การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้เกม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์ นางสาวฐิสณา สิงห์ลอ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประสการณ์วิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์
“การนำเสนอผลงานวิจัยของนักศึกษา สาขาการศึกษา ระดับปริญญาตรี ครั้งที่ 5” การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้เกมสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์ ฐิสณา สิงห์ลอ1 เขมาปภา ชูสิงห์2 และนิพัทธา สังข์ยก3 1 นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์E-mail: [email protected] 2 ครูพี่เลี้ยง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โรงเรียนวัดฆะมัง E-mail: [email protected] 3 อาจารย์สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาค่าประสิทธิภาพของการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้เกม 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เกม 3) เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ภาคเรียนที่2 ปี การศึกษา 2566 จำนวน 14 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนจัดการเรียนรู้จำนวน 4 แผน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ แบบทดสอบวัดความทรงทนทางการ เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test (Dependent Samples) ผลวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพในการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยใช้เกม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่ากับ แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2) ความสามารถ ในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ .05 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความสามารถในการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียนทันทีสูงกว่าหลังเรียน ผ่านไป 10 วัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ: การเรียนรู้, คำศัพท์ภาษาอังกฤษ, การใช้เกม
“การนำเสนอผลงานวิจัยของนักศึกษา สาขาการศึกษา ระดับปริญญาตรี ครั้งที่ 5” The Development of English Vocabulary Learning Ability Using Games for in grade 6 Wat Kamang School Kamang District Nakhon Sawan Province Thisana Singlor1 Khemapapha Chusing 2 and Niphattha Sangyok 3 1 Undergraduate student in English Language Division, Faculty of Education, Nakhon Sawan Rajabhat University E-mail: [email protected] 2 Teacher mentor, English Language learning subject group Wat Kamang School E-mail: [email protected] 3 Lecturer in English Language Department, Faculty of Education, Nakhon Sawan Rajabhat University E-mail: [email protected] ABSTRACT The objectives of this research were 1) to determine the efficiency of English vocabulary learning of grade 6 students who learned using a game; 2) to compare the learning ability of English vocabulary of grade 6 students 3 ) to study the retention of learning English vocabulary of grade 6 students after learning management by using a sample group game used in this research Including students in grade 6, Wat Kamang School, Kamang District, Nakhon Sawan Province Primary Educational Service Area Office 1, 2nd semester, academic year 2023, 14 students were obtained by cluster random sampling. The research tools were 4 learning management plans, pre-test and post-test. study, 20 items; English vocabulary learning tolerance test, 15 items. Statistics used in data analysis were percentage, mean, standard deviation. The hypothesis was tested by t-test (Dependent Samples). of grade 6 students were equal, indicating that the students' knowledge increased by 2 percent). The ability to learn English vocabulary by using games of grade 6 students after learning was significantly higher than before. 3) in grade 6 students had the ability to learn English vocabulary after learning immediately after learning after 10 days at the statistical significance level of .05. Keywords: Learning, English Vocabulary, Game Usage
~ ก ~ สารบัญ หัวเรื่อง หน้า บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ ก บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 3 1.3 สมมติฐานการวิจัย 3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 4 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 6 บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม 7 2.1 สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 7 2.2 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 9 2.3 เกมการเรียนรู้ 22 2.4 ความคงทนในการเรียนรู้ 37 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ 43 2.6 งานวิจัยในประเทศ 54 2.7 กรอบแนวคิดวิจัย 58 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงานวิจัย 59 3.1 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 59 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 59 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 60 3.4 แบบแผนที่ใช้ในการวิจัย 66 3.5 วิธีการดำเนินการวิจัย 67
~ ก ~ หัวเรื่อง หน้า 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 57 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 57 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 61 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 61 4.2 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 61 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 62 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 66 5.1 สรุปผล 66 5.2 อภิปรายผล 66 5.3 ข้อเสนอแนะ 69 กิตติกรรมประกาศ 70 บรรณานุกรม 71 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ 78 ภาคผนวก ข ผลการประเมินความสอดคล้อง 144 ภาคผนวก ค คะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 150 ภาคผนวก ง การวิเคราะห์คุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ 152 ภาคผนวก จ ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัยและตัวอย่างการสัมภาษณ์ 154 ประวัติผู้วิจัย 160
~ ก ~ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 แสดงช่วงเวลาที่ผ่านไป ความทรงจำที่เหลืออยู่ แลพความจำสูญเนื่องจากลืม 36 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ 41 3.2 รูปแบบของการศึกษาแบบ One Group Pre-test Post-test Design 56 4.1 ผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละคะแนนจากการ ทดสอบวัดความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนเรียน คะแนนทดสอบวัดความรู้ ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียน 62 4.2 คะแนนความรู้ด้านคำศัพท์ ก่อนเรียนและหลังเรียน 63 4.3 การวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนความรู้ด้านคำศัพท์ก่อนเรียนและหลังเรียน 64 4.4 การเปรียบเทียบคะแนนทดสอบหลังเรียน และคะแนนทดสอบวัดความคงทน หลังเรียน 14 วัน 64 4.5 การวิเคราะห์ความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 65 5.1 ช่วงเวลาที่ผ่านไป ความทรงจำที่เหลืออยู่ และความจำสูญเนื่องจากการลืม 68 ข.1 คะแนนที่ได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นรายข้อ 151 ข.2 คะแนนทดสอบหลังเรียนและคะแนนทดสอบความคงทนหลังเรียนผ่านไป 14 วัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 153
1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งเป็นความร่วมมือตกลงเกี่ยวกับ การให้ความ ช่วยเหลือ สนับสนุนซึ่งกันและกันของประเทศสมาชิกทั้งสิบประเทศโดยกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่ใช้ในการ สื่อสารของสมาชิกของประชาคมอาเซียน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการ ติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ส่วนในด้านเศรษฐกิจ ภาษาอังกฤษก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การติดต่อเจรจาการต่อรองทางการค้าและการลงทุนเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ดังนั้น การเรียนภาษาอังกฤษก็จะมีส่วนในการสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างชนชาติไทยและชนชาติอื่น เพราะ จะทำให้เกิดความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละชาติอันจะนำไปสู่การปฏิบัติต่อกันได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนสามารถทำให้มีความเข้าใจและภาคภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมไทยซึ่งจะถูกถ่ายทอดไปสู่สังคมโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, น. 1) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานสอง 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างประเทศได้กำหนดให้ภาษาต่างประเทศ เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐานซึ่งต้องเรียนตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนั่นคือภาษาอังกฤษ เนื่องจากภาษาอังกฤษเป็น เครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารการศึกษาการแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ของชุมชนอาเซียน และชุมชนโลก (กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, น. 1) โดยให้มีการจัดการเรียน การสอนภาษาอังกฤษที่เน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะในการใช้ภาษาในทุกด้าน คือการฟังการพูด การอ่าน และการเขียนไป พร้อม ๆกัน ไม่ได้เน้นเฉพาะด้านโครงสร้างทางไวยากรณ์เท่านั้นเพื่อให้สามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติที่กล่าวไว้ว่า นักเรียนสำคัญที่สุดผู้เรียนทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อ การสื่อสารได้มุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายสามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อ ภาษาอังกฤษ สามารถใช้สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมี ความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรม ไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ซึ่งปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีผู้ใช้อย่างกว้างขวางเป็นภาษาที่ใช้เป็นเครื่องมือใน การติดต่อระหว่างชนชาติต่างๆ ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาต่างประเทศที่ควรได้เรียนรู้เป็นภาษาแรกเพราะทำให้เราสามารถ ติดต่อกับบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อส่วนตัว การเจรจาทางการพูด การเมือง การค้าขาย และการท่องเที่ยว ซึ่งนำ รายได้เข้าสู่ประเทศมหาศาลเพิ่มขึ้นมากทุกปี อย่างไรก็ตามการจะเรียนรู้ภาษาให้มีประสิทธิภาพจนสามารถใช้ในการสื่อสารได้นั้นการรู้คำศัพท์เป็นองค์ประกอบที่ สำคัญ (พิตรวัลย์, 2540 ดวงเดือน, 2543 วอลเลซ, 1984, ฮาร์เมอร์, 1991)ฉะนั้นการเรียนรู้คำศัพท์จะทำให้ผู้เรียนมี ความสามารถในการใช้ทักษะภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นสามารถติดต่อสื่อสารกับนานาประเทศอย่างเป็นสากลได้โดยประการแรกนั้น ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ในเรื่องคำศัพท์เป็นอย่างดี เพราะคำศัพท์คือหัวใจสำคัญของการเรียนภาษา ในการเรียนภาษาอังกฤษให้ ประสบความสำเร็จนั้น คำศัพท์นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งหากปราศจากความรู้ด้านคำศัพท์ การสื่อสารจะไม่ เกิดขึ้น นอกจากนี้ คำศัพท์ยังมีประโยชน์ต่อทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ทักษะการเขียน และทักษะการใช้ภาษาด้านอื่นๆ
2 ด้วย การสอนคำศัพท์ที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนนำไปสื่อสารได้นั้น ผู้เรียนจะต้องรู้คำศัพท์ สามารถนึกคำศัพท์ได้ทันทีที่ต้องการ ตลอดจนสามารถ นำคำศัพท์ไปใช้อย่างถูกหลักไวยกรณ์และเหมาะสมกับสถานะการต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามผู้เรียน ภาษาอังกฤษก็ยังมีปัญหาด้านคำศัพท์อยู่มากซึ่งปัญหาการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ได้นั้นเกิดจากสาเหตุต่างๆหลายด้าน เช่น ด้านตัวครูเตรียมการสอนไม่ดีครูไม่มีเวลาในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ครูไม่ใช่สื่อการ เรียนการสอน และขาดเทคนิคการใช้สื่อการเรียนการสอน ครูส่วนใหญ่ยังยึดแบบเรียนเป็นหลัก ครูไม่ปรับเปลี่ยนวิธีสอนให้ สอดคล้องกับหลักการและแนวปฏิบัติของหลักสูตรใหม่ ไม่เข้าใจหลักสูตรและไม่เข้าใจการพัฒนาสื่อนวัตกรรมตลอดจนขาด การเตรียมการสอน (กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, น. 2-3) ส่วนด้านตัวนักเรียนเองพบว่านักเรียนไม่เห็นความสำคัญในการเรียนรู้คำศัพท์ ขาดการฝึกฝนการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษส่วนด้านวิธีการสอนนั้นพบว่าครูขาดเทคนิคการสอนและใช้วิธีการสอนแบบเก่าครูไม่ให้ความสนใจและตระหนัก ในการใช้สื่อการเรียนการสอนที่สามารถช่วยให้นักเรียนสามารถจดจดจำคำศัพท์ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การฝึก จดจำคำศัพท์อย่างถูกวิธีต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆอย่างประกอบการเช่นการฝึกซ้อมทวนบ่อย ๆ จะทำให้นักเรียนจดจำ และสามารถสะกดคำศัพท์ได้ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่จะนำไปสู่การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนอกจากนี้แม้ว่าในทางการ สอนคำศัพท์จะระบุแนวการซ่อนไว้หลากหลายวิธีด้วยกันแต่เนื่องจากผู้เรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองยังอยู่ใน สภาพแวดล้อมที่เป็นภาษาของตนเอง การเรียนรู้คำศัพท์จึงต้องอาศัยการค้นคว้าหาความหมายจากพจนานุกรมหรือการอ่าน เพื่อจะได้เรียนรู้ความหมายจากคำศัพท์ ได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและรวดเร็วแต่เป็นวิธีการที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้ที่ถาวรและต้อง ใช้เวลาหลายครั้งในการจดจำคำศัพท์ดังนั้นได้ในระยะยาว ซึ่งความรู้และความคงทนในการจำจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฝึกฝน อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษครูผู้สอนจึงควรนำกิจกรรมที่กระตุ้นความสามารถในการ จดจำคำศัพท์ของนักเรียน มาประกอบการสอน มีผู้คิดค้นวิธีการสอนคำศัพท์ให้มีประสิทธิภาพด้วยวิธีการต่างๆมากมายวิธีการ สอนคำศัพท์วิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมคือการใช้เกมในการสอนคำศัพท์การใช้เกมทางภาษามาประกอบในการสอนเป็นการสร้าง แรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจในการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นหากครูเลือก ศาลดัดแปลงให้เหมาะสมกับวัยและระดับชั้น ของผู้เรียนโดยคำนึงถึงภาษาที่ใช้ในเกมจำนวนคำศัพท์และสำนวนเพียงพอในการนำไปใช้ประโยชน์ดังนั้นเกมฝึกภาษาจึงน่า เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ในด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษและทำให้มีโอกาสได้ฝึกทักษะ และใช้ภาษาเหมือน สถานการณ์จริงได้เป็นอย่างดีอีกทั้งเกมจะช่วยให้ห้องเรียนมีสภาพใกล้เคียงกับโลกภายนอกการฝึกภาษาโดยใช้เกมจะได้ เรียนรู้ทั้งกฎเกณฑ์ไวยากรณ์คำศัพท์และทักษะต่างๆ (ประไพศรี สงยวงศ์, 2553,น. 3) เกมเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี เพียงจะช่วยในการออกเสียงคำศัพท์การ บอกความหมายคำศัพท์และการนำคำศัพท์ไปใช้ในประโยคเพราะเกรงจะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความพยายามที่จะเรียนรู้ และใช้ภาษาไว้ได้นาน ช่วยให้ครูสร้างบริบท (Context) จึงทำให้ภาษามีความหมายมากยิ่งขึ้นเกมจะทำให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนการสอนได้ออกกำลังเพื่อใช้บำบัดความเครียดทางร่างกายและประสาท สร้างบรรยากาศให้นักเรียนได้สนุกทำให้ นักเรียนอยากเรียนภาษาอังกฤษ กิจกรรมเกมช่วยให้การฝึกการใช้ภาษาปากเปล่า หรือการเล่นเกมช่วยลดความวิตกกังวลใน เรื่องไวยากรณ์การออกเสียง หรือสำนวน ยิ่งไปกว่านั้นเกมยังสามารถใช้แก้ไขข้อผิดพลาดในเรื่องไวยากรณ์การออกเสียงด้วย การใช้การฝึกแบบคู่หรือกลุ่มผู้เล่นเกมแต่ละคนเข้าใจพฤติกรรมสามารถสมาชิกในกลุ่ม การให้ความร่วมมือการเสียสละการรัก พวกพ้องความสามัคคีตลอดจนความกล้าที่จะแสดงออกอันเป็นผลนำไปสู่ความก้าวหน้าในการเรียนภาษานั่นเอง (นิริสา กัลยา, 2552, น. 2-3)
3 การจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ประสบปัญหาคือ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กว่าเกณฑ์ เนื่องจากสาเหตุหลายประการได้แก่ ด้านเนื้อหารายวิชาที่เนื้อหาไม่มีความต่อเนื่อง ส่งผลให้นักเรียนส่วนมากไม่ สามารถจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ด้านเทคนิควิธีการการสอนที่เน้นการเรียนการสอนแบบทฤษฎีที่มากเกินไปทำให้นักเรียน ขาดทักษะการปฏิบัติส่งผลให้นักเรียนสะกดคำไม่ถูกต้อง ออกเสียงคำศัพท์ไม่ถูกต้อง ไม่เข้าใจความหมาย ทำให้ไม่สามารถนำ ภาษาอังกฤษที่ได้เรียนไปใช้ในการสื่อสารต้องตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรได้ จากหลักการและความสำคัญ ประกอบกับสภาพการณ์ปัญหาดังกล่าว ทำให้ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูผู้สอนรายวิชา ภาษาอังกฤษในระดับชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างประเทศตาม แนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542และนโยบายการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดฆะมัง จึงสนใจที่จะ พัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขตที่ 1 โดยใช้เกมเพื่อให้นักเรียนสามารถนำความรู้ทักษะและประสบการณ์ต่างๆ ไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ มัน จะส่งผลต่อความคงทนในการเรียนรู้และการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษให้สูงขึ้น ตามลำดับต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดย ใช้เกม 1.2.2 เมื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยใช้เกม 1.2.3 เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เกม 1.3 สมมติฐานการวิจัย ความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หกที่เรียนโดยใชเกมหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
4 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์เขต 1 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 14 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์เขต 1 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 14 คน 1.4.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจักการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกม ตัวแปรตาม ได้แก่ 1. ความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2. ความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 1.4.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ระยะเวลาในการวิจัยในครั้งนี้คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 1.4.4 กรอบเนื้อหาที่นำมาใช้ในการวิจัย กรอบเนื้อหาที่นำมาใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รหัส อ16101 ภาคเรียนที่ 2 ตามหนังสือเรียน อจท โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 เรื่องดังนี้ 1.4.4.1 Summer Holidays 1.4.4.2 Computer and Technology 1.4.4.3 At the Movies 1.4.4.4 Let’s Party! 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 ได้ทราบความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้เกม 1.5.2 ได้ทราบผลการเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เกม 1.5.3 ทำให้ได้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ
5 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ “คำศัพท์” คือ กลุ่มเสียง กลุ่มคำ เสียงพูดที่มีความหมายทั้งในการพูดและการเขียน ซึ่งคำศัพท์เป็นองค์ประกอบ หนึ่งที่สำคัญของภาษาทุกภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้เพื่อสื่อความหมายถึงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ หรือความรู้ต่างๆ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การมีความรู้และความสามารถในการใช้คำศัพท์ของบุคคลๆ หนึ่ง ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะบ่ง บอกว่าบุคคลผู้นั้นสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด คำศัพท์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนอยู่ เสมอ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ (Burns & Lowe. 1966 : 48) “ศัพท์ภาษาอังกฤษ” หมายถึง คือกลุ่มเสียง เสียงพูด หรือลายลักษณ์อักษรที่เขียนขึ้นหรือพิมพ์ เพื่อแสดงความคิดที่ มีความหมาย “เกม” หมายถึง กิจกรรมภาษาอังกฤษที่ใช้ประกอบการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษซึ่งมีลักษระเป็นกิจกรรมที่ ก่อให้เกิดความสนุกสนาน มีการแข่งขันที่มีจุดมุ่งหมาย โดยมีกติกา เป็นข้อตกลงร่วมกันเปิดโอกาสใหผู้เล่นได้แสดง ความสามารถ ตัดสินใจ และมีการสอนโดยใช้เกมประกอบกิจกรรมการเรียนการสอน ในงานวิจัยนี้ใช้เกมจำนวน 8 เกม ดังนี้ Guess!! Summer Holidays find words Summer Holidays Guess!! Computer and Technology find words Computer and Technology Guess!! At the Movies find words At the Movies Guess!! Let’s Party! find words Let’s Party! “ความรู้ด้านคำศัพท์” หมายถึง ความสามารถของนักเรียนในการออกเสียงการสะกดคำการบอกความหมายของ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และความสามารถในการนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษไปใช้ในโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ โดยวัดจาก แบบทดสอบก่อนเรียนละหลังเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น “ความคงทนในการเรียนรู้คำศัพท์” หมายถึง ความสามารถในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน หลังจาก เสร็จสิ้นการเรียนการสอนเป็นเวลา 14 วัน โดยวัดจากข้อสอบวัดความคงทน ซึ่งเป็นข้อสอบคู่ขนานกับข้อสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน
6 บทที่ 2 เอกสารและผลงานที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้เกมสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดฆะมัง อำเภอฆะมัง จังหวัดนครสวรรค์ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ค้นคว้า ตำรา เอกสารและแนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับการวิจัย และได้นำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 2. คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 3. เกมการเรียรู้ 4. ความคงทนฝนการเรียนรู้ 5. แผนจัดการเรียนรู้ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7. กรอบแนวคิดการวิจัย 2.1 สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, น. 190 - 208) ได้จัดทำตัวชี้วัด สาระและมาตรฐานการเรียรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้ 2.1.1 ความสำคัญของการเรียนภาษาต่างประเทศ ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็น เครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ วัฒนธรรม และวิสัยทัศน์ของชุมชนโลกและตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมนุษย์ของสังคมโลก นำมาซึ่งมิตร ไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้นเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่าง ของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีการคิด สังคมเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ ภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสาร ได้ร่วม ทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆได้ง่ายกว้างขึ้นและมีวิสัยทัศน์ใน การดำเนินชีวิต
7 ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลีและภาษากลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่น ๆให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะทำรายวิชาและจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสม 2.1.2 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สาระที่ ๑ ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต ๑.๑ เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ต ๑.๒ มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความ คิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต ๑.๓ นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดยการพูดและการ เขียน สาระที่ ๒ ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต ๒.๑ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม กับกาลเทศะ มาตรฐาน ต ๒.๒ เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษาและ วัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สาระที่ ๓ ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต ๓.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐานในการ พัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน สาระที่ ๔ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต ๔.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต ๔.๒ ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก
8 คำอธิบายรายวิชาพื้นฐาน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำแนะนำ คำขอร้อง คำแนะนำง่ายๆ ที่ใช้ในห้องเรียน การสะกดคำ การอ่านออกเสียง คำ กลุ่มคำ บทอ่าน บทกลอนสั้นๆ บทสนทนา ประโยคถูกต้องตามหลักการอ่าน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองคำ เลือกระบุภาพ หรือ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายตรงความหมายของประโยค ข้อความสั้นๆ ตอบคำถามจากการฟังและอ่าน บทสนทนา นิทาน ง่ายๆ เลือกระบุประโยค ข้อความสั้นๆ ตรงตามภาพ สัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย พูด เขียนให้ข้อมูลโต้ตอบเกี่ยวกับตนเอง แสดงความรู้สึก สื่อสารระหว่างบุคคล เขียนภาพ แผนผัง และแผนภูมิ ตารางแสดงข้อมูลต่างๆ ใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และกิริยา ประโยคบอกความต้องการเกี่ยวกับตนเองคำ คำสั่งที่ใช้ในห้องเรียน ข้อความที่ใช้ในการพูด เขียน แสดงความต้องการของ ตนเอง ให้ข้อมูลความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง และเรื่องใกล้ตัว ใช้คำสั่ง คำขอร้อง และให้คำแนะนำ จัดหมวดหมู่ คำ ที่มี ความหมายสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆใกล้ตัว อาหาร เครื่องดื่ม วัฒนธรรมเจ้าของภาษา บอกความเหมือน ความแตกต่าง ระหว่าง การออกเสียงประโยคชนิดต่างๆ การใช้เครื่องหมายวรรคตอน และลำดับคำคามโครงสร้างประโยค คำศัพท์เกี่ยวกับเทศกาล เจ้าของภาษา กิจกรรมทางภาษา การร้องเพลง การเล่านิทานประกอบท่าทาง พูด วาดภาพแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ แสดงความคิดเห็นง่ายๆโดยใช้คำศัพท์เหมาะสมกับวัย บอกคำศัพท์เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ สุขศึกษา การใช้ภาษาในการฟัง พูดทำท่าประกอบ และนำเสนอด้วยการพูด เขียนอย่างสุภาพ เข้าร่วม กิจกรรมทางภาษา อ่าน พูด ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน และสถานศึกษา รวบรวมคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องใกล้ตัว 2.2 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2.2.1 ความหมายของคำศัพท์ พิตรวัลย์ โกวิทวที (2540, น. 15) ได้ให้ความหมายของคำศัพท์ไว้ว่าคำศัพท์ หมายถึง คำที่ผสมเสียงให้เป็นรูปคำเพื่อ ใช้ประโยชน์ในการสื่อความหมายให้รู้ว่า เป็นคน สัตว์สิ่งของ หรือลักษณะอาการ ซึ่งคำหนึ่งคำอาจมีหลายความหมาย เช่น ความหมายตามไวยากรณ์ความหมายตามพจนานุกรมซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเรียงลำดับคำ ดวงเดือน จังพานิช (2542, น. 12) ได้ให้ความหมายของคำศัพท์ไว้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีความหมายให้รู้ว่า เป็นคน สิ่งของ อาการ หรือลักษณะอาการอย่างใดอย่าง ดวงเดือน แสงชัย (2543, น. 54) ให้คำอธิบายคำศัพท์ว่า คือ หน่วยเสียงหลายๆ หน่วยเสียงมารวมกันเป็นข้อมูลที่ รวบรวมความหมาย และการออกเสียงของคำศัพท์ที่ใช้ในการสื่อสาร คำศัพท์มีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการคือ รูปคำ (From) และความหมาย (Meaning) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2554, น. 158) ได้ให้ความหมายของคำศัพท์ไว้ว่า คือกลุ่มเสียง เสียงพูด หรือลายลักษณ์อักษรที่เขียนขึ้นหรือพิมพ์ขึ้นมา เพื่อแสดงความคิดเป็นคำที่มีความหมาย จาการศึกษาความหมายของคำศัพท์ที่กล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่า ศัพท์ภาษาอังกฤษ หมายถึง คือกลุ่มเสียง เสียงพูด หรือลายลักษณ์อักษรที่เขียนขึ้นหรือพิมพ์ขึ้น เพ่อแสดงความคิดเป็นคำที่มีความหมาย 2.2.2 วัตถุประสงค์ของการเรียรรู้คำศัพท์
9 พรสวรรค์ สีป้อ (2550, น. 130 - 131) ได้เสนอละวัตถุประสงค์ ในการสอนคำศัพท์ดังนี้ 1. เพื่อให้นักเรียนออกเสียงและเขียนคำนั้นได้ถูกต้อง 2. เพื่อให้นักเรียนรู้ความหมาย ซึ่งต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่างภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษด้วย 3. เพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในโครงสร้างแบบต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่วทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน 4. เพื่อให้นักเรียนรู้ว่าคำนั้น ๆ เป็นคำประเภทใด เช่น เป็นคำนาม คำคุณศัพท์ คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อนักเรียนจะสามารถนำคำไปใช้อย่างถูกต้อง ดวงเดือน แสงชัย (2543, น. 91 - 92) ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายในการสอนคำศัพท์ ดังนี้ 1. .ให้ออกเสียงได้ถูกต้อง 2. ให้รู้ความหมายของคำศัพท์ โดยครูอาจใช้อุปกรณ์ หรือใช้ท่าทางประกอบในการสอน 3. ให้ใช้คำศัพท์นั้นในโครงสร้างได้อย่างคล่องแคล่วตลอดจนความถูกต้องในด้านไวยากรณ์และความ นิยม 4. ให้จำได้ทั้งรูปคำ ความมหาย การออกเสียง และสะกดได้ด้วย Siriwan and Yenseranee (2013, p. 79) ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการสอนศัพท์ไว้ ดังนี้ 1. เพื่อความหมายของคำศัพท์ใหม่ 2. เพื่อความคงทนในการจดจำความหมายของคำศัพท์ใหม่ 3. เพื่อขยายคำศัพท์ให้เพิ่มมากขึ้น กล่าวโดยสรุป ในการเรียนการสอนคำศัพท์มีวัตถุประสงค์คือ ทำให้นักเรียนสามารถออกเสียงคำศัพท์ได้อย่างถูก รู้ความหมาย ของคำ เขียนได้อย่างถูกและสามารถนำคำศัพท์ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง 2.2.3 ความสำคัญของคำศัพท์ จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ซึ่งสรุปได้ดังต่อไปนี้ พิตรวัลย์ โกวิทวที (2540, น. 15) ได้กล่าวว่า คำศัพท์มีความสำคัญ และเป็นพื้นฐานในการที่จะนำไปใช้ประโยชน์ใน การสื่อสารทุก ด้าน โดยเฉพาะการสอนภาษาเพื่อสื่อความหมาย ความรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์ของภาษา คือความรู้เกี่ยวกับ ไวยากรณ์ของภาษา คือความรู้เกี่ยวกับระบบเสียง คำศัพท์เป็นความรู้พื้นฐานที่จะสามารถนำไปใช้(use) ให้สื่อความหมายได้ อย่างถูกต้อง และตามความต้องการ ดวงเดือน แสงชัย (2543, น. 54) ได้กล่าว การจดจำคำศัพท์เป็นเรื่องสำคัญในการเรียนภาษา โดยเฉพาะการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษให้ดีนั้น นักเรียนที่รู้คำศัพท์มาก จำได้แน่น และสามารถนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว ย่อยช่วยให้การเรียน ได้ผลดียิ่งขึ้น
10 Wallace (1984, p. 9) ได้กล่าวว่า การเรียนภาษาต่างประเทศเป็นพื้นฐานที่ สำคัญของการเรียนรู้คำศัพท์ของภาษา นั้น และยังมีระบบของภาษา คือ ไวยากรณ์ หรือโครงสร้างทางภาษาซึ่งเป็นส่วนสำคัญเช่นกัน และจะสามารถสื่อสารได้ขณะที่ เรารู้คำศัพท์ที่จำเป็นต้องใช้ด้วย Harmer (1991, p. 153) ได้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ไว้ว่า เปรียบเสมือนเป็นอวัยวะ (organs) และเนื้อ (flesh) กับโครงสร้างของภาษา หรือไวยากรณ์ เสมือนเป็นโครงของ ภาษา (The Skeleton of Language) การใช้โครงสร้าง ทางภาษาจะไม่มีศักยภาษาที่แสดงออกมาได้ถ้าไม่รู้คำศัพท์ที่ถูกต้อง ถึงแม้การรู้โครงสร้างสร้างภาษา หรือไวยากรณ์ ทำให้ สามารถจัดรูปประโยคได้ถูกต้อง ในการสื่อสารความหมายคศัพท์เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะเป็นตัวสื่อความหมายออกมา Mc Carthy (1997, p. 2-15) ได้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ว่า ความรู้ด้านคำศัพท์เป็นปัจจัยสำคัญสำคัญอย่าง หนึ่งที่ช่วยในด้านการอ่านเพราะทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจรับรู้ ข้อมูล ข่าวสาร จากตำราได้ดียิ่งขึ้น Siriwan and Yenseranee (2013, p. 81) ได้กล่าวถึงความสำคัญของคำศัพท์ ไว้ดังนี้ผู้เรียนภาษาความรู้ด้าน คำศัพท์ สามารถบรรลุความสำเร็จที่หลากหลายในชั้นเรียน สังคมและในการรับรู้ภาษาที่สอง ดังนั้นผู้เรียนที่วงศัพท์กว้างจะ สามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์อีกทั้งผู้เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ความคิด ความรู้สึก จากคำกล่าวของ นักเรียนพบว่า คำศัพท์แสดงบทบาทที่สำคัญต่อการเรียนและเข้าใจ ภาษารวมทั้งการสื่อสาร อีกด้วย จากการศึกษาความสำคัญของคำศัพท์ ดังกล่าวข้างต้น พอสรุปได้กว่า คำศัพท์เป็นปัจจัยพื้นฐานในการเรียนภาษา ทุกภาษา เพราะการรู้คำศัพท์ช่วยให้สื่อความหมายได้ดีและการที่จำคำศัพท์ได้มากจะทำให้สามารถสื่อสารความมหายได้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนอกจากนั้นความรู้ทางด้านคำศัพท์ยังเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้าน ในการเรียนภาษา คือ ทักษะการฟัง การพูดการอ่าน และการเขียนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้านด้วย 2.2.4 ประเภทของคำศัพท์ ชยันต์ บุญพิโย (2546, น. 35- 39) ได้สรุปวัตถุประสงค์ของคำศัพท์ดังนี้ 1. คำศัพท์ที่ใช้เพื่อแสดงความเกี่ยวพันทางไวยากรณ์ ได้แก่ คำบุรพบท (Preposition) เช่น in, on, for, among คำสรรพนาม (Pronoun) เช่น I, you, them คำกิริยาช่วย (Helping verbs) เช่น do, did, may, could คำสันธาน (Conjunction) เช่น and, but, because, either คำสัมพันธ์(Relatives) เช่น who, which, whom, whose คำคุณศัพท์ (Adjectives) เช่น this, that, some, any คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น always, again, even, more 2. คำศัพท์ที่นำมาใช้ตามเนื้อหาสามารถสรุปได้ 3 ประเภทได้แก่ 2.1 คำศัพท์ที่ใช้แทนทุกสิ่งทุกอย่าง ความคิด และสิ่งที่มีอยู่
11 2.2 คำศัพท์ที่ใช้แทนการรกระทำ 2.3 คำศัพท์ที่ใช้อธิบายคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ หรือการกระทำต่างๆ Dele Edgar, et al (1999, pp. 37 – 38, อ้างอิงใน ณัฐวลัย์ จันทร์สิงห์, 2553, น. 23) ได้แบ่งคำศัพท์ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. คำศัพท์ที่มีความหมายในตัวเอง (content words) คือ คำศัพท์ประเภทที่เราอาจบอกความหมายได้โดยไม่ขึ้นอยู่ กับโครงสร้างของประโยค เป็นคี่มีความหมายตามพจนานุกรม เช่น cat, book เป็นต้น 2. คำศัพท์ที่ไม่มีความมหายแน่นอนในตนเอง (Function Words) หรือที่เรียกว่าการยะ ได้แก่คำนำหน้า (Article) คำบุพบท (Preposition) สรรพนาม (Pronoun) คำประเภทนี้มีใช้มากกว่าคำประเภทอื่น เป็นคำที่ไม่สามารถสอนและบอก ความหมายได้ แต่ต้องอาศัยการสังเกตจากการฝึกการใช้โครงสร้างต่างๆในประโยค สุไร พงท์ทองเจริญ (2540, น. 149) ได้จำแนกคำศัพท์ออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะของการใช้ ดังนี้ 1. Active Vocabulary คือ คำศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับชั้นนั้น ๆ ได้พบเห็นบ่อย ๆ ทั้งในการฟัง พูด อ่าน และเขียน ควรจะใช้ให้เป็น และใช้ได้อย่างถูกต้อง ฉะนั้นคำศัพท์ประเภทนี้ครูจะต้องฝึกบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จนสามารถใช้คำใน ประโยคได้ทั้งในการพูด (Speaking) และการเขียน (Writing) ซึ่งถือว่าเป็นทักษะขั้น Production คำศัพท์ประเภทนี้ได้แก่ คำศัพท์ที่เกี่ยวกับบ้าน เวลา วัน เดือน ปี ฤดูกาล อากาศ อาหาร ส่วนต่างๆ ของร่างกาย เครื่องนุ่งห่ม คำซึ่งบรรยายลักษณะ ทางกายภาพ (Physical Characteristic) ได้แก่ รูปร่าง สี น้ำหนัก และรส 2. Passive Vocabulary คือ คำศัพท์ที่เรียนรู้ในระดับชั้นนั้น ๆ ไม่ค่อยพบหรือนาน จะปรากฎครั้งหนึ่งใน การฟัง การอ่าน และการสอน การสอนคำศัพท์ประเภทนี้ ควรจะสอนเพียงแต่ให้รู้ความหมาย (Meaning) และการ ออกเสียงเท่านั้น โดยไม่เน้นให้นักเรียนนำคำศัพท์นั้นมาใช้ในการพูดและการเขียน ศิธร แสงธนูและคิด พงศทัต (2541, น. 39) กล่าวว่า คำศัพท์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. คำที่มีความหมายในตัวเอง (Content words) คือ คำประสมที่เราอาจบอกความหมายได้โดยไม่ต้องขึ้นกับ โครงสร้าง อาจจะพูดได้ว่าเป็นคำที่มีความหมายได้โดยไม่ต้องขึ้นโครงสร้างอาจจะพูดได้ว่าเป็นคำที่มีความหมายตาม พจนานุกรม เช่น daughter, box, pen เป็นต้น อย่างไรก็ตามคำประเภทนี้อาจเปลี่ยนความหมายไปได้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ ต่างกันในประโยค เช่น He drink water. คำ water ทำหน้าที่เป็นนาม “น้ำ” แต่ในประโยค He water the plants. คำ water ทำหน้าที่เป็นกริยา คือ “รดน้ำ” ความหมายที่เปลี่ยนไปแล้วแต่ตำแหน่งในประโยคนี้ เป็น ความหมายตามโครงสร้าง Content Words ในภาษาอังกฤษได้แก่ คำประเภทต่อไปนี้ 2. คำการยะ (Function Words) คำที่ไม่มีความหมายแน่นอนในตัวเอง ส่วนมากจะเปลี่ยนความหมายไป ตามโครงสร้าง คำประเภทนี้มีที่ใช้มากกว่าคำประเภท Content Words คือใน 100 คำ ที่คัดเลือกว่ามีประโยชน์ควรนำมา
12 สอนก่อนนั้น จะมีอยู่ประมาณ 95 คำ ที่เป็น Function words คำประเภทนี้สอนให้เข้าใจยาก การสอนเพียงให้รู้ความหมาย หรือคำแปลไม่ได้ผลต้องให้นัดเรียนได้สังเกตเห็นตัวอย่างการใช้ และฝึกกการใช้ในโครงสร้างต่างๆ โดยตรงจึงจะเกิดประโยชน์ นันทิยา แสงสิน (2543, น. 92) ได้แบ่งประเภทคำศัพท์ตามโอกาสที่ใช้หรือพบเห็นในแต่ละทักษะภาษาเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. คำศัพท์เพื่อการฟัง เป็นคำศัพท์ที่ใช้ส่วนมากในเด็กเล็ก เพราะไม่เคยเรียนรู้ภาษามาก่อนเป็นคำศัพท์ที่ ค่อนข้างง่าย และการเรียรู้เกิดจากกการฟังก่อน 2. คำศัพท์เพื่อการพูด เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการพูดซึ่งต้องสัมพันธ์การฟัง คำศัพท์ที่ใช้ในการพูดนั้นต้อง สามารถสื่อความหมายได้ 3. คำศัพท์เพื่อการอ่าน เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการอ่านและเป็นปัญหามากสำหรับเด็กที่เรียนภาษา คือ ต้องรู้ ความหมายเพื่อที่จะนำไปตีความเนื้อหาและข้อความที่อ่านได้ 4. คำศัพท์เพื่อการเขียน เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการเขียนซึ่งถือว่าเป็นทักษะที่สูงและอยากเป็นคำศัพท์ที่ ผู้เรียนต้องได้รับการสอนที่ถูกต้องและเป็นทางการ สรุปได้ว่า ประเภทของคำศัพท์นั้นแบ่งตามความหมายได้เป็น 2 ประเภท คือ คำศัพท์ที่มีความหมายในตัวเองและ คำศัพท์ที่ไม่มีความหมายแน่นอนในตัวเอง แบ่งตามลักษณะการใช้เป็นสองประเภทคือคำศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับนั้น ๆ ได้เห็น บ่อย ๆ และคำศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับชั้นนั้นอาจจะเป็น nouns, verbs, adjective และ adverbs ซึ่งจะต้องใช้วิธีสอนที่ แตกต่างกันโดยคำนึงถึงความสามารถที่จะนำไปใช้ในการสื่อสารให้เหมาะสม 2.2.5 องค์ประกอบของคำศัพท์ ศิธร แสงธนูและคิด พงศ์ทัต (2541. น. 9 - 10) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่สำคัญคำศัพท์ว่าต้องมีองค์ประกอบดังนี้ 1. รูปคำ (From) ได้แก่ รูปร่างหรือการสะกดตัวของคำนั้น ๆ 2. ความหมาย (Meaning) ได้แก่ความหมายของคำนั้น ๆ ซึ่งหากจะกล่าวโดยละเอียดแล้วคำศัพท์หนึ่งๆ จะมีความหมายแฝงอยู่ถึง 4 ไหนด้วยกันคือ 2.1 ความหมายตามพจนานุกรม (Lexical Meaning) ได้แก่ ความหมายตามพจนานุกรมสำหรับ ภาษาอังกฤษคำหนึ่งๆ มีความหมายหลายอย่างบางคำอาจใช้ในความหมายแตกต่างกันทำให้บางคนเข้าใจว่าความหมายที่ แตกต่างออกไปหรือความหมายที่ตนไม่ค่อยรู้จักนั้นเป็น “สำนวน” ของภาษา เช่น He went to this house. (บ้านที่เป็นที่อยู่ อาศัย) The president lives in the white House. (บ้านประจำตำแหน่งประธานาธิบดี) The House of representative is meeting today. (สภา)
13 2.2 ความหมายทางไวยากรณ์ (Morphological Meaning) คำศัพท์ประเภทนี้เมื่ออยู่ตามลำพัง โดด ๆ จะเดาความหมายได้ยากเช่น “s” เมื่อไปต่อท้ายคำนาม hat, pens จะแสดงความหมายเป็นพหูพจน์หรือเมื่อ นำไปต่อท้ายคำกริยา เช่น walks ในประโยค She walks home ก็จะมีความหมายว่าการกระทำนั้นทำอยู่เป็น ประจำ เป็นต้น 2.3 ความหมายจาการเรียงคำ (Syntactic Meaning) ได้แก่ ความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตาม การเรียงลำดับคำ เช่น boathouse หมายถึง อู่เรือ แตกต่างจาก houseboat หมายถึง เรือที่ทำเป็นบ้าน 2.4 ความหมายตามเสียงขึ้นลง (Intonation Meaning) ได้แก่ ความหมายของคำที่เปลี่ยนไป ตามเสียงขึ้นลงที่ผู้พูดเปล่งออกมาไม่ว่าจะเป็นเสียงที่มีพยางค์เดียวหรือมากกว่า เช่น fire กับ fire คำแรกเป็นการ บอกเล่าที่อาจทำให้ผู้ฟังตกใจมากหรือน้อยแล้วแต่น้ำหนักขแงเสียงที่เปล่งออกมาส่วนคำหลังเป็นคำถามเป็นเชิงไม่ แน่ใจจากผู้ฟัง 3. ขอบเขตของารใช้คำ (Distribution) จำแนกออกเป็น 3.1 ขอบเขตทางด้านไวยากรณ์ เช่น ในภาษาอังกฤษการเรียงลำดับคำ (Word Order) หรือตำแหน่งของ คำที่อยู่ในประโยคที่แตกต่างกันทำให้คำนั้นมีความหมายแตกต่างกันออกไปด้วยดังประโยคต่อไปนี้ This man is brave. (คำนาม) แปลว่า คนผู้ชาย They man the ship. (คำกริยา) แปลว่า บังคับ We need more m-power. (คำคุณศัพท์) แปลว่า กำลังคน 3.2 ขอบเขตของภาษาพูดและภาษาเขียนคำบางคำใช้ในภาษาพุเท่านั้นแต่คำบางคำก็ใช้ภาษาเขียน โดยเฉพาะ 3.3 ขอบเขตของภาษาในแต่ละท้องถิ่นการใช้คำศัพท์บางคำมีความหมายแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น และแม้แต่ภายในประเทศเดียวกันก็ยังมีภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกัน พรสวรรค์ สีป้อ (2550, น. 128) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของคำศัพท์ว่ามีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ รูปคำ (From) และความหมาย (Meaning) ทั้งรูปคำและความหมายต่างมีองค์ประกอบย่อย ๆ ดังนี้ 1. รูปคำ (From) ประกอบด้วย การออกเสียง (Pronunciation) การสะกดคำ (Spelling) ผันคำ (Inflections) และการแปลงคำ (Derivations) 1.1 การออกเสียง (Pronunciation) ในการเรียนรู้คำศัพท์ ลูกสอนต้องฝึกให้นักเรียน ออกเสียงถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษในขั้นเริ่มต้น ผู้สอนต้องให้นักเรียนฝึกออกเสียงให้มาก หน่วย เสียงภาษาที่ควรฝึกเป็นพิเศษ คือ หน่วยเสียงที่ไม่มีในภาษาไทยเช่น เสียง / θ / ในคำ thin เสียง / ð / ในคำ then หรือ / ʃ / ในคำ ship เป็นต้น นอกจากหน่วยเสียงภาษาที่ไม่มีในภาษาไทยแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับผู้เรียนไทยในประเทศ หนึ่งก็คือ บางครั้งคำภาษาอังกฤษไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในความสัมพันธ์ ระหว่างการออกเสียงและการเขียน เช่น through
14 กับ though two กับ twin row กับ now ดังนั้นจึงควรให้ผู้เรียน รู้สัญลักษณ์การออกเสียง(Phonetic Symbols ) ด้วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจและออกเสียงได้ถูกต้อง เมื่อหน่วยเสียงรวมกันเป็นคำ การออกเสียงภาษาอังกฤษก็มีลักษณะที่แตกต่างจากคำไทยคือ เสียงเน้น (Stress) ซึ่งเป็นปัญหาต่อผู้เรียนไทย ผู้สอนจึงต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ด้วย ผู้เรียนไทยที่ฟังเจ้าของภาษาพูดไม่รู้เรื่อง สาเหตุหนึ่งก็มาจากไม่เคยชินกับเสียงเน้น 1.2 การสะกดคำ (Spelling) นอกจากหน่อยเสียง รูปคำยังประกอบด้วยการสะกดคำ ก่อนสอน คำครูควรให้นักเรียนออกเสียงให้ถูกต้องเพราะในปากขังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างการออกเสียงและการ เขียน เช่น through กับ though two กับ twin row กับ row กับ now 1.3 การผันคำ (Inflections) การปั่นความคืบหน้าคำเปลี่ยนรูปแต่ความหมายยังคงเดิมซึ่งที่ แตกต่างไป คือ ไวยากรณ์ เช่น man – men, make – makes, walk - walked เป็นต้น 1.4 การแปลงคำ (Derivations) คำนั้นภาษาอังกฤษเป็นจำนวนมากเกิดจากการเติมวิภัติ และ ปัจจัย (Prefixes and Suffixes) เช่น Unbreakable เกิดจากการเติมปัจจัย -able แลวิภัติun ในคำ break จะเห็นว่าจากคำ break เกิดทำนายอีกสองคำคือ beautiful เกิดจากการเติมปัจจัย -ful ในคำ beauty เป็นต้น วิภัติ คือหน่วยคำที่เติมหน้าคำ และปัจจัย เป็นหน่วยคำที่เติมท้ายคำการรู้วิภัติและปัจจัยทำให้ผู้เรียนรู้คำศัพท์มากขึ้น 2. ความหมาย (Meaning) ประกอบไปด้วย ความหมายตรงตัว (Basic and Literal Meaning) ความหมายแฝง (Connotation) ความหมายเชิงภาพพจน์ (Figurative Meaning)และความสัมพันธ์ทางความหมาย (Semantic Relation) 2.1 ความหมายตรงตัว (Basic and Literal Meaning) ความหมายตรงตัวคือความหมายตาม พจนานุกรม (Lexical Meaning) เป็นความหมายที่ติดมากับคำนั้นเช่นเมื่อพูดถึง type-writer ก็หมายถึงพิมพ์ดีดเป็นต้นแต่ อย่างไรก็ตามคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำหนึ่งๆอาจมีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมายก็ได้เช่น She sets the tray down on the table. กับ Have you set a date for the wedding? คำว่า Set ที่ปรากฏอยู่ใน 2 ประโยคที่มีความหมายแตกต่างกัน ในประโยคแรก Set ความหมายตรงกับ put down และในประโยคหลังหมายถึง decide การที่คำหนึ่งมีความหมายมากกว่า หนึ่งความหมายนี้มักเป็นปัญหาต่อผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเป็นภาษาต่างประเทศ ดังนั้น สิ่งสำคัญในการเรียนรู้ คำศัพท์คือ การสอนคำศัพท์ในบริบท (Context) 2.2 ความหมายแฝง (Connotation) นอกจากความหมายตรงตัวและความหมายศาลอังกฤษยัง มีความหมายที่มีความหมายแฝงซึ่งเป็นคำที่มีความสัมพันธ์กับเจตคติและอารมณ์ของผู้เขียนในการเลือกใช้คำ เพื่อให้มีอิทธิพล ต่อผู้อ่าน หรือผู้ฟังเช่นคำ childlike และ childish ทั้งสองคำนี้มีความหมายใกล้เคียงกันแต่ childish มีความหมายแฝงที่เป็น ลบ เป็นต้น ในการสอนศัพท์รูควรช่วยให้นักเรียนเข้าใจความหมายแฝงของภาษาอังกฤษด้วย 2.3 ความหมายเชิงภาพพจน์ (Figurative Meaning) เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ เช่น John worked like a bee. Winter undressed the tree.
15 He has a stone face. ความหมายเชิงเปรียบเทียบนี้ผู้ฟังหรือผู้อ่านต้องตีความ เพราะไม่ได้มีความมหายที่ตรงไหตรงมา 2.4 ความสัมพันธ์ทางความหมาย (Semantic Relation) ประกอบด้วยคำทีมีความมาหย เหมือนกัน (Synonym) คำที่มีความหมายตรงข้ามกัน (Antonym) คำปรากฏร่วมจำเพราะ(Collocation) และคำลูกกลุ่ม (Hyponym) 2.4.1 คำที่มีความหมายเหมือนกัน (Synonym) คือคำที่สามารถนำไปแทนที่กันได้ในข้อความ โดยข้อความเดิมความหมายไม่เปลี่ยนแปลง เช่น เราสามารถนำคำ Politely ไปแทนที่ Courteously ในประโยค He answered courteously. ได้โดยความหมายของประโยคยังคงเดิม 2.4.2 คำที่มีความหมายตรงข้าม (Antonym) ตัวอย่างของคำที่มีความหมายตรงข้าม เช่น dead และ alive male และ female เป็นต้น 2.4.3 คำปรากฏร่วมจำเฉพาะ (Collocation) คือ คำที่ต้องใช้ร่วมกัน เช่น เราใช้ high building ไม่ใช้ A tall building หรือใช้ Do homework ไม่ใช้ Make homework เป็นต้น 2.4.4 คำลูกกลุ่ม (Hyponym) หมายถึง คำประเภทเดียวกัน เช่น marigold, rose, carnation, sunflower เป็นคำที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ flowers และ sweater, shirt, pants, blouse, vest กลุ่มเดียวกัน คือ clothes เป็นต้น กล่าวโดยสรุปองค์ประกอบของคำศัพท์ภาษาอังกฤษมี 3 ประเภทคือรูปคำความหมายและ ขอบเขตของการใช้คำในด้านของความหมายนอกจากจะมีความสามารถตามพจนานุกรมแล้วยังมีความหมายทางไวยากรณ์ ความหมายจากการเรียงคำและความหมายจากการออกเสียงขึ้นลงของคำพูดส่วนในด้านของขอบเขตของการใช้คำแบ่ง ออกเป็นของเขตของการเรียนลำดับคำของภาษาพูดและภาษาเขียนและขอบเขตของภาษาในแต่ละท้องถิ่น 2.2.6 วิธีการสอนคำศัพท์ สาคร พุทธผล (2546, น. 57) เสนอว่า การสอนคำศัพท์โดยมีจุดหมายให้นักเรียนนำไปสื่อสารได้นั้น นักเรียนจะต้องมีความรู้คำศัพท์อย่างลึกซึ้งคือ สามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้องสามารถสะกดคำได้อย่างถูกต้อง รู้วิธีการใช้ คำศัพท์ร่วมกับคำอื่น สามารถนำคำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆได้ สามารถใช้คำศัพท์ได้อย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์สรุปได้ว่า ในการสอนคำศัพท์ ครูต้องเลือกคำศัพท์และแยกประเภทของศัพท์แล่ละ บท ก่อนการนำเสนอคำศัพท์จะนำเสนอกี่คำต่อครั้ง จะนำเสนอความหมายของคำก่อนหรือรูปก่อนจะใช้ การแปลเป็นวิธีการ นำเสนอความหมายหรือไม่ หรือจะใช้การแสดงด้วยภาพตัวอย่าง เช่น ของจริง สื่อสาร การแสดงท่าทางเลียนแบบ หรือใช้วิธี นำเสนอด้วยนำเสนอด้วยคำพูด เช่น ประโยค ตัวอย่างให้สถานการณ์ตัวอย่างการนำเสนอในรูปภาษาพูดและหู้เรียนพูดตามช้า ๆ หรือไม่ และจะให้นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างไรในการนำเสนอ กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น. 6) เสนอวิธีการสอนคำศัพท์ว่า คำศัพท์ในทุกภาษาเป็น หัวใจ สำคัญประการหนึ่งของการเรียนรู้ภาษาผู้ที่เรียรู้คำศัพท์และวิธีใช้คำศัพท์นั้น ๆ จะ พูด ฟัง อ่านและเขียน ได้ดีกว่าใน การสอนคำศัพท์นั้นต้องคำนึงถึงนักเรียนจะเรียนรู้คำศัพท์ได้ดีเมื่อความหมายของคำศัพท์นั้น ๆ ได้รับการนำเสนออย่างชัดเจน
16 การสอนคำศัพท์ใหม่ควรนำเสนอในบริบทไม่ใช่คำโดด ควรสอนเป็นประโยค ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้ความหมายของคำไป พร้อม ๆ กับวิธีใช้คำนั้น ๆ ทิพวัลย์ มาแสง (2551, น. 46- 49) เสนอวิธีสอนคำศัพท์ ไว้ดังนี้ 1. ให้สอนโดยการให้ความหมาโดยตรง (Synonym) และความหมายตรงกันข้าม (Antonym) เมื่อสอนคำศัพท์ใหม่ 2. ให้คำจำกัดความ (Definitions) 3. อุปกรณ์การสอน (Visual Aids) หรือสื่อที่ใช้ประกอบการสอน เช่น รูปภาพ ของจริง การ สาธิต การวาดภาพบนกระดาน 4. การพูดควรพูดในรูปขแงประโยค (Context Sentences) เมื่อต้องการจะให้ทราบความหมาย ควรให้เน้นในรูปของประโยคโดยใช้ตัวอย่างเป็นประโยค 5. การแปล (Translation) วิธีการนี้ครูควรคำนึงถึงเป็นวิธีสุดท้าย 6. คำศัพท์ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม คำศัพท์ที่เป็นรูปธรรมครูควรสอนด้วยการใช้อุปกรณ์ที่ มองเห็น เช่น ของจริง รูปธรรม คำศัพท์ที่เป็นนามธรรม ครูควรสอนด้วยการยกตัวอย่างประโยค หรือคำจำกัดความง่ายๆ การ ที่นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจะทำให้นักเรียนจำได้ดีและแม่นยำ ธอร์นเบอร์รี่ (2003, น. 143) ได้อธิบายการใช้กิจกรรมวิธีเน้นศัพท์ในการสอนให้ความสำคัญ การเรียนรู้คำศัพท์ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดวิธีการสอนคำศัพท์ในการเรียนภาษนั้นควรจัดหลักสูตรโดยอิงความหมายที่มี ความถี่สูงสุดหมายถึงความหมายที่ใช้บ่อยที่สุดโดยคำต่างๆ เกิดร่วมกับคำอื่น เป็นตัวช่วยทำให้เกิดความคล่องแคล่วในการใช้ ภาษา พิมพ์ใจ เจริญศรี (2558) ได้ให้แนวคิดเรื่องการเรียนการสอนคำศัพท์ว่าเป็นการจัดการที่มีการใช้ กิจกรรมการเรียรู้คำศัพท์ พูด ฟัง อ่านและเขียนในการสอน คำศัพท์ ดังนี้ 1. เรียนจะเรียรนรู้และจำกัดคำศัพท์ได้ดี เมื่อความหมายของคำศัพท์นั้น ๆ ได้รับการนำเสนอ อย่างแจ่มชัดเป็นรูปธรรม เช่น ใช้รูปแสดงใช้การกระทำ หรือใช้วัตถุ สิ่งของสื่อความหมาย 2. คำศัพท์ที่นำเสนอถ้านำเสนอในบริบทโดยให้เกี่ยวโยงสัมพันธ์กับคอื่น จะทำให้ผู้เรียนจำ คำศัพท์ได้ดีกว่าสอนเป็นคำโดด ๆ โดยที่บริบทที่นำเสนอจะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้เรียนเรียน การเรียนรู้คำศัพท์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในแนวตรงแนวเดียว แต่เป็นกระบวนการ แตกแยกกิ่งก้านใน ทุกทิศทุกทางจึงไม่ควรสอนคำศัพท์ในลักษณะเป็นคำ ๆ แต่ควรเป็นกลุ่มคำที่มี ความสัมพันธ์กัน เช่น การสอนคำศัพท์ต่างๆ ที่ เกี่ยวกับ “บ้าน” จะรวมทั้งคำนามและคำกริยาและคำศัพท์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับห้องต่างๆ ในบ้านเช่นห้องครัวหรือห้องนอนเป็น ต้น
17 การสอนคำศัพท์ใหม่ควรนำเสนอในบริบทไม่ใช่คำโดด ๆ เช่นสอนเป็นประโยค วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ เรียนรู้ความหมายของคำไปพร้อม ๆ กับวิธีใช้คำนั้น ๆ สรุปได้ว่า การสอนศัพท์เพื่อให้นักเรียนมีความรู้คำศัพท์อย่างลึกซึ้งคือ สามารถออกเสียงได้อย่าง ถูกต้องสามารถสะกดคำได้อย่างถูกต้อง รู้วิธีการใช้คำศัพท์ร่วมกับคำอื่น สามารถจดจำทั้งภาษาพูด และภาษาพูด และภาษา เขียน นึกคำศัพท์ได้ทันทีเวลาที่ต้องการพูด สามารถนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์โดยในการสอนคำศัพท์ ครูต้องเลือกคำศัพท์ และแยกประเภทของศัพท์แต่ละบทก่อนอาจใช้การแสดงด้วยภาพ เช่น ของจริง สื่อภาพ การแสดงท่าทางเลียนแบบ หรือใช้วิธี นำเสนอด้วยคำพูด เช่น ประโยคตัวอย่างให้สถานณ์ตัวอย่าง การนำเสนอในรูปภาษาพูดและให้ผู้เรียนพูดตามช้า ๆ หรือไม่ และจะให้เรียนมีส่วนร่วมอย่างไร ในการนำเสนอ กลวิธีในการเรียนรู้คำศัพท์ ศิริวรรณ และ เย็นเสรณี (2013, pp. 85 - 86) ได้เสนอกลวิธีในการสอนคำศัพท์ได้ ดังนี้ วิธีการเรียรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม 8nv 1. กลวิธีในการหาความหมายคำศัพท์ภาษอังกฤษมี 14 กลวิธี 2. กลวิธีในการจำความหมายคำศัพท์ภาษาอังกฤษมี 12 กลวิธี ดังนี้ 2.1 กลวิธีในการหาความหมายคำศัพท์ภาษาอังกฤษ กลวิธีที่ 1 เดาความหมายคำศัพท์จากคำศัพท์โดด ๆ กลวิธีที่ 2 เดาความหมายคำศัพท์จากข้อความหรือประโยคข้างเคียง กลวิธี 3 เดาความหมายคำศัพท์จากชนิดของคำ (Word Classes) เช่น คำนาม สรรพนาม กริยา คุณศัพท์ วิเศษณื สันธาน ฯลฯ กลวิธีที่ 4 เดาความหมายคำศัพท์จากไวยากรณ์ของภาษา (Grammatical Structure of a sentence) กลวิธี 5 เดาความหมายคำศัพท์จากการวิเคราะห์โครงสร้างของคำ/หน่วยคำเติม ได้แก่ prefixes, roots, suffixes กลวิธี 6 เดาความหมายคำศัพท์จากลักษณะทางด้านเสียง (Aural Features) เช่น เสียงเบาหนัก เสียงสูงต่ำ การออกเสียงของคำ กลวิธีที่ 7 เดาความหมายคำศัพท์คำศัพท์จากสถานการณ์จริงต่างๆ กลวิธีที่ 8 เดาความหมายคำศัพท์จากท่าทาง (Gestures) กลวิธีที่ 9 ใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษ – ภาษาอังกฤษในการหาความหมายคำศัพท์ กลวิธีที่ 10 ใช้พจุนากรมภาษาอังกฤษ – ไทยในการหาความหมายคำศัพท์
18 กลวิธีที่ 11 ใช้พจนานุกรมไทย - ภาษาอังกฤษในการหาความหมายคำศัพท์ กลวิธีที่ 12 ถามเพื่อนร่วมชั้นเรียน กลวิธีที่ 13 ถามอาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษ กลวิธีที่ 14 ถามคนอื่นๆ เช่น บุคคลรอบตัว ชาวต่างชาติ เจ้าของภาษา 2.2 กลวิธีในการจำความหมายคำศัพท์ภาษาอังกฤษ กลวิธีที่ 1 ท่องคำศัพท์จัดเป็นคำโดด ๆ พร้อมความหมาย กลวิธีที่ 2 ท่องคำศัพท์ในรูปประโยค กลวิธีที่ 3 ท่องคำศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำศัพท์หมวดร่างกาย ศัพท์หมวดวิชาเรียนศัพท์หมวด พืชผัก-ผลไม้ศัพท์ที่ออกเสียงแพ้ชนะต้นและตัวสะกดเหมือนกัน กลวิธีที่ 4 ท่องคำศัพท์แบบคำคล้องจองทางเสียง (Rhymes) กลวิธีที่ 5 ฟังเพื่อน อาจารย์ชาวต่างชาติพูดสนทนาภาษาอังกฤษ กลวิธีที่6 ใช้คำศัพท์ในการฝึกพูดสนทนากับเพื่อน กลวิธีที่ 7 ใช้คำศัพท์ในการฝึกพูดสนทนากับอาจารย์หรือชาวต่างชาติ กลวิธีที่ 8 ร้องเพลงภาษาอังกฤษ กลวิธีที่ 9 อ่านทบทวนบทเรียนภาษาอังกฤษที่เรียนมาแล้ว กลวิธีที่ 10 พิจารณาจากหน่วยเติมคำ เช่นอุ ปสรรค ปัจจัย และรักษา (Prefixes, Suffixes, Roots) กลวิธีที่11 เขียนคำศัพท์พร้อมความหมายและประโยค ตัวอย่างการใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษลง ในสมุด กลวิธีที่ 12 เขียนคำศัพท์พร้อมความหมายใส่กระดาษติดบอร์ดในห้องเรียน กลวิธีที่ 13 เขียนจัดหมวดหมู่คำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกันและต่างกัน กลวิธีที่ 14 เขียนจัดหมวดหมู่คำศัพท์ที่พ้องรูป พ้องเสียง กลวิธีที่ 15 ทำการบ้าน และแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษท้ายบทเรียน กลวิธีที่ 16 ใช้คำศัพท์ที่เรียนรู้ความหมายแล้วมาใช้ในการฝึกเขียนเป็นประโยค กลวิธีที่ 17 ใช้รูปแบบในการโยงเข้าหาคำศัพท์ภาษาอังกฤษ กลวิธีที่ 18 ดูของจริงรอบ ๆ ตัวแล้วโยงเข้าหาคำศัพท์
19 กลวิธีที่ 19 เชื่อมโยงคำศัพท์ใหม่เข้ากับคำศัพท์เดิม คุณวิธีที่20 เชื่อมโยงคำศัพท์เข้ากับประสบการณ์เดิม คุณวิธีที่ 21 การใช้แผ่นด้านความหมาย (Semantic Maps) สรุปได้ว่า วิธีการหรือพฤติกรรมการเรียนที่ผู้เรียนใช้ในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษซึ่งแต่ละคนย่อมมี กลวิธีเฉพาะส่วนตนเองในการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ซึ่งสามารถเรียนรู้ความหมายคำศัพท์ได้ด้วย 14 กลวิธีและจด คำศัพท์ได้ด้วย 21 กลวิธีดังกล่าวมาแล้ว 2.3 เกมการเรียนรู้ 2.3.1 ความหมายของเกมการเรียนรู้ กิจกรรมเกมการเรียนรู้ เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎกติกาง่ายๆช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิด หาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอด การจัดกิจกรรมการเรีย นการสอนที่หลากหลายทำให้เด็กได้รับการพัฒนาครบทั้ง 4 ด้าน และเป็นคนดีมีคุณธรรมมีปัญญา และมีความสุขเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคมนักการศึกษาได้ให้ ความหมายของเกมการเรียนรู้ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ(2554, น. 145) ได้กล่าวถึงความหมายของเกมการ เรียนรู้(Didactic Game) ว่า เกมการเรียนรู้เป็นการเล่นที่ช่วยให้ผู้เล่นเป็นผู้มีความสังเกตดีๆ ช่วยให้มองเห็น ได้ฟัง หรือคิด อย่างรวดเร็ว จึงเกมการเรียนรู้จะต่างจากของเล่นอย่างอื่นแต่ละชุดจะมีวิธีเล่นโดยเฉพาะอาจเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่ม ผู้ เล่นสามารถตรวจสอบการเล่นว่าถูกต้องหรือไม่ ฆนัท ธาตุทอง (2551, น. 30) ได้กล่าวถึงการเรียนรู้โดยใช้เกม คือการเรียนรู้แบบเกม หมายถึง การให้ ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมที่มีกฎเกณฑ์กติกา เงื่อนไขข้อตกลงร่วมกันทำให้เกิดความสนุกสนาน ร่าเริง เป็นการออกกำลังกาย พัฒนาความคิดสร้างสรรค์แลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ร่วมกับผู้อื่นมีการนำเนื้อหาข้อมูลและพฤติกรรมจากเกมสรุป เป็นผลการเรียนรู้ ปัญญา สังข์ภิรมย์ (2552, น. 149) ได้กล่าวถึง วิธีสอนโดยใช้เกมเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการเล่นเกมที่มีกฎกติกา เงื่อนไข และข้อตกลงร่วมกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความสนุกสนาน ร่าเริงเพื่อ เป็นการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์การเล่นเกมจะเล่นคนเดียวหรือเล่นมากกว่าสองคนขึ้นไปก็ได้ ตามความเหมาะสม ทิศนา แขมมณี (2552, น. 365) ได้ให้ความหมายวิธีการสอนโดยใช้เกมคือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุ ประสงค์ที่กำหนดโดยการให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกาและนำเนื้อหาข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเล่นวิธีการเล่นและผลการเล่นเกมของผู้เรียนมาใช้ในการอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้ อุทัย สงวนพงศ์ (2553, น. 1) ได้กล่าวถึง ความหมายของเกมไว้ว่า เกมเป็นกิจกรรมการเล่นชนิดหนึ่งที่ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้พัฒนาการเป็นผู้นำผู้ตาม การทำงานร่วมกัน มีความคิดสร้างสรรค์ ปลุกจิตสำนึกให้เคารพในกติกา
20 เล่นด้วยความยุติธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบ ทำให้ผู้เล่นเกิดความสนุกสนาน ได้ออกกำลังกาย ไม่เน้นเรื่องการแพ้ชนะ แต่ ต้องการให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงทักษะและศักยภาพของตนเองเต็มความสามารถ สรุป ความหมายของเกมการเรียนรู้ได้ว่า เกมการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมการเล่นชนิดหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับชีวิตและพัฒนาการของเด็กมาตั้งแต่เกิด เป็นสื่อนวัตกรรมทางการศึกษาที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาในด้านการคิด การ สังเกตการคิดหาเหตุผลและช่วยให้สามารถเข้าใจ และจดจำบทเรียนได้ง่ายและรวดเร็ว เกิดความคิดรอบคอบในเรื่องนั้น ๆ เกมการเรียนรู้จะจัดเป็นชุด ๆแต่ละชุดจะมีวิธีการเล่นโดยเฉพาะอาจเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่ม ซึ่งผู้เล่นสามารถตรวจสอบ ได้ว่าการเล่นนั้นถูกต้องหรือไม่ 2.3.2 วัตถุประสงค์ของเกมการเรียนรู้ กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (2552, น. 44- 45) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ด้วย เกม ดังนี้ 1. ส่งเสริมการสังเกต จำแนก และเปรียบเทียบ 2. ส่งเสริมการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา 3. ส่งเสริมการคิดหาเหตุผลและตัดสินใจแก้ปัญหา 4. ช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ 5. ปลูกแงให้มีคุณธรรมต่างๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความมีระเบียบวินัยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ความซื่อสัตย์ อุทัย สงวนพงศ์ (2553, น. 1) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่ใช้เกมในการสอน ดังนี้ 1. เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กรักการเล่นและการเรียนกิจกรรมสาระนั้น ๆ 2. เครือปลูกฝังให้เด็กรักกันออกกำลังกายมีสมรรถภาพทางกายที่ดี 3. เพื่อประสานสัมพันธ์ของอวัยวะต่างๆ อย่างสง่าผ่าเผย และนิ่มนวล 4. เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี 5. เพื่อเป็นการฝึกให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มและเพื่อนๆ 6. เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวเบื้องต้นต่างๆ 7. เพื่อจัดประสบการณ์ที่จะช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ควรนำเชื่อถือเป็นบุคคลที่มีคุณค่า มีความ ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง มีความเมตตาบุคคลอื่น และรักการศึกษาเล่าเรียน 8. เพื่อส่งเสริมให้รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะการเล่นที่ยุติธรรม มีความเข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม 9. เพื่อจัดบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ให้สัมพันธ์กันด้วยกิจกรรมเกม
21 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาประถมศึกษาแห่งชาติ (2554, น. 145) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัด เกมการเรียนรู้ 1. และฝึกฝนและพัฒนาความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัส เพื่อให้เกิดการรับรู้เพื่อจะนำไปสู่การเรียนรู้ 2. พัฒนาการคิดหาเหตุผล 3. ฝึกการสังเกตและการตัดสินใจ 4. ฝึกการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจ 5. ช่วยให้เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรู้ 6. ฝึกการจำแนกเกี่ยวกับสี รูปร่าง รูปทรง ขนาด ปริมาณ จำนวน เสียง 7. ฝึกทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และภาษา 8. ฝึกการคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2556, น. 95) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงค์ในการเล่นเกมส์ ดังนี้ 1. เพื่อสร้างความสนุกสนานและความพอใจให้กับผู้เข้าร่วมเล่นเกม 2. เพื่อสร้างสมรรถภาพด้านร่างกาย พัฒนาทักษะการเคลื่อนไหว 3. เพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดทางอารมณ์และจิตใจ 4. เพื่อส่งเสริมสัมพันธภาพอันดีระหว่างผู้ร่วมเล่น 5. เพื่อให้มีทัศนคติต่อการออกกำลังกาย 6. เพื่อเป็นแนวทางในการที่จะไปเล่นในกีฬาอื่นๆ ต่อไป จากวัตถุประสงค์ของการจัดเกมการเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า เกมการเรียนรู้เป็นสื่อที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ได้ดี ตอบสนองความต้องการของเด็กหลายๆด้าน พอเกมการศึกษาเป็นสิ่งที่ช่วยเป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กได้เล่นเกมส์การเรียนรู้ เด็กได้รู้จักสังเกต การจำแนก การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การ เชื่อมโยง ฝึกการรับรู้ ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นทักษะพื้นฐานในการคิด ในขณะที่เด็กเล่นเกมได้มาก เด็กก็จะได้ฝึกคิดมาก ซึ่งสิ่ง เหล่านี้จะเป็นพื้นฐานในการทำงานของเด็กในอนาคต เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ 2.3.3 ความสำคัญของเกมการเรียรู้ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เกมการเรียนรู้เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้เป็นไป อย่างสนุกสนาน ช่วยให้การเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว สามารถจดจำได้ง่ายและยาวนานจึงมีนักศึกษาหลายท่าน กล่าวถึง ความสำคัญของเกมการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ พงศ์เทพ บุญศรีโรจน์ (2252, น. 1) กล่าวถึงประโยชน์ของเกมการเรียนรู้ว่า เกมเป็นสื่อที่จะส่งเสริมให้ผู้เล่นมีความ คล่องและความสามารถรอบตัวสูง สามารถช่วยให้ผู้เล่นประสบผลสัมฤทธิ์ได้กว่างขวาง 1. เกมช่วยให้ผู้เล่นพัฒนาพลังความคิดสร้างสรรค์ได้มาก
22 2. เกมส่วนใหญ่ ส่งเสริมความสามารถในการตัดสินใจ การสื่อสาร ช่วยให้ผู้เล่นรู้จักแก้ปัญหาหลายๆ แนวทาง 3. ข้อได้เปรียบของการใช้เกมการเรียนรู้ ที่เหนือกว่าวิธีอื่นใด ก็คือความสนุก ทำให้นักเรียนได้เข้าร่วม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งนักเรียนที่ผลการเรียนไม่ค่อยดีนัก 4. เกมส่วนใหญ่มักจะใช้พื้นฐานทางวิชาการหลายๆ ด้าน ซึ่งทำให้ผู้เล่นรู้จัก บูรณาการความรู้และทักษะต่างๆ เข้า ด้วยกัน ปิ่น มาลากุล (2553, น. 12) กล่าวว่า เกมการเรียนรู้มีคุณค่าในการสอน ครูควรนำมาใช้ในบทเรียนเพื่อให้เด็กเกิด ความสนุกสนาน ไม่เบื่อหน่าย และได้รับความรู้โดยไม่รู้สึกตัว ลัดดาวัลย์ กัณหสุวรรณ (2553, น. 12) ได้กล่าวถึงคุณค่าของเกมการเรียนรู้ไว้ว่า เกมช่วยให้เด็กรู้จัก ตัดสินใจ เกิด ทักษะในการคิดแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว เข้าใจและจำบทเรียนได้ดีขึ้น และยังทำให้เด็กได้ผ่อนคลายความเครียด เกิดความ สนุกสนานเพลิดเพลิน สุจริต เพียรขอบ (2554, น. 206- 207) ได้กล่าวถึงควรคุณค่า ความสำคัญ และประโยชน์ ของเกม ในการเรียนการ สอน ดังนี้ 1. เกมภาษาช่วยให้เด็กใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว 2. เกมช่วยให้เด็กพัฒนาร่างกาย เด็กได้ใช้มือ ใช้ตา 3. เกมช่วยพัฒนาทางด้านสติปัญญา เด็กได้มีโอกาสแกคิด ฝึกการตัดสินใจเกมช่วยให้นักเรียนมีทัศคติที่ดีต่อการ เรียนการสอนหลักการทำโครงงาน เยาวพา เดชะคุปต์ (2556, น. 36) กล่าวถึงความสำคัญของเกมการเรียนรู้ไว้ว่า เกมเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญยิ่ง ต่อการฝึกทักษะ และช่วยให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ สิ่งที่เรียน การเล่นเกมจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้เด็กเกิดการ เรียนรู้และช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ รวมทั้งช่วยส่งเสริมกระบวนการในการทำงานและอยู่ร่วมกันกับเพื่อนในสังคม อัจฉรา ชีวพันธ์ (2556, น. 3) ได้กล่าวถึงคุณค่าของเกมไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางด้านความคิดกับเด็ก 2. ช่วยส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาดานการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน 3. ช่วยในการฝึกทักษะทางภาษา และทบทวนเนื้อหาวิชาการต่างๆ 4. เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก ซึ่งความสามารถที่มีอยู่ 5. ช่วยประเมินผลการเรียนการสอน 6. ช่วยให้เด็กความเพลิดเพลินและผ่อนคลายความตึงเครียด 7. ช่วยเร้าความสนใจของนักเรียน และใช้เป็นกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียนเสริมบทเรียน และสรุปบทเรียน 8. ส่งเสริมให้เด็กมีความสามัคคี รู้จักการเอื้อเพื่อช่วยเหลือกัน 9. ฝึกความรับผิดชอบ และการรู้จักปฏิบัติตามกฎเกณฑ์
23 10. ช่วยให้ครูได้เห็นพฤติกรรมของนักเรียนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Reese (1977, อ้างถึงใน ประไพศรี สงวนวงศ์, 2553, น. 20) ได้ชี้แนะประโยชน์ของการใช้เกมประกอบการเรียน การสอนว่าเกมเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ใจความเข้าใจ และมีทัศนคติตามที่ต้องการ นอกเหนือไปจากความสนุกสนาน Grambs, et al. (1970, pp. 244- 251 อ้างอิงใน ประไพศรี สงวนวงศ์, 2553, น. 21 ) กล่าวว่า เกม ช่วยให้นักเรียน เรียนรู้ได้ดี และสามารถจดจำได้ยาวนาน สามารถทำให้นักเรียนที่เรียนอ่อน หรือ เรียนช้าพัฒนาการเรียนรู้ได้ดีขึ้น ช่วยให้เด็ก มีความสามารถในการแก้ปัญหา และมีความคิดรอเริ่ม สร้างสรรค์ จากความสำคัญของเกมการเรียนรู้ดังกล่าวมา สรุปได้ว่า เกมการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเกมการเรียนรู้มาใช้กับการเรียนรู้และฝึกทักษะความคิดสร้างสร้างสรรค์ จะช่วยให้การเรียนรู้เกิดจาก ความสนุกสนาน และสามารถสร้างความเข้าใจในการเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็ว 2.3.4 ประเภทของเกมการเรียนรู้ Kolumbus (2004, อ้างอิงใน เยาวพา เดชะคุปต์, 2552, น. 47- 56) จำแนกประเภทของเกมต่างๆ ดังนี้ 1. เกมพัฒนาทักษะโดยการกระทำหรือการเล่นวัสดุต่างๆ (Manipulative game) เกมชนิดนี้เป็นการที่ เด็กนำของเล่นต่างๆ มาเล่นอย่างมีกฎกติกา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เด็กสามารถสร้างสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อเล็กระหว่างการ ใช้มือและสายตา เช่น เกมร้อยลูกปัด ติดรังดุม กรอกน้ำใส่ขวด 2. เกมการเรียนรู้ (Didactic game or Cognitive game) คือเกมที่พัฒนาการคิดของเด็กซึ่งจากการเล่น เกมของเด็ก ครูสามารถบอกได้ว่า เด็กมีความเข้าใจความคิดรวบยอดของเรื่องนั้น ๆ อย่างไร เช่น เกมโดมิโน เกมเรียงลำดับ เหตุการณ์ก่อนหลัง 3. เกมฝึกทักษะร่างกาย (Physical game) เกมฝึกทักษะทางร่างกาย หรือเกมพลศึกษามีมากมายหลาย ชนิด ซึ่งรวมทั้งกิจกรรมการฝึกบริหารประจำวันง่ายๆ แต่นำมาฝึกทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งเช่นเกมการับฟัง เกมทำตามทิศทาง เกมการมีส่วนร่วมสำหรับเด็กเล็ก ๆ กติกาที่กำหนดไว้ควรไม่ยุ่งยาก และซับซ้อน เช่น เกมวิ่งไล่จับ เกมทำตามคำสั่ง เกมซ่อน หา 4. เกมเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา (Language game) เกมฝึกทักษะทางภาษาเป็นเกมที่อาศัยจิตนาการ และการใช้คำพูดโดยไม่ต้องใช้วัสดุใด ๆ เกมฝึกทักษะทางภาษาบางกมจะส่งเสริมทักษะเกี่ยวกับความจำ ฝึกทักษะการฟัง หรือ เกมการเดา เช่น เกมอะไรเอ่ย เกมตะล๊อกต๊อกแตก 5. เกมทาบบัตร (Card Game) เป็นเกมที่ครูทำขึ้น ช่วยให้เด็กแยกความเหมือนหรือความต่าง ฝึกความจำ เสริมทักษะอื่นๆ ซึ่งครูจะต้องพิจารณาว่าเลือกเกมอะไรให้เหมาะสมกับความต้องการหรือจุดมุ่งหมายของเด็ก 6. เกมพิเศษ (Special Game) เกมนี้จะเล่นในโอกาสพิเศษ คราจจะจัดให้โกเล่นเป็นครั้งคราวเช่น เกมล่า ลายแทงขุมทรัพย์เกมโจรสลัด เกมตามรอยเท้า ซึ่งเกมดังกล่าว จะต้องอาศัยความร่วมมือของเด็กอย่างมาก สุภาภรณ์ ทองใบ (2554, น. 7-12) ได้แบ่งประเภทของเกมการฝึกภาษาไว้เป็น
24 1. เกมฝึกทักษะการออกเสียงและพูด 2. เกมฝึกการสะกดคำ 3. เกมฝึกทักษะการอ่านและการเขียน คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน (2554, น. 145-153) ได้จำแนกประเภทของเกมเป็น ชนิดต่างๆ ดังนี้ 1. เกมจับคู่ เกมชนิดนี้เป็นเกมการสังเกต การเปรียบเทียบ การคิดหา เหตุผลการจับคู่เป็นการ จัดของเป็นคู่ ๆ ชุดละตั้งแต่ 5 คู่ขึ้นไป อาจเป็นการจับคู่ภาพหรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ก็ได้เกมประเภทนี้ สามารถจัดได้หลายชนิด ได้แก่ 1.1 การจับคู่สิ่งที่เหมือน 1.1.1 จับคู่ภาพหรือสิ่งของที่เหมือนกันทุกประการ 1.1.2 จับคู่ภาพกับเงาของสิ่งเดียวกัน 1.1.3 จับคู่ภาพกับโครงร่างของสิ่งเดียวกัน 1.1.4 จับคู่ภาพที่ซ่อนอยู่ในภาพหลัก 1.2 การจับพูดสิ่งที่เป็นประเภทเดียวกัน เช่น ไม้ขีด-ไฟแซ็ค เทียน-ไฟฟ้า 1.3 การจับคู่สิ่งที่มีความสำคัญ กับสิ่งที่ใช้คู่กัน สัตว์เเม่ลูก สัตว์กับอาหาร 1.4 การจับคู่สิ่งที่มีความสำคัญแบบตรงกันข้าม คนอ้วน-คนผอม 1.5 ภาพส่วนเต็มกับส่วนย่อย 1.6 การจับคู่ภาพส่วนเต็มกับภาพชิ้นส่วนที่หายไป 1.7 การจับคู่ภาพที่ซ้อนกัน 1.8 การจับคู่ภาพที่เป็นส่วนตัดกับภาพใหญ่ 1.9 การจับคู่สิ่งที่เหมือนกันแต่สีต่างกัน 1.10 การจับคู่ภาพที่มีเสียงสระละเหมือนกัน เช่น กา-นา งู-ปู 1.11 การจับกู้ภาพที่มีเสียงวันชนะต้นเหมือนกัน เช่น นก-หนู กุ้ง-ไก่ 1.12 การจับคู่แบบอุปมาอุปไมย 1.13 การจับคู่แบบอนุกรม
25 2. เกมภาพตัดต่อ เป็นเกมฝึกการสังเกตรายละเอียดของภาพรอยตัดต่อภาพที่เหมือนกันหรือต่างกันในเรื่องของสี รูปร่าง ขนาด ลวดลาย เกมประเภทนี้มีจำนวนชิ้นของภาพตั้งแต่ 5 ชิ้นขึ้นไป ซึ่งจำนวนชิ้นอยู่ในอยู่กับความยากของภาพชุด นั้น เช่น หากสิ่งของภาพไม่มีความแตกต่างกัน จะทำได้ยากแก่เด็กยิ่งขึ้น 3. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมิโน) เพื่อฝึกการสังเกต การคิดคำนวน การคิดเป็นเหตุเป็นผล เกมประเภทนี้มีหลาย ชนิดประกอบด้วยชิ้นส่วนเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีรูปสามเหลี่ยม ตั้งแต่เก้าชิ้นไป ในแต่ละด่านจะมีภาพ จำนวน ตัวเลข จุดให้เด็ก เลือกต่อกันในรูปที่เหมือนกันแต่ละด้านไปเรื่อย ๆ 4. เกมเรียงลำดับ เป็นเกมฝึกทักษะการจำแนก การคาดคะเน เกมประเภทนี้ มีลักษณะเป็นภาพสิ่งของ เหตุการณ์ ตั้งแต่ 3 ภาพขึ้นไป 4.1 การเรียงลำดับภาพและเหตุการณ์ต่อเนื่อง 4.2 การเรียงลำดับขนาด ความยาว ปริมาณ ปริมาตร จำนวน เช่น ใหญ่-เล็ก, สั้น-ยาว, หนัก-เบา, มาก-น้อย 5. เกมจัดหมวดหมู่ เพื่อฝึกทักษะการสังเกต การจัดแยกประเภท เกมประเภทนี้มีลักษณะเป็นภาพ หรือของจริง ประเภทสิ่งของต่างๆ เป็นเกมที่ทำให้เด็กนำมาจัดเป็นพวกๆ ตามความคิดของเด็ก 6. เกมหาความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับสัญลักษณ์ เกมนี้จะช่วยเด็กก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสือเด็กจะคุ้นเคยกับ สัญลักษณ์เป็นภาพที่มีภาพตัวเลข แสดงจำนวนให้ ตั้งแต่ 3 คู่ขึ้นไป 7. เกมหาภาพที่มีความหมายสัมพันธ์ลำดับที่กำหนด ฝึกการสังเกตลำดับที่ ถ้าเก็บต้นแบบจะฝึกเรื่องความจำ เกม ประเภทนี้ ภาพต่างๆ 5 ภาพ เป็นแบบให้เด็กสังเกตลำดับของภาพส่วนที่เป็นคำถามจะมีภาพกำหนดให้ 2 ภาพ ให้เด็กหาภาพ ที่ 3 ที่เป็นคำตอบที่จะทำให้ภาพทั้ง 3 เรียงลำดับถูกต้องตามต้นแบบ 8. เกมสังเกตรายละเอียดของภาพ ฝึกกการสังเกตรายละเอียดของภาพ เกมจะประกอบด้วยภาพแผ่นหลัง 1 ภาพ และชิ้นส่วนที่มีภาพส่วนย่อยสำหรับกับภาพแผ่นหลังอีกจำนวนหนึ่งตั้งแต่ 4 ชิ้นขึ้นไป ให้เด็กเลือกภาพชิ้นส่วนเฉพาะที่มีอยู่ใน ภาพหลักหรือภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดให้เกี่ยวกับภาพหลัก 9. เกมหาความสัมพันธ์แบบอุปมาอุปไมย เกมนี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนแผ่นยาวจำนวน 2 ชิ้นต่อกันด้วยผ้าหรือวัสดุอื่น ชิ้นส่วนแรกมีภาพ 2 ภาพ ที่มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ชิ้นส่วนที่มีภาพ 1 ภาพ เป็นภาพที่มีสามที่มี ขนาด ½ ของชิ้นส่วน ให้เด็กหาภาพที่เหลือซึ่งเมื่อจับคู่กับภาพที่สามแล้วจะมีความสัมพันธ์ทำนองเดียวกับภาพคู่แรก ตัวเลือก เป็นภาพขนาดเท่ากับภาพที่สาม สาระของเกมอาจเป็นเรื่องของรูปร่าง จำนวน 10. เกมพื้นฐานการบวก เป็นการฝึกให้มีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการรวมกัน หรือการบวก โยเกมจะประกอบด้วย ภาพหลัก 1 ภาพ ที่แสดงจำนวนต่างๆ ที่แสดงจำนวนต่างๆ และจะมีภาพชิ้นส่วน ตั้งแต่ 2 ภาพขึ้นไปภาพชิ้นส่วนมีขนาด 1/2 ของภาพหลัก ให้เด็กหาภาพชิ้นส่วน 2 ภาพที่รวมกันรวมแล้วมีจำนวนเท่ากับภาพหลักแล้วนำมาวางเทียบเคียงกับภาพหลัก 11. เกมจับคู่ตารางสัญลักษณ์ เป็นการฝึกคิดการสังเกตและฝึกการคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ประกอบด้วยช่องขนาด เท่ากัน และมีบัตรเล็ก ขนาดเท่ากับช่องตาราง เพื่อเล่นเข้าชุดกัน โดยมีบัตรที่กำหนดไว้เป็นตัวนำไว้ข้างบนของแต่ละช่องโดย การเล่นอาจจับคู่ภาพที่มีส่วนประกอบของภาพที่อยู่ข้างบนกับภาพที่อยู่ด้านข้างก็ได้
26 สรุปได้ว่า ประเภทของเกมการเรียนรู้ว่ามีหลายประเภทขึ้นอยู่กับการจำแนกวิธีการเล่นของเกมแต่ละละอย่างในการ นำเกมาการเรียนรู้ไปใช้ตัวครูสำคัญมาก จะต้องมีความพร้อมใรทุก ๆด้านและมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกมการเรียนรู้เป็น อย่างดี เพื่อที่จะเป็น ผู้นำแนะนำ และช่วยเหลือเด็กให้เด็กได้เล่นเกมการเรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี 2.3.5 ลักษณะของเกมที่ดี Rixon (2012, p. 5) ได้เสนอแนะลักษณะของเกมที่ดีกว่า ควรเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้พัฒนา ทักษะทาง ภาษา และไม่ควรขึ้นอยู่กับโชคมากเกินไป อีกทั้งเกมบางเกมควรจะเป็นความสำเร็จของการศึกษาของผู้เรียนมากกว่าเป็น ความถูกต้อง ควรให้ประสาเป็นพื้นฐานของการเล่นเกมและสิ่งที่ควรกระทำคือการให้รางวัลการให้ผลสะท้อนกลับ (Feedback) เป็นสิ่งที่เรียกความสนใจของผู้เล่นได้สูง นิตยา สุวรรณศรี (2551, น. 19) ได้กล่าวถึงลักษณะของเกมที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ 1. ให้เวลาน้อย และไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้ามาก 2. เล่นง่าย และท้าทายความสามารถของผู้เล่น 3. สั้น และสะดวกในการเล่นในเวลาเรียน 4. ทำให้นักเรียนสนุกสนาน และไม่ทำให้นักเรียนเสียวินัยในห้องเรียน 5. ไม่เสียเวลาในการตรวจสอบผลงาน สุมิตรา อังวัฒนกุล (2551, น. 116-117) ได้ให้ข้อเสนอแนะถึงเกมทางภาษาที่จะให้ได้ดีนั้น ควรมีลักษณะ 3 ประการคือ 1. การหาข้อมูลที่ขาดหายไป (Information Gap) เช่น ผู้พูดไม่ทราบว่าเพื่อนในชั้นจะทำอะไรใน สุดสัปดาห์นี้ 2. ตัวเลือก (Choice) ผู้พูดมีตัวเลือกว่าจะคาดเดาว่าเพื่อน จะทำอะไรให้คำพูดว่าอย่างไร 3. การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ครูพูดจะได้รับข้อมูลป้อนกลับจากสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม ถ้าประโยชน์ที่เขาใช้ไม่เป็นที่เข้าใจก็จะไม่ได้กลับคำตอบจากคนอื่น แต่ถ้าได้รับคำตอบกลับมาก็ แสดงว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นผู้อื่นเข้าใจ สุภาภรณ์ ทองใบ (2554, น. 2) ด้านเสนอถึงลักษณะที่ดีของเกมไว้ ดังนี้ 1. ครูไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมมากนัก 2. ไม่ควรให้เวลามาก ถ้าเด็กเล็กไม่ควรเกิน 10 - 15นาที ควรคำนึงว่าเป็นการเล่นเพื่อเรียนการฝึก ภาษาที่สองไปแล้วเท่านั้น 3. พักเรียน ไม่ต้องให้การเคลื่อนไหวในห้องมากนัก 4. เล่นในฉันเรียนได้โดยไม่ทำให้ชั้นเรียนยุ่งเหยิง 5. มีคำบ่งบอกวิธีเล่นที่ชัดเจน 6. เป็นเกมที่ฝึกหลักภาษาที่ต้องการได้ 7. เกมนั้นให้หลักภาษาที่เหมาะสมกับระดับของนักเรียน
27 สรุปได้ว่า ลักษณะของเกมส์ประกอบการสอนที่ดี ควรเป็นเกมส์ที่ตรงกับจุดมุ่งหมายของการสอน ควรให้ เวลาไม่มากนัก เล่นง่ายๆ เหมาะสมกับวุฒิภาวะ และความสามารถของผู้เรียน อีกทั้งให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และได้ ประโยชน์จากการเรียน ส่งเสริมความเจริญงอกงาม ของเด็กทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สิ่งสำคัญเกมนั้นควร มีผลสะท้อนกลับ (Feedback) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เล่นได้เป็นอย่างดี 2.3.6 ข้อดีของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม Cruickshank (2556, น. 28 - 32) กล่าวถึงข้อดีของการใช้เกมประกอบการสอน ดังนี้ 1. ช่วยพัฒนาทักษะทางการเรียนของเด็ก ๆ 2. เป็นการทบทวนวิชาที่เรียนไปแล้ว 3. เป็นการเพิ่มพูนทักษะที่ดีแก่ผู้เล่นที่ละน้อยด้วยตัวเอง 4. ช่วยเสริมการสอนของครูให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาการเรียนการสอนที่น่าเบื่อ นิตยา ฤทธิ์โยธี (2556, น. 6) กล่าวว่าความสำคัญของการใช้เกมช่วยให้บรรยากาศในการเรียนการสอน เป็นไปอย่างมีชีวิตชีวาสร้างความเป็นกันเองระหว่างครูและนักเรียนได้มากขึ้นเกมคำศัพท์เหล่านี้เป็นกิจกรรมช่วยส่งเสริมการ เรียนรู้คำศัพท์ให้นักเรียนเกิดความคงทนในการจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น วิทยา ตันติเสวี และ เสรีโลกัตถจริยา (2556, น. 17) ได้กล่าวถึงข้อดีของเกมไว้ ดังนี้ 1. ด้านร่างกาย สมอง 1.1 ส่งเสริมทักษะทางกายและการเคลื่อนไหว 1.2 พัฒนาด้านการเรียนรู้และใช้ความคิด วิจารณญาณ และเหตุผลในการสร้างสรรค์และแก้ปัญหา 1.3 พัฒนาด้านความคล่องตัว การตอบโต้ แข่งขัน และกลไกทางกายและประสาท สมองที่สัมพันธ์กัน 1.4 เสริมสร้างความชำนาญและทักษะเฉพาะด้านของบุคคล 2. ด้านจิตใจ 2.1 ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ผ่อนคลายความเครียด 2.2 เกิดทัศนคติที่ดีในการเล่น การร่วมทีมงาน ผ่อนคลายความเครียด 2.3 เสริมสร้างคติธรรม คุณธรรม และความเอเฟื้อเผื่อแผ่ 2.4 ช่วยให้มีอารมณ์แจ่มใส สดชื่น ไม่อืดอาด เศร้าซึม 2.5 ส่งเสริมความมีบุคลิกภาพที่ดีและเป็นที่ยอมรับของคนอื่น 2.6 ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี 3. ด้านสังคม 3.1 เกิดมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเข้ากับหมู่คณะได้
28 3.2 ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตาม และการยอมรับซึ่งกันและกัน 3.3 ทำให้เกิดความเข้าใจ และยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคล 3.4 สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผย 3.5 มีความหมั่นใจ 3.6 สนับสนุนความสามัคคีในหมู่คณะ 4. ด้านอารมณ์ 4.1 มีอารมณ์แจ่มใสร่างเริง 4.2 มีความชื่อหมั่นในตนเอง 4.3 รู้จักเสียสละ แพ้ ชนะ ให้อภัย จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าในการใช้เกมประกอบการสอนให้มีประสิทธิภาพครูผู้สอนต้องรู้จักเลือกเกมให้ เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ความรู้ความสามารถและทักษะในการเลือกเกมในการนำเกมมา ใช้จะต้องรู้ว่าเกมนั้น ๆ จะใช้ในชั้นไหนนำเข้าสู่บทเรียนขั้นสอนและขั้นปฏิบัติที่สำคัญต้องรู้จักใช้เกมให้เหมาะสมกับเวลา โอกาสความต้องการ ความสนใจและความสามารถของนักเรียน ซึ่งเมื่อถึงเวลาเล่นเกมควรที่จะแจ้งให้นักเรียนทราบล่วงหน้า เกมชื่ออะไร มีฎกติกาการเล่นเป็นอย่างไร รวมทั้งวิธีการและปฏิบัติตัวของผู้เล่น มีจุดมุ่งหมายควรจะทำอย่างไรจนจบการ แข่งขัน 2.3.7 รูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกม บำรุง โตรัตน์ (2552, น. 148) ได้แบ่งรูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมออกเป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ 1. เกมการเคลื่อนไหว (Active Games) หมายถึง เกมที่นักเรียนหรือผู้เล่นต้องเคลื่อนไหวไป รอบ ๆ ห้องเรียนและบางครั้งนักเรียนต้องออกเสียงดัง 2. เกมเงียบ (Passive Games) หมายถึง เกมที่ผู้เล่นหรือนักเรียนเล่นโดยไม่ต้องเคลื่อนที่เป็น เกมที่เล่นแล้วไม่ส่งเสียงดัง วิทยา ตันติเสวี และ เสรี โลกัตถจริยา (2553, น. 19) ได้แบ่งรูปแบบของเกมออกเป็น 1. เกมละลายพฤติกรรม หมายถึง เกมที่เน้นการเริ่มต้นสร้างความสนิทสนม คุ้นเคย เพื่อให้ผู้เล่นได้ทำ ความรู้จักกัน 2. เกมสันทนาการ เป็นเกมที่เน้นความสนุกสนาน ความสนุกรื่นเริง ให้ความบันเทิงใจฝึกสมองประสาท สัมผัสให้มีความว่องไว รวดเร็ว เน้นการแสดงออกเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ร่วมเล่นเกมส์ 3. เกมพฤติกรรม หมายถึง เกมที่สะท้อนภาพ แง่คิด เนื้อหาสาระ การกระทำพฤติกรรมของมนุษย์
29 4. เกมบริหาร เป็นเกมที่ฝึกฝน ฝึกหัด ผู้บริหารให้ใช้หลักการแก้ปัญหาการตัดสินใจ สรุปได้ว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เกม เป็นการใช้เกมเพื่อละลายพฤติกรรม เน้นความ สนุกสนาน เกมส์สามารถสร้างความคุ้นเคยให้กับนักเรียนได้ อาจมีทั้งเกิด เคลื่อนไหว เกมเงียบ ทำให้นักเรียนได้รับความ สนุกสนานแต่ครูก็ยังควบคุมชั้นได้ 2.3.8 วิธีการสอนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เกม ราศี ทองสวัสดิ์ (2552, น. 79) ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการนำเกมการเรียนรู้ไปใช้ว่า 1. ครูควรเตรียมเกมการเรียนรู้ไว้ให้เพียงพอ 2. ลักษณะของเกมอาจเป็นภาพตัดต่อ จับคู่ภาพเหมือน โดมิโน การแยกหมู่ 3. เวลาที่ใช้ฝึกนี้กำหนดไว้เป็นหนึ่งกิจกรรม เพราะอุปสรรคแต่ละชุดจะให้ผลต่อเด็กไม่เหมือนกัน ดังนั้นการจัด ควรจัด หมุนเวียนให้เด็กเล่นหรือฝึกทุกชุดให้ทั่วถึงกัน 4. เกมหรืออุปกรณ์ที่จะใช้ ควรมีพอที่จะหมุนเวียนกันอยู่เสมอหากจำเจเด็กก็อาจจะเบื่อไม่อยากเล่น พงศ์เทพ บุญศรีโรจน์ (2552, น. 79) ได้กล่าวถึงการสอนโดยใช้เกมไว้ดังนี้ เตรียมตัวและทำความเข้าใจในเกมที่เตรียมไว้ 1. กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง คล่องแคล่วอยู่เสมอ เพราะผู้เล่นเกมจะรับรู้ความรู้สึกของผู้นำเกมได้ไว และจะปฏิบัติสนองตอบเช่นเดียวกับผู้นำเกมโดยมิต้อง ตั้งใจทั้งทางดีและไม่ดี 2. หยุดเล่นทันทีที่ความสนุกถึงขีดสูงสุด อย่าเล่นจนเบื่อ 3. เตรียมสำรองไว้หากจะเล่นเกมต่อไป 4. ผู้นำเกมต้องมีความเชื่อมั่นว่าเกมส์ที่นำมาให้เล่นนั้นมีความสนุกสนาน 5. ยิ้มอยู่เสมอ มีอารมณ์ขัน และเตรียมมุกตลกไว้บ้าง 6. ไม่จำเป็นต้องอธิบายเสมอไป สาธิตได้ 7. เกมยืดหยุ่นได้เสมอ 8. ประเมินผลการเล่นตลอดเวลา 9. หลังจากได้ดำเนินการจนจบแล้วอาจเล่นเกมกับสมาชิกบ้าง 10. ส่วนการฝึกหัดได้มีประสบการณ์บ่อย ๆ ปัญญา สังข์ภิรมย์ (2552, น. 151) กล่าวถึงขั้นตอนการสอนเกมไว้ ดังนี้
30 1. ขั้นเลือกเกม 2. ขั้นชี้แจงและกติกาการเล่นเกม 3. ขั้นเล่นเกมส์ 4. ขั้นอภิปรายหลังการเล่นเกม 5. ขั้นประเมินผล อารี เกษมรัติ (2552, น. 71 – 72 ) เอ่อกล่าว อยากใช้ควรลำดับเกมตามความสามารถเริ่มจาก สิ่งที่ไม่ละเอียดนักเพราะเด็กจะสังเกตสิ่งที่ใหญ่ก่อน เมื่อเด็กมีความสังเกตจดจำมากแล้วจึงจะให้เด็กได้สังเกต ส่วนย่อยหรือส่วนละเอียดมากขึ้นตามลำดับดังนั้น จึงควรให้เด็กไม่เล่นเกมที่มีความยากเพิ่มขึ้นเพื่อให้เด็กรู้จักคิด รู้จักสังเกต จดจำอย่างมีเหตุผลมากขึ้น วิธีการที่ให้เด็กเล่นอ่านให้เด็กเล่นเป็นกลุ่ม และคนละชุด หรือ 2 คน ต่อ 1 ชุด ใครเล่นเสร็จก่อนถูกต้องตามกติกาก็ให้เล่นเกมชุดอื่นต่อไป ในระยะแรกเด็กจะสังเกตและลองเล่นบ้างโดยผลัด กันเล่นเกมส์ครั้งละ 6 ถึง 8 คน เด็กจะเล่นแบบนั้นสักระยะประมาณ 1 เดือน จากนั้นครูจึงให้เด็กเล่นเองด้วย แบ่งกลุ่มให้ผู้รับผิดชอบแต่ละเกมจะวางกติกาไว้ว่าแต่ละกลุ่มต้องไม่ส่งเสียงดังต้องไม่แย่งกันเล่นด้วยความเร็วและ ถูกต้อง รู้จักรักษาของไม่ทำสกปรกหรือฉีกขาด เล่นเสร็จแล้วต้องเก็บให้เรียบร้อย กลุ่มใดทำถูกต้องตามกติกาถือว่า ชนะแล้วจึงสลับกันเล่นเมื่อเด็กมีความชำนาญในการเล่นมากขึ้น ครูต้องเพิ่มพิมพ์ให้เด็กเล่นโดยจัดเกมที่ยากและ แปลกขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เด็กรู้จักสังเกตและจดจำอย่างมีเหตุผล นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็กด้วย ณัฐวลัย จันทร์สิงห์ (2553, น. 80 ) กล่าวว่า การนำเกมไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนระดับประถมศึกษา ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามธรรมชาติจนสามารถจำแนกและนำไปใช้กับทักษะอื่นๆ ได้ จึงควรนำเกมมาแทรกในกิจกรรมการเรียนการสอน สรุปได้ว่า การนำเกมการเรียนรู้มาใช้ ควรลำดับเกมตามความสามารถเริ่มจากสิ่งที่ไม่ละเอียดนัก เพราะเด็กจะสังเกตสิ่งที่ใหญ่ก่อน เมื่อเด็กมีความสังเกตจดจำมากแล้วจึงให้เด็กได้สังเกตส่วนย่อยหรือส่วนละเอียด มากขึ้นตามลำดับ การนำเกมใส่ในกิจกรรมการเรียนการสอนโดยครูจัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม 2.3.9 วิธีการวัดและการประเมินผลของเกมการศึกษา เกมการศึกษามรประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยได้ครบทุกด้านทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมรณ์ และสังคม เด็กได้เรียนผ่าน การเล่นเกมที่เหมาะสมสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก โดยช่วยส่งเสริมให้มีทักษะต่างๆ ดังนั้นการวัดการประเมินผลของเกม การศึกษา เป็นการวัดและประเมินว่าเกิดสิ่งเหล่านี้หรือไม่ดังนี้ (นิตยา ฤทธิ์โยธา,2551, น. 62) 1. การสังเกตและเปรียบเทียบจากของจริง วัสดุสิ่งของต่างๆ และรูปภาพ 2. การใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล 3. การใช้กล้ามเนื้อเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา 4. การเล่นร่วมกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ภาพอันดีกับผู้อื่น เพราะในบรรยากาศการดล่นนั้นเป็นการฝึกฝน การ ยอมรับผู้อื่น และการที่ผู้อื่นยอมรับตนได้ เป็นการเรียนรู้การเข้าสังคมเด็กจะแสดงพฤติกรรมจากการสนทนาถ้อยที ก้อยอาศัยกัน
31 5. ให้เด็กมีความกล้าในการแสดงออก กล้าพูด กล้าคิด โดยครูควรมีคำถามให้คิดเกี่ยวกับภาพในเกมหรือเรื่องราวจาก เกม 6. ให้เป็นคนยอมรับการแพ้ ชนพ การทพตามกติกาส่งเสริมให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน และผ่อนคลายจากกิจกรรมอื่น เด็กจะร่าเริงแจ่มใสและมองโลกในแง่ดี 7. สร้างนิสัยดีให้แก่เด็ก เช่น การมีวินัยในตนเองและหมู่คณะ ความอดทนอดกลั้นความซื่อสัตย์ การเป็นผู้นำผู้ตาม เป็น ต้น 8. เด็กค้นคว้าด้วยตัวเองจากสื่อการเล่นและการเรียนรู้ที่จะเล่นวิธีการเล่น 9. ทักษะที่ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ทักษะการฟัง การดู การดม การชิม และการจับสัมผัส เกมการศึกษาเปิดโอกาส ให้เด็กได้กระทำ ได้สำรวจ ค้นคว้า จึงเป็นประสบการณ์ตรงที่เด็กเต็มใจรับด้วยความสนุก ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ช่วย ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด สรุป เกมการเรียนรู้ มีประโยชน์ต่อเด็กเนื่องจากทำให้เด็กได้พัฒนาครบทุกด้านทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่นที่เหมาะสมสอดคล้องกับธรรมชาติจะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการและทักษะต่างๆ ดีขึ้น ใน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในครั้งนี้ผู้วิจัยจำนว 8 เกม ดังนี้ Guess!! Summer Holidays find words Summer Holidays Guess!! Computer and Technology find words Computer and Technology Guess!! At the Movies find words At the Movies Guess!! Let’s Party! find words Let’s Party! 2.4 ความคงทนในการเรียนรู้ 2.4.1 ความหมายของความคงทนในการเรียนรู้ นักการศึกษาส่งเสริมและคิดค้นหาวิธีที่จะให้ผู้เรียนจำได้นาน ๆ ได้พยายามหารูปแบบและวิธีการต่างๆ ให้ มีการจดจำในสิ่งที่เรียนรู้ได้นานที่สุดหรือจดจำได้ตลอดไป แต่สิ่งที่นักการศึกษาและนักวิจัยไม่เห็นด้วย คือ การสอนให้ ผู้เรียนท่องจำโดยไม่เกิดความเข้าใจ ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของการเรียนรู้ คือ เรื่องของการจำและการลืม เพราะทุกครั้ง ที่มีการเรียนรู้ก็ย่อมมีการจำได้บางส่วน หรือจำไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นในการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน จึง มักจะมีการศึกษาความคงทนในการเรียนรู้รวมอยู่ด้วย ได้มีผู้ให้ความหมายของความคงทนในการเรียนรู้ (Retention) ไว้ ดังนี้ คือ ชัยพร วิชชาวุธ (2551, น. 118 ) กล่าวว่า การศึกษาทบทวนสิ่งที่จำได้อยู่แล้วซ้ำอีกจะช่วยให้เกิดความจำ ถาวรมากยิ่งขึ้น ถ้าได้ทบทวนอยู่เสมอแล้วช่วงระยะเวลาที่ความจำระยะสั้นจะฝังตัวกลายเป็นความจำระยะยาว หรือ ความคงทนในการเรียนรู้ประมาณ 28 แปดวัน หลังจากที่ได้ผ่านการเรียนรู้แล้วจะเริ่มคงที่ ประสาท อิศรปรีดา (2553, น. 230 ) กล่าวถึงความคงทนในการเรียนรู้ว่า หมายถึงการรักษาไว้ซึ่งผลจาก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของการเรียนรู้ให้คงอยู่ต่อไป นอกจากนั้น การปรับปรุงประสิทธิภาพในการจำก็มีอยู่หลายวิธี ด้วยกันที่สำคัญได้แก่
32 1. การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่มีความหมาย 2. การทบทวน การอ่าน หรือการท่องอยู่เสมอ 3. หลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลการเรียนรู้อื่นสอดแทรก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการจุดดำหรือเกิดการจดจำสับสนขึ้น ได้ 4. ให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของเนื้อหาที่เรียน วิธีการนี้จะทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากันได้ ก็ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำในสิ่งที่เรียนได้นาน หรือมีความคงทนในการเรียนรู้ได้นานยิ่งขึ้น เดโช สวนานนท์ (2554, น. 209 ) ด่าว่า กล่าวว่า การเรียนรู้และการจำมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ การศึกษาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างไร การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเกิดขึ้นหรือยัง ถ้าประเมินทันทีที่มีผู้เรียนทำใน สิ่งนั้น ส่วนที่ได้เป็นผลจากการเรียน แต่ถ้าให้เวลาพักผ่อน หลายชั่วโมง หลายวันหลายสัปดาห์ แล้วจึงมีการทำการประเมิน การเปลี่ยนแปลงที่ได้ก็จะเป็นผลของการเรียนรู้และการจำ จากความหมายที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า ความคงทนในการเรียนรู้ หมายถึง การคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้น จากการเรียนรู้และความสามารถที่จะระลึกได้เมื่อเวลาผ่านไปในระยะเวลาสองสัปดาห์ โดยการประเมินด้วยแบบวัดผลทางการ เรียน 2.4.2 ความสำคัญของความคงทนในการจัดการเรียนรู้ การเรียนรู้และการจำมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพราะการจำต้องประกอบด้วยพฤติกรรมต่างๆ (กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ 2551, น. 238 ) ดังนี้ 1. การเรียนรู้(Leaning) ผู้ที่สามารถจำได้มักเกิดจากการเรียนรู้ที่แท้จริงมีเหตุผลและมีหลักเกณฑ์สามารถสะสม หรือจำนวนกฎเกณฑ์ต่างๆได้ 2. ความสามารถในการสะสม (Retention) หมายถึง การรวบรวมประสบการณ์ต่างๆซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ทั้ง ทางตรงและทางอ้อม 3. ความสามารถในการถ่ายทอดได้(Reproduction) คือการที่บุคคลสามารถดึงเอาสิ่งสะสมอยู่แล้วมาใช้ได้ 2 รูปแบบ คือ 3.1 การระลึกได้(Recall) คือการถ่ายทอดความจำออกมาโดยการเล่าบรรยายหรืออธิบายสิ่งที่เคยจำได้ นั้นออกมาได้ถูกต้องโดยมิต้องมีสิ่งนั้นมาปรากฏให้เห็น 3.2 การจำได้(Recognition)คือการถ่ายทอดความจำออกมาโดยการชี้สิ่งนั้นได้ถูกต้องเมื่อมีสิ่งเร้าอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วย 2.4.3 ระบบความจำ มนุษย์สามารถจำคราบสารพัดชนิดที่ผ่านมาได้และภาพต่างๆ ถูกเก็บในจิตสำนึกซึ่งมนุษย์สามารถระลึกออกมาได้ อย่างถูกต้องโดยอาศัยหลัก 3 ข้อ (ประสาท อิศรปรีดา, 2553, น. 19 – 20 ) คือ
33 เมื่อมนุษย์ได้เห็นภาพใด เขายอมแปลความหมายออกมาเป็นถ้อยคำหรือรูปลักษณะต่างๆ แต่ความทรงจำที่เขาสะสมไว้ 1. มนุษย์จะตอบสนองสิ่งล่อใหม่ที่เป็นภาพหรือสัญลักษณ์ในลักษณะที่ไม่เป็นภาษาหรือจินตนาการก่อนหลังจากนั้น ชั่วขณะหนึ่งจะสามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร 2. มนุษย์มิได้เก็บความจำไว้ในระบบประสาทแต่คงอยู่เฉพาะในรูปแบบของการรับรู้ เช่น เมื่อดูภาพหนึ่งที่มีทั้งภาพ และคำเขาจะนึกถึงภาพหรือคำอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะเด่นชัดกว่าการซึ่งหลักข้อนี้สนับสนุนสิ่งเร้าที่เป็นภาพ และคำคู่กัน โครงสร้างและกระบวนความจำโครงสร้างความจำมี 3 หน่วยคือ 1. ความจำการรู้สึกสัมผัส (Sensory Memory) 2. ความจำระยะสั้น (Short – Term Memory) 3. ความจำระยะยาว (Long – Term Memory) หน่วยทั้ง 3 นี้สัมพันธ์กันด้วยกระบวนการสำคัญ 3 กระบวนการหรือการเข้ารหัส (Encoding) การเก็บรหัส (Storage) รายการถอดรหัส (Retrieval) เนื่องจากทั้ง 3 กระบวนการเป็นกระบวนการต่อเนื่องจึงจะขาดกระบวนการใด กระบวนการหนึ่งมิได้มิฉะนั้นจะเกิด การดื่มกระบวนการทำทั้ง 3 กระบวนการ ชัยพร วิชชาวุธ (2551, น. 63 – 68 ) ความจำเป็นกระบวนการต่อเนื่องดังมีผู้ตั้งทฤษฎีสองกระบวนการคลื่นมีความ ว่า ความจำระยะสั้นเป็นความจำชั่วคราวสิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในความจำระยะสั้นจะต้องได้รับการทบทวนหยุดเสมอ มิฉะนั้น ความจำต่อสิ่งนั้นก็จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในการทบทวนเราไม่สามารถทบทวนทุกสิ่งให้อยู่ในความทรงจำระยะสั้นดังนั้น จำนวนที่เราจำได้จึงมีจำกัดสิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในความจำระยะสั้นได้รับการทบทวนมากเท่าไหร่ก็จะฝังตัวเก็บไว้ในความจำระยะ ยาวได้นานเท่านั้น 2.4.4 การส่งเสริมที่ช่วยให้เกิดความคงทนในการเรียนรู้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะช่วยให้เกิดความจำระยะยาวแก่ผู้เรียนได้ดีนั้นมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน (ชัยพร วิชชาวุธ, 2551, น. 68 – 75 ) ดังนี้ 1. การจัดบทเรียนให้มีความหมาย (Meaningfulness) เช่น 1.1 การสร้างสื่อสัมพันธ์ (Advance Organization) 1.2 การจัดเป็นระบบไว้ล่วงหน้า (Hierarchical Structure) 1.3 การจัดเป็นลำดับขั้น (Organization) 1.4 การจัดข้าวเป็น (Mathemgentic) 2. การจัดสถานการณ์ช่วยการเรียนรู้ (Mathemgentic)
34 2.1 การนึกถึงสิ่งที่เรียนในขณะที่ฝึกฝนอยู่ (Recall During Practics) 2.2 การเรียนเพิ่ม (Over Learning) 2.3 การทบทวนบทเรียน (Periodic Reviews) 2.4 การจำอย่างมีหลักเกณฑ์ (Logical Memory) 2.5 การท่องจำ (Recitation) 2.6 การใช้จินตนาการ (Imagery) การทำให้ผู้เลี้ยงเกิดความจำระยะยาวได้ดีโดยการจัดบทเรียนให้มีความหมายนั้น เป็นการจัดบทเรียนให้มีระเบียบ เป็นหมวดหมู่พยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์เพื่อให้นักเรียนจำบทเรียนได้ง่ายและนานขึ้น ส่วนการจัดกระทานะการช่วยการ เรียนรู้ได้แก่ การจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีโอกาสทำกิจกรรมต่างๆ จะช่วยให้ผู้เลี้ยงเกิดการเรียนรู้และคงไว้ซึ่งประสบการณ์หา ความรู้ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นความคงทนในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ที่จำได้ไปใช้สายการใหม่ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 2.4.5 การทดสอบความคงทนในการเรียนรู้ ประสาท อิศรปรีดา (2553, น. 153 ) ได้กล่าวถึงความจำของมนุษย์จะไม่คงที่ตลอดเวลาและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในการวัดดูว่าเมื่อเรียนไปแล้ว และหยุดไประยะหนึ่งโดยไม่มีการปฏิบัติอะไรนั้นจะมีความคงทนในการเรียนรู้มากน้อยเพียงใดมี วิธีการวัดอยู่ 3 วิธีคือ 1. วิธีแห่งการระลึกได้ (The Recall Method) คือการเปรียบเทียบผลระหว่างทดสอบติดตามหลังการ เรียนเสร็จสิ้นทันทีกับการเป็นระยะพรรคไปแล้วทดสอบ 2. วิธีแห่งการรู้จัก (The Recognition Method) ใช้วิธีการให้เลือกเอาสิ่งที่เคยเรียนมาแล้วออกมาจากสิ่ง อื่นๆ ที่ปะปนอยู่ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กันมาก 3. การเรียนใหม่ (Relearning Method) เปรียบเทียบการเรียนอันเดิมกับการเรียนกันใหม่ว่าถ้าเรียนให้ได้ ระดับเดิมจะใช้เวลาเท่าใด พรรณทิพา รุจิพร (2558) กล่าวถึงวิธีการวัดความคงทนในการเรียนรู้หรือ Retention มี 4 วิธีคือ 1. Reconstruction เป็นการนึกออกมาหรือจำได้เมื่อมีสิ่งเร้าบางประการหรือสิ่งที่เป็น Partial Cues ตัวอย่างเช่น ของที่ระลึก รูปภาพ เพลง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการสร้างภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตมาอีกครั้งหนึ่ง 2. Recall เป็นความจำแบบลึกได้โดยไม่มีสิ่งเร้าใด ๆมากระตุ้นอาจเป็นการระลึกได้ทั้งหมดและถูกต้อง การณ์ที่เป็นดังนี้เพราะเกิดจาก Repetition มีการซ้ำไปซ้ำมาจน Overlearning หรือใช้บ่อยจนจำได้คือมีการ Recall Information เหล่านี้อยู่เสมอวิธีการวัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งโดยใช้การ Recall ที่รู้จักกันคือการตอบแบบทดสอบแบบอัตนัย (Essay Question) คือเรียนก็จะต้อง Recall Information ความรู้สึกต่างๆ ความสามารถในการ Recall จะลดน้อยลงเพราะ องค์ประกอบเช่นการเวลาที่ผ่านไปและสิ่งอื่น ๆที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ขัดขวาง (Interfere)
35 3. Recognition เป็นการจำได้ที่มีสิ่งเร้าต่างๆ และสามารถจำแนกและชี้เฉพาะลงไปบอกได้ว่าเป็นสิ่งเร้าที่ เคยเรียนมาแล้วในขณะที่Recall เป็นการระลึกถึงสิ่งทั้งหมดที่เก็บสะสมอยู่ในความทรงจำโดยสิ้นเชิงโดยไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น แบบทดสอบปรนัย(Objective Question)คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดง Recognition ได้ชัดเจนในบรรดารูปแบบหรือตัวเลือกที่ กำหนดให้จนมีคที่ถูกต้องพอเห็นข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับที่เคยเรียนรู้มาก็จะจำได้ถ้ายังสามารถ Retain Information นั้นไว้ได้ แต่ Recognition ที่เกิดขึ้นอาจไม่เที่ยงตรงแน่นอน (Inaccurate) 4. Savings หรือ Relearning สิ่งใดที่เคยเรียนรู้มาแล้วแต่ลืมไปสามารถ Recall หรือ Recognize ได้ก็ อาจจะจำได้อีกโดยการเรียนรู้สิ่งนั้นหรือสิ่งใหม่ซึ่งจะใช้เวลาและความพยายามมากกว่าที่จะใช้ในการยังอยู่ครั้งแรก 2.4.6 ระยะเวลาในการวัดความคงทนในการเรียนรู้ ระยะเวลาเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กับความคงทนในการเรียนรู้ฉะนั้นการที่เราจะช่วยเสริมสร้างความจำหรือทดสอบ ว่าหลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้วนั้นผู้เรียนจะยังสามารถคงความดำในการเรียนรู้ไว้ได้นานเท่าใด ดังนั้นการ วัดความคงทนในการจำจึงต้องมีระยะเวลาที่เหมาะสม การศึกษาทบทวนสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้วซ้ำอีกจะช่วยให้ความจำถาวรมาก ยิ่งขึ้นและทาได้ทบทวนอยู่เสมอแล้วช่วงเวลาที่คนจำระยะสั้นจะฝังตัวกลายเป็นความจำระยะยาวหรือความคงทนในการจำ ประมาณ 14 วันหลังจากที่ได้ผ่านการเรียนรู้ไปแล้ว (ชัยพร วิชชาวุธ, 2551, น. 118) และเพื่อก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ต่างๆ น้อยลงควรเว้นช่วงเวลาในการสอบตามห่างกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์เพราะความเคยชินในการทำแบบทดสอบหรือทำให้ ค่าความสัมพันธ์ระหว่างกันแน่นทั้งสองกลุ่มสูง ประสาท อิศรปรีดา (2553, น. 230) กล่าวถึงความคงทนในการเรียนรู้ว่า หมายถึงการรักษาไว้ซึ่งผลที่เกิดจากการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการเรียนรู้ให้คงอยู่ต่อไป นอกจากนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพในการจำก็มีอยู่หลายวิธีด้วยกันที่ สำคัญ ได้แก่ 1. การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่มีความหมาย 2. ทบทวนการอ่าน หรือการท่องอยู่เสมอ 3. หลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลการเรียนรู้อื่นสอดแทรก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการจดจำหรือเกิดการจดจำสับสนขึ้นได้ 4. ให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ของเนื้อหาที่เรียน วิธีการนี้จะทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากันได้ จะช่วย เพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำในสิ่งที่เรียนได้นาน ดื่มมีความคงทนในการเรียนรู้ได้นานยิ่งขึ้น ประสาท อิศรปรีดา (2553, น. 13) ได้สรุปผลการทดลองของเอ็บบิ้งเฮ้าส์ ที่ศึกษาว่าการลืมเกี่ยวข้องกับเวลาที่ผ่าน ไปอย่างไร เกิดขึ้นเร็วหรือช้า มากหรือน้อย เป็นสัดส่วนกับเวลาอย่างไร
36 โดยสรุปได้ดังตาราง ที่ 2.1 ตาราง ที่ 2.1 ช่วงเวลาที่ผ่านไปความจำที่เหลืออยู่และความจำสูญเนื่องจากการลืม ช่วงเวลาที่ผ่านไป ความจำที่เหลืออยู่ ความจำสูญเนื่องจากการลืม 20 นาที 58% 42% 1 ชั่วโมง 44% 56% 9 ชั่วโมง 36% 64% 24 ชั่วโมง 34% 66% 2 วัน 28% 72% 6 วัน 25% 75% 30 วัน 21% 79% สรุปได้ว่า ความคงทนในการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนพอการเรียนรู้และ การจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดรวมทั้งวิธีการสอนที่น่าสนใจหรือการใช้อุปกรณ์การสอนที่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความ ประทับใจซึ่งจะส่งผลต่อความคงทนในการจำได้เป็นอย่างดี การวัดความคงทนในการเรียน เป็นการวัดความ คงทนซึ่งประสบ การหรือความสามารถที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนรู้หรือประสบการณ์หลังจากทิ้งไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัย เว้นเวลา 2 สัปดาห์หรือ 14 วัน โดยใช้ แบบทดสอบความคงทน เรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยเป็นแบบทดสอบคู่ขนานกับ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียน หรือเดิมเรียกว่าแผนการสอนนั้น มีผู้ให้ความมหายไว้ ดังนี้ กรมวิชาการ (2551, น. 135) ได้ให้ความหมายของแผนการสอนไว้ว่า แผนการสอนเป็นกระบวนการ จัดเตรียมสภาพของแผนการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเช่วยให้นักเรียรเกิดการเรียนรู้ เขมรัฐ โตไทยะ (2551, น. 1) ได้ให้ความหมายของแผนการสอนไว้ว่า แผนการสอนเป็นสิ่งสำคัญ และ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับครูผู้สอน ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียรการสอนให้นักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ ชัยฤทธ์ ศิลาเดช (2551, น. 94) ได้กล่าวไว้ว่าแผนการสอนเป็นการกำหนดขั้นตอน การสอน ที่ครูมุ่งหวัง จะให้ผู้เรียนได้เกิดพฤติกรรมการเรียนในเนื้อหาและประสบการณ์หน่วยใดหน่วยหนึ่งตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ คณะกรรมการการศึกษาประถมศึกษาแห่งชาติ (2554, น. 17) ให้ความหมายของแผนการสอนคือ การ วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละครั้ง โดยกำหนด สาระสำคัญ จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม การเรียน การสอน สื่ออุปกรณ์ รวมถึงการวัดประเมินผล เป็นต้น
37 สำลี รักสุทธิ (2554, น. 78) ได้ให้ความหมายของแผนการสอนไว้ว่า แผนการสอนคือ การนำวิชาที่จะต้อง ทำการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เนื้อหาสาระ การใช้สื่ออุปกรณ์การสอน และ การวัดประเมินผลสำหรับเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้องกับวัตถประสงค์ หรือเน้นจุดเน้นของ หลักสูตร สภาพของผู้เรียน ความพร้อมของโงเรียนในด้านวัสดุอุปกรณ์ และตรงกับชีวิตจริงในท้องถิ่น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยการนำวิชาที่จะต้อง สอนตลอดปีการศึกษามาสร้างเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการสอน กำหนดวิธีการสอน วัสดุอุปกรณ์การวัดประเมินผล เพื่อให้ นักเรียนมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามที่หลักสูตรกำหนด 2.5.2 วัตถุประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ ประสาท สืบค้า (2547, น. 3) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของแผนการจัดกาเรียนรู้ไว้ว่าเพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้สอน เพราะได้วางแผนไว้พร้อมแล้วใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนจากประสบการณ์ในอดีตช่วยให้ผู้สอนมีความรอบคอบเกี่ยวกับการ เลือกวัตถุประสงค์และกิจกรรมช่วยให้การสอนสอดคล้องกับสภาพการณ์ของผู้เรียนช่วยให้การสอนเป็นไปอย่างมีระบบและ ต่อเนื่องเอื้อให้ผู้สอนรังสรรค์สื่อการสอนที่เหมาะสมการวัดผลและประเมินผลสอดคล้องกับปณิธารและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ กิตติศักดิ์ แป้นงาม (2558) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของแผนจัดการเรียนรู้ว่า เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนสอน เพื่อให้นักเรียนการสอนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจปัญหา การสำรวจทรัพยากร การ วิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์ผู้เรียน การกำหนดมโนมติ วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียน สื่อการสอน และการประเมินผล แล้วจึงเขียนออกมาในรูปแบบของแผนการสอน แนวการจัดการเรียนรู้เป็นกิจกรรมในการคิดและการทำของครูก่อนที่จะเริ่ม ดำเนินการสอนวิชาใดวิชาหนึ่ง เพื่อเป็นแนวทางการสอนสำหรับครู อันจะช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุ จุดประสงค์ที่กหนด ไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนจึงต้องเตรียมข้อมูลในการวางแผนการสอน ดังนี้ 1. กำหนดจุดประสงค์ 2. การคัดเลือกเนื้อหา 3. การกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 4. การเลือกสื่อการเรียนการสอน 5. การวัดประเมินผล เขียน วันทนียตระกูล (2558) กล่าวว่าวัตถุประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า เพื่อทำให้ผู้สอนทราบว่าจะสอน อะไร เพื่อจุดประสงค์ใด สอนอย่างใดใช้สื่ออะไร และวัดประเมินผลโดยวิธีใดเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบ การที่ผู้สอน ได้วางแผนการสอนอย่างถูกต้องตามกลัการสอนช่วยให้เกิดความหมั่นใจในการสอน ทำให้สอนได้ครอบคลุมเนื้อหา สอนอย่าง มีแนวทางและมีเป้าหมายและเป็นการสอนที่ให้คุณค่าแก่ผู้เรียน ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความ มหาย ความสำคัญ ลักษณะ ขั้นตอนการจัดทำและหลักการวางแผนการสอน ตลอดจนลักษณะของแผนการสอนที่ดีเพื่อส่งผล การเรียนการสอนดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
38 สรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนทำการจัดการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุ ตามจุดประสงค์ที่วางไว้ ช่วยสร้างความหมั่นใจให้กับครูผู้สอนคัดเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเนื้อหา และสภาพผู้เรียน มีการ ประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 2.5.3 ความสำคัญและประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เป็นเครื่องมือที่กำหนดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุ ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การวางแผนการจัดการเรียนของครูเป็นหัวใจของการพัฒนาผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง โดยมีการกำหนดว่าจะต้องเลือกกิจกรรมกระบวนการเรียนการสอนลักษณะใด จึงสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนตรงตาม วัตถุประสงค์ของหลักสูตร แผนการจัดการเรียนจึงมีความสำคัญและประโยชน์ ดังต่อไปนี้ ทวีศักดิ์ ไชยมาโย (2553, น. 4-5) ให้ความสำคัญของแผนการสอนไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูได้มรโอกาสศึกษาหาความรู้ในเรื่องหลักสูตร แนวการสอน การจัดหาสื่อประกอบการสอน ตลอดจนการวัดผลและประเมินผลอย่างละเอียดทุกแง่มุม 2. ช่วยให้เกิดการวางแผน วิธีการสอน วิธีเรียน ที่มีความหมายยิ่งขึ้นเพราะ การจัดทำแผนการสอนเป็น การเรียนใหม่ๆ ตลอดจนช่วยอำนวยความสะดวกของโรงเรียน และสภาพปัญหา ความสนใจ ความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และทรัพยากรในท้องถิ่น โยใช้วิธีการเชิงระบบ เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ช่วยให้ครูมีคู่มือที่ทำด้วยตนเองได้ล่วงหน้าเพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดิจกรรมการเรียนการสอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพเจตนารมณ์ของหลักสูตรส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ครบถ้วน สอดคล้องกับระยะเวลา และจำนวน คาบที่มีอยู่จริงในแต่ละภาตเรียน นั่นคือ สอนให้ได้ครบถ้วนและทันเวลา ช่วยให้ครูมีความมั่นใจในการสอนมากขึ้น 4. ทำให้การประเมินผลการเรียนเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ช่วยให้ครูสามารถวินิจฉัยจุดอ่อน ของนักเรียนที่จะได้รับการแก้ไข และทราบจุดเด่นที่ควรจะได้รับการส่งเสริมต่อไปนอกจากนี้ยังช่วยให้ครูได้เห็นภาพการ ทำงานของตนเองมากขึ้น 5. ครูผู้สอนสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องเที่ยงตรงเพื่อเสนอแนะแก่บุคลากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการ ศึกษานิเทศก์ และผู้บิหาร เพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งข้น 6. ช่วยให้ผู้ยริหารหรือผู้เกี่ยวข้องสามารถทราบขั้นตอน กระบวนการต่างๆ ในการสอนของครู เพื่อกา นิเทศติดตาม และประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7. ถ้าผู้สอนติธุระจำเป็นไม่สามารถสอนด้วยตัวเองได้ แผนการสอนสามารถใช้เป็นเครื่องมือแก่ผู้มาสอน แทนได้เป็นอย่างดี 8. เป็นการพัฒนาวิชาการชีพครูที่แสดงว่า งานสอนต้องได้รับการฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญ โยเฉพาะมี เครื่องมือและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ 9. เป็นผลงานทางวิชาการอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญการพิเศษ หรือ ความเชียวชาญของ ผู้จัดทำแผนการสอนซึ่งสามารถนำไปพัฒนางานในหน้าที่ และเสนอเลื่อนระดับให้สูงขึ้น
39 คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, สำนักงาน (2554, น. 18) ได้กล่าวสรุปถึงประโยชน์ของแผนการจัดการ เรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้ครูมีความรู้ความเข้าใจในจุดมุ่งหมายของเรื่องที่จะจัดกิจกรรม และเลือกจัดกิจกรมได้เหมาะสม กับวัยของผู้เรียน ตรงกับความมุ่งหมายของหลักสูตรส่งเสริมนักเรียนให้เรียนตามลำดับขั้นตอนและทันเวลา 2. ทำให้ครูมีความเชื่อหมั่นในตัวเองมากยิ่งขึ้น เมื่อได้เตรียมการสอนอย่างดีแล้วการสอนก็จะเป็นไปอย่าง เรียบร้อย 3. ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนได้เร็ว เพราะเมื่อครูเตรียมการสอนอย่างดี ย่อมทำให้ครูมีความมั่นใจในการ ตัดสินใจในการจัดกิจกรรมเป็นไปตามขั้นตอนซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนได้รับรู้ความเข้าใจเร็วขึ้น 4. ทำให้ผู้เรียนเกิดเจคติที่ดีต่อการเรียน เพราะการที่ครูมีความมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และจัดได้เหมาะสมกับวัยเรียน ทำให้นักเรียน เรียนด้วยความสนุกสนาน มีความกระตือรือร้น และเกิดเจคติที่ดีต่อเรื่องที่เรียน 5. ทำให้นักเรียนเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในตัวครูเพราะมีความมั่นใจว่า ครูมีการเตรียมการสอนมาอย่างดี แล้ว ผู้เรียนจะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวครูยิ่งขึ้น 6. ถ้าครูมีความจำเป็นไม่ได้สอนด้วยตนเอง ผู้สอนแทนก็สามารถสอนแทนได้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ เขียน วันทนียตระกูล (2558) กล่าวว่าแผนการสอนเป็นงานที่สำคัญของครูผู้สอนการสอนจะประสบผลสำเร็จด้วยดี หรือไม่น้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแผนการสอนเป็นสำคัญประการหนึ่ง ถ้าผู้สอนมีแผนการสอนที่ดีก็เท่ากับบรรลุจุดมุ่งหมาย ปลายทางไปแล้วครึ่งหนึ่ง แผนการสอนจึงมีความสำคัญหลายประการดังนี้ 1. ทำใหผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจเมื่อเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมจะสอนด้วยความคล่องแคล่ว เป็นไป ตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด เพราะได้เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว การสอนก็จะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย ปลายทางอย่างสมบูรณ์ 2. ทำให้เป็นการสอนที่คุ้มค่ากับเวลาที่ผ่านไปเพราะผู้สอนสอนอย่างมีแผนมีเป้าหมาย และมีทิศทางในการสอน มิใช่ สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนก็จะได้รับความรู้ ความคิดเกิดเจคติเกิดทักษะ และเกิดประสบการณ์ใหม่ตามที่ผู้สอนวางแผนไว้ ทำให้เป็นการเรียนกรสอนที่มีคุณค่า 3. ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรทั้งด้านจุดประสงค์การสอน เนื้อหาสาระที่จะสอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการใช้สื่อการสอน และการวัดผลประเมินผล แล้วจัดทำออกมาเป็น แผนการสอน เมื่อผู้สอนสอนตามแผนการสอน ก็ย่อมทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามจุดมุ่งหมายและทิศทางของหลักสูตร 4. ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนที่ไม่มีการวางแผนเนื่องจากในแผนการสอนผู้สอนต้อง วางแผนอย่างรอบคอบในทุกองค์ประกอบของการสอน รวมทั้งการจัดเวลา สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งจะ เอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้โดย สะดวกและง่ายดายขึ้น ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการสอนที่รอบคอบและปฏิบัติตามแผนการ สอนที่วางไว้ ผลของการสอนย่อมสำเร็จได้ดีกว่าการไม่ได้วางแผนการสอน
40 5. ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำ สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและ เป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลประเมินผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้ให้แนวทางแก่ ผู้อื่นที่เขาสอนแทนในกรณีจำเป็นเมื่อผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนเองได้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้แต่ประสบการณ์ที่ต่อเนื่องกัน 6. ทำให้ผู้เลี้ยงเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน ทั้งนี้เพราะผู้สอนสอนด้วยความพร้อม เป็นความพร้อมทั้ง ทางด้านจิตใจ และความพร้อมทางด้านวัตถุ ความพร้อมทางด้านจิตใจคือความมั่นใจในการสอน เพราะผู้สอนได้เตรียมการ สอนไว้อย่างรอบคอบส่วนความพร้อมทางด้านวัตถุคือ การที่ผู้สอนได้เตรียมเอกสารหรือสื่อการสอนไว้อย่างพร้อมเพียง เมื่อ ผู้สอนเกิดความพร้อมในการสอนยอมสอนด้วยความกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้เลี้ยงเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนในบทเรียน อันส่งผล ให้ผู้เลี้ยงเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียน มีความสำคัญต่อการจัดการเรียนการสอนให้บรรลุตามจุดประสงค์ของหลักสูตร พอ แพงการจัดการเรียนเป็นการวางแผนการจัดกิจกรรม ทั้งหมดที่เอื้อและตอบสนองต่อความต้องการ ความรู้และความสามารถ ของผู้เรียน การวางแผน การจัดการเรียนล่วงหน้า ทำให้เกิดความมั่นใจในการจัดการเรียนการสอน 2.5.4 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2552, น. 34 - 41) กล่าวว่า การจัดทำแผนการเรียนรู้ที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ แผนการจัดการ เรียนรู้แบบบรรยายใหญ่เขียนโดยใช้หัวข้อเรื่องตามที่กำหนดมากำกับแต่การลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนจะเป็นการเขียน เชิงบรรยาย กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้โดยไม่ระบุชัดเจนว่านักเรียนทำอะไร ในปัจจุบันรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ได้ ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยมีรายละเอียดมากขึ้นตาม เป้าหมายของหลักสูตรที่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข ดังตัวอย่าง
41 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ......... กลุ่มสาระการเรียนรู้................................. หน่วยการเรียนรู้ที่............. ชื่อหน่วย................... เรื่อง............................................................. รหัสวิชา.............. รายวิชา........................... ชั้นมัธยมศึกษาปีที่.................เวลา ..............คาบ มาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ ...........…………………………….. มาตรฐาน …………………………………………………………………………….....................……………………………. ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ ............................................................................................................................. .................................. แนวความคิดหลัก ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด ................................................................................................................................... ........................................... คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ซื่อสัตย์สุจริต 2. มีวินัย 3. มุ่งมั่นในการทำงาน ..................................................................................................................................... ......................................... ภาระงาน/ชิ้นงาน/การปฏิบัติ 1. ภาระงานในแบบฝึก...................................................... 2. แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ........................................ ............................................................................................................................. ................................................
42 จุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ ............................................................................................................................. ................................................. ด้านทักษะ .............................................................................................................................................................................. ด้านคุณลักษณะ ............................................................................................................................. ................................................. สาระการเรียนรู้ 1. ....................................................................... 2. ....................................................................... 3. ....................................................................... กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ใช้เทคนิค.....................................) .............................................................................................................. ................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................. ................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. สื่อ / แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................. แหล่งการเรียนรู้ ............................................................................................................................. .................................................
43 การวัดและประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การวัด -ด้านความรู้ -ด้านทักษะ -ด้านคุณลักษณะ
44 กิจกรรมเสนอแนะ กิจกรรมเสนอแนะ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ บันทึกข้อเสนอแนะของผู้บริหาร /ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ลงชื่อ................................................. (....................................................) ตำแหน่ง.................................................