The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือ A-LEVEL 81 ภาษาไทย

คู่มือเตรียมสอบ

Keywords: คู่ม,ือ

คู่มือเตรียมสอบ วิชา A-Level 81 Thai ภาษาไทย (ปรับปรุง พ.ศ.2567) เรียบเรียงโดย นายสิงห์ค า สอนแปง นางสาวพรรณพัชร รัตนมงคล นางสาวศิริมาศ ราชคม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ล าปาง ล าพูน


1 ๏โครงสร้างข้อสอบ (Test Blueprint) วิชา A-Level 81Thai ภาษาไทย๏ ประจ าปีการศึกษา 2566 วิชา เนื้อหา จ านวน ข้อ คะแนน A-Level 81 Thai ภาษาไทย 1. การอ่าน 20 40 1.1 การอ่านเพื่อเข้าใจเนื้อหา 1.2 การจับใจความ / การสรุปสาระส าคัญของข้อความ 1.3 การตีความ 1.4 การวิเคราะห์จุดประสงค์ / เจตนาของผู้เขียน 1.5 การวิเคราะห์ข้อคิด / แนวคิดที่ได้จากการอ่าน 1.6 การอนุมานจากเนื้อหาของข้อความที่อ่าน 1.7 ท่าที / น้ าเสียง / อารมณ์ความรู้สึก / ความคิดเห็นของผู้เขียน 2 3 3 3 4 3 2 4 6 6 6 8 6 4 2. การเขียน 12 24 2.1 การเรียงล าดับข้อความ 2.2 การเรียงความ 2.3 การพรรณนา / บรรยาย / อธิบาย 2.4 การใช้เหตุผล 2.5 การแสดงทรรศนะ 2.6 การโต้แย้ง 2.7 การโน้มน้าว 2 2 2 2 2 1 1 4 4 4 4 4 2 2 3. การพูด การฟัง 4 8 3.1 การวิเคราะห์จุดประสงค์ในการพูด 3.2 การใช้ข้อความถาม และตอบที่สัมพันธ์กัน 3.3 การตีความ / อนุมาน / วิเคราะห์สาร / บุคลิกของผู้พูด หรือผู้ฟัง 1 1 2 2 2 4 4. หลักการใช้ภาษา 14 28 4.1 การสะกดค า 4.2 การใช้ค าตรงความหมาย 4.3 ประโยคก ากวม / ประโยคบกพร่อง 4.4 ประโยคสมบูรณ์ 4.5 ระดับภาษา 4.6 การใช้ส านานถูกต้องตามความหมาย 4.7 ชนิดของประโยคตามเจตนา 4.8 ค าที่มีความหมายตรง / อุปมา 4.9 ค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษ 4.10 ราชาศัพท์ 1 2 2 1 2 1 1 2 1 1 2 4 4 2 4 2 2 4 2 2 จ านวนข้อ 50 คะแนน 100 เวลา 90 นาที


2 แบบฝึกหัดชุดที่ 1 วิชา A-Level 81Thai ภาษาไทย ค าชี้แจง เลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อความในข้อใดมีความหมายก ากวม 1. นักเรียนที่มีความประพฤติดีและท าประโยชน์ต่อสังคมได้รับทุนการศึกษา 2. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดสัมมนา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต 3. ผู้สูงอายุควรได้รับวัคซีนโควิด -19 เพื่อลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต 4. ความดีที่ไม่สิ้นสุดคือการบริจาคร่างกายและ อวัยวะเมื่อเสียชีวิตแล้ว 5. การบันทึกวิธีท าขนมไทยเป็นต าราครั้งแรก ใน "แม่ครัวหัวป่าก์" อธิบาย เรื่อง ก ากวม 1.ความหมาย ก ากวม ว.เคลือบคลุม,คลุมเครือ,มีความหมายได้หลายนัย.(ราชบ้ณฑิตยสถาน,2556) 2.สาเหตุค าก ากวม ประโยคก ากวม (อรุณรัชช์ แสงพงษ์, 2561, หน้า 158) กล่าวว่า สาเหตุที่ท าให้ประโยคก ากวมมี 3 ประการ คือ 2.1 ใช้ค าที่เป็นได้หลายชนิดหรือแปลได้หลายความหมาย เช่น ค า ความหมาย ผมยุ่งนะ 1.ผม (สรรพนาม บุรุษที่ 1) / 2.ผม = เส้นผม (นาม) 2.2 การอ่านเว้นวรรคที่แตกต่างกัน เช่น ค า ความหมาย มะนาวดองมดแล้วหรือ มะนาว//ดองหมดแล้วหรือ/ มะนาวดอง/หมดแล้วหรือ 2.3 ส่วนขยาย ขยายได้2 ต าแหน่ง เช่น ค า ความหมาย เสื้อผู้หญิงสวย 1.เสื้อผู้หญิงสวย / 2.เสื้อผู้หญิงสวย 2.4 การใช้ค าประสมท าหน้าที่ในข้อความ เช่น ค า ความหมาย คนขับรถออก จากบ้านแต่เช้า 1.คนขับรถ ออกจากบ้านแต่เช้า./ 2.คน ขับรถออกจากบ้านแต่เช้า. วิเคราะห์ . ข้อความที่มีความหมายก ากวม คือ 1. นักเรียนที่มีความประพฤติดีและท าประโยชน์ต่อสังคมได้รับทุนการศึกษา 2. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดสัมมนา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ภูเก็ต√ 3. ผู้สูงอายุควรได้รับวัคซีนโควิด -19 เพื่อลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต 4. ความดีที่ไม่สิ้นสุดคือการบริจาคร่างกายและ อวัยวะเมื่อเสียชีวิตแล้ว 5. การบันทึกวิธีท าขนมไทยเป็นต าราครั้งแรก ใน "แม่ครัวหัวป่าก์" 100


3 2. ข้อใดมีค าสะกดผิดทุกคํา 1. อุทาหรณ์- อุธรณ์ 2. พรามณ์- อาพาธ 3. สัณฐาน - ศฤงคาร 4. พนาสันฑ์- เผ่าพันธ์ 5. สุขสวัสดิ์– วิปลาส อธิบาย เรื่อง สะกดค า 1.ค าไทยแท้สะกดค าตรงตามมาตราตัวสะกด 8 แม่ ( ก-บ-ด-ม-ว-ย-น-ง) เช่น ลาก-พบ-กัด-ลม-สาว-สวย-นาน-จริง 2.ค าบาลี-สันสกฤต สะกดไม่ตรงตามมาตรา 2.1 ตัวสะกดบาลี-สันสกฤต •แม่ กก ใช้ก ข ค สะกด เช่น นรก สุข อัคร์ •แม่ กด ใช้จ ช ฏ ฑ ฒ ต ท ธ ศ ษ ส เช่น สัจ รัช กฎ รัฐ ครุฑ พัฒน์ขบถ บาท ปฏิเสธ ยศ พัสดุราษฎร •แม่ กบ ใช้ป พ ภ สะกด เช่น บาป นิพพาน ลาภ •แม่ กง ใช้ง สะกด เช่น สงฆ์ •แม่ กน ใช้ญ ณ น ร ล ฬ เช่น บุญ ญาณ อวสาน มาร พาล ประพาฬ •แม่ กม ใช้ม สะกด เช่น พรหม •แม่ เกย ใช้ย สะกด เช่น กาย อุบาย •แม่ เกอว ใช้ว สะกด เช่น ชิวหา 2.2 ตัวสะกดและตัวตามบาลี ก =กก กข คค คฆ งก-งข-งค-งฆ จ=จจ จฉ ชช ชฌ ญจ-ญฉ-ญช-ญฌ-ญญ ฏ=ฏฏ ฏฐ ฑฑ ฑฒ ณฏ-ณฐ-ณฑ-ณฒ-ณณ ต=ตต ตถ ทท ทธ นต-นถ-นท-นธ-นน ป=ปป ปผ พพ พภ มป-มผ-มพ-มภ-มม วิเคราะห์ •ข้อที่มีค าสะกดผิดทุกคํา 1.อุทาหรณ์+อุธรณ์................................(อุทาหรณ์++อุทธรณ์) 2.พรามณ์+อาพาธ............................... (พราหมณ์+อาพาธ) 3.สัณฐาน+ศฤงคาร............................... (สัณฐาน+ศฤงคาร) 4.พนาสันฑ์+ เผ่าพันธ์........................... (พนาสัณฑ์+เผ่าพันธุ์)√ 5.สุขสวัสดิ์+ วิปลาส............................. (สุขสวัสดิ์+วิปลาส)


4 3. ค าที่ขีดเส้นใต้ข้อใด ใช้ค าผิดความหมาย 1. หากเธอยังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเราจะตัดตอนเลิกคบ 2. เขาท าผิดคนเดียวแต่คนอื่นต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย 3. เกิดอะไรขึ้นกับเพลินพิศท าไมท าหน้าถมึงทึงไม่ยิ้มแย้มเลย 4. บริเวณนี้มีตาน้ าผุดตามธรรมชาติท าให้มีน้ าไหลจากใต้ดินตลอดปี 5. รถบรรทุกชนประสานงากับรถสิบล้อท าให้หญิงตั้งท้องตายทั้งกลม อธิบาย 1.ความหมายของค า กระทรวงศึกษาธิการ (2551) กล่าวว่า ค าที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารมีความหมาย 3 ลักษณะ คือ 1.ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมาย ค าหนึ่งๆ นั้น อาจมีความหมายได้ หลายความหมาย เช่น “กา” •กา1 น.ชื่อนกขนาดกลาง. •กา2 น.ชื่อปลาน้ าจืด. •กา3 น.ภาชนะส าหรับใส่น้ าหรือต้มน้ า มีพวยและหู. •กา4 น.ค าก ากับชื่อปีในวิธีนับศักราชของไทยเหนือ. •กา5 ก.ท าเครื่องหมายเป็นรูปกากบาท. 2.ความหมายแฝง เป็นความหมายที่เพิ่มจากความหมายตรง เป็นความหมายเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น •ขี้เหนียว ว.ตระหนี่,ยี้ตืด ก็ว่า. (ความรู้สึกไม่ดี) •ประหยัด ก.ใช้จ่ายแต่พอควรแก่ฐานะ.(ความรู้สึกดี) 3.ความหมายในบริบท ค าบางค ามีความหมายตรง แต่เมื่อร่วมกับค าอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติมกว้างขึ้นหรือ แคบลง เช่น •ขัน น.ภาชนะส าหรับตักหรือใส่น้ า./ •ขันชะเนาะ ก.บิดลูกชะเนาะให้ตึง. •ขันต่อ ก.กล้าต่อ./ •ขันสู้ ก.แข่งเข้าสู้. •ขบขัน ก.หัวเราะ,น่าหัวเราะ. •ขันอาสา ก.กล้าอาสา,เสนอตัวเข้ารับท าโดยเต็มใจ./ •ไก่ขัน ไก่แสดงอาการร้องเป็นสัญญาณสื่อสาร. วิเคราะห์ . ค าที่ขีดเส้นใต้ที่ใช้ค าผิดความหมาย คือ 1. หากเธอยังสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเราจะตัดตอนเลิกคบ •ตัดตอน (ก.แบ่งหรือตัดเอามาบางส่วน)√ 2. เขาท าผิดคนเดียวแต่คนอื่นต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย •ตกกระไดพลอยโจน (เมื่อพลาดไปแล้วก็ยอมเลยตามเลยเพื่อไม่ให้เสียเชิง.) 3. เกิดอะไรขึ้นกับเพลินพิศท าไมท าหน้าถมึงทึงไม่ยิ้มแย้มเลย •ถมึงทึง ( น.หน้าตาบูดบึ้งไม่ยิ้มแย้ม) 4. บริเวณนี้มีตาน้ าผุดตามธรรมชาติท าให้มีน้ าไหลจากใต้ดินตลอดปี •ตาน้ า (น.ทางน้ าใต้ดินที่มีน้ าไหลไม่ขาดสาย) 5. รถบรรทุกชนประสานงากับรถสิบล้อท าให้หญิงตั้งท้องตายทั้งกลม •ตายทั้งกลม (น.ตายทั้งแม่ทั้งลูก,ตายขณะที่ลูกยังอยู่ในท้อง)


5 4. ข้อใดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ 1. โครงการพัฒนาแหล่งเสื่อมโทรมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2. การขยายผลการด าเนินงาน โครงการต่าง ๆ ของชุมชนในท้องถิ่น 3. สัญญาความร่วมมือของหน่วยงานภาคีสมาชิกทั้งในเอเชียและสากล 4. สิ่งอ านวยความสะดวกในโครงการจัดสรรที่ดินเขตเศรษฐกิจใหม่ 5. ประชาชนในสังคมเมืองมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นจากการพัฒนาระบบราง 5. ข้อใด ไม่เป็นประโยค 1. คุณลักษณะพิเศษของข้าวหอมมะลิคือมีรสชาติดีกลิ่นหอม และนุ่มเหนียวพอดี 2. ผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทย ได้แก่ ยางรถยนต์ส่วนผสมยางมะตอย และถุงมืออนามัย 3. การปลูกอ้อยนิยมปลูกในพื้นที่แห้งแล้งโดยเฉพาะจังหวัดนครสวรรค์อุดรธานีและกาญจนบุรี 4. อาหาร โปรตีนจากพืชได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่วัยท างาน 5. โครงการอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมมีตามสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลก อธิบาย 1.ความหมายของประโยค ประโยค คือ หน่วยทางภาษาที่ประกอบด้วยค าหรือค าหลายค าเรียงต่อกัน กรณีที่เป็นค าหลายค าเรียง ต่อกัน ค าเหล่านั้นต้องมีความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง 2.ส่วนประกอบของประโยค ประโยคประกอบด้วยส่วนส าคัญ 2 ส่วน คือ นามวลีท าหน้าที่ “ประธาน” กับ กริยาวลีท าหน้าที่ ภาคแสดง เช่น นามวลี กริยาวลี ประธาน ภาคแสดง คนไทยรุ่นใหม่ ควรมีวินัยในการใช้จ่าย โดยทั่วไปประโยคประกอบด้วยส่วนส าคัญ 2 ส่วน คือ นามวลีกับ กริยาวลี ทั้งนี้ประโยคอาจมีเพียง กริยาวลีก็ได้ แต่จะมีเพียงนามวลีไม่ได้ ๏ข้อความที่ไม่เป็นประโยค(เพราะมีเพียงนามวลี) เช่น “พวกเรานักเรียนโรงเรียนบ้านไร่ทั้ง 6 คน” ๏ข้อความที่เป็นประโยค เช่น “รู้สึกพะอืดพะอมมาตั้งแต่เช้าแล้ว” “พวกเรานักเรียนโรงเรียนบ้านไร่ทั้ง 6 คน อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด” วิเคราะห์ •ข้อที่เป็นประโยคที่สมบูรณ์คือ 1. โครงการพัฒนาแหล่งเสื่อมโทรมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ขาดกริยา) 2. การขยายผลการด าเนินงาน โครงการต่าง ๆ ของชุมชนในท้องถิ่น (ขาดกริยา) 3. สัญญาความร่วมมือของหน่วยงานภาคีสมาชิกทั้งในเอเชียและสากล (ขาดกริยา) 4. สิ่งอ านวยความสะดวกในโครงการจัดสรรที่ดินเขตเศรษฐกิจใหม่ (ขาดกริยา) 5. ประชาชนในสังคมเมืองมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นจากการพัฒนาระบบราง√ (ประธาน+กริยา)


6 6. ข้อความส่วนใดใช้ระดับภาษา ต่างจากส่วนอื่น 1) เกาะขายหัวเราะตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของเกาะกระดาดแห่งท้องทะเลจังหวัดตราด / 2) มีลักษณะเป็น เกาะขนาดเล็ก กลางทะเลที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่กลางเกาะหนึ่งต้น / 3) ลักษณะทางกายภาพเหมือนเกาะในหนังสือ การ์ตูนขายหัวเราะ / 4) จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยใช้การ์ตูนขายหัวเราะเป็นสื่อโปรโมทเกาะดังกล่าว / 5) ท าให้เกาะขายหัวเราะเป็นที่ รู้จักของนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 5. ส่วนที่ 5 7. ข้อความต่อไปนี้ส่วนใด ไม่เป็น ภาษาระดับทางการ 1) สถานการณ์ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนขึ้น ประมาณ 1.1 - 1.2 องศาเซลเซียส / 2) ความร้อนที่ เพิ่มขึ้น และอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างแผ่นดินกับทะเลท าให้เกิดความแปรปรวนทางสภาพอากาศ / 3) ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลง / 4 ยิ่งโลกร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ ความแปรปรวนก็ยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น / 5) ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นบนผิวโลกคือ ปริมาณน้ าทะเลเพิ่มขึ้น และเกิด ภัยแล้ง 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 5. ส่วนที่ 5 อธิบาย 1.ความหมาย ระดับภาษา คือ ความแตกต่างของภาษา ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน และภาษาท่าทาง ซึ่งควรใช้ให้เหมาะสมกับ ฐานะของบุคคลและกาลเทศะในการสื่อสาร 2.ระดับภาษา 5 ระดับ 1. ระดับพิธีการ 2. ระดับทางการ 3. ระดับกึ่งทางการ 4. ระดับไม่เป็นทางการ 5. ระดับกันเอง 3.ค าที่มีระดับภาษาแตกต่างกัน แบบแผน กี่งแบบแผน ภาษาปาก •เก้านาฬิกา •เก้าโมงเช้า •สามโมงเช้า •เพียงนี้ •เท่านี้ •แค่นี้ •จ านวนมาก •มากมาย •เยอะแยะ •นายแพทย์ •คุณหมอ •หมอ •เป็นที่นิยม •ติดอันดับ •ฮิต •มัคคุเทศก์ •ผู้น าเที่ยว •ไกด์ •อนุภรรยา •ภรรยาน้อย •เมียน้อย • ค ากร่อน เช่น มหาลัย (มหาวิทยาลัย) 4.การใช้ระดับภาษา ระดับ โอกาส/สถานที่ ลักษณะ ๏พิธีการ •เปิดประชุม/รายงาน/สุนทรพจน์ • มีพิธีรีตรอง ๏ทางการ •รายงานวิชาการ/หนังสือราชการ • ภาษาทางการ ๏กึ่งทางการ •อภิปราย/เสวนา/บรรยาย • ภาษาเขียนและภาษาพูด ๏ไม่ทางการ •ข่าว บันเทิง หารือ • ภาษาพูดและสุภาพ ๏กันเอง •สนทนาส่วนตัว/ทักทาย • ภาษาพูด มีค าคะนอง สแลง


7 5.การใช้ค าตามระดับภาษา 5.1 ใช้ค าถูกต้องตามกาลเทศะ เช่น ๏ขอแสดงความยินดีต่อท่าน (ทางการ) ๏ขอแสดงความยินดีกับท่าน (ไม่ทางการ) 5.2 ใช้ค าถูกต้องตามศักดิ์ของค า เช่น ๏พ่อ แม่ และบุตร (ผิดระดับ)/ ๏พ่อ แม่ และลูก (ถูกระดับ)// ๏บิดา มารดา และบุตร (ถูกระดับ) 5.3 หลีกเลี่ยงการใช้ค าลักษณะดังต่อไปนี้ (1) ภาษาพูด เช่น “ฉันไปแจ้งความที่โรงพัก” (2) ภาษาตามเสียงพูด เช่น “ใครจะว่ายังไงก็ตาม ชั้นก็จะชวนเค้าไปด้วย” (3) ค าสแลง (slang) เช่น “สาวเอ๊าะ ๆ ชอบแต่งตัวกันเริ่ดซะขนาดนั้น” (4) ค าหยาบ ค าด่าทอ เช่น “ตีน อ้าย อีมึง กูเหี้ย อีดอกฯลฯ” (5) ค าภาษาถิ่น เช่น “อาหารจานนี้ล าแต้ๆ” (6) ค าอุทาน เช่น “อ้อ! รู้แล้ว” (7) ค าย่อ ค าตัดสั้น ค ากร่อน • ค าย่อ เช่น พ.ต.ท./รมว,/เอฟ.บี.ไอ.• ค าตัดสั้น เช่น คอม (คอมพิวเตอร์) วิเคราะห์ •ข้อความส่วนที่ใช้ระดับภาษา ต่างจากส่วนอื่น 1) เกาะขายหัวเราะตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของเกาะกระดาดแห่งท้องทะเลจังหวัดตราด / 2) มีลักษณะเป็น เกาะขนาดเล็ก กลางทะเลที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่กลางเกาะหนึ่งต้น / 3) ลักษณะทางกายภาพเหมือนเกาะในหนังสือ การ์ตูนขายหัวเราะ / 4) จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยใช้การ์ตูนขายหัวเราะเป็นสื่อโปรโมทเกาะดังกล่าว / 5) ท าให้เกาะขายหัวเราะเป็นที่ รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 √ 5. ส่วนที่ 5 •ข้อความต่อไปนี้ส่วนที่ ไม่เป็น ภาษาระดับทางการ 1) สถานการณ์ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนขึ้น ประมาณ 1.1 - 1.2 องศาเซลเซียส / 2) ความร้อนที่ เพิ่มขึ้น และอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างแผ่นดินกับทะเลท าให้เกิดความแปรปรวนทางสภาพอากาศ / 3) ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลง / 4 ยิ่งโลกร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ ความแปรปรวนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น / 5) ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นบนผิวโลกคือ ปริมาณน้ าทะเลเพิ่มขึ้น และเกิดภัย แล้ง 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 √ 5. ส่วนที่ 5


8 8. ส านวนใดควรเติมลงในช่องว่างต่อไปนี้ ประนอมชอบไปสนใจเรื่องของคนอื่น จนท าให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อน เธอไม่น่าไปยุ่งเรื่องของเขาเลย ......................แท้ๆ 1. มือไม่พายเอาเท้าราน้ า 2. มือถือสากปากถือศีล 3. ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด 4. แกว่งเท้าหาเสี้ยน 5. หมูจะหามเอาคานเข้าไปสอด 9. ข้อใดใช้ส านวน ไม่ถูกต้อง 1. คุณลุงเลี้ยงฉันมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้ท่านเสีย ไปแล้วฉันก็ยังนึกถึงข้าวแดงแกงร้อนของท่าน เสมอ 2. เด็ก ๆ ห้องนี้ซนมาก อยู่ไม่นิ่ง กระโดดโลดเต้นอย่างกับปลากระดี่ได้น้ํา 3. เรื่องที่เธอมีปัญหากับเขาก็นานมากแล้ว เธออย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย 4. ผมนั่งฟังเขาพูดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ยังจับสาระไม่ได้มีแต่น้ําท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง 5. คณะกรรมการก าลังหารือให้ได้ข้อสรุป เธอกลับชักใบให้เรือเสีย พูดนอกประเด็น อธิบาย 1.ความหมายส านวนโวหาร ราชบัณฑิตยสภา (2556) กล่าวว่า ส านวน น.ถ้อยค าหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มี ความหมายไม่ตรงตามตัว หรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ายน้ า (สอนสิ่งที่เขารู้ดีหรือที่เขาถนัด อยู่แล้ว) 2.ตัวอย่าง ความหมายส านวนและการใช้ส านวน ๏กงกรรมกงเกวียน (เวรสนองเวร,กรรมสนองกรรม) “นายกล้านักเลงเก่าคนบ้านกุ่มที่ชอบคุมพวกปล้นควายเขานะ ตอนนี้ได้ข่าวว่า ถูกมือดีเล่นเสียม่องเท่งเลย นี่ แหละเขาว่า กงกรรมกงเกวียน” ๏ กบในกะลาครอบ (ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อยแต่ส าคัญตนว่ามีความรู้มาก) เช่น “ไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างซิอย่าท าเป็น กบในกะลาครอบไปหน่อยเลย เดี๋ยวจะไม่ทันคน” วิเคราะห์ •แปลส านวนทั้ง 5 1. มือไม่พายเอาเท้าราน้ า ( ไม่ช่วยแล้วยังเกะกะขัดขวางการท างานของผู้อื่น.) 2. มือถือสากปากถือศีล (แสดงตัวว่าเป็นผู้มีศีลธรรม แต่กลับประพฤติชั่ว) 3. ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด (ฟังความไม่ชัดเจน แล้วน าไปพูดต่อ หรือท าผิด ๆ) 4. แกว่งเท้าหาเสี้ยน (หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว.)√ 5. หมูจะหามเอาคานเข้าไปสอด (คนที่ชอบยุ่งกับคนที่ส าเร็จในสิ่งที่ไม่สมควร) 1. คุณลุงเลี้ยงฉันมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้ท่านเสีย ไปแล้วฉันก็ยังนึกถึงข้าวแดงแกงร้อนของท่าน เสมอ ๏ข้าวแดงแกงร้อน (บุญคุณ)√ 2. เด็ก ๆ ห้องนี้ซนมาก อยู่ไม่นิ่ง กระโดดโลดเต้นอย่างกับปลากระดี่ได้น้ํา ๏กระดี่ได้น้ า (คนที่แสดงอาการดีอกดีใจจนเนื้อเต้น) X 3. เรื่องที่เธอมีปัญหากับเขาก็นานมากแล้ว เธออย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย ๏ฟื้นฝอยหาตะเข็บ (ค้นเอาเรื่องต่าง ๆ ในอดีตที่จบไปแล้วให้กลับเป็นเรื่องขึ้นมาอีก)√ 4. ผมนั่งฟังเขาพูดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ยังจับสาระไม่ได้มีแต่น้ําท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ๏น้ าท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง (พูดมาก แต่ไม่ค่อยได้เนื้อหาสาระ)√ 5. คณะกรรมการก าลังหารือให้ได้ข้อสรุป เธอกลับชักใบให้เรือเสีย พูดนอกประเด็น ๏ชักใบให้เรือเสีย (พูดขัด หรือท าขวาง ๆ ให้การสนทนา หรือการงานเขวออกนอกเรื่อง)√


9 10. ข้อใดแสดงเจตนาของผู้ส่งสาร แตกต่าง จากข้ออื่น 1. ตอนนี้ฉันไม่สบาย อยากให้เธอช่วยยืมหนังสือห้องสมุดให้ฉันทีนะ 2. ปีนี้ฉันคงไม่ได้ไปนิวซีแลนด์เพราะจะเก็บเงินไปเที่ยวฟินแลนด์ในปีหน้า 3. โปรดสวมหน้ากากอนามัยและล้างมืออยู่เสมอด้วยความปรารถนาดีจาก สสส. 4. ขอให้ทุกท่านเข้าแถวตามล าดับเพื่อรอรับบริการจากเจ้าหน้าที่ 5. ฉันจะไปเชียงใหม่ วานเธอซื้อตั๋วรถไฟแบบเที่ยวเดียว แล้วฉันจะโอนเงินให้ อธิบาย 1..ประโยคตามเจตนาผู้ส่งสาร ชนิดของประโยคที่แบ่ง ตามเจตนา (สถาบันภาษาไทย, 2552) จ าแนกชนิดของประโยคที่แบ่งตามเจตนาไว้๙ ชนิด ได้แก่ 1.บอกให้ทราบ 2.เสนอแนะ 3.สั่ง 4.ห้าม 5.ชักชวน 6.ขู่ 7.ขอร้อง 8.คาดคะเน 9.ถาม 2.ตัวอย่างประโยค •ประโยคบอกให้ทราบ “คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ” •ประโยคเสนอแนะ (ลองดู,ควร,นะ,ซิ) “คนไทยควรอ่านหนังสือทุกวัน ” •ประโยคสั่ง “บอกให้หัวหน้าแผนกมาพบ ผมหน่อย” •ประโยคห้าม การห้าม (อย่า,ห้าม,นะ) เช่น “อย่าจอดรถขวางประตู” •ประโยคชักชวน (กัน,เถอะ,นะ) เช่น “ไปดูหนังกันเถอะ” •ประโยคขู่ “หากการบ้านท าไม่เสร็จไม่ต้องดู โทรทัศน์” •ประโยคขอร้อง (ช่วย,กรุณา,โปรด,วาน, อยากให้ ,ขอให้) “กรุณาถอดรองเท้าด้วยค่ะ” •ประโยคคาดคะเน (อาจ,คงจะ,ถ้าจะ,เห็นจะ, กระมัง,ละซี) “เพลงฟ้าอาจท าการบ้านอยู่ กระมัง” •ประโยคถาม (ใคร,อะไร,ที่ไหน,เมื่อไร,อย่างไร, เท่าใด,เหตุใด) “ใครอยู่ในห้อง” วิเคราะห์ 1. ตอนนี้ฉันไม่สบาย อยากให้เธอช่วยยืมหนังสือห้องสมุดให้ฉันทีนะ เจตนา (ขอร้อง) 2. ปีนี้ฉันคงไม่ได้ไปนิวซีแลนด์เพราะจะเก็บเงินไปเที่ยวฟินแลนด์ในปีหน้า เจตนา (บอกให้ทราบ) 3. โปรดสวมหน้ากากอนามัยและล้างมืออยู่เสมอด้วยความปรารถนาดีจาก สสส. เจตนา (ขอร้อง) 4. ขอให้ทุกท่านเข้าแถวตามล าดับเพื่อรอรับบริการจากเจ้าหน้าที่ เจตนา (ขอร้อง) 5. ฉันจะไปเชียงใหม่ วานเธอซื้อตั๋วรถไฟแบบเที่ยวเดียว แล้วฉันจะโอนเงินให้ เจตนา (ขอร้อง)


10 11.ข้อใดใช้ค าราชาศัพท์ไม่ถูกต้อง 1. พระสงฆ์ฉันจังหันเข้าที่ชาวบ้านจัดถวาย 2. พระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จถวายผ้ากฐิน 3. ผักตบชวาใช้ค าสุภาพว่า ผักสามหาว 4. ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายชมพู่เพชรสายรุ้ง 5. รัชกาลที่ 5 ทรงลงพระปรมาภิไธยในราชกิจจานุเบกษา อธิบาย •คําราชาศัพท์หมายถึง ศัพท์หลวง ศัพท์ราชการ และหมายรวมถึงค าสุภาพซึ่งน ามาใช้ให้ถูกต้องตามชั้น หรือฐานะของบุคคล บุคคลผู้ที่พูดต้องใช้ราชาศัพท์ด้วย จ าแนกเป็น 5 ประเภท คือ 1. พระมหากษัตริย์ 2. พระบรมวงศานุวงศ์ 3. พระสงฆ์ 4. ข้าราชการชั้นสูงหรือขุนนาง 5. สุภาพชนทั่วไป 2.ล าดับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ปัจจุบัน 1.พระบาทสมเด็จ (พระมหากษัตริย์ ร.10) 2.สมเด็จพระบรม (พระราชะนี-พระเทพฯ) 3.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ (ทูลกระหม่อม/จุฬาภรณ์/ทีปังกร/กิติยาภา) 4.พระองค์เจ้า (โสมสวลี/สิริภา/อทิตยา) 5.หม่อมเจ้า 3.กิริยาราชาศัพท์ (ห้ามใช้ “ทรง” น าหน้า) ประสูติ เสวย (ใช้ 1-5) โสกันต์ (ใช้กับ 3) กริ้ว (ใช้ 1-5) ประชวร (3) โปรด (ใช้ 1-5) ทอดพระเนตร (1-5) ตกพระทัย (1-5) สวรรคต (1-2) ทิวงคต (3) สิ้นพระชนม์ (3) ถึงชีพิตักษัย (5) บรรทม (2-5) ประทับ (1-5) สรงพระพักตร์(1-5) พระราชทาน (1-2) ประทาน (3-5) สรงน้ า,สรง (1-5) เสด็จฯ (1-2) เสด็จ (3-5) 4.การใช้ “พระบรม,พระบรมราช,พระราช,พระ” พระบรม/พระบรมราช/ พระราช พระ ใช้ 1เท่านั้น ใช้ 1-2 ใช้ 1-5 5.การใช้ “ทูลเกล้าฯ,น้อมเกล้า” (ขออนุญาต) ให้ (สิ่งของขนาดเล็ก ยกได้) (ขออนุญาต) ให้(สิ่งของขนาดใหญ่ ยกไม่ได้) ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย... ขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย... 6.ค าราชาศัพท์พระสงฆ์ ประเคน (ส่งของให้) ถวาย (มอบของให้) ฉันจังหัน (ทานข้าวเช้า) ฉันเพล (ทานข้าวเที่ยง) ลิขิต (จดหมาย) จ าวัด (นอน) สรงน้ า (อาบน้ า) อาพาธ (ป่วย) มรณภาพ (ตาย) ปลงผม (โกนผม) จ าพรรษา (อยู่ประจ าวัด) นิมนต์ (เชิญ) ภัตตาหาร (อาหาร) อนุโมทนา (ยินดีด้วย) อาราธนา (ขอเชิญ) ลาสิกขา (สึก) วิเคราะห์ 11.ข้อที่ใช้ค าราชาศัพท์ไม่ถูกต้อง คือ 1. พระสงฆ์ฉันจังหันเข้าที่ชาวบ้านจัดถวาย (ฉันจังหัน = ฉันเช้า) √ 2. พระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จถวายผ้ากฐิน ทรงเสด็จ (เสด็จ ไม่ต้องใช้ “ทรง” น าหน้า) X 3. ผักตบชวาใช้ค าสุภาพว่า ผักสามหาว (ผักตบชวา= ผักสามหาว)√ 4. ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายชมพู่เพชรสายรุ้ง (ทูลเกล้าฯถวายชมพู่) √ 5. รัชกาลที่ 5 ทรงลงพระปรมาภิไธยในราชกิจจานุเบกษา (ทรงลงพระปรมาภิไธย) √


11 12.ค าในข้อใดสื่อความหมายได้มากกว่า 1 ความหมายทุกค า 1. คนกลาง - ลําแข้ง 2. มือถือ - หนุ่มสาว 3. แม่พิมพ์- ขับไล่ 4. หนาแน่น - ทอดสะพาน 5. แกะดํา – หัวคะม า อธิบาย 1.ความหมายของค า สันติวัฒน์ จันทร์ใด (2558) กล่าวว่า “ความหมายของค า พิจารณาได้ 2 ประเภทคือ 1.ความหมายตามตัวกับความหมายเชิงอุปมา •ความหมายตามตัว เป็นความหมายของค าเดิมเมื่อปรากฏในบริบทต่าง ๆ •ความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบกับความหมายตามตัวของค านั้น ในบริบทอื่น (โดยนัย,นัยประหวัด) เป็นความหมายที่รับรู้โดยทั่วกัน 2.ความหมายนัยตรงกับความหมายนัยประหวัด •ความหมายโดยตรง คือ ความหมายที่ปรากฏในพจนานุกรม อาจเป็นความหมายตามตัว หรือ ความหมายเชิงอุปมาก็ได้ เป็นความหมายที่ผู้ใช้ภาษาส่วนใหญ่เข้าใจตรงกัน •ความหมายนัยประหวัด คือ ความหมายของค าที่ก่อให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ กันไป 2.ค าที่มีความตรง •ก้นกรอง น.ส่วนท้ายของบุหรี่ชนิดที่มีกรองสารพิษ. 3.ค าที่มีความหมายอุปมา •ก้นกุฏิ ว.ที่สนิทเป็นที่ไว้วางใจได้. 4.ค าที่มีความหมายตรงและอุปมา •กบดาน ก.นอนพังพาบกับพื้นใต้น้ า เป็นอาการของจระเข้. ก.หลบซ่อนตัวไม่ออกมา. วิเคราะห์ 1. •คนกลาง 1.คนที่อยู่ตรงกลาง (เป็นความหมายที่รับรู้โดยทั่วกัน) 2.ผู้ท าหน้าที่ไกล่เกลี่ย,ผู้ถือเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. •ล าแข้ง 1.ปลีแข้ง. 2.ก าลังความสามารถในการท ามาหากินด้วยตนเองไม่ต้องพึ่งใคร. 2. •มือถือ 1.อุปกรณ์ส าหรับสื่อสาร (เป็นความหมายที่รับรู้โดยทั่วกัน) •หนุ่มสาว 1.ชายหญิงที่มีอายุพ้นวัยเด็ก. 2.ชายหญิงที่ยังดูไม่แก่ตามวัย. 3. •แม่พิมพ์ 1.สิ่งที่เป็นต้นแบบ. 2.ครูอาจารย์ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่างความประพฤติของศิษย์. •ขับไล่ 1.ไล่ไป. 4. •หนาแน่น 1.คับคั่ง,แออัด. •ทอดสะพาน 1.วางหรือ พาดสะพาน. 2.แสดงกิริยาท่าทางเป็นท านองอยากติดต่อด้วย. 5. •แกะดํา 1.แกะตัวมีด า (เป็นความหมายที่รับรู้โดยทั่วกัน) 2.คนที่ท าอะไรผิดเพื่อนผิดฝูงในกลุ่มนั้น ๆ (ใช้ในทางที่ไม่ดี). •หัวคะม า 1.อาการที่หัวพุ่งไปเพราะสะดุด.


12 13.ค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษในข้อใดใช้ค าไทย แทนได้ทุกค า 1. ฟังก์ชั่น - แอ๊กชั่น – แอลกอฮอล์ 2. โบว์ลิง – แอ๊ดว้านซ์- ฮี้ตเตอร์ 3. ฮันนีมูน – บรอกโคลี– แบล๊กลิสต์ 4. ล็อก – อินเด็กซ์- แอนนิเมชัน 5. แคมเปญ – ช็อกโกแลต – อินทีเกรต อธิบาย 1.ค าทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ ค าทับศัพท์หมายถึง ค าที่ถ่ายเสียงมาจากรูปค าในภาษาอื่น และน ามาเขียนในรูปแบบของภาษาไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง 2.ตัวอย่างค าทับศัพท์ acre = เอเคอร์ alcohol = แอลกอฮอล์ algorithm = อัลกอริทึม alkaline = แอลคาไลน์ almond = อัลมอนด์ alpha = แอลฟา 3.ศัพท์บัญญัติ ศัพท์บัญญัติคือ ค าที่บัญญัติขึ้นใหม่ในภาษาไทย โดยราชบัณฑิตยสถานเป็นผู้รับรอง เพื่อรองรับศัพท์ ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าด้านต่างๆของโลก หรือ ค าที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนค า ต่างประเทศ หลักการบัญญัติศัพท์มี 2 ประการ ดังนี้ 1. การคิดค าศัพท์ไทยให้ตรงกับความหมายเดิมของค านั้นๆให้มากที่สุด เช่น ศัพท์บัญญัติ ภาษาอังกฤษ ตลาดมืด Black market ค่าผ่านทาง Toll เครือข่าย Network 2. ถ้าหาค าไทยได้ไม่เหมาะสม ให้สร้างค าใหม่โดยใช้คาภาษาบาลีและสันสกฤต ซึ่งต้องเป็นค าที่มีใช้มา ก่อนและสามารถออกเสียงได้ง่าย ศัพท์บัญญัติ ภาษาอังกฤษ ทฤษฎี Theory วัฒนธรรม Culture ปรัชญา Philosophy วิเคราะห์ ค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีค าไทยแทนได้ทุกค า 1. ฟังก์ชั่น (หน้าที่-function) – แอ๊กชั่น (การกระท า-action) – แอลกอฮอล์(alcohol) 2. โบว์ลิง (bowling)– แอ๊ดว้านซ์(ก้าวหน้า-advance) – ฮี้ตเตอร์(เครื่องท าความร้อน-heater) 3. ฮันนีมูน (เวลาพักผ่อนหลังแต่งงาน- honeymoon) – บรอกโคลี(broccoli) – แบล๊กลิสต์(บัญชีด า-blacklists) 4. ล็อก (ตวัดให้แน่น,ส่วน-lock)– อินเด็กซ์(ดรรชนี-index) – แอนนิเมชัน (การสร้างภาพเคลื่อนไหว-animation) 5. แคมเปญ(รวมกลุ่มโฆษณา-campaign) – ช็อกโกแลต(chocolate) – อินทีเกรต (บูรณาการ-integrate)


13 14.ข้อใดมีเจตนาให้ข้อเสนอแนะ 1. การสร้างหุ่นยนต์ประดิษฐ์เป็นนวัตกรรมที่ใช้แทนแรงงานมนุษย์อย่างได้ผล 2. ในทุกสังคมย่อมมีคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ควรท างานร่วมกันได้จะเกิดประโยชน์สูงสุด 3. ค าสอนของพระพุทธเจ้าได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกว่าสามารถปฏิบัติได้จริงตาม หลักทางวิทยาศาสตร์ 4. องค์การอนามัยโลกขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อรับรองการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 5. ประเทศไทยมีหลายภูมิภาค แต่ละภูมิภาคจะมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม อธิบาย 1..ประโยคตามเจตนาผู้ส่งสาร ชนิดของประโยคที่แบ่ง ตามเจตนา (สถาบันภาษาไทย, 2552) จ าแนกชนิดของประโยคที่แบ่งตามเจตนาไว้๙ ชนิด ได้แก่ 1.บอกให้ทราบ 2.เสนอแนะ 3.สั่ง 4.ห้าม 5.ชักชวน 6.ขู่ 7.ขอร้อง 8.คาดคะเน 9.ถาม 2.ตัวอย่างประโยตามเจตนา •ประโยคบอกให้ทราบ “คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ” •ประโยคเสนอแนะ (ลองดู,ควร,นะ,ซิ) “คนไทยควรอ่านหนังสือทุกวัน ” •ประโยคสั่ง “บอกให้หัวหน้าแผนกมาพบ ผมหน่อย” •ประโยคห้าม การห้าม (อย่า,ห้าม,นะ) เช่น “อย่าจอดรถขวางประตู” •ประโยคชักชวน (กัน,เถอะ,นะ) เช่น “ไปดูหนังกันเถอะ” •ประโยคขู่ “หากการบ้านท าไม่เสร็จไม่ต้องดู โทรทัศน์” •ประโยคขอร้อง (ช่วย,กรุณา,โปรด,วาน, อยากให้ ,ขอให้) “กรุณาถอดรองเท้าด้วยค่ะ” •ประโยคคาดคะเน (อาจ,คงจะ,ถ้าจะ,เห็นจะ, กระมัง,ละซี) “เพลงฟ้าอาจท าการบ้านอยู่ กระมัง” •ประโยคถาม (ใคร,อะไร,ที่ไหน,เมื่อไร,อย่างไร, เท่าใด,เหตุใด) “ใครอยู่ในห้อง” วิเคราะห์ •มีเจตนาให้ข้อเสนอแนะ คือ 1. การสร้างหุ่นยนต์ประดิษฐ์เป็นนวัตกรรมที่ใช้แทนแรงงานมนุษย์อย่างได้ผล เจตนา บอกให้ทราบ 2. ในทุกสังคมย่อมมีคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ควรท างานร่วมกันได้จะเกิดประโยชน์สูงสุด เจตนา (เสนอแนะ) √ 3. ค าสอนของพระพุทธเจ้าได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกว่าสามารถปฏิบัติได้จริงตาม หลักทางวิทยาศาสตร์ เจตนา (บอกให้ทราบ) 4. องค์การอนามัยโลกขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อรับรองการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เจตนา (บอกให้ทราบ) 5. ประเทศไทยมีหลายภูมิภาค แต่ละภูมิภาคจะมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เจตนา (บอกให้ทราบ)


14 15.ข้อใดตอบค าถามได้สมเหตุสมผล "ท าไมนานาประเทศเรียกร้องให้เปิดประเทศ ทั้งที่การระบาดของโรคไวรัสโคโรนายังท าให้มีผู้ติดเชื้อจ านวน มาก" 1. เพราะประชาชนต้องประกอบอาชีพและมีรายได้ 2. หากปิดประเทศต่อไปประชากร โลกขาดอาหาร 3. ประชาคมโลกเรียกร้องให้เปิดประเทศเพื่อต่อสู้กับโรค 4. ทุกประเทศเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ มีวัคซีนเพียงพอและมีงานวิจัย 5. เพราะมีวิธีต่อสู้คือ การกันคว้าวัคซีนที่มีคุณภาพสูง อธิบาย เรื่อง ความสมเหตุสมผล (Validity) มหาวิทยาลัยรามค าแหง กล่าวว่า •การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยที่สมเหตุสมผล เป็น การอ้างเหตุผลที่มีข้อสรุปที่ตามมาจากข้ออ้างโดยจ าเป็น หรือ การอ้างเหตุผลที่ข้อสรุปที่ตามมานั้นจ าเป็นต้องจริง ถ้าข้ออ้างเป็นจริง •ส่วนการอ้างเหตุผลแบบนิรนัยที่ไม่สมเหตุสมผล เป็นการอ้างเหตุผลที่ข้อสรุปไม่ได้มาจากข้ออ้างโดยจ าเป็น หรือ เป็นการอ้างเหตุผลที่แม้ว่าข้ออ้างจะเป็นจริง แต่ข้อสรุปที่ตามมานั้นก็ไม่จ าเป็นต้องจริง •การอ้างเหตุผลที่สมบูรณ์ คือ การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยที่สมเหตุสมผลและมีข้ออ้างทั้งคู่ที่เป็นจริง หากไม่ ครบองค์ประกอบทั้งสองนี้ก็จัดเป็นการอ้างเหตุผลที่ไม่สมบูรณ์ โครงสร้างการอ้างเหตุผลที่สมบูรณ์ การอ้างเหตุผลที่สมบูรณ์ = การอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผล+การมีข้ออ้างที่เป็นจริง •มนุษย์ทุกคนต้องตาย (จริง) •ฉันเป็นมนุษย์ (จริง) •ดังนั้นฉันต้องตาย (จริง) •การอ้างเหตุผลแบบอุปนัยที่ดี คือ การอ้างเหตุผลที่ข้อสรุปน่าจะตามมาจากข้ออ้าง (มีความเป็นไปได้) หรือ ความน่าจะเป็นที่ข้อสรุปจะเป็นเช่นนั้น กล่าวคือ เป็นการอ้างเหตุผลที่หากข้ออ้างเป็นจริง ข้อสรุป ก็น่าจะเป็น จริง เช่น •ตะกร้ามีมังคุด 100 ผล •ลองสุ่มเลือกมาผ่าดู 70 ผล ก็ปรากฏว่า ดี •เพราะฉะนั้น มังคุดทั้ง 100 ผลนี้ น่าจะดี วิเคราะห์ •ข้อที่ตอบค าถามได้สมเหตุสมผล "ทําไมนานาประเทศเรียกร้องให้เปิดประเทศ ทั้งที่การระบาดของโรคไวรัสโคโรนายังท าให้มีผู้ติดเชื้อจ านวน มาก" (โครงสร้าง (ผล) +เพราะ+(เหตุ) 1. เพราะประชาชนต้องประกอบอาชีพและมีรายได้ 2. (เพราะ) หากปิดประเทศต่อไปประชากร โลกขาดอาหาร 3. (เพราะ) ประชาคมโลกเรียกร้องให้เปิดประเทศเพื่อต่อสู้กับโรค 4.(เพราะ) ทุกประเทศเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ มีวัคซีนเพียงพอและมีงานวิจัย ( สมเหตุสมผล ) √ 5. เพราะมีวิธีต่อสู้คือ การกันคว้าวัคซีนที่มีคุณภาพสูง


15 16. ข้อใด เป็นการอนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์ 1. ใครๆ ที่รู้จักลิซ่าจะต้องชอบเธอเพราะเธอน่ารักและชอบความเป็นไทย 2. ประเทศไทยจะก้าวไกลต้องวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับโอกาสทางการตลาด 3. ความทันสมัยของโลกดิจิทัลท าให้การศึกษาเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง 4. แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกไม่แตกต่างจากมนุษย์ 5. การบูลลี่เป็นการกลั่นแกล้งผู้อื่นให้เสียหายอับอาย และเป็นทุกข์จากการถูกคุกคาม อธิบาย กระบวนการแสดงเหตุผลและการอนุมาน การอนุมาน คือ กระบวนการคิดในการหาข้อสรุปจากเหตุผลที่มีอยู่ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.วิธีนิรนัย (การแสดงเหตุผลจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย) 2.วิธีอุปนัย (การแสดงเหตุผลจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม) มี 3 ลักษณะ คือ 2.1 ใช้กรณีเฉพาะกี่กรณีก็ได้เป็นข้อสนับสนุน (เหตุผล) เพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปที่เป็นกรณีรวม เช่น เขาเรียนเก่ง เขาขยัน พ่อแม่สนับสนุนให้เขาเรียน เขามีครูดี เขาน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ 2.2 อนุมานโดยใช้แนวเทียบหรือโดยการเปรียบเทียบ เช่น (เปรียบเทียบเพื่อนคู่หนึ่ง) เพื่อน เขา •เป็นน้กเรียนโรงเรียนเฉลิมศึกษา •อยู่แผนการเรียนวิทย์-คณิต •ได้คะแนนเฉลี่ยนสะสม 3.0 •เริ่มดูหนังสือเดือนตุลาคม เพื่อนสอบเข้าคณะ นิเทศศาสตร์ได้ •เป็นน้กเรียนโรงเรียนเฉลิมศึกษา •อยู่แผนการเรียนวิทย์-คณิต •ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม 3.2 •เริ่มดูหนังสือเดือนพฤษภาคม เขาก็ควรจะสอบเข้าได้เช่นกัน 2.3 อนุมานโดยการพิจารณาสาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กันมี 3 ลักษณะ คือ 2.3.1 อนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์ (ใช้สันธานกลุ่ม “จึง”) เช่น “พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก เด็กคนนี้จึงดูไม่มีความสุข “ 2.3.2 อนุมานจากผลลัพธ์ไปหาสาเหตุ (ใช้สันธานกลุ่ม “เพราะ”) เช่น “คุณปู่อายุ 94 ปีแล้วยังแข็งแรงดี ค่าที่ท่านออกก าลังกายทุกวันนี่นา” 2.3.3 อนุมานจากผลลัพธ์ไปหาผลลัพธ์ (ใช้สันธานกลุ่ม “เพราะ” และ กลุ่ม “จึง”) เช่น “วิทยาวิชญ์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึง 3.80 เนื่องจากเขาเป็นคนตั้งใจเรียนมาตลอด เขาจึงน่าจะได้รับเกียรตินิยม อันดับ 1” วิเคราะห์ ข้อที่อนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์ (สาเหตุ+จึง+ผลลัพธ์) คือ 1. ใครๆ ที่รู้จักลิซ่าจะต้องชอบเธอเพราะเธอน่ารักและชอบความเป็นไทย 2. ประเทศไทยจะก้าวไกลต้องวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับโอกาสทางการตลาด 3. ความทันสมัยของโลกดิจิทัลทําให้การศึกษาเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง √ 4. แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกไม่แตกต่างจากมนุษย์ 5. การบูลลี่เป็นการกลั่นแกล้งผู้อื่นให้เสียหายอับอาย และเป็นทุกข์จากการถูกคุกคาม


16 17.ข้อใดเรียงล าดับความต่อไปนี้ได้ถูกต้อง (1) ป่าไม้สร้างความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนตั้งแต่ไม้เล็กจนถึงไม้ใหญ่ได้ (2) ตามธรรมชาติน้ าเกิดจากความชุ่มชื้นในป่าที่มีไม้ปกคลุมเขียวขจี (3) ขุนเขาที่ให้ก าเนิดต้นน้ าล าธาร ยังคงให้น้ าไม่ขาดสาย (4) พื้นดินที่อุดมสมบูรณ์สร้างธาตุสารอาหารให้แก่พรรณไม้ (5) ทั้งน้ า ป่าไม้และดินจึงมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน 1. (1) - (3) - (2) - (5) - (4) 2. (3) - (2) - (1) - (5) - (4) 3. (2) - (3) - (1) - (4) - (5) 4. (1) - (2) - (3) - (5) - (4) 5. (5) - (1) - (2) - (3) - (4) 18.ข้อใดเรียงล าดับความต่อไปนี้ได้ถูกต้อง (1) ดังนั้นหลักส าคัญในการพูดคือควรให้เหมาะสม กับกาลเทศะ (2) มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ด ารงชีวิตอยู่ร่วมกัน (3) การพูดเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร (2) เมื่อมีการพบปะกันหรือมาสังสรรค์เป็นกลุ่ม (5) รูปแบบการพูดในโอกาสต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย 1. (2) - (3) - (4) - (5) - (1) 2. (1) - (2) - (4) - (3) - (5) 3. (3) - (I2) - (1) - (4) - (5) 4. (1) - (5) - (3) - (2) - (4) 5. (2) - (4) - (3) - (5) - (1) อธิบาย 1.ความหมาย “การเรียงล าดับข้อความ” การเรียงลําดับข้อความ คือ การเรียงล าดับประโยค หรือการเรียงล าดับข้อความให้ถูกต้องตามหลักภาษา 2.หลักการเรียงล าดับข้อความ 2.1 การหาข้อความที่ 1 (1.) ประโยคขึ้นต้นด้วยค านามทั่วไป,นามเฉพาะ เช่น มนุษย์ทุกคน, ประเทศไทย ภูหลวง ฯลฯ (2.) ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “การ,ความ” เช่น ความล าบาก การเคลื่อนย้าย ฯลฯ (3.) ประโยคขึ้นต้นด้วย “ใน” หรือ “ใน+ช่วงเวลา” เช่น สมัย...,ยุค...,โบราณ...,อดีต... (4.) ประโยคขึ้นต้นด้วยค าสันธาน “เนื่องจาก...จึง...,แม้ว่า...แต่...,เพื่อ+จุดประสงค์,ด้วย+หน่วยงาน ,ตามที่+หน่วยงาน/ข้อบังคับ/ข้อกฎหมาย” เช่น “ตามที่กระทรวงมหาดไทย...” (5.) ประโยคที่ 1 จะไม่ขึ้นต้นด้วยค าบุพบท “กับ,ด้วย,จาก, ฯลฯ” และ ค าสันธาน “และ,ดังนั้น,จึง ฯล” 2.2.การหาประโยคสุดท้าย (ล าดับที่ 5) (1.) ประโยคที่มีค าสันธาน “จึง,ดังนั้น” (2.) ประโยคที่ลงท้ายค าว่า “...เป็นต้น,...ทั้งหมด,...ทั้งสิ้น,...ด้วย,...อีกด้วย,...มากที่สุด,...มากยิ่งขึ้น,ทั้ง ...ข้างต้น,ดังที่กล่าวมาแล้ว,...ก็ตาม,...เท่านั้น,...ตามล าดับ,...อย่างยิ่ง,...อีกด้วย/อีกต่อไป/ต่อไป,...โดยสิ้นเชิง ฯลฯ (3.) ประโยคมีข้อความว่า “ดังนั้น,กล่าวคือ,ท าให้,ส่งผลให้,ทั้ง...และ...ตลอดจน (อาจอยู่ล าดับที่ 5 ได้) 2.3 การหาประโยคกลาง (ล าดับที่ 2,3,4) (1.) ประโยคขึ้นต้นด้วย “บุพบท” “กับ,ด้วย,โดย,ตาม,เมื่อ,เพื่อ,แก่,ของ ฯลฯ” (2.) ประโยคขึ้นด้วย “สันธาน” “ที่,ซึ่ง,อัน” (3.) ประโยคขึ้นด้วย “โดยเฉพาะ...,โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...,ไม่ว่าจะเป็น...,ได้แก่...และ...,คือ...และ...,ที่ ส าคัญคือ (4.) ประโยคขึ้นต้นด้วย “ค ากริยา”


17 3.ข้อสังเกต ๏ ล าดับที่ 1 ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย 1.1 ค านาม ชื่อคน สัตว์สิ่งของ สถานที่ 1.2 อาการนาม 1.3 ค าเชื่อม เช่น เนื่องจาก........จึง.......,ใน + ค านาม,แม้ว่า........แต่........,เพื่อ + จุดประสงค์, ด้วย + หน่วยงาน,ตามที่ + หน่วยงาน/ข้อบังคับ/ข้อกฎหมาย,ช่วงเวลา ใน + เวลา,เมื่อ + เวลา (ที่ผ่านมาแล้ว) ๏ ข้อความล าดับที่ 2-3-4 จะขึ้นต้นด้วย 2.1 ขึ้นต้นด้วยค าบุพบท ที่ ซึ่ง อัน 2.2 การยกตัวอย่าง คือ โดยเฉพาะ.....เฉพาะอย่างยิ่ง.......ไม่ว่าจะเป็น........,เช่น.........เป็นต้น,ได้แก่ ............และ..........,คือ.........และ..........,ที่ส าคัญคือ..............ค ากริยา ๏ข้อความล าดับที่ 5 สังเกตได้จาก ค าลงท้าย คือ “...ก็ตาม,....เท่านั้น,....ตามล าดับ,.........อย่างยิ่ง,.........อีกด้วย / อีกต่อไป,.........โดย สิ้นเชิง,.........ต่อไป,ดังนั้น,กล่าวคือ,ท าให้,ส่งผลให้,ทั้ง.......และ........ตลอดจน” วิเคราะห์ •ข้อที่เรียงล าดับข้อความได้ถูกต้อง (1) ป่าไม้สร้างความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนตั้งแต่ไม้เล็กจนถึงไม้ใหญ่ได้(3) (2) ตามธรรมชาติน้ าเกิดจากความชุ่มชื้นในป่าที่มีไม้ปกคลุมเขียวขจี(1) (3) ขุนเขาที่ให้ก าเนิดต้นน้ าล าธาร ยังคงให้น้ าไม่ขาดสาย (2) (4) พื้นดินที่อุดมสมบูรณ์สร้างธาตุสารอาหารให้แก่พรรณไม้(4) (5) ทั้งน้ า ป่าไม้และดินจึงมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (5) 1. (1) - (3) - (2) - (5) - (4) 2. (3) - (2) - (1) - (5) - (4) 3. (2) - (3) - (1) - (4) - (5) √ 4. (1) - (2) - (3) - (5) - (4) 5. (5) - (1) - (2) - (3) - (4) •ข้อที่เรียงล าดับข้อความได้ถูกต้อง (1) ดังนั้นหลักส าคัญในการพูดคือควรให้เหมาะสม กับกาลเทศะ (5) (2) มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ด ารงชีวิตอยู่ร่วมกัน (1) (3) การพูดเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสาร (2) (4) เมื่อมีการพบปะกันหรือมาสังสรรค์เป็นกลุ่ม (3) (5) รูปแบบการพูดในโอกาสต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย (4) 1. (2) - (3) - (4) - (5) - (1) √ 2. (1) - (2) - (4) - (3) - (5) 3. (3) - (I2) - (1) - (4) - (5) 4. (1) - (5) - (3) - (2) - (4) 5. (2) - (4) - (3) - (5) - (1)


18 19.ข้อความนี้การเขียนมีลักษณะเด่นอย่างไร ค าว่า เข้า กับ ออก เป็นค าที่มีความหมายตรงกันข้ามกัน เข้า หมายถึง อาการที่เคลื่นไปข้างใน หรือท าให้ เคลื่อน ไปข้างไหน เช่น เข้าบ้าน เข้าถ้ า นอกจากนี้เข้า ยังหมายถึง หรือบรรจุก็ได้เช่น เข้าหีบ เข้า หมายถึง ประสมหรือแทรก เช่น เข้ายาด า และ เข้า หมายถึง รวม เช่น เข้าหุ้น เข้าทุน หรือหมายถึง รวมเป็นพวก เช่น เข้าพรรค เข้าแถว เข้าข้าง ส่วน ออก หมายถึง อาการที่เคลื่อนไปข้างนอกหรือพ้นจากที่ปิดบัง เช่น เลือดออก แดดออก นอกจากนี้ออก ยัง หมายถึง เคลื่อนจากที่ เช่น รถออก ออก หมายถึง ท าให้ปรากฏ เช่น ออกภาพทางโทรทัศน์ออกลอตเตอรี่ ออก หมายถึง ท าให้เกิดขึ้นมีขึ้น เช่น ออกกฎหมาย 1. การใช้ถ้อยค าภาษา 2. การยกตัวอย่าง 3. การเปรียบเทียบ 4. การเชื่อมโยงเนื้อหา 5. การให้นิยาม อธิบาย เรื่อง การเขียนอธิบาย 1.ความหมาย •อธิบาย ก.ไขความ,ขยายความ,ชี้แจง 2.ประเภทการอธิบาย 2.1การอธิบายตามล าดับขั้น •สังเกตจากค าบอกล าดับขั้นตอน เช่น ขั้นที่ 1,ขั้นที่ 2,1.,2.,หรือ เริ่มต้นด้วย,จากนั้น,ถัดไป,ต่อด้วย,... ท้ายที่สุด) ตัวอย่าง ๏การกราบใช้ในโอกาสที่แสดงความเคารพอย่างสูงต่อผู้มีอาวุโส ส่วนมากขณะนั่งกับพื้น การปฏิบัติมี ดังนี้ 1.คุกเข่าลงทั้งสองข้าง 2.นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า 3.ก้มตัวลงหมอบให้แขนทั้งสองข้างอยู่ข้างเข่าที่ยื่นออกมา 4.ประนมมือให้อยู่ในระดับพื้น 5.ก้มศีรษะลงจรดนิ้วหัวแม่มือ 2.2 การอธิบายโดยใช้ตัวอย่าง สังเกตค าว่า (เช่น,อาทิ,ได้แก่,ตัวอย่างเช่น และ เป็นต้น” เช่น “ผักสดที่คุณแม่บ้านจะเลือกมาท าสลัดนั้น หาได้ไม่ยากเลยทั้งจากตลาดสดใกล้บ้านหรือแม้กระทั่งใน ซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีผักมากมายให้คุณแม่บ้านได้เลือกสรรตามชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นผักไทย ๆ อย่างเช่นแตงกวา มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ กะหล่ าปลีและผักกาดหอม ...เป็นต้น” 2.3 การอธิบายโดยการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง •สังเกตจากค าแสดงการเปรียบเทียบ เช่น “แตกต่างกัน,เหมือนกัน,มากกว่า,น้อยกว่า,ดีกว่า,นุ่มกว่า ,แข็งกว่า, ฯลฯ” หรือแสดงด้านดีด้านเสียง เช่น “ ข้อดี...ข้อเสีย...,ข้อดี...ข้อจ ากัด,ส่วนดี...ส่วนด้อย ฯลฯ) เช่น “การแสดงพื้นเมือง จะมีลักษณะต่างกับเพลงพื้นเมืองตรงที่เน้น ลักษณะและลีลาการร ามากขึ้นกว่าการ เล่นเพลง ความหมายของการใช้ท่าทางจะมีมากกว่า…” 19


2.4 การอธิบายโดยการใช้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน •สังเกตจากค าเชื่อมแสดงเหตุผล เช่น “จึง,เพราะ,เพราะฉะนั้น,ดังนั้นจึง,ด้วยเหตุนี้ฯลฯ) เช่น “ในระบบของธรรมชาตินั้น น้ าจะเกิดขึ้นได้เพราะมีความชุ่มชื้นของป่าไม้แห่งเทือกขุนเขา ให้ก าเนิดต้นน้ า ล าธาร...” 2.5 การอธิบายโดยการนิยาม • สังเกตค าแสดงความหมาย เช่น “เป็น,คือ,หมายถึง,แปลว่า ฯลฯ” เช่น “สุขภาพจิต หมายถึง สภาพความสมบูรณ์ทางจิตใจของมนุษย์ซึ่งจะด ารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข” 2.6 การอธิบายโดยการกล่าวซ้ าด้วยถ้อยค าที่แปลกออกไป เช่น “ราคาน้ํามันที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความต้องการพลังงานทดแทนจากพืชพลังงานเพิ่มขึ้นตามไป ด้วย โดยเฉพาะเอทานอลโบโอดีเซล การที่ราคาน้ํามันสูงขึ้น อย่างคาดเดาไม่ถูกว่าจะไปหยุดอยู่ที่ใด ยังเป็น เหตุให้กระทรวงพลังงานออกมาตรการผลักดันการใช้แก๊ส โซฮอลล์และ ไบโอดีเซล เพื่อเป็นพลังงานทดแทน” วิเคราะห์ •ข้อความนี้มีลักษณะเด่น ค าว่า เข้า กับ ออก เป็นค าที่มีความหมายตรงกันข้ามกัน เข้า หมายถึง อาการที่เคลื่นไปข้างใน หรือท าให้ เคลื่อน ไปข้างไหน เช่น เข้าบ้าน เข้าถ้ า นอกจากนี้เข้า ยังหมายถึง หรือบรรจุก็ได้เช่น เข้าหีบ เข้า หมายถึง ประสมหรือแทรก เช่น เข้ายาด า และ เข้า หมายถึง รวม เช่น เข้าหุ้น เข้าทุน หรือหมายถึง รวมเป็นพวก เช่น เข้าพรรค เข้าแถว เข้าข้าง ส่วน ออก หมายถึง อาการที่เคลื่อนไปข้างนอกหรือพ้นจากที่ปิดบัง เช่น เลือดออก แดดออก นอกจากนี้ ออก ยัง หมายถึง เคลื่อนจากที่ เช่น รถออก ออก หมายถึง ท าให้ปรากฏ เช่น ออกภาพทางโทรทัศน์ออก ลอตเตอรี่ ออก หมายถึง ท าให้เกิดขึ้นมีขึ้น เช่น ออกกฎหมาย 1. การใช้ถ้อยค าภาษา 2. การยกตัวอย่าง 3. การเปรียบเทียบ 4. การเชื่อมโยงเนื้อหา 5. การให้นิยาม√ 20.ข้อความต่อไปนี้ใช้โวหารประเภทใด เกษตรแบบธรรมชาติที่บรรพบุรุษปู่ ย่าตายายเคยใช้มาปรับให้เข้ากับความเจริญในปัจจุบัน ปรากฏว่า ผลผลิตมีคุณภาพ อีกทั้งรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้กลับคืนสู่ความสมบูรณ์ ที่ส าคัญคือผู้บริโภค ปลอดภัยจากสารพิษ 1. เทศนาโวหาร 2. บรรยายโวหาร 3. อธิบายโวหาร 4. พรรณนาโวหาร 5. สาธกโวหาร อธิบาย เรื่อง โวหารการเขียน •โวหารในการเขียนมี5 ประเภท 1.บรรยายโวหาร คือ การเขียนบรรยายเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงตามล าดับเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา เช่น “ช้างยกขาหน้าให้ควานเหยียบขึ้นนั่งบนคอ ...หญิงบนเรือนลงบันไดมาข้างล่ าง เธอชูแขนยืนผ้าขาวม้าและข ข้าวห่อใบตองขึ้นไปให้เขา” (นิคม รายวา : ตลิ่งสูงซุงหนัก) 20


2.พรรณนาโวหาร คือ การเขียนที่สอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้ง ประทับใจ มีความรู้สึกคล้อยตามไปกับผู้เขียน เช่น “ดอกจันทน์กระพ้อร่วงพรูแต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว เกสรเล็ก ๆ แดงเรี่อแกมเหลืองลอยว่อนกระจัด พรัดพรายอยู่ในอากาศที่โปร่งสะอาดหน่อยหนึ่ง เหมือนลวดลายของตาข่ายที่คลุมไตรพระ กลีบและเกสรอาจจะ ตกลงถูกเหยียบเป็นผุยผงไป” (แม่อนงค์: แผ่นดินของเรา) 3.เทศนาโวหาร คือ การเขียนชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ชี้ให้เห็นประโยชน์หรือโทษของเรื่องที่กล่าวถึง เป็นการ ชักจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตาม เห็นด้วย หรือเพื่อแนะน า สั่งสอน ปลุกใจ หรือเพื่อให้รู้ถึงข้อเท็จจริง เช่น “โลกหรือสิ่งทั้งปวงมีลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่เป็นตัวตนของโลก มันจะเล่นงานบุคคลผู้ที่เข้าไปยึดถือ ด้วยตัณหา อุปทานนับแต่วาระแรก คือตั้งแต่เมื่ออยากได้อยากเป็น ก าลังได้ก าลังเป็น และได้แล้วเป็นแล้ว ตลอดเวลาแห่งกาลทั้งสาม ใครเข้าไปยึดถืออย่างหลับหูหลับต าแล้วก็จะมีความทุกข์อย่างเต็มที่ เหมือนอย่างที่ เราเห็นปุถุชนคนเขลาทั้งหลายเป็น ๆ กันอยู่โดยทั่วไปในโลก” (พุทธทาส : คู่มือมนุษย์) 4.อุปมาโวหาร หมายถึง การเขียนเป็นส านวนเปรียบเทียบที่มีความคล้ายคลึงกันเพื่อท ำให้ผู้อ่านเกิดความ เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการเปรียบเทียบของที่เหมือนกัน เปรียบเทียบโดยโยงความคิดไปสู่อีกสิ่งหนึ่งหรือ เปรียบเทียบข้อความตรงกันข้ามหรือข้อความที่ขัดแย้งกัน เช่น “อันสติปัญญาขงเบ้งรู้ต าราเรียกลมในอากาศหาผู้ใดเสมอมิได้อุปมาดังจะนับดาวในท้องฟ้า และหยั่ง พระมหาสมุทร อันลึกได้ครั้นเอาขงเบ้งไว้สืบไปภายหน้าเมืองกังตั๋’งก็จะเป็นอันตราย จ าจะคิดอ่านฆ่าเสีย เมือง เราจึงจะมีความสุขสืบไป” (เจ้าพระยาพระคลังหน : สามก๊ก) 5.สาธกโวหาร หมายถึง การที่ผู้เขียนหยิบยกตัวอย่างมาอ้างอิงประกอบการอธิบายเพื่อสนับสนุนข้อความที่ เขียนไว้ให้ผู้อ่านเข้าใจ และเกิดความเชื่อถือ เช่น “คนเราต้องเอาอย่างมดอย่าไปเอาหนอน เพราะมดนั้นถึงมันจะตัวเล็กนิดเดียวแต่ก็ขยันขันแข็ง สามารถลาก เหยื่อชิ้นใหญ่ ๆ ได้สบาย แต่ถึงกระนั้นมันก็กลับกินอาหารแต่น้อยจนเอวคอดกิ่ว ผิดกันกับหนอน ซึ่งเกียจคร้าน เอาแต่กินทั้งวันโดยไม่ท างานท าการอะไรจนตัวอ้วนอุ้ยอ้าย ผลสุดท้ายก็กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของนกปลา” (เจ้าพระยาพระคลังหน : สามก๊ก) วิเคราะห์ •ข้อความต่อไปนี้ใช้โวหารประเภท เกษตรแบบธรรมชาติที่บรรพบุรุษปู่ ย่าตายายเคยใช้มาปรับให้เข้ากับความเจริญในปัจจุบัน ปรากฏว่า ผลผลิตมีคุณภาพ อีกทั้งรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้กลับคืนสู่ความสมบูรณ์ ที่ส าคัญคือผู้บริโภค ปลอดภัยจากสารพิษ 1. เทศนาโวหาร 2. บรรยายโวหาร√ 3. อธิบายโวหาร 4. พรรณนาโวหาร 5. สาธกโวหาร


21 21.ค าประพันธ์ต่อไปนี้ตีความได้ว่า ผู้เขียนอยู่ในสภาพใด หงอยปนเหงาเศร้าบวกซึมขรึมเคืองเครียด ไม่โกรธเกลียดแต่ใจกายเหน็ดหน่ายแสน เหมือนไฟหมดระทดหม่นท้อคนแคลน แมกเมืองแมนแต่ไม่หมายมีใครมอง 1. คนขี้เหงา 2. คนยากจน 3. คนสิ้นหวัง 4. คนไร้เพื่อน 5. คนป่วยซึมเศร้า อธิบาย 1. ความหมายการอ่านตีความ (Interpretation) ประพนธ์ เรืองณรงค์และคณะ (2545, น. 11) กล่าวว่า การอ่านตีความ คือ การอ่านที่จะต้องท าความ เข้าใจกับความหมายแฝงที่เป็นแก่นของเรื่องที่แท้จริงที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เช่น “เห็นชางขี้อย่าขี้ตามช้าง” 1.ความหมายตรง “เห็นช้างขี้ (กองใหญ่) ก็อย่าถ่ายอุจจาระกองใหญ่เหมือนช้างเลย” 2.ความหมายแฝงที่ต้องการสื่อ “ การใหรูจักประมาณตน” 2. การพิจารณาเรื่องราวในการอ่านตีความ 2.1. พิจารณาจากเนื้อความกล่าวอย่างตรงไปตรงมา หรือใช้สัญลักษณ์ ๏ภูเขาเหลือแหล่ล้วน ศิลา หามณีจินดา ยากได้ ฝูงชนเกิดนานา ในโลก หานักปราชญ์นั้นไซร้ เลือกแล้วฤๅมี๚ ตีความ : ภูเขาที่มีหินศิลา หาแก้วมณีจินดาได้ยาก เช่นเดียวกับหมู่คนในโลกนี้ ก็หานักปราชญ์ได้ยาก 2.2. พิจารณาจากเนื้อความกล่าวกล่าวโดยเปรียบเทียบ เช่น ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้ มีพรรณ ภายนอกแดงดูฉัน ชาดบ้าย ภายในย่อมแมลงวัน หนอนบ่อน ดุจดังคนใจร้าย นอกนั้นดูงาม๚ะ๛ ตีความ : การคบการคบคนอย่ามองเพียงความงดงามภายนอก ตรงกับส านวนรู้หน้าไม่รู้ใจ หรือ ข้าง นอกสุกใสข้างในเป็นโพรง 2.3. พิจารณาจากเนื้อความกล่าวใช้สัญลักษณ์เช่น นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย เลื้อยบ่ท าเดโช แช่มช้า พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี๚ะ๛ ตีความ : ผู้มีความรู้ ความสามารถย่อมไม่อวดตน วิเคราะห์ •ตีความได้ว่า ผู้เขียนอยู่ในสภาพ หงอยปนเหงาเศร้าบวกซึมขรึมเคืองเครียด ไม่โกรธเกลียดแต่ใจกายเหน็ดหน่ายแสน เหมือนไฟหมดระทดหม่นท้อคนแคลน แมกเมืองแมนแต่ไม่หมายมีใครมอง 1. คนขี้เหงา 2. คนยากจน 3. คนสิ้นหวัง √ 4. คนไร้เพื่อน 5. คนป่วยซึมเศร้า 22


22.ถ้าจะเขียนเรียงความเรื่อง "หยุดโควิด-19" ในส่วนของเนื้อเรื่อง ควรมีข้อมูลส าคัญตาม ประเด็นในข้อใด 1. สถิติผู้ป่วย- ข้อมูลการรักษา-สถานการณ์รายวัน 2. นิยามความหมาย –แหล่งก าเนิดโรค- การแพร่ระบาด 3. การตรวจคัดกรอง- สถานที่สุ่มเสี่ยง -สถานรักษาพยาบาล 4. อาการของโรค- การติดต่อ- การป้องกันแล 5. ขั้นตอนการรักษา- การใช้ยา- การดูแลผู้ป่วย อธิบาย เรียงความ (โครงเรื่อง) 1.การวางโครงเรื่อง การวางโครงเรื่อง คือ การก าหนดแนวทาง การเขียนโดยก าหนดจากประเด็นส าคัญของเรื่องนั้น ๆ การล าดับความคิด ล าดับเหตุการณ์ก่อนหลัง และเป็นแนวทางในการค้นคว้าข้อมูล การวางโครงเรื่อง ต้องค านึงถึงการจัดการ จัดล าดับหัวข้อเรื่องที่จะเขียนให้สัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เช่น •จัดล าดับหัวข้อตามเวลาที่เกิด •จัดล าดับหัวข้อจากหน่วยเล็กไปสู่หน่วยใหญ่ •จัดล าดับตามความนิยม 2. วิธีการวางโครงเรื่อง 2.1 ตั้งประเด็นความคิดหลักไว้ตรงกลาง แล้วแตกประเด็นความคิดรองให้ได้มากที่สุด 2.2 เลือกและจัดหมวดหมู่ความคิด โดยตัดประเด็นที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวข้องน้อย ออกไป เลือกเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้อง น ามาจัดหมวดหมู่โดยใช้ล าดับหัวข้อย่อย 2.3 จัดล าดับความคิด โดยตามล าดับ เหตุผล ความส าคัญ และตามล าดับเหตุการณ์ 3. วิธีวางโครงเรื่องแบบหัวข้อ การวางโครงเรื่องด้วยการใช้หัวข้อหลัก หัวข้อรอง และหัวข้อย่อย ตัวอย่าง โครงเรื่อง นกแก้วสัตว์ปีกสวยงาม 1.ส่วนค าน า : เปิดเรื่องด้วยความหมายของสัตว์ปีก 2.ส่วนเนื้อเรื่อง : 2.1 รูปร่างลักษณะนกแก้ว 2.2 ที่อยู่อาศัย 2.3 อาหารของนก 2.4 การสืบพันธุ์ 2.5 ประโยชน์และโทษของนกแก้ว 3.ส่วนสรุป : การอนุรักษ์สัตว์ปีก และการดูแลเลี้ยงสัตว์ปีก วิเคราะห์ •ถ้าจะเขียนเรียงความเรื่อง "หยุดโควิด-19" ในส่วนของเนื้อเรื่อง ควรมีข้อมูลส าคัญตาม ประเด็นคือ 1. สถิติผู้ป่วย- ข้อมูลการรักษา-สถานการณ์รายวัน 2. นิยามความหมาย –แหล่งก าเนิดโรค- การแพร่ระบาด 3. การตรวจคัดกรอง- สถานที่สุ่มเสี่ยง -สถานรักษาพยาบาล 4. อาการของโรค- การติดต่อ- การป้องกันและการรักษา√ 5. ขั้นตอนการรักษา- การใช้ยา- การดูแลผู้ป่วย


23 23.จากข้อความนี้ข้อใดเป็นสิ่งส าคัญ ความเข้าใจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ท าให้เกิดการให้อภัย การให้อภัยจะน ามาซึ่งความรัก และความรักจะน ามาซึ่ง ความสุขภายในใจ อันเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในสังคม 1. ความเข้าใจ 2. การให้อภัย 3. ความรัก 4. ความสุข 5. ความสงบ อธิบาย เรื่อง สาระส าคัญ (main idea) สุปราณี พัดทอง และ วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข กล่าวว่า “สาระส าคัญ หรือ ความคิดหลัก (main idea) แก่นของเนื้อหาที่มีสาระครอบคลุมเนื้อความอื่น ๆ ในย่อหน้า” สาระส าคัญนี้ อาจปรากฏเป็นประโยค เรียกว่า “ประโยคใจความส าคัญ” อยู่ต้นย่อหน้า ท้ายย่อหน้า กลาง ย่อหน้า ต้นและท้ายย่อหน้า หรือไม่ปรากฏ “ประโยคใจความส าคัญ” ให้เห็นชัดเจน แต่แฝงอยู่ในเนื้อความ ส่วน สารัตถะของเรื่อง (Theme) หรือเรียกว่า "แก่นเรื่อง" หมายถึง ความคิดส าคัญของเรื่อง เป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการน าเสนอแก่ผู้อ่าน การด าเนินเรื่อง มหาวิทยาลัยรามค าแหง กล่าวว่า การด าเนินเรื่องมี 2 วิธี คือ 1.การด าเนินเรื่องแบบนิรนัย คือ การที่ผู้เขียนกล่าวถึง หลักฐาน ข้อสรุป หลักเกณฑ์ ทฤษฎีที่มี แล้วให้ ค าอธิบายข้อสรุป หลักเกณฑ์ ทฤษฎีนั้น เช่น “มดมี 3 ประเภท คือ มดนางพญา มดงาน และมดตัวผู้...” 2.การด าเนินเรื่องแบบอุปนัย คือ การกล่าวถึงตัวอย่าง ข้อมูล รายละเอียด ข้อเท็จจริง ฯลฯ ต่าง ๆ มี ค าอธิบาย แล้วจึงน าไปสู่บทสรุป หลักเกณฑ์ หรือทฤษฎี ซึ่งเป็นสาระส าคัญในตอนท้าย เช่น “สังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก คนในสังคมเห็นแก่เงินและอ านาจ เต็มไปด้วยการแก่งแย่ง ชิงดี เอารัด เอาเปรียบ รวบอ านาจผูกขาดและการฉ้อราษฎร์บังหลวง แหล่งอบายมุขต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาแทนที่ อย่างมากมาก...ปัญหาจากสภาพจิตใจ ปัญหาด้านคุณธรรม เป็นปัญหาหลักที่ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน ทัศนคติ และค่านิยมที่เน้นหนักไปในทางวัตถุดังกล่าวแล้ว” วิเคราะห์ •จากข้อความนี้ข้อที่เป็นสิ่งส าคัญ คือ ความเข้าใจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ท าให้เกิดการให้อภัย การให้อภัยจะน ามาซึ่งความรัก และความรักจะน ามาซึ่ง ความสุขภายในใจ อันเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในสังคม 1. ความเข้าใจ √ 2. การให้อภัย 3. ความรัก 4. ความสุข 5. ความสงบ


24 24.ข้อความใดใช้ภาษากับเหตุผล ต่างจากข้ออื่น 1. นี่ถ้าไม่ใช่เพราะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซ้ ายังเป็นผีการพนัน/ ชีวิตเขาคงไม่สิ้นเนื้อประดาตัวทั้ง ๆ ที่มีมรดกนับล้าน 2. ยศต าแหน่งของเขาในวันนี้ เริ่มมาจากการ รักเรียนในวัยเยาว์เมื่อท างานก็มุ่งมั่นตั้งใจด้วย ความรับผิดชอบเสมอมา 3. นักกีฬาดังอย่างเขาใคร ๆ ก็ว่าโชคช่วยแต่เบื้องหลังคือการฝึกซ้อมอย่างหนักและ ด้วยโค้ชฝีมือดีทุ่มเทปลุกปั้น 4. เหมาะแล้วกับต าแหน่งที่เธอได้สวยโดดเด่นทรงเสน่ห์ยิ่งกว่านั้นมีความฉลาดหลักแหลม เสริมอีกแรง 5. ธุรกิจยั่งยืนเป็นที่ยอมรับมายาวนาน เรารักษามาตรฐานสินค้าให้มีคุณภาพและการดูแลใส่ใจ ในบริการหลังการขาย อธิบาย 1.ความหมายของ “เหตุผล” “เหตุผล” หมายถึง หลักความจริง กฎเกณฑ์ข้อมูลที่เราใช้สนับสนุน “ข้อสรุป” •ลักษณะ ข้อสรุปอาจจะเป็น ข้อสังเกต ข้อคิด ข้อตัดสินใจ ค าวิงวอน ข้อวินิจฉัย ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน หรือข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ 2.โครงสร้างของการแสดงเหตุผล การแสดงเหตุผลจะต้องประกอบด้วย 1. “เหตุผล” และ 2. “ข้อสรุป” 3.ภาษาที่ใช้แสดงเหตุผล ภาษาที่ใช้แสดงเหตุผล มี2 ลักษณะใหญ่ คือ 1. ใช้สันธานแสดงเหตุผลแบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้ 1.1 เรียงเหตุผลไว้ก่อนข้อสรุป ใช้สันธาน กลุ่ม “จึง” “เพราะเธอไม่เชื่อฉัน เธอจึงได้วุ่นวายอย่างที่เห็นอยู่นี้” 1.2 เรียงข้อสรุปไว้ก่อนเหตุผล ใช้สันธาน กลุ่ม “เพราะ” “ฉันยอมท าตามข้อเสนอของคุณ ด้วยพิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการนี้ดี” 2. ไม่ใช้สันธานแสดงเหตุผล เช่น “วินัยเริ่มที่บ้าน สอนลูกหลานให้มีระเบียบ” (เพราะว่า วินัยเริ่มที่บ้าน เพราะฉะนั้น ( คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณน้า ฯลฯ ) สอนลูกหลานให้มีระเบียบ) วิเคราะห์ ข้อความที่ใช้ภาษากับเหตุผล ต่างจากข้ออื่น คือ 1. นี่ถ้าไม่ใช่เพราะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซ้ ายังเป็นผีการพนัน ชีวิตเขาคงไม่สิ้นเนื้อประดาตัวทั้ง ๆ ที่มีมรดก นับล้าน (เหตุ+ผล) √ 2. ยศต าแหน่งของเขาในวันนี้ เริ่มมาจากการ รักเรียนในวัยเยาว์เมื่อท างานก็มุ่งมั่นตั้งใจด้วย ความรับผิดชอบเสมอมา (ผล+เหตุ) 3. นักกีฬาดังอย่างเขาใคร ๆ ก็ว่าโชคช่วย แต่เบื้องหลังคือการฝึกซ้อมอย่างหนักและ ด้วยโค้ชฝีมือดี ทุ่มเทปลุกปั้น (ผล+เหตุ) 4. เหมาะแล้วกับต าแหน่งที่เธอได้ สวยโดดเด่นทรงเสน่ห์ยิ่งกว่านั้นมีความฉลาดหลักแหลมเสริมอีกแรง 5. ธุรกิจยั่งยืนเป็นที่ยอมรับมายาวนาน เรารักษามาตรฐานสินค้าให้มีคุณภาพและการดูแลใส่ใจ ในบริการหลังการขาย (ผล+เหตุ)


25 25. การแสดงเหตุผลข้อใด ถูกต้อง**** 1. การขุดคูคลองให้กว้างขึ้นและลึกลงท าให้น้ าระบายได้เร็ว/ และการเชื่อมคลองให้น้ าไหลลงสู่ทะเล/จะ เป็นการป้องกันน้ าท่วมได้อีกวิธีหนึ่ง/ 2. การตัดไม้ท าลายป่าท าให้ป่าต้นน้ าไม่มีน้ า/ เป็นสาเหตุของการเกิดภัยธรรมชาติ/ส่งผลให้ประชาชน ยากจนและ อดอยาก/ 3. ทีมฟุตบอลชาติไทยขยันฝึกซ้อมทุกวัน/ แม้จะหนักหน่วงเหนื่อยยาก แต่ก็พยายาม/เพราะอยากให้ความ ฝันของคนไทยทั้งชาติเป็นจริง/ 4. ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี/ที่คนไทยได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่โบราณกาล/ จนกลายเป็นวิถี ไทยที่ทุกคนท าด้วยความเคยชิน โดยไม่หวังผลตอบแทน/ 5. การมีส่วนร่วมของชาวบ้านในพื้นที่/ท าให้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาเบาบางลง/ แต่วางใจ ไม่ได้ เมื่อไรที่การ์ดตก โรคนี้มาเยือนได้เสมอ/ อธิบาย อนุมาน คือ กระบวนการคิดในการหาข้อสรุปจากเหตุผลที่มีอยู่ มี 2 ประเภท คือ วิธีนิรนัย และ วิธีอุปนัย 1.วิธีนิรนัย คือ อนุมานจากหลักความจริงทั่วไปกับกรณีเฉพาะกรณีหนึ่ง ไปสู่ กรณีเฉพาะ อีกกรณีหนึ่ง เช่น “มนุษย์ทุกคนต้องการปัจจัยสี่ ฉันเป็นมนุษย์ ฉันก็ย่อมต้องการปัจจัยสี่” 2.วิธีอุปนัย คือ อนุมานจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวมมี 3 วิธี คือ 2.1 ใช้กรณีเฉพาะหลายกรณีเป็นข้อสนับสนุน ไปสู่ข้อสรุป 2.2 ใช้กรณีเปรียบเทียบ 2.3 ใช้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน มี 3 ลักษณะคือ (1) เหตุ ไปหา ผล (ใช้ จึง) (2) ผล ไปหา เหตุ (ใช้ เพราะ) (3) ผล ไปหา ผล (ข้อความ 3 ตอน 1+2 ใช้ “เพราะ” 2+3 ใช้ “จึง” วิเคราะห์ •การแสดงเหตุผลข้อที่ ถูกต้อง 1. การขุดคูคลองให้กว้างขึ้นและลึกลงท าให้น้ าระบายได้เร็ว/ และการเชื่อมคลองให้น้ าไหลลงสู่ทะเล/จะ เป็นการป้องกันน้ าท่วมได้อีกวิธีหนึ่ง/ √ 2. การตัดไม้ท าลายป่าท าให้ป่าต้นน้ าไม่มีน้ า/ เป็นสาเหตุของการเกิดภัยธรรมชาติ/ส่งผลให้ประชาชน ยากจนและ อดอยาก/ 3. ทีมฟุตบอลชาติไทยขยันฝึกซ้อมทุกวัน/ แม้จะหนักหน่วงเหนื่อยยาก แต่ก็พยายาม/เพราะอยากให้ความ ฝันของคนไทยทั้งชาติเป็นจริง/ 4. ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี/ที่คนไทยได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่โบราณกาล/ จนกลายเป็นวิถี ไทยที่ทุกคนท าด้วยความเคยชิน โดยไม่หวังผลตอบแทน/ 5. การมีส่วนร่วมของชาวบ้านในพื้นที่/ท าให้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาเบาบางลง/ แต่วางใจ ไม่ได้ เมื่อไรที่การ์ดตก โรคนี้มาเยือนได้เสมอ/


26 26. การแสดงทรรศนะข้อใดมีความสมเหตุสมผล 1. ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ เป็นจริงเสมอโดยเฉพาะสังคมปัจจุบัน 2. มีค ากล่าวว่า "ศีลเสมอกัน ย่อมมีชีวิตร่วมกัน" ชีวิตคู่จึงต้องมีนิสัยเดียวกัน 3. วัฒนธรรมใหม่ย่อมกลืนกินวัฒนธรรมเก่าเสมอเป็นสัจธรรม 4. การมีจิตใจบริการที่ดีเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีความกระตือรือร้นและอุทิศตน 5. ตรรกะเป็นความจริงตามหลักการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ อธิบาย เรื่องความสมเหตุสมผล (validity) •ความสมเหตุสมผลของการแสดงเหตุผลและการแสดงทรรศนะ ประกอบด้วย 1.สาเหตุและผลลัพธ์ต้องสัมพันธ์กันโดยตรง. 2.น้ าหนักของเหตุผลมีเพียงพอที่จะให้สรุปเช่นนั้น. ตัวอย่างที่สมเหตุผล 1.มนุษย์ทั้งหมดต้องตาย 2.โสกราตีส เป็นมนุษย์คนหนึ่ง 3.ดังนั้น โสกราตีสจึงต้องตาย ตัวอย่างที่ไม่สมเหตุผล 1.ลูกแอปเปิลทั้งหมดเป็นผลไม้(จริง) 2.ลูกกล้วยทั้งหมดเป็นผลไม้(จริง) 3.ดังนั้น ลูกกล้วยจึงเป็นลูกแอปเปิล (เท็จ) วิเคราะห์ ข้อที่มีการแสดงทรรศนะอย่างมีความสมเหตุสมผลคือ 1. ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ เป็นจริงเสมอโดยเฉพาะสังคมปัจจุบัน 2. มีค ากล่าวว่า "ศีลเสมอกัน ย่อมมีชีวิตร่วมกัน" ชีวิตคู่จึงต้องมีนิสัยเดียวกัน 3. วัฒนธรรมใหม่ย่อมกลืนกินวัฒนธรรมเก่าเสมอเป็นสัจธรรม 4. การมีจิตใจบริการที่ดีเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีความกระตือรือร้นและอุทิศตน√ 5. ตรรกะเป็นความจริงตามหลักการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์


27 27.ข้อความนี้แสดงทรรศนะลักษณะใด ส าหรับผมการฝึกฝนเป็นสิ่งส าคัญ ผมไม่เชื่อเรื่องพรสวรรค์ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจจริงของแต่ละคนว่า อยากจะ ท าอะไร แล้วเขาทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาจะท า หรือต้องการจะเป็นหรือไม่ พรสวรรค์จึงเป็นค ากล่าวขึ้นมา เท่านั้น แต่สิ่งสําคัญ ที่มีค่าที่สุดสําหรับชีวิตมนุษย์ก็คือ ความพยายามที่จะฝึกฝนตนเองให้สามารถทําในสิ่งที่ยาก และอยากทําให้ได้และ พยายามสร้างผลงานที่เป็นตัวเราให้ชัดเจนมากขึ้น โดยแสวงหาวิธีการหรือความรู้ เพิ่มเติมเพื่อให้สิ่งที่เราเท่านั้นสัมฤทธิ์ผล 1. การอธิบาย 2. การชี้แจง 3. การโต้แย้ง 4. การวิเคราะห์ 5. การวิจารณ์ อธิบาย เรื่อง การแสดงทรรศนะ • การแสดงทรรศนะ คือ การแสดงความคิดเห็นที่ประกอบด้วยเหตุผล. • โครงสร้างการแสดงทรรศนะประกอบด้วย 1.ที่มา 2. ข้อสนับสนุน 3.ข้อสรุป • การจับประเด็นการโต้แย้ง การจับประเด็นการโต้แย้ง ให้จับกันที่ทรรศนะตัดกันอย่างตรงกันข้ามกัน จากค าว่า “แต่,ไม่,ไม่ใช่” หรือ “มี เนื้อความในทิศทางตรงกันข้าม” วิเคราะห์ •อธิบาย (ขยายความ) มี 6 ลักษณะ. •ชี้แจง (พูดขยายความ) •โต้แย้ง (เห็นแย้ง) •วิเคราะห์ (แยกแยะ) •วิจารณ์ (ติชม) •ข้อความนี้แสดงทรรศนะลักษณะ... ส าหรับผมการฝึกฝนเป็นสิ่งส าคัญ ผมไม่เชื่อเรื่องพรสวรรค์ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจจริงของแต่ละคนว่า อยากจะ ท าอะไร แล้วเขาทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาจะท า หรือต้องการจะเป็นหรือไม่ พรสวรรค์จึงเป็นค ากล่าวขึ้นมา เท่านั้น แต่สิ่งสําคัญ ที่มีค่าที่สุดสําหรับชีวิตมนุษย์ก็คือ ความพยายามที่จะฝึกฝนตนเองให้สามารถทําในสิ่งที่ยาก และอยากทําให้ได้และ พยายามสร้างผลงานที่เป็นตัวเราให้ชัดเจนมากขึ้น โดยแสวงหาวิธีการหรือความรู้ เพิ่มเติมเพื่อให้สิ่งที่เราเท่านั้นสัมฤทธิ์ผล 1. การอธิบาย 2. การชี้แจง 3. การโต้แย้ง√ 4. การวิเคราะห์ 5. การวิจารณ์


28 28. ข้อใดใช้ภาษาโต้แย้งได้ ถูกต้องเหมาะสม 1. ความคิดเห็นที่มีต่อธรรมชาติของสัตว์ป่า ยังเป็นข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง 2. การแสดงความคิดเห็นนั้นยังมีข้อสรุปที่ต้องเพิ่มเติมข้อมูลที่สืบค้นอย่างมีวิจารณญาณอีกมาก 3. จากข้อมูลที่เสนอมานั้นน่าสนใจมาก แต่ขออนุญาตเพิ่มเติมความคิดเห็นที่สอดคล้องกับข้อมูลข้างต้น 4. ข้อเสนอแนะที่น าเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาพบว่าละเอียดดีแต่ยังขาดการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ 5. ข้อเสนอควรมีความชัดเจน แต่น่าจะมีหนทางที่ดีกว่านี้และไม่ควรเสี่ยงในสถานการณ์ปัจจุบัน อธิบาย เรื่อง การโต้แย้ง 1.ความหมายโต้แย้ง การโต้แย้ง คือ การแสดงทรรศนะที่ต่างกันอย่างตรงกันข้าม แล้วต่างฝ่ายต่างหาเหตุผลมาสนับสนุน ทรรศนะตนและคัดค้านทรรศนะอีกฝ่ายหนึ่ง 2.ประเภทการโต้แย้ง 1.การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คือ การโต้แย้ง เกี่ยวกับข้อสันนิษฐาน หรือการคาดการณ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง 2.การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบาย คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเสนอแนะหรือค าแนะน าของอีกฝ่ายหนึ่ง 3.การโต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อวินิจฉัยของอีกฝ่าย 3.มารยาทในการใช้อวัจนภาษา (ภาษาท่าทาง) •สุภาพ ไม่แสดงกิริยาก้าวร้าว •เคารพอาวุโส ต าแหน่ง หน้าที่ •ค านึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กาลเทศะ 4.มารยาทในการใช้วัจนภาษา (ภาษาพูด) •ใช้ภาษาสุภาพ เช่น “ผมมีความเห็นที่ต่างออกไป” •ไม่ใช้ค าแสดงทรรศนะตรงกันข้าม เช่น “ผมไม่เห็นด้วย, ผมกลับเห็นว่า” •ไม่ต าหนิทรรศนะตรงข้ามอย่างรุนแรง เช่น “ความเห็นของคุณใช้ไม่ได้” •ไม่ยกตนข่มท่าน เช่น “ความเห็นของผมดีกว่า” •ใช้ค าว่า “ขอ” แสดงความสุภาพ วิเคราะห์ . •ข้อที่ใช้ภาษาโต้แย้งได้ ถูกต้องเหมาะสม คือ 1. ความคิดเห็นที่มีต่อธรรมชาติของสัตว์ป่า ยังเป็นข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง 2. การแสดงความคิดเห็นนั้นยังมีข้อสรุปที่ต้องเพิ่มเติมข้อมูลที่สืบค้นอย่างมีวิจารณญาณอีกมาก 3. จากข้อมูลที่เสนอมานั้นน่าสนใจมาก แต่ขออนุญาตเพิ่มเติมความคิดเห็นที่สอดคล้องกับข้อมูลข้างต้น√ 4. ข้อเสนอแนะที่น าเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาพบว่าละเอียดดีแต่ยังขาดการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ 5. ข้อเสนอควรมีความชัดเจน แต่น่าจะมีหนทางที่ดีกว่านี้และไม่ควรเสี่ยงในสถานการณ์ปัจจุบัน


29 29. น้ าเสียงโน้มน้าวข้อใด ไม่ถูกต้อง 1. "ร่วมด้วย ช่วยกัน" เกิดขึ้นเสมอในยามวิกฤติแสดงให้เห็นถึงน้ าใจคนไทยไม่ทิ้งกัน 2. ประชากรโลกสามารถช่วยกันดูแลป้องกันและร่วมมือรักษาความสมดุลของโลกได้ 3. นโยบายด้านการวางแผนการศึกษาต่อ ต้องดูความถนัดและความเก่งของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก 4. แม้มียอดผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19 อยู่ในระดับที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมูได้แล้วแต่คนไทยยังต้องยกการ์ดสูง 5. สบู่ยี่ห้อนี้ไม่มีไขมันสัตว์เจือปนและเพิ่มยาฆ่าเชื้อโรคจนสามารถป้องกันโรคผิวหนังและเชื้อราที่เกิด จากแบคทีเรียได้ดีที่สุด อธิบาย เรื่อง การโน้มน้าวใจ 1.ความหมายโน้มน้าวใจ การโน้มน้าวใจ คือ การใช้ความพยายามด้วยวิธีที่เหมาะสมจนท าให้ผู้ถูกโน้มน้าวใจเกิดความประจักษ์และ ยอมเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรม ไปในทิศทางที่ผู้โน้มน้าวใจต้องการ 2.กลวิธีโน้มน้าวใจ 2.1 การสร้างศรัทธาหรือความเชื่อถือ 2.2 การใช้เหตุผลที่มีน้ าหนักสมเหตุสมผล 2.3 การสร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วม 2.4 การให้ทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสีย 2.5 การสร้างความหรรษา 2.6 การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า 3. ลักษณะภาษาโน้มน้าวใจ 1.ไม่สั่ง ไม่บังคับ ไม่ข่มขู่ ไม่ห้าม ไม่ต าหนิ ไม่กล่าวให้เด็ดขาดลงไป 2.ชี้ให้เห็นประโยชน์ให้ปฏิบัติตาม โดยไม่ต้อง “สั่ง” 3.ชี้ให้เห็นโทษ ให้เลิกปฏิบัติ โดยไม่ต้อง”ห้าม” 4.เสนอแนะแนวทางปฏิบัติท าได้ง่าย ถูกต้อง 5.ใช้กลวิธีโน้มน้าวใจที่เหมาะสม 6.ใช้ภาษานุ่มนวล ไพเราะ มีสัมผัส จังหวะ ชวนฟัง วิเคราะห์ ๏น้ าเสียงโน้มน้าวข้อที่ ไม่ถูกต้อง คือ 1. "ร่วมด้วย ช่วยกัน" เกิดขึ้นเสมอในยามวิกฤติแสดงให้เห็นถึงน้ าใจคนไทยไม่ทิ้งกัน 2. ประชากรโลกสามารถช่วยกันดูแลป้องกันและร่วมมือรักษาความสมดุลของโลกได้ 3. นโยบายด้านการวางแผนการศึกษาต่อ ต้องดูความถนัดและความเก่งของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก√ 4. แม้มียอดผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19 อยู่ในระดับที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้แล้วแต่คนไทยยังต้องยกการ์ดสูง 5. สบู่ยี่ห้อนี้ไม่มีไขมันสัตว์เจือปนและเพิ่มยาฆ่าเชื้อโรคจนสามารถป้องกันโรคผิวหนังและเชื้อราที่เกิด จากแบคทีเรียได้ดีที่สุด


30 30. โศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดคือข้อใด แม้ความโกรธจะเป็นเพียงอารมณ์ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้แต่ความสูญเสีย ซึ่งเป็นผลงาน ของ ความโกรธนั้นสามารถปรากฏเป็นรูปธรรมได้ทั้งการทะเลาะวิวาทอาชญากรรม สงครามและการก่อการร้าย ล้วนแต่ เป็นโศกนาฏกรรมที่ก่อกําเนิดจากความโกรธแทบทั้งสิ้น ไฟโทสะไร้ตัวตนนี้สามารถเผาชีวิต ครอบครัว ชุมชน สังคมประเทศและเผาโลกให้แตกดับวอดวายอย่างน่าสลดใจ 1. เผาโลก 2. เผาชีวิต 3. เผาสังคม 4. เผาประเทศ 5. เผาครอบครัว อธิบาย เรื่อง การอ่านสรุปความ/การอ่านวิเคราะห์ การสรุปความ คือ การหยิบยกเอาความคิดหลักหรือประเด็นที่ส าคัญของเรื่องมากล่าวย้ าให้เด่นชัด โดยใช้ ประโยคสั้นๆแล้วเรียบเรียงให้เป็นระเบียบ การอ่านวิเคราะห์(มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม) กล่าวว่า การอ่านวิเคราะห์เป็นการอ่านวิเคราะห์ ความหมายของข้อความที่ผู้เขียนใช้ค าและส านวนภาษาในลักษณะต่าง ๆ มีความหมายตรง โดยนัย ตามอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน วิธีการอ่านสรุปความด้วย SQ4R 1.อ่านส ารวจข้อความ (บอกชื่อเรื่องได้) 2.ตั้งค าถาม 5w1h (ใคร (ท า) อะไร ที่ไหน เมื่อไร ท าไม อย่างไร) 3.อ่านตอบค าถาม 5w1h 3.อ่านละเอียด สรุปประเด็นส าคัญ ว่า (ความโกรธ ท าให้เกิด................) 4.อ่านวิเคราะห์ ตีความ “โศกนาฏกรรม”ร้ายแรงที่สุด วิเคราะห์ •โศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงที่สุดคือ แม้ความโกรธจะเป็นเพียงอารมณ์ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้แต่ความสูญเสีย ซึ่งเป็นผลงาน ของ ความโกรธนั้นสามารถปรากฏเป็นรูปธรรมได้ทั้งการทะเลาะวิวาทอาชญากรรม สงครามและการก่อการร้าย ล้วนแต่ เป็นโศกนาฏกรรมที่ก่อกําเนิดจากความโกรธแทบทั้งสิ้น ไฟโทสะไร้ตัวตนนี้สามารถเผาชีวิต ครอบครัว ชุมชน สังคมประเทศและเผาโลกให้แตกดับวอดวายอย่างน่าสลดใจ 1. เผาโลก √ 2. เผาชีวิต 3. เผาสังคม 4. เผาประเทศ 5. เผาครอบครัว


31 31. ข้อความนี้มีนัยตรงกับบทกลอนในข้อใด ปราชญ์ชาวจีนได้กล่าวไว้ว่า “ชมคนด้วยวาจามีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ท าร้ายคนด้วยวาจา สาหัส กว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ" 1.เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ 2.อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ 3.ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายท าลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา 4.จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู ไม่ควรพูดอื้ออึ้งขึ้นมึงกู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ 5.สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม กลิ่นประเทียบเปรียบควงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม อธิบาย เรื่อง การอ่านตีความ การอ่านตีความ หมายถึง การอานเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความคิดส าคัญของเรื่อง ความรู้สึก และ และอารมณ์สะเทือนใจจากบทประพันธ์ (หรือข้อความ) เช่น “เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง” •ตีความตามตัวษร : มูลช้างนั้นมีขนาดใหญ่กว่า มูลคน ฉะนั้น อย่าท าตามช้าง. •ตีความหมายเนื้อหา : ให้รู้จักประมาณตน •ตีความตามน าเสียง : ท าอะไร ควรดูฐานะของตนเอง ไม่ควรท าตามอย่างคนที่มีฐานะดีกว่า วิเคราะห์ •ข้อความนี้มีนัยตรงกับบทกลอนข้อ “ชมคนด้วยวาจามีค่ายิ่งกว่ามอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ท าร้ายคนด้วยวาจาสาหัส กว่าทิ่มแทงด้วยหอกดาบ" แปลความ “พูดดีเกิดคุณค่า/พูดไม่ดีให้โทษ” 1.เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ แปลความ (มนุษย์จะมี/จะจน เพราะค าพูด ถ้าพูดดีจะมีคนรัก ดังนั้น เวลาจะพูดจงพิจารณาค าพูดให้ดี) 2. อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ แปลความ (ค าพูดที่ดี ไพเราะ เสนาะหูคนฟัง แต่ค าพูดที่เหน็บแนมให้เจ็บใจ เป็นทุกข์มาก) 3.ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต แม้นพูดชั่วตัวตายท าลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา แปลความ (การพูดดี น่าเชื่อถือ จะมีคนรัก แต่การพูดไม่ดีอาจเสียชีวิตและท าลายมิตรสหายได้)√ 4.จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู ไม่ควรพูดอื้ออึ้งขึ้นมึงกู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ แปลความ (การพูดจากับผู้อื่น อย่าหยาบคาย คนอื่นเขาจะดูถูกได้) 5.สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน ไม่เหมือนแม้นพจมานที่หวานหอม กลิ่นประเทียบเปรียบควงพวงพะยอม อาจจะน้อมจิตโน้มด้วยโลมลม แปลความ (ค าพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน โน้มน้าวใจคนอื่นได้)


32 32. ค าว่า "เข็มนิ่ง" แปลความได้ว่าอย่างไร เคยสังเกตเข็มทิศกันไหม จะต้องชี้ขึ้นเหนือเสมอ หลักการใช้เข็มทิศก็คือ เมื่อเข็มหยุดนิ่งชี้ตรงไปยังทิศ เหนือแล้ว เราก็สามารถรู้ทิศอื่น ๆ ได้/เช่นเดียวกับเส้นทางชีวิต คุณต้องใช้เข็มประจ าตนเป็นเครื่องช่วยน าทางไม่ ว่าคุณจะไปทางไหน/ ขอเพียงคุณกําหนดความมั่นใจเป็นทิศเหนือทําให้เข็มหยุดนิ่งในทิศนั้น/ เมื่อเข็มนิ่งคุณก็รู้ว่า ทิศรอบข้างคืออะไร และควรจะไปทางไหนต่อเป็นหลักเบื้องต้น ในการจัดการกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้หากใจคุณ ไม่นิ่งคุณจะดูทิศต่อไปไม่ใด้ หากฝืนเดินต่อคุณอาจหลงทางหรือหาทางออกไม่พบก็เป็นได้ เมื่อเข็มนิ่งคุณก็ สามารถรู้ทิศรอบข้างคืออะไร 1. ความเที่ยงตรง 2. ความขัดเจน 3. ความมั่นใจ 4. ความตั้งใจ 5. ความแน่นอน อธิบายเรื่อง การแปลความ การอ่านแปลความ คือ ความสามารถในการแปลความหมายของสิ่งต่าง ๆ ได้ โดยแปลความลักษณะและ นัยของเรื่องราว ซึ่งเป็นความหมายที่ถูกต้อง และใช้ได้ดีส าหรับเรื่องราวนั้น ๆ โดยเฉพาะ การอ่านเเปลความ มีหลายรูปแบบ ได้แก่ 1.เเปลค าศัพท์เฉพาะเป็นภาษาธรรมดา (เเปลความหมาย) 2.เเปลส านวนโวหาร สุภาษิต 3. เเปลร้อยกรอง ให้เป็นร้อยเเก้ว เช่น “เมียท่านพิศพ่างเพี้ยง มารดา ทรัพย์ท่านคืออิฐผา กระเบื้อง รักสัตว์อื่นอาตมา เทียมเท่า กันแฮ ตรองดั่งนี้จักเปลื้อง ปลดพ้นสงสาร” (จาก “โคลงโลกนิติ”) แปลได้ความว่า “ภรรยาของผู้อื่น ให้มอง (พิศ) เสมือนหนึ่ง (พ่างเพี้ยง) มารดาของตน ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ มองเสมือนหนึ่ง หิน อิฐและกระเบื้อง รักเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้เสมอกับที่รักตนเอง (อาตมา) หากคิด ได้ดังนี้ก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร (สงสาร)” 4.เเปลความจากเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ วิเคราะห์ •ค าว่า "เข็มนิ่ง" แปลความได้ว่า เคยสังเกตเข็มทิศกันไหม จะต้องชี้ขึ้นเหนือเสมอ หลักการใช้เข็มทิศก็คือ เมื่อเข็มหยุดนิ่งชี้ตรงไปยังทิศ เหนือแล้ว เราก็สามารถรู้ทิศอื่น ๆ ได้/เช่นเดียวกับเส้นทางชีวิต คุณต้องใช้เข็มประจ าตนเป็นเครื่องช่วยน าทางไม่ ว่าคุณจะไปทางไหน/ ขอเพียงคุณกําหนดความมั่นใจเป็นทิศเหนือทําให้เข็มหยุดนิ่งในทิศนั้น/ เมื่อเข็มนิ่งคุณก็รู้ว่า ทิศรอบข้างคืออะไร และควรจะไปทางไหนต่อเป็นหลักเบื้องต้น ในการจัดการกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้หากใจคุณ ไม่นิ่งคุณจะดูทิศต่อไปไม่ใด้ หากฝืนเดินต่อคุณอาจหลงทางหรือหาทางออกไม่พบก็เป็นได้ เมื่อเข็มนิ่งคุณก็ สามารถรู้ทิศรอบข้างคืออะไร 1. ความเที่ยงตรง 2. ความขัดเจน 3. ความมั่นใจ √ 4. ความตั้งใจ 5. ความแน่นอน


33 33. สาระส าคัญของข้อความนี้คือข้อใด ไลโคปืน คือ สารสีแดงพบมากในมะเขือเทศ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ใน ร่างกาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ออกฤทธิ์ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและแอลฟ่าโทโคฟีรอลถึง 2 และ 10 เท่า ตามล าดับ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุดละลายได้ในน้ า 1. ไลโคป็นเป็นสารสีแดง 2. มะเขือเทศมีใลโคปืนมาก 3. ไลโคป็นดีกว่าเบต้าแคโรทีนและอื่น ๆ 4. ไลโคปีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ 5. ไลโคปีนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุด อธิบาย เรื่อง การอ่านสรุปสาระส าคัญ 1.ความหมาย สุปาณีพัดทอง และ วิชาติบูรณะประเสริฐสุข กล่าวว่า สาระส าคัญ หรือ ความคิดหลัก (main idea) หมายถึง แก่นของเนื้อหาที่มีสาระครอบคลุมเนื้อความอื่น ๆ ใน ย่อหน้า สาระส าคัญนี้อาจปรากฏเป็นประโยคเรียกว่า “ประโยคใจความส าคัญ” สามารถเห็นได้ชัดเจนที่ต้นย่อหน้า หรือท้ายย่อหน้า หรือ กลางย่อหน้า หรือ ปรากฏที่ต้นและท้ายย่อหน้า หรือ อาจไม่ปรากฏประโยคใจความส าคัญ ให้เห็นชัดเจน แต่แฝงอยู่ในเนื้อความ 2.ลักษณะของสาระส าคัญ สาระส าคัญมีลักษณะที่สังเกตได้คือ เป็นส่วนส าคัญที่ผู้เขียนมุ่งเน้นมากที่สุด ถือเป็นแก่นของเนื้อความ ส่วน อื่นๆ ถือเป็นส่วนขยายความ เช่น รายละเอียด ค านิยาม ตัวอย่าง เหตุผล สนับสนุนสาระส าคัญ 2.1 ประโยคใจความส าคัญ อยู่ต้นย่อหน้า 2.2 ประโยคใจความส าคัญ อย่ท้ายย่อหน้า 2.3 ประโยคใจความส าคัญ อยู่กลางย่อหน้า 2.4 ประโยคใจความส าคัญ อยู่ที่ต้นและท้ายย่อหน้า 2.5 ย่อหน้าที่ไม่มีสาระส าคัญปรากฏเป็นประโยคชัดเจน วิเคราะห์ •สาระส าคัญของข้อความนี้คือ ไลโคปืน คือ สารสีแดงพบมากในมะเขือเทศ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ใน ร่างกาย มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ออกฤทธิ์ดีกว่าเบต้าแคโรทีนและแอลฟ่าโทโคฟีรอลถึง 2 และ 10 เท่า ตามล าดับ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุดละลายได้ในน้ า 1. ไลโคป็นเป็นสารสีแดง 2. มะเขือเทศมีใลโคปืนมาก 3. ไลโคป็นดีกว่าเบต้าแคโรทีนและอื่น ๆ 4. ไลโคปีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ√ 5. ไลโคปีนมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุด


34 34. ข้อความต่อไปนี้สะท้อนความเชื่อของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเป็นส าคัญ "ดาวเรืองเป็นดอกไม้มงคลที่นิยมปลูกกันมาก คนไทยเชื่อว่าด้วยชื่อที่ มีความหมายดีและสีเหลืองดั่งทอง จะช่วยเสริมชีวิตให้ก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง ร่ ารวยเงินทอง อยู่ดีมี 1. ความสุข 2. ความก้าวหน้า 3. ความร่ ารวย 4. ความเป็นสิริมงคล 5. ความเจริญรุ่งเรือง 35. ข้อความต่อไปนี้มีนัยความหมายตรงกับข้อใด "ส าเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" เป็นภาษิตที่สอนให้เห็นความส าคัญต่อการใช้วาจาว่าค าพูดร้ายที่มีราคา ตั้งบาท แต่จริง ๆ มีค่าเพียงสลึงเดียว และสลึงเดียวนี่เองที่นําพาชีวิตไปสู่หายนะ หมดอนาคต โค่นมิตร เพิ่ม ศัตรู 1. ไม้ขีดไฟก้านเล็ก ๆ ก้านหนึ่งก่อให้เกิดทะเลเพลิงได้ 2. กระจกมัวหมองเพราะพูดร้ายโดยไม่คิด 3. กบในกะลาย่อมมองโลกภายนอกอย่างด้อยคิด 4. รอยร้าวจากตัวตึกย่อมน าพาหายนะยิ่งใหญ่ 5. เรือรั่วรูเล็ก ๆ ย่อมพายไม่ถึงฝั่ง จมสู่ก้นธารา อธิบาย เรื่อง การอ่านวิเคราะห์ 1.ความหมาย จิตต์นิภา ศรีไสย์(2549: 40) กล่าวว่า การอ่านวิเคราะห์หมายถึง การอ่านหลายๆ ครั้งอย่างไตร่ตรอง พิจารณาอย่างถี่ถ้วน สามารถแยกแยะข้อความออกได้เป็น ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นและสามารถสรุปได้ว่าสิ่งใด เป็นวิชาการและสิ่งใดเป็นการแสดงทรรศนะของผู้เขียน 2.หลักการอ่านวิเคราะห์ พนิตนันท์บุญพามี(2542: 105-110) กล่าวว่า การวิเคราะห์สามารถพิจารณาได้หลายส่วนประกอบด้วยการ วิเคราะห์ค า ประโยค ทัศนะของผู้แต่ง และรสของวรรณกรรม ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ค า บอกได้ว่าค าใดใช้อย่างไร ใช้ผิดความหมาย ผิดหน้าที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ชัดเจน 2. การวิเคราะห์ประโยค บอกได้ว่า ประโยคถูกต้องชัดเจนหรือไม่ สมบูรณ์ หรือบกพร่องอย่างไร 3. วิเคราะห์ทัศนะผู้แต่ง 4. วิเคราะห์รส (รสวรรณคดี รสเสียง รสภาพ รสความ รสค า วิเคราะห์ •ข้อความต่อไปนี้มีนัยความหมายตรงกับข้อ "ส าเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" เป็นภาษิตที่สอนให้เห็นความส าคัญต่อการใช้วาจาว่าค าพูดร้ายที่มีราคา ตั้งบาท แต่จริง ๆ มีค่าเพียงสลึงเดียว และสลึงเดียวนี่เองที่นําพาชีวิตไปสู่หายนะ หมดอนาคต โค่นมิตร เพิ่ม ศัตรู 1. ไม้ขีดไฟก้านเล็ก ๆ ก้านหนึ่งก่อให้เกิดทะเลเพลิงได้√ 2. กระจกมัวหมองเพราะพูดร้ายโดยไม่คิด 3. กบในกะลาย่อมมองโลกภายนอกอย่างด้อยคิด 4. รอยร้าวจากตัวตึกย่อมน าพาหายนะยิ่งใหญ่ 5. เรือรั่วรูเล็ก ๆ ย่อมพายไม่ถึงฝั่ง จมสู่ก้นธารา


35 36. ข้อความต่อไปนี้ผู้เขียนสะท้อนแนวคิดส าคัญเรื่องใด “ดอกบัวงามแม้อยู่ในหนองคลองละหาน เมื่อน ามาขึ้นทิ้งบูชา ยิ่งงดงามกว่าเดิม” 1. ความเคารพ 2. ความสดใส 3. ความบริสุทธิ์ 4. ความนอบน้อม 5. ความดี อธิบาย 1.ความหมายของ “ข้อคิด,แนวคิด” •ข้อคิด คือ ประเด็นที่เสนอให้คิด,ประเด็นที่ชวนให้คิด •แนวคิด คือ ความคิดที่เป็นแนวที่จะด าเนินต่อไป หรือค า วลีที่กล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน นัก การตีความขึ้นกับความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่าน •แนวคิด หมายถึง ความคิดส าคัญซึ่งเป็นแนวในการผูกเรื่องหรือความคิดอื่น ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องก็ ได้ เช่น แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องบุญกรรม แนวคิดเกี่ยวกับความรัก ความยุติธรรม ความตาย แนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือแนวคิดที่เป็นความรู้ในด้าน ต่าง ๆ •แนวคิดส าคัญของสาร คือ แนวความคิดหลักเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ปรากฏในสาร •แนวคิดหลัก (theme) คือ สารที่เป็นแนวคิดพื้นฐานในเรื่องนั้น (อาจจะมีสาระหรือไม่มีสาระก็ได้) 2.การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ การพิจารณาแนวทางการปปฏิบัติที่ดีที่ซ่อนอยู่ในบทอ่าน ซึ่ง ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เช่น “คนส่วนมากไม่ค่อยจะรู้ตัว ยังคงอยากได้อะไรที่มากขึ้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เกียรติยศ หรือ คามรัก และก็มักไม่ได้ดั่งใจนึก จึงมีความทุกข์ บางสิ่งที่เราเคยฝันไว้ พอมันเป็นความจริงตามฝันก็ยังไม่รู้สึกว่ามี ความสุข” •ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ “การไม่รู้จักพอ/การไม่รู้จักพอเป็นความทุกข์” วิเคราะห์ .• ข้อความต่อไปนี้ผู้เขียนสะท้อนแนวคิดส าคัญเรื่อง............................ “ดอกบัวงามแม้อยู่ในหนองคลองละหาน เมื่อนํามาขึ้นทิ้งบูชา ยิ่งงดงามกว่าเดิม” 1. ความเคารพ 2. ความสดใส 3. ความบริสุทธิ์ 4. ความนอบน้อม 5. ความดี√


36 37. ข้อความต่อไปนี้ ผู้กล่าวมีวัตถุประสงค์อย่างไร "ข้อคิดส่งท้ายก็คือ ก่อนที่จะคิดซื้อบ้าน ที่ดิน หรือห้องชุดเพื่อการอยู่อาศัยหรือเก็งก าไรใด ๆ ก็ตาม ต้อง ศึกษา ตลาดหาข้อมูลและไตร่ตรอง ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามนะครับ" 1. ตักเตือน 2. แนะน า 3. ให้ข้อคิด 4. โน้มน้าวใจ 5. ให้ความร ู้ 38. ข้อความต่อไปนี้มีวัตถุประสงค์อย่างไร "มารยาทในสังคมที่คนไทยทุกคนพึงมีทั้งในการแต่งกาย การพูดจา การรับประทานอาหารและการเข้าสังคม ซึ่งเป็นมารยาทพื้นฐานน าไปปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์ควรต้องใส่ใจปฏิบัติก่อนจะมีใครตําหนิว่าเราไม่มี มารยาท" 1. ตักเตือน 2. ต าหนิ 3. ให้ข้อคิด 4. สั่งสอน 5. บอกกล่าว อธิบาย 1.ความหมาย “จุดประสงค์ และเจตนา” จุดประสงค์ คือ ผลที่ประสงค์ให้บรรลุ หมายถึง ผลที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่าน ปฏิบัติ เจตนา คือ ความตั้งใจ,ความมุ่งหมาย หมายถึง ความต้องการที่ผู้เขียนต้องการให้เกิด 2.การวิเคราะห์วัตถุประสงค์หรือเจตนาผู้เขียน การวิเคราะห์คือ การแยกพิจารณาบทอ่านทั้งค า ข้อความ ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อท าความเข้าใจแต่ละส่วน ให้แจ่มแจ้ง การวิเคราะห์เจตนาผู้เขียน คือ การอ่านแยกแยะข้อความเพื่อหาความมุ่งหมายที่ผู้เขียนต้องการ 3. จุดมุ่งหมายของผู้เขียน จุดมุ่งหมาย ความหมาย ลักษณะค าที่ใช้/ตัวอย่าง แจ้งให้ทราบ บอกให้รู้,แสดงให้รู้ (เรื่องที่เขียน) •ตาของข้าพเจ้า มีอาชีพท าไร่ท านา โน้มน้าวใจ/เชิญชวน ชักชวนให้โอนอ่อนตาม . •ป่าไมบ ารุงชาติป่าพินาศชาติวอดวาย ปลุกเร้าใจ เร้าใจให้กล้าหาญหรือกระตือรือร้น •หากขาดความสามัคคีก็ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แนะน า ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ “ควร,ควรจะ” คาดคะเน คาดการณ์โดยอาศัยหลักวิชา “น่าจะ,อาจจะ,คงจะ กลุ่มค าที่มี “จะ” ชี้แจง,อธิบาย ขยายความให้เข้าใจชัดเจน “เป็น,หมายถึง,เช่น,ได้แก่, เป็นต้น” เสนอแนะ การชี้แนะ,การแนะน า “ลอง,ดู,ควร,นะ,ซิ” “มาดูตรงนี้ซิ วิวดูสวยจริงนะ” ตักเตือน พูดเขียนให้รู้ว่าอย่าท าผิด •สูบมากอย่างนี้มันไม่ดีต่อปอดแกนะ ต าหนิ,ติเตืยน ว่ากล่าวชี้ข้อบกพร่อง •พูดเบาๆ หน่อย เราอยู่ห้องสมุดนะ” สอน,สั่งสอน,อบรม บอกให้ท า,แนะน าขัดเกลานิสัย “ค าพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียก กลับมาได้ดังนั้น คิด ก่อนพูด” เตือนสติ เตือนให้รู้ตัวได้สติ “ต้องค านึงถึง, อย่าได้ประมาท, ระมัดระวัง, ต้องพิจารณาให้ดีก่อน” ท านาย บอกความเป็นไปที่จะเกิดในเบื้องหน้า “อยาก,ต้องการ,เชิญชวน,ขอให้” วิเคราะห์ •ข้อความต่อไปนี้มีวัตถุประสงค์คือ........................................................................... "มารยาทในสังคมที่คนไทยทุกคนพึงมีทั้งในการแต่งกาย การพูดจา การรับประทานอาหารและการเข้าสังคม ซึ่งเป็นมารยาทพื้นฐานน าไปปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์ควรต้องใส่ใจปฏิบัติก่อนจะมีใครตําหนิว่าเราไม่มี มารยาท" 1. ตักเตือน√ 2. ต าหนิ 3. ให้ข้อคิด 4. สั่งสอน 5. บอกกล่าว


37 39. ข้อใดคือจุดประสงค์ของผู้เขียน คนที่เปรียบเหมือนดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเองและเพื่อให้แสงสว่างสุกใสเพิ่มขึ้นจึงต้องเร่งเรียนรู้และ ค้นคว้า หาข้อมูลที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ของตนเองอย่างรู้เท่าทัน ไม่ใช่เพียงเพื่อ "หิวแสง" 1. สั่งสอน 2. ชี้แนะ 3. อบรม 4. น าเสนอ 5. ให้ความรู้ 40. ข้อใดคือเจตนาของผู้เขียน ผู้ที่เติบโตมาด้วยข้าวกันบาตรหรือรู้จักกันดีว่าเป็นเด็กวัด จะเข้าใจประเด็นส าคัญของการจัดงานวัดว่า เป็น การจัดกิจกรรมเพื่อลดช่องว่างทางสังคม เพราะกิจกรรมประกอบด้วยการท าบุญไหว้พระ ฟังเทศน์และแสวงหา ความสมดุลทางจิตใจ 1. อธิบายให้เข้าใจ 2. ชี้แจงความเป็นจริง 3. บรรยายให้เห็นภาพ 4. แสดงความคิดเห็น 5. วิเคราะห์สถานการณ์ อธิบาย 1.ความหมาย “จุดประสงค์ และเจตนา” จุดประสงค์ คือ ผลที่ประสงค์ให้บรรลุ หมายถึง ผลที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่าน ปฏิบัติ เจตนา คือ ความตั้งใจ,ความมุ่งหมาย หมายถึง ความต้องการที่ผู้เขียนต้องการให้เกิด 2.การวิเคราะห์วัตถุประสงค์หรือเจตนาผู้เขียน การวิเคราะห์เจตนาผู้เขียน คือ การอ่านแยกแยะข้อความเพื่อหาความมุ่งหมายที่ผู้เขียนต้องการ 3. จุดมุ่งหมายของผู้เขียน จุดมุ่งหมาย ความหมาย ลักษณะค าที่ใช้/ตัวอย่าง แจ้งให้ทราบ บอกให้รู้,แสดงให้รู้ (เรื่องที่เขียน) •ตาของข้าพเจ้า มีอาชีพท าไร่ท านา โน้มน้าวใจ/เชิญชวน ชักชวนให้โอนอ่อนตาม . •ป่าไมบ ารุงชาติป่าพินาศชาติวอดวาย ปลุกเร้าใจ เร้าใจให้กล้าหาญหรือกระตือรือร้น •หากขาดความสามัคคีก็ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แนะน า ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ “ควร,ควรจะ” คาดคะเน คาดการณ์โดยอาศัยหลักวิชา “น่าจะ,อาจจะ,คงจะ กลุ่มค าที่มี “จะ” ชี้แจง,อธิบาย ขยายความให้เข้าใจชัดเจน “เป็น,หมายถึง,เช่น,ได้แก่, เป็นต้น” เสนอแนะ การชี้แนะ,การแนะน า “ลอง,ดู,ควร,นะ,ซิ” “มาดูตรงนี้ซิ วิวดูสวยจริงนะ” ตักเตือน พูดเขียนให้รู้ว่าอย่าท าผิด •สูบมากอย่างนี้มันไม่ดีต่อปอดแกนะ ต าหนิ,ติเตืยน ว่ากล่าวชี้ข้อบกพร่อง •พูดเบาๆ หน่อย เราอยู่ห้องสมุดนะ” สอน,สั่งสอน,อบรม บอกให้ท า,แนะน าขัดเกลานิสัย “ค าพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียก กลับมาได้ดังนั้น คิด ก่อนพูด” เตือนสติ เตือนให้รู้ตัวได้สติ “ต้องค านึงถึง, อย่าได้ประมาท, ระมัดระวัง, ต้องพิจารณาให้ดีก่อน” ท านาย บอกความเป็นไปที่จะเกิดในเบื้องหน้า “อยาก,ต้องการ,เชิญชวน,ขอให้”


38 4.ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น สุธาสีนี ปิยพสุนทรา (https://arts.tu.ac.th ) กล่าวว่า ข้อเท็จจริง คือ เนื้อหาของสารในส่วนที่เข้าใจกันได้ทั่วไปว่าสามารถน าไปพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ แม้ว่า ในขณะเวลาที่อ่านหรือฟัง ผู้รับสารอาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในทันทีแต่ก็สามารถติดตามหาข้อพิสูจน์หรืออ่าน ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ตามแหล่งที่มาของข้อมูลที่ผู้ส่งสารอ้างอิงไว้เช่น “อะเซโลรา เชอร์รี่เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินซีมีโปรตีนและแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะ เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม” ความคิดเห็น คือ ข้อความที่แสดงความรู้สึกนึกคิดของบุคคล ไม่สามารถน าไปพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ มักมี ลักษณะเป็นการประเมินคุณค่า ตัดสิน และมีความเป็นอัตวิสัย เช่น “นางสาวไทยปีนี้ สวยกว่าปีที่แล้ว” 5.การสังเกตข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น ข้อเท็จจริงมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นวัตถุวิสัย (Objective คือ การยึดตามข้อเท็จจริงเป็นหลัก) พิสูจน์จับต้อง มองเห็นเป็นประจักษ์ได้แต่ความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ผ่านการประเมินคุณค่า เป็นมุมมองของบุคคลหรือหมู่คณะ มี ความเป็นอัตวิสัย (Subjective คือขึ้นอยู่กับความคิด ความชอบ อารมณ์ส่วนตัว) ค่อนข้างสูง สุธิดา สุนทรวิภาค (๒๕๓๗) ได้รวบรวมรูปภาษาแสดงทัศนะและการคาดเดา ไว้ดังนี้ ภาษาแสดงทัศนะ “น่า(จะ) เป็นที่น่าสงสัย(ว่า) เป็นที่น่าสังเกต(ว่า) น่าสันนิษฐานได้(ว่า) น่าสังเกต(ว่า)กล่าวได้(ว่า) ข้อที่น่าสังเกต (คือ)” เช่น “รัฐบาลต้องก าหนดแนวนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการอย่างจริงจังบ้าง” ภาษาแสดงการคาดเดา “เห็น(จะ) อาจ(จะ) ย่อม(จะ) คง(จะ) ดู(จะ) ดูเหมือน(ว่า) คงมีความเป็นไปได้(ว่า) คงจะเป็นที่ทราบกันแล้ว(ว่า) อาจกล่าวได้(ว่า)” เช่น “ดูเหมือนว่า ปิโตรเลียมเป็นยาด าที่แทรกอยู่ในชีวิตประจ าวันของทุกคน” วิเคราะห์ ๏ข้อที่เจตนาของผู้เขียน คือ.................... ผู้ที่เติบโตมาด้วยข้าวกันบาตรหรือรู้จักกันดีว่าเป็นเด็กวัด จะเข้าใจประเด็นส าคัญของการจัดงานวัดว่า เป็น การจัดกิจกรรมเพื่อลดช่องว่างทางสังคม เพราะกิจกรรมประกอบด้วยการท าบุญไหว้พระ ฟังเทศน์และแสวงหา ความสมดุลทางจิตใจ 1. อธิบายให้เข้าใจ 2. ชี้แจงความเป็นจริง 3. บรรยายให้เห็นภาพ 4. แสดงความคิดเห็น √ 5. วิเคราะห์สถานการณ์


39 41. ข้อความนี้ภาษามีความส าคัญอย่างไร ผู้มีความฉลาดด้านภาษาเป็นผู้มีความสามารถด้านการอ่านการเขียน รวมถึงการสื่อสารด้านการฟังและการ พูด มักจะมีความสุข สามารถใช้ภาษาได้อย่างสละสลวย พูดน่าฟังท าให้คนอื่นคล้อยตามได้บางคนชอบการ เขียน สามารถเขียนเล่าเรื่องราวเป็นตัวอักษรได้น่าติดตาม แต่งกลอนได้ดีและชอบอ่านหนังสือ กลุ่มคนที่มี ความฉลาดทาง ด้านภาษา ได้แก่ นักเขียน นักกวีนักหนังสือพิมพ์นักการทูต นักการเมือง นักพูด เป็นต้น 1. ภาษาพาฉลาด 2. ภาษาพารอบรู้ 3. ภาษาพาสุข 4. ภาษาพาก้าวหน้า 5. ภาษาพาสู่อาชีพ อธิบาย เรื่อง การอ่านจับใจความส าคัญ 1.ความหมายการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความสําคัญ คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดส าคัญหลักของข้อความหรือ เรื่องที่อ่าน ซึ่งเป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด 2. การจับใจความส าคัญแต่ละย่อหน้า 2.1 ใจความส าคัญอยู่ต้นของย่อหน้า และมีประโยคสนับสนุนอยู่ถัดไป เช่น งานอดิเรกคืองานที่ไม่ใช่งานอาชีพโดยตรง แต่เป็นงานที่คนชอบทําเป็นพิเศษ เช่น นักการเมืองที่ชอบ เล่นดนตรี ย่อมพอใจคนสนทนาทางดนตรีมากกว่าทางการเมือง ครูที่ชอบการเมือง ย่อมเอาใจใส่การเมือง มากกว่าการศึกษา รัฐบุรุษที่ชอบเล่นของเก่า ย่อมพอใจพบผู้สนใจทางของเก่ามากกว่าการปกครอง หมอกฎหมายที่สนใจทางประวัติศาสตร์ ย่อมพอใจสนทนาประวัติศาสตร์มากกว่าทางกฎหมาย รวมความว่า ตามปรกติเราพอใจสนทนาตอบข้อถามในเรื่องอดิเรกมากกว่าในงานที่ท าอยู่จริง 2.2 ใจความส าคัญอยู่ท้ายย่อหน้า และมีประโยคสนับสนุนอยู่ตอนต้น เช่น บางคนชอบปลูกไม้ดอกไม้ผล เมื่อเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดที่จะท าดอกผลนั้นให้งดงามน่าดู ยิ่งขึ้น จึงมีผู้น าผลไม้มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางลงในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้น เกิดจาก การตัด ผ่า ปอก คว้าน และแกะสลัก ส่วนไม้ดอกไม้ดอกก็น ามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่ม หรือปักลงในแจกันก็ได้ แสดงว่า ศิลปะกับชีวิตเป็นส่วนที่แยกกันไม่ออก 2.3 ใจความส าคัญอยู่ต้นย่อหน้าและท้ายย่อหน้า มีประโยคสนับสนุนอยู่ตรงกลาง เช่น ศิลปะกับวัฒนธรรมในบ้านเมืองเรามักจะสอดคล้องกับการดําเนินชีวิตประจําวัน ตัวอย่างบางคนชอบ ปลูกไม้ดอกไม้ผล เมื่อเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดที่จะท าดอกผลนั้นให้งดงามน่าดูยิ่งขึ้น จึงมีผู้น าผลไม้ มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางลงในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้นเกิดจากการตัด ผ่า ปอก คว้าน และแกะสลัก ส่วนไม้ดอกไม้ดอกก็น ามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่ม หรือปักลงในแจกันก็ได้ แสดงว่า ศิลปะกับชีวิตเป็นส่วนที่แยกกันไม่ออก 2.4 ใจความส าคัญอยู่กลางย่อหน้า และมีประโยคสนับสนุนอยู่ตอนต้นกับตอนท้าย เช่น ศิลปะแห่งการฟังนั้นไม่ได้หมายถึงการนั่งนิ่ง ปล่อยให้คนอื่นพูดอย่างเดียว แล้วก็ฟังเหมือนฟังเทศน์ การ ท าเช่นนั้นง่ายเกินไปกว่าที่จะนับว่าเป็นศิลปะ ศิลปะการฟังจึงหมายถึง ความสามารถที่จะชักจูงผู้พูดให้หันเหเข้า หาเรื่องที่เขาถนัดที่สุด คือแสดงให้เห็นว่า ตนก าลังฟังค าพูดของเขาด้วยความตั้งใจ อยากรู้อยากฟัง จริง ๆ รู้จักสอดค าถามในโอกาสที่เหมาะ รู้จักปล่อยให้ผู้พูด พูดจนสิ้นกระแสความ และรู้จักช่วยผู้พูดที่ก าลังจะหมด เรื่องพูดให้กลับมีเรื่องขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เขาพูดได้ต่อไป วิเคราะห์ ข้อความนี้ภาษามีความส าคัญ คือ............................................................ “ผู้มีความฉลาดด้านภาษาเป็นผู้มีความสามารถด้านการอ่านการเขียน รวมถึงการสื่อสารด้านการฟังและ การพูด มักจะมีความสุข …” 1. ภาษาพาฉลาด 2. ภาษาพารอบรู้ 3. ภาษาพาสุข √ 4. ภาษาพาก้าวหน้า 5. ภาษาพาสู่อาชีพ


40 42. ข้อใดเกี่ยวข้องกับค ากล่าวนี้ "วัฒนธรรมไทยเป็นมรดกของสังคมไทย" 1. วัฒนธรรมไทยมีคุณค่าควรรักษาไว้ 2. วัฒนธรรมไทยมีความเป็นมายาวนาน 3. วัฒนธรรมไทยมีเอกลักษณ์ชัดเจน 4. วัฒนธรรมไทยพัฒนาจิตใจให้ดีงาม 5. วัฒนธรรมไทยถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ อธิบาย เรื่อง การอ่านแปลความ 1.การแปลความ การแปลความ คือ ความสามารถในการแปลความหมายของสิ่งต่าง ๆ ได้ โดยแปลความลักษณะและนัย ของเรื่องราว ซึ่งเป็นความหมายที่ถูกต้องและใช้ได้ดีส าหรับเรื่องราวนั้น ๆ โดยเฉพาะ 2. รูปแบบการอ่านแปลความ กองเทพ เคลือบพณิชกุล (2542, น. 105-106) กล่าวสรุปไว้ดังนี้ การอ่านแปลความมีหลายรูปแบบ คือ 1. แปลค าศัพท์เฉพาะให้เป็นภาษาธรรมดา เป็นการแปลความหมายจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง เช่น ๏ทรงพระราชด าเนิน=เดิน ๏พระราชหัตถเลขา=จดหมาย ๏บุปผา=ดอกไม้ ๏โจทก์=ผู้ฟ้อง ๏ตุ๋น=หลอกลวง วิธีปรุงอาหารอย่างหนึ่ง เป็นต้น 2. แปลข้อความเดิมที่เป็นส านวนโวหารเป็นข้อความใหม่ที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นภาษาอีก ระดับหนึ่ง เช่น ๏กระดูกสันหลังของประเทศเจอโรคจู๋ของข้าว = ชาวนาประสบปัญหาโรคข้าวชะงักการเจริญเติบโต 3. แปลส านวน สุภาษิต ค าพังเพย หรือค าร้อยกรอง หรือค าภาษาบาลีสันสกฤต ที่ไทยน ามาใช้ให้เป็นภาษา สามัญ หรือในทางกลับกัน เช่น •ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ แปลความว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม •พิศพักตร์ผ่องเพียงบุหลันฉาย แปลความว่า ใบหน้าผุดผ่องราวกับแสงจันทร์ •ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แปลความว่า มีวิชาความรู้มากแต่ไม่สามารถพาตนเองให้รอดพ้น จากความหายนะและภัยพิบัติได้ 4. แปลเครื่องหมายต่าง ๆ เช่น › แปลว่า มากกว่า ‹ แปลว่า น้อยกว่า เป็นต้น วิเคราะห์ •ข้อที่เกี่ยวข้องกับค ากล่าวนี้คือ "วัฒนธรรมไทยเป็นมรดกของสังคมไทย" (มรดก มาจากค าภาษาสันสกฤตว่า มฤตก (อ่านว่า มฺรึ-ตะ-กะ) แปลว่า ผู้ตาย ที่เกี่ยวกับ ผู้ตาย. ในภาษาไทยใช้หมายถึง สิ่งที่ได้จากผู้ตาย สิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือสิ่งที่สืบทอด มาแต่อดีตกาล.) 1. วัฒนธรรมไทยมีคุณค่าควรรักษาไว้ 2. วัฒนธรรมไทยมีความเป็นมายาวนาน 3. วัฒนธรรมไทยมีเอกลักษณ์ชัดเจน 4. วัฒนธรรมไทยพัฒนาจิตใจให้ดีงาม 5. วัฒนธรรมไทยถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ√


41 43. ข้อใด อนุมานไม่ได้จากข้อความนี้ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า "อารมณ์ท าให้เกิดความสนใจ และความสนใจท าให้เกิดการเรียนรู้" สั่งเร้าที่ มีลักษณะนี้ได้แก่ อะไรใหม่ ๆ อะไรที่มีการเคลื่อนไหว อะไรที่มีแสงวูบวาบฉูดฉาด รวมทั้งอะไรที่แรง ๆ เช่น กลิ่นแรง ๆ เสียงดัง ๆ คลื่นความถี่ เป็นต้น ลักษณะนี้จะดึงดูดความสนใจของคนได้ดี 1. ดอกราตรีส่งกลิ่นยามค่ าคืน 2. ชุดกีฬามียี่ห้อแขวนโชว์ไว้ในตู้ 3. มือถือรุ่นนี้เพิ่งวางขายในระบบ 5G 4. ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ 5. เด็กวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์กลางดึก 44. ข้อใด อนุมานได้ ถูกต้อง ช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นช่วงฤดูฝนมีพายุเข้าประเทศไทยหลายลูกบางครั้งต่อเนื่องถึงเดือน ตุลาคม มีน้ าหลากมาทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง อาจท าให้น้ าท่วมกรุงเทพฯ ได้ 1. ทุกปีหน้าฝนน้ าท่วมกรุงเทพฯ 2. น้ าอาจท่วมกรุงเทพ ฯ หากมีพายุเข้า 3. หน้าฝนมีช่วงฝนตกหนักระยะยาวถึง 3 เดือน 4. กรุงเทพฯ เกิดน้ าท่วมได้ในฤดูฝน 5. ประเทศไทยฝนตกเพราะมีพายุเข้าหลายถูกความรู้ อธิบาย เรื่อง การอนุมานจากเรื่องที่อ่าน 1.ความหมาย การอนุมาน (Inference) คือ การสรุปหรือข้อสรุปที่เราได้มาตามความรู้ความเข้าใจของเราถึงสิ่งที่ผู้พูดหรือ ผู้เขียนบอกเราโดยอ้อม กล่าวคือ ผู้พูดหรือผู้เขียนกล่าวถึงอะไรบางอย่างโดยบอกให้เรารู้เป็นนัย (imply) ในขณะ ที่ผู้ฟังหรือผู้อ่านอนุมาน (infer) ความคิดต่างๆ ตลอดจน ทัศนคติหรือความคิดเห็นผู้พูดหรือผู้เขียน (จาก ข้อความที่มีอยู่) เช่น “เขามาสายอีกแล้ว” 1.อนุมานได้ว่า คนที่มาสาย เป็นผู้ชาย จากค าว่า “เขา” 2.อนุมานได้ว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาผู้นั้นมาสาย จากค าว่า “อีกแล้ว" 2.อนุมานได้/อนุมานไม่ได้ 2.1 อนุมานได้ คือ การสรุปได้ เพราะมีข้อมูลให้มา ทั้งนี้ข้อมูลที่ให้มา อาจปรากฏอยู่ในข้อความที่ให้มา หรือ จากเรื่องที่ได้เรียนมา หรือมีความรู้มา 2.2 อนุมานไม่ได้ คือ การสรุปไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลให้มา วิเคราะห์ •ข้อที่ อนุมานไม่ได้จากข้อความนี้คือ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า "อารมณ์ท าให้เกิดความสนใจ และความสนใจท าให้เกิดการเรียนรู้" สิ่งเร้าที่ มีลักษณะนี้ได้แก่ อะไรใหม่ ๆ อะไรที่มีการเคลื่อนไหว อะไรที่มีแสงวูบวาบฉูดฉาด รวมทั้งอะไรที่แรง ๆ เช่น กลิ่นแรง ๆ เสียงดัง ๆ คลื่นความถี่ เป็นต้น ลักษณะนี้จะดึงดูดความสนใจของคนได้ดี 1. ดอกราตรีส่งกลิ่นยามค่ าคืน 2. ชุดกีฬามียี่ห้อแขวนโชว์ไว้ในตู้√ 3. มือถือรุ่นนี้เพิ่งวางขายในระบบ 5G 4. ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ 5. เด็กวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์กลางดึก


45 45. ข้อใด อนุมาน ได้ด้วยหลักการเหตุผล 1. มนุษย์มีกรรม คือสัจธรรมของชีวิต 2. ทิ้งขยะไม่ถูกที่ หมดราศรีไปทั้งเมือง 3. ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของลูก 4. งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข 5. โควิด-19 โรคร้าย ท าลายมนุษย์หมดโลก อธิบาย เรื่อง อนุมาน 1.ความหมาย อนุมาน • การอนุมาน (inference) เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดขึ้นเมื่อการอ้างเหตุผลทั้งแบบนิรนัยและอุปนัย 2.โครงสร้างเหตุผล เหตุผล ผลลัพธ์ ข้อสนับสนุน ข้อสรุป 3.ความสัมพันธ์ระหว่างข้อสนับสนุน+ข้อสรุป 4.การอ้างเหตุผลมี 2 ประเภท คือ 4.1การอ้างเหตุผลที่ดี (good argument) 4.2 การอ้างเหตุผลที่ไม่ดี (bad argument) 5.การอ้างเหตุผลที่สมบูรณ์ ( sound argument) การอ้างเหตุผลที่สมบูรณ์ = การอ้างเหตุผลที่สมเหตุสมผล.+การมีข้ออ้างที่เป็นจริง. ตัวอย่าง • มนุษย์ทุกคนต้องตาย (จริง) • ฉันเป็นมนุษย์ (จริง) • ฉันต้องตาย (จริง) วิเคราะห์ ข้อที่ อนุมาน ได้ด้วยหลักการเหตุผล คือ... 1. มนุษย์มีกรรม/ คือสัจธรรมของชีวิต √ 2. ทิ้งขยะไม่ถูกที่/ หมดราศรีไปทั้งเมือง 3. ครู/เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของลูก 4. งานคือเงิน เงินคืองาน/ บันดาลสุข 5. โควิด-19 โรคร้าย/ ท าลายมนุษย์หมดโลก


46 46. ข้อความต่อไปนี้ ผู้พูดมีน้ าเสียงอย่างไร "โดยส่วนตัวของผมกินได้หมดไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์แปรรูปหรืออาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะถ้าจะเอาจริง มันก็มี เชื้อโรคอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่มีอะไร" 1. ไม่วิตก 2. ไม่เชื่อถือ 3. ไม่ใส่ใจ 4. ไม่ร้อนใจ 5. ไม่กลัว 47. ข้อความต่อไป นี้ผู้เขียนมีน้ าเสียงเช่นไร การศึกษาที่มุ่งเพียงส่งเสริมนักเรียนให้เรียนรู้เรื่องหลักการและทฤษฎีโดยละเลยความส าคัญของการ น าไปใช้ในชีวิตจริงและขาดวิจารณญาณท าให้นักเรียนหัวโต ตัวลีบ แขนขาอ่อนแรง ไร้สมอง ไม่รู้จักคิด ปรับใช้ ให้เกิดประโยชน์นี่หรือคือการศึกษาที่ทําให้เกิดความงอกงาม 1. เหยียดหยาม 2. ดูถูก 3. เสียดสี 4. ประชดประชัน 5. กระแนะกระแหน อธิบาย เรื่อง น้ าเสียง 1.ความหมาย “น้ าเสียง” น้ าเสียง คือ เจตนา ท่าที ความรู้สึกของผู้เขียนที่แสดงออกมาในงานเขียน 2.ตัวอย่าง ความรู้สึก น้ าเสียง ท่าทีของผู้เขียน ผู้พูด ความรู้สึก น้ าเสียง ความหมาย ตัวอย่างประโยค ประณาม กล่าวร้ายให้เขาเสียหาย •“ทรพี...เนรคุณ...คนอกตัญญูชัด ๆ” บริภาษ กล่าวติเตียน,กล่าวโทษ,ด่าว่า •ไอ้ทึ่ม ไอ้โง่ ไอ้ควาย เหี้ย อีดอก สาปแช่ง กล่าวมุ่งร้ายให้ผู้อื่นเป็นอันตราย •ถ้าใครกล่าวเท็จ ขอสาปแช่งผู้นั้นให้ สอบตก ประชด พูดแดกดันเพราะความไม่พอใจ •คุณตรงต่อเวลาเสมอ! เหน็บแนม อาการที่พูดเสียดสี •‘เธอเก่งไม่เบาเชียว . . .ขนาดหัวทื่อ อย่างนี้นะ!’ เสียดสี เหน็บแนมด้วยความอิจฉา •“วัวมันเป็นสัตวนี่คุณมันจะรู้จักอาย ยังไงได้แต่มนุษยแท้ ๆ บางคนยังไม่รู้จัก ความอายเลย” เยาะเย้ย/เย้ยหยัน แสดงกิริยาซ้ าเติมให้ได้อาย •“ตายไปแล้ว อย่าบริจาคร่างกายนะ เดี๋ยว นศ.ตกใจ อาจารย์ใหญ่ไม่มีสมอง” แดกดัน ประชดให้เจ็บใจ •“แม่เทพธิดาของคุณน่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่คุณเข้าใจหรอก หล่อนหนีตามผู้ชายไปตั้งนาน” ดูแคลน,ดูถูก พูดชิงดูหมิ่นหรือเหยียดหยาม •“คนอย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์ได้ เกรด4 วิชาภาษาไทยหรอก” ถากถาง มีเจตนาว่าให้เจ็บใจ •“คนสวย...กากี ชอบแย่งแฟนคนอื่น” ปลอบใจ,ปลอบประโลม ปลอบใจหรือให้สติ •“อย่าเสียใจไปเลยว้า” “แค่นี้เอง เรื่องจิ๊บจ๊อย” ให้ก าลังใจ กระตุ้นความรู้สึกให้ดีขึ้น •“สู้เขา! เชิดหน้าเข้าไว้!” จรรโลงใจ ช่วยให้ดียิ่งขึ้น •“ท าใจสบายๆ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความส าเร็จอยู่ที่นั่น”


47 ความรู้สึก น้ าเสียง ความหมาย ตัวอย่างประโยค เตือน พูดย้ าเพื่อกันลืม,บอกให้รู้ตัว “น้องปูพูดเสียงดัง เสียงกระชากไม่มีหาง เสียงนะ” เห็นใจ เห็นอกเห็นใจ “น่าสงสารจริงๆ เลย” “เสียใจด้วยนะ โชคร้ายจริงๆ” ตัดพ้อ พูดต่อว่าด้วยความน้อยใจหรือ เสียใจ “ไหนพระผ่านฟ้าสัญญาน้อง จะปกป้อง ครองความพิสมัย” (อิเหนา) หดหู่ อาการที่รู้สึกห่อเหี่ยวไม่สดชื่น “อนิจจา! ตายจริง! โอ้! มันฆ่าฟันพี่น้องเพื่อครองเเผ่นดิน” สงสาร เห็นใจในความเดือดร้อน “โถ...ไม่น่าเป็นเช่นนี้เลย” เสียใจ ไม่สบายใจเพราะมีเรื่องไม่สม ประสงค์ “เพราะหลงเชื่อค าของเธอ จึงต้องน้ าตา เช็ดหัวเข่า” คร่ าครวญ ร้องร่ าร าพัน ๏ จากมามาลิ่วล้ า ล าบาง บางยี่เรือราพลาง พี่พร้อง เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน มานา บางบ่รับค าคล้อง คล่าวน้ าตาคลอ ยกยอ ยกย่อง,พูดส่งเสริมให้ดีขึ้น “เธอ คนสวยปานนางฟ้า” ว่ากล่าว ต าหนิ,ตักเตือน,สั่งสอน “มาท างานสายเป็นประจ านะ” ชักชวน ชวนให้ท าด้วยกัน “ลดเสี่ยง เลี่ยงภัย ร่วมสร้างวินัย รักษากฎ จราจร” ตักเตือน พูดให้รู้ว่าอย่าท าผิด “คุณช่วยระวังเสียงของคุณหน่อยได้ไหม คะ” วิงวอน เฝ้าร้องขอ,ขอด้วยอาการออด “ได้โปรดเถอะ อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ” ท้อแท้ อ่อนเปลี้ยเพลียใจ “หมดสิ้นแรงพลัง หมดความหวังแม้เริ่มต้น ใหม่” ผิดหวัง ไม่สมหวัง,ไม่ได้ดั่งที่หวัง “แพ้แล้วยอมรับ สู้เขาไม่ได้ ฉันยอมแล้ว” ภูมิใจ กระหยิ่มใจ,รู้สึกมีเกียรติ “ดีใจมาก ๆ ที่เห็นแม่มีความสุขคะ” วิเคราะห์ •ข้อความต่อไปนี้ ผู้พูดมีน้ าเสียง "โดยส่วนตัวของผมกินได้หมดไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์แปรรูปหรืออาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะถ้าจะเอาจริง มันก็มี เชื้อโรคอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่มีอะไร" 1. ไม่วิตก √ 2. ไม่เชื่อถือ 3. ไม่ใส่ใจ 4. ไม่ร้อนใจ 5. ไม่กลัว


48 48. ข้อความต่อไปนี้ ข้อใด คือแนวคิดส าคัญ การให้และการแบ่งปันจะส าเร็จลงได้ต้องอาศัย "การให้โอกาส" เป็นจุดเริ่มต้นส าคัญจุดหนึ่ง เช่น ถ้าผู้ให้ ต้องการ จะให้แต่ถูกผู้รับปฏิเสธการรับ การให้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ดังนั้น ผู้รับจึงถือเป็นผู้ให้เช่นกัน เพราะเป็นผู้ "ให้โอกาส" การให้จึงเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ 1. การให้กับการรับเป็นสิ่งคู่กัน 2. การให้มีความส าคัญกว่าการรับ 3. การรับมีคุณค่ามากกว่าการให้ 4. การให้กับการรับส าคัญเท่ากัน 5. การรับเป็นการให้อย่างหนึ่ง อธิบาย เรื่อง แนวคิด 1.ความหมายของ “ข้อคิด,แนวคิด” ข้อคิด คือ ประเด็นที่เสนอให้คิด,ประเด็นที่ชวนให้คิด แนวคิด คือ ความคิดที่เป็นแนวที่จะด าเนินต่อไป หรือค า วลีที่กล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน นัก การตีความขึ้นกับความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่าน แนวคิด หมายถึง ความคิดส าคัญซึ่งเป็นแนวในการผูกเรื่องหรือความคิดอื่น ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง ก็ได้ เช่น แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องบุญกรรม แนวคิดเกี่ยวกับความรัก ความยุติธรรม ความตาย แนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือแนวคิดที่เป็นความรู้ในด้าน ต่าง ๆ 2.การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ การพิจารณาแนวทางการปปฏิบัติที่ดีที่ซ่อนอยู่ในบทอ่าน ซึ่ง ผู้เขียนต้องการจะสื่อ 3.ตัวอย่างแนวคิด 1.ความกตัญญู 2.ความซื่อสัตย์ 3.ความจงรักภักดี 4.ความเสียสละ 5.ความอดทน 6.ความเมตตากรุณา 7.ความมีระเบียบวินัย 8.ความสามัคคี 9.ความขยันหมั่นเพียร 10.ความไม่ประมาท 11.จิตอาสา 12.มุมานะ วิเคราะห์ •ข้อความต่อไปนี้ มีแนวคิดส าคัญ คือ... การให้และการแบ่งปันจะส าเร็จลงได้ต้องอาศัย "การให้โอกาส" เป็นจุดเริ่มต้นส าคัญจุดหนึ่ง เช่น ถ้าผู้ให้ ต้องการ จะให้แต่ถูกผู้รับปฏิเสธการรับ การให้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ดังนั้น ผู้รับจึงถือเป็นผู้ให้เช่นกัน เพราะเป็นผู้ "ให้โอกาส" การให้จึงเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ 1. การให้กับการรับเป็นสิ่งคู่กัน 2. การให้มีความส าคัญกว่าการรับ 3. การรับมีคุณค่ามากกว่าการให้ 4. การให้กับการรับส าคัญเท่ากัน 5. การรับเป็นการให้อย่างหนึ่ง√


49 49. จากข้อความนี้สาระส าคัญคือข้อใด ชีวิตจะดีได้ก็เพราะความฝักใฝ่ ในการศึกษา ชีวิตที่ไม่รู้จักการศึกษา จะเป็นชีวิตที่เจริญไม่ได้ แต่ การศึกษาในที่นี้ไม่ส าคัญว่าจะต้องศึกษาในโรงเรียน การศึกษาในโรงเรียนอาจจะมีความส าคัญอยู่บ้าง ถ้า หากว่าท าให้เราดีขึ้นเจริญ ขึ้นอย่างแท้จริง แต่ถ้าศึกษาแล้วยิ่งท าให้เราเลวลงเรื่อย ๆ มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ย่อมมิใช่การศึกษาที่ถูกทาง 1. การศึกษาจะมีอยู่ที่ใดก็ได้ 2. ชีวิตจะดีได้ต้องใฝ่ การศึกษา 3. การศึกษาในโรงเรียนไม่ส าคัญ 4. การศึกษาที่ดีท าให้เราเจริญขึ้นอย่างแท้จริง 5. ชีวิตจะไม่งอกงามถ้าไม่มีการศึกษา อธิบาย เรื่อง สาระส าคัญ/ใจความส าคัญ 1.ความหมายสาระส าคัญ สุปาณี พัดทอง และ วิชาติ บูรณะประเสริฐสุข กล่าวว่า “ สาระส าคัญ หรือ ความคิดหลัก (main idea) หมายถึง แก่นของเนื้อหาที่มีสาระครอบคลุมเนื้อความอื่นๆ ในย่อหน้า” สาระส าคัญนี้อาจปรากฏเป็นประโยค เรียกว่า “ประโยคใจความส าคัญ” สามารถเห็นได้ชัดเจนที่ต้นย่อหน้า หรือท้ายย่อหน้า หรือ กลางย่อหน้า หรือ ปรากฏที่ต้นและท้ายย่อหน้า หรือ อาจไม่ปรากฏประโยคใจความส าคัญ ให้เห็นชัดเจน แต่แฝงอยู่ในเนื้อความ (ซึ่งผู้อ่านต้องสรุปเอง) 2.ความหมายการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความสําคัญ คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดส าคัญหลักของข้อความหรือเรื่องที่ อ่าน ซึ่งเป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด 3. การจับใจความส าคัญแต่ละย่อหน้า 3.1 ใจความส าคัญอยู่ต้นย่อหน้า “งานอดิเรก คือ งานที่ไม่ใช่งานอาชีพโดยตรง แต่เป็นงานที่คนชอบทําเป็นพิเศษ เช่น นักการเมืองที่ชอบ เล่นดนตรีย่อมพอใจคนสนทนาทางดนตรีมากกว่าทางการเมือง ครูที่ชอบการเมือง ย่อมเอาใจใส่การเมือง มากกว่าการศึกษา ...” 3.2 ใจความส าคัญอยู่ท้ายย่อหน้า “บางคนชอบปลูกไม้ดอกไม้ผล เมื่อเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดที่จะท าดอกผลนั้นให้งดงามน่าดู ยิ่งขึ้น จึงมีผู้น าผลไม้มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางลงในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้น เกิดจาก การตัด ผ่า ปอก คว้าน และแกะสลัก ส่วนไม้ดอกไม้ดอกก็น ามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่ม หรือปักลงในแจกันก็ได้แสดงว่า ศิลปะกับชีวิตเป็นส่วนที่แยกกันไม่ออก” 3.3 ใจความส าคัญอยู่ต้นย่อหน้าและท้ายย่อหน้า “ศิลปะกับวัฒนธรรมในบ้านเมืองเรามักจะสอดคล้องกับการดําเนินชีวิตประจําวัน ตัวอย่างบางคนชอบ ปลูกไม้ดอกไม้ผล เมื่อเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดที่จะท าดอกผลนั้นให้งดงามน่าดูยิ่งขึ้น จึงมีผู้น าผลไม้ มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางลงในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้นเกิดจากการตัด ผ่า ปอก คว้าน และแกะสลัก ส่วนไม้ดอกไม้ดอกก็น ามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่ม หรือปัก ลงในแจกันก็ได้แสดงว่า ศิลปะกับชีวิตเป็นส่วนที่แยกกันไม่ออก.


50 3.4 ใจความส าคัญอยู่กลางย่อหน้า “ศิลปะแห่งการฟังนั้นไม่ได้หมายถึงการนั่งนิ่ง ปล่อยให้คนอื่นพูดอย่างเดียว แล้วก็ฟังเหมือนฟังเทศน์ การท าเช่นนั้นง่ายเกินไปกว่าที่จะนับว่าเป็นศิลปะ ศิลปะการฟังจึงหมายถึง ความสามารถที่จะชักจูงผู้พูดให้หันเห เข้าหาเรื่องที่เขาถนัดที่สุด คือแสดงให้เห็นว่า ตนก าลังฟังค าพูดของเขาด้วยความตั้งใจ อยากรู้อยากฟัง จริง ๆ รู้จักสอดค าถามในโอกาสที่เหมาะ รู้จักปล่อยให้ผู้พูด พูดจนสิ้นกระแสความ และรู้จักช่วยผู้พูดที่ก าลังจะหมด เรื่องพูดให้กลับมีเรื่องขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เขาพูดได้ต่อไป” 4. ลักษณะของสาระส าคัญ หรือ ใจความส าคัญ สาระส าคัญมีลักษณะที่สังเกตได้คือ เป็นส่วนส าคัญที่ผู้เขียนมุ่งเน้นมากที่สุด ถือเป็นแก่นของเนื้อความ ส่วน อื่นๆ ถือเป็นส่วนขยายความ เช่น รายละเอียด ค านิยาม ตัวอย่าง เหตุผล สนับสนุนสาระส าคัญ วิเคราะห์ ข้อความนี้สาระส าคัญคือ... ชีวิตจะดีได้ก็เพราะความฝักใฝ่ ในการศึกษา ชีวิตที่ไม่รู้จักการศึกษา จะเป็นชีวิตที่เจริญไม่ได้ แต่การศึกษา ในที่นี้ไม่ส าคัญว่าจะต้องศึกษาในโรงเรียน การศึกษาในโรงเรียนอาจจะมีความส าคัญอยู่บ้าง ถ้าหากว่าทําให้ เราดีขึ้นเจริญ ขึ้นอย่างแท้จริง แต่ถ้าศึกษาแล้วยิ่งทําให้เราเลวลงเรื่อย ๆ มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ย่อมมิใช่ การศึกษาที่ถูกทาง 1. การศึกษาจะมีอยู่ที่ใดก็ได้ 2. ชีวิตจะดีได้ต้องใฝ่ การศึกษา 3. การศึกษาในโรงเรียนไม่ส าคัญ 4. การศึกษาที่ดีท าให้เราเจริญขึ้นอย่างแท้จริง√ 5. ชีวิตจะไม่งอกงามถ้าไม่มีการศึกษา


51 50. ข้อความต่อไปนี้ข้อใดคือแนวคิดที่ถูกต้อง "ไข้ฤดูใบไม้ผลิ" เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดในเมืองหนาว ส่วนใหญ่เกิดกับคนในสังคมเมือง นับเป็นโรคทางใจที่ ขาด ความรักความอบอุ่น จะมีอาการไข้คลื่นไส้วิธีการรักษา ต้องใช้สมุนไพรตามแพทย์แผนโบราณ คือ เด็ด ยอดผักที่เพิ่ง งอกจากดิน น ามาย าและทานสด ๆ แต่ทางการแพทย์ปัจจุบันพบว่า เป็นภาวะทางจิต ควร บ าบัดรักษาตามอาการ 1. สมุนไพรรักษาโรคนี้ได้ 2. โรคนี้เป็นโรคของคนเมืองหนาว 3. ความรักมีอิทธิพลต่อสุขภาพ 4. คนสังคมเมืองมีสภาพจิตใจอ่อนแอ 5. การแพทย์ปัจจุบันดีกว่าแผนโบราณ อธิบาย เรื่อง แนวคิด 1.ความหมายของ “ข้อคิด,แนวคิด” ข้อคิด คือ ประเด็นที่เสนอให้คิด,ประเด็นที่ชวนให้คิด แนวคิด หมายถึง ความคิดส าคัญซึ่งเป็นแนวในการผูกเรื่องหรือความคิดอื่น ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง ก็ได้ เช่น แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องบุญกรรม แนวคิดเกี่ยวกับความรัก ความยุติธรรม ความตาย แนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือแนวคิดที่เป็นความรู้ในด้าน ต่าง ๆ แนวคิด (Theme) คือ สารที่เป็นแนวคิดพื้นฐาน หรือ สารพื้นฐานที่ผู้แต่งประสงค์จะสื่อแก่ผู้อ่าน ใช้ค าว่า “แก่นเรื่อง,สารัตถะ” 2.การวิเคราะห์ข้อคิด/แนวคิด จากเรื่องที่อ่าน การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ การพิจารณาแนวทางการปปฏิบัติที่ดีที่ซ่อนอยู่ในบทอ่าน ซึ่ง ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เช่น • น้ าเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม ทรายเหลือบหางยูงงาม ว่าหญ้า ตาทรายยิ่งนิลวาน พรายเพริศ ลิงว่าหวัวหวังหว้า หว่าดิ้นโดดตาม๚ “นกยูงมองจากที่สูงเห็นสายน้ าที่คดเคี้ยวไกล ๆว่าเป็นงูกระโดดลงไปตาย เนื้อทรายมองแพหางนกยูงเป็น หญ้าก็กระโดด หมายจะกิน ก็ตายตามไป ขณะเดียวกันลิงเห็นตาทรายที่โผล่พ้นน้ าเป็นลูกหว้าก็กระโดดหมายจะ กินอีก ต่างตายตามไปด้วย” ข้อคิด “การหลงเชื่อในสิ่งที่ผิด หรือการหลงผิด โดยขาดการไตร่ตรอง อาจจน ามาซึ่งอันตรายถึงชีวิต” วิเคราะห์ ข้อความต่อไปนี้แนวคิดที่ถูกต้องคือ... "ไข้ฤดูใบไม้ผลิ" เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดในเมืองหนาว ส่วนใหญ่เกิดกับคนในสังคมเมือง นับเป็นโรคทางใจที่ ขาด ความรักความอบอุ่น จะมีอาการไข้คลื่นไส้วิธีการรักษา ต้องใช้สมุนไพรตามแพทย์แผนโบราณ คือ เด็ด ยอดผักที่เพิ่ง งอกจากดิน น ามาย าและทานสด ๆ แต่ทางการแพทย์ปัจจุบันพบว่า เป็นภาวะทางจิต ควร บ าบัดรักษาตามอาการ 1. สมุนไพรรักษาโรคนี้ได้ 2. โรคนี้เป็นโรคของคนเมืองหนาว 3. ความรักมีอิทธิพลต่อสุขภาพ √ 4. คนสังคมเมืองมีสภาพจิตใจอ่อนแอ 5. การแพทย์ปัจจุบันดีกว่าแผนโบราณ


52 แบบฝึกหัด ชุดที่ 2 1. ข้อใด มีค าสะกดผิด 1. ผู้ใหญ่บ้านคนนี้บวชเรียนมานานมีความรู้มากจนคนยกย่องว่าเป็นพหูสูต 2. ผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้านนี้ถือว่าตัวมีอํานาจบาทใหญ่ชอบข่มเหงชาวบ้าน√ 3. วัดบางแห่งมีตํารับตํารายาสมุนไพรเขียนติดไว้ให้คนได้รับความรู้ 4. ในครอบครัวของเขาแม่เลี้ยงไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ลูกเลี้ยงเลย 5. ร้านนี้อาหารขึ้นชื่อที่คนนิยมสั่งคือยําแมงกะพรุนใส่ปลาหมึก 4.1อธิบาย การสะกดค า 1.ค าประวิสรรชนีย์(มีรูปสระ _ะ) 1.1 ค าพยางค์เดียวที่ออกเสียง อะ เช่น กะ-จะ 1.2 ค าไทยแท้ที่ออกเสียง อะ เช่น มะม่วง 1.3 ค าภาษาบาลีสันสกฤต พยางค์ท้ายที่ออกเสียง อะ เช่น ศิลปะ ลักษณะ 1.4 ค าภาษาสันสกฤต ที่พยางค์หน้าออกเสียง กระ ตระ ประ เช่น ตระกูล กระษัย 1.5 ค าภาษาชวาออกเสียง อะ พยางค์หน้า เช่น มะเดหวี 1.6 ค าซ้ าอัพภาสบทร้อยกรอง เช่น จะเจื้อย – เจื้อยเจื้อย 2.ค าที่ไม่มีประวิสรรชนีย์(ไม่มีรูปสระ _ะ) 2.1 ค าที่เป็นอักษรน า เช่น ขนม 2.2 ค าไทยตัวสะกดออกเสียง อะ เช่น จักจั่น 2.3 ค าที่แผลง เช่น ชอุ่ม มาจาก ชอุ่ม 2.4 ค ายกเว้น คือ ณ พณ ธ 2.5 ค าออก อะ กึ่งเสียง เช่น ขโมย สติ 2.6 ค าที่เป็นค าสมาส เช่น สาธารณสุข 3.ภาษาไทยสะกดตรงตามมาตรา คือ •แม่ กก ใช้ ก สะกด เช่น ลาก •แม่ กด ใช้ ด สะกด เช่น มด •แม่ กบ ใช้ บ สะกด เช่น พบ •แม่ กง ใช้ ง สะกด เช่น ลง •แม่ กน ใช้ น สะกด เช่น คน •แม่ กม ใช้ ม สะกด เช่น งาม •แม่ เกย ใช้ ย สะกด เช่น สาย •แม่ เกอว ใช้ ว สะกด เช่น สาว 4.การเขียนค าบาลี-สันสกฤต 4.1 ตัวสะกด •แม่ กก ใช้ก ข ค สะกด เช่น นรก สุข อัคร์ •แม่ กด ใช้จ ช ฏ ฑ ฒ ต ท ธ ศ ษ ส เช่น สัจ รัช กฎ รัฐ ครุฑ พัฒน์ขบถ บาท ปฏิเสธ ยศ พัสดุราษฎร •แม่ กบ ใช้ป พ ภ สะกด เช่น บาป นิพพาน ลาภ •แม่ กง ใช้ง สะกด เช่น สงฆ์ •แม่ กน ใช้ญ ณ น ร ล ฬ เช่น บุญ ญาณ อวสาน มาร พาล ประพาฬ •แม่ กม ใช้ม สะกด เช่น พรหม •แม่ เกย ใช้ย สะกด เช่น กาย อุบาย •แม่ เกอว ใช้ว สะกด เช่น ชิวหา


Click to View FlipBook Version