ทฤษฎีวัวสองตัว (TWO Cow Theory)
ตามธรรมชาติของคน ถ้าอยู่คนเดียวก็มักจะเรื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ๆ
ไม่มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากแข่งขัน เปรียบเสมือน
วัวที่ยืนกินหญ้าอยู่ในทุ่งที่อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเคี้ยวเอื้อง ไม่แสดง
อาการรีบร้อน แต่ถ้ามีวัวตัวใดตัวหนึ่งเดินผ่านมาและทำท่าจะกิน
หญ้าในบริเวณนั้น วัวตัวที่ยืนอยู่ก่อนจะแสดงอาการรีบร้อนทันที
จากที่กินช้าก็เป็นกินเร็วขึ้นเพื่อแข่งกับวัวตัวใหม่
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
ระยะที่ 1 ระหว่าง ค.ศ. 1887 – 1945
ยุคนักทฤษฎีการบริหารสมัยดั้งเดิม (The Classical organization theory) แบ่งย่อยเป็น
3 กลุ่มดังนี้
1.กลุ่มการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของเทย์เลอร์ (Scientific Management)ของ เฟรดเดอริก
เทย์เลอร์ (Frederick Taylor) ความมุ่งหมายสูงสุดของแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คือ จัดการ
บริหารธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด Taylor มองคนงานแต่ละคน
เปรียบเสมือนเครื่องจักรที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิตขององค์การได้ เจ้าของตำรับ “The
one best way” คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญ 3 อย่าง
คือ
1.1 เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection)
1.2 ฝึกอบบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training)
1.3 หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation)
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
2. กลุ่มการบริหารจัดการ(Administration Management) หรือ ทฤษฎีบริหารองค์การอย่างเป็นทางการ(Formal
Organization Theory ) ของ อังรี ฟาโยล์ (Henri Fayol) บิดาของทฤษฎีการปฏิบัติการและการจัดการตามหลัก
บริหาร ทั้ง Fayolและ Taylor จะเน้นตัวบุคลปฏิบัติงาน + วิธีการทำงาน ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแต่ก็ไม่
มองด้าน “จิตวิทยา” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 17)Fayolได้เสนอแนวคิดในเรื่องหลักเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป
14 ประการ แต่ลักษณะที่สำคัญ ดร.วิชัย ตันศิริ ได้นำเสนอในหนังสือ อุดมการณ์ทางการศึกษาทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ดังนี้
2.1 หลักการทำงานเฉพาะทาง (Specialization) คือการแบ่งงานให้เกิดความชำนาญเฉพาะทาง
2.2 หลักสายบังคับบัญชา เริ่มจากบังคับบัญชาสูงสุดสู่ระดับต่ำสุด
2.3 หลักเอกภาพของบังคับบัญชา (Unity of Command)
2.4 หลักขอบข่ายของการควบคุมดูแล (Span of control) ผู้ดูแลหนึ่งคนต่อ 6 คนที่จะอยู่ใต้การดูแลจึงจะ
เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด
2.5 การสื่อสารแนวดิ่ง (Vertical Communication) การสื่อสารโดยตรงจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
2.6 หลักการแบ่งระดับการบังคับบัญชาให้น้อยที่สุด คือ ไม่ควรมีสายบังคับบัญชายืดยาว หลายระดับมากเกิน
ไป
2.7 หลักการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างสายบังคับบัญชาและสายเสนาธิการ (Line and Staff Division)
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
3. ทฤษฎีบริหารองค์การในระบบราชการ (Bureaucracy) มาจากแนวคิดของ แมกซ์เวเบอร์ (Max Weber) ที่
กล่าวถึงหลักการบริหารราชการประกอบด้วย
3.1 หลักของฐานอำนาจจากกฎหมาย
3.2 การแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่ต้องยึดระเบียบกฎเกณฑ์
3.3 การแบ่งงานตามความชำนาญการเฉพาะทาง
3.4 การแบ่งงานไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว
3.5 มีระบบความมั่นคงในอาชีพ
จะอย่างไรก็ตามระบบราชการก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งในด้าน ข้อเสีย คือ สายบังคับบัญชายืดยาวการทำงานต้อง
อ้างอิงกฎระเบียบ จึงชักช้าไม่ทันการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน เรียกว่า ระบบ “Red tape” ในด้านข้อดี คือ ยึด
ประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก การบังคับบัญชา การเลื่อนขั้นตำแหน่งที่มีระบบระเบียบ แต่ในปัจจุบันระบบราชการ
กำลังถูกแทรกแซงทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มมีปัญหา
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
ระยะที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1945 – 1958 ยุคทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ (Human Relation ) Folletteได้นำเอาจิตวิทยามาใช้
และได้เสนอการแก้ปัญหาความขัดแย้ง(Conflict) ไว้ 3 แนวทางดังนี้
1. Domination คือ ใช้อำนาจอีกฝ่ายสยบลง คือให้อีกฝ่ายแพ้ให้ได้ ไม่ดีนัก
2.Compromise คือ คนละครึ่งทาง เพื่อให้เหตุการณ์สงบโดยประนีประนอม
3. Integration คือ การหาแนวทางที่ไม่มีใครเสียหน้า ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ทาง (ชนะ ชนะ) นอกจากนี้ Folletteให้
ทัศนะน่าฟังว่า “การเกิดความขัดแย้งในหน่วยงานเป็นความพกพร่องของการบริหาร” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542:
25)
การวิจัยหรือการทดลองฮอร์ทอร์น(Hawthon Experiment) ที่ เมโย(Mayo) กับคณะทำการวิจัยเริ่มที่ข้อสมมติฐานว่า
สิ่งแวดล้อมมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของคนงาน มีการค้นพบจากการทดลองคือมีการสร้างกลุ่มแบบไม่เป็นทางการ
ในองค์การ ทำให้เกิดแนวความคิดใหม่ที่ว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์ มีความสำคัญมาก ซึ่งผลการศึกษาทดลองของ
เมโยและคณะ พอสรุปได้ดังนี้
1. คนเป็นสิ่งมีชีวิต จิตใจ ขวัญ กำลังใจ และความพึงพอใจเป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน
2. เงินไม่ใช่ สิ่งล่อใจที่สำคัญแต่เพียงอย่างเดียว รางวัลทางจิตใจมีผลต่อการจูงใจในการทำงานไม่น้อยกว่าเงิน
3. การทำงานขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมมากกว่าสภาพแวดล้อมทางกายภาพคับที่อยู่ได้คับใจอยู่อยาก
* ข้อคิดที่สำคัญ การตอบสนองคน ด้านความต้องการศักดิ์ศรี การยกย่อง จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลใน
การทำงานจากแนวคิด “มนุษยสัมพันธ์”*
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
ระยะที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1958 – ปัจจุบัน ยุคการใช้ทฤษฎีการบริหาร(Administrative Theory)หรือการศึกษาเชิง
พฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science Approach) ยึดหลักระบบงาน + ความสัมพันธ์ของคน + พฤติกรรมของ
องค์การ ซึ่งมีแนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่หลายๆคนได้แสดงไว้ดังต่อไปนี้
เชสเตอร์ ไอ บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard ) เขียนหนังสือชื่อ The Function of The Executive ที่กล่าวถึงงานใน
หน้าที่ของผู้บริหารโดยให้ความสำคัญต่อบุคคลระบบของความร่วมมือองค์การ และเป้าหมายขององค์การ กับความ
ต้องการของบุคคลในองค์การต้องสมดุลกัน
ทฤษฎีของมาสโลว์ ว่าด้วยการจัดอันดับขั้นของความต้องการของมนุษย์ (Maslow – Hierarchy of needs) เป็นเรื่อง
แรงจูงใจแบ่งความต้องการของมนุษย์ตั้งแต่ความต้องการด้านกายภาพ ความต้องการด้านความปลอดภัยความต้องการ
ด้านสังคม ความต้องการด้านการเคารพ – นับถือ และประการสุดท้าย คือ การบรรลุศักยภาพของตนเอง (Self
actualization) คือมีโอกาสได้พัฒนาตนเองถึงขั้นสูงสุดจากการทำงาน แต่ความต้องการเหล่านี้ ต้องได้รับการตอบสนอง
ตามลำดับขั้น
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ ได้แบ่งวิวัฒนาการของการบริหารเป็น 3 ยุค
1. ยุคการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (ScientificManagement Era)
เป็นยุคที่จัดการโดยใช้การเรียนรู้ที่เป็นหลักการทฤษฎีเป็นแบบวิทยาศาสตร์เป็น
หลักและเหตุผลอะไรไม่มีเหตุผลก็เอาออก โดยมุ่งงานอย่างเดียวไม่มุ่งคน เกิดปัญหาคน
เครียดมาก ในการทำงานมีกฎระเบียบ ทำให้ได้งานแต่ไม่ได้ใจคน
2. ยุคการบริหารแบบมนุษยสัมพันธ์ (Human RelationEra)
เป็นการใช้จิตวิทยาให้คนพอใจในการทำงาน ทำงานลดลง หน่วยงานเห็นความ
สำคัญของคนมากกว่า แต่เกิดปัญหา คือได้งานลดน้อยลง(คนทำงานมีความสุขขึ้น)
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
https://www.reallygreatsite.com
นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ ได้แบ่งวิวัฒนาการของการบริหารเป็น 3 ยุค
3. ยุคทฤษฎีการบริหาร (The Era of AdministrativeTheory) เป็นยุคที่ ผสม
ผสานสองยุคแรกเข้าด้วยกัน จึงเป็นยุคบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ คือ เอาทั้งสอง
อย่างมาผสมกันมุ่งงาน และมุ่งคนด้วยการบริหารแบบนี้จึงจะประสบความสำเร็จโดยใช้
ยุคที่ 3 มาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดของ POSDCORB
https://www.reallygreatsite.com
เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพสหรัฐ ได้รวบรวมนักวิชาการเพื่อประเมินข้อผิดพลาด
ในการบริหารจัดการในกองทัพที่ผ่านมา เพื่อใช้ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในปี ค.ศ. 1937
ลูเธอร์ กูลิค (Luther Gulick) และ ลินดัล เออร์วิหค์ เสนอแนวคิดภาระหน้าที่ที่สำคัญของนัก
บริหารโดยสรุปเป็นแนวคิด บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร 7 ประการหรือ POSDCORB ที่ใช้เป็น
เครื่องมือสำคัญสำหรับผู้บริหาร ประกอบด้วย
1. การวางแผน (Planning) คือ การกำหนดเป้าหมายขององค์กรว่า ต้องทำงานเพื่อบรรลุ
วัตถุประสงค์อะไร และจะดำเนินการอย่างไร
2. การจัดองค์การ (Organization) คือ การจัดตั้งโครงสร้างองค์กรให้ชัดเจน กำหนดอำนาจ
หน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นทางการภายในองค์การ เพื่อประสานงานหน่วยทำงานให้สามารถ
ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวคิดของ POSDCORB
https://www.reallygreatsite.com
3. การจัดกำลังคน (Staffing) คือ ฝ่ายบริหารต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ว่าจะดูแลควบคุม
จัดสรรคนอย่างไรให้เหมาะสมกับงาน และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การอำนวยการ (Directing) คือ การตัดสินใจและสั่งการ การควบคุมงาน การติดตามผลนิเท
ศก์งาน และศิลปะในการบริหารงาน
5. การประสานงาน (Coordinating) คือ การร่วมมือประสานงาน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไป
ด้วยความเรียบร้อย และราบรื่น คือหัวใจของการบริหาร
6. การรายงาน (Reporting) คือ การรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในองค์การให้ทุกฝ่ายทราบ
รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ (Public Relation)ด้วย
7. การงบประมาณ (Budgeting) คือ งบประมาณในรูปของการวางแผนและการควบคุมด้านการ
เงินการบัญชี
แนวคิดของ POSDCORB
https://www.reallygreatsite.com
POSDCORB ใช้เพื่อสร้างกลไกและโครงสร้างให้กับองค์กร จัด
เตรียมบุคลากรที่มีความชำนาญต่างกันให้อยู่ในแผนกที่เหมาะ
สมกับองค์กร บุคลากรรู้หน้าที่และผู้บริหารสามารถบริหารสั่ง
การได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดแผนวางกรอบการทำงานให้
องค์กรใช้เป็นแนวทางในการบริหาร ส่งเสริมการปฏิบัติงานที่
สอดคล้องกันภายในองค์กร
ทฤษฎีของ Frederick W. Taylor
https://www.reallygreatsite.com
"บิดาแห่งการจัดการที่มีหลักเกณฑ์" ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดสำคัญในการวางหลักการ และทฤษฎีการจัดการที่ถูก
ต้องขึ้นเป็นครั้งแรก จากการศึกษาวิธีการปฏิบัติงานด้านการผลิตในระดับโรงงานเป็นครั้งแรกนั้น Taylor
ได้ประกาศใช้หลักการต่าง ๆ (principles) ที่เขาใช้ในการปฏิบัติงานหรือที่เรียกว่า "การจัดการที่มีหลัก
เกณฑ์" (scientific management) ตามแนวความคิดของ Taylor เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการทำงานของผู้
บริหารในสมัยนั้น ที่ใช้วิธีการทำงานอย่างไม่มีหลักเกณฑ์
Taylor เชื่อว่า เป็นไปได้ที่จะกำหนดปริมาณงานที่แต่ละคนทำได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่เป็นการ
บีบคั้นต่อผู้ทำงานนั้น และการศึกษาเกี่ยวกับเวลาดังกล่าว จะเป็นไปโดยถูกต้องและมีหลักเกณฑ์มากที่สุด
ในการนี้ Taylor ได้ใช้วิธีการดังนี้
1.การศึกษาเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการทำงานชิ้นหนึ่ง ๆ ด้วยวิธีการจับเวลา (time)
2.การศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (motion) ในการทำงานเพื่อจะปรับปรุงวิธีการทำงาน
3.การแยกงานออกเป็นขั้นตอนต่างกัน เพื่อให้คนงานทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ
Henry L. Gantt (1861-1919)
https://www.reallygreatsite.com
Henry L. Gantt (1861-1919)
Gantt ได้พัฒนาวิธีจ่ายค่าตอบแทนแบบใหม่ ไม่ได้ใช้วิธีจ่ายค่าจ้างแบบสองระดับเหมือนเทเลอร์ แต่
ใช้วิธีให้สิ่งจูงใจ
Gantt เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในฐานะเป็นผู้พัฒนาวิธีการอธิบายแผนโดยกราฟ (Gantt Chart) ซึ่งได้นำ
มาใช้ในการอธิบายถึงการวางแผน การจัดการ และการควบคุมองค์การที่มีความซับซ้อน
Gantt ประเมินเป็นระยะๆ ใช้เวลาเป็นตัวกำหนด ใช้แกนชาร์ตให้ดีจะได้ไม่หลุดในการทำงาน
ตัวอย่างการใช้แกนชาร์ต สมมุติว่าเราจะสร้างบ้านสักหลังให้เสร็จภายใน6 เดือน โดยทำตาราง gantt
chart เพื่อกำหนดระยะเวลา ตั้งแต่การเครียดพื้นที่เตรียม วัสดุอุปกรณ์ วางแผนเตรียมตอกเสาเข็ม ซึ่งการ
ทำงานเสร็จก่อนบางครั้งก็ไม่ดี เช่นตั้งไว้ 6 เดือนเสร็จเดือนที่ 7 หรือให้บวกลบหนึ่งก็ได้
Henry L. Gantt (1861-1919)
https://www.reallygreatsite.com
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ (Management Function)
https://www.reallygreatsite.com
ทฤษฎี POCCC นั้นมาจากหน้าที่ 5 ประการ ที่ อองริ ฟาโยล (Henri Fayol) กำหนดขึ้นสำหรับการ
บริหารจัดการองค์กร ในแต่ละหน้าที่นั้นต่างก็มีความสำคัญในตัวเอง ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงและส่ง
ผลในกันและกัน เพื่อให้การทำงานสมบูรณ์และประสบความสำเร็จอีกด้วย โดยรายละเอียดของหน้าที่ทั้ง 5
ประการ นั้นมีดังนี้
P – Planning : การวางแผน
O – Organizing : การจัดองค์กร
C – Commanding : การบังคับบัญชาสั่งการ
C – Coordination : การประสานงาน
C – Controlling : การควบคุม
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ (Management Function)
https://www.reallygreatsite.com
P – Planning : การวางแผน
การกำหนดแผนปฎิบัติการหรือวิถีทางที่จะปฎิบัติงานไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ให้ครอบคลุมทุกกระบวนการ เป็น
แนวทางที่วางไว้สำหรับการทำงานในอนาคต ซึ่งการวางแผนนี้จะเกิดขึ้นจากวัสัยทัศน์บวกกับจินตนาการ
ในการบริหารจัดการที่คาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งจะถ่ายทอดออกมาเป็นแผนปฎิบัติการการทำงานและเป้า
หมายที่จะต้องบรรลุสู่ความสำเร็จ
O – Organizing : การจัดองค์กร
การกำหนดตำแหน่งงาน ภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ตลอดจนจำนวนคน ให้ครอบคลุมการทำงานครบ
ทุกกระบวนการ รวมถึงการจัดโครงสร้างตำแหน่ง โครงสร้างองค์กร เพื่อจัดลำดับการบริหารและสั่งการด้วย
หากองค์กรมีการจัดการองค์กรที่เป็นระบบระเบียบ แบ่งงานชัดเจน ไม่ทับซ้อน มีหน้าที่ครบ มีปริมาณคน
พอกับที่ต้องการ ก็ย่อมทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ และโอกาสบรรลุผลสำเร็จที่สูง
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ (Management Function)
https://www.reallygreatsite.com
C – Commanding : การบังคับบัญชาสั่งการ
การจัดองค์กรตลอดจนจัดโครงสร้างการทำงานนั้นจะทำให้เราเห็นสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน เห็นลำดับ
ความสำคัญ ตลอดจนอำนาจหน้าที่ในการสั่งการ เพราะการทำงานหมู่มากจำเป็นต้องมีผู้บังคับบัญชาเพื่อ
ให้การทำงานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น มีคนคอยควบคุม สั่งการ ดูภาพรวม ตลอดจนสอดส่องปัญหาเพื่อ
หาทางแก้ไขให้ไวที่สุด ข้อดีในการมีอำนาจสั่งการอีกอย่างก็คือช่วยให้เกิดการตัดสินใจอย่างทันท่วงที ผู้ที่มี
อำนาจการตัดสินใจจะต้องสามารถวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้อย่างรอบคอบ และตัดสินใจได้เฉียบขาด ว่องไว
ตลอดจนมีความรับผิดชอบในการตัดสินใจของตนด้วย และผู้บังคับบัญชาที่ดียังสามารถที่จะสร้างแรงจูงใจ
ในการทำงาน เข้าใจและเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา ให้กำลังใจ รวมถึงอยู่ข้างๆ ในยามที่เกิดวิกฤติ
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ (Management Function)
https://www.reallygreatsite.com
C – Coordination : การประสานงาน
หมายถึงภาระหน้าที่ในการเชื่อมโยงงานตลอดจนการปฎิบัติการทุกอย่างรวมไปถึงกำลังคนที่หน่วยให้
ทำงานเข้ากันให้ได้ กำกับให้มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน อำนวยให้เกิดการทำงานที่ราบรื่น เพื่อให้เกิดผล
สำเร็จตามที่วางไว้ ทุกอย่างหากขาดการประสานงานที่ดีก็อาจทำให้เกิดความล้มเหลวได้ เมื่อมีการแบ่ง
โครงสร้างตลอดจนมอบหมายงานให้กับแต่ละส่วนชัดเจนแล้วการประสานงานให้เกิดการทำงานที่ดีที่สุดนั้น
มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ละส่วนต้องทำงานสอดประสานกันเพื่อผลสำเร็จเดียวกันนั่นเอง การประสาน
งานที่ดีนั้นจำเป็นจะต้องมีในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคลต่อบุคคล หัวหน้างานต่อลูกน้อง แผนกต่อแผนก
ไปจนถึงผู้บริหารต่อทุกหน่วยงานในองค์กรเช่นกัน
ทฤษฎี POCCC และหน้าที่ทางด้านการจัดการ (Management Function)
https://www.reallygreatsite.com
C – Controlling : การควบคุม
การควบคุมในที่นี้หมายถึงการกำกับตลอดจนบริหารจัดการทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงไปตามแผนที่วางไว้
ประครองการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบที่กำหนด ทั้งในเรื่องของกรอบเวลา มาตรฐานการปฎิบัติการ
ขั้นตอนการทำงาน ไปจนถึงการประสานงานทุกฝ่ายให้เกิดความราบรืน่ การควบคุมนี้ยังรวมไปถึงการ
บริหารที่ไม่ใช่ทรัพยากรบุคคลอีกด้วย แต่รวมถึงทรัพยากรที่เป็นวัตถุดิบ เครื่องจักร ผลผลิตที่ได้ ตลอด
จนงบประมาณในการดำเนินงานทั้งหมดด้วย เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่สุด
หลักการจัดการ (Management Principles)
https://www.reallygreatsite.com
หลักการจัดการ (Management Principles)
Fayolได้กำหนดหลักทั่วไปที่ใช้ในการจัดการซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ที่เรียกว่า หลัก 14 ประการ
ได้แก่
ประการที่ 1 หลักอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility)
ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ และอำนาจหน้าที่ควร
จะมีควบคู่กับความรับผิดชอบ และเมื่อผู้ใดได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบต่องานใดงานหนึ่ง ผู้นั้นก็ควรจะ
ได้รับมอบหมายอำนาจหน้าที่เพียงพอที่จะใช้ปฏิบัติงานนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างดี
ประการที่ 2 หลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว (Unity of Command) ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละ
คนควรได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาการเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสับสนในคำสั่งที่
เกิดขึ้น
หลักการจัดการ (Management Principles)
https://www.reallygreatsite.com
ประการที่ 3 หลักของการไปในทิศทางเดียวกัน (Unity of Direct ion ) กิจกรรมของกลุ่มควรมีเป้าหมาย
เดียวกัน และจะต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกันตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการ
บรรลุเป้าหมายขององค์การในที่สุด
ประการที่ 4 หลักสายการบังคับบัญชา (Scalar Chain) การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชา
และผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจากระดับสูงสุดมายังระดับต่ำสุดในองค์การ ที่จะเอื้ออำนวยให้การบังคับบัญชา
เป็นไปตามหลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว และช่วยให้เกิดระเบียบ ในการติดต่อสื่อสารใน
องค์การอีกด้วย
ประการที่ 5 หลักของการแบ่งงานกันทำ (Division of Work or Specialization) การแบ่งงานกันตามถนัด
เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ของบุคลากรในองค์การอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตามหลักเศรษฐศาสตร์
หลักการจัดการ (Management Principles)
https://www.reallygreatsite.com
ประการที่ 6 หลักความมีระเบียบวินัย(Discipline) การยอมรับและปฏิบัติตามข้อตกลงของสมาชิกภายใน
องค์การ โดยมุ่งให้เกิดความเคารพ เชื่อฟังและทำงานตามหน้าที่ด้วยความตั้งใจ โดยผู้บังคับบัญชาจะต้อง
มีความยุติธรรมและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย
ประการที่ 7 หลักประโยชน์ของส่วนบุคคลเป็นรองจากประโยชน์ของส่วนรวม (Subordination of the
Individual Interest to General Interest ) เป้าหมาย ผลประโยชน์ และส่วนได้เสียของส่วนรวมหรือ ของ
องค์การ จะต้องมีความสำคัญเหนือกว่าเป้าหมายส่วนบุคคล ยึดถือหลักความเป็นธรรม
ประการที่ 8 หลักของการให้ผลตอบแทน(Remuneration) ต้องมีความยุติธรรมและให้เกิดความพอใจ
และประโยชน์มากที่สุด แก่ทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายลูกจ้าง และนายจ้าง ให้สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคม
หลักการจัดการ (Management Principles)
https://www.reallygreatsite.com
ประการที่ 9 หลักของการรวมอำนาจ ( Centralization) การจัดการจะต้องมีการรวมอำนาจ ไว้ที่จุดกลาง
เพื่อที่จะควบคุมส่วนต่างๆขององค์การไว้ได้เสมอ แต่ต้องมีความสมดุลระหว่างการรวมอำนาจและการกระ
จายอำนาจ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทำได้
ประการที่ 10 หลักความเป็นระเบียบเรียบร้อย (Order) การจัดระเบียบสำหรับการทำงานของคนงานใน
องค์การนั้น ผู้บริหารจำต้องกำหนดลักษณะและขอบเขตของเขตงานให้ถูกต้อง ชัดเจน พร้อมทั้งระบุถึง
ความสัมพันธ์ต่องานอื่น รวมถึงการจัดหาที่ตั้งของเครื่องมือและวัสดุต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการ
ทำงาน
ประการที่ 11 หลักความเสมอภาค (Equity) ผู้บริหารต้องมีเมตตาและให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายภายใน
องค์การ เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความจงรักภักดีและอุทิศตนในการทำงานให้กับองค์การ
หลักการจัดการ (Management Principles)
https://www.reallygreatsite.com
ประการที่ 12 หลักความมั่นคงในการทำงาน (Stability of Tenure) การที่คนเข้าออกมาก ย่อมเป็น
สาเหตุของการสิ้นเปลืองและทำให้การจัดการงานไม่เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้น ทั้งผู้บริหารและคนงานจะต้อง
ใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อเรียนรู้งานและปัญหาต่างๆ ขององค์การ
ประการที่ 13 หลักความริเริ่ม(Imitative) การเปิดโอกาสให้คนงานภายในองค์การมีส่วนร่วมในการแก้ไข
ปัญหา จะเป็นพลังอันสำคัญที่จะทำให้องค์การเข้มแข็ง เพื่อปฏิบัติตาม แผนงานและเป้าหมายต่างๆ ให้
สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ประการที่ 14 หลักความสามัคคี (Esprit de Corps) การเน้นถึงความจำเป็นที่ทุกคนในองค์การจะต้อง
ทำงานเป็นกลุ่มที่เป็นหนึ่งอันเดียวกันเพื่อจะให้เกิดการบรรลุเป้าหมายขององค์การเป็นอย่างดีภายใน
ทิศทางเดียวกัน
หลักการจัดการ (Management Principles)
https://www.reallygreatsite.com
หลักการบริหารทั้ง 14 ประการ ดังกล่าว อาจเป็นหลักการที่ผู้บริหาร
เคยปฏิบัติมาก่อน แต่ต้องยอมรับว่า ฟาโยล์ (Fayol) เป็นบุคคล
แรกที่ประมวลหลักการบริหารเหล่านี้ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ จน
ทำให้การบริหารสามารถถ่ายทอดเรียนรู้ต่อกันได้ และทำให้การ
บริหารเป็นวิชาชีพ (professional) อย่างหนึ่งด้วย
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
https://www.reallygreatsite.com
Elton Mayo เป็นบิดาคนหนึ่งใน ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์ เขาให้ความ
สำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างคนงานด้วยกันเองหรือระหว่างกลุ่มของ คนงาน
ในอันที่จะเพิ่มผลผลิตในองค์การ การมีการติดต่ออย่างเปิดกว้างระหว่างหัวหน้า
กับลูกน้อง การให้โอกาสกับผู้ ใต้บังคับบัญชาเข้ามาร่วมตัดสินใจอย่างเป็น
ประชาธิปไตย การให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติงานทุกระดับและเอาใจใส่ดูแลเขา
ให้ความเป็นกันเองกับเขามากกว่าคนงาน ย่อมทำให้มีผลงานเพิ่มขึ้น
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
https://www.reallygreatsite.com
แนวความคิดของ Mayo จาก การทดลองที่ Hawthorn ใกล้เมือง Chicago U.S.A สรุปได้ 5 ประการ คือ
1.ปทัสถานสังคม(ข้อตกลงเบื้องต้นในการทำงาน) คนงานที่สามารถปรับตัวเข้ากับกฎเกณฑ์อย่างไม่เป็น
ทางการของกลุ่มคน งานด้วยกัน จะมีความสบายใจและเพิ่มผลผลิต มากกว่าคนงานที่ไม่พยายามปฏิบัติ
หรือปรับตัวเข้ากับกฏเกณฑ์ที่กลุ่มปฏิบัติ กัน กฎเกณฑ์เหล่านี้ตกลงกันเองและยึดถือกันภายในกลุ่ม และ
ยังผลให้คนงานมีความรู้สึกว่าตนเป็นส่วน หนึ่งของพรรคพวก
2.กลุ่มพฤติกรรมของกลุ่มมีอิทธิพลจูง ใจและสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของแต่ละบุคคลได้ และกลุ่มย่อมมี
อำนาจต่อรองกับฝ่ายบริหารโดยอาจจะเพิ่มผลผลิตหรือลดผลผลิตก็ ได้
3.การให้รางวัลและการลงโทษ ของสังคมในหมู่คนงานด้วยกัน เช่น การให้ความเห็นอกเห็นใจของกลุ่ม
แต่ละบุคคล การให้ความนับถือและความจงรักภักดีต่อกลุ่ม และกลุ่มต่อแต่ละบุคคล มีอิทธิพลต่อคนงาน
มากกว่าการที่ฝ่าย บริหารจะให้รางวัลเป็นตัวเงินต่อคนงานเหล่านี้
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
https://www.reallygreatsite.com
4.การควบคุมบังคับบัญชา การบังคับบัญชาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าฝ่ายบริหารปรึกษากลุ่มและ
หัวหน้าของกลุ่มที่ไม่เป็นทางการนี้ ในอันที่ปฏิบัติงานให้บรรลุ เป้าหมายขบวนการมนุษย์สัมพันธ์ต้องการ
ให้ผู้บังคับบัญชาเป็นคนที่น่ารัก เป็นนักฟังที่ดี เป็นมนุษย์ไม่ใช่เป็นนาย ต้องให้ข้อคิดแล้วให้คนงาน
ตัดสินใจ อย่าเป็นผู้ตัดสินใจปัญหาเสียเอง ขบวนการมนุษย์สัมพันธ์จึงเชื่อว่าการสื่อข้อ ความอย่างมี
ประสิทธิภาพประกอบกับการให้โอกาสคนงานเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ ปัญหา เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะ
ได้มาซึ่งการควบคุมบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ
5.การบริหารแบบประชาธิปไตย พนักงาน ทำงานได้ผลงานดีมาก ถ้าเขาได้จัดการงานที่เขารับผิดชอบเอง
โดยมีการควบคุมน้อยที่สุดจากผู้บริหาร หลังจากที่ได้มีการปรึกษาร่วมกันแล้ว
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
https://www.reallygreatsite.com
สรุปได้ว่า Mayo เชื่อว่าหากได้นำวิธีการทางมนุษย์สัมพันธ์ไปใช้ ให้ถูกต้อง
แล้ว จะทำให้บรรยากาศในองค์การอำนวยให้ทุกฝ่ายเข้ากันได้อย่างดีที่สุด
คนงานจะได้รับความพอใจสูงขึ้น และกำลังความสามารถทางการผลิตก็จะเพิ่ม
มากขึ้นด้วย ผลการทดลองนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลสำคัญของ กลุ่มทางสังคม
ภายในองค์การที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก "ความรู้สึก"
(sentiments) ที่เป็นเรื่องราวทางจิตใจของคนงาน และความสัมพันธ์ทาง
สังคมระหว่างคนงานด้วยกัน
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
BSC หรือ Balanced Scorecard คือ ระบบการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการระบุและปรับ
ปรุงฟังก์ชั่นทางธุรกิจภายใน เพื่อนำไปสู่การปฎิบัติโดยอาศัยการวัดผลหรือการประเมิน ที่
ช่วยให้องค์กรเกิดความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความสำคัญต่อ
ความสำเร็จขององค์กร โดยปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จประกอบด้วย 4 มุมมองด้วยกัน ได้แก่ :
Customer perspective (มุมมองของลูกค้า) : ลูกค้ามองเรา (แบรนด์หรือบริษัท)
อย่างไร?
Internal perspective (มุมมองภายใน) : เราทำอะไรได้ดี หรือ อะไรที่เราสามารถ
ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
Innovation and learning perspective (มุมมองด้านนวัฒกรรมและการเรียนรู้) : เรา
สามารถปรับปรุงและสร้างมูลค่าได้หรือไม่
Financial perspective (มุมมองทางการเงิน) : เรามองผู้ถือหุ้นอย่างไร ?
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
ต้นกำเนิด BSC
ปี 1990 : ต้นกำเนิดของ Balanced Scorecard เกิดขึ้นในปี 1990 มาจากบุคคล 2 ท่าน ท่านแรกคือ
David P. Norton ประธานของบริษัทให้คำปรึกษาทางธุรกิจ อีกท่านคือ Robert S. Kaplan
ศาสตราจารย์จาก Harvard Business School ที่ได้ร่วมกันทำโครงการครั้งแรกผ่านการสนับสนุนจาก
KPMG (หนึ่งในบริษัทตรวจสอบบัญชี 4 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก) เพื่อหาว่าเหตุใดบริษัทต่างๆในยุคนั้น
ถึงได้รับรายงานเกี่ยวกับมาตรฐานทางการเงินเพียงอย่างเดียว และปัญหาเกี่ยวกับดัชนีชี้วัดที่ล้าหลัง
ในปี 1992 : หลังจากการทำวิจัยเป็นระยะเวลา 2 ปี ร่วมกับบริษัท 12 แห่ง พวกเขาก็ได้ตีพิมพ์ผลการ
วิจัยลงใน Harvard Business Review ซึ่งนำเสนอแนวคิดของ Balanced Scorecard เป็นครั้งแรก
ช่วงปี 2000+ : หลังการจากตีพิมพ์งานวิจัยครั้งแรก คุณ Norton และ Kaplan ได้เขียนบทความและ
หนังสือหลายเล่ม ได้ได้แก่ “ The Strategy-Focused Organization ” โดยเขียนถึง องค์ประกอบหลัก 5
ประการของกลยุทธ์การดำเนินการด้วย Balanced Scorecard และเล่มอื่นๆ เช่น “ Strategy Maps ”
(2004),“ Alignment ” (2006) และ“ The Execution Premium ” (2008) แต่ละเล่มจะลงรายละเอียด
เพิ่มเติมเกี่ยวกับ “องค์กรที่มุ่งเน้นกลยุทธ์” โดยใช้ประโยชน์จากทั้งกรณีศึกษาและงานวิจัยใหม่
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
ปัจจัย 4 มิติของ Balanced Scorecard
ใ นส่วนของ Balanced Scorecard คือ เครื่องมือที่ผ่านการวิจัยและทดสอบกับ
ธุรกิจมากมาย การพิจารณามุมมองเกี่ยวกับ Balanced Scorecard อาจจะไม่ครบ
ทุกมิติ แต่ก็สามารถช่วยให้องค์กรของคุณวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อการเติบโตได้
มากยิ่งขึ้น
สำหรับการพิจารณามุมมองเกี่ยวกับ Balanced Scorecard เป็นการพิจารณา
องค์ประกอบของธุรกิจในมิติของ ลูกค้า การเงิน กระบวนการภายใน และ การ
พัฒนาเติบโต แต่มักเกิดคำถามว่า แล้วจะพิจารณาแง่มุมอื่นประกอบกันด้วยได้
หรือไม่ คำตอบคือ คุณสามารถพิจารณามิติอื่นๆของธุรกิจร่วมด้วยได้ถ้าคุณเห็นว่า
มีความสำคัญต่อองค์กร
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
1.Customer Perspective : ลูกค้าเห็นเราอย่างไร?
ความพึงพอใจของลูกค้าในระดับสูง ส่งผลอย่างมากต่อความสำเร็จเชิงกลยุทธ์และส่งผลต่อกำไรของบริษัท แต่
สำหรับองค์กรทั่วไปที่มุ่งเน้นทำกำไรจะนำมุมมองของลูกค้าไปไว้ในอันดับ 2 หรือ 3 รองจากมุมมองด้านการเงิน
(Financial Perspective)
ทฤษฎีที่อยู่หลังมุมมองของลูกค้าสำหรับ Balanced Scorecard คือ บริษัทต้องทำให้ลูกค้ามีความสุขในการ
ซื้อสินค้าหรือบริการ และการที่คุณจะทำให้ลูกค้ามีความสุข คุณต้องรู้จักและเข้าใจพวกเขา โดยพิจารณา
ปัจจัยเหล่านี้ :
พิจารณาว่าลูกค้าของคุณกำลังมองหาอะไร : การเข้าใจและรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรจริงๆ คือความท้าทายของทุกบริษัท การ
รักษาลูกค้าไว้ให้นานที่สุด หรือ การเพิ่มจำนวนลูกค้า อาจจะไม่เพียงพอเพราะคู่แข่งของคุณล้วนทำแบบนั้นเช่นกัน คุณ
ต้องหาให้เจอว่าสิ่งที่ทำให้สินค้าหรือบริการของคุณแตกต่าง หรือสามารถระบุได้ว่าทำไมลูกค้าต้องใช้บริการจากคุณ
ทราบความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ลูกค้าพูด กับ สิ่งที่ลูกค้าทำ : เคยไหมครับที่คุณถามลูกค้าว่าชอบสินค้าหรือบริการของคุณ
หรือไม่ คำตอบที่ได้อาจเป็น ชอบสุดๆ แต่คุณกลับไม่เคยได้ออเดอร์จากลูกค้าอีกเลย ในขณะที่ลูกค้าอีกรายคอมเม้นท์และ
บ่นบ่อยครั้งแต่กลับมาซื้อสินค้าอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น คุณควรพิจารณา KPI สำหรับการวัดผลลูกค้าจากทั้ง คำพูด และ
การกระทำไปพร้อมๆกันด้วย
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
2.Financial Perspective : มุมมองทางการเงิน
ภายใต้มุมมองด้านการเงิน เป้าหมายของบริษัทคือการทำให้แน่ใจว่า เจ้าของ/ผู้ถือหุ้น จะได้รับผล
ตอบแทนจากการลงทุนและจัดการความเสี่ยงหลักที่เกี่ยวกับธุรกิจได้อย่างเหมาะสม บริษัทจะสามารถ
บรรลุผลเป้าหมายด้านการเงินได้ครบทุกมิติ บริษัทจะต้องตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทุกคน ได้แก่ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพนักงานในบริษัท
ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจเนื่องจากเป็นผู้จัดการเงินลงทุน พวกเขาจะมีความสุขเมื่อบริษัทประสบ
ความสำเร็จด้านการเงิน พวกเขาต้องการให้แน่ใจว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง และการ
ที่บริษัทจะสามารถหารายได้อย่างต่อเนื่องได้นั้น บริษัทจะต้องบรรลุผลในส่วนของ “Customer
Perspective” เช่น การปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร การพัฒนาแหล่งรายได้ใหม่ ซึ่งมีความ
เกี่ยวข้องกับลูกค้าทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีส่วนอื่นที่สามารถปรับปรุงเกี่ยวกับด้านการเงินได้ เช่น การปรับปรุง
คุณค่าของบริษัท และการลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
3.Internal Processes Perspective : เราเก่งอะไร
กระบวนการภายในของธุรกิจเป็นตัวกำหนดว่าประสิทธิภาพขององค์กรทำงานได้ดีเพียงใด การ
ใช้งาน BSC จะทำให้เกิดมุมมองของวัตถุประสงค์และการวัดผลที่สามารถช่วยให้ธุรกิจดำเนินไป
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยประเมินสินค้าหรือบริการของบริษัท ว่าเป็น
ไปตามมาตรฐานที่บริษัทควบคุมและเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือไม่
ในส่วนนี้จะทำให้ตอบคำถามได้ว่า “องค์กรเรามีอะไรดี” ซึ่งจะไปตอบคำถามในส่วนของลูกค้า
ด้วยเช่นกันว่า “ทำไมลูกค้าถึงต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากเรา”
คำตอบสำหรับคำถามนี้สามารถช่วยให้บริษัท กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดและคิดนวัตกรรมที่
นำไปสู่การสร้างวิธีการใหม่ๆ และปรับปรุงสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของ
ลูกค้าให้มากที่สุด
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
4.Learning and Growth Perspective : มุมมองความสามารถขององค์กร
ความสามารถขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเป้าหมายและ
วัตถุประสงค์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี บุคลากรในแต่ละหน่วยงานขององค์กร จะต้องแสดงให้
เห็นถึงประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในแง่ของความเป็นผู้นำ วัฒนธรรมองค์กร การประยุกต์
ใช้ความรู้ และทักษะ
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร สามารถไปเติมในส่วนที่
ยังขาด องค์กรควรมีโครงการพัฒนาความสามารถองค์กร และส่งเสริมให้พนักงาน
เรียนรู้ด้วยตนเองอยู่เสมอ
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
ประโยชน์ของการใช้ BSC คืออะไร?
มุมมอง 4 มิติของ Balanced Scorecard ช่วยส่งเสริมให้องค์กรต้อง
“สร้างสมดุล” ระหว่างตัวขับเคลื่อนหลักความสำเร็จทางธุรกิจ นอกจาก
นี้ยังบังคับให้องค์กรกำหนดเมตริกที่จับต้องได้ให้กับแต่ละมุมมอง เพื่อ
เพิ่มความรับผิดชอบให้แต่ละหน่วยงานหรือแต่ละแผนก ให้ทำงาน
ประสานเข้ามาเป็นเนื้อเดียวกัน สุดท้ายยังใช้เป็นกรอบเพื่อการสื่อสาร
กลยุทธ์ขององค์กร ไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้าง
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
ข้อดีของ BSC
ช่วยให้กลยุทธ์ขององค์กรมีโครงสร้างที่เข้าใจง่าย : ในหลายองค์กร การบริหารจัดการแต่ละแผนกมีการวัดผล
การดำเนินงาน (KPI) ที่แตกต่างกัน แต่การนำ Balanced Scorecard มาปรับใช้ จะส่งผลให้ผู้บริหารต้อง
จัดการโครงการองค์กรทั้งในแง่ของผลกระทบระหว่างแผนก การวัดผลเพื่อให้เกิดความสมดุล การวัดผลใน
ส่วนของผู้ปฎิบัติงาน แต่เมื่อมีการปรับใช้เป็นที่เรียบร้อย พนักงานทุกฝ่ายจะเข้าใจภาพใหญ่ขององค์กร ทั้ง
เป้าหมาย จุดประสงค์ แนวทางปฎิบัติไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อทุกฝ่ายเข้าใจง่าย การทำงานก็จะง่ายขึ้นตาม
ทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น : การสื่อสารระหว่างสมาชิกในทีมและแผนกจะมีความง่ายขึ้นเมื่อทุกคนพูดภาษา
เดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การที่ทั้งองค์กรมีระบบวัดผลการปฎิบัติงานที่คล่องตัว จะช่วยให้ทุกคนพูดคุย
และเข้าใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ ความก้าวหน้าในองค์กรได้ง่ายขึ้น
เชื่อมโยงผู้ปฎิบัติงานเข้ากับเป้าหมายขององค์กร : การที่พนักงานหรือผู้ปฎิบัติงานแต่ละคนทราบถึงจุด
ประสงค์โดยรวมขององค์กรผ่านการใช้งาน BSC พนักงานจะไม่เพียงแต่โฟกัสที่หน้าที่ของตนเองเท่านั้น แต่ยัง
ทราบถึงผลกระทบหากพวกเขาได้ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ ว่ามันจะส่งผลที่ยิ่งใหญ่ต่อองค์กรโดย
รวมอย่างไร
BSC : Balanced Scorecard
https://www.reallygreatsite.com
ปัญหาในการใช้ Balanced Scorecard คืออะไร
ตอ้ งปรับให้เข้ากับองค์กร (ใช้เวลานาน) : การใช้ระบบ BSC ให้ได้ประสิทธิภาพต้องมีการปรับให้เข้ากับองค์กร ผ่านการปรับ
แต่งให้เหมาะสมกับทุกระดับ การเปลี่ยนแปลงจะก่อให้เกิดแรงต้านจากภายใน ทั้งการไม่เห็นด้วย ไม่ปฎิบัติตามจากความ
เคยชินเดิม การดำเนินการอาจจะใช้ระยะเวลานาน อีกทั้งรูปแบบการใช้งาน BSC ยังไม่สามารถเลียนแบบธุรกิจอื่นได้
เนื่องจากปัจจัยของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกัน
ผู้บริหารต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง : เพื่อให้การใช้งาน Balanced Scorecard เกิดประสิทธิภาพ ต้องเป็นการร่วมมือกัน
ตั้งแต่พนักงานระดับล่างสุดไปจนถึงผู้บริหารระดับสูงสุด ซึ่งหมายถึงถ้า BSC ถูกนำไปเสนอแต่เพียงบางหน่วยงาน แล้วผู้
บริหารยังไม่เข้าร่วมด้วย ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือต่อผู้ปฎิบัติงาน
ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก : อย่างที่กล่าวไปในช่วงต้นของบทความ Balanced Scorecard เปรียบเสมือนแผงควบคุมเครื่อง
บิน ที่ต้องการข้อมูลจากหลายฝ่ายเข้ามารวมกัน เพื่อใช้ในการสร้างความสมดุลในการบริหารองค์กร แต่การเริ่มต้นในธุรกิจที่
ยังไม่เคยมีการจัดการรวบรวมข้อมูล อาจส่งผลต่อพนักงานที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะงานเอกสารเป็นงานที่น่าเบื่อ
ปัจจัยนี้อาจถูกขัดขวางการนำ BSC มาใช้ปฎิบัติได้
วิเคราะห์ภายในโดยไม่สนใจปัจจัยภายนอก : อย่างที่ทราบว่า 4 มุมมองของ BSC คือ มุมมองทางลูกค้า การเงิน ขั้นตอน
ภายใน และ ความสามารถองค์กร ไม่ได้มีการวิเคราะห์ปัจจัยการแข่งขันภายนอก หรือแง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ประกอบ
ทำให้ขาดมิติการพิจารณาธุรกิจด้านอื่นๆ
TQM
Total Quality Management
https://www.reallygreatsite.com
การบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การ (Total quality management : TQM)
หมายถึง แนวทางในการบริหารขององค์กรทีม่ ุ่งเน้นคุณภาพ โดยสมาชิกทุกคน
ขององค์กรมีส่วนร่วมและมุ่งหมายผลกำไรในระยะยาวด้วยการสร้างความพึง
พอใจให้แก่ลูกค้ารวมทั้งการสร้างผลประโยชน์ตอบแทนแก่หมู่สมาชิกTQM มี
หลักการที่สำคัญ ด้วยการปฏิบัติงานประจำวันให้ดีที่สุด สามารถทำงานข้าม
สายงานได้เป็นอย่างดี ทำการกระจายนโยบายให้เป็นผลต่อองค์กร 3 ประการ
1. การมุ่งเน้นที่คุณภาพ
2. การปรับปรุงกระบวนการ
3.ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วม
TQM
Total Quality Management
https://www.reallygreatsite.com
วัตถุประสงค์ของ TQM คือ การพัฒนาบุคลากรให้สามารถใช้ศักยภาพ
ของตนเองได้อย่างเต็มที่ ด้วยการมีส่วนร่วมใน การปรับปรุงคุณภาพของสินค้า
หรือบริการ อันจะทำให้คุณภาพชีวิต ของพนักงานทุกคนดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อ
เนื่อง ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success factor : KSF ของระบบ TQM )
1. ความยึดมั่นผูกพันอย่างจริงจังจากผู้บริหารทุกระดับ
2. การให้การศึกษาและการฝึกอบรมให้พนักงานทุกคนได้เรียนรู้
3. โครงสร้างขององค์กรที่สนับสุนนวิธีคิดและวิธีทำงานอย่างเป็นกระบวนการ
4. การติดต่อสื่อสารจะต้องทั่วถึงทั้งแนวดิ่งตามสายงาน และแนวราบของการประสานงานระหว่างหน่วย
งานต่างๆ
5.การให้รางวัลและการยอมรับทีมงาน สมควรได้รับจากผลงานที่ปรากฎการณ์ส่งเสริม
6. การวัดผลงานอย่างเหมาะสม
7. การทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับ
การทำงานร่วมกันของบุคคล
Because the team
is important
หลายหัว ย่อมดีกว่าหัวเดียว
การทำงานเป็นทีม
ความหมายของการทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีม เป็นประเภทหนึ่งของการทำงานกลุ่ม (Group Work) ทีมงาน
ทุกทีมงานจัดเป็นกลุ่มทำงาน แต่กลุ่มทีมงานทุกกลุ่มอาจจะไม่เป็นทีมงานเสมอไป เนื่องจาก
จากทำงานเป็นกลุ่มนั้นเป็นการทำงานของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อการทำงานที่มี
ปฏิสัมพันธ์ต่อกันและมีเป้าหมายร่วมกัน มีลักษณะการทำงานหลายแบบ มีการทำงานที่
ประสานกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ร่วมกันตั้งไว้
หลักการ : การบริหารแบบมีส่วนร่วม การบริหารที่มุ่งจูงใจให้ผู้ร่วมงาน
ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ร่วมรับผิดชอบในองค์การที่ตนปฏิบัติงานอยู่
ด้วยความเต็มใจ
เป็นการบริหารที่เห็นความสำคัญของ ผู้ร่วมงาน ในฐานะมนุษย์ในองค์การที่มี
ความสามารถมีเหตุผล มีวิจารณญาณก่อให้เกิดการ
ระดมสมองพลังงานอย่างแข็งขัน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพมากที่สุดและสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้ดีที่สุด
แนวทางนำไปสู่การมีส่วนร่วม
1. จะต้องมีเวลาเพียงพอเพื่อสร้าง
2. ผู้ร่วมงานสามารถติดต่อสื่อสาร บรรยากาศการมีส่วนร่วมก่อน
สารซึ่งกันและกันได้อย่างดำเนินงาน ทั่วถึง
3.จะต้องไม่ฝ่าฝืน ค่านิยม
4. ไม่สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้ เศรษฐกิจของมวลสมาชิก ร่วมงาน
5.มีการแนะหรือสอนงานเพื่อให้
6.เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานแสดง ผู้ร่วมงานมีความอบอุ่นใจ ความคิดเห็น
7.ให้ควบคุมตนเองและควบคุม
8.จัดงานให้เหมาะกับความรู้ตนเอง ความสามารถของผู้ร่วมงาน
ลักษณะบุคคลที่ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ
1. มีใจกว้าง
2. เป็นคนมีน้ำใจ
3. ซื่อสัตย์สุจริต
4. ตรงต่อเวลา
5. วาจาดี
6. มีมนุษยสัมพันธ์ดี
7. ไม่เอารัดเอาเปรียบ
8. มีความจริงใจเสมอ
9. เสมอต้นเสมอปลาย
ลักษณะบุคคลที่ทำให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ
10. ปฏิบัติงานตามแผนที่กำหนดไว้
11. ทำตามหน้าที่ที่กำหนด
12. คารพความคิดความสามารถของผู้อื่น
13. มีความอดทนมุมานะและพากเพียร
14. มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
TEAM
ทีม
กลุ่มของบุคคลที่ทำงานร่วมกันเพื่อ บรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน โดยสมาชิก ต้องเสีย
สละความเป็นส่วนตัว มีความเข้าใจ มีความผูกพัน และให้ความร่วมมือกัน เพื่อให้
บรรลุเป้าหมายของทีมได้
ความสำคัญของทีม
การสร้างทีมงานและการพัฒนาองค์กรนั้นเป็นกิจกรรมที่ดีที่สุด
การทำงานเป็นทีม จะเป็นประโยชน์สูงสุดขององค์กรและมีโอกาสประสบผลสำเร็จ
มากกว่าการทำงานคนเดียวแต่การสร้างทีมงานนั้นต้องใช้ เวลา ในการพัฒนาบุคคล
และพัฒนาทีมงานพอสมควร จึงจะเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ