ใบความรู้และใบงาน
องค์ประกอบท่ี 1การจดั ทาป้ายชื่อพรรณไม้
งานสวนพฤกศาสตร์โรงเรยี น
โรงเรยี นบญุ วาทยว์ ทิ ยาลยั
สานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษาลาปาง ลาพนู
51
3.2 ด้านการจดั การเรียนรู้ งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน
3.2.1 องค์ประกอบท่ี 1 การจัดทาป้ายช่อื พรรณไม้
หลักการ รูช้ ือ่ รลู้ กั ษณ์ รู้จัก
สาระสาคญั
การจดั ทาปา้ ยชื่อพรรณไมโ๎ ดยการเรยี นรู๎การกาหนดพนื้ ที่ศกึ ษา สารวจและจัดทาผังพรรณไม๎ แล๎วศึกษา
พรรณไม๎ ทาตัวอยํางพรรณไม๎ นาข๎อมูลมาทาทะเบียนพรรณไม๎ ทาและติดแสดงป้ายช่ือพรรณไม๎สมบูรณ์
นาไปสํกู ารร๎ชู ่ือ รูล๎ กั ษณะตําง ๆ รวมถึงรจู๎ ักการใช๎ประโยชนข์ องพืช
ลาดบั การเรยี นรู้
1) กาหนดพ้นื ที่ศึกษา
2) สารวจพรรณไมใ๎ นพื้นทศ่ี ึกษา
3) ทาและตดิ ป้ายรหัสประจาต๎น
4) ต้งั ชื่อหรอื สอบถามชอื่ และศกึ ษาข๎อมลู พ้ืนบา๎ น (ก.7-003 หน๎า ปก - 1)
5) ทาผังแสดงตาแหนํงพรรณไม๎
6) ศกึ ษาและบันทกึ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ (ก.7-003 หนา๎ 2-7)
7) บนั ทกึ ภาพหรือวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
8) ทาตวั อยาํ งพรรณไม๎ (ตวั อยาํ งพรรณไมแ๎ ห๎ง ตัวอยํางพรรณไม๎ดอง ตัวอยาํ งพรรณไม๎
เฉพาะสํวน)
9) เปรียบเทยี บข๎อมลู ท่สี รปุ (ก.7-003 หน๎า 8) กบั ขอ๎ มลู ทสี่ ืบคน๎ จากเอกสาร แล๎วบันทึก
ใน ก.7-003 หนา๎ 9 - 10
10) จัดระบบขอ๎ มูลทะเบียนพรรณไม๎ (ก.7-005)
11) ทาราํ งป้ายชื่อพรรณไม๎สมบรู ณ์
12) ตรวจสอบความถูกตอ๎ งทางวิชาการดา๎ นพฤกษศาสตร์
13) ทาป้ายช่ือพรรณไมส๎ มบูรณ์
อธบิ ายลาดบั การเรยี นรู้
ลาดับการเรียนรทู้ ี่ 1 กาหนดพ้ืนท่ศี กึ ษา
วตั ถุประสงค์
1) เพ่ือรข๎ู อบเขต ขนาดพ้ืนท่ที ้งั หมดของโรงเรยี น
2) เพอื่ รล๎ู ักษณะทางกายภาพในโรงเรยี น
3) เพื่อรูก๎ ารแบํงพ้ืนท่เี ป็นสํวนยอํ ยและการจดั การพื้นทีศ่ กึ ษาในการเข๎าไปเรยี นรูท๎ เ่ี หมาะสม
52
กระบวนการเรียนรู้
1) เรียนร๎ูพ้นื ท่ที ง้ั หมดของโรงเรียนตามกรรมสทิ ธ์ิ และบริเวณรอบ ๆ โรงเรียนอยํูใกล๎กับสถานท่ีตําง ๆ
และต้งั อยใูํ นทิศทางใดของโรงเรียน โดยระบุขนาดพื้นที่ท้ังหมดของโรงเรียนได๎ และจัดทาเป็นผังพื้นที่ทั้งหมด
ของโรงเรยี น
ภาพที่ 3.4 ตัวอยาํ งผังพ้ืนท่ที ้ังหมดของโรงเรียน
2) เรียนร๎ูถึงขอบเขตบริเวณของโรงเรียนและเรียนร๎ูลักษณะทางกายภาพองค์ประกอบตําง ๆ เชํน
ตาแหนํงอาคาร สง่ิ ปลูกสร๎าง บรเิ วณพ้ืนทีส่ ภาพแวดล๎อมตําง ๆ ภายในโรงเรียน และจดั ทาผังบรเิ วณ
ภาพท่ี 3.5 ตัวอยาํ งผังบรเิ วณภายในโรงเรยี น
53
3) เรยี นรูถ๎ งึ การกาหนดและแบํงขอบเขตพ้ืนท่ีภายในโรงเรียนเป็นพ้ืนท่ียํอย ๆ ตามข๎อพิจารณาในการ
แบงํ พนื้ ที่ศึกษา จดั ทาผงั กาหนดขอบเขตพน้ื ที่ โดยพจิ ารณาดงั น้ี
3.1) แบงํ ตามลกั ษณะทางภมู ิศาสตร์
3.2) แบํงตามการใชป๎ ระโยชนข์ องพนื้ ที่
3.3) แบํงตามขนาดของพนื้ ทีใ่ หเ๎ หมาะสมกับการเรยี นร๎ู
โดยระบุขนาดพ้ืนท่ีศึกษายํอยในแตํละพื้นที่ได๎ และขนาดพื้นท่ีเมื่อรวมกันแล๎วเทํากับพ้ืนที่ทั้งหมด
ของโรงเรยี น
ภาพที่ 3.6 ตัวอยํางผงั กาหนดขอบเขตพนื้ ท่ีศึกษาภายในโรงเรียน
54
ลาดับการเรยี นรู้ท่ี 2 สารวจพรรณไม้ในพืน้ ท่ศี ึกษา
วตั ถุประสงค์
1) เพอ่ื รู๎ชนิด จานวนต๎นในแตลํ ะชนิด และจาแนกลกั ษณะวสิ ัย ทส่ี ารวจในพ้ืนท่ีศึกษา
กระบวนการเรยี นรู้
1) การสารวจพรรณไม๎
1.1) เลือกพ้ืนท่ีศึกษาในการสารวจพรรณไม๎
1.2) เรียนร๎ูรูปแบบการสารวจ (ควรเลอื กพืชท่ีมสี วํ นประกอบครบสมบรู ณ์มากทส่ี ดุ )
1.3) สารวจพรรณไม๎ในพืน้ ท่ศี กึ ษา
1.4) สรปุ จานวนชนดิ และจานวนตน๎ ทพี่ บ
2) การจาแนกชนดิ ตามลกั ษณะวสิ ัย
2.1) เรียนรล๎ู กั ษณะวสิ ัยพชื
2.2) จาแนกลักษณะวิสัยพชื ท่สี ารวจ
2.3) สรุปจานวนลกั ษณะวสิ ัยท่ีพบ
ภาพที่ 3.7 การสารวจพรรณไมใ๎ นพน้ื ทศี่ ึกษา โดยมคี รู บุคลากรในสถานศึกษาหรือผู๎รู๎ในท๎องถิ่น ใหค๎ วามร๎ู
เก่ียวกบั พรรณไม๎
55
ภาพท่ี 3.8 ตวั อยาํ งตารางการสารวจพรรณไม๎ในพื้นทศ่ี ึกษาในโรงเรียน
ลาดับการเรยี นรู้ท่ี 3 ทาและตดิ ปา้ ยรหัสประจาต้น
วัตถุประสงค์
1) เพ่ือรรู๎ ปู แบบปา้ ยรหสั ประจาต๎นตามแบบ อพ.สธ.
2) เลอื กวสั ดุทาป้ายรหสั ประจาต๎นทเ่ี หมาะสม
3) ตดิ ปา้ ยรหสั ประจาตน๎ ให๎ถกู ต๎อง
กระบวนการเรยี นรู้
1) รูปแบบปา้ ยรหัสประจาต๎น
1.1) เรียนรู๎รปู แบบรหสั ประจาต๎น ประกอบไปดว๎ ยตัวเลข 2 ชดุ
ชดุ ที่ 1 เปน็ รหสั ลาดับชนิดพรรณไม๎ ประกอบไปด๎วยตัวเลข 3 หลัก เชํน 001 คือ รหัสลาดับชนิดพรรณ
ไมช๎ นดิ ท่ี 1
ชดุ ที่ 2 เป็นรหัสลาดับต๎น ประกอบไปด๎วย ตวั เลข 1 หลักเป็นตน๎ ไป เชํน /2
ระหว่างชุดท่ี 1 และ ชุดท่ี 2 ใหค๎ ัน่ ด๎วยเครื่องหมาย /
ยกตัวอยาํ งเชํน 001/2 คอื รหสั ลาดับชนิดพรรณไม๎ชนิดที่ 1 / รหสั ลาดับต๎น ต๎นที่ 2
หมายเหตุ - ในกรณีทชี่ นิดน้ันมตี น๎ เดยี ว ไมํต๎องใสเํ ครอื่ งหมาย /
- ในกรณีทต่ี น๎ ไมป๎ ลกู เป็นแปลงหรือกอ ให๎รหัสลาดบั ประจาต๎นนบั เป็นแปลงหรือกอ
56
ภาพท่ี 3.9 รปู แบบป้ายรหัสประจาต๎น
2) วัสดุทาป้ายรหัสประจาต๎น
2.1) วัสดุท่ี มีความคงทนและหาได๎งํายตามท๎องถิ่น เชํน ป้ายฯ พลาสติก กระป๋องอะลูมิเนียม
แผนํ โลหะ ฯลฯ
พลาสติก โลหะ
ภาพที่ 3.10 ตวั อยาํ งวสั ดุท่นี ามาทาป้ายรหัสประจาตน๎
สายรัดแบบสายโทรศัพท์ สายรัดแบบขดลวด
ภาพที่ 3.11 ตวั อยํางวัสดุท่นี ามาทาสายรัดป้ายรหัสประจาต๎น
57
2.2) ตัวเลขในป้ายรหัสประจาต๎น ใช๎การตอกรหัส หรือเขียนด๎วยสีที่มีความคงทน เพ่ือป้องกันการ
หลุดลอกของตวั เลข
ป้ายฯโลหะ ป้ายฯแผ่นพลาสติก
ป้ายฯพลาสติก
ภาพที่ 3.12 ตวั อยํางปา้ ยรหัสประจาตน๎ แบบตาํ ง ๆ
3) เรยี นรู๎วธิ กี ารตดิ ป้ายรหสั ประจาตน๎
3.1) วิธีที่ 1 แบบผูก เชํน คล๎องหรือแขวน กับกิ่งหรือลาต๎น ของต๎นไม๎ในตาแหนํงที่เหมาะสมและ
มองเหน็ ได๎อยํางชัดเจน ซงึ่ วิธนี ้ีเหมาะสาหรับไมต๎ ๎น ไมพ๎ ํุม ฯลฯ
ภาพท่ี 3.13 ตัวอยาํ งการติดปา้ ยรหัสประจาต๎นแบบผกู
58
3.2) วิธที ี่ 2 แบบปกั ให๎ปักตรงบรเิ วณโคนต๎น ของต๎นไม๎ในตาแหนงํ ทเี่ หมาะสมและมองเห็นได๎อยําง
ชดั เจน ซง่ึ วิธีนี้เหมาะสาหรบั ไม๎ลม๎ ลกุ และไม๎ตน๎ ขนาดใหญํ ที่ไมสํ ามารถทาการผกู ปา้ ยรหัสประจาต๎นได๎
หมายเหตุ - ไมํควรติดรัดจนแนํนเกินไป ควรแขวน หรือใช๎วัสดุอปุ กรณท์ ี่มคี วามยดื หยนํุ ในการตดิ แบบงาํ ย ๆ
ภาพท่ี 3.14 ตวั อยํางการตดิ ป้ายรหสั ประจาต๎นแบบปกั
ลาดับการเรียนรู้ท่ี 4 ตัง้ ช่อื หรอื สอบถามชื่อ และศกึ ษาข้อมูลพน้ื บา้ น (ก.7-003 หน้า ปก - 1)
วตั ถปุ ระสงค์
1) เพือ่ ร๎ชู ่อื พ้นื เมอื งของพรรณไม๎
2) เพอ่ื ร๎ูข๎อมูลพ้ืนบ๎านของพรรณไม๎
กระบวนการเรียนรู้
1) เรยี นรูก๎ ารตั้งช่อื และสอบถามช่ือของพรรณไม๎
1.1) เรียนร๎กู ารตงั้ ชอ่ื พน้ื เมอื ง กรณที ีไ่ มํทราบชอื่ พรรณไม๎ อาจตงั้ ชอื่ ตามรูปลักษณ์
คณุ สมบัติ พฤตกิ รรม หรอื ถนิ่ อาศยั ของพืชนั้นๆ ได๎แกํ
- สี เชํน แคแสด
- รปู รําง เชํน พลบั พลึงตีนเป็ด
- รูปทรง เชนํ ไผนํ า้ เต๎า
- ผิว เชนํ ส๎มเกลย้ี ง
- กล่นิ เชนํ เครอื ตดหมตู ดหมา (พงั โหม)
- รส เชํน ไผํจืด
- พฤติกรรม เชนํ บานเช๎า
1.2) เรยี นรกู๎ ารสอบถามชอื่ พื้นเมือง กรณที ่ไี มํทราบชอื่ พรรณไม๎ อาจสอบถามชอ่ื จากผรู๎ ๎ู
เชนํ ครู บคุ ลากรในสถานศึกษา ผ๎ูเชย่ี วชาญ ปราชญ์ชาวบา๎ น ดงั น้ี
59
1.2.1) เชญิ ผร๎ู ูใ๎ นทอ๎ งถ่ิน มารํวมสารวจพรรณไมใ๎ นสถานศึกษา
1.2.2) นาข๎อมูลไปสอบถามผร๎ู ๎ใู นท๎องถ่ิน เชํน ถํายภาพพรรณไม๎ ช้ินตัวอยาํ งพรรณไม๎
พร๎อมคาอธบิ ายลักษณะทางพฤกษศาสตร์
2) เรียนร๎ูแบบศกึ ษาพรรณไม๎ในสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น (ก.7-003 หนา๎ ปก)
2.1) เรยี นร๎ูชื่อพนั ธุไ์ ม๎ และรหัสพรรณไม๎
- ชือ่ พันธ์ุไม๎เขียนช่อื ท๎องถนิ่ หรอื ชือ่ พน้ื บา๎ น ของแตํละภูมิภาค
- รหสั พรรณไม๎ประกอบดว๎ ย ตวั เลข 5 ชดุ เชํน 7-10150-009-001/2
2.2) เรยี นรู๎การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ (ลักษณะวสิ ัย)
1. วัดความสงู และความกว๎างทรงพุํม ตามลักษณะวิสยั ของพรรณไมน๎ ัน้ เชนํ
ไม๎ต๎น
วดั ความสูงจากโคนต๎นจนถึงปลายยอด สวํ นความกว๎างทรงพุมํ ให๎วัดสวํ นทกี่ ว๎างท่ีสดุ ของทรงพํมุ
ภาพที่ 3.15 แสดงการวดั ความสูงและความกว๎างทรงพมุํ ของลักษณะวสิ ัย ไมต๎ ๎น เชนํ มะขาม
ไม๎พํุม
วัดความสูงจากโคนต๎นจนถึงปลายยอด สํวนความกว๎างทรงพุํม ให๎วัดสํวนที่กว๎างที่สุดของทรงพุํม
ในกรณไี ม๎พุํมท่ีปลกู เป็นแปลง เชํน เข็มแดง ชาฮกเกยี้ น ฯลฯ ให๎เลือกต๎นท่ีเห็นความกว๎างของทรงพุํมท่ีชัดเจน
ที่สดุ แลว๎ วดั ขนาดความกว๎างและความสูงของต๎นนน้ั
60
ภาพที่ 3.16 แสดงการวัดความสงู และความกวา๎ งทรงพํมุ ของลกั ษณะวิสยั ไมพ๎ ุํม เชํน เขม็ แดง
ไมเ๎ ล้อื ย
- กรณีท่ี 1 ไม๎เล้ือย เล้ือยไปตามสิ่งปลูกสร๎าง เชํน เสา รั้ว ฯลฯ ให๎วัดความสูงจากโคนต๎นจนถึงปลาย
ยอด สํวนความกว๎าง ให๎วดั สํวนทกี่ วา๎ งทส่ี ุดของทรงพํุม
ภาพที่ 3.17 ลักษณะวิสยั ไมเ๎ ล้อื ย เลื้อยไปตามเสา เชํน ชมนาด
- กรณที ี่ 2 ไม๎เล้อื ย เลื้อยไปตามพ้นื ดิน เชนํ ผักบุ๎งทะเล มนั แกว ฯลฯ
วัดความสูงจากโคนต๎นจนถึงปลายยอด สวํ นความกว๎างทรงพํมุ ให๎วัดสวํ นทีก่ วา๎ งทีส่ ดุ ของทรงพมํุ
61
ภาพท่ี 3.18 ลักษณะวิสัยไมเ๎ ลอื้ ย เลื้อยไปตามพ้ืนดิน เชํน ผกั บุง๎ ทะเล
2. นาความสูงและความกว๎างทรงพํุมท่ีวัดได๎ของลักษณะวิสัยนั้นๆ มาเทียบกับสัดสํวนของ
กรอบภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ ในหน๎าปก โดยมีมาตราสํวนกากับ (เทําจริง ยํอ ขยาย) เชํน มาตราสํวน
1 : 10 หมายถงึ มาตราสวํ นยอํ ของภาพวาดทม่ี ขี นาด 1 สวํ น เทยี บกับขนาดจริง 10 สํวน
3. วาดภาพความสูงของลาตน๎ กงิ่ ก๎าน และความกวา๎ งทรงพํมุ พรอ๎ มระบายสี
ภาพที่ 3.19 ใบงานและผลงาน เอกสาร ก.7-003 หนา๎ ปก
62
3) เรยี นรู๎ข๎อมูลพนื้ บ๎าน (ก.7-003 หนา๎ 1)
3.1) เรียนร๎ูวิธีการสอบถามข๎อมูลพรรณไม๎ โดยเรียนร๎ูวิธีการ การแนะนาตัวการสัมภาษณ์
การกลําวขอบคุณ
3.2) สอบถามชื่อพื้นเมืองและบันทึกข๎อมูลการใช๎ประโยชน์จากสํวนตําง ๆ ของพรรณไม๎ ด๎าน
อาหาร ยารักษาโรค กํอสร๎างเคร่ืองเรือน เคร่ืองใช๎ ยาฆําแมลง ยาปราบศัตรูพืช ความเก่ียวข๎องกับประเพณี
วัฒนธรรม หรือความเช่ือทางศาสนา อื่น ๆ (เชํน การเป็นพิษ อันตราย) การบันทึกชื่อ อายุ ท่ีอยํูผู๎ให๎ข๎อมูล
วนั ที่ สถานทบี่ นั ทึก
3.3) สรุปข๎อมูลพรรณไมท๎ ่ีไดจ๎ ากการสอบถาม หากผูร๎ ู๎ไมทํ ราบขอ๎ มลู ใหท๎ าเครอ่ื งหมาย
ยตั ภิ ังค์ “ - ”
ภาพที่ 3.20 ใบงานและผลงาน เอกสาร ก.7-003 หนา๎ ที่ 1 ในการศกึ ษาขอ๎ มลู พนื้ บา๎ นของพรรณไมใ๎ นโรงเรียน
ลาดบั การเรียนรู้ท่ี 5 ทาผังแสดงตาแหน่งพรรณไม้
วัตถุประสงค์
1) เพอ่ื รว๎ู ิธีการหาและบันทึกตาแหนํงพิกัดพรรณไม๎
2) เพอื่ รู๎ความกว๎างของทรงพมํุ และจดั ทาผังพรรณไม๎
กระบวนการเรยี นรู้
1) เรียนรว๎ู ิธีการหาและบนั ทกึ ตาแหนํงพกิ ดั พรรณไม๎
1.1) เรยี นรกู๎ ารกาหนดจดุ อ๎างองิ ในพืน้ ท่ีศกึ ษา หลกั การเลือกจุดอา๎ งอิง ในหนง่ึ พืน้ ที่ศึกษาควรมีหน่ึง
จดุ อ๎างองิ และเป็นจดุ อ๎างอิงท่เี คล่อื นยา๎ ยไดย๎ าก เชนํ เสาธง เสาไฟ ฯลฯ (ไมํควรเลือกต๎นไม๎เปน็ จดุ อา๎ งองิ )
63
1.2) เรียนร๎กู ารกาหนดเสน๎ อา๎ งองิ (Base line) ใหเ๎ ป็นไปตามทิศ เหนอื ใต๎ ตะวันออก ตะวันตก
1.3) เรียนรกู๎ ารกาหนดขอบเขตพืน้ ทศี่ กึ ษา
1.4) เรยี นรู๎วธิ กี ารหาตาแหนํงพรรณไม๎ ให๎เหมาะสมในแตํละระดับช้นั ของผเ๎ู รยี น
1.4.1) ระดบั ปฐมวยั เชํน วิธกี ารนบั กา๎ วใหร๎ ู๎จกั ทิศทางของตาแหนงํ พรรณไม๎
1.4.2) ระดับประถมศึกษา เชํน วิธีการใช๎เข็มทิศหาตาแหนํงพรรณไม๎ โดยการวัดระยะ มุม
องศา
1.4.3) ระดับมธั ยมศกึ ษา เชนํ วธิ ีการหาคูํอันดับ
1.4.4) ระดบั อาชีวศึกษา อดุ มศกึ ษา เชํน ระบบ GPS
1.5) การบันทึกข๎อมูลตาแหนํงพรรณไม๎ในรูปแบบตาราง และผังแสดงตาแหนํงพิกัดพรรณไม๎
ภาพที่ 3.21 ตวั อยาํ งตารางตาแหนงํ พิกัดพรรณไม๎
ภาพที่ 3.22 ตัวอยาํ งผงั พิกัด ตาแหนํงพรรณไม๎ โดยวธิ ีคอูํ ันดับ
64
2) เรยี นรกู๎ ารจดั ทาผงั พรรณไม๎
2.1) เรยี นร๎ูการจดั ทาผงั พรรณไมเ๎ ฉพาะพน้ื ที่
ผังพรรณไม๎เฉพาะพื้นที่ คือ ผังพรรณไม๎ยํอยของแตํละพื้นท่ีศึกษา ซึ่งระบุตาแหนํงพรรณไม๎แตํละต๎น
โดยมีทศิ เหนอื และมาตราสวํ นกากบั มีวิธกี าร ดงั นี้
2.1.1) นาตาแหนํงของพรรณไม๎ที่อยูํในพื้นท่ีศึกษา มาวัดขนาดความกว๎างของทรงพุํม วัดจาก
จุดกึ่งกลางจนถงึ ปลายสดุ ทรงพมํุ ท่ียื่นออกไปของตน๎ ไม๎ บันทกึ ลงในตารางการวัดความกว๎างทรงพํมุ พรรณไม๎
2.1.2) นาข๎อมูลจากตารางบันทึกท่ไี ดม๎ าเขียนเปน็ ผังพรรณไม๎เฉพาะพ้ืนที่ โดยแสดงมาตราสํวน
เดียวกนั กับผังแสดงตาแหนงํ พกิ ดั พรรณไม๎
ภาพที่ 3.23 ตวั อยาํ งการวัดความกว๎างทรงพมุํ มุมมองดา๎ นบน ทัง้ 4 ทิศ คือ ทิศเหนอื ทิศใต๎ทศิ ตะวนั ออก
และทิศตะวนั ตก
65
ภาพที่ 3.24 แสดงตัวอยํางการบนั ทึก ตารางแสดงคาํ ความกว๎างทรงพํมุ พรรณไม๎
ภาพท่ี 3.25 ตวั อยํางผงั พรรณไม๎
66
2.2) เรียนร๎ูการจดั ทาผังพรรณไมร๎ วม
เปน็ การนาผงั พรรณไม๎ยํอยแตํละเขตพื้นทีศ่ กึ ษาทุกพนื้ ท่ีที่มีมาตราสวํ นเทํากัน มาตํอรวมกนั
ภาพท่ี 3.26 ตัวอยาํ ง ผงั พรรณไม๎เฉพาะพ้ืนทศี่ กึ ษา
ภาพท่ี 3.27 ตวั อยาํ งผงั พรรณไม๎รวม
67
ลาดบั การเรียนรทู้ ่ี 6 ศกึ ษาและบันทึกลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (ก.7-003 หน้า 2-7)
วตั ถปุ ระสงค์
1) เพอ่ื ใหร๎ ู๎โครงสร๎างและลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
2) เพ่ือใหร๎ ู๎การวัด
3) เพอ่ื ให๎รก๎ู ารวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
กระบวนการเรียนรู้
1) เรียนรูโ๎ ครงสร๎างและลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (เอกสาร ก.7-003 หน๎าที่ 2-7)
1.1) ศกึ ษาลักษณะวิสัย และบันทึกลงในแบบศกึ ษาพรรณไม๎
1.2) ศกึ ษาสภาพแวดลอ๎ มและถ่ินอาศยั ของพรรณไม๎
1.3) ศึกษาลักษณะภายนอกของลาต๎น ใบ ดอก ผล และเมล็ด แล๎วบันทกึ ลงในแบบศึกษาพรรณไม๎
1.4) เรียนรู๎ลกั ษณะของลาตน๎ ได๎แกํ ชนดิ ของลาตน๎ เปลือกลาต๎น สี ลักษณะ การมียาง
1.5) เรียนร๎ูลกั ษณะของใบ ได๎แกํ ชนิดของใบ สี ขนาด ลักษณะพิเศษของใบ การเรียงตัวของใบบน
กงิ่ รูปราํ งแผนํ ใบ ปลายใบ โคนใบ ขอบใบ
1.6) เรียนร๎ูลักษณะของดอก ได๎แกํ ชนิดของชํอดอก ตาแหนํงที่ออกดอก กลีบเลี้ยง
(แยกออกจากกัน/เชื่อมติดกัน) จานวน สี กลีบดอก (แยกออกจากกัน/เช่ือมติดกัน) จานวน สี
เกสรเพศผู๎ (จานวน สี ลักษณะ) เกสรเพศเมีย (จานวน สี ลักษณะ) ตาแหนํงของรังไขํ กล่ินของ
กลีบดอก
1.7) เรียนรู๎ลักษณะของผล ได๎แกํ ชนิดของผล (ผลเด่ียว ผลกลํุม ผลรวม) สี รูปรําง ลักษณะพิเศษ
ของผล
1.8) เรียนร๎ลู ักษณะของเมลด็ ไดแ๎ กํ จานวนเมล็ด สี รูปรําง
68
ภาพท่ี 3.28 ใบงานและผลงาน การศึกษาข๎อมลู พรรณไม๎ เอกสาร ก.7-003 หน๎าที่ 2
ภาพท่ี 3.29 ใบงานและผลงาน การศึกษาขอ๎ มลู พรรณไม๎ เอกสาร ก.7-003 หนา๎ ที่ 3
69
ภาพที่ 3.30 ใบงานและผลงาน การศึกษาขอ๎ มูลพรรณไม๎ เอกสาร ก.7-003 หนา๎ ที่ 4
ภาพที่ 3.31 ใบงานและผลงาน การศึกษาขอ๎ มูลพรรณไม๎ เอกสาร ก.7-003 หนา๎ ที่ 5
70
ภาพท่ี 3.32 ใบงานและผลงาน การศึกษาข๎อมลู พรรณไม๎ เอกสาร ก.7-003 หน๎าที่ 6
ภาพท่ี 3.33 ใบงานและผลงาน การศึกษาขอ๎ มลู พรรณไม๎ เอกสาร ก.7-003 หนา๎ ที่ 7
71
2) เรียนรู๎การวดั
เรียนรูว๎ ธิ กี ารวัดความสูง และความกวา๎ งทรงพุํม
2.1) การเรยี นรูก๎ ารวัดความสูง เชนํ สามเหล่ยี มคลา๎ ย ตรีโกณมิติ ไคลโนมเิ ตอร์
ภาพท่ี 3.34 ตัวอยาํ ง การหาความสูงแบบสามเหลย่ี มคล๎าย
2.2) เรยี นรว๎ู ธิ ีการหาความกวา๎ งทรงพุํม
วดั ขนาดความกว๎างของทรงพุมํ ตามแนวทิศ เหนือ-ใต๎ ตะวนั ออก-ตะวนั ตก
ภาพท่ี 3.35 การวัดความกว๎างของทรงพมํุ ตามแนวทิศ เหนอื -ใต๎ หรอื ตะวันออก-ตะวนั ตก
72
3) เรยี นรู๎การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
3.1) เรียนรู๎หลักการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ โดยให๎มีรูปแบบมาตราสํวนกากับเชํนเดียวกันกับ
ภาพวาดลกั ษณะวสิ ัยในหน๎าปก (ขนาดเทําจรงิ ยํอ ขยาย)
3.2) เรียนรู๎ลาดบั การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ ในเอกสาร ก.7-003 หนา๎ ที่ 7
1. ภาพลาต๎น ตาแหนงํ กรอบสีเ่ หลยี่ มดา๎ นบนซา๎ ย แสดงผวิ ของลาต๎น
2. ภาพใบ ตาแหนํงกรอบส่ีเหลี่ยมด๎านบนขวา แสดงชนดิ ของใบ
3. ภาพดอก ตาแหนํงกรอบส่ีเหล่ยี มดา๎ นลํางซ๎าย แสดงชนดิ ของดอก
4. ภาพผล ตาแหนํงกรอบสเี่ หลยี่ มดา๎ นกลางขวา แสดงชนดิ ของผล
5. ภาพเมล็ด ตาแหนํงกรอบสเ่ี หลี่ยมด๎านลํางขวา แสดงลักษณะของเมล็ด
1. ลาตน้ 2. ใบ
4. ผล
3. ดอก
5. เมล็ด
ภาพที่ 3.36 ลาดับการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์สํวนตาํ งๆของพรรณไม๎ในใบงานเอกสาร ก.7-003 หนา๎ ท่ี 7
73
ภาพท่ี 3.37 ภาพตวั อยาํ ง ลาดับการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์แตํละสวํ นประกอบของพรรณไม๎ โดยมีมาตรา
สวํ นกากับ ในเอกสาร ก.7-003 หน๎าที่ 7
ลาดับการเรียนร้ทู ่ี 7 บนั ทึกภาพหรอื วาดภาพทางพฤกษศาสตร์
วตั ถุประสงค์
1) เพ่ือรู๎การบันทึกภาพทางพฤกษศาสตร์
2) เพือ่ รู๎การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
กระบวนการเรียนรู้
1) เรยี นร๎ูการบันทึกภาพทางพฤกษศาสตร์ ของพรรณไมท๎ ี่ไดท๎ าการสารวจและศกึ ษาพรรณไม๎ตาม
เอกสาร ก.7-003 มาแลว๎
1.1) เรยี นร๎ูการใชก๎ ลอ๎ งถาํ ยภาพ (ดรู ายละเอียดเพิม่ เติมในภาคผนวก)
1.2) เรยี นร๎ูหลกั การถํายภาพพรรณไม๎
1.2.1) ภาพถํายครบสํวน ลกั ษณะวสิ ยั โดยถาํ ยต้งั แตโํ คนตน๎ ถึงปลายยอดของพรรณไม๎
74
ภาพท่ี 3.38 ตัวอยาํ งภาพถาํ ยพรรณไม๎ครบทุกสํวน ลักษณะวสิ ยั ไม๎ตน๎
1.2.2) ภาพถาํ ยเฉพาะสํวนในแตํละสวํ นของตน๎ เดยี วกัน ประกอบดว๎ ย
- ราก (บางชนิด) ถํายใหเ๎ หน็ ชนิดของราก และรปู ลักษณะของราก
- ลาต๎น ถาํ ยใหเห็นผิวเปลือก หรือเนื้อไม หรือ น้ายาง
- ใบ ถํายใหเห็นชนิดของใบ (ใบเดี่ยว/ใบประกอบ) การเรียงตัวของใบบนกง่ิ และรปู ราํ งของใบ
- ดอก ถาํ ยให๎เห็นชนิดของดอก (ดอกเด่ียว/ดอกชอํ ) ดานหนาและดานขางของดอกตูมและดอกบาน
- ผล ถํายให๎เห็นชนิดของผล (ผลสด/ผลแหง๎ – ผลเด่ียว/ผลกลมุ /ผลรวม) รูปรางและผิวผล
- เมลด็ ถาํ ยให๎เหน็ รูปราง ผิว และการตดิ ของเมล็ด
75
ภาพท่ี 3.39 ตัวอยาํ งภาพถาํ ยพรรณไม๎แตลํ ะสวํ นประกอบ ลาต๎น ใบ ดอก ผล และเมลด็
1.3) หลักการจดั เกบ็ และสืบคน๎ ภาพถํายพรรณไม๎
1.3.1) แบบเอกสาร
1.3.2) แบบคอมพิวเตอร์
1. จดั เกบ็ ภาพแตํละชนิดโฟลเดอร์ ประกอบด๎วย ภาพลักษณะวิสยั ราก (บางชนิด) ลาต๎น ใบ ดอก ผล
และเมล็ด โดย ตง้ั ช่ือข้ึนตน๎ ด๎วยรหสั ประจาต๎นและตามด๎วยชือ่ พ้ืนเมือง เชํน 001-มะขาม
76
ภาพที่ 3.40 วธิ ีการจดั เกบ็ ภาพถํายพรรณไม๎ลงในโฟลเดอร์
2. การถํายภาพให๎บันทึกเป็นไฟล์นามสกุล .jpg , .JPEG ท่ีขนาด 640 x 480 พิกเซล หรือ 1,280 x
960 พกิ เซล เปน็ วธิ ีการท่ีเหมาะสมและสะดวกตํอการสืบค๎น ตัวอยํางเชํน การเก็บไว๎ในลักษณะไฟล์สืบค๎นใน
ระบบคอมพิวเตอร์
ภาพท่ี 3.41 วิธีการจัดเก็บและสืบคน๎ ขอ๎ มลู ภาพถํายดว๎ ยระบบคอมพวิ เตอร์
77
2) เรยี นรู๎การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
2.1) หลักการวาดภาพพรรณไม๎ วาดภาพทางพฤกษศาสตร์ คือ งานศิลปะที่มีการจาเพาะลงไป
เฉพาะพืช โดยนาศาสตรส์ าขาดา๎ นวทิ ยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์มารวมกนั เรียกวาํ วทิ ย์สานศิลป์
สัดสวํ น ถูกตอ๎ งตามหลกั วทิ ยาศาสตร์
สังเกต สงั เกตรายละเอยี ดอยํางถถ่ี ๎วน และแมนํ ยา
สวยงาม ผลงานสวยงามอยํางมคี ุณคาํ ทางศลิ ปะ
2.2) เรยี นร๎ูรปู แบบการกาหนด สดั สวํ น เทาํ จรงิ ยํอ ขยาย
1. แบบมาตราสวํ น เชนํ 1 : 1
2. แบบกาลังขยาย/ยอํ เชนํ x 3
3. แบบเสน๎ ขดี ระยะ เชํน 1 เซนตเิ มตร
2.3) เรียนรู๎เร่ืองทฤษฎีทางศิลปะ องค์ประกอบศิลป์ เส๎น รูปรําง ผิวสัมผัส การกลมกลืน
(harmony) ทฤษฎีสี แสง – เงา
2.3.1) “ทฤษฏีศิลปะ” หมายถึง ศาสตร์ท่ีวําด๎วยความรู๎สึกอันมีความงามเป็นพื้นฐาน การ
แสดงออกอนั ไมํมีจานวนเป็นเขตสุด นับตั้งแตํส่ิงที่งํายที่สุด เชํน ถ๎วยแก๎ว เป็นต๎น ไปจนถึงสิ่งท่ียากท่ีสุด เชํน
ภาพเขยี น ดนตรี วรรณคดี เป็นต๎น
2.3.2) “องค์ประกอบศิลป์” หมายถึงการนาส่ิงตําง ๆ มาบูรณาการเข๎าด๎วยกัน ตามสัดสํวน
ตรงตามคณุ สมบัติของส่ิงนนั้ ๆ เพอื่ ให๎เกดิ ผลงานท่มี คี วามเหมาะสม
สวํ นประกอบขององคป์ ระกอบศลิ ป์
1. จุด คือสํวนประกอบที่เล็กท่ีสุด เริ่มต๎นไปสํูสํวนอ่ืน ๆ เชํน การนาจุดมาเรียงตํอกันตามตาแหนํงที่
เหมาะสม และซา้ ๆ กนั จะทาใหส๎ ามารถมองเห็นเปน็ เสน๎ รูปรําง รปู ทรง ลกั ษณะผิว เปน็ ตน๎
2. เสน๎ คอื จุดท่ีเรยี งตํอกันในทางยาว หรือเกิดจากการลากเส๎นไปยังทิศทางตําง ๆ มีหลายลักษณะเชํน
ต้งั นอน เฉียง โค๎ง ฯลฯ
3. รปู รําง คือพื้นที่ทล่ี อ๎ มรอบด๎วยเสน๎ ท่ีแสดงความกว๎าง และความยาว รูปรํางจึงมีสองมิติ
4. รูปทรง คือภาพท่ีตํอเน่ืองจากรูปรําง โดยมีความหนาหรือความลึก ทาให๎ภาพที่เห็นมีความชัดเจน
และสมบรู ณ์ รูปทรงจงึ มีสามมติ ิ
5. แสงเงา คือองคป์ ระกอบของศิลปท์ อี่ ยํูรวมกัน แสง เมื่อสอํ งกระทบ กบั วัตถุ จะทาใหเ๎ กิดเงา แสงและ
เงา เปน็ ตวั กาหนดระดบั ของคําน้าหนัก ความเข๎มของเงาจะข้ึนอยํูกับความเข๎มของแสง ในที่แสงมีความสวําง
มาก เงาจะเข๎มขึ้นและในทม่ี คี วามสวํางของแสงนอ๎ ย เงาจะไมชํ ดั เจน ในท่ี ๆ แสงสวาํ งจะไมํมีเงา และเงาจะอยูํ
ในทิศทางท่ีตรงข๎ามกบั แสงเสมอ
6. สี คือลักษณะของแสงท่ีปรากฏแกํสายตาเห็นเป็นสี ในทางวิทยาศาสตร์ให๎คาจากัดความของสีวํา
เป็นคลื่นแสงหรือความเข๎มของแสงที่สายตามามารถมองเห็น ในทางศิลปะ สี คือ ทัศนะธาตุอยํางหน่ึงท่ีเป็น
องค์ประกอบสาคัญของงานศิลปะ และใช๎ในการสร๎างงานศิลปะโดยจะทาให๎ผลงานมีความสวยงามชํวยสร๎าง
บรรยากาศ มีความสมจริง เดํนชัดและนําสนใจมากขึ้น สีเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลตํอความร๎ูสึก อารมณ์
และจติ ใจ ไดม๎ ากกวําองคป์ ระกอบอื่น ๆ
78
7. พื้นผิว คือ สํวนท่ีเป็นพื้นผิวของวัตถุท่ีมีลักษณะตํางกัน เชํน เรียบ ขรุขระ หยาบ มัน นุํม ฯลฯ ซ่ึง
สามารถมองเหน็ และสมั ผัสได๎ การนาพื้นผิวมาใช๎ในงานศิลปะ จะชํวยให๎เกิดความเดํนในสํวนที่สาคัญ และทา
ใหเ๎ กดิ ความงามสมบรู ณ์
2.4) เรียนรูป๎ ระเภทการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ เชนํ วาดแบบลายเส๎น วาดแบบลงสี หรือ ภาพวาด
ระบายสี ต๎องระบมุ าตราสํวน กาลงั ขยาย หรือ เส๎นขีดระยะ (Scale) กากับอยํใู นภาพวาดนน้ั ๆ
2.5) เรียนร๎ขู ัน้ ตอนการวาดภาพ
เรียนรถ๎ู ึงลกั ษณะเดํนๆ ของพืชในแตํละกลํุม รวมถึงลักษณะท่ีสาคัญทางพฤกษศาสตร์ตําง ๆ เชํน ราก
ลาต๎น เปลอื ก ชนิดของใบ ใบประดบั ดอก ชอํ ดอก ผล ชํอผล ตลอดจนเมล็ด เพื่อเลือกเทคนิคที่จะใช๎วาดภาพ
ใหเ๎ หมาะสม ตามหลกั วิทยาศาสตร์ซ่งึ มีรายละเอียดและขนั้ ตอนโดยสังเขป คอื
1. เตรียมการวาดภาพลายเส๎นขาวดา หรือภาพสีข้ึนอยํูกับวัตถุประสงค์ของการนาไปใช๎ รวมถึงการ
กาหนดขนาดภาพ พรอ๎ มมาตราสํวนที่จะใชใ๎ หถ๎ ูกต๎อง พรรณไมท๎ ่ีวาดอาจเปน็ ตวั อยาํ งพรรณไม๎อัดแห๎ง ตัวอยําง
สด หรอื ภาพถาํ ยสี
2. ศึกษาข๎อมูลตัวอยํางพรรณไม๎ เพ่ือแสดงรายละเอียดสํวนสาคัญของพรรณไม๎ได๎ครบถ๎วน พร๎อมช่ือ
พฤกษศาสตรท์ ถ่ี ูกต๎อง
3. รํางภาพในมาตราสํวนที่ถูกต๎อง ด๎วยการวัดขนาด แล๎ววางตาแหนํงของภาพท้ังภาพหลักและภาพ
ยอํ ยประกอบหรอื สวํ นขยาย (ถา๎ มี) ตามวสิ ัยของพรรณไม๎ในธรรมชาติ
4. เพิม่ เตมิ รายละเอยี ดลกั ษณะพรรณไม๎ สี และแสงเงา
5. ตรวจสอบความถูกต๎องของภาพวาดขนั้ สดุ ทา๎ ย วันทว่ี าดเสรจ็ สมบูรณ์ และลายมอื ชอ่ื ของผ๎ูวาด
79 2 22
ขนั้ ตอนการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
/
1 11
4
34
5
ภาพที่ 3.42 ขัน้ ตอนการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์
80
ภาพที่ 3.43 การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ สํวนประกอบตาํ ง ๆ ของพรรณไม๎โดยการกาหนดสดั สํวน
ในรปู แบบมาตราสํวน
ภาพที่ 3.44 การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ สวํ นประกอบตาํ ง ๆ ของพรรณไม๎โดยการกาหนดสดั สํวน
ในรปู แบบเส๎นขีดระยะ
81
3) หลกั การจดั เกบ็ และสืบคน๎ ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์
3.1) แบบเอกสาร โดยการนาภาพวาดทางพฤกษศาสตรม์ าเกบ็ เป็นแฟม้ เอกสาร
3.2) แบบคอมพิวเตอร์ โดยจัดเก็บภาพวาดแตํละชนิดในโฟลเดอร์ ต้ังช่ือโฟลเดอร์ข้ึนต๎นด๎วย
รหสั ประจาต๎นและตามดว๎ ยชอื่ พืน้ เมือง
ภาพที่ 3.45 การจัดเกบ็ ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ในรปู แบบภาพถํายในระบบคอมพวิ เตอร์
ลาดบั การเรยี นร้ทู ่ี 8 ทาตวั อยา่ งพรรณไม้ (แหง้ ดอง และเฉพาะสว่ น)
วัตถุประสงค์
1) เพื่อร๎กู ารทาตัวอยํางพรรณไมแ๎ ห๎ง
2) เพอื่ รกู๎ ารทาตัวอยํางพรรณไม๎ดอง
3) เพ่อื รู๎การทาตัวอยาํ งพรรณไมเ๎ ฉพาะสํวน
กระบวนการเรยี นรู้
1) เรยี นร๎กู ารทาตัวอยาํ งพรรณไม๎แหง๎
1.1) เรยี นร๎หู ลกั การทาตัวอยํางพรรณไมแ๎ ห๎ง
1.1.1) สามารถทาไดท๎ กุ สวํ นของพืช เชํน ราก ลาตน๎ ใบ ดอก และผล
1.1.2) ตวั อยาํ งมคี วามสมบูรณ์ เลือกเก็บต๎นหรือกิ่งที่มีลักษณะปกติ ไมํเห่ียว แมลงกัด ไฟไหม๎
หรอื เปน็ โรค (ขน้ึ อยํูกบั ระยะเวลาการตดิ ผลและดอกของพืชแตลํ ะชนิด)
1.1.3) ทาตัวอยาํ งซา้ ที่เหมอื นกัน คอื ตัวอยาํ งสาหรบั พชื แตลํ ะชนดิ จะตอ๎ งมีต้งั แตํ 2 ชน้ิ ขน้ึ ไป
1.2) เรยี นร๎ูวสั ดอุ ุปกรณใ์ นการทาตวั อยาํ งพรรณไม๎แห๎ง
1.2.1) ช้นิ ตัวอยาํ ง ยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร ประกอบไปดว๎ ย ก่ิง ใบดอก หรือกงิ่ ใบ ผล
82
1.2.2) แผงอัดพันธ์ุไม๎ กว๎าง 30 เซนติเมตร ยาว 45 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นตาราง
ส่ีเหลยี่ มผนื ผ๎า 2 แผงประกบกนั
1.2.3) เชือกไส๎ตะเกียงแบบแบนสาหรับผูกแผงอัดพันธ์ุไม๎ กว๎าง 2.5 เซนติเมตร ยาว 150
เซนตเิ มตร จานวน 2 เสน๎ ตํอแผง
1.2.4) กระดาษลกู ฟกู (หรอื เทยี บเทํา) กวา๎ ง 30 เซนติเมตร ยาว 45 เซนติเมตร
1.2.5) กระดาษหนงั สือพมิ พ์ กว๎าง 30 เซนติเมตร ยาว 45 เซนตเิ มตร
1.2.6) ปา้ ยแสดงขอ๎ มูลพรรณไม๎ กว๎าง 10 เซนติเมตร ยาว 15 เซนตเิ มตร
1.2.7) ป้ายข๎อมลู (tag) สาหรับผูกพันธไุ์ ม๎ กว๎าง 3 เซนตเิ มตร ยาว 5 เซนติเมตร ปลายข๎างหนึ่ง
เจาะรูสาหรับร๎อยด๎าย (ด๎ายยาว 20 เซนติเมตร ทาเป็น 2 ทบ)
1.2.8) เข็มเบอร์ 8 และด๎าย
1.2.9) กระดาษสีขาว 300 แกรมสาหรับเยบ็ ตัวอยํางพรรณไมแ๎ หง๎ กว๎าง 30 เซนตเิ มตร ยาว 42
เซนตเิ มตร
1.2.10 ปกตัวอยํางพรรณไม๎แห๎ง ใช๎กระดาษสีขาว 300 แกรม พับครึ่งให๎ได๎ขนาดกว๎าง 35
เซนตเิ มตร ยาว 45 เซนติเมตร
ช้นิ ตัวอย่างพันธไ์ุ ม้
ภาพที่ 3.46 การเตรยี มวัสดุและอปุ กรณ์การทาตัวอยํางพรรณไม๎แห๎ง
83
1.3) เรียนร๎ขู นั้ ตอนการทาตัวอยาํ งพรรณไม๎แหง๎
1.3.1) คดั เลือกสํวนของพืชในการทาตัวอยํางพรรณไม๎แห๎ง ประกอบด๎วย กิ่ง ใบ ดอก หรือก่ิง
ใบ ผล ตัดช้ินตัวอยาํ งพันธไ์ุ มย๎ าว 30 เซนตเิ มตร โดยพนั ธไุ์ ม๎หนึ่งชนดิ ให๎เก็บอยํางน๎อย 2 ตวั อยาํ ง
1.3.2) ผูกปา้ ยข๎อมูลท่ชี นิ้ ตวั อยาํ งพนั ธ์ุไม๎ในตาแหนงํ กงิ่ ทแี่ ข็งแรงท่สี ดุ เพื่อป้องกันการสญู หาย
ภาพที่ 3.47 ขั้นตอนการทาตวั อยาํ งพรรณไม๎แหง๎
84
1.3.3) เตรียมอปุ กรณ์สาหรับอัดพรรณไม๎โดยวางแผงอัดพันธุ์ไม๎ 1 แผง กระดาษลกู ฟกู 1 แผนํ
และกระดาษหนงั สอื พิมพ์ 1 คูํ ตามลาดบั
ภาพท่ี 3.48 การตากหรอื อบตัวอยาํ งพรรณไม๎แหง๎
1.3.4) จัดชิ้นตัวอยํางพันธุ์ไม๎บนกระดาษหนังสือพิมพ์ให๎เห็นลักษณะของหน๎าใบ หลังใบ ดอก
และผลชัดเจน แล๎วจึงปิดด๎วยกระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษลูกฟูก 1 แผํน และแผงอัดพันธุ์ไม๎ 1 แผง
ตามลาดับ แล๎วจึงผูกเชือกรัดแผงอัดพันธุ์ไม๎ให๎แนํน (แผงอัดพันธุ์ไม๎ 1 แผง สามารถอัดพรรณไม๎ได๎ 1 – 10
ตวั อยําง ขึ้นอยูํกบั ขนาดและชนิดของพรรณไม๎)
1.3.5) อบตวั อยาํ งพรรณไม๎ การอบพรรณไม๎หรอื ตากตัวอยํางพรรณไมส๎ ามารถตากไว๎ในบริเวณ
พื้นที่ที่มีแสงแดดสํองถึง หากในฤดูฝนหรอื ฤดหู นาวสามารถใชว๎ ิธีการอบไว๎ในตูอ๎ บพรรณไม๎ได๎
1.3.6) เย็บตัวอยํางพรรณไม๎แห๎ง นาตัวช้ินตัวอยํางพันธ์ุไม๎ที่แห๎งสนิท วางบนกระดาษสาหรับ
เยบ็ ตวั อยาํ งพรรณไม๎แหง๎ เยบ็ ยดึ ด๎วยเขม็ และด๎ายบริเวณกิ่ง และเส๎นกลางใบให๎ช้ินตัวอยํางพันธุ์ไม๎ติดแนํนกับ
กระดาษ โดยเวน๎ ระยะแตํละปมประมาณ 1 นวิ้ หรอื ตามความเหมาะสมโดยไมมํ ีการตดั ดา๎ ยระหวาํ งการเยบ็
1.3.7) ตดิ ปา้ ยแสดงขอ๎ มลู พรรณไม๎ ตรงมุมลํางด๎านซ๎ายของตัวอยํางพรรณไม๎แห๎งที่ทาการเย็บ
เสร็จแลว๎ โดยทากาวเพยี ง 1 เซนติเมตรทางดา๎ นซ๎าย เพื่อให๎สามารถเปดิ ปิดปา้ ยรายละเอยี ดขอ๎ มลู พรรณไม๎ได๎
ภาพที่ 3.49 อปุ กรณ์สาหรับใช๎ในการเย็บตัวอยาํ งพรรณไมแ๎ หง๎
85
ตัวอยา่ งที่ ด้านหลัง ตวั อย่างท่ี
1 2
ภาพท่ี 3.50 วธิ ีการเย็บตวั อยาํ งพรรณไมด๎ ๎านหนา๎ และดา๎ นหลงั ทม่ี กี ารมดั ปมทกุ ครั้ง เมื่อเย็บในจดุ ถัดไปเพอ่ื
ความแขง็ แรงของการยดึ ติดกบั กระดาษ และติดป้ายขอ๎ มลู พรรณไม๎ด๎านมุมซ๎ายด๎านลาํ ง
ของกระดาษ
86
1.3.5) เรยี นรรู๎ ะบบการจดั เกบ็ และสบื คน๎ เชํน แฟ้มทะเบียนตัวอยําง ชน้ิ ตวั อยาํ ง วางบนชั้นวาง
หรอื ต๎ู
ภาพที่ 3.51 ตวั อยาํ งระบบการจัดเกบ็ ตัวอยํางพรรณไม๎แห๎ง
2) ศกึ ษาการทาตวั อยาํ งพรรณไม๎ดอง
2.1) เรยี นรห๎ู ลกั การทาตวั อยํางพรรณไม๎ดอง
เก็บได๎ทกุ สํวนเชํน สวํ นดอกและผลของพชื ทต่ี อ๎ งการเกบ็ รกั ษาเป็นพเิ ศษ หรอื ขนาดใหญํ และมีลักษณะ
อวบน้าหรอื ฉ่าน้า เชํน ผลมะมํวง ผลมะยม ผลมะปริง ผลมะปราง ดอกขิง ดอกขํา เป็นต๎น
ภาพท่ี 3.52 พรรณไมช๎ นดิ ตาํ ง ๆ สาหรบั ทาตัวอยํางพรรณไม๎ดอง
87
2.2) เรยี นร๎วู ัสดอุ ปุ กรณ์ในการทาตวั อยาํ งพรรณไม๎ดอง
2.2.1) มีดผาํ ตัวอยําง
2.2.2) ขวดแก๎วสุญญากาศ (Vacuum bottle) แบบใส มีฝาปิดมิดชิดไมทํ าให๎เอทานอล
ระเหยงาํ ย
2.2.3) เอทานอล / เอทิลแอลกอฮอล์ Ethyl alcohol) ความเข๎มข๎นรอ๎ ยละ 70
2.2.4) ปา้ ยข๎อมลู พรรณไม๎ ขนาดกวา๎ ง 10 เซนติเมตร ยาว 15 เซนตเิ มตร
ภาพท่ี 3.53 ตัวอยาํ งอปุ กรณ์สาหรบั ทาตัวอยาํ งพรรณไม๎ดอง
88
2.3) เรียนรู๎ข้ันตอนการทาตัวอยํางพรรณไมด๎ อง
2.3.1) คัดเลอื กสวํ นของพืชในการทาตัวอยํางพรรณไม๎ดอง ประกอบด๎วย ผล หรือ ดอก ที่อวบ
น้า โดยพรรณไม๎แตํละชนิดให๎เกบ็ 1 ตัวอยําง
2.3.2) ตัดตามขวาง ตัดตามยาว สํวนของผล ตัวอยํางพรรณไม๎ท่ีมีลักษณะอวบน้า ใสํในขวด
หรือโหล ดองในเอทิลแอลกอฮอล์ความเข๎มข๎นร๎อยละ 70 ช้ินสํวนท่ีนามาดอง แสดงการดองทั้งผล และผํา
ตามยาว ตามขวางให๎เห็นลักษณะภายในผล และติดป้ายข๎อมูลที่ขวดตัวอยํางหรืออาจใช๎กระดาษแบบกันน้า
แลว๎ เขยี นบนั ทึกขอ๎ มูลพรรณไมล๎ งในขวดโหลตวั อยํางได๎
2.3.3) ดองสวํ นของพืช
2.3.4) บันทึกข๎อมูลและติดป้ายข๎อมูลพรรณไม๎ดอง สาหรับตัวอยํางพรรณไม๎ดอง แผํนป้าย
ข๎อมูลจะติดบนภาชนะที่บรรจุตัวอยําง ขนาดของแผํนป้ายสาหรับตัวอยํางดองน้ันใหญํหรือเล็กแล๎วแตํความ
เหมาะสม โดยควรเหมาะสมกบั ขนาดของภาชนะท่ีบรรจุตวั อยาํ ง และควรติดอยใูํ นบรเิ วณที่เหมาะสม ไมํบดบัง
ตัวอยาํ งทอี่ ยูภํ ายใน
ภาพท่ี 3.54 ตวั อยํางการติดป้ายขอ๎ มูลพรรณไม๎ ตามแบบ อพ.สธ.
89
ภาพที่ 3.55 ตัวอยาํ งพรรณไม๎ดองของผลมะเฟอื ง แบบตดั ตามยาว แบบตดั ตามขวาง และท้ังผล
ภายในขวดเดยี วกัน
หมายเหตุ ตัวอยํางพรรณไม๎ดองบางชนิดเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งจะต๎องมีการเปล่ียนถํายเอทานอลเกํา
ออก และใสํ เอทานอลใหมํลงไปแทน เพื่อให๎รักษาสภาพตัวอยํางได๎นานขึ้น โดยเฉพาะตัวอยํางท่ีมีสีละลาย
ออกมาในเอทานอลมากจนกลายเป็นสีคล้าเข๎มทาให๎มองไมํเห็นชิ้นตัวอยํางท่ีบรรจุอยํูภายในภาชนะ ควร
จะต๎องทาการเปล่ยี นบํอยข้ึน
2.4) เรียนรรู๎ ะบบการจัดเกบ็ และสบื คน๎
สามารถจัดเก็บไว๎ในต๎ูหรือชั้นวางเรียงกัน ไว๎ในห๎องเก็บตัวอยําง ท่ีมีแสงผํานเข๎าเล็กน๎อย หรือจัดเป็น
หมวดหมํู ยกตัวอยาํ งเชนํ พรรณไมท๎ ่อี ยํใู นสกุลเดียวกันและวงศ์เดียวกันจัดสามารถจัดรวมกัน และเรียงลาดับ
รหสั ตดิ ไว๎ท่ีตูเ๎ ก็บตวั อยําง ซึ่งงาํ ยตอํ การสืบค๎น
90
ภาพที่ 3.56 วธิ ีการและรปู แบบการจัดเกบ็ ตัวอยํางพรรณไมด๎ องในระบบคอมพิวเตอรส์ ามารถสืบค๎นได๎
ภาพท่ี 3.57 แสดงตัวอยํางวธิ กี ารและรูปแบบการจัดเก็บตัวอยาํ งพรรณไม๎ดอง
91
3) เรยี นรู๎การทาตัวอยาํ งพรรณไม๎เฉพาะสวํ น
3.1) เรยี นร๎หู ลักการทาตัวอยํางพรรณไม๎เฉพาะสวํ น
สาหรับพืชบางชนิดซ่ึงมีผลท่ีมีลักษณะเป็นผลแห๎ง (ไมํมีเน้ือฉ่าน้า) น้ัน นอกจากจะเก็บก่ิงท่ีมีใบ และ
ดอก มาอัดเป็นตัวอยํางพรรณไม๎แห๎งแล๎ว ยังสามารถเก็บตัวอยํางเฉพาะสํวนของผล
(ซ่ึงไมํสามารถอัดให๎แบนติดบนกระดาษได๎) หรือตัวอยํางมักใช๎กับสํวนของพืชท่ีต๎องการเก็บรักษา
เป็นพิเศษ หรือ ขนาดใหญํมาก มาทาเป็นตัวอยํางพรรณไม๎แห๎งเฉพาะสํวนได๎ด๎วย เชํน ฝักสะบ๎า
ผลตะแบก อินทนิล สะแก ยางนา มะพร๎าวฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจเก็บสํวนของเมล็ดได๎ด๎วย เชํน
เมล็ดมะกล่าตาหนู เมลด็ ถวั่ ตาํ ง ๆ ฯลฯ โดยตัวอยํางแหง๎ เฉพาะสํวนนี้ไมํต๎องอัดในแผงอัดพรรณไม๎ แตํอบหรือ
ตากแดดให๎แห๎ง แล๎วเก็บรักษาไว๎ในภาชนะใสแบบตําง ๆ ในกรณีที่มีขนาดใหญํมาก เชํน
ฝกั สะบ๎า อาจจัดแสดงไว๎ในหอ๎ งโดยไมํต๎องใสํภาชนะ
3.2) เรียนรว๎ู ัสดอุ ปุ กรณใ์ นการทาตัวอยาํ งพรรณไมเ๎ ฉพาะสวํ น
ภาพท่ี 3.58 ตัวอยาํ งจานหรอื กลอํ งเกบ็ ตวั อยําง (ขน้ึ อยูกํ ับขนาดของตัวอยาํ ง และปา้ ยข๎อมูลพรรณไม๎)
3.3) เรียนรขู๎ น้ั ตอนการทาตวั อยํางพรรณไมเ๎ ฉพาะสวํ น
3.3.1) คดั เลอื กสวํ นของพชื ในการทาตวั อยํางพรรณไมเ๎ ฉพาะสํวน ประกอบด๎วย ผล เมล็ด หรือ
ดอกทแ่ี ห๎งโดยธรรมชาติ โดยเกบ็ ชนดิ พรรณไม๎ละ 1 ตัวอยาํ ง
3.3.2) ทาตัวอยํางพรรณไม๎เฉพาะ โดยเก็บตัวอยํางพรรณไม๎ท่ีมีลักษณะแห๎ง เชํน เก็บเป็นผล
แหง๎ ฝกั เมล็ด ใสกํ ลอํ งหรือขวด ปิดฝาให๎มิดชิดป้องกันแมลง หากพรรณไม๎มีขนาดใหญํไมํสามารถใสํกลํองได๎
ใหว๎ าง หรอื แขวนบนชนั้ แลว๎ ติดป้ายข๎อมลู พรรณไม๎
3.3.3) บันทึกข๎อมูลและติดป้ายข๎อมูลพรรณไม๎เฉพาะสํวน แผํนป้ายข๎อมูลจะติดบนภาชนะใน
กรณีท่ีสามารถบรรจุในภาชนะได๎โดยใหม๎ ีขนาดและบริเวณท่ีตดิ แผํนป้ายตามความเหมาะสม แตํถ๎าชิ้นตัวอยําง
มีขนาดใหญํมาก และไมํได๎บรรจุในภาชนะ ก็ควรมีแผํนป้ายข๎อมูลติด (อาจใช๎วิธีห๎อยหรือแขวน) ไว๎ท่ีชิ้น
ตัวอยาํ ง หรือทาเปน็ ปา้ ยตง้ั แสดงใกล๎ ๆ กับชิน้ ตัวอยําง
3.4) เรียนร๎ูระบบการจดั เกบ็ และสบื คน๎
ให๎จัดแสดงไว๎ในตู๎หรือช้ัน หรืออาจวางเรียงไว๎ท่ีมมุ ตาํ ง ๆ ในหอ๎ งพพิ ิธภณั ฑ์ให๎สวยงาม หลักสาคัญท่ีต๎อง
คานงึ ถงึ คอื ตอ๎ งเรียงเป็นหมวดหมูํ ให๎ตวั อยาํ งพรรณไม๎ที่อยํใู นสกุลและวงศเ์ ดยี วกนั อยูรํ วมกนั
92
ภาพท่ี 3.59 การเก็บตวั อยาํ งไวใ๎ นในตห๎ู รอื ชน้ั วางตัวอยําง
ลาดบั การเรยี นรู้ท่ี 9 เปรยี บเทียบขอ้ มูลท่สี รุป (ก.7–003 หน้า 8) กับขอ้ มลู ทสี่ ืบคน้ จากเอกสาร
แลว้ บนั ทึกใน ก.7–003 หนา้ 9–10
วัตถุประสงค์
1) เพอ่ื รู๎การสรปุ ลักษณะและขอ๎ มลู พรรณไม๎
2) เพื่อรู๎การสืบค๎นขอ๎ มลู พรรณไม๎
3) เพ่อื รูก๎ ารเปรยี บเทียบและบนั ทกึ ขอ๎ มูลเพ่มิ เติม
กระบวนการเรียนรู้
1) เรียนรก๎ู ารสรปุ ขอ๎ มลู พรรณไม๎ (ก.7–003 หนา๎ 8)
1.1) บนั ทึกช่อื พืน้ เมืองและรหัสพรรณไม๎ (จากหนา๎ ปก)
1.2) นาข๎อมูลหน๎า 2–7 มาเขียนเป็นความเรียงในยํอหน๎าที่ 1 ควรสรุปข๎อความให๎ได๎ใจความ
กะทดั รัด ไมํยาวจนเกินไป ไมใํ ช๎คาเชื่อมเยอะจนเกนิ ไป
1.3) นาข๎อมูลหนา๎ 1 มาเขยี นเป็นความเรียงในยํอหน๎าท่ี 2
93
ภาพท่ี 3.60 วธิ กี ารและรูปแบบการเขียนเอกสาร ก.7–003 หน๎าที่ 8
2) เรียนรู๎การสืบค๎นข๎อมลู พรรณไม๎
2.1) เรียนรหู๎ ลักการสบื คน๎ ขอ๎ มูลพรรณไมจ๎ ากเอกสาร สอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์
แหลํงสบื คน๎ ขอ๎ มูลพรรณไม๎ไดม๎ าจาก เอกสาร หนังสือ สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ท่มี คี วามนําเชือ่ ถือ และเป็นท่ี
ยอมรบั ทางด๎านวิชาการพฤกษศาสตร์ เชํน หนังสอื ชื่อพรรณไม๎แหงํ ประเทศไทย อ.เตม็ สมิตนิ นั ทน์ หนงั สอื
พรรณไมใ๎ นสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น ศาสตราจารย์ ดร. พเยาว์ เหมอื นวงษ์ญาติ
94
ภาพที่ 3.61 ตวั อยาํ งสอ่ื อเิ ล็กทรอนิกสก์ ารสบื ค๎นที่ใช๎สบื คน๎ ข๎อมลู พรรณไม๎ (โปรแกรมสืบคน๎ ขอ๎ มลู พรรณไม๎
ในประเทศไทย TPN 2006)
95
ภาพที่ 3.62 (ต่อ) ตวั อยาํ งสอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์การสืบค๎นที่ใชส๎ ืบคน๎ ข๎อมลู พรรณไม๎ (โปรแกรมสืบคน๎ ชอื่ พรรณ
ไมใ๎ นประเทศไทย TPN 2006)
96
ภาพท่ี 3.63 ตวั อยํางหนงั สอื ท่ีใช๎ในการสบื ค๎นขอ๎ มลู พรรณไม๎ ท่ีมีแหลงํ ท่ีมาและนาํ เชือ่ ถือ
2.2) เรยี นร๎วู ธิ กี ารสบื ค๎น
2.2.1) คน๎ จากหนังสือช่อื พรรณไม๎แหํงประเทศไทย อ.เต็ม สมติ นนั ทน์
2.2.2) การสืบคน๎ จากสอื่ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ของ อพ.สธ.
1. เข๎าสูหํ น๎าเวบ็ ไซต์ www.rspg.or.th, www.rspg.org
2. จากหน๎าหลัก (Home) คลิกท่ลี ิงค์ สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน
3. คลิกท่ี ข๎อมลู พรรณไม๎
4. เลือกชนดิ และข๎อมูลพรรณไม๎ท่ีตอ๎ งการสืบค๎น
2.3) เรียนร๎ูการเปรยี บเทียบและบนั ทึกข๎อมลู เพิ่มเตมิ
2.3.1) เรยี นร๎ูการเปรียบเทียบ
1. นาข๎อมูลทีส่ รุปในหนา๎ ที่ 8 มาเปรียบเทียบกับข๎อมูลทไี่ ดจ๎ ากการสบื คน๎
97
FABACEAE
ภาพท่ี 3.64 การเปรยี บเทียบรปู ภาพจากการศกึ ษาในหนา๎ ท่ี 7 (เอกสาร ก.7-003) กบั เอกสารที่นาํ เชอ่ื ถือ
98
FABACEAE
ภาพท่ี 3.65 การเปรยี บเทยี บข๎อมูลหนา๎ ที่ 8 (เอกสาร ก.7-003) กบั หนงั สือเอกสารหรอื ที่นาํ เช่อื ถือ
99
2. บนั ทึกขอ๎ มูลทีไ่ ด๎จากการสืบคน๎ เชํน ช่อื วิทยาศาสตร์ ช่ือวงศ์ ชื่อสามัญ ช่ือพ้ืนเมืองอื่น ๆ ถ่ินกาเนิด
การกระจายพันธุ์นิเวศวิทยา เวลาออกดอก เวลาติดผล การขยายพันธุ์ การใช๎ประโยชน์ ประวัติพันธ์ุไม๎ และ
เอกสารอา๎ งองิ ใน ก.7-003 หนา๎ ที่ 9
FABACEAE
FABACEAE
ภาพท่ี 3.66 การนาขอ๎ มูลท่ไี ด๎จากการเปรยี บเทียบและตรวจสอบความถกู ตอ๎ งแลว๎ จนม่ันใจวาํ เป็นพรรณไม๎
ชนิดเดียวกบั ท่ีศึกษา จงึ นาข๎อมลู ตํางๆ ในหนังสือทเ่ี ปรียบเทียบนามาใสํในหน๎าที่ 9 (ก.7–003)
2.3.2) เรียนรู๎บันทึกข๎อมูลเพิ่มเติม (ก.7–003 หน๎า 10) เชํน ประวัติการนาเข๎ามาปลูกใน
โรงเรียน เวลาการออกดอกหรือตดิ ผลนอกฤดูกาล หรอื อื่น ๆ
ภาพท่ี 3.67 การบนั ทกึ ขอ๎ มลู เพมิ่ เตมิ (ก.7–003 หนา๎ 10)