The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จัดทำโดย
นายคอลิด บาสอ รหัสนักศึกษา 6419050041

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kholid Basor, 2021-11-13 05:08:02

หลักการและทฤษฎีการบริหารการศึกษา

จัดทำโดย
นายคอลิด บาสอ รหัสนักศึกษา 6419050041

ความหมาย

แนวความคิดหรือความเชื่อที่เกิดขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์มีการ
ทดสอบและการสังเกตจนเป็นที่แน่ใจ ซึ่งบุคคลร่วมกันกำหนดโดย
ใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ
อย่างเหมาะสม เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆ
อย่าง

ทฤษฎีแห่งบทบาท สมาชิกในสังคมต่างมีตำแหน่งมีบทบาทต่างกัน ก็ต้องแสดงบทบาทของตน
มี ลักษณะ 3 อ ย่างดังนี้

1. บทบาทที่พอดี
เป็นบทบาทที่ผู้บริหาร แสดงออกมาอย่างพอดีไม่น้อยเกินไปไม่มากจนเกินไป ซึ่งเป็น

บทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ร่วมงาน

2. บทบาทที่ขาดไป
ผู้บริหารที่ทำงาน บางครั้งก็ต้องแสดงบทบาทขาดไปบ้าง เช่น ยอมปิดหูปิดตา สักข้าง

หนึ่ง หรือการเรียกมาตักเตือน ซึ่งบางสถานการณ์ก็ถือว่า เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ มากกว่าผล
เสีย

3. บทบาทที่ล้นเกิน
คือผู้บริหารที่ทำเกินบทบาท อาทิเช่นกันมาก่อนเวลานานกว่าความพอดี จะทำให้คนอื่นเสีย
ระบบด้วยเช่นเดียวกัน

...สรุป...

เราต้องรู้ตัวเองว่าควรแสดงบทบาทไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองต่อผู้ร่วมงาน
ต่อองค์กร เราก็ควรแสดงบทบาทนั้น ต้องแสดงบทบาทพอเหมาะ
ตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้เป็นผลดีต่อองค์กรของเรา

สุข คือ ความทุกข์หลายๆ ความทุกข์รวมกัน เป็นการเสียสละหลายๆ อย่างเพื่อให้ได้
มาซึ่งความสุข เช่น คุณครูซื้อบ้านสวยราคาแพง สิ่งที่ตามมาคือครูก็ต้องทำงานหนัก
เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการผ่อนบ้าน ดูแลบ้าน

ทุกข์ คือ ความสุขหลายๆ ความสุขรวมกัน กล่าวคือ เราต้องทุกข์ก่อน ก่อนที่เราจะสุข
เช่น ทุกข์ที่มาเรียนทุกวัน เพื่อให้ได้วุฒิที่สูงขึ้น เมื่อมีวุฒิ เราก็มีงานทำ เมื่อมีงานทำเราก็
มีเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น นั้นแปลว่าเราก็ย่อมมีความทุกข์ก่อนถึงจะมีความสุขในภายภาคหลัง

จงทำตัวเหมือนตุ๊กตาล้มลุก ที่สำเร็จไม่ใช่เพราะความฟลุ๊ค แต่เป็นเพราะ
คุณลุก ได้มากกว่า จำนวนครั้ง ที่คุณล้ม



ล้มลงกี่ครั้งไม่สำคัญ แต่สำเร็จครั้งเดียว เราก็จะสามารถดูแลคนที่เรารัก
ครอบครัว และนำพาทีมงานที่มีเป้าหมายเดียวกัน ไปสำเร็จด้วยกันได้

.

ทฤษฎีของฟรอมม์ อีริค ฟอร์ม



https://www.reallygreatsite.com

ทฤษฎีของฟรอมม์ อีริค ฟอร์ม มีความเชื่อว่าบุคลิกภาพเกิดจากความสำเร็จหรือความล้มเหลว
ของสังคม ความต้องการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของบุคลิกภาพแบ่งได้ 5 ประเภทดังนี้
(1) ความต้องการมีสัมพันธภาพ มนุษย์พบกับความอ้างว้างเดียวดายจึงต้องแก้ไขโดยการ
สัมพันธภาพกับผู้อื่น
(2) ความต้องการสร้างสรรค์ เป็นความต้องการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของชีวิตให้แตกต่างจาก
สัตว์โลกชั้นต่ำ
(3) ความต้องการมีสังกัด เป็นความต้องการที่เป้นส่วนหนึ่งของสังคม ความต้องการประเภทนี้
ที่น่าพึงพอใจ ก็คือ การมีไมตรีจิตกับเพื่อนมนุษย์ทั่วไป
(4) ความต้องการมีเอกลักษณ์ เป็นความต้องการเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าตนเองคือใครฃ
(5) ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยว เป็นความต้องการที่จะมีหลักสำหรับอ้างอิงความถูกต้องใน
การกระทำของตน

ทฤษฎีของฟรอมม์ อีริค ฟอร์ม



https://www.reallygreatsite.com

ฟอร์มได้แบ่งลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
(1) บุคลิกภาพประเภทไม่สร้างสรรค์มี 4 ลักษณะ ได้แก่

(1.1) บุคลิกภาพชอบทำลาย มีความก้าวร้าวสูง
(1.2) บุคลิกภาพยอมรับฟังหรือทำตามผู้อื่น
(1.3) บุคลิกภาพชอบท้าทาย เป็นนักธุรกิจ ชอบเก็บของแล้วขายต่อ
(1.4) บุคลิกภาพชอบสะสมไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือตัวบุคคล
(2) บุคลิกภาพประเภทสร้างสรรค์ มีลักษณะกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงว่องไว มีความคิด
ริเริ่มสร้างสรรค์ บุคลิกภาพแบบนี้จึงเป็นบุคลิกภาพที่ดี

ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ของ แมคคลี แลนด์

https://www.reallygreatsite.com

ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแมคคลีแลนด์
(McClelland’s Achievement Motivation Theory)




ทฤษฎีนี้เน้นอธิบายการจูงใจของบุคคลที่กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการความ
สำเร็จมิได้หวังรางวัลตอบแทนจากการกระทำของเขา ซึ่งความต้องการความสำเร็จนี้ในแง่ของ
การทำงานหมายถึงความต้องการที่จะทำงานให้ดีที่สุดและทำให้สำเร็จผลตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อตน
ทำอะไรสำเร็จได้ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้ทำงานอื่นสำเร็จต่อไป หากองค์การใดที่มีพนักงานที่แรง
จูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จำนวนมากก็จะเจริญรุ่งเรืองและเติบโตเร็ว

ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ของ แมคคลี แลนด์

https://www.reallygreatsite.com

ในช่วงปี ค.ศ. 1940s นักจิตวิทยาชื่อ David I. McClelland ได้ทำการทดลองโดยใช้แบบ
ทดสอบการรับรู้ของบุคคล ( Thematic Apperception Test) หรือเรียกย่อว่า ทีเอที (TAT)
เพื่อวัดความต้องการของมนุษย์ โดยแบบทดสอ บ TAT เป็นเทคนิคการนำเสนอภาพต่าง ๆ
แล้วให้บุคคลเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็น จากการศึกษาวิจัยของแมคคลีแลนด์ได้สรุป
คุณลักษณะของคนที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงมีความต้องการ 3 ประการที่ได้จากแบบ
ทดสอบTAT ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะเข้าใจถึงพฤติกรรมของบุคคลได้ดังนี้

1. ความต้องการความสำเร็จ ( Need for Achievement (nAch)) เป็นความต้องการที่
จะทำสิ่งต่างๆให้เต็มที่และดีที่สุดเพื่อความสำเร็จ จากการวิจัยของ McClelland พบว่า
บุคคลที่ต้องการความสำเร็จ ( nAch) สูง จะมีลักษณะชอบการแข่งขัน ชอบงานที่ท้าทาย และ
ต้องการได้รับข้อมูลป้อนกลับเพื่อประเมินผลงานของตนเอง มีความชำนาญในการวางแผน มี
ความรับผิดชอบสูง และกล้าที่จะเผชิญกับความล้มเหลว

ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ของ แมคคลี แลนด์

https://www.reallygreatsite.com

2. ความต้องการความผูกพัน(Need for Affiliation (nAff)) เป็นความต้องการการยอมรับ
จากบุคคลอื่น ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการสัมพันธภาพที่ดีต่อบุคคลอื่น บุคคลที่
ต้องการความผูกพันสูงจะชอบสถานการณ์การร่วมมือมากกว่าสถานการณ์การแข่งขัน โดยจะ
พยายามสร้างและรักษาความสัมพันธ์
อันดีกับผู้อื่น
3. ความต้องการอำนาจ (Need for Power (nPower)) เป็นความต้องการอำนาจเพื่อมีอิทธิพล
เหนือผู้อื่น บุคคลที่มีความต้องการอำนาจสูง จะแสวงหาวิถีทางเพื่อทำให้ตนมีอิทธิพลเหนือ
บุคคลอื่น ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับหรือยกย่อง ต้องการความเป็นผู้นำ ต้องการทำงานให้เหนือกว่า
บุคคลอื่น และจะกังวลเรื่องอำนาจมากกว่าการทำงานให้มีประสิทธิภาพ

ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ของ แมคคลี แลนด์

https://www.reallygreatsite.com

จากการศึกษาพบว่าพนักงานที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงมักต้องการจะทำงานในลักษณะ 3
ประการ ดังนี้

1. งานที่เปิดโอกาสให้เขารับผิดชอบเฉพาะส่วนของเขา และเขามีอิสระที่จะตัดสินใจและแก้
ปัญหาด้วยตนเอง

2. ต้องการงานที่มีระดับยากง่ายพอดี ไม่ง่ายหรือยากจนเกินไปกว่าความสามารถของเขา
3. ต้องการงานที่มีความแน่นอนและต่อเนื่องซึ่งสร้างผลงานได้และทำให้เขามีความก้าวหน้า
ในงานเพื่อจะพิสูจน์ตนเองถึงความสามารถของเขาได้
นอกจากงานในลักษณะดังกล่าวแล้วแมคคลีแลนด์ได้พบว่าปัจจัยที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่มี
ผลต่อการทำงานเพื่อให้ได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับงานที่เขาทำ
ด้วย

อุปสรรคแค่ไหน ก็ไม่หวั่น

คืนและวันจะโหดร้าย สักเพียงไหน

ร้อยและพันปัญหา จะฝ่าไป

เพียงมีเธอยิ้มให้ที่ปลายทาง

เมื่อเราสามารถผ่านมันไปได้ เราจะร่วมยินดีกับความสำเร็จไปด้วยกัน

ทฤษฎีเกี่ยวกับการจูงใจของมาสโลว์

https://www.reallygreatsite.com

มาสโลว์ ได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับ แรงจูงใจ(Maslow’s General Theory of Human &
Motivation) โดยมาสโลว์ ได้อธิบายถึงความต้องการของมนุษย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นลำดับขั้นจาก
ต่ำไปหาสูง (Hierarchy& Needs) และเป็นทฤษฎีที่ยอมรับกันแพร่หลายสมมติฐานดังกล่าวมี
ความเกี่ยวกับ พฤติกรรมของมนุษย์ดังนี้ (Abraham H.Maslow. 1954: 80 - 106)
1. มนุษย์มีความต้องการ ความต้องการมีอยู่เสมอ และไม่มีที่สิ้นสุด แต่สิ่งที่มนุษย์ต้องการ
นั้นขึ้นอยู่กับว่า เขามีสิ่งนั้นอยู่แล้วหรือยัง ขนาดที่ความต้องการใดได้รับการตอบสนองแล้ว
ความต้องการอื่นจะเข้ามาแทนที่ กระบวนการนี้ไม่มีที่สิ้นสุด และจะเริ่มตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
2. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมอีกต่อไป ความ
ต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่านั้นที่เป็นแรงจูงใจของพฤติกรรม
3. ความต้องการของมนุษย์มีลำดับขั้นความสำคัญ กล่าวคือ เมื่อความต้องการระดับต่ำ ได้
รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการระดับสูงก็จะมีการเรียกร้องให้มีการตอบสนองทันที
4. ตามทฤษฎีของมาสโลว์ได้แบ่งลำดับขั้นของความต้องการ (Hierarchy of Needs)
ไว้ 5 ขั้นจากต่ำไปสูง ดังนี้

ทฤษฎีเกี่ยวกับการจูงใจของมาสโลว์

https://www.reallygreatsite.com

ลำดับขั้นความต้องการตามทฤษฎีมาสโลว์
(Maslow’s hierarchy of human needs)
1. ต้องการของร่างกาย (Physiological needs) เป็นความต้องการพื้นฐานเพื่อความอยู่รอดของ
ชีวิต ได้แก่ ความต้องการปัจจัยสี่ ความต้องการการยกย่อง และความต้องการทางเพศ ฯลฯ
เป็นต้น
2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) เป็นความต้องการที่เหนือกว่าความต้องการ
อยู่รอด ซึ่งมนุษย์ต้องการเพิ่มความต้องการในระดับที่สูงขึ้น เช่น ต้องการความมั่นคงในการ
ทำงาน ความต้องการได้รับการปกป้องคุ้มครอง ความต้องการความปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
เป็นต้น
3. ความต้องการด้านสังคม (Social needs) หรือความต้องการความรักและการยอมรับ (Love
and belongingness needs) ความต้องการทั้งในแง่ของการให้และการได้รับซึ่งความรัก ความ
ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ ความต้องการให้ได้การยอมรับ เป็นต้น

ทฤษฎีเกี่ยวกับการจูงใจของมาสโลว์

https://www.reallygreatsite.com

4. ความต้องการการยกย่อง (Esteem needs) ซึ่งเป็นความต้องการการยกย่องส่วนตัว (Self-
esteem) ความนับถือ (Recognition) และสถานะ (Status) จกสังคม ตลอดจนเป็นความ
พยายามที่จะให้มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับบุคคลอื่น เช่น ความต้องการให้ได้การเคารพนับถือ
ความสำเร็จ ความรู้ ศักดิ์ศรี ความสามารถ สถานะที่ดีในสังคมและมีชื่อเสียงในสังคม
5. ความต้องการประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต (Self-actualization needs) เป็นความ
ต้องการสูงสุดแต่ล่ะบุคคล ซึ่งถ้าบุคคลใดบรรลุความต้องการในขั้นนี้ได้ จะได้รับการยกย่องว่า
เป็นบุคคลพิเศษ เช่น ความต้องการที่เกิดจากความสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จ นักร้อง
หรือนักแสดงที่มีชื่อเสียง เป็นต้น

ทฤษฎีการจูงใจของ เฮอร์ซเบอร์ก



https://www.reallygreatsite.com

ทฤษฎีของ เฮอร์ซเบอร์ก (Herzberg and other. )
มีปัจจัยหรือองค์ประกอบ 2 ประการ ที่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจและไม่พึงพอใจใน
การปฏิบัติงาน ได้แก่ องค์ประกอบจูงใจ (Motivation Factors) และ องค์ประกอบค้ำจุน
(Maintenance Factors) หรือองค์ประกอบสุขอนามัย (Hygiene Factors)

องค์ประกอบจูงใจ (Motivation Factors)
เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับงานที่ปฏิบัติโดยตรง และเป็นสิ่งจูงใจให้บุคลากรเกิดความพึง
พอใจในการทำงาน ประกอบด้วย

1.ความสำเร็จในการทำงาน (Achievement) หมายถึง การที่บุคคลสามารถทำงานได้เสร็จ
สิ้นประสบผลสำเร็จอย่างดี สามารถแก้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับงาน และรู้จักป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น

2 .การได้รับการยอมรับนับถือ ( Recognition) หมายถึง การได้รับการยอมรับนับถือจาก
บุคคลในหน่วยงานหรือบุคคลอื่นๆที่มาขอคำปรึกษา ซึ่งอาจแสดงออกในรูปการยกย่องชมเชย
การให้กำลังใจ การแสดงความยินดีการแสดงออกที่ทำให้เห็นถึงการยอมรับในความสามารถ

ทฤษฎีการจูงใจของ เฮอร์ซเบอร์ก



https://www.reallygreatsite.com

3. ลักษณะของงาน (Work itself) หมายถึง งานนั้นน่าสนใจ ต้องอาศัยความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ท้าทายให้ลงมือทำ หรือเป็นงานที่มีลักษณะทำตั้งแต่ต้นจนจบโดยลำพัง

4. ความรับผิดชอบ (Responsibility) หมายถึง การได้รับมอบหมายให้ดูแลงานใหม่ๆ และ
มีอำนาจอย่างเต็มที่ ไม่มีการตรวจหรือควบคุมอย่างใกล้ชิด

5. ความก้าวหน้า (Advancement) หมายถึง การได้รับเลื่อนขั้น การเลื่อนตำแหน่งให้สูง
ขึ้น มีโอกาสได้ศึกษาต่อเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม ได้รับการฝึกอบรมดูงาน



องค์ประกอบค้ำจุน (Maintenance Factors)
หรือองค์ประกอบสุขอนามัย(Hygiene Factors)
เป็นองค์ประกอบที่ช่วยป้องกันการปฏิบัติงานของบุคลากรที่จะเกิดความไม่ชอบงานหรือหย่อน
ประสิทธิภาพลง ประกอบด้วย
1.เงินเดือน (Salary) หมายถึง สิ่งตอบแทนการปฏิบัติงานในรูปเงินรวมถึงการเลื่อนขั้นเงินเดือน
ในหน่วยงานนั้น เป็นที่พอใจของบุคคลที่ทำงาน

ทฤษฎีการจูงใจของ เฮอร์ซเบอร์ก



https://www.reallygreatsite.com

2.โอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในอนาคต (Possibility of Growth)หมายถึง ความน่าจะเป็นที่บุคคลจะ
ได้รับความก้าวหน้าในทักษะวิชาชีพ
3.ความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน(Interpersonal Relation,
Subordinate, Peers) หมายถึง ความมีสัมพันธ์อันดีต่อกันสามารถทำงานร่วมกัน มีความเข้าใจซึ่งกันและ
กันเป็นอย่างดี
4.สถานะของอาชีพ (Status) หมายถึง อาชีพนั้นเป็นที่ยอมรับและนับถือของสังคม มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี
5. นโยบายและการบริหาร (Company Policy and Administration) หมายถึง การจัดการและการ
บริหารงานขององค์กร การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ
6 .สภาพการทำงาน (Working Condition) หมายถึง สภาพทางกายภาพของาน เช่น แสง เสียง อากาศ
รวมทั้งลักษณะสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ
7. ชีวิตส่วนตัว (Personal Lift) หมายถึง สภาพความเป็นอยู่ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น การไม่ถูกย้าย
ไปทำงานในที่แห่งใหม่ซึ่งห่างไกลครอบครัว
8. ความมั่นคงในงาน (Job Security) หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อความมั่นคงในการทำงาน
9. การปกครองบังคับบัญชา (Supervision) หรือการนิเทศงาน หมายถึง ความสามารถหรือความ
ยุติธรรมของผู้บังคับบัญชาหรือผู้นิเทศงานในการดำเนินงานและการบริหารงาน

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์

https://www.reallygreatsite.com

แมคเกรเกอร์ (McGregor, 1960) ได้ชี้ให้เห็นถึงแบบของการบริหาร 2 แบบ คือ ทฤษฎี
X ซึ่งมีลักษณะเป็นเผด็จการ และทฤษฎี Y หรือการมีส่วนร่วม แต่ละแบบเกี่ยวข้องกับสม
มุติฐานที่มีต่อลักษณะของมนุษย์ดังนี้

ผู้บริหารแบบทฤษฎี X เชื่อว่า
1. มนุษย์โดยทั่วไปไม่ชองการทำงาน และพยายามหลีกเลี่ยงงานถ้าสามารถทำได้
2. เนื่องจากการไม่ชอบทำงานของมนุษย์ มนุษย์จึงถูกควบคุม บังคับ หรือข่มขู่ให้
ทำงาน ชอบให้สั่งการและใช้วิธีการลงโทษ เพื่อให้ใช้ความพยายามได้เพียงพอ และ
บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
3. มนุษย์โดยทั่วไปพอใจกับการชี้แนะสั่งการหรือการถูกบังคับ ต้องการหลีกเลี่ยง
ความรับผิดชอบ มีความทะเยอทะยานน้อย และต้องการความมั่นคงมากที่สุด ผู้บริหาร
ตามทฤษฎี X จึงต้องสร้างแรงจูงใจโดยการข่มขู่ และลงโทษ เพื่อทำให้ลูกน้องใช้ความ
พยายามให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์

https://www.reallygreatsite.com

ผู้บริหารแบบทฤษฎี Y มีความเชื่อว่า
1. การทำงานเป็นการตอบสนองความพอใจ
2. การข่มขู่ด้วยวิธกี ารลงโทษไม่ได้เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจูงใจให้คนทำงาน

บุคคลที่ผูกพันกับการบรรลุถึงความสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ จะมีแรงจูงใจด้วย
ตนเองและควบคุมตนเอง

3. ความผูกพันของบุคคลที่มีต่อเป้าหมายขึ้นอยู่กับรางวัล และผลตอบแทนที่พวก
เขาคาดหวังว่าจะได้รับเมื่อเป้าหมายบรรลุถึงความสำเร็จ

4. ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการทำงาน เป็นการจูงใจให้บุคคลอมรับและ
แสวงหาความรับผิดชอบ มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์

https://www.reallygreatsite.com

ทฤษฎี Y เน้นถึงการพัฒนาตนเองของมนุษย์ ชีใ้ ห้เห็นว่ามนุษย์นั้นรู้จักตัวเองได้ถูกต้อง
รู้จักความสามารถของตนเอง ผู้บริหารควรสร้างแรงจูงใจโดยการสร้างสรรค์สถานการณ์ที่
จะทำให้สมาชิกมีความรู้สึกรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมในการทำงาน ในการบริหารนั้น มี
การนำทฤษฎีเชิงจิตวิทยามาใช้จำนวนมาก เพราะการบริหารเป็นการทำงานกับ “คน”
และทฤษฎีจิตวิทยาก็พูดเรื่อง “คน” การศึกษาทฤษฎีจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการควบคุม
กำกับพฤติกรรมของมนุษย์ การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน และภาวะผู้นำ จึงเป็ประโยชน์
อย่างมากต่อผู้บริหาร

ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์

https://www.reallygreatsite.com

Donglas Mc Gregor ได้ค้นพบแนวคิด “พฤติกรรมองค์การ” และสรุปว่า กิจกรรมการ
บริหารจัดการล้วนมีสาเหตุรากฐานมาจากทฤษฎีพฤติกรรมมนุษย์ (human behaviors)
ซึ่งเป็นไปตามกรอบทฤษฎี X และทฤษฎี Y คือ

ทฤษฎี X (Theory X) คือคนประเภทเกียจคร้าน ในการบริหารจึงควรใช้
มาตรการบังคับ มีระเบียบกฎเกณฑ์คอยกำกับ มีการควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิด
และมีการลงโทษเป็นหลัก

ทฤษฎี Y (Theory Y) คือคนประเภทขยัน ควรมีการกำหนดหน้าที่การงานที่
เหมาะสม ท้าทายความสามารถ สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานเชิงบวก และควรเปิด
โอกาสให้มีส่วนร่วมในการบริหารงาน
สรุป Donglas Mc Gregor เห็นว่าคนมี 2 ประเภท และการบริหารคนทั้ง 2 ประเภท ต้อง
ใช้วิธีการบริหารแตกต่างกัน

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

เป็นทฤษฎีอธิบายโครงสร้างตามการจัดการผสมผสานระหว่างการบริหารแบบ
สหรัฐอเมริกาหรือ Theory A กับการบริหารแบบญี่ปุ่น หรือ Theory J คือ §
ทฤษฎี A เป็นแนวความคิดการจัดการของสหรัฐอเมริกาซึ่งองค์การเน้นการจ้างงาน
ระยะสั้น พนักงานมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบต่อองค์การน้อย § ทฤษฎี J เป็นแนว
ความคิดการจัดการของญี่ปุ่นซึ่งองค์การเป็นการจ้างงานตลอดชีพ พนักงานมีส่วนร่วมและ
ความรับผิดชอบต่อองค์การสูง § ทฤษฎี Z เป็นแนวความคิดการจัดการประสม
ประสาน ระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาโดยเน้นการจ้างงานระยะยาวมีการตัดสินใจและ
ความรับผิดชอบร่วมกัน

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

คุณลักษณะที่สำคัญของทฤษฎี Z
1. ระยะเวลาจ้างงานเป็นไปตลอดชีวิต
2. ลักษณะงานอาชีพต้องให้เรียนรู้หลาย ๆ ด้าน
3. การเลื่อนตำแหน่งไม่จำเป็นรอระยะเวลา 10 ปี
4. การประเมินประสิทธิภาพของการทำงานเป็นการทำงานเป็นทีม
5. การตัดสินใจ มีการกระจายอำนาจและรวมอำนาจตามสถานการณ์
6. มนุษย์สัมพันธ์ในองค์การมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน มีอิสระในความคิดของตนเอง
7. การบริหาร ใช้ระบบ M.B.O. แบบมีส่วน

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

ความเป็นมาของทฤษฎี Z
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเหตุการณ์ที่สำคัญในด้านธุรกิจประการหนึ่งเกิดขึ้น คือ
ผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี และเพิ่มขึ้นในอัตราสูง
แต่ในขณะที่อุตสาหกรรมในอเมริกากลับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำมาก และต่ำกว่าอัตรา
ผลผลิตของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป นักธุรกิจชาวอเมริกันได้ตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้
จึงได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาวิธีต่าง ๆ ที่จะนำมาแก้ไจสถานการณ์ เพื่อความอยู่รอด
ขององค์การ William G. Ouchi ผู้กำเนิดทฤษฎี Zวิลเลี่ยม โออุชิ เป็นศาสตราจารย์
ในUniversity of California at Los Angeles (UCLA) ทฤษฎี Z เป็นทฤษฎีทางการ
บริหารธุรกิจที่เกิดขึ้นจากผลกระทบระหว่าง ระบบการบริหารธุรกิจแบบญี่ปุ่นกับระบบ
การบริหารธุรกิจแบบอเมริกัน ทฤษฎี Z เป็นชื่อที่ วิลเลี่ยม โออุชิ ใช้เรียกการ
บริหารธุรกิจระบบหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับทฤษฎีเก่าสองทฤษฎีที่ Dauglas MeGregor
ได้ตั้งขึ้นหลายปีมาแล้ว คือ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y เมื่อมีทฤษฎี X และทฤษฎี Y แล้ว
ทฤษฎีต่อมาควรเป็นทฤษฎี Z

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

วิลเลี่ยม โออุชิ ได้รับทุนให้ทำการศึกษาจากสถาบัน National Commission On
Productivity การศึกษาของเขาแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนด้วยกันคือ

ขั้นตอนที่ 1 ทำการศึกษาโครงสร้างของระบบการบริหารงานแบบญี่ปุ่น และการ
บริหารงานแบบอเมริกัน แล้วนำโครงสร้างทั้งสองมาเปรียบเทียบกันเพื่อค้นหาข้อแตก
ต่างระหว่าง 2 ระบบนี้ เพื่อจะได้ทราบว่า ในระบบอเมริกันยังขาดลักษณะอะไรบ้าง จึงจะ
ทำให้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือเหมือนกับระบบญี่ปุ่น

ขั้นตอนที่ 2 ทำการศึกษาบริษัทที่สำคัญ ๆ ในอเมริกา เพื่อค้นหาว่าจะนำสิ่งที่เรียนรู้
อะไรบ้างจากระบบญี่ปุ่นมาใช้ได้ แล้วกำหนดแนวทางหรือวิธีการบริหารให้เหมาะสมกับ
สถานการณ์ปัจจุบัน ผลการศึกษา พบว่า โครงสร้างทั้งสองระบบไม่แตกต่างกัน จึงได้หัน
มาศึกษาวิธีการบริหารงานของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งพบว่าทั้งสองระบบมีลักษณะที่แตกต่างกัน

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

ลักษณะที่สำคัญของทฤษฎี Z
1. ระยะเวลาจ้างงานระยะยาว เป็นไปตลอดชีพ (Lifetime Employment)ไม่มีข้อผูกมัด
หรือเงื่อนไขทางสังคม ที่ทำให้คนงานจะย้ายงานไม่ได้หรือลำบากใจ ย้ายงานอย่างใน
ญี่ปุ่น
2. การประเมินและเลื่อนตำแหน่ง (Slow Evaluation and Promotion)การเลื่อนขั้นเป็น
ไปอย่างเร็วปานกลาง แต่จะไม่ช้าขนาด 10 ถึง 15 ปี ระยะเวลาเลื่อนขั้นต่าง ๆ จะ
สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม แต่การมีเวลาทิ้งช่วงช่วยให้พนักงานได้เห็นผลประโยชน์
และการประเมินผลงานของแผนงานระยะกลางและระยะยาว
3. ลักษณะงานอาชีพ (Nonspecialized Career Paths)แนวทางอาชีพกึ่งเฉพาะด้าน
เพราะไม่ถึงกับต้องหมุนเวียนไปทำงานทุก ๆ อย่างในบริษัท หรือกระทั่งไปทำบริษัทอื่น
ในเครือหรือสาขาอื่น แต่เปิดโอกาสให้พนักงานของตนได้มีประสบการณ์ในสายงานหนึ่ง
ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต และกระทั่งการวางตลาด ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้เกิด
ความพอใจที่จะอยู่ในบริษัทนั้นมากยิ่งขึ้น

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

4. การบริหารมีระบบการควบคุมที่ไม่มีรูปแบบ (Implicit Control
Mechanisms)เป็นการควบคุมการบริหารแบบอเมริกัน ใช้ระบบ MBO กลไกการ
ควบคุมงานอยู่ในจุดสมดุล ระหว่างแบบทางตรงและแบบทางอ้อม โดยสร้างให้เกิด
บรรยากาศของความไว้วางใจ (trusts) ขึ้นในองค์การ

5. การตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม (Consensual Decision Making)มีทั้งแบบรวม
อำนาจและกระจายอำนาจ โดยมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องก่อน และ
คนที่รับผิดชอบจะเป็นคนตัดสินใจเองในที่สุด

6. การทำงานและมนุษย์สัมพันธ์ในองค์การมีอิสระเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพเท่า
เทียมกันยึดหลัก ซื่อสัตย์ต่อกัน (trust) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (subtlety) ความ
ใกล้ชิดและเป็นกันแอง(intimacy)ไม่เน้นถึงการปฏิบัติต่อกันในระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชา
กับผู้บังคับบัญชา โดยเพิ่มความเอาใจใส่ต่อบุคคลใต้บังคับบัญชามากยิ่งขึ้น และเน้น
การประสานงานกันในระหว่างคนในระดับเดียวกัน ให้ทุก ๆ คนปฏิบัติต่อกันในฐานะ คน
กับคน มิใช่ในฐานะ เจ้านายกับลูกน้อง

ทฤษฎี Z ของ Ouchi

https://www.reallygreatsite.com

สรุปแนวความคิดที่สำคัญของทฤษฏี Z
1.Trust คนในองค์กรต้องซื่อสัตย์ต่อกัน
2.Subtlely คนในองค์กรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3.Intimacy คนในองค์กรต้องมีความใกล้ชิดเป็นกันเอง

ทฤษฎีวุฒิภาวะ

สามารถสรุปได้ดังนี้

1. ฉลาด + ขยัน
คนกลุ่มนี้จะทำอะไรก็สำเร็จ ถ้าอยู่ในองค์กรจะทำให้องค์กรนั้นพัฒนา ผู้บริหารควรตามใจให้เขาคิดเองได้

หลักการบริหารโดยใช้วิธีการบริหารแบบปล่อยปล่อยตามสภาพในการทำงานและติดตามให้อยู่ในร่องในรอยก็
เพียงพอแล้ว
2. ฉลาด+ ขี้เกียจ

คนกลุ่มนี้คิดได้ รู้ลักษณะงานว่าเป็นอย่างไร รู้ระบบรู้หมดพวกฉลาดแกมโกงผลักดันให้คนอื่นทำแต่ตัวเองไม่ทำ
เป็นที่รังเกียจของคนที่ทำงานร่วมกันส่วนใหญ่เป็นเป็นการเอาเปรียบ

ใช้หลักการบริหารคือร่วมคือการทำงานแบบมีส่วนร่วม ทำไปพร้อมกันแล้วเขาจะทำได้ดีด้วยผู้บริหารต้องดูแล
เขาเป็นอย่างดี
3. โง่+ ขยัน
คนกลุ่มนี้เวลาสั่งให้ทำงานจะทำแบบเต็มที่ทำไปอย่างนั้นคิดว่าตัวเองทำได้ กลุ่มนี้จะทำให้องค์กรเสียหายได้
ดังนั้นผู้บริหารต้องคิดก่อนว่าให้เขาทำยังไงเขาก็สามารถทำได้สอนให้คิดเป็น
4. โง่ +ขี้เกียจ
คนกลุ่มนี้อย่าให้ทำทีละมากๆ ให้ทยอยทำทีละนิด และให้กำลังใจพวกเขา แล้วดูว่าเขาทำอย่างไรการให้ขวัญกำลัง
ใจถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการบริหารสำหรับกลุ่มนี้

ประเภทของทรพยากรมนุษย์ในองค์กร

ๅ 1. Problem Child
มีปัญหาเหมือนอยู่กับเด็กต้องการเอาใจเรื่องงานไม่เคยคิดเลยให้
คนเอาใจในการทำงานเท่านั้น

2 2. Deadwood
คนกลุ่มไม้ตายซาก เป็นกลุ่มคนที่ไม่ต้องการ เป็นคนที่ขี้เกียจ

3 3. Work Horse
กลุ่มคนที่ทำงานเหมือนม้าทำงานอย่างเดียวไม่สนใจคนอื่นเลย

4 4. Star
กลุ่มคนพวกนี้เป็นดาวเด่นขององค์กรมุ่งงานและมุ่งคนด้วย

กระจกส่องดูหน้า
ดวงตาส่องดูใจ
หากจะเลือกใครต้องดูทั้งใจดูทั้งหน้า

ผู้บริหารจะต้องมองรอบด้านทั้งความคิด รูปลักษณภายนอก

การแบ่งประเภทมนุษย์ทางด้ายจิตใจ
แบ่งเป็น 4 มิติ ดังนี้

1. I am ok You are ok
หมายถึง ฉันรู้สึกว่าตัวเองใช้ได้ยอมรับในตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ดีและมองผู้อื่นว่าเป็นสิ่งที่เขาทำ
ดีแล้วมองผู้อื่นในแง่บวก

มนุษย์มิตินี้จะมีความสุขความสดใส สดชื้นแจ่มใส มีวุฒิภาวะสูงสุด

2. I am not ok You are ok
หมายถึง มองตัวเองไม่ได้เรื่องแต่มองคนอื่นในแง่บวกยอมรับตัวเองไม่ได้แต่จะยกย่องคนอื่น
ว่าดีกว่าตนเองเสมอ

ถ้าเราเป็นผู้บริหารให้เราตีความว่าเขาไม่มั่นใจควรให้กำลังใจและให้แง่บวกแก่คนกลุ่มนี้

การแบ่งประเภทมนุษย์ทางด้ายจิตใจ
แบ่งเป็น 4 มิติ ดังนี้

3. I am ok You are not ok
หมายถึง ดูตัวเองดีตัวเองใช้ได้แต่มองคนอื่นแย่ไปหมดเลยพวกนี้สังคมรังเกียจไม่ค่อยชอบ
เป็นพวกยกตนข่มท่านบางคนหมั่นไส้ไม่อยากไปคบ คนที่อยู่ด้วยจะคุยกับเขาแต่บางคน
กลับเดินหนีหรือต่อต้านเลย เวลาใช้คนพวกนี้
เราต้องให้เกียรติเขายอมรับในสิ่งที่เขาพูดถึง คนกลุ่มนี้จะทุ่มเทและพัฒนาให้เราได้

4. I am not ok You are not ok
หมายถึง ตัวเองก็แย่มองคนอื่นก็แย่อารมณ์เศร้าหมองไม่มีความหวังเลยคนที่ฆ่าตัวตายเวลา
นี้มีมากซึ่งเกี่ยวกับความหมดอาลัยตายอยากมองตัวเองและความหวัง ถ้าเป็นผู้บริหารเรา
ควรสร้างความมั่นใจและให้กำลังใจแก่คนกลุ่มนี้

อารมณ์ของคนเป็นเรื่องสำคัญเราจะจัดการอย่างไรกับ
คนที่อยู่รอบข้างในฐานะเป็นผู้นำเราต้องปรับให้เขา
อยู่ในสภาพที่เหมาะสมให้เขาอยู่ให้ได้ ให้เขามีความ

รู้สึกต่อตัวเอง และต่อผู้อื่นในทางที่ดี

เราอยู่ในสภาพไหนเราควรรู้ตัวเองและปรับตัวเองให้
อยู่ในสภาพที่ดี เพื่อให้เรามีความสุขได้ตลอดเวลา

ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี

https://www.reallygreatsite.com

ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี แบ่งหน้าต่างออกเป็น 4 ส่วน คือ ตนที่เปิดเผย ตนที่
บอด ตนที่ซ่อนเร้น และตนที่ไม่รู้ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ พฤติกรรม เจตคติ
ความรู้สึก ความปรารถณา การจูงใจ แนวความคิด และอื่นๆ ซึ่งแต่ละคนจะมี
ทั้ง 4 ส่วน คือมีทั้งส่วนที่เปิดเผย ที่บอด ที่ซ่อนเร้น และที่ตนไม่รู้ และในแต่ละ
บุคคลส่วนทั้งสี่ไม่จำเป็นจะต้องเท่ากัน



ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี

https://www.reallygreatsite.com

1. ตนที่เปิดเผย(The Open Self) เป็นตนที่ตัวเองรู้และคนอื่นรู้ เป็น
ข้อมูลข่าวสารที่ตนเปิดเผย ซึ่งแต่ละบุคคลจะเปิดเผยตนโดยผันแปร
ไปตามเวลาและบุคคลที่เกี่ยวข้อง บางเวลาอาจจะเปิดเผยตนมากกว่า
อีกเวลาหนึ่ง แต่ถ้าเปิดเผยตนแล้วได้รับความเจ็บปวด บุคคลจะปิด
มากกว่าปกติ ในทำนองเดียวกัน ถ้าตนมีความรู้สึกสบายและได้รับการ
ยอมรับ จะมีการเปิดเผยตนมากขึ้น ขนาดของตนที่เปิดเผยจะมีความ
สัมพันธ์กับความใกล้ชิดของบุคคล และความแตกต่างระหว่างบุคคล
อย่างไรก็ดี คนส่วนมากจะเปิดเผยตนกับบางคน ในบางเรื่อง และ บาง
โอกาสเท่านั้น

ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี

https://www.reallygreatsite.com

2. ตนที่บอด(The Blind Self) เป็นตนที่ตัวเองไม่รู้แต่คนอื่นรู้ คนบาง
คนมีตนที่บอดนี้ใหญ่จนไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง และบางครั้ง
คิดว่าเป็นความดีด้วยซำ้ไป วิธีเดียวที่จะลดขนาดของตนที่บอดก็ด้วย
การแสวงหาข้อมูลในส่วนที่คนอื่นมี แต่เราไม่มี แม้ว่าขนาดของส่วนที่
บอดจะลดลง ก็ไม่ได้หมายความว่า ตนจะเห็นในส่วนนี้ เท่าๆกับคนอื่น
การบังคับให้ตนและบุคคลอื่นรู้เท่าๆกัน จะทำให้เกิดความเจ็บปวด
เพราะเกิดการลงโทษตัวเอง เกิดความอิจฉาริษยา และตั้งข้อรังเกียจ
หากไม่มีความพร้อมทางจิตใจ

ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี

https://www.reallygreatsite.com

3. ตนที่ซ่อนเร้น (The Hidden Self) เป็นตนที่ตัวเองรู้แต่คนอื่นไม่รู้
เป็นส่วนที่ตนเก็บไว้เป็นความลับ สุดโด่งของตนที่ซ่อนเร้น คือปิดมาก
เกินไป จะไม่บอกอะไรเลย คือ มีความรู้เกี่ยวกับตนมาก แต่ปฏิเสธที่จะ
พูดออกมาให้คนอื่นรู้

4.ตนที่ไม่รู้(The unknown Self) เป็นส่วนที่ตนเองและคนอื่นไม่รู้ คือ
ไม่รู้ว่ามีลักษณะนั้นๆอยู่ในตน เป็นลักษณะที่ปรากฎอยู่ภายใน ซึ่งอาจ
จะเป็นความคิด ความเชื่อฯลฯ แต่สามารถรู้ได้จากการใช้ยา การสะกด
จิต การทด และการฝัน

“เวลามองตัวเองอย่ามองหาความดี
จงมองหาข้อผิดพลาดแล้วทำให้ถูกต้อง”



ดูข้อผิดพลาดของตัวเองแล้วนำมาปรับแก้

และดูความดีของผู้อื่นแล้วนำมาปฏิบัติ

Wise men learn from others‘
mistake Fools by their own.
คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น
คนโง่เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง



คนฉลาดดูว่าใครทำอะไรบ้างส่งผลอะไรบ้างเรียนรู้จากคนอื่น

แล้วนำมาใช้ ส่วนคนโง่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
ดังนั้นเราจะต้องบริหารควรเรียนรู้และจดจำทฤษฏีว่าเกิดผล

อย่างไรและให้ทำตามดีกว่าทดลองแล้วทำด้วยตัวเอง

ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม

https://www.reallygreatsite.com

ดวงเดือน พันธุมนาวิน ได้ทำการศึกษาวิจัยถึงสาเหตุพฤติกรรม
ของคนดีและคนเก่ง โดยได้ทำการประมวลผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ
การศึกษา สาเหตุของพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่
อายุตั้งแต่ 6-60 ปี ว่าพฤติกรรมเหล่านั้น มีสาเหตุทางจิตใจอะไรบ้าง
และ ได้นำมาประยุกต์เป็นทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมสำหรับคนไทยขึ้น
โดยแบ่งต้นไม้จริยธรรม ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่หนึ่ง ได้แก่ ดอกและผลไม้บนต้น ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทำ
ดีละเว้นชั่วและพฤติกรรมการทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อส่วนรวม ซึ่ง
ล้วนแต่เป็นพฤติกรรมของพลเมืองดี พฤติกรรมที่เอื้อเฟื้อต่อการพัฒนา
ประเทศ

ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม

https://www.reallygreatsite.com

ส่วนที่สอง ได้แก่ ส่วนลำต้นของต้นไม้ แสดงถึงพฤติกรรมการทำงาน
อาชีพอย่าง ขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 5 ด้าน คือ
1) เหตุผลเชิงจริยธรรม
2) มุ่งอนาคตและการควบคุมตนเอง
3) ความเชื่ออำนาจในตน
4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
5) ทัศนคติ คุณธรรมและค่านิยม

ส่วนที่สาม ได้แก่ รากของต้นไม้ ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพ
อย่างขยันขันแข็งซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 3 ด้าน คือ
1) สติปัญญา
2) ประสบการณ์ทางสังคม
3) สุขภาพจิต

ทฤษฎีบุคลิกภาพของเชลดอน (William Sheldon)

https://www.reallygreatsite.com

วิลเลียม เซลดอน (William Sheldon ) มีความเชื่อว่าบุคลิกภาพแต่ละ
บุคคล มีส่วนสัมพันธ์กับคุณสมบัติ รูปร่างของบุคคล เซลดอนได้ทำการ
วิเคราะห์รูปร่างชายหนุ่มจำนวนหลายพันคน และสามารถสรุปได้ว่ารูปร่างแบบ
พื้นฐานแบ่งเป็น 3 แบบ คือ

1.รูปร่างอ้วน Endomorphy) มีลักษณะรูปร่างอ้วน เนื้อนิ่มและลำตัวมีขนาด
กลม รูปร่างไม่ดี มีน้ำหนักมาก รับประทานอาหารมาก มีความเชื่องช้า
อืดอาด ไม่สะอาด มีเพื่อนมาก มีนิสัยชอบการเข้าสมาคม ชอบการนอนและ
การกิน ชอบให้ร่างกายสบายและเป็นบุคคลที่มีความสุข

ทฤษฎีบุคลิกภาพของเชลดอน (William Sheldon)

https://www.reallygreatsite.com

2.รูปร่างลำสัน Mesomorphy) มีลักษณะรูปร่างแข็งแรง มีมัดกล้ามเนื้อ มีการ
พัฒนาทางร่างกายมีกล้ามเนื้อแข็งแรงมองดูดี มีเพื่อนมาก มีความสุข มีคนชอบ
มาก มีความประณีต มีความเร็ว ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่น มีลักษณะรูปร่างแบบ
นักกีฬา ชอบการต่อสู้ มีพลังชอบการผจญภัย ชอบการออกกำลังกายและมีความ
กล้าหาญ
3.รูปร่างผอม (Ectomorphy) มีลักษณะรูปร่างที่กล้ามเนื้อและกระดูกยังไม่รับการ
พัฒนา หน้าอกแบนราบ ลำตัวมีขนาดบางและอ่อนแอ ศีรษะมีขนาดใหญ่กว่า
ปกติ มีน้ำหนักเบารับประทานอาหารได้น้อย ชอบความเงียบ มีความวิตกกังวล
ใจ มีความหวาดกลัวไม่ชอบการต่อสู้ มีคุณสมบัติที่มีจิตสำนึกของตัวเอง มีอารมณ์
อ่อนไหว มีความกังวลใจ ชอบอยู่ตามลำพัง ชอบการใช้ความคิดเป็นต้น

ทฤษฎีบุคลิกภาพของเชลดอน (William Sheldon)

https://www.reallygreatsite.com

2.รูปร่างลำสัน Mesomorphy) มีลักษณะรูปร่างแข็งแรง มีมัดกล้ามเนื้อ มีการ
พัฒนาทางร่างกายมีกล้ามเนื้อแข็งแรงมองดูดี มีเพื่อนมาก มีความสุข มีคนชอบ
มาก มีความประณีต มีความเร็ว ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่น มีลักษณะรูปร่างแบบ
นักกีฬา ชอบการต่อสู้ มีพลังชอบการผจญภัย ชอบการออกกำลังกายและมีความ
กล้าหาญ
3.รูปร่างผอม (Ectomorphy) มีลักษณะรูปร่างที่กล้ามเนื้อและกระดูกยังไม่รับการ
พัฒนา หน้าอกแบนราบ ลำตัวมีขนาดบางและอ่อนแอ ศีรษะมีขนาดใหญ่กว่า
ปกติ มีน้ำหนักเบารับประทานอาหารได้น้อย ชอบความเงียบ มีความวิตกกังวล
ใจ มีความหวาดกลัวไม่ชอบการต่อสู้ มีคุณสมบัติที่มีจิตสำนึกของตัวเอง มีอารมณ์
อ่อนไหว มีความกังวลใจ ชอบอยู่ตามลำพัง ชอบการใช้ความคิดเป็นต้น

ทฤษฎีเรือลอยน้ำ
น้ำ หมายถึง ผู้ใต้บังคับบัญชา
เรือ หมายถึง ผู้บริหาร
ผู้บริหาร ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ใต้บังคับบัญชา จึงอาจดำรง
ตำแหน่งอยู่ได้ เหมือนดั่งเรือที่ลอยได้เนื่องจากน้ำคอยรองรับหากน้ำไม่
ปรารถนาเรือ ก็สามารถล่มเรือให้จมลงได้ เหมือนดั่งวันใด ที่ผู้ใต้บังคับ
บัญชาปฏิเสธไม่ยอมรับตัวผู้บริหาร ก็อาจร่วมแรงร่วมใจคว่ำผู้บริหาร
คนนั้นลงจากตำแหน่ง


Click to View FlipBook Version