53 4.2 ตัวสะกดและตัวตามบาลี • ก วรรค กฺก กฺข คฺค คฺฆ เช่น สักกะ ปักขะ อัคคะ อัคฆะ • จ วรรค จฺจ จฺฉ ชฺช ชฺฌ เช่น สัจจะ อิจฉา มัชชะ วัชฌะ • ฏ วรรค ฏฺฏ ฏฺฐ ฑฺฑ ฑฺฒ เช่น วัฏฏะ อัฏฐะ ฉัฑฑะ วัฑฒะ • ตฺต ตฺถ ทฺท ทฺธ เช่น อัตตะ อัตถะ สัททะ สุทธะ • ปฺป ปฺผ พฺพ พฺภ เช่น กัปปะ ปุปผา สัพพะ คัพภะ • งฺก งฺข งฺค งฺฆ เช่น วังกะ สังขะ อังคะ สังฆะ • ญฺจ ญฺฉ ญฺช ญฺญ เช่น สัญจยะ สัญฉวีสัญชยะ สัญญา • นฺต นฺถ นฺท นฺธ นฺน เช่น สันติ สันถวะ อินทะ ขันธะ ฉันนะ • มฺป มฺผ มฺพ มฺภ มฺม เช่น กัมปะ สัมผัสสะ อัมพะ รัมภา กัมมะ • ยฺย ลฺย ลฺล สฺส เช่น เสยโย กัลยา สัลละ วัสสะ 4.3 ตัวสะกดและตัวตามสันสกฤต • กฺต ดฺก ปฺต ดฺป ศฺจ ษฺฎ สฺต สฺก ษฺป คฺธ ทฺฆ ทฺค พฺธ กฺย ตฺย ถฺย กฺร ตฺร ศฺน ษฺณ ษฺม สฺน สฺม ทฺย ธฺย ทฺร คฺร ฆฺร ทฺม วฺย ลฺย รฺย เช่น ศักติ- ศักดา- ศักย์- ศักราช- ศัตรู- ศังกร ศัทธนะ –ศันสนะ- ศัพท์ –ศัยยา- ศัลกะ- ศัลยะ- ศลิษฏ์- ศฤงค์- ศัสดร-ศาสตรา-ศัสยะ- ศานติ- ศิงขร- ศิลปะ- ศิษฎ์- ศิษย์- ศึกษา- ศุกร์ 5.การเขียนค าพ้องเสียง •กบินทร์-กบิล,กมลาศ-กมลาสน์,กรกฏ-บงกช-กฎหมาย-ปรากฏ,กระเซ็น-ลายเซ็น-เปอร์เซ็นต์, กระสัน-สีสัน-สีสรรพ์-สุขสันต์-โศกศัลย์-จัดสรร-รังสรรค์-สังสรรค์-พนาสัณฑ์,กบฏ-กรรมบถบทมาลย์-บดเอื้อง,กุณฑล-นภาดล-ดนตรี,กงวาน-จักรวาล-ปลาวาฬ,กัญชา-กัณฐกะ-กัณฑ์เทศน์- ฉกรรจ์-โสกันต์-กรรไตร,เกษียน-เกษียณ-เกษียร,โจทเจ้า-โจทก์ร่วม-โจทย์เลข-โจษจัน,บิณฑบาต-ตักบาตรอ านาจบาตรใหญ่-บาดแผล-บาทวิถี-บ่วงบาศ-ลูกบาศก์-ลูกบาส,สูตรคูณ-พหูสูต-สูดดม,ผูกพัน-สัมพันธ์- เผ่าพันธุ์-พรรณไม้-ครุภัณฑ์-พรรษา-พรรค์,เบญจเพส-เพศชาย,ฉันเช้า-เดียดฉันท์,อรหัน-อรหันต์,ค าสมาส-ขัด สมาธิ,งูสวัด-สวัสดี,ซื่อสัตย์-สัตว์โลก-ค าสัจ-สัตภัณฑ์-สัดจอง-สัทธรรม,จาระไน-ปรนัย-ในสวน-ฉันเพล-ฉันมิตรเดียดฉันท์-ฉันทานุมัติ-กระพุ่ม-กระเพื่อม-กะพรุน-กะเพรา-กระเฉด-กระชุ่มกระชวยฯ 6.การเขียนค าสมาส(ออกเสียง อะ ไม่มีรูป อะ) •กกุธภัณฑ์,กฐินกาล,กฐินทาน,กชกร,กกุฏผล,กตเวที, กนิษฐภาดา,กรณียกิจ,กรรมบถ,กัปปิยภัณฑ์,กัมปนาท 7.การเขียนค าเขมร 7.1สะกดด้วย จ ญ ร ล ส • เสด็จ เผด็จ เสร็จ อาจ ส ารวจ ฯลฯ • ล าเค็ญ สรรเสริญ สราญ อัญเชิญ บ าเพ็ญ ฯลฯ • บังควร ควร ประยูร ตระการ ระเมียร ฯลฯ • ต าบล กบาล ทูล นวล ขาล ก านัล ฯลฯ • จรัส ตรัส ด ารัส 7.2 มักใช้พยัญชนะควบกล้ า เช่น • กราบ กริ้ว กรง กลม กระบือ ขลาด ขลัง ผลาญ 7.3 มักใช้อักษรน า เช่น • ผสม ขนบ สนอง จมูก ถวาย ฉลาด เขนย 7.4 มักขึ้นต้นด้วย อ า ก า ค า จ า ช า ด า ต า ท า ส า • อ านาจ ก าจัด จ านง ช านาญ ด ารัส ต ารับต ารา ท าลาย ส าเร็จ 7.5 มักขึ้นต้นด้วย บัง บัน บรร บ า • บังเอิญ-บันดาล-บรรทม-บ าเหน็จ
54 2. ค าในข้อใด ใช้ได้มากกว่า 1 ความหมายทั้งสองค า 1. มือขวา-จับเส้น 2. ซ้ าซ้อน-เปิดกล้อง 3. ตามเรื่อง-ลวงโลก 4. ตาแมว-อ่อนข้อ 5. หน้าชา-มัดจ า อธิบาย 1.ค าที่มีความหมายโดยตรงและความหมายอุปมา 1.1 ความหมายโดยตรง คือ ความหมายตรงตัวตามพจนานุกรม 1.2 ความหมายอุปมา (ความหมายโดยนัย, ความหมายนัยประหวัด หรือความหมายเชิงเปรียบเทียบ) เป็นค าที่มีความหมายไม่ตรงตามตัว หรือแฝงความหมายแง่มุมอื่นไว้และเป็นความหมายที่รับรู้โดยทั่วกัน 2.ค าที่มีความตรง ก้นกรอง น.ส่วนท้ายของบุหรี่ชนิดที่มีกรองสารพิษ. 3.ค าที่มีความหมายอุปมา ก้นกุฏิ ว.ที่สนิทเป็นที่ไว้วางใจได้. 4.ค าที่มีความหมายตรงและอุปมา กบดาน ก.นอนพังพาบกับพื้นใต้น้ า เป็น อาการของจระเข้. ก.หลบซ่อนตัวไม่ออกมา. 5.ค าและความหมาย สันติวัฒน์จันทร์ใด (https://curadio.chula.ac.th)กล่าวว่า ความหมายของค าพิจารณาได้ 2 ประเภทคือ 1.ความหมายตามตัวกับความหมายเชิงอุปมา 2.ความหมายนัยตรงกับความหมายนัยประหวัด • ความหมายตามตัว เป็นความหมายของค าเดิมเมื่อปรากฏในบริบทต่างๆ เช่น คืนนี้ท้องฟ้าสวยมากมีดาวเต็มไปหมด. ดาว น.สิ่งที่เห็นเป็นดวงเล็ก ๆ มีแสงในท้องฟ้าเวลามืด. • ความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบกับความหมายตามตัวของค านั้น ในบริบทอื่น เช่น งานนี้เธอเป็นดาวของงานเชียวนะ. ดาว น.เรียกบุคคลที่เด่นในทางใดทางหนึ่ง. •ความหมายนัยตรง เป็นความหมายตามที่ปรากฏในพจนานุกรม อาจเป็นความหมายตามตัว หรือ ความหมายเชิงอุปมาก็ได้เป็นความหมายที่ผู้ใช้ภาษาส่วนใหญ่เข้าใจตรงกัน เช่น คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นจ านวนมาก. “มะเร็ง”น. เนื้องอกชนิดร้าย. •ความหมายนัยประหวัด เป็นความหมายของค าที่ก่อให้เกิดความรู้สึกต่างๆกันไป เช่น รัฐบาลจะจัดงานวันมะเร็งแห่งชาติขึ้นในเดือนหน้า. “มะเร็ง”ในประโยคนี้. ท าให้ผู้อ่านมีความรู้สึกว่ามีอันตรายร้ายแรง. วิเคราะห์ 1. มือขวา (2 ความหมาย) จับเส้น (1 ความหมาย) 2. ซ้ าซ้อน (1 ความหมาย) เปิดกล้อง (2 ความหมาย) 3. ตามเรื่อง (1 ความหมาย) ลวงโลก (2 ความหมา) 4. ตาแมว (2ความหมาย) อ่อนข้อ (2 ความหมาย) 5. หน้าชา (2ความหมาย) มัดจ า (1 ความหมาย)
55 3.ข้อใด ใช้ผิดความหมาย 1. นักโต้วาทีฝ่ายค้านใช้คารมเชือดเฉือนฝ่ายเสนอเพื่อเอาชนะ 2. พอเพื่อนค้าขายขาดทุน เขาก็พูดทับถมจนเพื่อนหมดก าลังใจ 3. ในฤดูฝนควรดูแลป้ายโฆษณาที่ติดตั้งบนอาคารสูงเพื่อความปลอดภัย 4. จังหวัดตรังมีโครงการปลดปล่อยม้าน้ าคืนสู่ท้องทะเลเพื่อขยายพันธุ์ในธรรมชาติ√ 5. เพราะฝนทิ้งช่วง เกษตรกรจึงต้องเลิกล้มความคิดที่จะปลูกพืชเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ 4. ข้อความส่วนใด มีการใช้ค าผิดความหมาย 1) ในปัจจุบันมีการอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาไทยกันมากขึ้น/ 2) ท้องถิ่นหลายแห่งมีการฟื้นตัว วัฒนธรรมที่ดีงาม/ 3) ด้วยการทะนุบํารุงศิลปะและการแสดงพื้นบ้านที่มีมาแต่เดิม/ 4) รวมทั้งรักษาจารีต ประเพณีที่มีมาแต่โบราณ/ 5) เพื่อดํารงไว้ซึ่งมรดกอันล้ าค่าที่บรรพบุรุษได้สั่งสมไว้. 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2√ 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 5. ส่วนที่ 5 ************ อธิบาย 1.ความหมายของค า กระทรวงศึกษาธิการ (2551) กล่าวว่า ค าที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารมีความหมาย 3 ลักษณะ คือ 1.ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมาย ค าหนึ่งๆ นั้น อาจมีความหมายได้ หลายความหมาย เช่น “กา” •กา1 น.ชื่อนกขนาดกลาง. •กา2 น.ชื่อปลาน้ าจืด. •กา3 น.ภาชนะส าหรับใส่น้ าหรือต้มน้ า มีพวยและหู. •กา4 น.ค าก ากับชื่อปีในวิธีนับศักราชของไทยเหนือ. •กา5 ก.ท าเครื่องหมายเป็นรูปกากบาท. 2.ความหมายแฝง เป็นความหมายที่เพิ่มจากความหมายตรง เป็นความหมายเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น •ขี้เหนียว ว.ตระหนี่,ยี้ตืด ก็ว่า.(ความรู้สึกไม่ดี) •ประหยัด ก.ใช้จ่ายแต่พอควรแก่ฐานะ.(ความรู้สึกดี) 3.ความหมายในบริบท ค าบางค ามีความหมายตรง แต่เมื่อร่วมกับค าอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติมกว้างขึ้นหรือ แคบลง เช่น 1.ขัน น.ภาชนะส าหรับตักหรือใส่น้ า. 2.ขันชะเนาะ ก.บิดลูกชะเนาะให้ตึง. 3.ขันต่อ ก.กล้าต่อ. 4.ขันสู้ ก.แข่งเข้าสู้. 5.ขันอาสา ก.กล้าอาสา,เสนอตัวเข้ารับท าโดยเต็มใจ. 6.ไก่ขัน ไก่แสดงอาการร้องเป็นสัญญาณสื่อสาร. 7.ขบขัน ก.หัวเราะ,น่าหัวเราะ. 2.ค าและการใช้ค า ประพนธ์เรืองณรงค์(2544: 109-111) กล่าวว่าค ามีความหมาย 3 ประการ คือ 2.1 ความหมายโดยตรง (denotation) 2.2 ความหมายโดยแฝง (connotation) 2.3 ความหมายโดยปริบท หรือบริบท (context)
56 2.1 ความหมายโดยตรง (denotation) หมายถึง ความหมายเดิม ความหมายประจ า (lexical meaning) หรือความหมายกลาง (central meaning) เช่น •หมูกินอาหารจุ.หมู: สัตว์4 เท้าในจ าพวกเท้ามีกีบ. 2.2 ความหมายโดยแฝง (connotation) หมายถึง ความหมายโดยนัย ความหมายเปรียบเทียบ (metaphorical meaning) ความหมายเพิ่ม หรือ ความหมายสมทบ (marginal) เช่น •ฟุตบอลทีมนี้เป็นหมูสนาม. หมูสนาม : ผู้มีฝืมือด้อย แพ้ได้ง่าย. 2.3 ความหมายโดยบริบท (context) หมายถึง ความหมายดูจากค า หรือข้อความแวดล้อม หรือใกล้เคียงค านั้น ๆ. เช่น (1) เขาชอบดื่มกาแฟ (เขา สรรพนามบุรุษที่ 3) (2) เขาขันขานจับใจ (เขา นกเขา) (3) เขานี้สวยจริงไว้ประดับฝาบ้าน.(เขาสัตว์) (4) เขาสามร้อยยอดอยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์.(ภูเขา) 3.หลักการใช้ค า วรรณ แก้วแพรก (2532 :6-9) กล่าวว่า การใช้ค าต้องยึดหลักเกณฑ์ดังนี้ 1.ใช้ค าให้ถูกต้องตรงความหมาย 2.ใช้ค าให้เหมาะสมกับ กาลเทศะ บุคคล ข้อความ 3.ใช้ค าให้ชัดเจน 4.ใช้ค าให้มีน้ าหนัก 4.ใช้ค าให้ตรงความหมาย ค าบางค ามีความหมายคล้ายคลึงกัน หรือใกล้เคียงกัน ต้องเลือกใช้ค าให้ตรงความหมายเฉพาะค านั้น เช่น 1.ชุก ใช้กับ ฝน,ผลไม้ เช่น ปีนี้ฝนชุก. 2.ชุม,ชุกชม ใช้กับ โจร,ยุง,เสือ เช่น ใกล้ค่ ายุงชุม. 3.คลาคล่ า ใช้กับ ปลา,ฝูงชน เช่น ฝูงชนคลาคล่ า. 4.สลอน ใช้กับ หน้าตา,จ านวนที่มา เช่น เด็ก ๆ หน้าตาสลอนบนอัฒจันทร์. 5.ยั้วเยี้ย ใช้กับ หนอน,ฝูงคน เช่น ปลาเน่ามีหนอนยั้วเยี้ย. วิเคราะห์ 3. ข้อที่ ใช้ผิดความหมาย คือ •เชือดเฉือน ก.ท าให้เจ็บปวดด้วยค าพูดเป็นต้น. √ •ทับถม ก.เพิ่มซับซ้อนกันเข้ามามากมาย. √ •ติดตั้ง ก.น าชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ มาประกอบในสถานที่ที่ต้องการ.√ •ปลดปล่อย ก.ปล่อยจากที่คุมขังหรือการผูกมัด, ให้เสรีภาพ.X •เลิกล้ม ก.เลิก,ยกเลิก,ไม่ท าต่อ.√ 4. ข้อความส่วนใด มีการใช้ค าผิดความหมาย •อนุรักษ์ ก.รักษาให้คงเดิม.√ •ส่งเสริม ก.ช่วยเหลือสนับสนุนให้ดีขึ้น.√ •ฟื้นตัว ก.กลับมีฐานะดีขึ้น.x •ทะนุบ ารุง ก.อุดหนุนให้เจริญขึ้น,เอาใจใส่ดูแล.√ •รักษา ก.ระวัง,ป้องกัน.√ •ด ารง ก.ทรงไว้,ชูไว้,ท าให้คงอยู่.√ •สั่งสม ก.สะสม,รวบรวมให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ.√
57 5. ข้อใด ใช้ภาษาก ากวม 1. กิจกรรมหารายได้ให้สมาคมครั้งนี้มีผู้น าสิ่งของมาจ าหน่ายในราคาถูก√ 2. วิสัยทัศน์ของหน่วยงานเราคือการเป็นหน่วยงานเพื่อพัฒนาชนบทที่มั่นคง 3. บริษัทอสังหาริมทรัพย์นี้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มานานกว่า 10 ปีแล้ว 4. ส านักงานศิลปวัฒนธรรมจัดโครงการส่งเสริมผ้าไทยเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน 5. องค์การค้าจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าเพื่อจะได้อ านวยความสะดวกแก่ร้านค้าและช่วยลดค่าขนส่ง อธิบาย 1.ความหมาย ก ากวม ว.เคลือบคลุม,คลุมเครือ,มีความหมายได้หลายนัย.(ราชบ้ณฑิตยสถาน,2556) ประโยคก ากวม (อรุณรัชช์ แสงพงษ์, 2561, หน้า 158) คือ ประโยคที่สามารถตีความได้มากกว่า 1 ความหมาย ท าให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผลตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 2.สาเหตุค าก ากวม ประโยคก ากวม (อรุณรัชช์ แสงพงษ์, 2561, หน้า 158) กล่าวว่า สาเหตุประโยคก ากวมมี 3 ประการ คือ 2.1 ใช้ค าที่เป็นได้หลายชนิดหรือแปลได้หลายความหมาย เช่น ผมยุ่งนะ 1.ผม (สรรพนาม บุรุษที่ 1) 2.ผม = เส้นผม (นาม) 2.2 การอ่านเว้นวรรคที่แตกต่างกัน เช่น มะนาวดองมดแล้วหรือ 1.มะนาว//ดองหมดแล้วหรือ 2.มะนาวดอง/หมดแล้วหรือ 2.3 ส่วนขยาย ขยายได้2 ต าแหน่ง เช่น เสื้อผู้หญิงสวย 1.เสื้อผู้หญิงสวย 2.เสื้อผู้หญิงสวย 2.4 การใช้ค าประสมท าหน้าที่ในข้อความ เช่น คนขับรถออกจากบ้าน แต่เช้า 1.คนขับรถ ออกจากบ้านแต่เช้า. 2.คน ขับรถออกจากบ้านแต่เช้า. 2.5 ใช้ค ากริยา “ตาย” ในข้อความ เช่น รถชนควายตาย 1.รถชนควายจนตาย. 2.รถชนควายที่ตายแล้ว. 2.6 โครงสร้างประโยค (ไม่ + กริยา+เหมือน+นาม) เช่น เธอไม่สวยเหมือนแม่ 1.เธอไม่สวยเหมือนแม่ (แม่สวย) 2.เธอไม่สวยเหมือนแม่ (ไม่สวยทั้งคู่) 2.7 ใช้ค าที่เป็นได้หลายความหมาย เช่น เขาถูกซ้อมหนักมาก 1.เขาถูกฝึกซ้อมหนักมาก.2.เขาถูกซ้อม (ทําร้าย) หนักมาก. 2.8 ใช้ค าขยายผิดที่ เช่น เขาไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่ง แต่งงานกับน้องของเขา. 1.เขาไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งแต่งงานกับน้องของเขา. 2.เขาไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งแต่งงานกับน้องของเขา 2.9 ใช้โครงสร้างประโยค (นาม+ไม่ได้+ขับรถ+ไป+สถานที่) เช่น พ่อไม่ได้ขับรถไปหัวหิน. 1.พ่อไม่ได้ขับรถไปหัวหิน (คนอื่นขับ) 2.พ่อไม่ได้ขับรถไปหัวหิน ( ไปที่อื่น) 2.10 การละค าบุรพบท เช่น ค าไว้อาลัยภรรยา. 1.ค าไว้อาลัย (แก่) ภรรยา. 2.ค าไว้อาลัย (ของ) ภรรยา.
58 6. ข้อใด มีความหมายสอดคล้องกับข้อความต่อไปนี้ “ยักเอาเพียงบางส่วนที่มีจ านวนเล็กน้อยไว้, เอาส่วนที่เหลือไว้เป็นของตน” 1. กินตามน้ า 2. กินบุญเก่า 3. กินเศษกินเลย√ 4. กินนอกกินใน 5. กินบ้านกินเมือง 7. ข้อใด ใช้ส านวน ไม่ ถูกต้อง 1. ฉ้นเห็นเจ้าหนี้พาพวกเดินเข้ามาก็ตกใจกลัวมากจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี √ 2. ที่ฟังเขาพูดมานี่เหมือนพายเรือในอ่าง ฉันยังจับความไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะสรุปลงตรงไหน 3. ผมขอรับรองว่า กรรมการของเราทุกท่านให้คะแนนสาวงามผู้เข้าประกวดตามเนื้อผ้าจริง ๆ 4. แต่งงานหลานสาวทั้งที ต้องจัดงานใหญ่จ้างวงดนตรีมาแล้วเลี้ยงคนทั้งอ าเภอเลย ฆ่าควาย อย่าเสียดายพริก 5. เราก าลังแบ่งหน้าที่กันท ารายงานส่งอาจารย์ เธออย่าชักใบให้เรือเสียชวนเพื่อนดูสาว ๆ ที่เดินผ่านสิ ******* อธิบาย 1.ความหมายส านวนโวหาร ราชบัณฑิตยสภา (2556) กล่าวว่า ส านวน น.ถ้อยค าหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มี ความหมายไม่ตรงตามตัว หรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ายน้ า (สอนสิ่งที่เขารู้ดีหรือที่เขาถนัด อยู่แล้ว) 2.ความหมายส านวนและการใช้ส านวน ๏กงกรรมกงเกวียน (เวรสนองเวร,กรรมสนองกรรม) “นายกล้านักเลงเก่าคนบ้านกุ่มที่ชอบคุมพวกปล้นควายเขานะ ตอนนี้ได้ข่าวว่า ถูกมือดีเล่นเสียม่องเท่งเลย นี่ แหละเขาว่า กงกรรมกงเกวียน” ๏ก้นกุฏิ (ว.ที่สนิทเป็นที่ไว้วางใจได้) เช่น “เธอเป็นศิษย์ก้นกุฏิดูแลรักษาข้าวของอย่างไรถึงปล่อยให้ขโมยมาลักข้าวของไปอย่างง่ายดาย” ๏ กบในกะลาครอบ (ผู้มีความรู้และประสบการณ์น้อยแต่ส าคัญตนว่ามีความรู้มาก) เช่น “ไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างซิอย่าท าเป็น กบในกะลาครอบไปหน่อยเลย เดี๋ยวจะไม่ทันคน” วิเคราะห์ ๏ กินตามน้ า- รับของสมนาคุณที่เขาเอามาให้โดยไม่ได้เรียกร้อง (มักใช้แก่เจ้าพนักงานผู้มีอ านาจ) ๏ กินบุญเก่า-ก.ได้รับผลแห่งความดีที่ท าไว้แต่ปางก่อน. ๏กินเศษกินเลย –ก.กินก าไร,ยักเอาเพียงาบางส่วนที่มีจ านวนเล็กน้อยไว้,ยักเอาส่วนที่เหลือไว้เป็นของตน, เอาเพียงบางส่วนไว้เป็นของตน.√ ๏กินนอกกินใน-เอาก าไรในการซื้อขายทั้งในราคาและนอกราคาที่ก าหนด. ๏ กินบ้านกินเมือง ก.ตื่นสายมาก. ๏ แทรกแผ่นดินหนี-ก.หลีกหนีไปให้พ้นไม่อยากให้ใครพบหน้าเพราะอับอาย. ๏ พายเรือในอ่าง-ก.คิดท าหรือพูดวกวนกลับไปกลับมา. ๏ ตามเนื้อผ้า-ว.ตามที่ปรากฏ,ตามข้อเท็จจริง. ๏ ฆ่าควายเสียดายพริก-ก.ท าการใหญ่ไม่ควรตระหนี่. ๏ ชักใบให้เรือเสีย-ก.พูดหรือท าขวางๆให้การสนทนาหรือการท างานเขวออกนอกเรื่องไป.
59 ใช้ข้อความต่อไปนี้ ตอบค าถามข้อ 8-9 1) สหโซเวียตรัสเซีย ก้าวล้ าสหรัฐหลายช่วงตัวในเรื่องเทคโนโลยีอวกาศ/ 2) ในขณะที่รัสเซียส่ง ดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกและส่งนักบินอวกาศคนแรกขึ้นไปโคจรแล้ว 2 โครงการ/ 3) สหรัฐเริ่มก่อตั้ง องค์การนาซาขึ้นเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้/ 4) แรงกดดันจากโซเวียตท าให้สหรัฐอเมริกาซึ่งปรารถนาจะเป็น ผู้น าต้องเร่งส่งยานอะพอลโลขึ้นไปในอวกาศทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อม/ 5) เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียโดยเฉพาะใน โครงการแรก นักบินอวกาศถึง 3 คนต้องเสียชีวิตจากไฟคลอกในยานอวกาศ 8. ข้อความส่วนใด ใช้ภาษา ไม่ เหมาะกับบทความวิชาการ 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4√ (ภาษาปาก ค าซ้ า) 5. ส่วนที่ 5 9. จากข้อความข้างต้น ข้อใดเป็นประเด็นที่ผู้เขียนตั้งใจน าเสนอ 1. ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางอวกาศของสหรัฐอเมริกา 2. การเป็นผู้น าด้านเทคโนโลยีทางอวกาศของสหภาพโซเวียตรัสเซีย 3. การส่งยานอวกาศและนักบินอวกาศของชาติมหาอ านาจออกไปนอกโลก 4. ความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการเอาชนะโซเวียตด้านเทคโนโลยีทางอวกาศ√ 5. ความสูญเสียของสหรัฐอเมริกาในระยะแรกของการทดลองส่งมนุษย์อวกาศไปในยาน ************** อธิบาย 1.ความหมาย งานเขียนเชิงวิชาการ คือ งานเขียนที่มีการก าหนดประเด็นที่ต้องการอธิบายหรือวิเคราะห์อย่างชัดเจน มีการวิเคราะห์ประเด็นและน าเสนอประเด็นดังกล่าวอย่างเป็นระบบและเป็นทางการ มีการเรียบเรียงเนื้อหา สาระที่มีความถูกต้องทางวิชาการและเชื่อถือได้เนื้อความในงานเขียนเชิงวิชาการควรเชื่อมโยงเนื้อหาต่างๆ ให้ สัมพันธ์กันและใช้ภาษาระดับมาตรฐาน ชัดเจน และกระชับรัดกุม ทั้งนี้อาจใช้ศัพท์เฉพาะสาขาวิชาด้วยก็ได้รวมทั้งต้องอ้างอิงหลักฐานที่มาของข้อมูล ความรู้และความคิดที่ น ามาประกอบการศึกษานั้นอย่างชัดเจน. 2.หลักการเขียนเชิงวิชาการ 2.1 งานเขียนเชิงวิชาการควรใช้ภาษาที่เป็นแบบแผนหรือภาษาทางการที่ถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์กระชับ สื่อความหมายชัดเจน ตรงไปตรงมา 2.2 มีการเรียบเรียงความคิดอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย 2.3 หากจ าเป็นต้องใช้ศัพท์เฉพาะสาขาหรือศัพท์เทคนิคต้องใช้ให้เหมาะสม หากค านั้นยังไม่แพร่หลายควรใส่ ค าภาษาต่างประเทศไว้ในวงเล็บ ในกรณีที่ไม่สามารถหาค าในภาษาไทยแทนได้ควรใช้ค าทับศัพท์ที่ถูกต้องตาม หลักการเขียนของราชบัณฑิตยสภา เช่น โรฮีนจา (Rohingyar) เป็นต้น 2.4 ผู้เขียนควร พิถีพิถันเรื่องการเขียนตัวสะกดหรือการเขียนตัวการันต์ต่างๆ ด้วย เพราะงานเขียนเชิง วิชาการจะเป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการต่อไป 2.5 ควรเขียนรายงานทุกส่วนด้วยส านวนภาษาของตนเอง และต้องใช้ภาษาระดับแบบแผนอย่าง ถูกต้อง ระมัดระวังการใช้ภาษาปาก ค าซ้ า ค าสแลง ค าฟุ่มเฟือย 4.ลักษณะภาษาปาก ค าซ้ า ค าสแลง ค าฟุ่มเฟือย 4.1 ส านวนภาษาปาก ( colloquialism) เช่น ตาแป๊ะ ตะบี้ตะบัน เทน้ าเทท่า 4.2 ค าซ้ า เช่น มองตรงๆ , ดูดีดีหนุ่มๆ , สาวๆ แถวๆบ้านนอก,คนเป็นพันๆไปสมัครงาน 4.3 ค าสแลง เช่น เด็กแว้น/สก๊อย/เด็กซิ่ล/ เด็กซิ่ว. 4.4 ค าฟุ่มเฟือย เช่น พ่อแม่ชื่นชมปีติยินดีที่ลูกสาวส าเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก.
60 10. ข้อความต่อไปนี้ส่วนใดใช้ระดับภาษา ต่างกับ ส่วนอื่น 1) เค้กสีหวานดูนุ่มนวลน่ากิน เป็นอะไรที่หลายคนเห็นแล้วอดใจไม่ได้/ 2) ต้องหยิบมาลิ้มลอง โดยเฉพาะ พวกที่ชอบกินขนมหวาน/ 3) ที่เห็นเค้กทีไรเป็นต้องซื้อมากินแบบลืมอ้วน/ 4) เพราะส่วนประกอบของเค้ก คือ ครีม ซีส เนย แป้ง และน้ าตาล ท าให้น้ าหนักเพิ่มขึ้น/ 5) สุดท้ายเลยกลายเป็นไขมันส่วนเกินในจุดต่าง ๆ ที่ไม่พึง ประสงค์ 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4√ (ทางการ) 5. ส่วนที่ 5 อธิบาย 1.ความหมาย ระดับภาษา คือ ความแตกต่างของภาษา ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน และภาษาท่าทาง ซึ่งควรใช้ให้เหมาะสม กับฐานะของบุคคลและกาลเทศะในการสื่อสาร 2.ระดับภาษา 5 ระดับ 2.1 ระดับพิธีการ 2.2 ระดับทางการ 2.3 ระดับกึ่งทางการ 2.4 ระดับไม่เป็นทางการ 2.5 ระดับกันเอง 3.ค าที่มีระดับภาษาแตกต่างกัน แบบแผน กี่งแบบแผน ภาษาปาก เก้านาฬิกา เก้าโมงเช้า สามโมงเช้า เพียงนี้ เท่านี้ แค่นี้ จ านวนมาก มากมาย เยอะแยะ นายแพทย์ คุณหมอ หมอ เป็นที่นิยม ติดอันดับ ฮิต มัคคุเทศก์ ผู้น าเที่ยว ไกด์ อนุภรรยา ภรรยาน้อย เมียน้อย 3.การใช้ค าตามระดับภาษา 3.1 ใช้ค าถูกต้องตามกาลเทศะ เช่น ๏ขอแสดงความยินดีต่อท่าน (ทางการ) ๏ขอแสดงความยินดีกับท่าน (ไม่ทางการ) 3.2 ใช้ค าถูกต้องตามศักดิ์ของค า เช่น ๏พ่อ แม่ และบุตร (ผิดระดับ)/ ๏พ่อ แม่ และลูก (ถูกระดับ)/ ๏บิดา มารดา และบุตร (ถูกระดับ) 3.3 หลีกเลี่ยงการใช้ค าลักษณะดังต่อไปนี้ (1) ภาษาพูด เช่น “ฉันไปแจ้งความที่โรงพัก” (2) ภาษาตามเสียงพูด เช่น “ใครจะว่ายังไงก็ตาม ชั้นก็จะชวนเค้าไปด้วย” (3) ค าสแลง (slang) เช่น “สาวเอ๊าะ ๆ ชอบแต่งตัวกันเริ่ดซะขนาดนั้น” (4) ค าหยาบ ค าด่าทอ เช่น “ตีน อ้าย อีมึง กูเหี้ย อีดอกฯลฯ” (5) ค าภาษาถิ่น เช่น “อาหารจานนี้ลําแต้ ๆ” (6) ค าอุทาน เช่น “อ้อ! รู้แล้ว” (7) ค าย่อ ค าตัดสั้น ค ากร่อน ๏ค าย่อ เช่น พ.ต.ท./รมว,/เอฟ.บี.ไอ. ๏ค าตัดสั้น เช่น คอม (คอมพิวเตอร์) ๏ค ากร่อน เช่น มหาลัย (มหาวิทยาลัย)
61 11. ข้อใด ใช้ราชาศัพท์ไม่ถูกต้อง 1. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี 2. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาโดยการสร้างและปฏิสังขรณ์ วัดหลายแห่ง 3. พระบาทสมเด็จพระจอมเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคํานวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นย า 4. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดตราพระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124√ (โปรด ห้าม “ทรง” น าหน้า) 5. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เป็นจ านวนมาก อธิบาย 1.ความหมาย คําราชาศัพท์หมายความว่า ศัพท์หลวง ศัพท์ราชการ และหมายรวมถึงค าสุภาพซึ่งน ามาใช้ให้ถูกต้องตามชั้น หรือฐานะของบุคคล บุคคลผู้ที่พูดต้องใช้ราชาศัพท์ด้วย 2.ประเภทราชาศัพท์ จ าแนกเป็น 5 ประเภท คือ 1. พระมหากษัตริย์ 2. พระบรมวงศานุวงศ์ 3. พระสงฆ์ 4. ข้าราชการชั้นสูงหรือขุนนาง 5. สุภาพชนทั่วไป 3.ล าดับพระราชวงค์ ลําดับ ๑ ๏ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๏ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ลําดับ ๒ ๏ สมเด็จพระราชินี ๏ สมเด็จพระราชชนก, สมเด็จพระราชชนนี ๏ สมเด็จพระบรมราชกุมาร,/ ๏ สมเด็จพระบรมราชกุมารี ๏ สมเด็จพระยุพราช ลําดับ ๓ ๏ สมเด็จเจ้าฟ้า ลําดับ ๔ ๏พระเจ้าบรมวงศ์เธอ, พระองค์เจ้า(ชั้นเอก) ซึ่งเป็นพระราชโอรส พระราชธิดา ในพระเจ้าอยู่หัวทุก รัชกาล และ สมเด็จพระสังฆราช ลําดับ ๕ ๏พระเจ้าวรวงศ์เธอ, พระองค์เจ้า(ชั้นโท) ทั้งที่ทรงกรมและไม่ทรงกรม และพระวรวงศ์เธอ, พระองค์ เจ้า(ชั้นตรี) ที่ทรงกรม ลําดับ ๖ ๏พระวรวงศ์เธอ, พระองค์เจ้า(ชั้นตรี) ที่ไม่ทรงกรม ลําดับ ๗ ๏หม่อมเจ้า. 4.กริยาราชาศัพท์ (ห้ามมี “ทรง” น าหน้า) ๏กริ้ว-ตรัส-ทอดพระเนตร-บรรทม–ประทับ- ประชวร-โปรด-ผนวช-สรง-พอพระราชหฤทัยเสด็จ-เสด็จฯ- เสวย-ประสูติ 5.การใช้นามราชาศัพท์ 5.1 “พระบรมมหาราช/พระบรมราช/พระบรม” ใช้กับพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น เช่น ๏พระบรมมหาราชวัง/ พระบรมราชโองการ/ พระบรมราโชวาท/ พระบรมราโชบาย ๏ พระบรมราชูปถัมภ์/ พระปรมาภิไธย/พระบรมโพธิสมภาร /พระบรมเดชานุภาพ 5.2 “พระราช” ใช้กับล าดับ 1-2 เช่น ๏ พระราชวัง /พระราชประสงค์/ พระราชด าริ/พระราชหฤทัย/ พระราชพาหนะ
62 5.3 “พระ” ใช้กับล าดับ1-7 ๏พระภูษา /พระมาลา/ พระหัตถ์/ พระบาท/ พระศก/ พระขนง/ พระขนอง 5.4 “หลวง,ต้น” ใช้กับ พระเจ้าแผ่นดิน เช่น ๏ลูกหลวง/ หลานหลวง/ แพทย์หลวง/ เรือหลวง/ รถหลวง/ สวนหลวง/ ช้างต้น/ ม้าต้น/ เรือต้น/เครื่องต้น 5.5 “ทรง” เป็นกริยามีกรรม ส าหรับพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านาย เช่น ๏ ทรงม้า/ ทรงช้าง/ ทรงรถ/ ทรงศีล/ ทรงธรรม/ทรงกีฬา/ ทรงปืน/ ทรงดนตรี 5.6 “ทรง” น าหน้ากริยาสามัญ ส าหรับพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านาย เช่น ๏ ทรงจับ/ ทรงถือ/ ทรงรับ/ ทรงสั่งสอน/ ทรงยินดี/ ทรงเมตตา 6.กริยาราชาศัพท์พิเศษ ราชาศัพท์ ใช้กับ สวรรคต /เสด็จสวรรคต ๏ พระมหากษัตริย์๏ สมเด็จพระบรมฯ ทิวงคต ๏กรมพระราชวังบวรฯ / เจ้านายที่ทรงฐานันดรศักดิ์สูงเป็น พิเศษ สิ้นพระชนม์ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า-สมเด็จ๏พระสังฆราช ถึงชีพิตักษัย / สิ้นชีพิตักษัย ๏หม่อมเจ้า ถึงแก่พิราลัย ๏เจ้าประเทศราช / สมเด็จเจ้าพระยา เสด็จฯ (เสด็จพระราชด าเนิน) ๏ พระมหากษัตริย์๏ สมเด็จพระบรมฯ เสด็จ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า/ พระองค์เจ้า/ หม่อมเจ้า ทรงพระด าเนิน ๏พระเจ้าแผ่นดิน / พระราชวงศ์ ทรงด าเนิน ๏หม่อมเจ้า เสด็จประพาส ๏พระเจ้าแผ่นดิน / พระราชวงศ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ๏พระเจ้าแผ่นดิน พระราชทาน ๏พระราชวงศ์ชั้นสูง ประทาน ๏พระราชวงศ์ทั่วไป ลงพระปรมาภิไธย ๏พระเจ้าแผ่นดิน ลงพระนามาภิไธย ๏พระราชวงศ์ชั้นสูง ลงพระนาม ๏พระราชวงศ์ทั่วไป ทรงพระอักษร ๏พระเจ้าแผ่นดิน / พระราชวงศ์ ทรงพระราชนิพนธ์ ๏พระเจ้าแผ่นดิน / พระราชวงศ์ชั้นสูง ทรงพระนิพนธ์/ ทรงนิพนธ์/ ทรงเรียบเรียง / ทรงแต่ง ๏พระราชวงศ์ทั่วไป
63 ราชาศัพท์ ใช้กับ •ทรงพระราชสมภพ •มีพระบรมราชสมภพ •เสด็จพระราชสมภพ ๏ พระมหากษัตริย์๏ สมเด็จพระบรมฯ ประสูติ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า พระชนมายุ ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรมฯ๏สมเด็จเจ้าฟ้า พระชันษา ๏พระองค์เจ้า, ๏พระสังฆราช ชันษา ๏หม่อมเจ้า ลงพระปรมาภิไธย ๏พระมหากษัตริย์ ลงพระนามาภิไธย ๏สมเด็จพระบรม๏สมเด็จเจ้าฟ้า ลงพระนาม ๏พระองค์เจ้า, พระสังฆราช ลงนาม ๏หม่อมเจ้า ทรงพระประชวร ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม ประชวร ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า อาพาธ ๏พระ,สามเณร สวรรคต, เสด็จสวรรคต ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม ทิวงคต ๏พระยุพราช,พระราชาต่างประเทศ สิ้นพระชนม์ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏สมเด็จพระสังฆราช สิ้นชีพิตักษัย, ถึงชีพิตักษัย ๏หม่อมเจ้า ถึงแก่พิราลัย, ถึงพิราลัย ๏เจ้าประเทศราช ถึงแก่มรณภาพ,,มรณภาพ ๏พระ,สามเณร ถึงแก่อสัญกรรม ๏นายกรัฐมนตรี, (ค าพูด) พระราชด ารัส, พระราชกระแส ๏พระมหากษัตริย์ (ค าพูด) รับสั่ง ๏สมเด็จพระบรม / สมเด็จเจ้าฟ้า/ พระองค์เจ้า พูด)มีพระราชด ารัส, มีพระราชกระแส ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม มีพระด ารัส, ด ารัส, มีรับสั่ง ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า รับสั่ง, มีรับสั่ง ๏หม่อมเจ้า พระราชทาน ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม๏ สมเด็จเจ้าฟ้า ประทาน ๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า (ค าสอน/โอวาท)/พระบรมราโชวาท ๏พระมหากษัตริย์ (ค าสอน/โอวาท)/พระราโชวาท ๏สมเด็จพระบรม๏สมเด็จเจ้าฟ้า พระโอวาท ๏ สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า (ให้โอวาท) ๏มีพระบรมราโชวาท, ๏พระราชทานพระบรมราโชวาท ๏พระมหากษัตริย์
64 6.กริยาราชาศัพท์พิเศษ พระราโชวาท, พระราชทานพระราโชวาท ๏สมเด็จพระบรม มีพระโอวาท, พระราชทานพระโอวาท, ประทานพระโอวาท ๏ สมเด็จเจ้าฟ้า มีพระโอวาท, ประทานพระโอวาท ๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า ๏เสด็จฯไปทรงเป็นประธาน ๏เสด็จฯไปทรงเปิดงาน ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม ๏เสด็จไปทรงเป็นประธาน เสด็จไปทรงเปิดงาน ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า เสด็จฯ , เสด็จพระราชด าเนิน (ขึ้น,ลง,เข้า,ออก,ไป,กลับ) ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม เสด็จ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า ทรงพระด าเนิน ๏พระมหากษัตริย์๏สมเด็จพระบรม ด าเนิน ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า พระบรมราชานุเคราะห์ ๏พระมหากษัตริย์ พระราชานุเคราะห์ ๏สมเด็จพระบรม พระอนุเคราะห์ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า พระบรมราชูปถัมภ์ ๏พระมหากษัตริย์ พระบรมราชินูปถัมภ์ ๏พระบรมราชินี พระราชูปถัมภ์ ๏สมเด็จพระบรม พระอุปถัมภ์ ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า พระชนมพรรษา.....พรรษา ๏พระมหากษัตริย์ พระชนมายุ.....พรรษา ๏สมเด็จพระบรม พระชันษา.............ปี ๏สมเด็จเจ้าฟ้า๏พระองค์เจ้า๏หม่อมเจ้า
65 12.ข้อใดเป็นประโยค 1. ศักยภาพด้านการจัดการขยะให้เท่าทันและทัดเทียมกับระดับสากล 2. นวัตกรรมการแปรรูปขยะะให้เป็นพลังงานทางเลือกในการแก้ป้ญหาขยะ 3. ขยะพลาสติก 10 ตัน ผลิตน้ ามันเชื้อเพลิงได้วันละประมาณ 6,600 ลิตร√ 4. การใช้ถุงผ้าหรือตะกร้าหวายในการซื้อของเพื่อทดแทนการใช้พลาสติก 5. ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านพลังงานทางเลือก 13.ข้อใด ไม่เป็น ประโยค 1. นักกีฬาไทยลงแข่งขันยิมนาสติกลีลากับนักกีฬาจาก 6 ประเทศที่สิงคโปร์ 2. ประธานพัฒนาฟุตซอลแห่งชาติเตรียมผู้เล่นทีมไทยเข้าแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลก 3. ประเทศไทยได้6 เหรียญทอง 2 เหรียญเงินในการแข่งขันยกน้ าหนักเยาวชนแห่งโลก 4. การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเวิลด์กรังด์ปรีซ์2016 รอบสุดท้ายจัดขึ้นที่ประเทศไทย 5. ตามแผนของสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยที่วางไว้ก่อนเดินทางไปเก็บต้วที่บราซิล อธิบาย 1.ความหมายของประโยค ประโยค คือ หน่วยทางภาษาที่ประกอบด้วยค าหรือค าหลายค าเรียงต่อกัน กรณีที่เป็นค าหลายค าเรียง ต่อกัน ค าเหล่านั้นต้องมีความสัมพันธ์ทางไวยากรณ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง ประโยค เป็นหน่วยทางภาษาที่สามารถสื่อความได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรืออะไรมีสภาพเป็นอย่างไร โดยทั่วไปประโยคประกอบด้วยส่วนส าคัญ 2 ส่วน คือ นามวลีกับ กริยาวลี ทั้งนี้ประโยคอาจมีเพียง กริยาวลีก็ได้ แต่จะมีเพียงนามวลีไม่ได้ ๏ข้อความที่ไม่เป็นประโยค(เพราะมีเพียงนามวลี) เช่น “พวกเรานักเรียนโรงเรียนบ้านไร่ทั้ง 6 คน” ๏ข้อความที่เป็นประโยค เช่น “รู้สึกพะอืดพะอมมาตั้งแต่เช้าแล้ว” “พวกเรานักเรียนโรงเรียนบ้านไร่ทั้ง 6 คน อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด” 2.ส่วนประกอบของประโยค ประโยคประกอบด้วยส่วนส าคัญ 2 ส่วน คือ 2.1 นามวลีท าหน้าที่ “ประธาน” 2.2 กริยาวลีท าหน้าที่ ภาคแสดง เช่น นามวลี กริยาวลี ประธาน ภาคแสดง คนไทยรุ่นใหม่ ควรมีวินัยในการใช้จ่าย วิเคราะห์ 12.ข้อที่เป็นประโยค 3. ขยะพลาสติก 10 ตัน/ ผลิต/ น้ ามันเชื้อเพลิงได้วันละประมาณ 6,600 ลิตร√ 13.ข้อใด ไม่เป็น ประโยค 5. ตามแผนของสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยที่วางไว้ก่อนเดินทางไปเก็บต้วที่บราซิล√
66 ข้อสอบ/อธิบาย/วิเคราะห์/บันทึกย่อ 14.ข้อใดแสดงเจตนาของผู้ส่งสาร ต่างกับ ข้ออื่น 1. กรมประมงประสบความส าเร็จในการเพาะเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนเพื่อท าไข่คาเวียร์(บอก) 2. โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ตามพระราชด าริได้ทดลองเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนบนดอยอินทนนท์(บอก) 3. การเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนต้องใช้เวลา 8 – 10 ปีกว่าจะได้ไข่ปลามาผลิตเป็นไข่คาเวียร์(บอก) 4. ไข่คาเวียร์ได้มาจากการน าไข่ปลาสเตอร์เจียนมาหมักกับเกลือนานถึง 2 ปี(บอก) 5. ไข่คาเวียร์ด้อยค่ากระปุกละ 5,000 บาท ถึงจะแพงแต่คุณภาพสุดคุ้มสินค้ามีจ านวนจ ากัด (โน้มน้าว)√ อธิบาย 1.ประโยคตามเจตนาผู้ส่งสาร ชนิดของประโยคที่แบ่ง ตามเจตนา (สถาบันภาษาไทย, 2552) จ าแนกชนิดของประโยคที่แบ่งตามเจตนาไว้๙ ชนิด ได้แก่ 1.บอกให้ทราบ 2.เสนอแนะ 3.สั่ง 4.ห้าม 5.ชักชวน 6.ขู่ 7.ขอร้อง 8.คาดคะเน 9.ถาม 1.1 ประโยคบอกให้ทราบ การบอกให้ทราบ คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์บอกกล่าวหรืออธิบายเรื่องต่างๆ ให้คู่สนทนาทราบ เช่น “คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ” 1.2 ประโยคเสนอแนะ การเสนอแนะ คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์เสนอแนะความคิดเห็นให้คู่สนทนาปฏิบัติ(ลองดู,ควร,นะ,ซิ) เช่น “คนไทยควรอ่านหนังสือทุกวัน” 1.3 ประโยคสั่ง การสั่ง คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์บังคับให้คู่สนทนาปฏิบัติตาม เช่น “บอกให้หัวหน้าแผนกมาพบผมหน่อย” 1.4 ประโยคห้าม การห้าม คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์สั่งคู่สนทนามิให้กระท า (อย่า,ห้าม,นะ) เช่น “อย่าจอดรถขวางประตู” 1.5 ประโยคชักชวน การชักชวน คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์ชักชวนให้คู่สนทนาท าตามความคิดเห็น (กัน,เถอะ,นะ)เช่น “ไปดูหนังกันเถอะ” 1.6 ประโยคขู่ การขู่ คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์ชี้น าให้คู่สนทนากระท าตาม โดยอาจบอกผลของการไม่กระท าตาม เช่น “หากการบ้านท าไม่เสร็จไม่ต้องดูโทรทัศน์” 1.7 ประโยคขอร้อง การขอร้อง คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์ให้คู่สนทนากระท าสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้(ช่วย,กรุณา,โปรด,วาน) เช่น “กรุณาถอดรองเท้าด้วยค่ะ” 1.8 ประโยคคาดคะเน การคาดนะเน คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์แสดงความคาดหมายเหตุการณ์หรือสถานการณ์(อาจ,คงจะ,ถ้าจะ ,เห็นจะ,กระมัง,ละซี) เช่น “เพลงฟ้าอาจท าการบ้านอยู่กระมัง” 1.9 ประโยคถาม การถาม คือ การที่ผู้ส่งสารประสงค์ถามคู่สนทนา อาจอยู่ในรูปประโยคบอกให้ทราบ (ใคร,อะไร,ที่ไหน,เมื่อไร ,อย่างไร,เท่าใด,เหตุใด) เช่น “ใครอยู่ในห้อง”
67 15.ข้อใดใช้ค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษมากที่สุด 1. แร่คือธาตุหรือสารประกอบที่เป็นของแข็งเกิดขี้นตามธรรมชาติมีองค์ประกอบทางเคมีและ โครงสร้างของอะตอมเป็นเอกลักษณ์ 2. ทับทิมเป็นแร่ในตระกลูคอรันดัมมีองค์ประกอบเป็นอะลูมิเนียมออกไซด์สมบัติทางฟิสิกส์คือมีค่าความ แข็งรองจากเพชร√ 3. ทับทิมสยามของไทยมีแหล่งก าเนิดจากหินภูเขาไฟชนิดแอลคาไลน์บะซอลต์เพียงชนิดเดียว พบที่จังหวัดจันทบุรีและตราด 4. ตามต านานทั้งของตะวันออกกลางและยุโรปมีความสอดคล้องกันว่าแซปไฟร์เป็นอัญมณีที่ทรง พลังอ านาจมากที่สุด 5. บริเวณที่เป็นภูเขาทะเลทรายไปจนถึงฝั่งตะวนออกของแม่น้ าไนล์ใกล้ก้บทะเลแดงพบผลึกมรกต ฝังตัวอยู่ในควอตซ์ อธิบาย 1.ความหมาย ราชบัณฑิตยสภา (2565) กล่าว่า คําทับศัพท์คือ ค าที่เขียนของภาษาหนึ่งด้วยอักษรของอีกภาษาหนึ่ง โดยวิธีถ่ายเสียงและถอดอักษร เช่น ๏ “computer” ทับศัพท์เป็น “คอมพิวเตอร์” ศัพท์บัญญัติคือ ค าที่ตราหรือก าหนดขึ้นไว้ให้มีความหมายเฉพาะเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น ๏โทรศัพท์ (telephone) หลักการบัญญัติศัพท์มี2 ประการ ดังนี้ 1. การคิดค าศัพท์ไทยให้ตรงกับความหมายเดิมของค านั้นๆให้มากที่สุด เช่น ๏ตลาดมืด (Black market) 2. ถ้าหาค าไทยได้ไม่เหมาะสม ให้สร้างค าใหม่โดยใช้คาภาษาบาลีและสันสกฤต ซึ่งต้องเป็นค าที่มีใช้มา ก่อนและสามารถออกเสียงได้ง่าย เช่น ๏ทฤษฎี(theory) 2.ตัวอย่างค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษ acre = เอเคอร์ alcohol = แอลกอฮอล์ alkaline = แอลคาไลน์ almond = อัลมอนด์ aluminium = ะลูมิเนียม ameba = อะมีบา analog = แอนะล็อก antibody = แอนติบอดี arabic = อารบิก art = อาร์ต asphalt = แอสฟัลต์ Atlantic = แอตแลนติก badminton = แบดมินตัน ball = บอล 3.ตัวอย่างศัพท์บัญญัติ กิจกรรม Activity มลพิษ Pollution มหาวิทยาลัย University วิทยาศาสตร์ Science ยานอวกาศ Spacecraft โทรทัศน์ Television
68 16. ข้อใด ไม่ อาจอนุมานได้ว่าเป็นบุคลิกภาพของผู้พูดตามขอค้วามต่อไปนี้ ผมใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเปิดห้องสมุดการ์ตูนเพื่ออนุรักษ์ส่งเสริมและเผยแพร่การ์ตูนไทยให้ ยังคงอยู่เป๊นมรดกทางภูมิปัญญาที่ส าคัญของคนในชาติสืบต่อไปหลังจากการ์ตูนไทยไม่ได้รับความนิยมเหมือนใน อดีต 1. อดทน 2. มุมานะ 3. ประนีประนอม 4. ห่วงใยสังคม 5. มีความคิดสร้างสรรค์ อธิบาย 1.ความหมาย การอนุมาน (Inference) คือ การสรุปหรือข้อสรุปที่เราได้มาตามความรู้ความเข้าใจของเราถึงสิ่งที่ผู้พูดหรือ ผู้เขียนบอกเราโดยอ้อม กล่าวคือ การอนุมาน เป็นสิ่งที่ผู้พูดหรือผู้เขียนไม่ได้บอกเราอย่างชัดเจน หรือโดยตรง แต่จากสิ่งที่ผู้พูดหรือ ผู้เขียนบอกเรา เป็นสิ่งที่มีเหตุให้เราอนุมานหรือน่าจะเข้าใจได้ว่าเป็นเช่นนั้น กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ผู้พูดหรือผู้เขียนกล่าวถึงอะไรบางอย่างโดยบอกให้เรารู้เป็นนัย (imply) ในขณะที่ผู้ฟัง หรือผู้อ่านอนุมาน (infer) ความคิดต่าง ๆ ตลอดจน ทัศนคติหรือความคิดเห็น บุคลิกภาพ ผู้พูดหรือผู้เขียนด้วย (จากค าพูด หรือ ข้อความ) เช่น “เขาสายอีกแล้ว” ๏ ค าว่า “เขา” อนุมานได้ว่า “เป็นผู้ชาย” ๏ ค าว่า “สายอีกแล้ว” อนุมานได้ว่า “ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาสาย” 3.บันได 7 ขั้นแห่งการอนุมาน (Ladder of Inference) จักรพันธ์จันทรัศมี(2565) กล่าวไว้ดังนี้ 1.ขั้นแรก คือ การรับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น (Observe Reality) ไม่ว่าจะเป็น สถิติตัวเลข นโยบาย ค าพูด และพฤติกรรมที่เราสังเกตเห็น 2.ขั้นที่สอง คือ การเลือกรับรู้ข้อมูลบางส่วน (Select Data) ตามความเชื่อและประสบการณ์ของตนเอง 3.ขั้นที่สาม คือ การตีความข้อมูลที่เลือก (Add Context to Data) ไปตามความเชื่อและประสบการณ์ของ ตนเอง 4.ขั้นที่สี่ คือ การตั้งสมมติฐาน (Make Assumptions) หรือทึกทักไปเองตามมุมมองของตนเอง 5.ขั้นที่ห้า คือการสรุป (Draw Conclusions) ตามการตีความและสมมติฐานของตนเอง 6.ขั้นที่หก คือ ความเชื่อที่เกิดจากข้อสรุปของตนเอง (Adopt Beliefs Based on Conclusions) 7.ขั้นที่เจ็ด คือการตัดสินใจลงมือท าตามความเชื่อ (Take Action) วิเคราะห์ 16. ข้อที่ ไม่ อาจอนุมานได้ว่าเป็นบุคลิกภาพของผู้พูดตามขอค้วามต่อไปนี้ ผมใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเปิดห้องสมุดการ์ตูนเพื่ออนุรักษ์ส่งเสริมและเผยแพร่การ์ตูนไทยให้ ยังคงอยู่เป๊นมรดกทางภูมิปัญญาที่ส าคัญของคนในชาติสืบต่อไปหลังจากการ์ตูนไทยไม่ได้รับความนิยมเหมือนใน อดีต 1. อดทน 2. มุมานะ 3. ประนีประนอม√ 4. ห่วงใยสังคม 5. มีความคิดสร้างสรรค์
69 18. ค าพูดในข้อใด ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้ก าลังใจ 1. อย่าเบื่อหน่ายความล้มเหลวเลยนะ เพราะมันคือเพื่อนร่วมทาง 2. ไม่มีทางที่จะประสบความส าเร็จที่ดีกว่า ถ้าเรามัวแต่ท าซ้ ารอยเดิม 3. ความส าเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุนะหนู แต่ขึ้นอยู่กับกับความคิดมากกว่า√ (อบรมสั่งสอน) 4. สิ่งที่คุณเสียไปคือเวลา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือประสบการณ์ไม่ใช่หรือ 5. การที่เราไม่ได้ครอบครองอะไรก็ดีไปอย่าง เพราะเราจะไม่มีวันเสียสิ่งนั้นไป อธิบาย 1.ความหมายการพูด จิราภรณ์ อัจฉริยะประสิทธิ์ กล่าวว่า “การพูด คือ การติดต่อสื่อสารความหมายระหว่างมนุษย์โดยใช้เสียง ภาษา แววตา สีหน้า ท่าทางต่างๆเพื่อ ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดจากผู้พูดไปยังผู้ฟังให้เป็นที่เข้าใจ” 2.ภาษาสื่อความหมาย อัจจิมา เกิดผล(2013) กล่าวว่า ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายเพื่อ 1.แสดงการคิด 2.แสดงความต้องการ 3.โน้มน้าวชักจูงใจ 4.บรรยายเหตุการณ์ 5.อธิบายเรื่องราว 6. บอกเรื่องราว 7.บันทึกความรู้ต่าง ๆ 3.ภาษาสื่อสารตามเจตนา อัจจิมา เกิดผล(2013) กล่าวว่า ค าที่แสดงเจตนาได้แก่ บอก เล่า เตือน แนะ ทักท้วง ประกาศ รายงาน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ วิจารณ์ ต าหนิ ดุ ด่า ว่า สั่ง ขอร้อง อ้อนวอน เชิญชวน ถาม ซัก ตอบ 4.ความหมาย “จุดประสงค์และเจตนา ” จุดประสงค์ คือ ผลที่ประสงค์ให้บรรลุหมายถึง ผลที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่าน ปฏิบัติ เจตนา คือ ความตั้งใจ,ความมุ่งหมาย หมายถึง ความต้องการที่ผู้เขียนต้องการให้เกิด 5.จุดมุ่งหมายผู้พูด/ผู้เขียน แจ้งให้ทราบ บอกให้รู้,แสดงให้รู้ (เรื่องที่เขียน) โน้มน้าวใจ/เชิญชวน ชักชวนให้โอนอ่อนตาม ปลุกเร้าใจ เร้าใจให้กล้าหาญหรือกระตือรือร้น แนะน า ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ คาดคะเน คาดการณ์โดยอาศัยหลักวิชา ชี้แจง,อธิบาย ขยายความให้เข้าใจชัดเจน เสนอแนะ การชี้แนะ,การแนะน า ตักเตือน พูดเขียนให้รู้ว่าอย่าท าผิด ต าหนิ,ติเตืยน ว่ากล่าวชี้ข้อบกพร่อง สอน,สั่งสอน,อบรม บอกให้ท า,แนะน าขัดเกลานิสัย ส่งเสริม สนับสนุนด้วยความเต็มใจ เน้นย้ า บอกซ้ าให้แน่ใจ ให้ก าลังใจ กระตุ้นความรู้สึกให้ดีขึ้น
70 ข้อสอบ/อธิบาย/วิเคราะห์/บันทึกย่อ 20.ข้อใดเป็นโครงสร้างของการแสดงเหตุผลในข้อความต่อไปนี้ นกนางแอ่นบางชนิดส ารอกน้ าลายท ารังเป็นรูปถ้วยต้ดกับฝาผนังถ้ าตามเกาะในทะเล รังของนก นางแอ่นชนิดนี้มีผู้เก็บมาผลิตเป็นอาหารเสริมราคาแพง ที่อ าเภอปากพนังมีการสร้างอาคารสูงส าหรับให้นก นางแอ่นมาอาศัยแล้วเก็บรังขาย 1. ข้อสนับสนุน -ข้อสรุป - ข้อสรุป 2. ข้อสนับสนุน- ข้อสนับสนุน- ข้อสรุป 3. ข้อสนับสนุน- ข้อสรุป- ข้อสนับสนุน 4. ข้อสรุป- ข้อสนับสนุน- ข้อสรุป 5. ข้อสรุป- ข้อสรุป- ข้อสนับสนุน 21.ข้อใดมีการใช้เหตุผล 1. ส่วนประกอบที่ส าคัญของการเดินรถไฟในระยะแรกมี2 ส่วน คือ ทางรถไฟกับขบวนรถไฟ 2. ต่อมาการเดินรถมีความซับซ้อน ต้องมีส่วนประกอบเพิ่มขี้นคือระบบอาณัติสัญญาณ และระบบห้ามล้อรถไฟ 3. ทางรถไฟที่คนทั่วไปมองเห็นคือรางเหล็ก 2 เส้นวางขนานกับหมอนรองรางรถไฟซึ่งเรียกกันว่า ไม้หมอน 4. หมอนรองรางรถไฟจะวางอยู่บนหินโรยทางซึ่งเกลี่ยกระจายอยู่เหนือดินกั้นทางที่อยู่ชิด กับพื้นดินเดิมของทางรถไฟ 5. น้ าหนักขบวนรถไฟที่กดลงบนรางจะกระจายลงบนพื้นดินเดิมโดยผ่านหมอนรองรางรถไฟ ดินโรยทางและดินกันทาง อธิบาย 1.ความหมายเหตุผล สมศักดิ์ อัมพรวิสิทธิ์โสภา (2537:83) กล่าวว่า เหตุผล หมายถึง ความคิดอันเป็นหลักทั่วไป กฎเกณฑ์ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่สนับสนุนข้อสรุป ข้อวินิจฉัย ข้อ ตัดสินใจ หรือ ข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 2.โครงสร้างเหตุผล ประกอบด้วย 1.เหตุผล 2.ข้อสรุป ๏ข้อสนับสนุน ผลลัพธ์ ๏เหตุ ผล 3.ภาษาที่ใช้แสดงเหตุผล ภาษาที่ใช้แสดงเหตุผลมี 2 ลักษณะ คือ 3.1 ใช้สันธานแสดงเหตุผล มี 2 กลุ่ม ได้แก่ 3.1.1เรียงเหตุผลไว้ก่อนข้อสรุป ใช้กลุ่ม “จึง” ประกอบด้วย เหตุ สันธาน ผล ................ จึง ................ …………….. ดังนั้น...จึง... ............... ................ ฉะนั้น...จึง... ............... ................ ประธาน...ถึง... ............... โดยเหตุที่... จึง ............... เพราะ... จึง ............... เพราะว่า... จึง ............... เพราะว่า... เพราะฉะนั้น..จึง... ...............
71 ตัวอย่าง โครงสร้าง รูปแบบ (เหตุ ผล) ๏เพราะเธอไม่เชื่อฉัน เธอจึงวุ่นวายอย่างที่เห็นอยู่นี้. 3.1.2เรียงข้อสรุปไว้ก่อนเหตุผล ใช้กลุ่ม “เพราะ” ประกอบด้วย เหตุ สันธาน ผล ................ เพราะ ................ …………….. เพราะว่า ............... ................ ทั้งนี้เพราะว่า ............... ................ เนื่องด้วย ............... ................ ด้วย ............... ............... ด้วยเหตุที่ ............... ................ โดยเหตุที่ ................ …………….. ค่าที่ ............... ................ ที่ ............... ................ จากการที่ ............... ................ จากทึ่ ............... ............... เนื่องจาก ............... .............. จาก ............... .............. เป็นผลมาจาก ............... .............. เป็นเหตุมาจาก ............... ............. เกิดจาก ............... ............. ถึง+ประธาน ............... ............. แม้ ............... ............. ถ้าหาก .............. ตัวอย่าง โครงสร้าง รูปแบบ (เหตุ ผล) ฉันยอมท าตามข้อเสนอของคุณ ด้วยพิจารณาแล้วเห็นว่าโครงการนี้ดี. .............. ท าให้ ............... .............. เป็นเหตุท าให้ ............... .............. เป็นผลท าให้ ……………. …………… เป็นเหตุให้เกิด ............... .............. ท าผลให้เกิด ............... ............. จน ............... ............. จนกระทั่ง ............... ............. ในที่สุด ............... ............. ผลที่สุด ............... ............. ถึงกับ ............... ถ้า(หาก)... ก็ ............... ถึง(แม้)... แต่...ไม่ ............... ทั้ง ๆ ที่... แต่...ไม่ ...............
72 3.2 ไม่ใช้สันธานแสดงเหตุผล ข้อความแสดงเหตุผล ไม่มีสันธานแสดงเหตุผลแต่เนื้อความบ่งบอก ตอนใด เป็น (เหตุ) ตอนใด เป็น(ผล) เช่น ๏ วินัยเริ่มที่บ้าน สอนลูกหลานให้มีระเบียบ.๏ (เพราะว่า) วินัยเริ่มที่บ้าน (เพราะฉะนั้น...จึง) คุณพ่อ คุณแม่ สอนลูกหลานให้มีระเบียบวินัย. 4.การแสดงเหตุผลและการอนุมาน “การอนุมาน” คือ กระบวนการคิดในการหาข้อสรุปจากเหตุผลที่มีอยูแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ วิธีนิรนัย และ วิธีอุปนัย 1. การอนุมานโดยวิธีนิรนัย การอนุมานโดยวิธีนิรนัย คือ การแสดงเหตุผลจากส่วนรวม(ความจริงทั่วไป) ไปหาส่วนย่อย (กรณี เฉพาะกรณีหนึ่ง) เช่น 1.1 นิรนัยครบ 3 ขั้น และเป็นไปตามขั้นตอน สังเกตได้จากการใช้สันธาน “กลุ่มจึง” เช่น “มนุษย์ทุกคนต้องการปัจจัยสี่ ฉันเป็นมนุษย์ ฉันก็ต้องการปัจจัยสี่” 1.2 นิรนัยสลับขั้น เป็นการนิรนัยที่กล่าวถึงข้อสรุปก่อนเหตุผลหรือข้อสนับสนุน สังเกตได้จากการใช้สันธาน “กลุ่มเพราะ” เช่น “ คุณสมคิดยอมเป็นผู้หญิงแน่เพราะเป็นป้าคุณสมชาย” 2.การอนุมานโดยวิธีอุปนัย การอนุมานโดยวิธีอุปนัย คือ การแสดงเหตุผลจากส่วนยอยไปหาส่วนรวมมี3 ลักษณะ คือ 2.1 ใช้กรณีเฉพาะกี่กรณีก็ได้เป็นข้อสนับสนุนหรือเป็นเหตุผล เพื่ออนุมานไปสู่ข้อสรุปที่เป็นกรณีรวม เช่น “ เขาเรียนเก่ง เขาขยัน พ่อแม่สนับสนุนให้เขาเรียน เขามีครูดี เขาน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้” 2.2 การอนุมานโดยใช้แนวเทียบหรือโดยการเปรียบเทียบ เช่น “ เพื่อนเป็นนักเรียนโรงเรียนเฉลิมศึกษา เพื่อนสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ได้ เขาเป็นนักเรียนโรงเรียนเฉลิม ศึกษา ก็ควรจะสอบเข้าได้เช่นกัน” 2.3 การอนุมานโดยการพิจารณาสาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน มี3 ลักษณะ ดังนี้ 2.3.1 การอนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์ใช้สันธาน “กลุ่มจึง” เช่น “ผมเป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา เห็นแล้วสงสารพวกเขาก็เลยอยากเป็นแพทย์” 2.3.2 การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาสาเหตุใช้สันธานกลุ่ม “เพราะ” เช่น “เด็กคนนี้ดูไม่มีความสุข การเรียนก็แย่ เพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก” 2.3.3 การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาผลลัพธ์(ใช้ข้อความ 3 ตอน ข้อความตอนที่ 2 ใช้สันธาน “กลุ่มเพราะ” ตอนที่ 3 ใช้สันธาน “กลุ่มจึง” หรือไม่ก็ได้ เช่น “วิทยาได้คะแนนเฉลี่ยสูงถึง 3.8 เนื่องจากเขาเป็นคนตั้งใจเรียนมาโดยตลอด เขาจึงน่าจะได้รับ เกียรตินิยมอันดับ 1” 4.ข้อสรุปของนิรนัยกับอุปนัย 4.1 ข้อสรุปของนิรนัย “ต้องเป็นเช่นนั้น” หรือ “ย่อมเป็นเช่นนั้น” ไม่มีทางเลี่ยงเป็นอื่นได้เนื่องจากข้อสนับสนุนเป็นทุกกรณีข้อสรุปเป็นกรณีหนึ่งในทุกกรณีนั้น จึงไม่มีทางที่จะหลีกพ้นไปเป็นอื่นได้ (เป็นความจริงแท้ตามธรรมชาติ) 4.2 ข้อสรุปของอุปนัย “น่าจะเป็นเช่นนั้น” หรือ “ควรจะเป็นเช่นนั้น” หรือ “อาจจะเป็นเช่นนั้น” หรือ“คงจะ เป็นเช่นนั้น” “มักจะเป็นเช่นนั้น” ไม่ใช่ “ต้องหรือยอมจะเป็นเช่นนั้น” เนื่องจากข้อสนับสนุนยกมาเพียงบางกรณี เท่านั้น ข้อสรุปจึงอาจไม่เป็นจริงตามนั้น (เป็นความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์)
73 วิเคราะห์ 20.ข้อที่เป็นโครงสร้างของการแสดงเหตุผลในข้อความต่อไปนี้คือ นกนางแอ่นบางชนิดส ารอกน้ าลายท ารังเป็นรูปถ้วยต้ดกับฝาผนังถ้ าตามเกาะในทะเล/ (สนับสนุน) รังของนกนางแอ่นชนิดนี้มีผู้เก็บมาผลิตเป็นอาหารเสริมราคาแพง (สนับสนุน) (ดังนั้น) ที่อ าเภอปากพนัง (จึง) มีการสร้างอาคารสูงส าหรับให้นกนางแอ่นมาอาศัยแล้วเก็บรังขาย (สรุป) 1. ข้อสนับสนุน -ข้อสรุป - ข้อสรุป 2. ข้อสนับสนุน- ข้อสนับสนุน- ข้อสรุป√ 3. ข้อสนับสนุน- ข้อสรุป- ข้อสนับสนุน 4. ข้อสรุป- ข้อสนับสนุน- ข้อสรุป 5. ข้อสรุป- ข้อสรุป- ข้อสนับสนุน 21.ข้อใดมีการใช้เหตุผล 1. ส่วนประกอบที่ส าคัญของการเดินรถไฟในระยะแรกมี2 ส่วน/ คือ ทางรถไฟกับขบวนรถไฟ 2. ต่อมาการเดินรถมีความซับซ้อน/ (ดังนั้นจึง) ต้องมีส่วนประกอบเพิ่มขี้นคือระบบอาณัติสัญญาณ และระบบห้ามล้อรถไฟ√ (เหตุ+ผล)√ 3. ทางรถไฟที่คนทั่วไปมองเห็นคือรางเหล็ก 2 เส้นวางขนานกับหมอนรองรางรถไฟ/ ซึ่งเรียกกันว่า ไม้หมอน 4. หมอนรองรางรถไฟจะวางอยู่บนหินโรยทาง/ซึ่งเกลี่ยกระจายอยู่เหนือดินกั้นทางที่อยู่ชิด กับพื้นดินเดิมของทางรถไฟ 5. น้ าหนักขบวนรถไฟที่กดลงบนรางจะกระจายลงบนพื้นดินเดิม/ โดยผ่านหมอนรองรางรถไฟดินโรย ทางและดินกันทาง
74 22.ข้อใดต่อไปนี้ส่วนใดเป็นการแสดงทรรศนะ 1) การป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วยการรณรงค์ปลุกจิตส านึกสร้างวินัยเคารพและปฏิบัติตามกฎจราจร / 2) การบังคับใช้และแก้ไขกฎหมายให้ท้นยุคสม้ยเพื่อควบคุมพฤติกรรมผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะ / 3) หรือ การจ ากัดความเร็วพาหนะ / 4) วิธีการเหล่านี้ไม่ควรกระท าเฉพาะช่วงหยุดยาวหรือเทศกาล / 5) ตรงกันข้าม ต้องกระท าตลอดเวลาเพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง 1. ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 2.ส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3 3. ส่วนที่ 3 และส่วนที่ 4 4.ส่วนที่ 4 และส่วนที่ 5 5. ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 5 23.ข้อใด มีการแสดงทรรศนะ 1. สภาวะแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงท าให้เกิดปรากฏการณ์ส่งผลกระทบ ต่อคุณภาพชีวิตประชากร 2. ปัญหาที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมของโลกซึ่งมีหลายประการ 3. ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติอาทิแผ่นดินไหว คลื่นยักษ์สึนามิปรากฏการณ์เอลนิญโญ ฯลฯ 4. ปัญหาที่เกิดจากฝีมือมนุษย์เช่น สภาวะโลกร้อน มลภาวะอากาศ สารพิษอุตสาหกรรม ฯลฯ 5. เราทุกคนในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรต้องศึกษาลักษณะของปัญหาและผลกระทบเพื่อร่วมกันแก้ไข อธิบาย 1.ความหมายทรรศนะ ทรรศนะ แปลว่า ความเห็น,การเห็น (ส.ทรฺศน, ป.ทสฺสน) หมายถึง ความคิดเห็นที่ประกอบด้วยเหตุผล 2.โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ 2.1. ที่มา คือ เหตุที่ท าให้เกิดการแสดงทรรศนะ 2.2. ข้อสนับสนุน คือ เหตุผล อาจเป็นข้อเท็จจริง หลักการ ทรรศนะหรือมติของผู้อื่นที่น ามาสนับสนุน 2.3. ข้อสรุป อาจเป็น ข้อเสนอแนะ ข้อวินิจฉัย ข้อสันนิษฐาน การประเมินค่า 3.ภาษาแสดงทรรศนะ ลักษณะเฉพาะของภาษาที่ใช้ในการแสดงทรรศนะ มีดังนี้ 3.1 ใช้ค าหรือกลุ่มค าที่แสดงว่าเป็นเจ้าของทรรศนะ เช่น “ผมขอสรุปว่า...,/ดิฉันเห็นว่า...,/ พวกเราเห็นร่วมกันว่า.../ ผมขอเสนอแนะว่า.../ ที่ประชุมมีมติว่า... เช่น “ผมเห็นว่าระบบการศึกษาของไทยยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร” 3.2 ใช้ค าหรือกลุ่มค ากริยาช่วยในข้อสรุป เช่น “น่า,น่าจะ,คง,คงจะ,ต้อง,ควร,จึงควร,ควรจะต้อง,พึง,พึงจะ,มักจะ,หาก...,สมควร” เช่น “ครูเป็นผู้เสียสละให้วิชาความรู้แก่ศิษย์จึงควรนับเป็นปูชนียบุคคล” 3.3. ใช้ค าหรือกลุ่มค าอื่น ๆ ที่สื่อความหมายไปในทางแสดงทรรศนะ เช่น “อย่างมิต้องสงสัย,อย่างเต็มความสามารถ,เป็นไปได้ยาก”เช่น “นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงไทยมีทางชนะเลิศซีเกมส์อย่างไม่ต้องสงสัย” วิเคราะห์ 22.ข้อใดต่อไปนี้ส่วนที่เป็นการแสดงทรรศนะ 4) วิธีการเหล่านี้ไม่ควรกระท าเฉพาะช่วงหยุดยาวหรือเทศกาล / 5) ตรงกันข้ามต้องกระท าตลอดเวลา เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง 23.ข้อที่ มีการแสดงทรรศนะ 5. เราทุกคนในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรต้องศึกษาลักษณะของปัญหาและผลกระทบเพื่อร่วมกันแก้ไข
75 24. ข้อใดเป็นประเด็นโต้แย้งของข้อความต่อไปนี้ การให้สัมปทานส ารวจแหล่งปิโตรเลียมในประเทศมีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประเทศไทย แต่สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่มีความจําเป็นรีบด่วนที่จะเปิดสัมปทานรอบที่ 2 เพราะปริมาณไฟฟ้าส ารองใน ปัจจุบันยังมีเกินกว่า 25% และความต้องการใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าจะไม่เพิ่มขึ้นมากจนอยู่ในระดับวิกฤติควรรอ ให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ปิโตรเลียมก่อนเพื่อเพิ่มทางเลือกและสร้างอ านาจต่อรองซึ่งจะท าให้ประเทศได้ร้บ ผลประโยชน์มากกว่า 1. ปริมาณไฟฟ้าส ารองในประเทศไทยมีเพียงพอจริงหรือ 2. การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในอนาคตจะไม่มีปัญหาจริงหรือ 3. ประเทศไทยควรส ารวจแหล่งปิโตรเลียมเองแทนการให้สัมปทานหรือไม่ 4. การแก้ไข พ.ร.บ. ปิโตรเลียมท าให้ประเทศได้ผลประโยชนมากขึ้นจริงหรือไม่ 5. รัฐควรชะลอการให้สัมปทานส ารวจแหล่งปิโตรเลียมรอบที่ 2 ไปก่อนหรือไม่ 25.ข้อใดเป็นข้อสนับสนุนประเด็นการโต้แย้ง “การขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ าตาลเกินกว่ามาตรฐานช่วยลดการบริโภคลงได้จริงหรือ” 1. คนไทยติดรสหวานและบริโภคน้ าตาลมากจนเป็นนิสัย 2. องค์การอนามัยโลกได้ศึกษาถึงอันตรายจากความหวาน 3. หลาย ๆ ประเทศจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากความหวาน 4. ปริมาณน้ าตาลที่เกินมาตรฐานเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 5. การขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ าตาลสามารถเพิ่มรายได้เข้าประเทศปีละหลายล้านบาท อธิบาย 1.ความหมาย การโต้แย้ง คือ การแสดงทรรศนะที่แตกต่างกันระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย โดยแต่ละฝ่ายพยายามใช้ข้อมูล สถิติหลักฐาน เหตุผล รวมทั้งการอ้างอิงถึงทรรศนะของผู้รู้เพื่อสนับสนุนทรรศนะของตนและคัดค้านทรรศนะ ของอีกฝ่ายหนึ่ง 2.โครงสร้างการโต้แย้ง ประกอบด้วย 1. ข้อสรุป 2. เหตุผล ของทรรศนะ 2 ทรรศนะที่มีข้อสรุปขัดแย้งกัน. 3.มารยาทในการโต้แย้ง 3.1 มารยาทในการใช้อวัจนภาษา (ภาษากาย) •สุภาพ •ไม่แสดงกิริยาก้าวร้าว •เคารพผู้อาวุโส •ค านึงความสัมพันธ์บุคคลกาลเทศะ 3.2 มารยาทในการใช้วัจนภาษา •ใช้ภาษาสุภาพ •ไม่ใช้ค าแสดงทรรศนะที่ตรงกันข้าง เช่น “ไม่เห็นด้วย,ผมกลับเห็นว่า...” •ไม่ต าหนิทรรศนะฝ่ายตรงกันอย่างรุนแรง •ไม่ยกตนข่มท่าน •ใช้ค าว่า “ขอ” แสดงความสุภาพ 4. กระบวนการโต้แย้ง กระบวนการโต้แย้ง มีขั้นตอนดังนี้ 3.1 การตั้งประเด็นการโต้แย้ง คือ การตั้งจุดส าคัญต่าง ๆ ที่น ามาเป็นข้อโต้แย้งกัน ซึ่งจะช่วยให้การ โต้แย้งไปในทิศทางเดียวกัน การตั้งประเด็นการโต้แย้ง มักจะตั้งในรูปค าถามว่า “หรือไม่” เช่น “ปัญหาการขาดแคลนน้ าเกิดจากการน าน้ าไปใช้ผลิตไฟฟ้ามากเกินไปใช่หรือไม่” 3.2 การนิยามค าส าคัญที่มีอยู่ในประเด็นการโต้แย้ง จากพจนานุกรม สารานุกรม ค าอธิบายของผู้รู้ หรือ การเปรียบเทียบ 3.3 การศึกษาค้นคว้ารวบรวมและเรียบเรียงข้อสนับสนุนทรรศนะของตน 3.4 การชี้จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของทรรศนะฝ่ายตรงกันข้าม ดังนี้
76 3.4.1 จุดอ่อนของการนิยามค าส าคัญในประเด็นการโต้แย้ง โดยจุดอ่อนการนิยาม มีดังนี้ (1) นิยามวกวน คือ ใช้ค าซ้ ากับค าที่จะนิยาม (2) นิยามมีอคติ คือ คือบิดเบือนความหมายของค าเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายตรงกันข้าม (3) นิยามที่เข้าใจยาก คือ ใช้ค ายาก 3.4.2 จุดอ่อนด้านปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล คือ ข้อมูลมีน้อย ไม่ถูกต้อง 3.4.4 จุดอ่อนของสมมติฐานหรือการอนุมาน คือสมมติฐานหรืออนุมานผิด 4.ประเภทการโต้แย้ง การโต้แย้ง มี 3 ประเภท เหมือนการแสดงทรรศนะประกอบด้วย 4.1 โต้แย้งเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานหรือการคาดการณ์ของฝ่ายตรงกันข้าม เช่น ฝ่ายเสนอ ฝ่ายโต้แย้ง เรื่องที่น ามาอ้างมีอยู่จริง เรื่องนั้นไม่มีอยู่จริง เรื่องนี้ตรวจสอบได้ ตรวจสอบแล้ว ไม่มี 4.2 โต้แย้งเกี่ยวกับนโยบาย คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อเสนอแนะหรือค าแนะน าของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น ฝ่ายเสนอ ฝ่ายโต้แย้ง ๏ชี้ให้เห็นข้อเสียของสภาพเดิม ๏ชี้แจงว่าไม่มีข้อเสียหาย หรือมีก็ไม่มากนัก ๏เสนอว่าการเปลี่ยนเปลง สามารถแก้ไขข้อเสียหายได้ ๏แย้งว่าข้อเสนอนั้นปฏิบัติได้ยาก ๏ชี้เห็นผลดีของข้อเสนอ ๏แย้งให้เห็นว่าเป็นตรงกันข้าม 4.3 โต้แย้งเกี่ยวกับคุณค่า คือ การโต้แย้งเกี่ยวกับข้อวินิจฉัของอีกฝ่ายหนึ่ง 5.โครงสร้างภาษาโต้แย้ง ภาษาโต้แย้ง ประกอบด้วย (ที่มา+ประเด็นโต้แย้ง+ทรรศนะผู้โต้แย้ง+ข้อสนับสนุนผู้โต้แย้ง) การจับประเด็นการโต้แย้งจะเกิดขึ้นเมื่อเริ่มปฏิเสธที่แสดงความสัมพันธ์ในเชิงขัดแย้งกัน โดยสังเกตค า ว่า “มิใช่,ไม่ใช่,ไม่,แต่,หาก ฯลฯ”เช่น “ค าอวยพรที่มีคุณค่าต่อผู้รับมิใช่ถ้อยค าที่เรียบเรียงอย่างเพราะพริ้ง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อ้างถึง น้ าใจและ ความจริงใจดูจะมีประโยชน์มากกว่า” ๏ที่มา ค าอวยพรที่มีคุณค่าต่อผู้รับ ๏ประเด็นโต้แย้ง มิใช่ถ้อยค าที่เรียบเรียงอย่างเพราะพริ้ง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อ้างถึง ๏ทรรศนะผู้โต้แย้ง น้ าใจและความจริงใจดูจะมีประโยชน์มากกว่า ๏ ข้อสนับสนุนผู้โต้แย้ง - วิเคราะห์ 24. ข้อที่เป็นประเด็นโต้แย้งของข้อความต่อไปนี้ 5. รัฐควรชะลอการให้สัมปทานส ารวจแหล่งปิโตรเลียมรอบที่ 2 ไปก่อนหรือไม่ 25.ข้อที่เป็นข้อสนับสนุนประเด็นการโต้แย้ง “การขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ าตาลเกินกว่ามาตรฐานช่วยลดการบริโภคลงได้จริงหรือ” 1. คนไทยติดรสหวานและบริโภคน้ าตาลมากจนเป็นนิสัย
77 26.ข้อใด ไม่มีการโน้มน้าวใจ 1. รายการเกมเพื่อเสริมสร้างความสัมพ้นธ์ในครอบครัว ผู้ชนะทั้ง 7 เกมจะได้เข้าชิง เงินรางวัลใหญ่หลายล้านบาท 2. ที่นี่เมนูเครื่องดื่มที่รู้จักกันดีคือกาแฟสด รวมทั้งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประเภทน้ าสมุนไพร จ าหน่ายทุกวัน 3. การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยไม่ต้องรับการผ่าตัด ลดความเจ็บปวด และช่วย เพิ่มคุณภาพชีวิตอีกด้วย 4. สวนสาธารณะแห่งนี้อ านวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุและผู้พิการ มีที่จอดรถเพียงพอ และมีเครื่องออกก าลังกายพร้อมมูล 5. มะนาวเลมอนฮาวาย ผลใหญ่ ไร้เมล็ด มีน้ ามาก รสเปรี้ยวก าลังดีเปลือกมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ อธิบาย 1.ความหมาย การโนมน้าวใจ คือการใช้ความพยายามด้วยวิธีที่เหมาะสมจนท าให ผู้ถูกโน้มน้าวเกิดความประจักษ์และ ยอมเปลี่ยน่ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรม ไปในทิศทางที่ผู้โน้มน้าวใจต้องการ 2.กลวิธีการโน้มน้าวใจ 1. การสร้างศรัทธาหรือความเชื่อถือ มี3 ทางคือ 1.1 การสร้างศรัทธาโดยแสดงให้ประจักษ์ว่ามีความรู้จริง 1.2 การสร้างศรัทธาโดยแสดงให้ประจักษ์ว่ามีคุณธรรม 1.3 การสร้างศรัทธาโดยแสดงให้ประจักษ์ว่ามีความจริงใจ 2. การใช้เหตุผลที่มีน้ าหนักสมเหตุสมผล 3. การสร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วม (เพลงปลุกใจ/เชียร์) 4.การให้ทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสีย 5.การสร้างความหรรษา 6.การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า 3.ลักษณะภาษาที่มีน้ าเสียงโน้มน้าวใจ 3.1 ไม่สั่ง ไม่บังคับ ไม่ข่มขู่ ไม่ห้ามปราม 3.2 ชี้ให้เห็นประโยชน์ 3.3 ชี้ให้เห็นโทษ 3.4 เสนอแนะแนวทางปฏิบัติ 3.5 ใช้กลวิธีโน้มน้าวใจที่เหมาะสม 3.6 ใช้ภาษาไพเราะ มีสัมผัส มีจังหวะ
78 4.การพิจารณาสารโน้มน้าวใจ สิ่งแรกที่ควรคาน ึงถึงในสารโน้มน้าวใจ คือ เจตนาการโน้มน้าวใจเป็นไปในทางเจริญ (วัฒนะ) หรือในทาง เสื่อมเสีย (หายนะ) ในสารแต่ละประเภทดังนี้ 4.1 ค าเชิญชวน (ค าเชิญชวนให้ท าประโยชน์แก่ส่วนรวม) เจตนาส่วนใหญ่เป็นไปในทางเจริญ (วัฒนะ) เช่น “ยาเสพติด คือมารร้าย บ่อนท าลายสังคมไทย” 4.2 ค าโฆษณาสินค้าหรือบริการ มีลักษณะดังนี้ 4.2.1 ส่วนน าสะดุดตา สะดุดหู สะดุดใจ ใช้ถ้อยค าแปลกใหม่ มีสัมผัส เลียนเสียงธรรมชาติ 4.2.2 ใช้ประโยคหรือวลีสั้น ๆ 4.2.3 ชี้ให้เห็นคุณค่าที่วิเศษของสินค้าเกินความเป็นจริง (อติพจน์) 4.2.4 ชี้ให้เห็นว่าสินค้าหรือบริการนั้นสามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน (ตัณหา) ของมนุษย์ได้ ตัวอย่างโฆษณาสินค้า/บริการ “โก๋แก่ มันทุกเม็ด” “แอร์เอเชีย เพราะทุกคนคือคนส าคัญ” 4.3 ค าโฆษณาชวนเชื่อ เป็นการโฆษณามีเจตนาสู่ความเสื่อมเสีย (หายนะ) มีลักษณะดังนี้ 4.3.1 การตราชื่อ การหาค าพูดมาใช้เรียกฝ่ายตรงข้าม เช่น ควายแดง ด้อมส้ม สามกีบ ฯลฯ 4.3.2 การอ้างบุคคลหรือสถาบันที่ทรงคุณวุฒิ ทรงเกียรติ 4.3.3 การท าเหมือนชาวบ้านธรรมดา 4.3.4 การกล่าวแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน 4.3.4 การอ้างคนส่วนใหญ่ 4.3.5 การกล่าวรวม ๆ ด้วยถ้อยค าหรูหรา วิเคราะห์ 26.ข้อที่ ไม่มีการโน้มน้าวใจ 1. รายการเกมเพื่อเสริมสร้างความสัมพ้นธ์ในครอบครัว ผู้ชนะทั้ง 7 เกมจะได้เข้าชิง เงินรางวัลใหญ่หลายล้านบาท 2. ที่นี่เมนูเครื่องดื่มที่รู้จักกันดีคือกาแฟสด รวมทั้งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประเภทน้ าสมุนไพร จ าหน่ายทุกวัน 3. การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยไม่ต้องรับการผ่าตัด ลดความเจ็บปวด และช่วย เพิ่มคุณภาพชีวิตอีกด้วย 4. สวนสาธารณะแห่งนี้อ านวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุและผู้พิการ มีที่จอดรถเพียงพอ และมีเครื่องออกก าลังกายพร้อมมูล 5. มะนาวเลมอนฮาวาย ผลใหญ่ ไร้เมล็ด มีน้ ามาก รสเปรี้ยวก าลังดีเปลือกมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
79 27.ข้อใดเรียงล าดับขัอความต่อไปนี้ได้ถูกต้อง 1. การเลือกกินอาหารจึงเป็นสิ่งจ าเป็นถึงแม้เป็นสิ่งที่ท าได้ยากก็ตาม 2. เมื่อใดที่ไตไม่สามารถขับของเสียที่อยู่ในร่างกายออกมาได้ 3. อาหารบางชนิด เช่น อาหารโปรตีน เมื่อกินมาก ๆ ท าใหเกิดของเสียในร่างกายมาก 4. ก็เป็นเหตุท าให้การท างานของไตบกพร่องและไตเสื่อมเร็วขึ้น 5. การกินอาหารที่ถูกต้องทั้งชนิดและปริมาณสามารถชะลอความเสื่อมของไตได้มาก 1. 3-5-4-1-2 2. 2-3-1-4-5 3. 5-1-3-2-4 3. 3-5-2-1-4 5. 5-4-3-1-2 ใช้ข้อความต่อไปนี้ตอบค าถามข้อ 28 – 29 1) เมื่อปอกเปลือกออกจะมีน้ ายางสีเหลืองอยู่ที่เนื้อมังคุดบางกลีบ บางกลีบเป็นสีใส 2) เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็หาทางแก้ไข้ได้ไม่ยาก คือควรก าจัดเพลี๊ยไฟและควบคุมปริมาณน้ าให้พอดีๆ 3) สาเหตุที่ท าให้เกิดอาการดังกล่าวอาจมาจากเพลี้ยไฟหรือต้นมังคุดได้ร้บน้ ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป 4) ลักษณะเช่นว่านี้เรียกว่า อาการเนื้อแก้วยางไหล ซึ่งท าให้มังคุดเสียราคา 5) คนที่ชอบกินมังคุดคงเคยสังเกตว่าบางผลมีน้ ายางแข็งสีเหลืองเกาะอยู่ที่เปลือก 28. เมื่อเรียงล าดับข้อความข้างต้นให้ถูกต้องแล้ว ข้อใดเป็นล าดับที่ 4 1. ข้อ 1 2. ข้อ 2 3. ข้อ 3 4. ข้อ 4 5. ข้อ 5 29. ข้อใด เป็นประเด็นที่ผู้เขียนตั้งใจจะน าเสนอ 1. ข้อพึงระวังที่ท าให้มังคุดเสียราคา 2. ความแตกต่างของมังคุดที่ดีและไม่ดี 3. วิธีเลือกซื้อมังคุดให้เป็นเพื่อให้คุ้มค่าเงิน 4. สาเหตุที่ท าให้มังคุดมีผลผลิตไม่สมบูรณ์ 5. วิธีแก้ป้ญหาเพื่อให้มังคุดที่ปลูกมีคุณภาพดี อธิบาย 1.ความหมาย “การเรียงล าดับข้อความ” การเรียงลําดับข้อความ คือ การเรียงล าดับประโยค หรือการเรียงล าดับข้อความ ( 5 ข้อความ) ให้ถูกต้อง ตามหลักภาษา 2.หลักการเรียงล าดับข้อความ 2.1 การหาข้อความที่ 1 (1.) ประโยคขึ้นต้นด้วยค านามทั่วไป,นามเฉพาะ เช่น มนุษย์ทุกคน, ประเทศไทย ภูหลวง ฯลฯ (2.) ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “การ,ความ” เช่น ความล าบาก การเคลื่อนย้าย ฯลฯ (3.) ประโยคขึ้นต้นด้วย “ใน” หรือ “ใน+ช่วงเวลา” เช่น สมัย...,ยุค...,โบราณ...,อดีต... (4.) ประโยคขึ้นต้นด้วยค าสันธาน “เนื่องจาก...จึง...,แม้ว่า...แต่...,เพื่อ+จุดประสงค์,ด้วย+หน่วยงาน ,ตามที่+หน่วยงาน/ข้อบังคับ/ข้อกฎหมาย” เช่น “ตามที่กระทรวงมหาดไทย...” (5.) ประโยคที่ 1 จะไม่ขึ้นต้นด้วยค าบุพบท “กับ,ด้วย,จาก, ฯลฯ” และ ค าสันธาน “และ,ดังนั้น,จึง ฯล”
80
2.2.การหาประโยคสุดท้าย (ล าดับที่ 5) (1.) ประโยคที่มีค าสันธาน “จึง,ดังนั้น” (2.) ประโยคที่ลงท้ายค าว่า “...เป็นต้น,...ทั้งหมด,...ทั้งสิ้น,...ด้วย,...อีกด้วย,...มากที่สุด,...มากยิ่งขึ้น,ทั้ง ...ข้างต้น,ดังที่กล่าวมาแล้ว,...ก็ตาม,...เท่านั้น,...ตามล าดับ,...อย่างยิ่ง,...อีกด้วย/อีกต่อไป/ต่อไป,...โดยสิ้นเชิง ฯลฯ (3.) ประโยคมีข้อความว่า “ดังนั้น,กล่าวคือ,ท าให้,ส่งผลให้,ทั้ง...และ...ตลอดจน 2.3 การหาประโยคกลาง (ล าดับที่ 2,3,4) (1.) ประโยคขึ้นต้นด้วย “บุพบท “กับ,ด้วย,โดย,ตาม,เมื่อ,เพื่อ,แก่,ของ ฯลฯ” (2.) ประโยคขึ้นด้วย “สันธาน” “ที่,ซึ่ง,อัน” (3.) ประโยคขึ้นด้วย “โดยเฉพาะ...,โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...,ไม่ว่าจะเป็น...,ได้แก่...และ...,คือ...และ...,ที่ ส าคัญคือ (4.) ประโยคขึ้นต้นด้วย “ค ากริยา” วิเคราะห์ 1. การเลือกกินอาหารจึงเป็นสิ่งจ าเป็นถึงแม้เป็นสิ่งที่ท าได้ยากก็ตาม 2. เมื่อใดที่ไตไม่สามารถขับของเสียที่อยู่ในร่างกายออกมาได้ 3. อาหารบางชนิด เช่น อาหารโปรตีน เมื่อกินมาก ๆ ท าใหเกิดของเสียในร่างกายมาก 4. ก็เป็นเหตุท าให้การท างานของไตบกพร่องและไตเสื่อมเร็วขึ้น 5. การกินอาหารที่ถูกต้องทั้งชนิดและปริมาณสามารถชะลอความเสื่อมของไตได้มาก 1. 3-5-4-1-2 2. 2-3-1-4-5 3. 5-1-3-2-4 3. 3-5-2-1-4 5. 5-4-3-1-2 28. เมื่อเรียงล าดับข้อความข้างต้นให้ถูกต้องแล้ว ข้อใดเป็นล าดับที่ 4 1) เมื่อปอกเปลือกออกจะมีน้ ายางสีเหลืองอยู่ที่เนื้อมังคุดบางกลีบ บางกลีบเป็นสีใส-2 2) เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็หาทางแก้ไข้ได้ไม่ยาก คือควรก าจัดเพลี๊ยไฟและควบคุมปริมาณน้ าให้พอดีๆ-5 3) สาเหตุที่ทําให้เกิดอาการดังกล่าวอาจมาจากเพลี้ยไฟหรือต้นมังคุดได้ร้บน้ํามากเกินไปหรือน้อยเกินไป-4 4) ลักษณะเช่นว่านี้เรียกว่า อาการเนื้อแก้วยางไหล ซึ่งท าให้มังคุดเสียราคา-3 5) คนที่ชอบกินมังคุดคงเคยสังเกตว่าบางผลมีน้ ายางแข็งสีเหลืองเกาะอยู่ที่เปลือก-1 29. ข้อใด เป็นประเด็นที่ผู้เขียนตั้งใจจะน าเสนอ 1. ข้อพึงระวังที่ท าให้มังคุดเสียราคา√ 2. ความแตกต่างของมังคุดที่ดีและไม่ดี 3. วิธีเลือกซื้อมังคุดให้เป็นเพื่อให้คุ้มค่าเงิน 4. สาเหตุที่ท าให้มังคุดมีผลผลิตไม่สมบูรณ์ 5. วิธีแก้ป้ญหาเพื่อให้มังคุดที่ปลูกมีคุณภาพดี
81 30. ข้อใด ควรเป็นชื่อของเรียงความที่มีสาระส าคัญต่อไปนี้ ปัจจุบันปัญหาการบุกรุกท าลายป่าชายเลนมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น การล้กลอบตัดไม้การท านากุ้ง การสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนน และการเพิ่มของประชากร เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อ ระบบนิเวศของ ป่าชายเลน เป็นการท าลายห่วงโซ่อาหาร และท าลายแหล่งอาหารของมนุษย์ ชุมชนจึงควรเป็นกลุ่มที่ช่วยกัน ปกป้องและพัฒนาป่าชายเลนให้ยั่งยืน 1. ประโยชน์ของป่าชายเลน 2. จิตส านึกรักษ์ป่าชายเลน√ 3. ระบบนิเวศของป่าชายเลน 4. การตัดไม้ท าลายป่าชายเลน 5. ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อพัฒนาป่าชายเลน อธิบาย 1. ความหมาย ประพันธ์ เรืองณรงค์และคณะ (2545, น. 87) กล่าวว่า เรียงความ เป็นงานเขียน ร้อยแก้วชนิดหนึ่งที่ ผู้เขียนมุ่งถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ความคิด และทัศนคติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยถ้อยค าและส านวนที่เรียบ เรียงอย่างมีล าดับขั้นและสละสลวย 2. องค์ประกอบของเรียงความ องค์ประกอบส าคัญ 3 ส่วน ดังนี้ 2.1 คํานํา คือ อารัมภบทของเรื่อง การเขียนค าน านี้อาจขึ้นต้นด้วยข้อคิด ค าคม ภาษิต หรือบทกลอน แต่ต้องใช้ภาษาที่กระชับ สละสลวย น่าอ่าน 2.2 เนื้อเรื่อง หมายถึง สาระส าคัญของเรื่องที่ผู้เขียนต้องแสดงความรู้หรือ ความคิดอย่างกว้างขวาง และสมบูรณ์ครอบคลุมเนื้อเรื่องทั้งหมด การเขียนเนื้อเรื่อง แบ่งเป็นย่อหน้า 1-3 ย่อหน้า มีเอกภาพ-สัมพันธภาพ- และมีสารัตถภาพ ใช้ภาษา เขียนเชิงสาธกโวหาร อุปมาโวหาร อธิบาย บรรยาย พรรณนา 2.3 สรุป เป็นการเขียนขมวดเรื่องให้จบบริบูรณ์โดยสรุปด้วยการฝากข้อคิดเห็นต่าง ๆ ด้วยค าคม สุภาษิต ค าขวัญ หรือสรุป ด้วยการย่อสาระส าคัญของเรื่อง 3.การเขียนค าน า - เนื้อหา - สรุป 3.1 การเขียนค าน า(ใช้วิธีบรรยาย/อธิบาย) 3.1.1 เขียนแบบบรรยาย/ การเล่าเรื่อง 3.1.2 เขียนแบบค าจ ากัดความ 3.1.3 เขียนด้วยถ้อยค าที่กระตุ้นให้ผู้อ่านสงสัยใคร่รู้ 3.1.4 เขียนด้วยข่าว เหตุการณ์หรือปัญหาเร่งด่วน 3.1.5 เขียนด้วยค าพูด ค าคม สุภาษิตหรือบทกวี 3.1.6 เขียนด้วยการอธิบายชื่อเรื่อง 3.1.7 เขียนด้วยการตัดข้อความของผู้มีชื่อเสียง 3.2 การเขียนเนื้อเรื่อง (ใช้วิธีบรรยาย/ อธิบาย/พรรณนา) 3.2.1 ให้รายละเอียด ใช้บรรยายและพรรณนา 3.2.2 ยกตัวอย่าง (ตัวอย่าง...เช่น...) 3.2.3 เปรียบเทียบ (เหมือน ดั่ง ฯลฯ) 3.2.4 อธิบาย แสดงเหตุและผล (เหตุ+ผล ดังนั้น,ดังนั้นจึง,เพราะ, เนื่องจาก ฯลฯ) 3.2.5 วิเคราะห์วิจารณ์/ แสดงความคิดเห็น (น่าจะ,เห็นจะ,ควร,ควรจะ ฯลฯ) 3.3 การเขียนสรุป (บรรยาย/อธิบาย/พรรณนา) 3.3.1ฝากข้อคิดและความประทับใจ 3.3.2 ย้ าแนวคิดส าคัญของเรื่อง 3.3.3 เขียนด้วยการชักชวน 3.3.4 เขียนด้วยการตั้งค าถาม 3.3.5 ยก ค าคม สุภาษิต หรือบทกวี 3.3.7 เขียนด้วยการสั่งสอน
82 31.ข้อความส่วนใด ไม่ใช่ การพรรณนา 1) ลุงด าเป็นคนร่างเล็กผอมแกร็น / 2) ใบหน้ากร้านแดด เห็นรอยย่นลึกที่กลางหน้าผาก / 3) มีปอยเคราสี ขาวตรงปลายคางยาวลงมาถึงกลางอก / 4) ในยามครุ่นคิดใคร่ครวญ ลุงจะลูบไล้เคราขาวอย่าง ช้า ๆ / 5) ว้นห นึ่งลุงโกรธเด็กเกเรที่มาล้อ เลยเดินไปโกนเคราทิ้งเสียที่ร้านหน้าปากซอย 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 5. ส่วนที่ 5 32.ข้อความต่อไปนี้ใช้วิธีการเขียนตามข้อใด มณฑาสวรรค์เป็นพรรณไม้ดอกในวงแม็กโนเลีย เป็นไม้ยืนต้นขนาดสูง 5 – 10 เมตร ออกดอกรูปกลมรี กลีบดอกหนามีสีขาวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ า เนื้อใบหนาแข็ง สีเขียวสด ขยายพันธุ์ ตามธรรมชาติด้วยเมล็ด 1. การอธิบาย 2. การบรรยาย 3. การพรรณนา 4. การอธิบายและการบรรยาย 5. การอธิบายและพรรณนา อธิบาย 1.ความหมาย การบรรยาย คือ การเล่าเรื่อง การเล่าเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ท าให้ผู้รับสารทราบ(ข้อมูล)ว่า ใคร ท าอะไร ที่ ไหน เมื่อไร อย่างไร เพื่ออะไร 2.วิธีการบรรยาย การบรรยายท าได้หลายวิธีดังนี้ 2.1 บรรยายว่า ใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร เพื่ออะไร ให้ผู้รับสารรู้เรื่อง 2.2 บรรยายโดยเน้นเหตุการณ์ตามล าดับเวลาที่เป็นจริง 2.3 บรรยายโดยสลับเหตุการณ์ 2.4 เลือกบรรยายเฉพาะเหตุการณ์ส าคัญที่ส่งผลเกี่ยวเนื่องถึงเหตุการณ์อื่น 2.5 เลือกใช้วิธีอื่น ๆ แทรกในการบรรยาย เช่น ผูกเป็นบทสนทนา มีการตั้งค าถาม 3.ตัวอย่างการบรรยาย 3.1 การบรรยายประเภทร้อยแก้ว ขณะเมื่อเล่าปี่ควบม้าหนีไปนั้น ทั้งกลางวันกลางคืนได้ทางประมาณพันเส้น ครั้นถึงเมืองเซียงจิ๋วจึงบอก แก่นายประตูว่า เราจะเข้าไปหาอ้วนถ าเจ้าเมืองซึ่งเป็นบุตรอ้วนเสี้ยว นายประตูก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่ อ้วนถ า 3.2 การบรรยายประเภทร้อยกรอง หมื่นวิเศษรับค าแล้วอ าลา รีบมาบ้านขุนช้างหาช้าไม่ ครั้นถึงแอบดูอยู่แต่ไกล เห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งชานเรือน
83 การพรรณนา 1.ความหมาย พรรณนาโวหาร คือ โวหารที่ใช้กล่าวถึงเรื่องราว สถานที่ บุคคล สิ่งของ หรืออารมณ์อย่างละเอียด สอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกลงไป 2.จุดมุ่งหมายและลักษณะการพรรณนา มุ่งให้ความแจ่มแจ้ง ละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นการเขียน พรรณนา มุ่งให้ภาพ และอารมณ์มีลักษณะดังนี้ 2.1. มักเล่นค า เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์ 2.2. ใช้ถ้อยค าอธิบายหรือบรรยายสิ่งที่พบเห็นอย่างละเอียด โดยใช้ส านวนโวหารที่ไพเราะสอดแทรก อารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียน 2.3. รู้จักใช้ถ้อยค าที่ประณีตให้ความรู้สึกโดยหยิบยกลักษณะส าคัญมากล่าว 2.4. การใช้ถ้อยค าในการบรรยายลักษณะจะใช้ถ้อยค าที่แสดงรูปธรรม เช่น บอกลักษณะ สีสัน รูปร่าง เวลา เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจน หรือใช้ถ้อยค าท าให้เกิดความไพเราะ เช่น “...สตรีทั้งหลายที่อยู่ในแผ่นดินนั้นงามทุกคน รูปร่างไม่สูงไม่ต่ าเกินไป ไม่ผอมไม่อ้วนเกินไป ไม่ขาวด า เกินไป มีรูปทรงสมส่วน ผิวพรรณงามดั่งทองสุกเหลือง เป็นที่พึงใจของชายทุกคน นิ้วมือนิ้วเท้ากลมกลึง มีเล็บสี แดงเหมือนน้ าครั่งที่ทาแต้มไว้แก้มใสนวลงามดั่งผัดแป้ง ...” การอธิบาย 1.ความหมาย อธิบาย ก.ไขความ,ขยายความ,ชี้แจง 2.ประเภทการอธิบาย 1. การอธิบายตามล าดับขั้น สังเกตจากค าบอกล าดับขั้นตอน เช่น ขั้นที่ 1,ขั้นที่ 2,1.,2.,หรือ เริ่มต้นด้วย,จากนั้น,ถัดไป,ต่อด้วย,... ท้ายที่สุด) ตัวอย่าง ๏การกราบใช้ในโอกาสที่แสดงความเคารพอย่างสูงต่อผู้มีอาวุโส ส่วนมากขณะนั่งกับพื้น การปฏิบัติมี ดังนี้ 1.คุกเข่าลงทั้งสองข้าง 2.นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า 3.ก้มตัวลงหมอบให้แขนทั้งสองข้างอยู่ข้างเข่าที่ยื่นออกมา 4.ประนมมือให้อยู่ในระดับพื้น 5.ก้มศีรษะลงจรดนิ้วหัวแม่มือ 2. การอธิบายโดยใช้ตัวอย่าง สังเกตค าว่า (เช่น,อาทิ,ได้แก่,ตัวอย่างเช่น และ เป็นต้น” เช่น ผักสดที่คุณแม่บ้านจะเลือกมาท าสลัดนั้น หาได้ไม่ยากเลยทั้งจากตลาดสดใกล้บ้านหรือแม้กระทั่งใน ซูเปอร์มาร์เก็ตก็มีผักมากมายให้คุณแม่บ้านได้เลือกสรรตามชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นผักไทย ๆ อย่างเช่นแตงกวา มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ กะหล่ าปลีและผักกาดหอม ...เป็นต้น
84 การอธิบาย 3. การอธิบายโดยการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง สังเกตจากค าแสดงการเปรียบเทียบ เช่น “แตกต่างกัน,เหมือนกัน,มากกว่า,น้อยกว่า,ดีกว่า,นุ่มกว่า,แข็ง กว่า, ฯลฯ” หรือแสดงด้านดีด้านเสียง เช่น “ ข้อดี...ข้อเสีย...,ข้อดี...ข้อจ ากัด,ส่วนดี...ส่วนด้อย ฯลฯ) เช่น “การแสดงพื้นเมือง จะมีลักษณะต่างกับเพลงพื้นเมืองตรงที่เน้น ลักษณะและลีลาการร ามากขึ้นกว่าการ เล่นเพลง ความหมายของการใช้ท่าทางจะมีมากกว่า…” 4. การอธิบายโดยการใช้สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน (สังเกตจากค าเชื่อมแสดงเหตุผล เช่น “จึง,เพราะ,เพราะฉะนั้น,ดังนั้นจึง,ด้วยเหตุนี้ฯลฯ) เช่น “ในระบบของธรรมชาตินั้น น้ าจะเกิดขึ้นได้เพราะมีความชุ่มชื้นของป่าไม้แห่งเทือกขุนเขา ให้ก าเนิดต้นน้ า ล าธาร...” 5. การอธิบายโดยการนิยาม สังเกตค าแสดงความหมาย เช่น “เป็น,คือ,หมายถึง,แปลว่า ฯลฯ” เช่น “สุขภาพจิต หมายความถึง สภาพความสมบูรณ์ทางจิตใจของมนุษย์ซึ่งจะด ารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็น สุข” 6. การอธิบายโดยการกล่าวซ้ าด้วยถ้อยค าที่แปลกออกไป เช่น “ราคาน้ํามันที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ความต้องการพลังงานทดแทนจากพืชพลังงานเพิ่มขึ้นตามไป ด้วย โดยเฉพาะเอทานอลโบโอดีเซล การที่ราคาน้ํามันสูงขึ้น อย่างคาดเดาไม่ถูกว่าจะไปหยุดอยู่ที่ใด ยังเป็น เหตุให้กระทรวงพลังงานออกมาตรการผลักดันการใช้แก๊ส โซฮอลล์และ ไบโอดีเซล เพื่อเป็นพลังงานทดแทน “ วิเคราะห์ 31.ข้อความส่วนใด ไม่ใช่ การพรรณนา 1) ลุงด าเป็นคนร่างเล็กผอมแกร็น 2) ใบหน้ากร้านแดด เห็นรอยย่นลึกที่กลางหน้าผาก 3) มีปอยเคราสีขาวตรงปลายคางยาวลงมาถึงกลางอก 4) ในยามครุ่นคิดใคร่ครวญ ลุงจะลูบไล้เคราขาวอย่างช้า ๆ 5) ว้นหนึ่งลุงโกรธเด็กเกเรที่มาล้อ เลยเดินไปโกนเคราทิ้งเสียที่ร้านหน้าปากซอย 32.ข้อความต่อไปนี้ใช้วิธีการเขียนตามข้อ... มณฑาสวรรค์เป็นพรรณไม้ดอกในวงแม็กโนเลีย เป็นไม้ยืนต้นขนาดสูง 5 - 10 เมตร ออกดอกรูปกลมรีกลีบ ดอกหนามีสีขาวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะในช่วงพลบค่ า เนื้อใบหนาแข็ง สีเขียวสด ขยายพันธุ์ตาม ธรรมชาติด้วยเมล็ด 1. การอธิบาย 2. การบรรยาย 3. การพรรณนา 4. การอธิบายและการบรรยาย 5. การอธิบายและพรรณนา
85 33. ข้อใด ไม่ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับ “มันส าปะหล้ง” ในข้อความต่อไปนี้ มันส าปะหลังปลูกมากที่สุดในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันส าปะหลังเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากประเทศไนจีเรียและบราซิล ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันส าปะหลังเป็นอันดับ 1 ของโลกมา ยาวนาน และสร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาท 1. ประเทศคู่แข่ง 2. แหล่งเพาะปลูก 3. ผู้น าในการส่งออก 4. รูปแบบผลิตภัณฑ์ 5. พืชเศรษฐกิจของไทย 34. ข้อใด ไม่ได้สอดคล้อง กับขัอความต่อไปนี้ นักวิจิยก าลังพยายามพิสูจน์ว่า การฟังเพลงเศร้าเป็นการช่วยปลอบโยน โดยทดลองเก็บข้อมูลจาก ชาว อังกฤษและฟินแลนด์จ านวน 2,436 คน ผลการวิจัยพบว่า คนส่วนใหญ่รู้สึก ชอบเพราะเพลงเศร้าท าให้อารมณ์ ดีขึ้น ทั้งนี้อาจเกิดจากความนิยมในเพลงนี้อยู่แล้ว นอกจากนั้น ในการทดลองยังพบว่า คนส่วนหนึ่งรู้สึกเจ็บปวด หรือเกลียดเพลงเศร้าไม่อยากได้ยิน ได้ฟังเพลงนั้น ๆ เลย 1. บางคนฟังเพลงเศร้าแล้วท าให้เกิดความทุกข์ใจ 2. เพลงเศร้าท าให้เกิดความรู้สึกทั้งพอใจ และปวดร้าว 3. ชาวอังกฤษชอบฟังเพลงเศร้ามากกว่า ชาวฟินแลนด์ 4. ผู้วิจิยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2,000 คนใน 2 ประเทศ 5. เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ชอบเพลงเศร้าเพราะ ชอบเพลงนั้นมาแต่เดิม อธิบาย 1.การอ่านเพื่อเข้าใจเนื้อหา การอ่านเพื่อเข้าใจ (จิตรลดา คนยืน : 2550,22) คือ การอ่านที่ผู้อ่านจะต้องเข้าใจข้อความในระดับ ต่าง ๆ ซึ่งเริ่มจากค า วลีประโยค และเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน สามารถท าความเข้าใจบอกเรื่องราวของเรื่องที่ อ่าน จับใจความส าคัญ บอกรายละเอียดของเรื่อง สรุปความคิดเห็นและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน แปล ความ อธิบายความหมายจากเรื่องราวที่อ่านได้ 2.ทักษะการอ่านเพื่อเข้าใจเนื้อหา ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจมี3 ประการ คือ 1. การเรียงลําดับ (sequencing) หมายถึง การน าเหตุการณ์มาเรียงล าดับกันและกัน 2. การสรุป (summarizing) หมายถึง การหาใจความส าคัญ (main idea) ในบทอ่านนั้นให้ได้ 3. การหานัย (inference) หมายถึง การใช้ตัวแนะ (clue) ในบทอ่าน เพื่อค้นหาค าตอบ ค าตอบที่ตอบค าถาม แบบนัยนั้นจะไม่มีในเนื้อหา แต่ผู้เรียนจะต้องคิด, ให้เหตุผล, และสรุปเกี่ยวกับสิ่งที่อ่านเอง วิเคราะห์ 33. ข้อที่ ไม่ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับ “มันส าปะหล้ง” ในข้อความต่อไปนี้คือ มันส าปะหลังปลูกมากที่สุดในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันส าปะหลังเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากประเทศไนจีเรียและบราซิล ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังเป็นอันดับ 1 ของโลกมา ยาวนาน และสร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาท 1. ประเทศคู่แข่ง 2. แหล่งเพาะปลูก 3. ผู้น าในการส่งออก 4. รูปแบบผลิตภัณฑ์ 5. พืชเศรษฐกิจของไทย
86 35.ค าตามข้อใด เมื่อน ามาเติมในช่องว่างต่อไปนี้แล้ว จะได้ใจความถูกต้องตาม ความคิดของผู้เขียน ทุกวันนี้สังคมอุดมไปด้วยข่าวสารจากโลกออนไลน์ทั้งที่เชื่อถือได้และไม่ควรเชื่อถือ เหตุการณ์ถูกปรุงแต่งมา จากหลายฝ่ายหลายส่วน และมักจะหาข้อมูลตรรกะต่าง ๆ มาสนับสนุน ความคิดของตนเอง ดังนั้นการเสพสื่อ ดิจิทัลอย่าง ............... จึงเป็นสิ่งที่ ควรปฏิบัติเพื่อให้เรารู้เท่าทันชีวิต 1. มั่นใจ 2. จริงจัง 3. ชาญฉลาด 4. มีจินตนาการ 5. สมบูรณ์แบบ อธิบาย 1.ความหมาย การหาข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ การหาข้อคิดหรือคติสอนใจจากเรื่องที่อ่านว่าเรื่องนั้นให้ข้อคิดที่เป็น ประโยชน์อะไรบ้าง แล้วจึงน าข้อคิดนั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันการหาข้อคิดจากการอ่านหนังสือ ต่าง ๆ 2.การสรุปความรู้ การสรุปความรู้เป็นการสรุปความรู้หรือทฤษฎีที่ปรากฏอยู่ในเรื่องที่อ่าน โดยเขียนสรุปเป็นประโยค สั้น ๆ หรือข้อความสั้น ๆ เพื่อขยายความเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้น 3.การสรุปข้อคิด การสรุปข้อคิด เป็นการค้นหาข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน ซึ่งข้อคิดอาจแฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง หรืออยู่ส่วนท้ายของ เรื่องที่อ่าน โดยผู้อ่านอาจเขียนสรุปข้อคิดเป็นประโยคหรือข้อความสั้น ๆ ได้หรือเป็นค าคมก็ได้ 4.หลักพื้นฐานการปฏิบัติการอ่าน 4.1อ่านรอบแรก เพื่อดูชื่อเรื่องก่อน แล้วอ่านโดยมีค าถามในใจว่า ใคร ท าอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ผลเป็น อย่างไร ข้อความใดส าคัญให้ขีดเส้นใต้ไว้ 4.2 อ่านรอบสอง โดยดูรายละเอียดของเนื้อหา เพื่อค้นหาความรู้ส าคัญและข้อคิด 4.3 อ่านทบทวน เพื่อเข้าใจเนื้อหา 4.4 สรุปใจความส าคัญของแต่ละย่อหน้า 4.5 น าใจความส าคัญที่รวบรวมไว้มาเขียนเรียบเรียงใหม่โดยใช้ส านวนภาษาของตนเอง 4.6 ทบทวนการสรุปความรู้อีกครั้ง เพื่อพิจารณาหาส่วนที่ต้องแก้ไขหรือต้องการเพิ่มเติม หลักการสรุปความ จากเรื่องที่อ่าน วิเคราะห์ 35.ค าที่เมื่อน ามาเติมในช่องว่างต่อไปนี้แล้ว จะได้ใจความถูกต้องตามความคิดของผู้เขียน คือ ทุกวันนี้สังคมอุดมไปด้วยข่าวสารจากโลกออนไลน์ทั้งที่เชื่อถือได้และไม่ควรเชื่อถือ เหตุการณ์ถูกปรุงแต่งมา จากหลายฝ่ายหลายส่วน และมักจะหาข้อมูลตรรกะต่าง ๆ มาสนับสนุน ความคิดของตนเอง ดังนั้นการเสพสื่อ ดิจิทัลอย่าง ............... จึงเป็นสิ่งที่ ควรปฏิบัติเพื่อให้เรารู้เท่าทันชีวิต 1. มั่นใจ 2. จริงจัง 3. ชาญฉลาด 4. มีจินตนาการ 5. สมบูรณ์แบบ
87 36. ข้อความต่อไปนี้ส่วนใดเป็นใจความส าคัญ 1) น้ านมแม่มีประโยชน์มาก ท าให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรงและมีพัฒนาการสมวัย/ 2) เด็กที่ดื่มนมแม่อย่าง น้อย 4 – 6 เดือน มีการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจน้อยกว่าเด็กที่ดื่มนมผสม / 3) หรือเป็นหวัดน้อยกว่า 4 เท่า และเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังน้อยกว่าถึง 3 เท่า / 4) ช่วยลดการเกิดภูมิแพ้และหอบหืดในเด็กลง / 5) ยิ่งให้ลูก ดื่มนมแม่ได้นานเท่าใด ภูมิคุ้มกันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น 1. ส่วนที่ 1 2. ส่วนที่ 2 3. ส่วนที่ 3 4. ส่วนที่ 4 5. ส่วนที่ 5 อธิบาย 1.ความหมายการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความสําคัญ คือ การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดส าคัญหลักของข้อความหรือเรื่องที่ อ่าน ซึ่งเป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด 2. การจับใจความส าคัญแต่ละย่อหน้า 2.1 ใจความส าคัญอยู่ต้นย่อหน้า “งานอดิเรก คือ งานที่ไม่ใช่งานอาชีพโดยตรง แต่เป็นงานที่คนชอบทําเป็นพิเศษ เช่น นักการเมืองที่ชอบ เล่นดนตรีย่อมพอใจคนสนทนาทางดนตรีมากกว่าทางการเมือง ครูที่ชอบการเมือง ย่อมเอาใจใส่การเมือง มากกว่าการศึกษา ...” 2.2 ใจความส าคัญอยู่ท้ายย่อหน้า “บางคนชอบปลูกไม้ดอกไม้ผล เมื่อเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดที่จะท าดอกผลนั้นให้งดงามน่าดู ยิ่งขึ้น จึงมีผู้น าผลไม้มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางลงในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้น เกิดจาก การตัด ผ่า ปอก คว้าน และแกะสลัก ส่วนไม้ดอกไม้ดอกก็น ามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่ม หรือปักลงในแจกันก็ได้แสดงว่า ศิลปะกับชีวิตเป็นส่วนที่แยกกันไม่ออก” 2.3 ใจความส าคัญอยู่ต้นย่อหน้าและท้ายย่อหน้า “ศิลปะกับวัฒนธรรมในบ้านเมืองเรามักจะสอดคล้องกับการดําเนินชีวิตประจําวัน ตัวอย่างบางคนชอบ ปลูกไม้ดอกไม้ผล เมื่อเกิดดอกออกผลก็ชื่นใจ เกิดความคิดที่จะท าดอกผลนั้นให้งดงามน่าดูยิ่งขึ้น จึงมีผู้น าผลไม้ มาประดิษฐ์ลวดลาย แล้วจัดวางลงในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทาน ลวดลายนั้นเกิดจากการตัด ผ่า ปอก คว้าน และแกะสลัก ส่วนไม้ดอกไม้ดอกก็น ามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่ม หรือปัก ลงในแจกันก็ได้แสดงว่า ศิลปะกับชีวิตเป็นส่วนที่แยกกันไม่ออก 2.4 ใจความส าคัญอยู่กลางย่อหน้า “ศิลปะแห่งการฟังนั้นไม่ได้หมายถึงการนั่งนิ่ง ปล่อยให้คนอื่นพูดอย่างเดียว แล้วก็ฟังเหมือนฟังเทศน์ การท าเช่นนั้นง่ายเกินไปกว่าที่จะนับว่าเป็นศิลปะ ศิลปะการฟังจึงหมายถึง ความสามารถที่จะชักจูงผู้พูดให้หันเห เข้าหาเรื่องที่เขาถนัดที่สุด คือแสดงให้เห็นว่า ตนก าลังฟังค าพูดของเขาด้วยความตั้งใจ อยากรู้อยากฟัง จริง ๆ รู้จักสอดค าถามในโอกาสที่เหมาะ รู้จักปล่อยให้ผู้พูด พูดจนสิ้นกระแสความ และรู้จักช่วยผู้พูดที่ก าลังจะหมด เรื่องพูดให้กลับมีเรื่องขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เขาพูดได้ต่อไป” วิเคราะห์ ๏ข้อความต่อไปนี้ส่วนที่เป็นใจความส าคัญ คือ 1) น้ านมแม่มีประโยชน์มาก ท าให้ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรงและมีพัฒนาการสมวัย/ 2) เด็กที่ดื่มนมแม่อย่าง น้อย 4 – 6 เดือน มีการติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจน้อยกว่าเด็กที่ดื่มนมผสม / 3) หรือเป็นหวัดน้อยกว่า 4 เท่า และเป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังน้อยกว่าถึง 3 เท่า / 4) ช่วยลดการเกิดภูมิแพ้และหอบหืดในเด็กลง / 5) ยิ่งให้ลูก ดื่มนมแม่ได้นานเท่าใด ภูมิคุ้มกันก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
88 37. ข้อใดเป็นประเด็นหลักของข้อความต่อไปนี้ ออสเตรเลียประสบปัญหาการรุกรานของวัชพืชโดยเฉพาะฮอกวีด (Hawk weed) ที่มาแย่งอาหารจากพืช เศรษฐกิจที่ปลูก รัฐต้องสูญเสียค่ายาพ่นก าจัดวัชพืชเป็นจ านวนมหาศาล กระนั้นมันก็สามารถอยู่รอด และงอก ใหม่ได้อีก ในที่สุดพบว่าสุนัขมีประโยชน์ในการปราบฮอกวีดดีที่สุด เพราะมันจะค้นพบและขุดรากทิ้งได้หมด สิ่ง ส าคัญที่ท าให้ไม่ง่ายนัก คือ ต้องเร่งฝึกสุนัข เช่น ค็อกเกอร์สเปเนียล ซึ่งมีจมูกไวเป็นเลิศ 1. ความยากล าบากในการก าจัดฮอกวีด 2. การฝึกสุนัขให้สามารถค้นหาฮอกวีด 3. ความส าเร็จในการก าจัดฮอกวีดโดยใช้สุนัข 4. การรุกรานของฮอกวีดซึ่งท าให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 5. ความสามารถพิเศษในการดมกลิ่นฮอกวีด ของค็อกเกอร์สเปเนียล 38. จากข้อความต่อไปนี้ ข้อใด ไม่ใช่ ผลจากการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ถนนเยาวราชเจริญรุ่งเรืองมาคู่กับกรุงเทพ ฯ เป็นเวลานาน เมื่อไม่นานมานี้คนกรุงเทพ ฯ ต้องการความ รวดเร็วในการเดินทาง ท าให้มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผุดขี้นย่านใจกลางชุมชนเก่าแห่งนี้ ชุมชนบางส่วนต้อง โยกย้ายไปหาท าเลค้าขายแห่งใหม่ บ้างก็ต้องปิดกิจการเดิมไป บ้างก็ต้องย้ายไปอยู่นอกเมือง ผู้คนในชุมชนต้อง ปรับตัวกันขนานใหญ่ 1. การขยายธุรกิจการค้า √ 2. ความสะดวกในการเดินทาง 3. ความเปลี่ยนแปลงของชุมชน 4. ความเจริญก้าวหน้าของกรุงเทพ ฯ 5. การย้ายที่อยู่และการประกอบอาชีพ 39. ข้อใดเป็นสาระส าค้ญของข้อความนี้ จิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่นในเหตุผลความถูกต้องในความสุจริต ยุติธรรมและในความเที่ยงตรง รับผิดชอบ เป็นปัจจ้ยพื้นฐานที่จะรองรับวิชาความรู้และความคิดอ่านทั้งปวงไว้ให้มั่นคง ไม่ให้หวั่นไหวและผันแปรไปในทาง เสียหาย 1. บุคคลผู้มีเหตุผล มีความรู้มีความคิด ย่อมมีจิตใจมั่นคงและเข้มแข็ง 2. บุคคลจะศึกษาวิชาความรู้ได้ต้องมีจิตใจมั่นคง สุจริต เที่ยงตรงไม่ผันแปร 3. พื้นฐานของความรู้ความคิดของบุคคลคือความมีจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว 4. จิตใจของบุคคลอาจหวั่นไหวประพฤติชั่วได้หากไม่มีความรู้ความคิดเป็นพื้นฐาน 5. ผู้มีความรู้ถ้าจิตใจมั่นคง มีเหตุผล สุจริต เที่ยงธรรม ย่อมไม่ประพฤติเสื่อมเสีย
89 อธิบาย 1.ความหมายสาระส าคัญ สาระสําคัญ หรือ ประเด็นสําคัญ คือ ข้อความที่เขียนหรือพูดที่เป็นแก่นเรื่อง (สารัตถะ) หรือข้อสรุปของ เรื่องทั้งหมดที่ผู้พูดและผู้เขียนต้องการน าเสนอ 2.การอ่านสรุปสาระส าคัญ ด้วย 5w1h 5W1H ค าตอบ Who-ใคร •เจ้านาย ขุนนาง และพระสงฆ์ราชาคณะ What-ท าอะไร •ประชุม Where = ที่ไหน •กรุงรัตนโกสินทร์ When = เมื่อไร •เมื่อผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน Why = ท าไม •มีปัญหาเรื่องแย่งราชสมบัติ How = อย่างไร •ออกเสียงเลือกตั้งเจ้านายพระองค์ใดพระองค์ หนึ่งที่เหมาะสมที่สุด สาระส าคัญ •การแก้ปัญหาการแย่งราชสมบัติ ในสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ วิเคราะห์ 37. ข้อที่เป็นประเด็นหลักของข้อความต่อไปนี้คือ ออสเตรเลียประสบปัญหาการรุกรานของวัชพืชโดยเฉพาะฮอกวีด (Hawk weed) ที่มาแย่งอาหารจากพืช เศรษฐกิจที่ปลูก รัฐต้องสูญเสียค่ายาพ่นก าจัดวัชพืชเป็นจ านวนมหาศาล กระนั้นมันก็สามารถอยู่รอด และงอก ใหม่ได้อีก ในที่สุดพบว่าสุนัขมีประโยชน์ในการปราบฮอกวีดดีที่สุด เพราะมันจะค้นพบและขุดรากทิ้งได้หมด สิ่ง ส าคัญที่ท าให้ไม่ง่ายนัก คือ ต้องเร่งฝึกสุนัข เช่น ค็อกเกอร์สเปเนียล ซึ่งมีจมูกไวเป็นเลิศ 1. ความยากล าบากในการก าจัดฮอกวีด 2. การฝึกสุนัขให้สามารถค้นหาฮอกวีด 3. ความส าเร็จในการก าจัดฮอกวีดโดยใช้สุนัข √ 4. การรุกรานของฮอกวีดซึ่งท าให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 5. ความสามารถพิเศษในการดมกลิ่นฮอกวีด ของค็อกเกอร์สเปเนียล 39. ข้อที่เป็นสาระส าค้ญของข้อความนี้คือ จิตใจที่เข้มแข็งหนักแน่นในเหตุผลความถูกต้องในความสุจริต ยุติธรรมและในความเที่ยงตรง รับผิดชอบ เป็นปัจจ้ยพื้นฐานที่จะรองรับวิชาความรู้และความคิดอ่านทั้งปวงไว้ให้มั่นคง ไม่ให้หวั่นไหวและผันแปรไปในทาง เสียหาย 1. บุคคลผู้มีเหตุผล มีความรู้มีความคิด ย่อมมีจิตใจมั่นคงและเข้มแข็ง 2. บุคคลจะศึกษาวิชาความรู้ได้ต้องมีจิตใจมั่นคง สุจริต เที่ยงตรงไม่ผันแปร 3. พื้นฐานของความรู้ความคิดของบุคคลคือความมีจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว 4. จิตใจของบุคคลอาจหวั่นไหวประพฤติชั่วได้หากไม่มีความรู้ความคิดเป็นพื้นฐาน 5. ผู้มีความรู้ถ้าจิตใจมั่นคง มีเหตุผล สุจริต เที่ยงธรรม ย่อมไม่ประพฤติเสื่อมเสีย
90 40. ข้อใดเป็นจุดประสงค์ของผู้เขียนข้อความต่อไปนี้ การแพทย์แผนจีนที่มีมานับพันปีเน้นการสร้างสมดุลสุขภาพด้วยเครื่องยาจีนบางชนิดที่มีราคาแพง เช่น รังนก หูฉลาม ฯลฯ เชื่อกันว่า เครื่องยาจีนเหล่านี้มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงว่า มีคุณค่าสมกับราคาหรือไม่ อันที่จริงน่าจะถึงเวลาที่เราควรงดบริโภคสิ่งเหล่านี้เพื่อความห่วงใยธรรมชาติได้แล้ว แต่กระนั้นเครื่องยาจีนเหล่านี้ก็ยังมีวางจ าหน่ายอยู่ เช่นเดิม 1. อธิบายวิธีใช้เครื่องยาจีน 2. บอกประโยชน์ของเครื่องยาจีน 3. วิจารณ์คุณภาพของเครื่องยาจีนราคาแพง 4. เสนอแนะให้เลิกใช้เครื่องยาจีนที่ไม่อนุรักษ์ธรรมชาติ 5. คัดค้านการใช้เครื่องยาจีนซึ่งมีราคาแพงในการรักษาโรค 43. ข้อใดเป็นจุดประสงค์ของผู้เขียนข้อความต่อไปนี้ ผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนนั้นมักจะชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น จนลืมความสามารถ ของตน ส่วนผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองนั้น ด าเนินชีวิตอย่างเป็นเจ้านายของตนเอง ไม่ว่าจะพบสถานการณ์ใดก็ จะสามารถจัดการได้อย่างอิสระ ตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว 1. ต าหนิผู้ที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง 2. แนะน าวิธีการตัดสินใจด้วยความเชื่อมั่น 3. สนับสนุนให้คนมีความเชื่อมั่นในตนเอง 4. อธิบายความคิดของผู้ที่ขาดความเชื่อมั่น 5. เปรียบเทียบลักษณะของผู้ที่ขาดความเชื่อมั่น กับผู้ที่มีความเชื่อมั่น 44. ข้อใด เป็นจุดประสงค์ของผู้เขียนข้อความต่อไปนี้ ภัยออนไลน์-ภัยไร้สายในยุคนี้มีหลายรูปแบบที่เกิดจากน้ ามือของมิจฉาชีพยุคดิจิทัล สมัยก่อนมิจฉาชีพต้อง ออกหาเหยื่อ แต่สมัยนี้เพียงรอให้เหยื่อเข้ามาติดกับ เพราะมีช่องทางออนไลน์หลากหลาย กรณีซื้อขายออนไลน์ ประชาชนจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ ถ้าเป็นร้านที่ถูกต้องจะมีการขึ้นทะเบียนไว้ควรตรวจสอบให้ดีก่อนตัดสินใจ 1. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบภัยออนไลน์ 2. เตือนให้ระมัดระวังการซื้อสินค้าออนไลน์ 3. ชี้ให้เห็นกลโกงของมิจฉาชีพยุคดิจิทัล 4. เสนอแนะวิธีการใช้บริการออนไลน์ในปัจจุบัน 5. ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ป้ญหามิจฉาชีพออนไลน์ อธิบาย 1.การวิเคราะห์เจตนาผู้ส่งสาร เจตนาผู้ส่งสาร คือ ความตั้งใจ ความจงใจ หรือความมุ่งหมายของผู้ส่งสาร (ผู้พูด/ผู้เขียน) ที่ปรากฏในสารโดย ผู้รับสาร (ผู้ฟัง/ผู้อ่าน) ต้องตีความสารเพื่อให้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้ส่งสาร. 2.การวิเคราะห์วัตถุประสงค์หรือเจตนาผู้เขียน การวิเคราะห์คือ การแยกพิจารณาบทอ่านทั้งค า ข้อความ ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อท าความเข้าใจแต่ละส่วนให้ แจ่มแจ้ง การวิเคราะห์เจตนาผู้เขียน คือ การอ่านแยกแยะข้อความเพื่อหาความมุ่งหมายที่ผู้เขียนต้องการ
91 3. จุดประสงค์ผู้เขียน จุดมุ่งหมาย ความหมาย ค าที่สังเกตได้ แจ้งให้ทราบ บอกให้รู้ - โน้มน้าวใจ/ เชิญชวน ชักชวนให้ท า เชิญ,โปรด,ช่วย ปลุกเร้าใจ เร้าใจให้กล้า - แนะน า ชี้แนวทางให้ปฏิบัติ “ควร,ควรจะ” คาดคะเน คาดการณ์โดยอาศัยหลักวิชา “น่าจะ,อาจจะ,คงจะ กลุ่มค าที่มี “จะ” ชี้แจง,อธิบาย ขยายความให้เข้าใจชัดเจน “เป็น,หมายถึง,เช่น,ได้แก่, เป็นต้น” เสนอแนะ การชี้แนะ - ตักเตือน พูดเขียนให้รู้ว่าอย่าท าผิด - ต าหนิ,ติเตืยน ชี้ข้อบกพร่อง - สอน,สั่งสอน แนะน าขัดเกลานิสัย - ให้แง่คิด •ให้ประเด็นที่เป็นประโยชน์ - เตือนสติ •เตือนให้รู้ตัวได้สติ •ต้องค านึงถึง, •อย่าประมาท •ระมัดระวัง, •ต้องพิจารณา ให้ดีก่อน” สนับสนุน •ช่วยเหลือ ส่งเสริม - ส่งเสริม •สนับสนุนด้วยความเต็มใจ - เน้นย้ า •บอกให้แน่ใจ - ให้ก าลังใจ •กระตุ้นความรู้สึกให้ดีขึ้น - คัดค้าน •แสดงอารมณ์ไม่เห็นด้วย - วิจารณ์ •ติชม - เปรียบเทียบ เทียบเคียงให้เห็นความ แตกต่าง - วิเคราะห์ 40. ข้อที่เป็นจุดประสงค์ของผู้เขียนข้อความต่อไปนี้คือ การแพทย์แผนจีนที่มีมานับพันปีเน้นการสร้างสมดุลสุขภาพด้วยเครื่องยาจีนบางชนิดที่มีราคาแพง เช่น รังนก หูฉลาม ฯลฯ เชื่อกันว่า เครื่องยาจีนเหล่านี้มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ซึ่งไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงว่า มีคุณค่าสมกับราคาหรือไม่ อันที่จริงน่าจะถึงเวลาที่เราควรงดบริโภคสิ่งเหล่านี้เพื่อความห่วงใยธรรมชาติได้แล้ว แต่กระนั้นเครื่องยาจีนเหล่านี้ก็ยังมีวางจ าหน่ายอยู่ เช่นเดิม 4. เสนอแนะให้เลิกใช้เครื่องยาจีนที่ไม่อนุรักษ์ธรรมชาติ 43. ข้อที่เป็นจุดประสงค์ของผู้เขียนข้อความต่อไปนี้ คือ ผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนนั้นมักจะชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น จนลืมความสามารถ ของตน ส่วนผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองนั้น ด าเนินชีวิตอย่างเป็นเจ้านายของตนเอง ไม่ว่าจะพบสถานการณ์ใดก็ จะสามารถจัดการได้อย่างอิสระ ตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว 5. เปรียบเทียบลักษณะของผู้ที่ขาดความเชื่อมั่น กับผู้ที่มีความเชื่อมั่น
92 ใช้ข้อความต่อไปนี้ตอบค าถามข้อ 41-42 คนที่อายุเกิน 60 ปีคุ้นเคยกับวิชา หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมกันดีเพราะเคยเรียน มีคนคิดว่าน่าจะน าวิชา นี้กลับมาสอนในโรงเรียนใหม่อีกครั้ง ลองคิดดูจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพบว่าเนื้อหา ในหนังสือเรียนกับชีวิตในสังคม ขัดแย้งกันอยู่หลายเรื่อง เช่น ในต าราบอกว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นสิ่งชั่วร้าย ทุกคนต้องต่อต้าน แต่ใน ชีวิตจริงผลวิจัยกลับบอกว่า คนเป็นจ านวนมากเห็นว่า การคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ท ากัน หรือ เมื่อกลับบ้านได้ยินพ่อแม่ยกย่องคนมีเงิน แต่ไร้ศีลธรรมอย่างหน้าชื่นตาบานแทน 41. จากข้อความข้างต้น ข้อใดเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับวิชาหน้าที่พลเมือง และ ศีลธรรม 1. เนื้อหาในหนังสือเรียนส าหรับวิชานี้ล้าสม้ยเกินไป ควรปรับปรุง 2. การน าวิชานี้กลับมาสอนอีกครั้งในโรงเรียนเป็นเรื่องควรสนับสนุน 3. เนื้อหาบางตอนในหนังสือเรียนส าหรับวิชานี้ขัดแย้งกันเองหลายประเด็น 4. วิชานี้ไม่เหมาะสมที่จะน ากลับมาสอนอีกเพราะไม่สอดคล้อง กับพฤติกรรมของคนในสังคม 5. คนส่วนหนึ่งในสังคมปัจจุบันมีทรรศนะเปลี่ยนไปและไม่สนใจปฏิบัติตามแนวทางของวิชานี้ อธิบาย 1.ความหมายความคิดเห็น สุพัตรา สุภาพ (2542) กล่าวว่า ความคิดเห็น คือ การแสดงออกของบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะการพูดหรือการเขียน ซึ่งในการแสดงออกนี้ จะตอ้งอาศัยพื้นความรู้ประสบการณ์และพฤติกรรม ระหว่างบุคคลก่อนที่จะมีการตัดสินใจแสดงออก ซึ่งการแสดงออกนี้อาจได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธจาก ผู้อื่นก็ ได้. ยง ภู่วรวรรณ (2564) กล่าวว่า ข้อคิดเห็น (Opinion) เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึกของผู้ที่แสดงออก สื่อสารออกมา แสดงความคาดคะเน หรือข้อความที่แสดงทัศนะของผู้พูดที่สอดแทรกเข้าไปในข้อความที่พูด เพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัว เช่น “เกษตรกรเป็นอาชีพน่าเห็นใจมากเพราะเขาต้องท างานเหนื่อยตลอดทั้งวัน” 2. ลักษณะข้อคิดเห็น 2.1 เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึก 2.2 เป็นข้อความที่แสดงการคาดคะเน 2.3 เป็นข้อความที่แสดงความเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปไมย 2.4. เป็นข้อความที่เป็นข้อเสนอแนะหรือเป็นความคิดของผู้พูดหรือผู้เขียน วิเคราะห์ คนที่อายุเกิน 60 ปีคุ้นเคยกับวิชา หน้าที่พลเมืองและศีลธรรมกันดีเพราะเคยเรียน มีคนคิดว่าน่าจะน า วิชานี้กลับมาสอนในโรงเรียนใหม่อีกครั้ง ลองคิดดูจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพบว่าเนื้อหา ในหนังสือเรียนกับชีวิตใน สังคมขัดแย้งกันอยู่หลายเรื่อง เช่น ในต าราบอกว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นสิ่งชั่วร้าย ทุกคนต้องต่อต้าน แต่ในชีวิตจริงผลวิจัยกลับบอกว่า คนเป็นจ านวนมากเห็นว่า การคอร์รัปชันเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ท ากัน หรือเมื่อกลับบ้านได้ยินพ่อแม่ยกย่องคนมีเงิน แต่ไร้ศีลธรรมอย่างหน้าชื่นตาบานแทน 41. จากข้อความข้างต้น ข้อที่เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับวิชาหน้าที่พลเมือง และศีลธรรม คือ 1. เนื้อหาในหนังสือเรียนส าหรับวิชานี้ล้าสม้ยเกินไป ควรปรับปรุง√
93 42.น้ าเสียงตามข้อใด ปรากฏในข้อความข้างต้น 1. ดุดัน√ 2. ขมขื่น 3. เหยียดหยาม 4. ประหลาดใจ 5. ประชดประชัน อธิบาย 1.ความหมาย “น้ าเสียง” น้ าเสียง คือ เจตนา ท่าทีความรู้สึกของผู้เขียนที่แสดงออกมาในงานเขียน น้ าเสียง คือ ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่แสดงออกผ่านถ้อยค าของผู้พูดหรือผู้เขียน 2.ลักษณะน้ าเสียงในงานเขียน 2.1 น้ าเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล เป็นน้ าเสียงที่แสดงออกถึงความรักใคร่ ความห่วงใย ความสงบ หรือ ความอบอุ่น 2.2 น้ าเสียงเรียบ ๆ ง่าย ๆ ตรงไปตรงมา เป็นน้ าเสียงที่แสดงออกถึงความซื่อ ความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเล่ห์ เหลี่ยม 2.3 น้ าเสียงเศร้าโศก เสียใจ เป็นน้ าเสียงที่แสดงออกถึงความสะเทือนใจที่เกิดจากเหตุการณ์จน ก่อให้เกิดความโศกเศร้า เสียใจ สลดใจ ว้าเหว่ 2.4 น้ าเสียงเสียดาย อาลัยอาวรณ์ เป็นน้ าเสียงที่สะท้อนความรู้สึกผูกพันของผู้เขียน หรือตัวละครกับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องจากกันหรือสูญเสีย 2.5 น้ าเสียงเคร่งขรึม จริงจัง เป็นน้ าเสียงที่แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์เสนอแนะ 2.6 น้ าเสียงประชดประชัน เป็นน้ าเสียงที่มุ่งวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์อย่าง ตรงไปตรงมาได้จึงใช้วิธีการประชดประชัน เสียดสีเยาะเย้ย ถากถาง “ขอเชิญมาดูลูกกระโดด (ลูกกระโดดหมายถึง ลูกระนาดชะลอความเร็ว ใช้ติดตั้งขวางถนนเพื่อลด ความเร็วของยวดยาน) ของมหาวิทยาลัยเรา สุดยอดจริงๆ ครับ ถ้าเราควบมอเตอร์ไซค์มาเร็วๆ รับรองได้ว่า มอเตอร์ไซค์ของเราพังแน่นอน” 2.7 น้ าเสียงตลกขบขัน เป็นน้ าเสียงที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนมองโลกในแง่ดีมีอารมณ์ดีเป็นคน สนุกสนาน ไม่เคร่งเครียด 2.8 น้ าเสียงแข็งกร้าว เป็นน้ าเสียงที่แสดงออกถึงความโกรธ ความไม่พอใจ 2.9 น้ าเสียงโน้มน้าวใจ เป็นน้ าเสียง ในเชิงชักชวนเกลี้ยกล่อม เร่งเร้า ปลุกใจ หรือโน้มน้าวให้ผู้อ่าน คล้อยตาม 2.10 น้ าเสียงชื่นชม ยกย่อง สดุดี เป็นน้ าเสียงที่แสดงออกถึงความรัก ความชอบ ความศรัทธาที่ 2.11 น้ าเสียงประณาม เป็นน้ าเสียงที่แสดงถึงการว่า การด่าว่า การกระท าความผิดที่ร้ายแรงสร้าง ความเสียหาย เช่น “เธอมันปิศาจชัด ๆ” 2.12 น้ าเสียงตัดพ้อ เป็นน้ าเสียงที่แสดงถึงการต่อว่าด้วยความน้อยใจ ...พี่เลวแค่ไหนใยน้องจึงชัง เพราะจนกระมังยอดหญิง ผู้ดีมีเงิน คงหวังพึ่งพิง พี่รักจริงจึงไม่สนใจ ใช่แล้วซิ เศรษฐีมีเงินเขาซื้อรักได้ พี่หลงรักแทบเป็นบ้า น้ าตาหรือแทนน้ าใจ จะจ าจนตาย ใจด า...
94 45. ข้อใดเป็นแนวคิดที่ผู้เขียนต้องการน าเสนอในข้อความต่อไปนี้ คนเรามักอ้าแขนต้อนรับความสุข ปฏิเสธความทุกข์พยายามหนีความทุกข์ให้ไกลที่สุด แต่มักมีความทุกข์ หลายอย่างที่ไม่ว่าเราจะพยายามหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ในที่สุดก็ต้องพบ ถ้าพบความทุกข์แล้วเรายังปฏิเสธไม่ ยอมรับ ความทุกข์นั้นก็จะบีบคั้นเราให้ทุกข์หนักขึ้น 1. ในชีวิตของแต่ละคนย่อมมีความทุกข์มากกว่าความสุข 2. คนเราไม่อยากมีความทุกข์ต้องการมีแต่ความสุขเท่านั้น 3. ความทุกข์ที่ทุกคนต้องพบเป็นสิ่งที่ท าให้เราทุกข์หนักที่สุด 4. เมื่อพยายามหนีความทุกข์ก็ยิ่งประสบความทุกข์ต่อไปเรื่อย ๆ 5. หากประสบความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เราควรท าใจยอมรับความทุกข์นั้น อธิบาย 1.ความหมายของ “ข้อคิด,แนวคิด” ข้อคิด คือ ประเด็นที่เสนอให้คิด,ประเด็นที่ชวนให้คิด แนวคิด คือ ความคิดที่เป็นแนวที่จะด าเนินต่อไป หรือค า วลีที่กล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีขอบเขตไม่ ชัดเจนนัก การตีความขึ้นกับความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่าน แนวคิด หมายถึง ความคิดส าคัญซึ่งเป็นแนวในการผูกเรื่องหรือความคิดอื่น ๆ ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง ก็ได้ เช่น แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องบุญกรรม แนวคิดเกี่ยวกับความรัก ความยุติธรรม ความตาย แนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือแนวคิดที่เป็นความรู้ในด้าน ต่าง ๆ แนวคิดส าคัญของสาร คือ แนวความคิดหลักเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ปรากฏใน สาร 2.การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน การวิเคราะห์ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ การพิจารณาแนวทางการปปฏิบัติที่ดีที่ซ่อนอยู่ในบทอ่าน ซึ่งผู้เขียน ต้องการจะสื่อ เช่น “คนส่วนมากไม่ค่อยจะรู้ตัว ยังคงอยากได้อะไรที่มากขึ้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เกียรติยศ หรือคาม รัก และก็มักไม่ได้ดั่งใจนึก จึงมีความทุกข์บางสิ่งที่เราเคยฝันไว้พอมันเป็นความจริงตามฝันก็ยังไม่รู้สึกว่ามี ความสุข” ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน คือ “การไม่รู้จักพอ/การไม่รู้จักพอเป็นความทุกข์” วิเคราะห์ 45. ข้อที่เป็นแนวคิดที่ผู้เขียนต้องการน าเสนอในข้อความต่อไปนี้คือ คนเรามักอ้าแขนต้อนรับความสุข ปฏิเสธความทุกข์พยายามหนีความทุกข์ให้ไกลที่สุด แต่มักมีความทุกข์ หลายอย่างที่ไม่ว่าเราจะพยายามหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ในที่สุดก็ต้องพบ ถ้าพบความทุกข์แล้วเรายังปฏิเสธไม่ ยอมรับ ความทุกข์นั้นก็จะบีบคั้นเราให้ทุกข์หนักขึ้น 5. หากประสบความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เราควรท าใจยอมรับความทุกข์นั้น
95 ใช้ข้อความต่อไปนี้ตอบค าถามข้อ 46-47 ปัจจุบันนี้คงต้องยอมรับกันว่า คอมพิวเตอร์จ าเป็นต่อชีวิตและสังคมอย่างมหาศาล มีเด็กไทยเป็นจ านวนที่ ติดเกมคอมพิวเตอร์มากจนละเลยกิจกรรมอื่น ๆ ที่ควรท า เช่น ท าการบ้าน เล่นกีฬา สังสรรค์กับคนอื่น ๆ นอน เป็นเวลา ฯลฯ บ่อยครั้งที่ นิสัยดังกล่าวติดตัวเด็กไปจนถึงวัยท างาน “เด็กติดเกม” จึงเป็นภัยร้ายที่แฝงตัวเงียบ อยู่ในสังคมและนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น นับได้ว่าเป็นปัญหาขั้นวิกฤติระดับประเทศ และมีผลต่อการสร้าง ความเจริญก้าวหน้าของประเทศในระยะยาว 46.ผู้เขียนต้องการน าเสนอแนวคิดอย่างไร ในข้อความข้างต้น 1.คอมพิวเตอร์มีประโยชน์อนันต์และมีโทษมหันต์ 2.เกมคอมพิวเตอร์เป็นภัยคุกคามต่อการพัฒนา เด็กไปจนโต 3.การแก้ปัญหาเด็กติดเกมท าได้ยากเพราะฝังราก ลึกโดยไม่มีใครสังเกตมานาน 4.ปัญหาเด็กติดเกมมีอันตรายต่อตัวเด็กอย่างต่อเนื่องและมีผลต่อการพัฒนาประเทศ 5. รัฐควรเร่งรัดแก้ป้ญหาเกมคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ 47. ผู้เขียนข้อความข้างต้น มีเจตนาอย่างไร 1. กระตุ้นให้คิด 2. บอกกล่าวให้รู้ 3. ต าหนิให้ส านึก 4. ตักเตือนให้เลิก 5. โน้มน้าวให้ท าตาม วิเคราะห์ ปัจจุบันนี้คงต้องยอมรับกันว่า คอมพิวเตอร์จ าเป็นต่อชีวิตและสังคมอย่างมหาศาล มีเด็กไทยเป็นจํานวนที่ ติดเกมคอมพิวเตอร์มากจนละเลยกิจกรรมอื่น ๆ ที่ควรท า เช่น ท าการบ้าน เล่นกีฬา สังสรรค์กับคนอื่น ๆ นอน เป็นเวลา ฯลฯ บ่อยครั้งที่ นิสัยดังกล่าวติดตัวเด็กไปจนถึงวัยทํางาน “เด็กติดเกม” จึงเป็นภัยร้ายที่แฝงตัวเงียบ อยู่ในสังคมและนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น นับได้ว่าเป็นปัญหาขั้นวิกฤติระดับประเทศ และมีผลต่อการสร้าง ความเจริญก้าวหน้าของประเทศในระยะยาว 46.ผู้เขียนต้องการน าเสนอแนวคิดอย่างไร ในข้อความข้างต้น 4.ปัญหาเด็กติดเกมมีอันตรายต่อตัวเด็กอย่างต่อเนื่องและมีผลต่อการพัฒนาประเทศ 47. ผู้เขียนข้อความข้างต้น มีเจตนา คือ 1. กระตุ้นให้คิด (เตือนหรือหนุน,ช่วยเร่ง)
96 48. ข้อใด ไม่อาจ อนุมานจากข้อความต่อไปนี้ การให้อภัยนับเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ต้องตั้งใจท าและต้องรู้ประโยชน์ของการให้อภัยรู้จัก โทษของการไม่ให้ อภัยดัวย จงสร้างภูมิคุ้มกันกันตัวเองให้มากขึ้น โดยให้มีความพร้อมจะให้ภอภัยคนได้มากขึ้น และโกรธคนให้ น้อยลง เพราะรู้แล้วว่า ถ้าโกรธแค้นแล้วไม่ดีอย่างไร ให้นึกถึงถึงผลของความแค้นของเราที่เกิดความไม่เป็นสุข เพราะใจเราคิดถึงแต่ความทุกข์เสมอ ๆ 1. ผู้ที่ไม่ยอมให้อภัยมักมีแต่ความทุกข์ 2. การให้อภัยผู้อื่นนั้นสามารถท าได้ส าเร็จถ้าตั้งใจ 3. เราจะไม่โกรธใครอีกเลย ถ้าสร้างภูมิคุ้นกันตัวเอง √ 4. ถ้าต้องการด าเนินชีวิตอย่างเป็นสุขต้องรู้จักให้อภัย 5. ผู้ที่สะสมความโกรธแค้นไว้ในใจย่อมหา ความสุขไม่ได้ 49. ข้อความต่อไปนี้อาจอนุมานได้ว่า ผู้เขียนมีทัศนคติหลายประการต่อวัยเยาว์ของตนเอง ยกเว้น ข้อใด วัยเยาว์ของฉันคือสิ่งใดกันแน่ คือผิวอ่อนนุ่ม หัวใจบอบบาง หรือทั้งหมดรวมกัน ฉันไม่แน่ใจ ฉันรู้แต่ เพียงว่า ทุกอย่างจะดูผ่านไปง่ายกว่าเจ็บปวดน้อยกว่า ลืมเร็วกว่า แม้เรื่องนั้นจะเคยส าคัญสักเพียงไหน 1. สบาย ๆ 2. อ่อนแอ 3. น่าชื่นชม 4. น่าเบื่อหน่าย √ 5. น่าทะนุถนอม 50. ข้อใด ไม่อาจ อนุมานได้จากข้อความต่อไปนี้ ในสมัยโบราณครอบครัวไทยรับประทานอาหารพร้อมกันทั้งครอบครัว โดยจัดกับข้าวลงส ารับแล้วสมาชิกใน ครอบครัวล้อมวงรับประทานร่วมกัน พ่อแม่จะสอนมารยาทในการรับประทาน หรือเรื่องอื่น ๆ ไปพร้อมกัน เด็ก ได้ดูตัวอย่างที่ดีในการรับประทาน รู้เรื่องการปรุงอาหารหรือภูมิปัญญาอื่น ๆ จากผู้ใหญ่ด้วย 1. ครอบครัวไทยสมัยโบราณมีความอบอุ่น 2. พ่อแม่สมัยปัจจุบันไม่อบรมสั่งสอนลูก √ 3 วิถีชีวิตคนไทยสมัยก่อนแตกต่างกับสมัยนี้ 4. เด็กไทยสมัยก่อนได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากผู้ใหญ่ในวงอาหาร 5. การรับประทานอาหารแบบโบราณช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว อธิบาย เรื่อง การอนุมานจากเรื่องที่อ่าน 1.ความหมาย การอนุมาน (Inference) คือ การสรุปหรือข้อสรุปที่เราได้มาตามความรู้ความเข้าใจของเราถึงสิ่งที่ผู้พูดหรือ ผู้เขียนบอกเราโดยอ้อม กล่าวคือ ผู้พูดหรือผู้เขียนกล่าวถึงอะไรบางอย่างโดยบอกให้เรารู้เป็นนัย (imply) ในขณะ ที่ผู้ฟังหรือผู้อ่านอนุมาน (infer) ความคิดต่างๆ ตลอดจน ทัศนคติหรือความคิดเห็นผู้พูดหรือผู้เขียน (จาก ข้อความที่มีอยู่) เช่น “เขามาสายอีกแล้ว” 1.อนุมานได้ว่า คนที่มาสาย เป็นผู้ชาย จากค าว่า “เขา” 2.อนุมานได้ว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาผู้นั้นมาสาย จากค าว่า “อีกแล้ว" 2.อนุมานได้/อนุมานไม่ได้ 2.1 อนุมานได้ คือ การสรุปได้ เพราะมีข้อมูลให้มา ทั้งนี้ข้อมูลที่ให้มา อาจปรากฏอยู่ในข้อความที่ให้มา หรือ จากเรื่องที่ได้เรียนมา หรือมีความรู้มา 2.2 อนุมานไม่ได้ คือ การสรุปไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลให้มา
ภาคผนวก 4.1 การสะกดค า 1.ค าที่มักเขียนผิด กงสุล กบาล, กระบาล กระเชอ กระเพาะ กรีฑา กลยุทธ์ กสิณ กเฬวราก กอปร กะทันหัน กะพริบ กะเพรา กะละมัง กะลาสี กะละแม กังวาน กาลเทศะ ก าเหน็จ กิจจะลักษณะ เกล็ดเลือด เกษียณ,เกษียน ,เกษียร เกสร ขะมักเขม้น ขัณฑสกร ไข่มุก ครองแครง ครองราชย์ ครอบคลุม ครุภัณฑ์ คัดสรร ค านวณ เครื่องราง แค็ตตาล็อก แคระแกร็น โคตร คอลัมน์ ฆราวาส งบดุล งูสวัด จงกรม จระเข้ จลนศาสตร์ จะละเม็ด จักรวรรดิ จัตุรัส จาระไน จ านง เจตนารมณ์ เจียระไน โจทก์,โจทย์,โจษ ฉันท์ ชลมารค ชอุ่ม ชัชวาล ชีพิตักษัย ซาบซึ้ง ซาลาเปา ซีเมนต์ เซ็นชื่อ เซนติเมตร ฌาปนกิจ ญาณ ดอกจัน ดอกจันทน์ ดาษดื่น เดินเหิน ตระเวน ตราสัง ตานขโมย ไต้ฝุ่น ไตรยางศ์ ถนนลาดยาง ทยอย ทแยง ทรงกลด ทรราช ทระนง, ทะนง ทลาย,ทะลาย ทะนุถนอม ทะเลสาบ ทีฆายุโก ทุพภิกขภัย ทูนหัว เทิดทูน นิมิต เนืองนิตย์ บ่วงบาศ บังสุกุล บัตรสนเท่ห์ บาดทะยัก บาทบงสุ์ บิณฑบาต บุคลากร เบญจเพส ปฐมนิเทศ ประกายพรึก ปรัมปรา ปราศรัย ผรุสวาท ผลานิสงส์ ผัดไทย ผู้เยาว์ พยักพเยิด พร่ าพลอด พะวักพะวน พิสมัย เพชฌฆาต โพนทะนา มหาหิงคุ์ มัคคุเทศก์ ยานัตถุ์ ราพณาสูร นพปฎล นัยน์ตา นานัปการ นิเทศ ละเมียดละไม ละเอียดลออ ลาดตระเวน ลายเซ็น
ลูกนิมิต ลูกบาศก์ เล่นพิเรนทร์ เลือดกบปาก โลกาภิวัตน์ วายชนม์ วินาศกรรม วีดิทัศน์ เวทมนตร์ เวนคืน ศึกษานิเทศก์ สมเพช สรรเพชญ สอบเชาวน์ สะคราญ สังสรรค์ สัมมนา สาปแช่ง สายสิญจน์ เสื้อกาวน์ โสฬส หิรัญบัฏ แหลกลาญ อเนจอนาถ อภิรมย์ อวสาน อสงไขย อหังการ์ อะฟลาทอกซิน อัฒจันทร์ อานิสงส์ อาสน์สงฆ์ อิริยาบถ อุกฤษฏ์ อุบาทว์ อุปโลกน์ เอกเขนก เอกฉันท์ ไอศกรีม เฮโลสาระพา นนทรี นัยน์ตา นานัปการ นิเวศวิทยา บิดพลิ้ว บาทหลวง บุษราคัม บอระเพ็ด ประจันหน้า ประจันหน้า ประณีต ปรารมภ์ ปาฏิหาริย์ เปรมปรีดิ์ ปิกนิก เปอร์เซ็นต์ ผูกพัน เผอเรอ เผ่าพันธุ์ แผนการ พยักพเยิด พร้อมสรรพ พหูสูต พังทลาย พิศวาส พุทธชาด โพนทะนา โพยม ภวังค์ ภารธุระ ภูตผี เภทภัย มลทิน มหาหิงคุ์ มโหระทึก มาตรการ มาตรแม้น ย่อมเยา เยาว์วัย รสชาติ รูปการ เรี่ยไร ลมปราณ ละมุนละไม ละออง ละเอียดลออ ลิดรอน เลือกสรร สังวร สัณฐาน สับปลับ สาทิสลักษณ์
2.การเขียนค าทับศัพท์ภาษาอังกฤษ กงสุล กปิตัน กัปตัน ก๊อบปี้ กอริลลา กอล์ฟ กราฟ การ์ตูน กีตาร์ แก็ง แก๊ป แกมมา แกรนิต แก็ส , ก๊าซ คริสต์ คริสต์มาส คริสเตียน คลอรีน คลอโรฟิลล์ คลัตช์ คลินิก ควินิน ค๊อกเทล คอนเดนเซอร์ คอนแวนต์ คอนเสิร์ต คอมมานโด คอมมิวนิสต์ คอยล์ คาร์บอน คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอเนต คาร์โบไฮเดรต เคาน์เตอร์ แคลอรี่ โคบอลต์ โครโมโซม ช็อกโกเลต ชอล์ก ชิมแปนซี เชิ้ต ซอส เซลลูลอยด์ ซิฟิลิส ซีเมนต์ เซ็น ไซยาไนด์ เซนติเกรด เซนติเมตร ดราฟต์ ดัตช์ เดนมาร์ก ไดเรกตริกซ์ ดีเปรสชัน ไดนาไมต์ ไดโนเสาร์ เดคาเมตร ตอร์ปิโด เต็นท์ ตัน ไต้ฝุ่น ทอฟฟี่ ทอเรียม แท็กซี่ เทคนิค แท็งก์ เทคโนโลยี แทนทาลัม แทรกเตอร์ เทอร์โมมิเตอร์ ไทเทเนียม นิกรอยด์ นิโคติน เนบิวลา นิวเคลียร์ โน้ต นิวตรอน ไนต์คลับ ไนโตรเจน ไนลอน ไนโอเบียม บรั่นดี บริดจ์ บล็อก เบอร์ บัคเตรี บังกะโล แบคทีเรีย แบงก์ บาร์เลย์ แบดมินตัน บารอมิเตอร์ แบตเตอรี่ บาสเกตบอล บิลเลียด โบนัส เบนซิน เบรก ปริซึม ปรู๊ฟ ปิโตรเลียม ปลั๊ก ปลาสเตอร์ แปลน ปอนด์ โป๊กเกอร์ ปาร์เกต์ โปรตรอน ปาล์ม โปรตีน ปิกนิก โปรเตสแตนต์ ปิงปอง โปลิโอ พลูโตเนียม แพลทินัม พาราฟิน โพแทสเซียม โพรมิเทียม ฟรักโทส ฟิสิกส์ ฟลูออรีน ฟอร์มาลดิไฮด ฟุลสแก๊ป ฟอร์มาลิน
ฟอสฟอรัส ฟอสเฟต แฟชั่น ฟาร์ม ฟาสซิสต์ แฟลกซ์ ฟิล์ม ฟิวส์ โฟกัส มองโกลอยด์ มอเตอร์ มอร์ฟี แมงกานิส มะกะโรนี มะฮอกกานี มัสตาร์ด โมเลกุล โมเสก โมเสส มิสซา มีเทน เมกะเฮิรตซ์ ไมโครฟิลม์ ไมโครโฟน เมตริก เมตริกตัน ไมโครเวฟ เมนทอล ยิปซัม ยูเรเนียม ยีราฟ แยม รักบี้ เรดาร์ เรเดียม แร็กเก รูเล็ตต์ ล็อกเกต ลอการิทึม ลองจิจูด ลิปสติก ลิฟต์ ละติจูด ลิกไนต์ เลเซอร์ เลนส์ วอลเลย์บอล วิสกี้ วัคซีน วัตต์ วาล์ว ไวโอลิน สตัฟฟ์ สแลง สวิตช์ สปริง สุลต่าน สปาเกตตี สเปกตรัม เสิร์ฟ ออกซิเจน เอเคอร์ ออนซ์ เอนไซม์ เอ็มบริโอ อะมีบา แอนติบอดี อะลูมิเนียม แอมแปร์ แอมมิเตอร์ แอลกอฮอล์ อาร์ม แอสไพริน อินซูลิน แอสฟัลต์ โอลิมปิ โอห์ม อิเล็กตรอน ไอโซโทป อิเล็กทรอนิกส์ อิเล็กโทน ไอศกรีม เอกซเรย์ ไอโอดีน ฮอกกี้ เฮิร์ตซ์ โฮเต็ล ไฮโดรเ เฮโมโกลบิน เฮลิคอปเตอร์ เฮโรอีน ไฮโล
3.การเขียนค าบาลีสันสกฤต กกุธภัณฑ์ กตัญชลี กบาล กโบร กโบล กมลา กรชกาย กรรมฐาน กรัชกาย กเฬวระ กเฬวราก กักขฬะ กัณฐ์ กัมมัฏฐาน กากคติ กากณึก กากภาษา กามเทพ การณ์/กานท์/กานต์ กินนร/กินรี กุญชร กุฎี กุณฑี/กุณโฑ กุสุมาลย์ เกตุ/เกตุมาลา โกเชาว์ โกฏิ โกลาหล โกษีย์/โกสีย์ ขจร ขรรค์/ขันธ์/ขันฑ์ ครหา คัมภีร์ คาพยุต คิมหันต์ ฆราวาส โฆษิต จตุบท จัณฑาล จิตกาธาน โจท/โจทก์/โจทย์ ฉิมพลี ชยันโต เชาวน์/เชาว์ ฌาปนกิจ ญัตติ ฐานันดร ดิรัจฉาน ตุลาการภิวัตน์ ถาวรวัตถุ เถรวาท ทิฐิ ทุกขเวทนา ทุพพลภาพ โทมนัส ธุดงค์ นฤพาน นวโกวาท นวมินทร์ นักขัตฤกษ์ นักษัตร นัตถุ์ นัยน์ตา นาฏ/นาถ/นาท นานัปการ นานา นาสิก นิคหกรรม นิบาต นิรันดร์ เนกขัมมะ บรรจถรณ์ บริขาร/บริจาค บริบาล/บริโภค บังสุกุล บัณเฑาะก์ บัณเฑาะว์ บัลลังก์ บาต/บาตร/บาท บุพเพสันนิวาส เบญจม โบสถ์ ปกติสุรทิน ปกรณ์ ปกิณกะ ปฏิภาณ ปฏิสัมภิทา ปรนนิบัติ ปรมาณู ปรมาภิไธย ประณีต ปรัมปรา ปรางค์ ปรามาส ปลาต ปัจจุทธรณ์ ปัจจุสมัย ปัจฉิมบท ปัปผาสะ ปาฏิหาริย์ ปาติโมกข์ ปาราชิก ปุโรหิต ผรุสวาท พยัคฆ์ พราหมณ์ พันธ์/ พันธุ์/พรรณ์/ พิพาท พิสัญญี/วิสัญญี เพชฌฆาต โพชฌงค์ โพธิบัลลังก์ ภัตต์/ภัตร/ เภทภัย ภยันตราย มงคลวาร มนเทียร มรกต มรณบัตร/มรณภาพ มหันตโทษ มรณบัตร/มรณภาพ มหันตโทษ มหัพภาค มิคสัญญี เมรัย เมรุ/เมรุมาศ ยนต์/ยนตร์ ยุทธภูมิ รามัญ โรคันตราย ลัญจกร ลิงค์/ลึงค์ วณิพก วสันต์ วิตถาร วินัยปิฎก วิบัติ วิปโยค วิรุฬห์/พิรุณห์ วิสัญญี วุฒิภาวะ สงสารวัฏ สมโภช สมัญญา สหัสวรรษ สังคหวัตถุ สังคายนา สังฆเภท สังฆาฏิ สังฆาทิเสส