The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จัดทำโดย
นายคอลิด บาสอ รหัสนักศึกษา 6419050041

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kholid Basor, 2021-11-13 05:08:02

หลักการและทฤษฎีการบริหารการศึกษา

จัดทำโดย
นายคอลิด บาสอ รหัสนักศึกษา 6419050041

หลักการและทฤษฎีการบริหารการศึกษา

(PRINCIPLE AND THEORY OF EDUCATIONALADMINISTRATION)
สอนโดย

รศ.ดร.จรัส อติวิทยาภรณ์

จัดทำโดย
นายคอลิด บาสอ รหัสนักศึกษา 6419050041

วิธีการเรียนรู้ตามวงจร

ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงความรู้ เพื่อระดมความคิดในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ

สร้างประสบการณ์

เรียนรู้จากตัวเอง ผ่านอารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง และผู้อื่น

นำไปใช้ ระดมความคิด

นำไปใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หาวิธีการ ผ่านรวบรวมจากหลายความคิด

หลัก ทฤษฎี

ตั้งสมมติฐาน ทดลอง มีเหตุผลรองรับ
จนได้รับการยอมรับเกิดเป็นหลักและทฤษฎีขึ้นมา

ADMINISTRATION
(การบริหาร)

องค์ประกอบของผู้บริหาร

- Activity คือกิจกรรม
- At least 2 persons คือ ควรมีอย่างน้อย 2 คน
- Process คือ มีกระบวนการ เกิดการบริหารได้
- Resource คือทรัพยากร มี 4 Mได้แก่ Man

Money
Materials
Management
- Objective คือ วัตถุประสงค์

ความคิดทางการบริหาร

https://www.reallygreatsite.com

No man is fit to command another
Who can't comamnd himself

คนที่ไม่สามารถบัญชาตัวเองได้
ย่อมไม่เหมาะสมที่จะบังคับบัญชาคนอื่น

องค์ประกอบของผู้บริหาร

ภูมิรู้ (Cognitive) มีความรู้ สามารถรอบรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ทั้งความรู้ส่วนตัว ความรู้รอบตัว

1 มีคสามเฉียบคม และมีความคิดเหนือคนอื่นเช่นมีความรู้ทางทฤษฎีการบริหารการศึกษา
แล้วสามารถนำความรู้ไปใช้ในการบริหารงานได้ เป็นต้น
การจะเป็นผู้บริหาร
ภูมิธรรม (Effective) เป็นคนดี มีคุณธรรม(ความดีที่อยู่ในใจ) ที่สมบูรณ์ได้ควรมี
ทั้ง 3 สิ่งนี้ให้ครบ
2 มีจริยธรรม (เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่แสดงออกมา)
เช่น มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใส ยุติธรรมในการทำงาน มีความขยันหมั่นเพียร
มีความรับผิดชอบ

ภูมิฐาน (Psychomotor) มีบุคลิกลักษณะดี รูปร่าง ท่าทางดี การแต่งกายดี อย่างไร


3 ก็ตามถ้าหากบุคลิกลักษณะและรูปร่างท่าทางไม่ดี แต่แต่งกายเรียบร้อย ก็จะดูภูมิฐาน
ได้

ผู้บริหารไม่ครบ 3 บาท

1. ผู้บริหาร เก่งดี แต่ไร้ฐาน คือ มี ภูมิธรรม และภูมิรู้
ส่วนใหญ่ถ้าอยู่โรงเรียน ก็จะรู้ว่าตัวเองเก่ง และดี (เก่งแต่ในกะลา)

2 . ผู้บริหารดี มีฐาน แต่ไร้ความรู้ คือ มีภูมิธรรม และภูมิฐาน
- คิดไม่เป็น ไม่มีความคิด
- ปรับแค่มาเรียนเอาความรู้ คนอื่นไปบริหารได้




3. ผู้บริการเก่ง มีฐาน แต่ไม่ดี คือ มีภูมิฐาน และภูมิรู้
-ไม่มีคุณธรรม จริยธรรม
-เอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง สังคมจะเสียหาย

องค์ประกอบของมนุษย์

ปัญญา 3 ฐาน

ฐานคิด หรือศูนย์หัว คือการแสดงถึงองค์ความรู้ (cognitive domain) โดยเป็นปัญญาหรือ
ความสามารถในเชิงเหตุผล การคิดวิเคราะห์ เข้าใจด้วยกระบวนการคิด การเรียนรู้ผ่านการ
อ่าน กาาฟัง การอภิปราย

ฐานใจ หรือศูนย์ใจ คือการแสดงถึงอารมณ์และความรู้สึก (affective domain) ปัญญาหรือ
ความสามารถในการใช้อารมณ์ เกี่ยวข้องกับความรู้สึก การให้คุณค่า ความรู้สึกว่าเป้าหมายหรือ
ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่สำคัญ






ฐานกาย หรือศูนย์ท้อง คือการแสดงถึงทักษะ (psychomotor domain) ปัญญาหรือความ
สามารถที่เกี่ยวข้องกับทักษะ ความรู้ที่เกิดจากการลงมือทำ ประสบการณ์ สัญชาตญาณ

ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ มี 2 ความคิด



= Problem - Solving

เอามาแก้ไขปัญหา เพื่อปรับปรุง ออกแบบ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ให้ดีกว่าเดิม




1. ความคิดสร้างสรรค์ 2. การคิดพิจารณายาน
(Creative thinking) (Critical Thinking)

ลักษณะผู้บริหารมืออาชีพ

1) มีความถนัดในการเป็นผู้นำ และลักษณะนิสัยในการทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นทุน
2) มีความรู้ความเข้าใจ ในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ
3) มีบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ
4) มีคุณธรรม จริยธรรมเป็นที่ยอมรับของสังคมและมีจรรยาบรรณ
5) มีทักษะความสามารถในการปฏิบัติงานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
6) บริหารโดยเน้นสภาพปัญหาความต้องการที่เป็นที่ตั้ง
- ปัญหามีไว้แก้
7) บริหารงานเชิงรุก
8) พัฒนาหน่วยงานให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
9) มุ่งผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นที่ตั้ง

ถวิล อรัญเวศ เสนอคุณลักษณะของผู้บริหารมืออาชีพ ไว้ 10 ประการ ดังนี้

1) กล้าตัดสินใจ ผู้บริหารมืออาชีพต้องมีข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจ เป็นคนสุขุม รอบคอบ มีเหตุผล
โดยยึดภาษิต ที่ว่า “ ก่อนจะเชื่อสิ่งใดให้พิสูจน์ ก่อนจะพูดให้ยั้งคิดวินิจฉัย ก่อนจะทำกิจการงานใด ๆ จงคิดให้ถ้วนถี่
จะดีเอย”
2) ไวต่อข้อมูล ผู้บริหารมืออาชีพต้องเป็นคนทันสมัย ไวต่อข้อมูล หรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ต้องติดตามข่าวสารต่าง ๆ
อยู่เสมอ
3) เพิ่มพูนวิสัยทัศน์ ผู้บริหารมืออาชีพจะต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถมองเห็นภาพฝันในอนาคต และ
แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี
4) ซื่อสัตย์และสร้างสรรค์ผลงาน ผู้บริหารมืออาชีพจะต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต และมีการสร้างสรรค์ผลงานให้เป็น
ที่ปรากฏอยู่เสมอ
5) ประสานสิบทิศ ผู้บริหารมืออาชีพ ต้องเป็นผู้ที่สามารถประสานงานกับหน่วยงานหรือบุคคลต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
สามารถไกล่เกลี่ยข้อกรณีพิพาท และสามารถขจัดปัญหาต่าง ๆในหน่วยงานได้

ถวิล อรัญเวศ เสนอคุณลักษณะของผู้บริหารมืออาชีพ ไว้ 10 ประการ ดังนี้

6) คิดสร้างสรรค์วิธีการใหม่ ๆ ผู้บริหารมืออาชีพต้องคิดหาวิธีการทำงานแบบใหม่ ๆอยู่เสมอ เช่น
- ต้องรู้ว่า “จะทำอะไร” และมี “เป้าหมายอย่างไร” ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
- ต้องรู้ว่า “จะทำอย่างไร” โดยเลือกวิธีการหลาย ๆวิธี แล้วตัดสินใจนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน
- ต้องตั่งใจมุ่งมั่น และมีความจริงใจ ในการทำงานนั้น ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
-เต็มใจทำงาน ทำงานให้สนุก และมีความสุขในการทำงา
-มีความสุขุมรอบคอบในการทำงาน
-มีใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ในการทำงาน ไม่โลเลที่จะดำเนินงานตามที่ได้วางแนวทางไว้
-ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรด้วยใจเป็นกลาง ยุติธรรม และเปิดเผย
7) จูงใจเพื่อนร่วมงาน ผู้บริหารมืออาชีพต้องมีความสามารถโน้มน้าว หรือจูงใจเพื่อนงานให้ เกิดความกระตือรือร้นในการทำงาน และมี
ความรับผิดชอบต่องานที่ทำ
8) ทนทานต่อปัญหาและอุปสรรค ผู้บริหารมืออาชีพ ต้องมีความอดทนต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคที่กำลังเชิญ และพร้อมที่จะหาทางแก้ไข
ปัญหา ไม่หนีปัญหา
9) รู้จักยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ผู้บริหารมืออาชีพต้องรู้จักยึดหยุ่น ไม่ตึงเกินไป หรือไม่หย่อนเกินไป บางครั้งก็ต้องดำเนินการในสาย
กลาง แต่บางครั้งต้องมีความเด็ดขาด เพื่อจะแก้ไขปัญหาให้สงบเรียบร้อย
10) บริหารงานแบบมีส่วนร่วม ผู้บริหารมืออาชีพ จะต้องบริหารงานเป็นทีม โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมทำ และร่วม
ประเมิน

บทบาทของผู้บริหารมืออาชีพ

ผู้บริหารที่เป็นมืออาชีพ จะต้องมีบทบาทที่เป็นเอกลักษณ์เด่นกว่าผู้บริหารมือสมัครเล่น นั่นคือ ผู้
บริหารมืออาชีพจะต้องประกอบไปด้วยเกณฑ์ต่อไปนี้

1) การเป็นผู้นำทางวิชาการ ผู้บริหารมืออาชีพควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของผู้นำการเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางวิชาการ โดยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และมีการวางแผน นโยบายและ
ยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้ของสถานศึกษาอย่างชัดเจน และสะดวกต่อการนำไปปฏิบัติให้คำ
ปรึกษาแนะนำ และสร้างความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ ซึ่งจะนำไปสู่การ
ปฏิรูปการศึกษา

บทบาทของผู้บริหารมืออาชีพ

2) การบริหารแบบมีส่วนร่วม ผู้บริหารมืออาชีพมีการบริหารอย่างอิสระ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวใน
การบริหารและบริหารในรูปแบบของคณะกรรมการสถานศึกษา โดยเน้นการมีส่วนร่วมทั้งครู บุคลากร
ภายในโรงเรียน บุคคลและหน่วยงานภายนอกโรงเรียน ทั้งหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน อาทิ ครู
บุคลากร พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน และองค์กรต่าง ๆ

3) การเป็นผู้อำนวยความสะดวก ผู้บริหารมืออาชีพเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรใน
โรงเรียนและผู้เกี่ยวข้องทั้งทางด้านวิชาการ อาทิ การจัดสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ ตำรา เกม เทคโนโลยี
ช่วยการเรียนกาสอนและอุปกรณ์ส่งเสริมการเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนการให้บริการและการจัดสภาพ
แวดล้อมแห่งการเรียนรู้ เช่น แหล่งเรียนรู้และศูนย์การเรียนที่ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วย
ตนเอง และจัดบรรยากาศของโรงเรียนให้อบอุ่นเพื่อให้ผู้เรียนมีความรักที่จะเรียนรู้และรู้จักแสวงหา
ความรู้

บทบาทของผู้บริหารมืออาชีพ

4) การประสานความสัมพันธ์ ผู้บริหารมืออาชีพมีการประสานงานและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุก
ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในโรงเรียน และนอกโรงเรียน เพื่อสร้างเครือข่ายผู้สนับสนุนทรัพยากรต่าง ๆ ได้แก่
ทรัพยากรงบประมาณ ทรัพยากรบุคคล อาทิ ผู้เชี่ยวชาญผู้มีความรู้และประสบการณ์พิเศษที่โรงเรียน
ต้องการให้มาช่วยพัฒนาโรงเรียน ทรัพยากรด้านการเรียนการสอนและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์การ
เรียนการสอน อุปกรณ์การกีฬา สื่อ เกม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย

5) การส่งเสริมการพัฒนาครูและบุคลากร ผู้บริหารมืออาชีพมีการพัฒนาครูและบุคลากรในโรงเรียน
อย่างต่อเนื่อง โดยการส่งเสริมให้ครูเข้ารับการอบรมเข้าร่วมประชุมสัมมนาและไปทัศนศึกษา เพื่อ
เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้ทันต่อสถานการณ์ความเจริญก้าวหน้าและความเปลี่ยนแปลงของ
โลก และเพื่อสามารถนำมาประยุกต์และปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้ดีขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการ
พัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาแห่งอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

บทบาทของผู้บริหารมืออาชีพ

6) การสร้างแรงจูงใจ ผู้บริหารมืออาชีพเป็นผู้มีทัศนคติในเชิงบวกกับผู้ร่วมงาน มีความยึดหยุ่นในการ
ทำงาน สร้างความเชื่อมั่น และเข้าใจในความต้องการของฝ่ายต่าง ๆ ให้ความสำคัญในความพยายาม
ของทีมงาน และสร้างแรงจูงใจในการทำงานด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การแสดงความขอบคุณ การเผย
แพร่ผลงานของทีมงาน และการยกย่องให้รางวัล

7) การประเมินผล ผู้บริหารมืออาชีพจำเป็นต้องจัดให้มีการประเมินผล โดยส่งเสริมการประเมินผล
ภายในสถานศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติเพื่อรองรับการประเมินภายนอก มีการนำผลการ
ประเมินผู้เรียนมาใช้กำหนดนโยบายของสถานศึกษา เพื่อให้เป็นกระบวนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
และครบวงจร

บทบาทของผู้บริหารมืออาชีพ

8) การส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ผู้บริหารมืออาชีพให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา
โดยส่งเสริม และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนของครูและทีมงาน
รวมทั้งผู้บริหารอาจเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยด้วย

9) การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารมืออาชีพให้ความสำคัญกับงานด้านเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ของโรงเรียนให้ชุมชนและสาธารณชนทราบ โดยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อสร้างความเข้าใจซึ่งกันและ
กันและสร้างการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น

โครงการการบริหาร

1 ผู้บริหารระดับสูง รับผิดชอบการวาแผนระยะยาว
2 ผู้บริหารระดับกลาง รับผิดชอบการวางแผนยุทธวิธี
3 หัวหน้างาน รับผิดชอบในระดับปฏิบัติการ

Max Weber (แม็กซ์ เวเบอร์) : ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าตำรับระบบราชการ
(Bureaucracy) โดยเขาได้ทำการศึกษาระบบโครงสร้างขององค์กรขนาดใหญ่มากมาย
ในยุคนั้น แล้วนำเสนอการจัดการองค์กรขนาดใหญ่ขึ้นมาในปี ค.ศ.1911 โดยมีการกำหนด
โครงสร้างตลอดจนการบริหารงานที่ชัดเจน โดยมีองค์ประกอบ 7 ประการ ดังนี้

หลักลำดับขั้น (hierarchy)
หลักความสำนึกแห่งความรับผิดชอบ (responsibility)
หลักแห่งความสมเหตุสมผล (rationality)
หลักการมุ่งสู่ผลสำเร็จ (achievement orientation)
หลักการทำให้เกิดความแตกต่างหรือการมีความชำนาญเฉพาะด้าน
(Specialization)
หลักระเบียบวินัย (discipline)
ความเป็นวิชาชีพ (Professionalization)

หลักการบริหารที่มีประสิทธิภาพ (Edgar L Morphet )

1.การบริหารที่มีผู้บริหารเพียงคนเดียวในองค์การ (Division Of Labor)
2.มีการกำหนดมาตรฐานทำงานที่ชัดเจน (Srandardization)
3.มีเอกภภาพในการบังคับบัญชา (Untity of command)
4.มีการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงาน (Delegation of Authority

and Responsibility)
5.มีการแบ่งฝ่ายงานและบุคลากรผู้รับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงานให้เฉพาะเจาะจงขึ้น (Division

of Labor)
6.มีการกำหนดมาตรฐานการทำงาน ที่ชัดเจน (Span of control)
7.มีการมอบหมายการควบคุมดูแลที่เหมาะสม (Stability)
8.เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในองค์การได้ (Flexibility)
9.สามารถทำให้คนในองค์การเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย (Security)
10.มีการยอมรับนโยบายส่วนบุคคลที่มีความสามารถ (Personnel Policy)
11.มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งส่วนบุคคลและองค์การ (Evaluation)

บทบาทและสมรรถภาพของผู้บริหาร (Spepgen J . Knezevich แห่ง USC. 1984 )

1.เป็นผู้กำหนดทิศทางการบริหาร (Direction Setter ) เช่น รู้เทคนิคต่าง ๆ ของการบริหาร
PPBS .MBO QCC เป็นต้น

2.มีความสามารถกระตุ้นคน (Leader Catalyst)
3.ต้องเป็นนักวางแผน (Planner)
4.ต้องเป็นผู้มีความสามารถในการตัดสินใจ (Decision Maker)
5.ต้องมีความสามารถในการจัดองค์การ (Oraganizer)
6.ต้องเป็นผู้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง (Change Manager)
7.ต้องเป็นผู้ให้ความร่วมมือ (Coordinator)
8. ต้องเป็นผู้ติดต่อสื่อสารที่ดี(Communicatior)
9.ต้องเป็นผู้แก้ปัญหาขัดแย้งในองค์การได้ (Conflict Manager)
10.ต้องสามารถบริหารปัญหาต่าง ๆ ได้(Preblem Manager)
11.ต้องรู้จักวิเคราะห์และจัดระบบงาน (System Manager)
12.ต้องมีความสามารถในด้านวิชาการทั้งการเรียนและการสอน (Instructional Manager)
13.ต้องมีความสามรถในการบริหารบุคคล (Personnel Managr)
14.ต้องมีความสามารถในการบริหารทรัพยากร (Resource Manager)
15.ต้องมีความสามารถในการประเมินผลงาน (Appraiser)
16.ต้องมีความสามารถในการประชาสัมพันธ์ (Public Relator)
17.ต้องสามารถเป็นผู้นำในสังคมได้ (Ceremonial Head)

คุณสมบัติของผู้บริหาร ผู้บริหารที่ดีจะต้องรู้จักใช้คำพูดที่ดี
(น้ำมหาเสน่ห์) ต้องลงมือทำ

1 น้ำคำ ต้องมีความจริงใจ

2 น้ำมือ

3 น้ำใจ

สมุนไพรสำหรับผู้บริหาร

1.รากอ่อนน้อม 3. กิ่งเมตตา
ทำให้เรามองเห็นมุมจากข้างลาสงขึ้นไป ปรับตัวเข้ากับทุกกลุ่มได้ ภายในจิตต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2. 4 ใบยอ 4. กรุณา
คือ ยิ้ม ยกยอ เย็น ยอม พร้อมช่วยเหลือ

5. อภัย
รู้จักอภัยคนเป็น

The Good Words

ผู้บริหารจะต้องมีคำพูดที่ดี
สามารถสร้างกำลังใจให้คนรอบข้าง

ยอมงอ ไม่ยอมหัก

ข้อคิดจากนิทานอีสป เรื่อง ต้นโอ๊ก กับ ต้นอ้อ
ผู้อ่อนน้อมย่อมสามารถอยู่รอดได้ดีกว่าผู้ที่แข็งกร้าว




ต้นโอ๊ก
ต้นอ้อ

2 พฤติกรรมของผู้บริหารที่อภัยไม่ได้

1. คอรัปชั่น
ผู้บริหารอาจยักยอก ไปใช้ส่วนตนได้ โดยที่ลูกน้องไม่สามารถที่จะลงโทษได้ แต่หากวันหนึ่ง

ความจริงถูกเปิดเผย สังคมก็จะย้อนกลับมาทำร้ายผู้บริหารที่กระทำเช่นนี้เอง

2. เมาเพศ
การหลงผิดด้านเพศ ผิดจรรยาบรรณทางเพศ sexual morality

ผู้บริหารจะเป็นเป้าสายตาของทุกคนซึ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา

ทรงผม

1 “ผู้ชาย”ให้หวีขึ้นความคิดปราดเปรื่อง อย่าไว้ผมทรงช่วยราชการ
“ผู้หญิง”ควรผูกผม และไม่ควรเอายางรัฐบาลมาผูกเด็ดขาด
ใบหน้า

2 ผู้หญิงให้อยู่ในเขตของแบงค์ร้อย คือ แดงเรื่อๆ
ผู้ชายควรดกนหนวดเคราให้เรียบร้อย สะอาด
เครื่องแต่งกาย

3 -แว่นสายตากรอบแว่นควรเป็นสีดำ ทอง เงินหรือน้ำตาล
-ตุ้มหูกระชับแนบกับตัว ตุ้มหูใหญ่ๆไม่ควรใส่
-สร้อยคอควรใส่สร้อยจริง

ผู้บริหารจะเป็นเป้าสายตาของทุกคนซึ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา

ทรงผม

1 “ผู้ชาย”ให้หวีขึ้นความคิดปราดเปรื่อง อย่าไว้ผมทรงช่วยราชการ
“ผู้หญิง”ควรผูกผม และไม่ควรเอายางรัฐบาลมาผูกเด็ดขาด
ใบหน้า

2 ผู้หญิงให้อยู่ในเขตของแบงค์ร้อย คือ แดงเรื่อๆ
ผู้ชายควรดกนหนวดเคราให้เรียบร้อย สะอาด
เครื่องแต่งกาย

3 -แว่นสายตากรอบแว่นควรเป็นสีดำ ทอง เงินหรือน้ำตาล
-ตุ้มหูกระชับแนบกับตัว ตุ้มหูใหญ่ๆไม่ควรใส่
-สร้อยคอควรใส่สร้อยจริง

ผู้บริหารจะเป็นเป้าสายตาของทุกคนซึ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา

4 เงินในกระเป๋า
อย่าพกน้อยเกินไป เกิดต้องไปทานอาหารกับลูกน้องเดี๋ยวจะเสียฟอร์มให้ลูกน้อง
เสื้อผ้า

5 ผู้ชายควรเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวหรือสั้นก็ได้ที่เรียบร้อยกางเกงควรเป็นสีเข้มกว่าเสื้อสีพื้นฐานคือกางเกงสีดำ และต้อง
สะอาดรีดเรียบร้อย ไม่ควรพับแขนเพราะไม่สุภาพและติดกระดุมแขนให้เรียบร้อย
ผู้หญิงควรสวมสูทดำหรือน้ำตาลจะดูเหมาะสม
รองเท้าผู้ชายควรเป็นรองเท้าหนังสีดำหรือน้ำตาล รองเท้ากีฬาแม้จะมีราคาแพงก็ไม่ควร

6 ใส่มาทำงานในวันปกติ
ผู้หญิงรองเท้าต้องมีสายรัดข้อเท้าหรือใส่ส้นสูงจะให้เดินดูดีมีสง่า

7 รถของผู้บริหาร ใช้อะไรก็ได้ที่ไม่มีหนี้ที่สามารถขับมาทำงานได้

Management by
walking around

การบริหารด้วยการเดิน

หมายถึง การเดินไปพบผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทั่วถึงของผู้บริหาร เพื่อสอบถามติดตาม
งานว่าก้าวหน้าไปถึงใหน มีปัญหาอะไรบ้าง โดยเน้นความรับผิดชอบ(Responsibility)

ของผู้ปฏิบัติ แต่ยังคงอำนาจหน้าที่อยู่ที่ผู้บริหาร

Digital Literacy

ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

https://www.ocsc.go.th/DLProject/mean-dlp

หมายถึ ง ทั กษะในการนำเครื่ องมื อ อุ ปกรณ์ และเทคโนโลยี ดิ จิ ทั ลที่ มี อยู่ ในปั จจุ บั น
อาทิ คอมพิ วเตอร์ โทรศั พท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิ วเตอร์ และสื่ อออนไลน์ มา
ใช้ ให้ เกิ ดประโยชน์ สู งสุ ด ในการสื่ อสาร การปฏิ บั ติ งาน และการทำงานร่ วมกั น หรื อ
ใช้ เพื่ อพั ฒนากระบวนการทำงาน หรื อระบบงานในองค์ กรให้ มี ความทั นสมั ยและมี
ประสิ ทธิ ภาพ

ทั กษะดั งกล่ าวครอบคลุ มความสามารถ 4 มิ ติ
การใช้ (Use)
เข้ าใจ (Understand)
การสร้ าง (create)

เข้ าถึ ง (Access) เทคโนโลยี ดิ จิ ทั ล ได้ อย่ างมี ประสิ ทธิ ภาพ



ทำไมเราต้องพัฒนาทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากยุค Analog ไปสู่ยุค Digital และยุค Robotic
จึงทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน ข้าราชการซึ่งเป็นแกนหลักของ
การพัฒนาประเทศ จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทของการเปลี่ยนแปลง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด
culture shock เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี และเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการใช้
เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การสูญเสียการเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การ
โจรกรรมข้อมูล การโจมตีทางไซเบอร์ เป็นต้น

Digital literacy หรือทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เป็นทักษะด้านดิจิทัลพื้นฐานที่จะ
เป็นตัวช่วยสำคัญ สำหรับข้าราชการในการปฏิบัติงาน การสื่อสาร และการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นใน
ลักษณะ “ทำน้อย ได้มาก” หรือ “Work less but get more impact” และช่วยส่วนราชการสร้าง
คุณค่า (Value Co-creation) และความคุ้มค่าในการดำเนินงาน (Economy of Scale) เพื่อการก้าว
ไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือช่วยให้ข้าราชการ สามารถเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองเพื่อให้ได้รับโอกาสการทำงานที่ดีและเติบโตก้าวหน้าในอาชีพราชการ (Learn and Growth)
ด้วย

ประโยชน์พัฒนาของการพัฒนา Digital Literacy

ประโยชน์สำหรับข้าราชการ
ทำงานได้รวดเร็วลดข้อผิดพลาดและมีความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น
มีความภาคภูมิใจในผลงานที่สามารถสร้างสรรค์ได้เอง
สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามารถระบุทางเลือกและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามารถบริหารจัดการงานและเวลาได้ดีมากขึ้น และช่วยสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงาน
มีเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้และเติบโตอย่างเหมาะสม



ประโยชน์สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
หน่วยงานได้รับการยอมรับว่ามีความทันสมัย เปิดกว้าง และเป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะช่วยดึงดูดและ
รักษาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง มาทำงานกับองค์กรด้วย
หน่วยงานได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชนและผู้รับบริการมากขึ้น
คนในองค์กรสามารถใช้ศักยภาพในการทำงานที่มีมูลค่าสูง (High Value Job) มากขึ้น
กระบวนการทำงานและการสื่อสารของงองค์กร กระชับขึ้น คล่องตัวมากขึ้น และมีประสิทธิภาพ
มากขึ้น
หน่วยงานสามารถประหยัดทรัพยากร (งบประมาณและกำลังคน) ในการดำเนินงานได้มากขึ้น

ทักษะดิจิทัล ก้าวสู่ พลเมืองในศตวรรษที่ 21

ก่อนจะทราบถึงทักษะด้านดิจิทัล ขอให้คำนิยามความหมายของประโยคที่ว่า "ความเป็น
พลเมืองดิจิทัล" ที่ทุกประเทศทั่วโลกคาดหวังให้เกิดขึ้นในประชากรของตน คือ "พลเมืองผู้ใช้
งานสื่อดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์อย่างเข้าใจบรรทัดฐาน ของการปฏิบัติตัวให้เหมาะสม และ
มีความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นการ
สื่อสารที่ไร้พรมแดนจำเป็นต้องมีความฉลาดทางดิจิทัล (DQ: Digital Intelligence) "

ความฉลาดทางดิจิทัล (Digital Intelligence Quotient : DQ) คือ กลุ่มของความสามารถ
ทางสังคม อารมณ์ และการรับรู้ ที่จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถเผชิญกับความท้าทายบนเส้น
ทางของชีวิตในยุคดิจิทัล และสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตดิจิทัลได้ ความฉลาดทางดิจิทัล
ครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ ทัศนคติและค่านิยมที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในฐานะสมาชิกของ
โลกออนไลน์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทักษะการใช้สื่อและการเข้าสังคมในโลกออนไลน์



ทักษะดิจิทัล ก้าวสู่ พลเมืองในศตวรรษที่ 21

ดังนั้น พลเมืองดิจิทัล จึงหมายถึง สมาชิกบนโลกออนไลน์ ที่ใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมี
ความหลากหลายทางเชื้อชาติ อายุ ภาษา และวัฒนธรรม ดังนั้น พลเมืองดิจิทัลทุกคนจึงต้องมี
‘ความเป็นพลเมืองดิจิทัล’ ที่มีความฉลาดทางดิจิทัลบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ การมี
จริยธรรม การมีส่วนร่วม ความเห็นอกเห็นใจและเคารพผู้อื่น โดยมุ่งเน้นความเป็นธรรมใน
สังคม ปฏิบัติและรักษาไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ เพื่อสร้างความสมดุลของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

“มีเรือดีดีไม่ขี่ข้าม
เอาเรือรั่วมาข้ามขี่
อยากได้งานดีดี
พาพวกผีผีมาใช้”




ในองค์กรเราทักจะเจอเรื่องเช่นนี้ คือผู้บริหารไม่ลึกซึ้ง เวลาที่จะทำอะไรก็ตามใช้คนไม่เป็น
ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ไม่เป็น เปรียบเสมือนเวลาที่จะข้ามแม่น้ำ มีเรือดี ๆ ไม่รั่ว (คนที่มีความรู้ ความสามารถ)
แต่ก็ไม่ใช้ หรือใช้ไม่เป็น ไปเลือกใช้เรือรั่ว ๆ (คนไม่มีความสามารถ) มาทำงาน งาานก็ไปไม่รอด

ความแตกต่างระหว่าง "ผู้บริหาร" กับ "ผู้จัดการ"

ผู้บริหาร

การทำงานในองค์กร ที่เป็นสาธารณชน เป็นการให้บริการที่
มุ่งประโยชน์ของประชาชน

ผู้จัดการ

ใช้สำหรับองค์กรที่หาผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก

บริหาร คือ...

รุจิร์ ภู่สาระและจันทรานี สงวนนาม (2545:4-5) กล่าวถึงการบริหารว่า เป็นเรื่องของการทำกิจกรรม
โดยผู้บริหารและสมาชิกในองค์กรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ทรัพยากร
และเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด นักบริหารหลายคนจึงมีความคิดตรงกันว่า “การบริหารเป็นกระ
บวนการทำงานร่วมกันของคณะบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่แน่นอนในการทำงาน” บางคนเห็น

ว่าการบริหารเป็นศิลปะของการเป็นผู้นำที่จะนำผู้อื่นให้ทำงานตามวัตถุประสงค์ได้

ไซมอน(Simon,) กล่าวว่า “การบริหาร หมายถึง ศิลปะในการทำให้สิ่งต่างๆ ได้รับการกระทำจยเป็นผล
สำเร็จ กล่าวคือ ผู้บริหารมิใช่เป็นผู้ปฏิบัติ แต่เป็นผู้ใช้ศิลปะในการทำให่ผู้ปฏิบัติงานทำงานจนสำ
เร็๗ตามจุดมุ่งหมายที่ผู้บริหารรตัดสินใจเลือกแล้ว”

บาร์นาร์ด (Barnard,1972) กล่าวว่า “การบริหาร หมายถึง การทำงานของคณะบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้น
ไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเปาหมายร่วมกัน””

เทอรี่ (Terry,1968) ให้ความหมายว่า “การบริหารเป็นกระบวนการต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน
การจัดหน่วยงาน การอำนวยการ การควบคุม ที่ถูกพิจารณาจัดกระทำขึ้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดย
ใช้กำลังคน และทรัพยากรที่มีอยู่

เดโจน (Dejon,1978) ให้ความหมายว่า “การบริหารเป็นกระบวนการที่จะทำให้วัตถุประสงค์ประสบ
ความสำเร็จโดยผ่านทางบุคคลและการใช้ทรัพยากรอื่น กระบวนการดังกล่าวรวมถึงองค์ประกอบของการ
บริหารอันได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์ การวางแผน การจัดองค์กร การกำหนดนโยบาย การบริการ
และการควบคุม”

ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ (Peter F. Drucker) ให้ความหมายว่า “การบริหารคือการทำให้งานต่างๆ ลุล่วง
ไปโดยอาศัยคนอื่นเป็นผู้นำ”

ลักษณะการบริหาร

ศาสตร์ ศิลป์

ลักษณะการบริหาร

การบริหารเป็นศาสตร์ การบริหารเป็นศิลป์
การบริหารเป็นศาสตร์ เพราะการบริหารเป็น การบริหารเป็นศิลป์ พิจารณาจากการบริหารของผู้
วิชาการแขนงหนึ่งที่มีแนวคิดและทฤษฎีที่สามารถ บริหารที่สามารถนำแนวคิดทฤษฎีทางการบริหาร
อธิบายปรากฏการการบริหารได้โดยวิธีการทาง ไปปรับหรือประยุกต์ใช้ในการบริหารงานโดยอาศัย
ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะของ
วิทยาศาสตร์ (ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือ ผู้บริหารแต่ละคน ที่จะ ทำงานให้บรรลุเป้าหมาย
ไสยศาสตร์)เป็นสาขาวิชาที่มีการจัดการระเบียบ
อย่างเป็นระบบ กล่าวคือมีหลักเกณฑ์และทฤษฎีที่ โดยประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎี
ทางการบริหารไปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้
พึงเชื่อถือได้ อันเกิดจากการค้นคว้าเชิง เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม การ
วิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการบริหาร เป็น
ศาสตร์สังคม ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับวิชาจิตวิทยา บริหารเป็นศิลป์ (Arts)
สังคมวิทยา และรัฐศาสตร์ โดยลักษณะนี้ การ

บริหารจึงเป็นศาสตร์ (Science)

...บทสรุป...

การบริหารจึงเป็นศาสตร์ (Science)เพราะการบริหารเป็นวิชาการ
แขนงหนึ่งที่มีแนวคิดและทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการการ
บริหารได้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การบริหารเป็นศิลป์ (Arts)
คือผู้บริหารสามารถประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎีทางการ
บริหารไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
และสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานทำให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างทางแนวดิ่ง ความแตกต่างทางแนวนอน หรือความแตก
หรือความแตกต่างทางระดับการบริหาร ต่างโดยอาศัยเขตความรับผิดชอบ


ระดับเดียวกัน แต่ความรู้
ความสามารถต่างกัน เช่น อยู่คนละฝ่าย
ระดับต่างกัน เงินเดือนต่างกัน
ความรู้ความสามารถต่างกัน





โครงสร้างทางการบริหาร

“สีต่างกัน” คือ แนวดิ่ง ผู้บริหารจะบริหารงานใน “สีเหมือนกัน” คือ แนวนอน เป็นการบริหารงานใน
แนวดิ่ง มีการบริหารงานตรงตามสายงาน ซึ่งผู้ ระดับเดียวกัน เช่น หัวหน้าแต่ละฝ่ายงาน ความรู้
บริหารจะต้องรู้ว่าต้องสั่งงานใคร สายงานไหน ความสามารถเท่ากัน แต่รับผิดชอบคนละฝ่าย

ประเภทของ ตามแนวดิ่ง
ผู้บริหาร
ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers)
ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Managers)
ผู้บริหารระดับต้น (First-line Managers)

ประเภทของ ตามแนวนอน
ผู้บริหาร
ผู้บริหารทั่วไป (General Manager)
ผู้บริหารตามหน้าที่ (Functional Manager)
ผู้บริหารโครงการ (Project Manager)

ทฤษฎีการบริหาร

www.google.com/search?q=ทฤษฎีการบริหาร


Click to View FlipBook Version