริงแตถ่ ้าใชแ้ รงดงึ น้อยไปโซ่ - เทป
ก็จะหยอ่ นหรือตกทอ้ งชา้ งมากเกนิ ไป ระยะทวี่ ดั ไดจ้ ะมากกวา่ มาตรฐานเชน่ กัน

6.6 การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโซ่ -เทปที่ทำด้วยโลหะแต่ละเส้น มีความยาวได้มาตรฐาน ที่อุณหภูมิ
หนึง่ ๆ ถ้าอณุ หภูมิตำ่ ลง โซ่ – เทป จะหดตัวและในทางกลับกันถ้าหา อุณหภมู ิ สงู ขน้ึ โซ่ - เทปก็จะยืดตัว ระยะที่
วัดได้ จะเกดิ ความคลาดเคล่ือน ดังนน้ั ในการวดั ระยะท่ตี อ้ งการ
ความละเอยี ดถูกต้องสงู จะต้องวัดอณุ หภมู ขิ ณะทำการวัดระยะไว ดว้ ย เพื่อนาํ มาคํานวณแก้หาระยะที่ถกู ต้อง

6.7 การอ่านระยะผิดพลาด เช่น การอ่านสลับตำแหน่งจาก 2.543 เมตร เป็น 2.453 เมตร หรือจำช่วง
เทปผดิ เชน่ วัดได้ ระยะ 5 ช่วงเทป (250 เมตร) คดิ ว่าเปน็ 6 ช่วงเทป (300 เมตร) เป็นตน

6.8 การจดระยะในสมุดสนามผิดพลาด เช่น การจดตำแหน่งจาก 2.543 เปน็ 2.453 เปน็ ต นจะเห็นได้ว่า
ในการวัดระยะแต่ละครั้ง อาจเกิดความคลาดเคลื่อน จากสาเหตุต่าง ๆ หลาย ประการดัง และความคลาดเคลื่อน
บางอยา่ งไม่ อาจตรวจสอบได้ ดังนน้ั ในการวดั ระยะจงึ จำเป็นตอ้ งละเอียด รอบคอบและต้องตรวจสอบโดยการวัด
ระยะคร้งั ทส่ี อง เป็นการวัดสวนทาง กบั การวดั คร้ังแรก ถา้ คา่ ทไ่ี ดจ้ ากการวัดท้ังสองครง้ั แตกต่างกันมาก แสดงว่ามี
ความคลาดเคล่ือน จะต้องทำการวัดใหม่ อีกครง้ั แต่หากคา่ แตกต่างกันเพียงเลก็ น้อย และอยู่ ในเกณฑ์ ความคลาด
เคลอ่ื นท่ียอมให้กใ็ หน้ าํ ค่าทง้ั สองมาเฉลยี่ เป็นระยะที่ต้องการ

การคำนวณแก่ความคลาดเคลื่อนของระยะที่วัดด้วยโซ - เทป การคํานวณปรับแก ระยะที่ วัดด้วย
โซ - เทป ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น เนื่องจากความยาวของโซ - เทปไม่ได้มาตรฐาน และเนื่องจากการ
เปลีย่ นแปลงของอณุ หภมู ิ มหี ลักการดังนี้

การคํานวณแก่ระยะเน่อื งจากความยาวเทปไมไ่ ด้มาตรฐาน มีสตู รทีใ่ ช ในการคํานวณ คือ

ตัวอย่าง เทป 50 เมตร เส้นหนึ่งเมื่อนำไปเทียบกับระยะมาตรฐาน ปรากฏว่ามีความยาวเป็น 49.950 เมตร
แต่เมอ่ื นำเทปเส้นน้ไี ปวัดระยะได้ 278.520 เมตร ระยะทถ่ี ูกตอ้ งจะเปน็ เทา่ ไร

เกณฑ์ความคลาดเคลื่อนของการวัดระยะ การวัดระยะด้วยโซ่-เทป มีความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้
หลายประการ ดงั นัน้ จงึ ต้องมกี ารตรวจสอบโดยการวัดระยะ 2 ครั้ง แล้วนำมาเทยี บกันดูวา่ คา่ ที่ได้แตกตา่ งกันมาก
น้อยเพียงไร อยู่ในเกณฑ์ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ได้หรือไม่ ถ้าความคลาดเคลื่อนเกินกว่าเกณฑ์ที่ยอมให้ ก็
จะต้องทำการวัดระยะใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าในการวัดระยะ 2 ครั้งนั้น ใช้โซ่-เทประบบเดียวกันควรวัดระยะสวน
ทางกนั ถา้ โซ่-เทปต่างระบบกัน เช่น ใช้โซล่ านเสน้ และโซ่ลานฟตุ อาจวัดระยะตามทางเดียวกนั ได้ แล้วแปลงค่าให้
เปน็ ระบบเดยี วกันเพอ่ื นำมาเปรยี บเทยี บกนั

เกณฑค์ วามคลาดเคลอื่ นที่ยอมให้ของการวัดระยะโซ่-เทป
1. การวัดระยะธรรมดา 1 : 3,000 – 1 : 5,000 ใช้กับงานทำวงรอบงานสำรวจที่ดินการวางแนวก่อสร้าง

และการทำแผนท่ีภมู ิประเทศ เปน็ ตน้
2. การวัดระยะอย่างละเอียด (Precise Taping) 1 : 10,000 - 1 : 30,000 ใช้กับการทำวงรอบของงาน

สำรวจเมือง (City Survey) การทำเส้นฐานของงานวงรอบชั้นที่ 3 และงานก่อสร้างที่ต้องการความละเอียดสูง
เปน็ ตน้

การหาความคลาดเคลื่อนจากการวัดระยะ ทำได้โดยเอาค่าความแตกต่างของการวัดระยะ 2 ครั้ง เทียบกับ
ความยาวของระยะที่วัดโดยประมาณ แล้วคำนวณปรับค่าความแตกต่างให้เป็น 1 ก็จะได้ความคลาดเคลื่อนของ
การวัดระยะ

7. การดแู ลรักษาโซ่ – เทปและอปุ กรณ์
การปฏบิ ตั งิ านสำรวจรังวัด โซ่และเทปเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน ท่มี ีความจำเป็นทจี่ ะต้องใช้งานเป็นประจำ จึง

เกดิ การชำรดุ ได้งา่ ย ประกอบกับการวัดระยะ จะต้องมคี วามละเอยี ด ผ่านเกณฑ์มาตรฐานท่ีกำหนด ชา่ งสำรวจที่ดี
จึงถือเป็นหน้าที่ ในการดูแลรักษาเพื่อให้อุปกรณ์นี้มีความพร้อมในการใช้งาน และเป็นการยืดอายุให้ทนนานมาก
ยง่ิ ขน้ึ จงึ กำหนดขอ้ ปฏิบัตดิ งั นี้

1 ขณะปฏิบัตงิ านต้องใหโ้ ซ่ – เทป เปน็ เส้นตรงเสมอ หากโซพ่ บั อาจหักได้ สว่ นเทปอาจพนั กันเปน็ ปมแน่น
การวดั ระยะอาจผดิ พลาดได้

2 ระวังอย่าใช้โซ่ – เทป ขณะมียานพาหนะผ่านไปมา อาจทำให้แตกหักหรือฉีกขาดได้ควรรอให้
ยานพาหนะผ่านไปกอ่ น หรอื ขอใหห้ ยุดการจราจรเปน็ การช่ัวคราว เพอื่ ความปลอดภยั ของผู้ปฏบิ ัติงานดว้ ย

3 ควรหลีกเลี่ยงการลากโซ่ – เทป ผ่านพื้นแข็ง เช่น ถนนคอนกรีต หรือถนนลูกรัง อาจทำให้ตัวเลขหรือ
เครื่องหมายตา่ ง ๆ ลบเลอื นเรว็ ขน้ึ

4 หลังจากการใช้งานก่อนการม้วนเก็บ จะต้องทำความสะอาดทุกครั้ง หลังจากนั้นถ้าเป็นโซ่ หรือ เทป
สแตนเลสให้รดู ด้วยผา้ ชบุ นำมนั เพอ่ื ป้องกนั สนิมและยดื อายกุ ารใช้งาน

5 จะตอ้ งระมัดระวังเทปเอสลอ่ น หรอื เทปผ้าเปน็ พิเศษ เนื่องจากชำรดุ งา่ ย เช่น อยา่ ดงึ แรงเกินไป อย่าให้
ถกู ของมีคม ถา้ เทปเปอ้ื นโคลน หรอื สิ่งสกปรก รบี ลา้ งน้ำใหส้ ะอาด ก่อนม้วนเกบ็ ควรทำความสะอาดขณะม้วน ถ้า
เทปเปยี กหรอื ช้ืนให้ผ่ึงใหแ้ ห้งก่อนม้วนเก็บ

6 เมื่อวัดระยะเสร็จแต่ละช่วงการวัด อย่าลืมเก็บห่วงคะแนนนับจำนวนและหลักเล็งทุกครั้ง โดยเฉพาะ
ห่วงคะแนนมักหายบอ่ ย ๆ เน่ืองจากมขี นาดเลก็ กอ่ นเก็บตอ้ งทำความสะอาดทุกครั้ง

7 สถานทเ่ี ก็บ ควรแห้งอากาศถ่ายเทไดส้ ะดวกปราศจากละอองฝน เพอื่ เปน็ การปอ้ งกนั การเปน็ สนิม
8 ครูช่าง สมยั กอ่ นช่างทีจ่ บจากสถาบันการอาชีวศึกษา สว่ นมากในปีแรกที่เข้าเรียน จะมีพิธีครอบครูช่าง
ในวนั ไหว้ครู ชา่ งทุกสาขาจึงให้ความเคารพเคร่ืองมือ ซงึ่ เปรียบเสมือนครู การเดินข้ามเคร่ืองมือทุกชนิด เป็นส่ิงไม่
สมควรกระทำ

8. การเกบ็ รายละเอยี ดด้วยวิธีสะกดั
ความละเอียดถกู ต้องของการสำรวจดว้ ยโซ่-เทปนี้ จะขึ้นอยู่กับความถูกต้องของการวัดระยะดังนั้นผู้ท่จี ะ

ทำการสำรวจด้วยโซ่-เทป จะต้องมีทักษะในการวัดระยะด้วยโซ่-เทป และเข้าใจหลักการสำรวจด้วยโซ่-เทปเป็น
อย่างดี

8.1 หลักการสำรวจด้วยโซ่-เทป การสำรวจด้วยโซ่-เทป จะอาศัยหลักการของรูปสามเหลี่ยม ในการ
กำหนดจุดต่อเนื่องกันไป จนประกอบเป็นรูปแผนที่ตามความต้องการ บางแห่งจึงเรียกการสำรวจด้วยโซ่ -เทป
ว่าการสามเหล่ยี มดว้ ยโซ่

ตามรูป ABCDE เป็นที่ดินแปลงหนึ่ง การที่จะทำแผนทีข่ องดินแปลงนีไ้ ด้ จะต้องอาศัยการวัดระยะเป็นรูป
สามเหลี่ยม ซ่งึ รูปสามเหลีย่ มเหล่านจ้ี ะประกอบดว้ ยเสน้ ทีม่ ชี ื่อเรียกตา่ ง ๆ กนั คอื

เส้นฐาน (Base Line) เป็นเส้นที่จะใช้เป็นฐาน ในการสร้างรูปสามเหลี่ยม หรือเชื่อมหมุดหลักเขตตาม
จุดมมุ ตา่ งๆ ตามรปู คือ เส้น AB เพ่ือใชเ้ ป็นฐานในการสร้างรปู สามเหลย่ี มABC และรปู สามเหล่ียม ABD

เส้นประกอบรูปสามเหลี่ยมหรือเส้นซอย (Tie Line) เป็นเส้น 2 เส้น ที่สร้างประกอบกับเส้นฐาน
เพื่อให้เกิดเป็นรูปสามเหลี่ยม เนื่องจากจุดนั้นๆอยู่ไกลจากเส้นฐาน ทำให้การเก็บรายละเอียดทำได้ครบถ้วน และ
ทำหนา้ ที่เปน็ เสน้ ตรวจไปในตวั ด้วย ตามรปู สามเหล่ยี ม ABCซ่ึงมี AB เปน็ เสน้ ฐานมี AC และ BC เปน็ เส้นประกอบ
รูป สว่ นสามเหลีย่ ม ABD มี AB เป็นเสน้ ฐาน มี AD และ BD เปน็ เส้นประกอบรูป

เส้นตรวจ (Check Line) เป็นเส้นที่สร้างขึ้น เพื่อตรวจหาความคลาดเคลื่อน ของการวัดระยะและการ
ลงที่หมายว่า คลาดเคลื่อนอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ ในสามเหลี่ยมแต่ละรูป จะมีเส้นตรวจสอบอย่างน้อยหน่ึง
เส้นเสมอ โดยการเปรียบเทยี บระยะเส้นตรวจสอบ ที่วัดได้จริงในสนาม กับระยะเส้นตรวจเส้นเดียวกนั ตามรูป คือ
เส้น CD ซึ่งจะต้องทำการวัดระยะจริงในสนามว่า ยาวเท่าไร และวัดระยะของ CD ในแผนที่ ที่ทำการขึ้นรูปไว้ว่า
ยาวเท่าไร เมื่อเทียบหาความยาวตามมาตราส่วนแล้ว ระยะทั้งสองจะต้องอยู่ในเกณฑ์ความคลาดเคลื่อนที่กำหนด
แต่ถ้าระยะทั้งสองแตกต่างกันมาก แสดงว่ามีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดได้ 2 ทาง คือ การวัดระยะใน
สนามผิดพลาด และการขึ้นรูปแผนที่ผิดพลาด จะต้องตรวจสอบหาความผิดพลาด โดยตรวจสอบการขึ้นรูปแผนท่ี
กอ่ นว่า ผดิ พลาดหรอื ไม่ ถ้าการขึน้ รปู แผนท่ีผิดพลาด ก็ใหแ้ ก้ไขใหม่และวัดระยะ CD ในแผนท่ี ตรวจสอบกับระยะ
จริงอีกครั้ง แต่ถ้าการขึ้นรูปแผนที่ถูกต้อง แสดงว่าการวัดระยะในสนามมีความคลาดเคลื่อน จะต้องวัดระยะใหม่
แล้วนำข้อมลู มาขึน้ รูปแผนทีต่ ่อไป

ถ้าระยะ CD ที่วัดได้ในแผนที่และระยะ CD ที่วัดในภูมปิ ระเทศ มีความคลาดเคลื่อนอยูใ่ นเกณฑ์ที่กำหนด
แสดงว่าการปฏิบัติงานที่ผ่านมาถูกต้อง คือ จุด C และจุด D อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ก็จะใช้ CD เป็นเส้นฐานเพือ่
สรา้ งสามเหลี่ยม CED ต่อไป เส้น DE และ CE กจ็ ะเปน็ เส้นประกอบรปู สามเหลีย่ ม

8.2 การเก็บรายละเอียดด้วยโซ่-เทป
การเก็บรายละเอียดด้วยโซ่-เทป จะต้องใช้เส้นของรูปสามเหลี่ยม หรือเส้นฐานที่สร้างขึ้นเป็น

พิเศษเฉพาะงาน เป็นเส้นอ้างอิงเพื่อเก็บรายละเอียด การเก็บรายละเอียดด้วยโซ่-เทป จะให้วิธีระยะสกัด และวิธี
ระยะฉาก ซ่ึงมวี ธิ ีการดังนี้

8.2.1 การเก็บรายละเอยี ดดว้ ยววิธรี ะยะสกัด การเกบ็ รายละเอียดด้วยวิธีระยะสกัด เป็นการเก็บ
รายละเอียดโดยใชห้ ลกั การของสามเหลยี่ มดว้ ยโซ่-เทป ตามรปู

ตามรปู สมมติให้ ก ข เปน็ เส้นฐานมีความยาว 50 เมตร ตอ้ งการเกบ็ รายละเอียด เสาไฟ P และอาคาร ABCD
การเกบ็ รายละเอียดเสาไฟ P ทำไดโ้ ดยวดั ระยะจาก ก ไปเสาไฟ P และวดั ระยะจาก ขไปเสาไฟ P หรือถ้า

ระยะจาก ข ไฟเสาไฟ P ไกลเกินไป ก็อาจวัดระยะจากตำแหน่ง 20 เมตร ไป P แทน ส่วนอาคาร ABCD จะใช้
วธิ กี ารวัดระยะจาก ก ไป A จาก ก ไป B จาก ข ไป A และจาก ข ไป B วดั ขนาดของอาคาร AB, BC, CD และ DA
จากนัน้ นำขอ้ มลู ที่ไดไ้ ปลงทหี่ มายแผนท่ตี อ่ ไป

การจดสมดุ สนามเมือ่ เก็บรายละเอยี ดด้วยวธิ ีระยะสกัด ให้ใชว้ ธิ ีการเขยี นภาพร่างแลว้ เขยี นระยะท่ีวัดได้ใน
ภาพรา่ ง ดงั รูป

8.3 การขน้ึ รูปแผนท่ี (Plotting)
การขึ้นรูปแผนที่ หมายถึงการนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ มาเขียนเป็นรูปแผนที่ ดังนั้นจึงต้อง มีเครื่อง
เขียนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนกระดาษ เพื่อจัดทำต้นร่างแผนที่อย่างพร้อมเพียง ในที่นี้ จะแนะนำเฉพาะ
หลักการเขียนเท่านั้น ส่วนรายละเอียดจะต้องศึกษาในรายวิชาที่เกี่ยวกับการเขียนแผนที่ หรือจากเอกสารอื่นท่ี
เกีย่ วขอ้ ง การขึ้นรูปแผนทีท่ ำได้หลายวธิ ี ตามลกั ษณะของ วิธีการเกบ็ รายละเอียดดงั น้ี
8.3.1 การข้นึ รปู แผนทดี่ ้วยวธิ ีระยะสกัด ให้ดำเนินการตามขัน้ ตอนดงั นี้

1) พจิ ารณาข้อมูลของรปู แผนทีท่ ี่จะเขยี นจากสมดุ สนาม เพอ่ื กำหนดข้ันตอน และการวางรูปที่จะ
เขยี นบนกระดาษ

2) กำหนดมาตราส่วนท่ีจะใช้ โดยพิจารณาจากข้อกำหนดของหน่ายงาน ชนิดของงานและอื่น ๆ
ตามความเหมาะสม

3) ลากเส้นฐานลงบนกระดาษ ให้มีทิศทางและตำแหน่งที่เหมาะสม มีความยาวตามระยะและ
มาตราส่วนที่กำหนด

4) ใช้จุดบนเส้นฐานเปน็ จุดอ้างอิง(เป็นจดุ ศูนย์กลางของวงกลม) เพื่อใช้วงเวียงกำหนดความยาม
ของระยะสกดั

5) สมมุติให้ใช้มาตราส่วน1:500 ลากเส้นฐาน กข ความยาม 5.000 ม.หรือ1 ซม. บนต้นร่างการ
ขน้ึ รปู ตำแหน่งเสาไฟ P

6) ใชจ้ ดุ ก เปน็ จดุ ศนู ย์กลาง กางวงเวียนรัศมี 27.635 ม. หรอื 5.527 ซม. ขีดส่วนโค้งของวงกลม
ไว้ใช้จดุ ข เปน็ จุดศูนย์กลาง กางวงเวียนรศั มี 32.428 ม. หรือ 6.486 ซม. ขีดส่วนโคง้ ของวงกลมตัดสว่ นโค้งเดมิ

7) จุดตัดของส่วนโค้งทัง้ สองจะเป็นตำแหน่งของเสาไฟ P เขียนรูปสัญลักษณ์ของเสาไฟไว้บนต้น
รา่ งแผนที่ สว่ นการขึน้ รูปอาคาร ABCD ทำได้ดงั น้ี

8) ใช้จุด ก เป็นจดุ ศูนยก์ ลาง กางเวียนรศั มี 11.280 ม. หรอื 2.256 ซม. ขีดส่วนโค้งของวงกลมไว้
9) ใชจ้ ุด ข.เปน็ จดุ ศนู ยก์ ลาง กางวนเวยี นรัศมี 37.359 ม. หรอื 4.72 ซม. ขีดส่วนโคง้ ของวงกลม
ตัดส่วนโค้งเดิม จดุ ตดั ของส่วนโค้งทั้งสอง เป็นตำแหน่งของจดุ A
10) ใช้ ก เปน็ จดุ ศนู ย์กลาง กางวงเวียนรัศมี 34.252 ม. หรือ 6.905 ซม. ขีดส่วนโคง้ ของวงกลมไว้
11) ใช้ ข เป็นจุดศูนยก์ ลาง กางวงเวียนรัศมี 14.790 ม. หรือ 2.958 ซม. ขดี -สว่ นโคง้ ของวงกลม
ตดั สว่ นเดิม จุดตดั ของส่วนโค้งท้ังสอง เปน็ ตำแหนง่ จดุ D
12) ลากเสน้ AD ซ่งึ เป็นส่วนหน่ึงของอาคาร วดั ระยะ AD บนตน้ ร่าง แผนที่ แล้วเทียบกับมาตรา
ส่วนคำนวณหาระยะจรงิ ถ้าระยะที่หาได้เท่ากบั 30.000 ม.หรือใกล้เคยี งแสดงวา่ การสำรวจและการขึน้ รปู ตน้ ร่าง
แผนที่ถูกต้อง แต่ถ้าคลาดเคลื่อนมาก แสดงว่าการสำรวจหรือการขึ้นรูปร้นร่างแผนที่มีความผิดพลาด จะต้องทำ
การตรวจสอบการขึน้ รูป และ/หรอื ปฏิบตั กิ ารสำรวจใหม่

13) ถ้าตรวจสอบแล้วเห็นว่าระยะ AD ใช้ได้ ให้ขึ้นรูปแผนที่ต่อ เพื่อหาตำแหน่งของ จุด B และ
จุด C โดยการลากเส้น AB และ DC ให้ต้ังฉากกับเสน้ AD (โดยปกติอาคารต่าง ๆ จะมีมุมเปน็ มมุ ฉาก ยกเว้นอาคาร
ท่อี อกแบบเปน็ พิเศษ)

14) วัดระยะ AB และ DC ให้ยาว 9.000 ม. หรือ 1.80 ซม. จะได้ตำแหน่งของจุด B และจุด C
ลากเสน้ BC จะไดอ้ าคาร ABCD ในรปู ตน้ รา่ งแผนที่
9. การเกบ็ รายละเอยี ดดว้ ยวธิ รี ะยะฉาก
.การเก็บรายละเอียดดว้ ยวธิ ีระยะฉาก การเกบ็ รายละเอียดด้วยวิธีระยะฉาก จะตอ้ งใหเ้ คร่ืองส่องฉาก ประกอบกับ
โซ่-เทป เพื่อหาตำแหน่งทจ่ี ะใหแ้ นวเสน้ ตงั้ ฉาก

9.1 เครื่องส่องฉากเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง ทำงานโดยอาศัยหลักการสะท้อนของแสงเมือ่ มองด้านหนา้ ของ
เครอ่ื งจะเห็นเปน็ ช่องๆ ถา้ เปน็ เครือ่ งแบบระบบปริซมึ 2 ชั้น จะมี 3 ช่อง

ช่องกลางจะมองทะลุผ่านออกไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง ส่วนช่องบนและช่องล่าง ปริซึมจะสะท้อน ให้เห็น
ออกไปในแนวตั้งฉากกับแนวตรง ที่ด้านมีที่แขวนดิ่งหรือเกลียวต่อกับขา หรืออาจเป็นที่มองหมุด ( Optical
Plummet) เพอ่ื กำหนดตำแหน่งท่ีเคร่อื งสอ่ งฉากตรงกบั พ้ืนดิน

9.2 การกำหนดแนวตัง้ ฉากกบั เส้นฐานโดยใชเ้ ครอื่ งส่องฉาก

ถ้าต้องการหาแนว CD ให้ตั้งฉากกับเส้นฐาน AB ที่จุด C ก็ให้เอาเทปลากขึงตามแนว ABเอาไม้เล็งแนวปักที่จุด B
ถือเครื่องส่องฉากทิง้ ดิ่งให้ตรงกับแนวเทป โดยหันหน้าไปทางจดุ Bประมาณแนวตั้งฉาก CD แล้วเอาไม้เล็งแนวอกี
อันปักไว้ เมื่อมองช่องบน (หรือช่องล่างช่องใดช่องหนึ่ง) จะเห็นหลักเล็งแนวที่จุด D ถ้าเคลื่อนหลักเล็งแนวไปมา
ตามเส้น PQ ภาพของหลักเลง็ แนวท่ชี ่องบน ก็จะเหน็ หลกั เลง็ แนวทจี่ ดุ D ถ้าเคลอ่ื นหลกั เลง็ แนวไปมาตามเส้น PQ
ภาพของหลักเล็งแนวที่ช่องบนก็จะเคลื่อนตามไปด้วย จะมีตำแหน่งหนึ่ง ที่ภาพของหลักเล็งแนวช่องบนตรงกับ
ภาพของหลกั เล็งแนวชอ่ งกลาง (ทจ่ี ดุ B) ณ ตำแหนง่ นี้ แนวของ CD จะตั้งฉากกับ AB

9.3 วธิ กี ารเกบ็ รายละเอียดดว้ ยระยะฉาก ตามรปู ก ข เป็นเส้นฐาน

เมื่อ ก ข เป็นเส้นฐาน ต้องการเก็บรายละเอียดเสาไฟ P และอาคาร ABCD ใช้ เทปขึระหว่าง กข โดยให้
ขีด 0 อยู่ที่ ก เอาหลักเล็งแนวปักที่ B หาตำแหน่งที่ ค A ตั้งฉากกับ ABอ่านระยะ กค (สมมุติว่าได้ 5.00 ม. ) ใช้
เทปอีกเส้นหนึ่งวัดระยะ ค A ส่วนแนว ง P และ จ D ก็ให้ทำเช่นเดียวกัน ซึ่งสมมุติว่ามีระยะดังรูป จากนั้นวัด
ขนาดความกวา้ งยาว ของอาคาร ABCD ท้ังสี่ด้าน แลว้ นำข้อมลู มาข้ึนรปู แผนทตี่ ่อไป

การจดสมุดสนาม เมื่อเก็บรายละเอียดด้วยวิธีระยะฉาก ให้ขีดเส้นคู่ในแนวตั้งกลางกระดาษเป็นเส้นฐาน
สำหรบั เขียนระยะ และรปู ต่าง ๆใหช้ ัดเจน ดังรูป

9.4 การขน้ึ รูปแผนที่ (Plotting)
การขึ้นรูปแผนที่ หมายถึงการนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ มาเขียนเป็นรูปแผนที่ ดังนั้นจึงต้อง มีเครื่อง
เขียนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนกระดาษ เพื่อจัดทำต้นร่างแผนที่อย่างพร้อมเพียง ในที่นี้จะแนะนำเฉพาะ
หลักการเขียนเท่านั้น ส่วนรายละเอียดจะต้องศึกษาในรายวิชาที่เกี่ยวกับการเขียนแผนที่ หรือจากเอกสารอื่นที่
เกี่ยวขอ้ ง การข้นึ รปู แผนทท่ี ำไดห้ ลายวธิ ี ตามลักษณะของ วธิ ีการเก็บรายละเอยี ดดงั น้ี

9.5 การขนึ้ รูปแผนทีด่ ้วยวธิ ีระยะฉาก
1) พิจารณาขอ้ มูลจากสมดุ สนาม และกำหนดขนาดของมาตราสว่ น ในทนี่ ี้ การจดสมุดสนามด้วย

วธิ ีระยะฉากและใช้มาตราส่วน 1 : 500
2) ลากเสน้ ฐาน กข ยาว 50.000 ม. หรือ 10 ซม.
3) ขึ้นรปู เสาไฟ P ใช้ไมโ้ ปรแทรกเตอรว์ ัดระยะบนเส้นฐาน ท่ลี ากไว้จากจุด ก 12.000เมตร หรือ

2.40 ซม. ทำเครอ่ื งหมายไว้เบาๆ
4) ลากเสน้ ตั้งฉากกบั เสน้ กข ให้ถูกทศิ ทางกบั ข้อมลู ในสมุดสนาม(ทางดา้ นซา้ ย) แล้ววัดระยะบน

เส้นตั้งฉาก โดยเริ่มจากเส้นฐานออกไป 6.500 ม. หรือ 1.30 ซม. จะได้ตำแหน่งของเสาไฟ P เขียนสัญลักษณ์เสา
ไฟไวบ้ นตน้ รา่ งแผนท่ี

5) การขึ้นรูปอาคาร ABCD วัดระยะบนเส้นฐาน จาก ก ไป 5.000 ม. หรือ 1.00 ซม. และ
30.000 ม. หรือ 6.00 ซม. แล้วทำเคร่อื งหมายไว้

6) ที่ระยะ 1.00 ซม. สร้างแนวเส้นตั้งฉากออกไปด้านขวาของเส้นฐาน และวัดระยะออกไป
3.000 ม. หรอื 0.60 ซม. จะได้ตำแหนง่ ของจุด A

7) ทีร่ ะยะ 6.00 ซม. สรา้ งแนวตงั้ ฉากออกไปด้านขวาของเส้นฐานและวัดระยะออกไป 3.500 ม.
หรือ 0.70 ซม. จะได้ตำแหน่งของจดุ D

8) ลากเส้น AD แลว้ จัดระยะ AD บนต้นร่างแผนที่วา่ ยาวเทา่ ไร แล้วเทยี บกับมาตราส่วนหาระยะ
จริง ตรวจสอบความยาวว่าใกล้เคียงกบั 25.000 ม. หรือไม่ ถา้ ใกล้เคยี งแสดงว่าการเกบ็ ข้อมูลสนาม และการข้นึ รูป
ต้นร่างแผนที่ถูกต้อง แต่ถ้าคลาดเคลื่อนมาก จะต้องทำการตรวจสอบการขึ้นรูปต้นร่างแผนที่ หรือปฏิบัติสำรวจ
ใหม่

9) สร้างแนวเส้น AB และ DC ให้ตั้งฉากกับเส้น AD วัดระยะ AB และDC ให้ยาว 2.00ซม. จะได้
ตำแหนง่ ของจดุ B และ C ลากเส้น BC ก็จะได้ตำแหนง่ ของอาคาร ABCD บนตน้ รา่ งแผนที่

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ 4

ชอ่ื หนว่ ย การสำรวจดว้ ยกลอ้ งระดับ สอนครง้ั ที่ 7 – 12
ชว่ั โมงรวม 30

ช่อื วิชา การสำรวจด้วยกล้องระดบั จำนวนชั่วโมง 30
รหสั วิชา 30106 – 0003

1. สาระสำคัญ

การระดับเป็นวิชาที่เกี่ยวกับการหาความสัมพันธ์ระหว่างจุดต่าง ๆ ที่อยู่เหนือหรือใต้ผิว
โลก ตาม แนวดิ่ง ว่ามีความสูง-ต่ำแตกต่างกันอย่างไร การระดับมีความสำคัญและจำเป็นต่องาน
ทางด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง-โยธา และงานในด้านต่าง ๆ หลายประเภท เช่น การก่อสร้างทาง
หลวง ทางรถไฟ คลอง การวางท่อระบบประปา การจัดระบบระบายน้ำของผังเมือง การให้ระดับ
เพอ่ื การก่อสรา้ งอาคาร การหา ปริมาตรงานดิน การสรา้ งอ่างเก็บน้ำ และอืน่ ๆ อกี มาก

2. สมรรถนะประจำหน่วย

แสดงความรูท้ ่ัวไปเก่ียวกับหลักการใชก้ ลอ้ งระดับ บอกความหมายและคาจากัดความ
ต่าง ๆ ในงานระดบั ตงั้ ระดบั กลอ้ งระดบั และอ่านค่าไมร้ ะดบั การบารุงรกั ษากลอ้ งระดบั สรา้ งหมดุ
หลกั ฐานการระดบั การทาระดบั ชนั้ ของงานระดบั ความคลาดเคลื่อนในการทาระดบั

3. จุดประสงค์การเรียนรู้

3.1 ดา้ นความรู้
3.1.1 หลกั การใช้กล้องระดับ
3.1.2 ความหมายและคำจำกัดความตา่ ง ๆ ในงานระดับ
3.1.3 การบำรุงรกั ษากล้องระดับ
3.1.4 การตงั้ ระดบั กล้องระดบั และอ่านคา่ ไมร้ ะดบั
3.1.5 การสรา้ งหมดุ หลกั ฐานการระดบั
3.1.6 การทำระดับ
3.1.7 ช้ันของงานระดับความคลาดเคล่อื นในการทำระดับ
3.1.8 ความคลาดเคลื่อนในการทำระดับ

3.2 ด้านทักษะ
3.2.1 อธิบายหลกั การใช้กล้องระดบั และตัง้ ระดบั กล้องระดบั
3.2.2 บอกความหมายและคำจำกดั ความตา่ ง ๆ ในงานระดบั
3.2.3 บำรุงรักษากลอ้ งระดบั

3.2.4 ตัง้ ระดบั กลอ้ งระดับและอ่านคา่ ไม้ระดับ
3.2.5 สรา้ งหมดุ หลกั ฐานการระดบั
3.2.6 ทำระดบั แบบหาความสงู ต่างต่อเนื่องระหว่างจดุ สองจดุ และแบบตอ่ เน่ืองได้
3.3 คณุ ลกั ษณะทีพ่ ่ึงประสงค์
3.3.1 ความเสียสละ
3.3.2 ซือ่ สตั ยส์ จุ รติ
3.3.3 กตัญญูกตเวที
3.3.4 มีจิตสำนกึ และเจคตทิ ่ีดตี ่อวชิ าชพี และสังคม
3.3.5 ความมวี ินยั
3.3.6 ความรับผิดชอบ
3.3.7 ความรักสามัคคี
3.3.8 มีมนุษยสัมพนั ธ์
3.3.9 เชอ่ื ม่ันในตนเอง
3.3.10 ขยนั
3.3.11 ประหยดั
3.3.12 พงึ่ ตนเอง
3.3.13 ปฏิบัตงิ านโดยคำนึงถึงความปลอดภัยอาชีวอนามยั
3.3.14 การอนุรักษ์พลงั งานและสงิ่ แวดลอ้ ม
3.3.15 ความสนใจใฝร่ ู้
3.3.16 ความคดิ ริเร่ิมสรา้ งสรรค์

4. เนื้อหาสาระการเรยี นรู้

4.1 หลักการใช้กล้องระดับ
4.2 ความหมายและคำจำกดั ความต่าง ๆ ในงานระดบั
4.3 การบำรงุ รกั ษากล้องระดับ
4.4 การตัง้ ระดับกล้องระดบั และอ่านค่าไม้ระดับ
4.5 การสร้างหมดุ หลกั ฐานการระดับ
4.6 การทำระดับแบบหาความสงู ต่างต่อเนื่องระหวา่ งจดุ สองจุด
4.7 การทำระดับแบบวงรอบเปดิ -ปิด
4.8 ชั้นของงานระดบั
4.9 ความคลาดเคล่ือนในการทำระดบั
4.10 การทำระดับแบบสามสายใย
4.11 การทำระดบั ของจดุ ตา่ ง ๆ เปน็ ชดุ ตอ่ เนอื่ งกนั

5. กจิ กรรมการเรียนการสอน

5.1 การนำเขา้ สู่บทเรียน
5.1.1 ให้ผู้เรยี นทำสมาธกิ ่อนเรียน 5 นาที เพ่ือนำไปสู่การเป็นผู้ทป่ี ระพฤติดีแล้วทำการ
เช็ครายช่อื
5.1.2 ผู้สอนสนทนาซักถามความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องการสำรวจด้วยกล้องระดับ
โดยใชส้ อื่ Power Point
5.1.3 ผู้สอนกล่าวนำเข้าสูบ่ ทเรยี นเรอ่ื งการวดั ระยะด้วยเครอื่ งมอื และอุปกรณ์ชนดิ ต่างๆ

5.2 การเรียนรู้
5.2.1 ผู้สอนบรรยายความรู้เกี่ยวกับหลักการใช้กล้องระดับ โดยใชส้ อื่ Power Point และ
คลปิ วดี โี อ
5.2.2 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับหลักการใช้กล้องระดับ และดูคลิปวีดีโอประกอบการ
เรยี นการสอน
5.2.3 ผ้สู อนบรรยายเกี่ยวกบั ความหมายและคำจำกัดความต่าง ๆ ในงานระดบั โดยใช้ สอ่ื
Power Point และคลปิ วดี โี อ
5.2.4 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับความหมายและคำจำกัดความต่าง ๆ ในงานระดับและดู
คลปิ วีดโี อประกอบการเรียนการสอน
5.2.5 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการบำรุงรักษากล้องระดับ โดยใช้ สื่อ Power Point และ
คลปิ วดี ีโอ
5.2.6 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับการบำรุงรักษากล้องระดับและดูคลิปวีดีโอประกอบการ
เรยี นการสอน
5.2.7 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการตั้งระดับกล้องระดับและอ่านค่าไม้ระดับ โดยใช้ สื่อ
Power Point และคลิปวีดีโอ
5.2.8 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับการตั้งระดับกล้องระดับและอ่านค่าไม้ระดับและดูคลิป
วีดโี อประกอบการเรียนการสอน
5.2.9 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการสร้างหมุดหลักฐานการระดับ โดยใช้ สื่อ Power Point
และคลปิ วีดโี อ
5.2.10 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับการสร้างหมุดหลักฐานการระดับและดูคลิปวีดีโอ
ประกอบการเรียนการสอน
5.2.11 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับแบบหาความสูงต่างต่อเนื่องระหว่างจุดสองจุด
โดยใช้ ส่ือ Power Point และคลปิ วีดโี อ
5.2.12 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับแบบหาความสูงต่างต่อเนื่องระหว่างจุดสอง
จดุ และดคู ลปิ วดี ีโอประกอบการเรียนการสอน

5.2.13 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับแบบวงรอบเปิด-ปิด โดยใช้ สื่อ Power Point
และคลปิ วีดีโอ

5.2.14 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับแบบวงรอบเปิด-ปิดและดูคลิปวีดีโอ
ประกอบการเรียนการสอน

5.2.15 ผู้สอนบรรยายเกีย่ วกับช้ันของงานระดับ โดยใช้ สอ่ื Power Point และคลปิ วดี ีโอ
5.2.16 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับชั้นของงานระดับและดูคลิปวีดีโอประกอบการเรียนการ

สอน
5.2.17 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนในการทำระดับ โดยใช้ สื่อ Power Point

และคลปิ วีดีโอ
5.2.18 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนในการทำระดับและดูคลิปวีดีโอ

ประกอบการเรยี นการสอน
5.2.19 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับแบบสามสายใย โดยใช้ สื่อ Power Point และ

คลิปวดี โี อ
5.2.20 ผู้เรียนฟังบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับแบบสามสายใยและดูคลิปวีดีโอ

ประกอบการเรียนการสอน
5.2.21 ผู้สอนบรรยายเกี่ยวกับการทำระดับของจุดต่าง ๆ เป็นชุดต่อเนื่องกัน โดยใช้

สื่อ Power Point และคลปิ วดี โี อ
5.2.22 ผู้เรียนฟังบรรยายเก่ียวกับการทำระดับของจุดต่าง ๆ เป็นชุดต่อเน่ืองกันและดูคลปิ

วดี ีโอประกอบการเรยี นการสอน
5.2.23 ผู้เรียนตอบคำถามทีผ่ ้สู อนซักถาม
5.2.24 ผเู้ รยี นลงมอื ปฏบิ ตั ิทำตามใบงานทผี่ สู้ อนมอบหมายให้
5.3 การสรุป
5.3.1 ผู้เรียนสง่ งานจากการปฏบิ ตั ิใบงาน
5.3.2 ผสู้ อนวจิ ารณ์และอภปิ รายผลงาน
5.3.3 ผู้สอนและผ้เู รยี นสรปุ บทเรยี น
5.3.4 ผู้สอนสรุปทางสงั คมโดยชมเชย และประเมนิ ผล

5.4 การวดั และประเมินผล
5.4.1 เครอ่ื งมอื วดั ผลการเรยี นรู้
ใบงานหนว่ ยเรือ่ ง การสำรวจดว้ ยกล้องระดบั
วธิ กี ารวดั
ประเมินจากการปฏิบตั ิตามใบงานหนว่ ยเรื่อง การสำรวจด้วยกล้องระดบั
เกณฑ์การประเมิน
ผู้เรยี นปฏิบัติใบงานได้คะแนนรวม 80% ขึน้ ไป ถือวา่ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ

5.4.2 เครือ่ งมือวดั พฤติกรรมการเรยี นรู้
แบบประเมินผลหน่วยการเรียนรู้

วธิ ีการวดั
ประเมนิ ประเมนิ ผลหน่วยการเรียนรู้

เกณฑก์ ารประเมนิ
ผู้เรียนได้รับผลการประเมินผลหน่วยการเรียนรู้ด้วยคะแนนรวม 80 % ขึ้นไป

ถอื ว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ

6. สอื่ การเรียนรู้/แหล่งการเรยี นรู้

6.1 ส่อื สิ่งพิมพ์
6.1.1 ใบเนอื้ หาเรื่อง การสำรวจด้วยกล้องระดบั
6.1.2 ใบงานเร่ือง การสำรวจดว้ ยกลอ้ งระดับ

6.2 สือ่ โสตทศั น์
6.2.1 สื่อ Power Point
6.2.2 คลิปวดี ีโอ

6.3 หนุ่ จำลองหรือของจริง
6.3.1 –

6.4 อ่นื ๆ
..............................................................................................................................................
..............................................................................................................................................

7. เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ )

7.1 ใบเนอื้ หา
7.2 ใบงาน
7.3 ใบเฉลย

8. การบรู ณาการ/ความสัมพันธก์ ับวิชาอนื่

8.1 บรูณากับวิชาชีวิตและวัฒนธรรมไทย ด้านการพูด การอ่าน การเขียน และการฝึกปฏิบัตติ น
ทางสงั คมดา้ นการเตรยี มความพร้อม ความรับผดิ ชอบ และความสนใจใฝร่ ู้

8.2 บรณู าการกบั วชิ าวศิ วกรรมการทาง ดา้ นการออกแบบถนน
8.3 บรณู าการกับวิชางานสำรวจเพ่ือการก่อสรา้ งอาคาร
8.4 บรูณาการกบั วชิ าการสำรวจเพ่อื การกอ่ สร้างงานโยธา

9. การวัดและประเมินผล

9.1 ก่อนเรยี น
9.1.1 จัดเตรยี มเอกสาร สื่อการเรียนการสอนตามทผี่ ู้สอนและบทเรียนกำหนด
9.1.2 ทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียน และการให้ความร่วมมือในการทำ
กิจกรรม

9.2 ขณะเรยี น
9.2.1 ปฏบิ ัติใบงานเร่อื ง การสำรวจดว้ ยกลอ้ งระดับ
9.2.2 ศกึ ษาใบเนือ้ หาเรือ่ ง การสำรวจด้วยกล้องระดบั
9.2.3 ร่วมกันสรุปเนอื้ หาเร่ือง การสำรวจดว้ ยกลอ้ งระดบั

9.3 หลังเรยี น
9.3.1 ตรวจผลใบงาน
9.3.2 วดั ประเมินผลตามหนว่ ยเรยี นรู้

10. การบูรณาการกบั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง และคณุ ลักษณะ 3D

• หลักความพอประมาณ
1. ผเู้ รยี นจัดสรรเวลาในการฝึกปฏิบัตติ ามใบงานได้อย่างเหมาะสม
2. กำหนดเน้อื หาเหมาะสมกับเกณฑ์การประเมนิ เรอื่ งการสำรวจดว้ ยกลอ้ งระดับ
3. ผู้เรียนปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้นำและผตู้ ามทดี่ ี
4. ผเู้ รียนเปน็ สมาชิกท่ดี ีของเพือ่ นและสงั คม

• หลกั ความมีเหตุผล
1. เห็นคณุ ค่าในของการสำรวจด้วยกล้องระดับ
2. กล้าแสดงความคดิ อยา่ งมีเหตุผล
3. กล้าทกั ท้วงในสงิ่ ที่ไมถ่ ูกต้องอย่างถกู กาลเทศะ
4. กล้ายอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื
5. ใช้วัสดุถูกตอ้ งและเหมาะสมกับงาน
6. ไมม่ เี ร่ืองทะเลาะวิวาทกับผูอ้ ่ืน
7. คดิ สิ่งใหม่ ๆ ทเี่ กิดประโยชน์ตอ่ ตนเองและสงั คม
8. มคี วามคิดวิเคราะห์ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

• หลักความมีภูมคิ ุ้มกัน
1. ผู้เรียนได้รับความรู้ที่ถูกต้อง พร้อมทั้งกำหนดเนื้อหาได้ครบถ้วนถูกต้องตามชื่อเรื่องการสำรวจ
ด้วยกลอ้ งระดับและมีสาระสำคญั สมบูรณ์
2. มีการเตรยี มความพรอ้ มในการเรยี นและการปฏบิ ัติงาน

3. กล้าซักถามปญั หาหรือขอ้ สงสัยต่างๆ อยา่ งถกู กาลเทศะ
4. แก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ได้ดว้ ยตนเองอยา่ งเป็นเหตเุ ปน็ ผล
5. ควบคมุ อารมณ์ของตนเองได้
6. ควบคมุ กิริยาอาการในสถานการณต์ า่ ง ๆ ได้เปน็ อยา่ งดี
การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงหรือตามปรัชญาของเศรษฐกจิ
พอเพียงนั้น ตอ้ งอาศยั ทัง้ ความรู้และคณุ ธรรมเปน็ พน้ื ฐานดงั นี้

• เงื่อนไขดา้ นความรู้
1. ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคดิ ในการเรยี นรู้การสำรวจด้วยกล้องระดบั (ความสนใจใฝ่รู้ ความรอบรู้
รอบคอบ ระมัดระวงั )
2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในเรือ่ งการสำรวจด้วยกลอ้ งระดับ
3. ปฏิบตั งิ านด้วยความละเอียดรอบคอบ
4. มีความรู้ความเข้าใจเกีย่ วกับหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง

• เง่อื นไขคณุ ธรรม
1. ปฏิบัติงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จตามกำหนด (ความรบั ผดิ ชอบ)
2. มคี วามเพยี รพยายามและกระตอื รือร้นในการเรียนและการปฏบิ ตั งิ าน (ความขยัน ความอดทน)
3. ให้ความรว่ มมอื กบั การทำกจิ กรรมของส่วนรวม อาสาช่วยเหลอื งานครแู ละผู้อนื่ (แบง่ ปนั )

11.บันทึกหลงั การสอน

11.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

11.2 ผลการเรียนรขู้ องนักเรียน ผู้เรยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

11.3 แนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการเรียนรู้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ................................................ครผู ู้สอน ลงชอ่ื ...............................................หัวหนา้ แผนกฯ
(..................................................) (.................................................)

วันที.่ ........เดอื น.......................พ.ศ. ............. วันท.ี่ ........เดือน.......................พ.ศ. .............



ใบความรทู้ ี่ 4 หนว่ ยที่ 4
ชื่อวิชา พ้ืนฐานการสำรวจ สอนสปั ดาห์ที่ 7 – 12
ชอื่ หนว่ ย การสำรวจด้วยกล้องระดับ
ชอื่ เรอ่ื ง การสำรวจด้วยกลอ้ งระดับ จำนวน 5 ชั่วโมง

ความรู้เบอ้ื งตน้ ในงานระดบั
การระดบั เปน็ วิชาท่เี กีย่ วกับการหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างจดุ ต่าง ๆ ท่ีอยเู่ หนือหรือใตผ้ วิ โลก ตาม แนวดิ่ง
ว่ามีความสูง-ต่ำแตกต่างกันอย่างไร การระดับมีความสำคัญและจำเป็นต่องานทางด้านวิศวกรรม การก่อสร้าง-
โยธา และงานในด้านต่าง ๆ หลายประเภท เช่น การก่อสร้างทางหลวง ทางรถไฟ คลอง การวางท่อระบบประปา
การจัดระบบระบายน้ำของผังเมือง การใหร้ ะดับเพื่อการก่อสร้างอาคาร การหา ปริมาตรงานดิน การสร้างอ่างเก็บ
น้ำ และอน่ื ๆ อีกมาก

1 .นิยามต่าง ๆ ท่เี กี่ยวกับงานระดับ
การเรยี นรู้วิธีทำระดบั จำเป็นต้องรู้ ความหมายของคำนิยามต่าง ๆ ทใี่ ช้ในการทำระดบั เสียก่อน ส่งิ ท่ี

เก่ยี วขอ้ งกบั การทำระดบั ได้แก่แนวเส้นตา่ ง ๆ ซึ่งแสดงไวใ้ นรปู ภาพ

รูปภาพ ลกั ษณะของเส้นตา่ ง ๆ ในงานระดับ

1. ผิวระดับ (Level surface) หมายถึง พื้นผิวในแนวตัง้ ฉากกับแนวดิ่ง ผิวน้ำนิ่งถือเป็นผิวระดับ
งานรังวัดพื้นที่ขนาดเล็กถือว่าผิวระดับเป็นแนวราบ แต่ในงานรังวัดพื้นที่ขนาดใหญ่ผิวระดับเป็นเส้นโค้ง ตาม
สนั ฐาน ของโลก

2. เส้นระดบั (Level line) หมายถงึ เสน้ บนผิวระดับ ถ้าระยะทางส้นั ๆ เส้นระดับจะเป็นเส้นตรง
แต่ ถ้าระยะทางยาวมาก ๆ เส้นระดับจะคอ่ ย ๆ โค้งตามสันฐานของโลก ในงานระดับท่ัวไปมักจะเปน็ ระยะทาง สน้ั
มากเมื่อเทยี บกับขนาดของโลกจึงถือว่าเส้นระดบั เปน็ เส้นตรง

3. ฐานระดบั (Datum) คือผิวระดับทีใ่ ชเ้ ป็นผิวอา้ งองิ ในการคำนวณเก่ียวกับความสงู โดยทั่วไป
ถือ ว่าฐานระดับมีความสูงเป็นศูนย์ และใชร้ ะดบั นำ้ ทะเลปานกลางเปน็ ฐานระดับ สว่ นพนื้ ท่หี า่ งไกลจากฐาน
ระดับอาจกำหนดเปน็ ฐานระดับสมมุติ

4. ระดับน้ำทะเลปานกลาง (Mean Sea Level) หรือ รทก. หรือ MSL หมายถึงค่า ระดับเฉลี่ย
ของน้ำทะเลขึน้ สูงสุด และต่ำสุดในรอบ 19 ปี

รทก.ของประเทศไทย ไดจ้ ัดใหท้ ำการรงั วดั ค่าระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลย่ี ในสมยั รชกาลท่ี 6
2453-2458 จากการวัดระดับนำ้ ทะเลขึน้ สูงสดุ และลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี โดยทำการวดั ระดับน้ำ ณ สถานวี ดั น้ำ ต.
เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์แล้วถ่ายระดับมาสร้างเป็นหมุดหลักฐานอันแรกของประเทศไทย เรียกว่า
BMA มีค่าระดับเท่ากับ 1.4477 เมตร

5. คา่ ระดบั (Elev.ation) ยอ่ Elev.. หรือ ELหมายถงึ คา่ ระดับความ จดุ บนพ้ืนดนิ
6. หมุดหลักฐานการระดับ (Benchmark) ย่อ มฐ. หรือ BM หมายถึง หมุดที่กำหนดจากวัตถุ
ตามธรรมชาติ หรือที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นฐานระดับ แบ่งเป็นหมุดระดับถาวร (Permanent bench mark) PBM
และหมุดระดับช่วั คราว (Temporary benchmark) TBM
7. เส้นในแนวราบ (Horizontal line) หมายถึง แนวเส้นตรงที่ลากสัมผัสกับผิวระดับ ตั้งฉากกับ
แนวแรงดงึ ดูดของโลก
8. ค่าไม้หลัง (Back sight) ย่อ BS หมายถึง ค่าไม้ระดับที่อ่านได้จากจดุ ท่ีรู้ค่าระดบั แล้วเป็นคา่ ท่ี
อา่ นคร้งั แรกหลงั จากตั้งกลอ้ งระดบั เสรจ็
9. คา่ ไมห้ นา้ (Foresight) ย่อ FS หมายถงึ คา่ ไมร้ ะดับทอ่ี ่านไดจ้ ากจดุ ท่ตี ้องการหาค่าระดับ เป็น
ค่าทีอ่ า่ นไดค้ ร้ังสุดท้ายก่อนยา้ ยกลอ้ ง
10. ค่าไม้กลาง (Intermediate Foresight) ย่อ IFS หมายถึง ค่าไม้ระดับที่อ่านได้จากจุดท่ี
ตอ้ งการหาคา่ ระดบั ก่อนท่จี ะถงึ จดุ ที่ตัง้ ไมห้ น้า การต้งั กลอ้ งแตล่ ะครง้ั อาจมคี ่าไม้กลางได้หลายจด แต่จะมีและ ค่า
ไมห้ น้าจุดเดยี ว (จุดสุดท้ายกอ่ นย้ายกล้อง)
11. จุดเปลยี่ นระดับ (Turning point) ย่อ TP หมายถงึ จดุ เชอื่ มโยงการตั้งกลอ้ งแต่ละคร้ัง ซึ่งจุด
น้ี จะมกี ารอ่านค่าทงั้ FS และ BS
12. ความสูงของเครื่องมือ (Height of instrument) ย่อ HI หมายถึง ความสูงของแนวเล็งของ
กล้องระดับวัดจากฐานระดับ

2. วธิ กี ารทำระดบั
การหาคา่ ความตา่ งระดบั สามารถหาได้หลายวธิ ดี ังต่อไปน้ี
2.1 การทำระดับวิธีตรง (Direct or Spirit Levelling)
การทำระดบั วธิ ตี รงคือการวดั ระยะด่งิ หรือหาค่าระดับของจดุ ตา่ ง ๆ โดยตรง เช่นการใชก้ ลอ้ ง ระดับ

และไม้วัดระดบั คา่ ตา่ งระดบั หาได้จากคา่ ตา่ งระหวา่ งไมห้ ลงั และไม้กลางหรือไมห้ น้า การทา้ ระดับวธ นี้แบง่ ออกได้
เป็น 2 อยา่ ง คือ

1) การทำระดบั แบบหาความสูงตา่ งตอ่ เน่ืองกันไประหวา่ งจุดสองจุด (Differential Leveling)
โดยทำจดุ ตอ่ จดุ ต่อเนื่องกนั ไปจนถงึ จดุ สุดทา้ ยที่ต้องหาความตา่ งระดับ

2) การทำระดบั ของจุดตา่ ง ๆ เปน็ ชดุ ต่อเนื่องกัน (Series Leveling) เป็นการหาความสงู ต่าง
ของจุดหลาย ๆ จดุ โดยการตั้งกลอ้ งครัง้ หนงึ่ จะสอ่ งคา่ ไม้กลาง (Intermediate Foresight) ไดห้ ลายจดุ เทา่ ที่จะ
สามารถสอ่ งได้ ทำใหส้ ามารถหาค่าระดบั จุดต่าง ๆ ไดห้ ลายจดุ ต่อการตัง้ กล้องหนง่ึ คร้งั ใชใ้ นการ หาคา่ ระดับของ
จดุ ต่าง ๆ ทอ่ี ยู่ใกลก้ ันหลายจุด
การทำระดับวธิ ตี รงเปน็ วธิ ที ่ีใช้กนั มากในงานก่อสรา้ ง ดังนั้นในวชิ าการสำรวจงานกอ่ สร้าง 2 นีจ้ ะเปน็ การศกึ ษาวิธี
ทำระดับวิธีตรงเพ่ือให้สามารถนำไปใช้ในการทำระดับงานก่อสรา้ งได้

2.2 การทำระดบั วธิ ีอ้อม (Indirect or Trigonometric Levelling)
การทำระดบั วธิ ีอ้อม คอื การหาคา่ ความต่างระดับ โดยใชห้ ลักการทางตรโี กณมติ ิ วดั คา่ มุมด่ิง และระยะราบ แล้ว
นำมาคำนวณหาคา่ ระดับ

2.3 การระดบั โดยอาศยั ความกดดนั ของบรรยากาศ (Barometric Levelling)
การระดับโดยอาศัยความกดดันของบรรยากาศ คือการหาค่าระดับโดยอาศัยหลักความ แตกต่างของความกดดัน
บรรยากาศ โดยใชบ้ ารอมิเตอร์เป็นเครอ่ื งมือวดั ค่าความต่างของความกดดันของ บรรยากาศของพื้นท่ี ซง่ึ ความสงู
ของพ้นื ที่จะเปน็ สัดส่วนกลับกับความกดดนั บรรยากาศ ทคี่ วามสงู มากจะมี ค่าความกดดันบรรยากาศน้อยกวา่ ที่มี
ความสงู น้อย แต่เน่ืองจากความกดดันบรรยากาศยังมีการ เปล่ยี นแปลงไดจ้ ากความชืน้ และอุณหภูมิ ทำใหค้ ่า
ระดบั ที่ได้มีการคลาดเคลอ่ื นไมล่ ะเอยี ดพอสำหรบั การ นำมาใช้ในงานก่อสรา้ ง จงึ ใช้ในสำรวจภมู ิประเทศ
โดยประมาณ และทำแผนท่ีมาตราสว่ นเล็กเทา่ นนั้

3. เครอื่ งมือท่ีใช้ในการทำระดบั
3.1 กล้องระดับ
กล้องระดับแบ่งออกได้หลายชนิด ตาในที่นี้ จะแบ่งตามลักษณะโครงสร้างของกล้องและลักษณะหน้าที่

การใช้งาน ดงั น้ี

1) กล้องระดับชนิดที่ไม่สามารถกระดกขึ้นลงในแนวดิ่ง (Dumpy Level) เป็นกล้องระดับชนิดที่
ตัวกล้องจะหมนุ ส่ายไปมาได้รอบแกนดิ่งเท่าน้ัน ไม่สามารถกระดกขึน้ ลงได้ ระดับของกล้องจะมีท้ังระดับฟองกลม
และระดับฟองยาว ระดับฟองกลมเป็นตัวช่วยในการตั้งกล้องใหไ้ ด้ระดับโดยประมาณ เวลาใช้งานจะต้องตั้งระดับ
ฟองยาวโดยใช้ควงสามเส้า ปรบั ให้ฟองระดับอยู่กึ่งกลางหลอดระดับทุกตำแหน่งท่หี มุนกล้องออกไป ทำให้เวลาใน
การตัง้ ระดับมาก จงึ ไมเ่ ป็นทนี่ ยิ มใชใ้ นปัจจบุ ัน

รูปภาพ กลอ้ งระดับชนิดท่ีไม่สามารถกระดกขน้ึ ลงในแนวด่ิง (Dumpy Level)
2) กล้องระดับชนิดที่สามารถกระดกขึ้นลงในแนวดิ่งได้ (Tilting Level) เป็นกล้องชนิดที่มีควง
สัมผัสทางดิ่ง (Tilting Screw) เมื่อหมุนควงสัมผัสทางดิ่ง ตัวกล้องจะกระดกขึ้นลงได้ภายในขีดจำกัด กล้องระดับ
ชนิดนี้จะมีทั้งระดับฟองกลมและระดับฟองยาวเวลาใช้กล้องจะต้องตั้งกล้องให้ได้ระดับโดยประมาณ โดยการต้ัง
ระดบั ฟองกลมให้อยู่ก่ึงกลางเรือนระดับโดยใช้ควงสามเสา้ และเวลาจะอ่านค่าจากไม้วดั ระดบั จะต้องหมุนปรับควง
สัมผัสทางดิ่ง ให้ระดับฟองยาวอยู่กึ่งกลางของหลอดระดับ ซึ่งสังเกตได้โดยการมองฟองระดับที่ช่องตามอง ฟอง
ระดับจะขบกับเป็นรูปภาพเขาควาย

รปู ภาพ กล้องระดบั ชนดิ ที่สามารถกระดกขนึ้ ลงในแนวดิ่งได้ (Tilting Level)

3) กล้องระดับอัตโนมัติ (Automatic Level) เป็นกล้องระดับที่สามารถปรับแนวเล็งของกล้อง
(Line of Collimation) ให้อยู่มรแนวราบได้ภายในขอบเขตจำกัดกล่าวคือ กล้องระดับชนิดนี้จะมีเฉพาะรดับฟอง
กลม เมื่อปรับควงสามเส้าให้ระดับฟองกลมอยู่ประมาณกึ่งกลางเรือนระดับ ตัวกล้องจะได้ระดับโดยประมาณ
จากนั้นกลไกภายในจะปรบั ให้แนวเลง็ ของกล้องอยู่ในแนวราบโดยอัตโนมตั ิ

รูปภาพ กล้องระดับอัตโนมัติ (Automatic Level)
4) กล้องระดับพเิ ศษ (Precision Level) เปน็ กลอ้ งระดับท่ีมีอุปกรณ์พิเศษ ชว่ ยใหก้ ารอ่านค่าจาก
ไม้วดั ระดับไดล้ ะเอียดและถกู ต้องมากขึ้นจึงเรยี กวา่ กลอ้ งระดับพิเศษ ใชใ้ นการทำระดับช้ันที่ 1
5) กล้องระดับอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Level) เป็นกล้องระดับที่ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยใช้
แสงเลเซอร์ที่แผ่ออกจากตัวกล้องเป็นแนวอ้างอิง จึงนิยมเรียกกันว่ากรล้องระดับเลเซอร์ จึงนิยมเรียกว่ากล้อง
ระดบั เลเซอร์ (Laser Level) แสงเลเซอรน์ ส้ี ามารถกำหนดให้อยู่ในแนวราบ แนวด่ิง หรือพ่งุ ออกเป็นเสน้ ราบ และ
เส้นดิ่งได้ ตามลักษณะของกล้องและลักษณะการใช้งานกล้องรดับชนิดนี้สร้างขึ้นมาหลายแบบ เช่น แบบลำแสง
หมุน แบบลำแสงพุ่ง เป็นต้น กล้องระดับเลเซอร์ใช้ในงานก่อสร้างได้ดี เช่น การวางท่อ การกำหนดแนวดิ่งของ
อาคารสูง หรอื การตดิ ตง้ั เคร่าเพดาน เปน็ ตน้

รปู ภาพ กล้องระดบั อเิ ล็กทรอนิกส์ (Electronic Level)

ส่วนประกอบของกลอ้ งระดับ
กล้องระดับมีมากมายหลายแบบแต่จะมสี ่วนประกอบคล้าย ๆ กนั ที่สำคญั ไดแ้ ก่
1. ตัวกล้อง (Telescope) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทีส่ ุดของกล้อง ประกอบด้วยเลนส์หลากะดับ ชนิด
ทส่ี ำคัญไดแ้ ก่

- เลนส์ปากกล้อง (Objective lens) ทำหน้าที่ในการรับภาพเข้ามาในตัวกล้อง แล้วส่ง ระดับ
ตอ่ ไปยังเลนส์ปรบั ความคมชดั ของภาพ

- เลนส์ปรับความคมชัดของภาพ (Focusing lens) ส่วนใหญ่จะอยปู่ ระมาณกลางตัวเฉ กลอ้ ง ทำ
หน้าท่ใี นการปรบั ภาพให้ไปตกบนระนาบของสายใย ทำใหเ้ ห็นภาพของวัตถแุ ละภาพของสายใยชดั เช้ง เทา่ กันจึงไม่
เกิดการเหลือ่ มของภาพและสายใย (Parallax) การปรับความคมชัดของภาพจะปรับโดยการหมนุ ที่ควงปรบั ความ
คมชดั ของภาพ (Focusing screw)

- เลนสต์ ากล้อง (Eyepiece lens) ทำหนา้ ท่ีขยายภาพและสายใยใหช้ ัดเจนขน้ึ
- สายใย (Cross hair or Diaphragm) เป็นแผ่นแก้วบาง ๆ 2 แผ่นประกบกัน ตรงกลาง จะขีด
เส้นสายใยไว้ ซ่ึงจะมีลักษณะตา่ ง ๆ กัน สามารถปรับความคมชดั ของสายใยไดโ้ ดยการหมุน
eyepiece
- ระบบ Compensator เป็นระบบการปรับระดับของกล้องระดับอัตโนมัติ ซึ่งจะมี อุปกรณ์ปรบั
ระดับติดอยู่ภายในตัวกล้อง โดยที่ระบบ Compensator จะแขวนลอยอยู่มีระยะแกว่งทำมุม เกิน 15° จาก
แนวดิ่ง ดังนั้นเมื่อเราปรับระดับฟองกลมได้แล้วระบบ Compensator จะสามารถปรับแนวเล็งของกล้องให้อยู่ใน
แนวระดับได้โดยอัตโนมัติไม่ว่าจะหมุนหน้ากล้องไปในแนวใดก็ตาม ส่วนประกอบต่าง ๆ ของตัวกล้องแสดงไว้ใน
รูปภาพ

รปู ภาพ ตวั กล้อง Telescope และ เส้นสายใยแบบตา่ ง ๆ

2. หลอดระดับ (Spirit level or Level tube) ในกล้องสำรวจจะมีหลอดระดับ 2 ชนิด คอื ระดับฟอง
กลม (Circular level) และระดับฟองยาว (Spirit level) หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ระดบั เขาควาย เนอ่ื งจากจะ มีระบบสะท้อน
ภาพหลอดฟองยาวท่ีเหน็ ทางช่องมองระดับฟองยาว เปน็ ส่วนโค้งสองข้างต่อกัน ดงั รูปภาพ ระดับฟองยาวจะมี
ความไวมากกว่า มีความละเอียดมากกวา่ ฟองกลม เมื่อฟองกลมได้ระดบั แสดงว่ากลอ้ ง ใกลเ้ คียงระดบั ถา้ ฟองยาว
ไดร้ ะดับแสดงวา่ กล้องไดร้ ะดับพร้อมใช้งานแล้ว สำหรบั กล้องระดบั อตั โนมัติจะ มีเฉพาะหลอดระดบั ฟองกลมหาก
ฟองกลมไดร้ ะดับแสดงวา่ ระบบอัตโนมัติอยู่ในช่วงการทำงานและพร้อม - ใช้งานไดแ้ ลว้

รปู ภาพ หลอดระดบั ฟองกลมและฟองยาว

3. ควงปรับระดับ (Foot Screw Or Levelling Screw) เปน็ ควงสามเส้าใช้ในการปรบั ระดับของกล้อง
4. ควงสมั ผัสทางดิง่ (Tilting screw) มเี ฉพาะในกล้องระดับแบบ Tilting ใช้สำหรับปรบั ระดบั ฟองยาว
โดยการปรับแกนกลอ้ งขึ้น-ลง เพือ่ ใหไ้ ดร้ ะดบั อยา่ งละเอยี ด กอ่ นอ่านค่าไมร้ ะดบั ทุกครัง้ จะต้องปรับควงสมั ผัสทาง
ดิง่ ให้ได้ระดบั ฟองยาวทุกคร้ัง
5. ควงลอ็ คกลอ้ ง (Clamp screw) ใชส้ ำหรบั ลอ็ คกล้องในแนวราบ จะมีในกล้องระดับ เฉพาะบางรนุ่
เท่านั้น แต่สว่ นมากมักจะใชร้ ะบบความฝืดแทนเนื่องจากทำงานได้อยา่ งรวดเร็วกวา่
6. ควงสมั ผัสทางราบ (Tangent Screw หรอื Fine motion screw) ใช้สำหรบั ปรบั กล้องให้ เคลอื่ นที่ใน
แนวราบเพ่ือใหต้ รงเป้าหมายอย่างละเอยี ด
7. จานองศาราบ (Horizontal circle) จะติดอยู่ทีฐ่ านของกลอ้ งตอ่ จากตัวกล้องลงมา ใช้สำหรับวดั คา่ มมุ
ในแนวราบ สำรบั งานท่ีไม่ต้องการความละเอยี ดมากนัก
8. ช่องมองภาพ (Eye pic) เปน็ สว่ นทช่ี ่วยขยายภาพและสายใยให้เหน็ ไดช้ ัดเจน และเป็น ควงปรับสายใย
สามารถปรับความคมชดั ของเสน้ สายใยไดต้ ามสายตาของผู้ใชก้ ล้อง

9. ควงปรบั ความคมชดั (Focusing knob) ใชส้ ำหรับปรบั ความคมชดั ของภาพ ในการอ่าน ค่าไม้ระดบั
จะต้องปรบั ภาพและสายใยให้ชดั ทส่ี ดุ เพื่อใหภ้ าพอยู่บนระนาบเดียวกับสายใยไม่เกิดภาพซ้อน (Parallax) ที่ทำให้
การอ่านคา่ ผดิ พลาด

10. ท่ีหมายเลง็ (Gun sight or Sighting collimator) ใชส้ ำหรับเลง็ เป้าหมายโดยประมาณ ช่วยให้การ
ส่องไปยงั เป้าหมายไดเ้ ร็วข้ึน

11. ช่องอ่านคา่ องศา (Horizontal circle reading eyepiece) เป็นช่องมองสำหรับการอ่าน คา่ องศา
สำหรบั การวัดมุมที่ไมล่ ะเอียด กลอ้ งบางร่นุ จะไม่มชี ่องอ่านค่าองศาแต่จะอ่านจากจานองศาทีต่ ดิ อยใู่ นส่วนฐาน
ของตวั กล้องโดยตรง

12. กระจกมองระดับฟองกลม (Circular level viewing mirror) เปน็ กระจกเงาใชอ้ มองระดับฟองกลม
เนอื่ งจากการตงั้ กลอ้ งระดบั สูงเท่ากบั ระดบั สายตาอาจมองระดบั ฟองกลมได้ไมช่ ดั เจน

ส่วนประกอบของกลอ้ งแบบ Dumpy Level มีสว่ นประกอบท่สี ำคญั ดังแสดงในรปู ภาพท่ี 1.8

รปู ภาพ ส่วนประกอบของกล้องแบบ Dumpy Level

สว่ นประกอบของกล้องแบบ Tilting Level มสี ว่ นประกอบที่สำคญั ดงั แสดงในรปู ภาพ
รปู ภาพ สว่ นประกอบของกล้องแบบ Tilting Level

สว่ นประกอบของกล้องแบบ Automatic Level มีส่วนประกอบที่สำคัญดังแสดงในรปู ภาพ
รปู ภาพ แสดงสว่ นประกอบของกล้อง Automatic Level

รูปภาพ สว่ นประกอบของกล้อง Digital Level
3.2 ขาตั้งกลอ้ งระดับ (Tripod)
ขาตัง้ กล้องระดบั มลี กั ษณะเป็นสามขา เลือ่ นปรับความสูงใหเ้ หมาะกับผ้ใู ชง้ านได้ แบ่งตาม วสั ดทุ ใ่ี ช้ทำได้
2 ชนดิ ได้แก่ ขาที่ทำจากไม้และขาท่ีทำจากอลมู เิ นียม ส่วนหัวของขาต้ัง (Tripod head) จะ มี 2 แบบ คอื แบบ
เรยี บกบั แบบโคง้ ดังรูปภาพที่ 1.14

รูปภาพ ขาตัง้ กลอ้ งระดับชนดิ ตา่ ง ๆ

3.3 ไม้วดั ระดบั
ไม้วัดระดับ (Staff) มีชื่อเรียกอีกอยา่ งหนึง่ ว่า Rod บริษัทผู้ผลิตจะผลิตขึน้ ตามลักษณะของงานต่าง ๆ
และตามมาตรการวัดระยะ เช่น เป็นฟุตและเป็นเมตร แนวโน้มของกล้องส่วนใหญ่จะเป็น กล้องหัวตรง เนื่องจาก
ได้มีการคดิ ระบบ Prism กลับภาพเปน็ หวั ตรงได้ เพราะถ้าใช้ Lens เป็นตัวกลบั ภาพจะไดภ้ าพเสมือน ซ่ึงทำให้เกิด
ความผดิ พลาดได้ Staff จะแบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คอื
1) ชนิดธรรมดา ซึ่งทำด้วยไม้ยาว 3-4 เมตร ซึ่งจะแบ่งออกเป็น Staff ที่ใช้งานTopographic Map
Staff ท่ใี ชก้ ับงานวัดระยะด้วยกลอ้ งเรียกว่า Tachometric Staff
2) Inver Staff หมายถึง Staff ที่ทำด้วยโลหะ อินวาห์ ซึ่งมีการขยายตัวน้อยที่สุด ประมาณ 1.3
micron ต่อเมตรต่อหนึ่งองศาเซสเซียล ลักษณะของ Staff ชนิดนี้ก็คือ ตรงกลางจะเป็นแผ่นโลหะ อินวาห์ ซึ่งมี
สกรูปภาพปรับแก้ความตรึงให้ได้มาตรฐาน ตัวเลขทั้งสองข้างเป็นตัวเลขที่มีหน่วยเป็นเซนติเมตร หรือเป็นเมตรก็
แล้วแตช่ นิด Staff สำหรับของ WILD มีหน่วยเป็นเซนติเมตร จะบอกทลี ะ 2 เซนตเิ มตร ผลตา่ งของตวั เลขทางซ้าย
และทางขวามอื มคี า่ เทา่ กับ 301.55 เซนตเิ มตรอปุ กรณป์ ระกอบ

4. การต้ังกล้องระดับ
1. ปรบั ระดับความสงู ของขาต้งั โดยการคลายสกรยู ดึ ขากลอ้ งทงั้ สามขา้ งออกแลว้ เลอื่ น ขากล้องท่อนบน

ขนึ้ มาใหส้ ูงเท่ากบั ระดับสายตาของผใู้ ช้งานโดยประมาณแล้วลอ็ คขากล้องให้แนน่ กางขาต้งั ออกโดยเม่ือกางแล้ส่วน
หวั ของขากลอ้ งจะตำ่ กว่าระดบั คางของผใู้ ชเ้ ล็กน้อย และฐานท่ีรองรบั กลอ้ งเม่ือ มองด้วยสายตาแล้วจะตอ้ งไม่เอียง
มาก เหยยี บปลายขากล้องกดลงดนิ เพ่อื ใหไ้ มล่ ้มงา่ ย

รูปภาพ การปรบั ระดับความสงู ของขาตง้ั

2. ติดตง้ั กลอ้ งกับขาตั้งกลอ้ ง หยิบกล้องออกจากกล่องเพ่ือตงั้ บนขาต้ังจะต้องหยบิ จับ ตรงตวั กลอ้ งจับให้
แนน่ วางกล้องบนขาต้ังกล้อง ขันสกรูยึดตัวกลอ้ งกบั ขาต้งั กล้อง โดยใชม้ ือขา้ งหนง่ึ จับตวั กลอ้ งและมืออีกข้างหน่ึง
ขันสกรูยึดกล้อง โดยขันสกรูตามเข็มนาฬิกาให้แน่นพอควร เมื่อติดตั้งกล้องแล้ว ช่องมองภาพควรจะพอดีหรือต่ำ
กวา่ ระดบั สายตาเลก็ นอ้ ย

รปู ภาพ การติดตั้งกล้องกบั ขาตั้งกล้อง

3. การตั้งระดับฟองกลม ระดับฟองกลมเป็นหลอดระดับที่มีอยู่ในกล้องระดับทุกชนิด เป็นระดับที่ไม่
ละเอียดเทา่ กับฟองยาว การตัง้ ระดบั ฟองกลมเปน็ การทำให้กล้องใกลเ้ คียงระดบั เทา่ น้นั โดยแนว เล็งของกล้องยัง
มีความเอียงอยู่บ้าง ซึ่งจะต้องปรับฟองยาวให้ได้ระดับก่อนอ่านค่าไม้วัดระดับ โดยการปรับ ที่ควงสัมผัสทางดิ่ง
(Tiling Screw) แต่ในกล้องระดับอัตโนมัติจะมีระบบ Compensator ช่วยในการปรับ ระดับ หากเราปรับระดับ
ฟองกลมไดแ้ ล้วแสดงว่ากล้องมคี วามเอียงไมเ่ กินชว่ งระยะการทำงานของระบบ Compensator ทำให้แนวเล็งของ
กลอ้ งจะถกู ปรับให้อยูใ่ นแนวระดับโดยอัตโนมตั เิ มื่อตง้ั ได้ระดับฟองกลม

วธิ ีการต้ังระดับฟองกลม
1. หมุนตัวกล้องใหข้ นานกับควงปรับระดบั คู่ใดคหู่ นึง่ ในทีน่ ี้ คอื ควงตัวท่ี 1 และ 2
2. หมุนควงตวั ท่ี 1 และ 2 โดยหมนุ สวนทางกนั ให้ฟองระดับเคลอื่ นไปอย่ใู นแนวตั้งฉากกับ แนวควงตวั ท่ี

1 และ 2 ดงั รูปภาพที่ ก.
3. หมุนควงตัวท่ี 3 ใหฟ้ องระดบั เคลื่อนเข้าไปอย่ทู ่ีศนู ย์กลางวงกลม โดยการหมุนควงปรับ ระดับใหส้ ูงข้นึ

หรือตำ่ ลง ให้สังเกตวา่ ฟองระดบั อยดู่ า้ นไหนแสดงวา่ ด้านนั้นสงู จะต้องปรบั ควงให้ตำ่ ลง ดังรูปภาพที่ ข.

รปู ภาพ การปรบั ระดบั ฟองกลม
4. หมุนตัวกล้อง 180 องศา กลับเป็นแนวตรงกันข้ามกับแนวเดิม ถ้าฟองระดับยังอยู่ใน ตำแหน่ง
ศูนย์กลางวงกลมเหมอื นเดมิ แสดงวา่ การปรบั ฟองกลมใช้ได้แล้ว ดังรูปภาพแต่ถ้าฟองระดับ เคลอ่ื นออกจากวงกลม
ให้ทำตามขั้นตอน1-4 อีกครั้ง หากฟองระดับยังเคลื่อนออกจากวงกลม แสดงว่า หลอดระดับฟองกลมมีการ
คลาดเคลอ่ื นจะต้องทำการปรับแก้ก่อนนําไปใชง้ าน

รปู ภาพ ตรวจสอบการปรับระดบั ฟองกลม

สำหรบั ขากล้องแบบหัวโคง้ สามารถปรบั ระดับกล้องได้โดยการเลอ่ื นฐานกลอ้ งไปตาม.. โคง้ บอลของขา
ตง้ั เม่ือฟองกลมได้ระดบั ให้ล้อคสกรตดิ กับฐานกล้องใหแ้ น่น และปรบั สกรูเพียงเลก็ น้อย จะไดร้ ะดับ ดังรูปภาพท่ี
1.19

รปู ภาพ การปรับระดบั ฟองกลมสำหรับขากล้องแบบหวั โค้ง
5. การตั้งระดับฟองยาว ระดับฟองยาวแบบนีจ้ ะมีเฉพาะในกล้องระดับแบบ Tilting level เทา่ นัน้ ก่อน
การตั้งระดับฟองยาวจะต้องต้ังระดับฟองกลมให้ไดเ้ สียก่อน เมื่อจะอ่านค่าไม้ระดับ จะต้อง หมุนควงสัมผัสทางด่งิ
(Tilting Screw) เพอ่ื ปรับแนวเล็งของกล้องให้สว่ นโคง้ ขบกนั พอดกี ่อนอ่านทุกครง้ั ตามรูปภาพท่ี 1.20

รูปภาพ การตรวจสอบการตงั้ ระดับฟองยาว

5. การตรวจสอบและการปรบั แกก้ ลอ้ งระดับ
5.1 การตรวจสอบและปรับแก้ฟองกลม
การตรวจสอบและปรับแก้ฟองกลม ระดับฟองกลมจะมีในกล้องระดับทุกชนิดมี วิธีการตรวจสอบและ

ปรบั แกต้ ามข้นั ตอน ดังน้ี
1. นําขาตั้งกล้องมาปรับความสูงให้เหมาะกับการใช้งาน ติดตั้งกล้องกับขาตั้ง และเหยียบ ขาตั้ง

กดลงดินให้มนั่ คง
2. หมุนควงตวั ที่ 1 และ 2 โดยหมุนสวนทางกันให้ฟองระดบั เคล่ือนไปอยูใ่ นแนวตั้งฉาก แนวควง

ตวั ที่ 1 และ 2 แล้วปรับควงตัวที่ 3 ใหฟ้ องระดบั เข้าในวงกลม
3. หมุนกล้องกลับ 180 องศา ถ้าฟองระดับยังอยู่ที่ศูนย์กลางวงกลม แสดงว่าระดับฟอง กลมไม่

คลาดเคลอ่ื น
4. ถ้าฟองระดับเคลื่อนที่ไปไม่อยู่ในวงกลม แสดงว่าหลอดระดับมีการคลาดเคลื่อนให้หมุน ควง

ปรบั ระดบั ใหฟ้ องระดบั เคลื่อนที่ไปเข้าวงกลมเท่ากับคร่ึงหนงึ่ ของระยะคลาดเคล่ือน ท่ฟี องระดบั ไมอ่ ยูท่ ่ี ศูนยก์ ลาง
วงกลม ไปตามแนวทค่ี ลาดเคลือ่ น

5. ให้หมุนสกรูปภาพรับหลอดระดับ (Adjusting screw) ปรับให้ฟองระดับเคลื่อนที่ไปอีก
ครงึ่ หนึ่งของระยะคลาดเคลือ่ นใหฟ้ องระดับเล่ือนเข้าไปอยู่ที่ศนู ยก์ ลางวงกลม

6. ตั้งระดับใหม่ตามวิธีการเดิม (ข้อ 2 และ 3) ถ้าฟองระดับยังไม่อยู่ศูนย์กลางวงกลมก็ทำ การ
ปรับตามวิธกี าร ขอ้ 4-6 ใหม่

รปู ภาพ การปรบั แก้ระดับฟองกลม

5.2 การตรวจสอบและปรบั แกร้ ะดับฟองยาว
1. ต้ังกลอ้ งเหยยี บขาให้แนน่
2. ตั้งระดับฟองยาวโดยให้ตวั กล้องขนานกับควงคู่ใดคู่หน่ึง (A B) หมุนควงปรับระดับทัง้ สองตัว

สวนทางกนั จนได้ระดบั ดูรปู ภาพที่ 1.25 ประกอบ
3. หมุนกลอ้ งให้ไดฉ้ ากกับควงคูแ่ รก หมนุ ควงตัวท่ี 3 (C) ให้ฟองยาวไดร้ ะดับ

4. หมุนกล้องต่อไปอีก 90 องศา ซึง่ กล้องจะเปน็ 180 องศา กบั การตง้ั ฟองยาวครง้ั แรก ถ้า หาก
ระดบั ไม่อยู่กง่ึ กลางพอดี แสดงวา่ หลอดระดบั คลาดเคล่ือน

5. ถ้าหลอดระดบั มคี วามคลาดเคล่อื น ให้หมุนควงปรบั ระดับสองตัว (A B) ให้ฟองยาวให้ เคลอื่ นที่
เข้าไปตามแนวระดับเปน็ ระยะครึ่งหนงึ่ ของระยะทีค่ ลาดเคลอื่ น

6. หมุนสกรูสำหรับปรับแก้หลอดระดบั ใหฟ้ องยาวเคลื่อนทไ่ี ปอีกคร่ึงหนึ่งจนได้ระดบั พอดี
7. ต้งั กลอ้ งใหม่ และตรวจสอบอีกคร้ัง ตามวิธกี ารเดิม ถา้ ยังมคี วามคลาดเคลือ่ นอยู่ ก็ให้ทำ การ
ปรบั แกใ้ หม่อีกครั้ง จนหลอดระดบั ได้ระดับ ไมม่ ีระยะคลาดเคลือ่ น

รปู ภาพ การตรวจสอบและปรับแก้ระดับฟองยาว
5.3 การตรวจสอบและปรบั แกส้ ายใย

รูปภาพ การตรวจสอบสายใยกล้องระดับ


Click to View FlipBook Version