The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนบูรณาการศิลปะ64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนบูรณาการศิลปะ64

แผนบูรณาการศิลปะ64

Keywords: แผนบูรณาการ

(113)

ด้านภมู ปิ ญั ญา
1. การสรา้ งองค์ความรู้ข้นึ ใหม่
2. การจัดการชวี ติ เข้าใจชวี ติ

คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
1. ความรบั ผดิ ชอบงานทีไ่ ด้รับมอบหมาย
2. ความซื่อตรง ในการศึกษาและรายงานผลทีถ่ กู ต้องเปน็ จรงิ
3. ความมรี ะเบียบความรอบคอบ ละเอยี ด ถ่ีถว้ น ในการปฏบิ ตั งิ าน
4.. ความอดทนต่อสภาพแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั ิงาน เชน่ อดทนต่อความร้อนของแสงแดด

(114)
สาระการเรียนร้สู รรพสิ่งลว้ นพนั เกยี่ ว

หลักการ รู้สัมพันธ์ รู้ผูกพัน รู้ดลุ ยภาพ
สาระการเรียนรู้

การวิเคราะหอ์ งค์ความร้ธู รรมชาตขิ องปัจจัยหลกั การเรยี นรู้ธรรมชาตขิ องปัจจยั ทเ่ี ขา้ มาเกี่ยวข้อง
การเรียนรูธ้ รรมชาติของความพันเกี่ยวระหว่างปจั จัย การวเิ คราะหส์ มั พนั ธภาพระหวา่ งปัจจยั เพือ่ เข้าใจ
ดุลยภาพและความพนั เก่ียวของสรรพสิ่ง
ลาดับการเรยี นรู้

1. รวบรวมองคค์ วามรู้ท่ีได้จากการเรยี นรูธ้ รรมชาตแิ ห่งชวี ติ
2. เรยี นร้ธู รรมชาตขิ องปัจจัยชวี ภาพอ่ืนทเี่ ขา้ มาเกยี่ วขอ้ งกบั ปัจจยั หลกั

2.1 เรยี นรู้ด้านรูปลกั ษณ์ คุณสมบตั ิ พฤติกรรม
2.2 สรุปผลการเรียนรู้
3. เรียนรธู้ รรมชาติของปจั จัยกายภาพ (ดนิ น้า แสง อากาศ)
3.1 เรยี นรูด้ า้ นรูปลกั ษณ์ คุณสมบัติ
3.2 สรปุ ผลการเรยี นรู้
4 เรียนรธู้ รรมชาตขิ องปัจจัยอ่ืน ๆ (ปจั จัยประกอบ เชน่ วัสดอุ ุปกรณ์ อาคารสถานท่)ี
5. เรียนรูธ้ รรมชาติของความพันเก่ยี วระหว่างปัจจัย
5.1 เรียนรู้ วิเคราะหใ์ หเ้ ห็นความสัมพันธแ์ ละสมั พันธภาพ
5.2 เรยี นรู้ วเิ คราะห์ใหเ้ หน็ ความผูกพัน
6. สรุปผลการเรียนรู้ ดลุ ยภาพของความพนั เก่ียว

อธบิ ายลาดับการเรยี นรู้
ลาดบั การเรยี นรทู้ ่ี 1
รวบรวมองคค์ วามรู้ที่ไดจ้ ากการเรยี นรู้ธรรมชาตแิ ห่งชวี ิต
วัตถปุ ระสงค์
1. เพอื่ รอู้ งค์ความรูธ้ รรมชาตแิ ห่งชีวิตของพชื ศึกษา
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้การรวบรวมองคค์ วามรูด้ ้านรปู ลักษณ์ของพืช
นาความรแู้ ละองค์ความรู้จากการศึกษาในแต่ละเรือ่ งมาสรุปเปน็ องค์ความร้ดู า้ นรปู ลักษณข์ องพชื
2. เรียนรกู้ ารรวบรวมองคค์ วามรู้ดา้ นคุณสมบัตขิ องพืช
นาความรแู้ ละองค์ความรจู้ ากการศึกษาในแต่ละเร่อื งมาสรปุ เปน็ องค์ความรดู้ า้ นคุณสมบัติของพชื
3. เรยี นรกู้ ารรวบรวมองคค์ วามรดู้ ้านพฤติกรรมของพชื
นาความรู้และองคค์ วามรู้จากการศกึ ษาในแต่ละเรื่องมาสรุปเป็นองค์ความร้ดู ้านพฤติกรรมของพชื

(115)
ลาดับการเรยี นรูท้ ี่ 2
เรยี นรู้ธรรมชาติของปัจจยั ชีวภาพอ่นื ๆ ที่เข้ามาเก่ยี วข้องกับปจั จัยหลกั

วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อรูธ้ รรมชาติของปัจจยั ชีวภาพอนื่ ทเี่ ขา้ มาเกย่ี วข้องกับปัจจัยหลกั

(116)
กระบวนการเรียนรู้

1. เรียนรูด้ ้านรูปลกั ษณ์ คณุ สมบตั ิ และพฤตกิ รรม
1.1 เรยี นรูด้ า้ นรูปลกั ษณ์
เปน็ การเรยี นร้ดู า้ นรปู ลักษณ์ภายนอก และภายใน ของปจั จัยชวี ภาพอนื่ ๆ ทุกอวัยวะของชวี ภาพ

เช่น รูปรา่ ง รูปทรง สี ผวิ เนือ้ ขนาด จานวน ฯลฯ
1.1.1 การกาหนดปจั จยั ในการเรยี นรู้
1.1.2 เลือกชีวภาพอืน่ ๆ ทุกอวัยวะของชีวภาพ
1.1.3 กาหนดจานวนของชีวภาพอื่น ๆ
1.1.4 การกาหนดเรื่องท่ีจะเรียนรู้
1. เร่อื งทจี่ ะเรยี นรู้ เช่น รูปร่าง รูปทรง สี ผิว เน้อื ขนาดจานวน ฯลฯ
2. อวัยวะของชีวภาพอืน่ ๆ เชน่ หัว อก ท้อง ฯลฯ
3. นาอวยั วะของชีวภาพอนื่ ๆ มากาหนดเร่ืองท่จี ะเรียนรู้

วิธีการศกึ ษา ตัวแปรท่ศี ึกษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตัวอยา่ งเรือ่ งทจ่ี ะเรียนรู้ :
การเรยี นรกู้ ารเรยี นรรู้ ปู ร่างของหัวมดดา ในระยะท่ีมกี ารเจรญิ เติบโตเตม็ วัย (ระบุอายุ)

วิธีการศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรที่ศึกษา : รูปร่างของหัวมดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในระยะทม่ี ีการเจรญิ เติบโตเตม็ ที่ (ระบอุ ายุ) และสถานที่

1.1.5 เรียนรดู้ า้ นรูปลักษณ์
เปน็ การเรียนรูเ้ ร่ืองที่ไดก้ าหนด โดยแสดงวสั ดุ อุปกรณ์ วธิ กี ารเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบ
ตารางบนั ทึก) และสรุปผลการเรียนรู้

(117)
1.2 เรียนร้ดู า้ นคุณสมบตั ิ

เป็นการเรียนรดู้ า้ นคุณสมบตั ภิ ายนอก และภายใน ของปัจจยั ชวี ภาพอน่ื ๆ มีการเรยี นรเู้ รอ่ื งด้านเคมี
เช่น รสชาติ กลนิ่ การตดิ สี สารต่าง ๆ ดา้ นฟสิ ิกส์ เช่น ความแข็ง ความเหนียว การลอยน้า การยืดหย่นุ ฯลฯ

1.2.1 การกาหนดปัจจยั ในการเรียนรู้
1. เลอื กชีวภาพอ่ืน ๆ ทุกอวัยวะของชวี ภาพ
2. กาหนดจานวนของชีวภาพอ่ืน ๆ

1.2.2 การกาหนดเร่อื งทจ่ี ะเรียนรู้
1. เรอ่ื งท่จี ะเรยี นรู้ เชน่ ดา้ นเคมี เช่น รสชาติ กล่นิ การติดสีสาร ตา่ ง ๆ ดา้ นฟสิ ิกส์ เช่น

ความแขง็ ความเหนยี ว การลอยนา้ การยืดหยุ่น ฯลฯ
2. อวัยวะของชีวภาพอ่ืน ๆ เช่น หวั อก ท้อง ฯลฯ
3. นาอวยั วะของชวี ภาพอื่น ๆ มาก้าหนดเร่อื งที่จะเรียนรู้

วิธีการศึกษา ตวั แปรทศี่ กึ ษา ขอบเขตการศึกษา

ตวั อย่างเรื่องทจี่ ะเรียนรู้ :
การเรยี นรู้การเรยี นรู้กลิน่ ของมดดาในระยะทม่ี ีการเจรญิ เตบิ โตเต็มวัย (ระบอุ ายุ)

วธิ ีการศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ศี กึ ษา : กลนิ่ ของมดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในระยะทม่ี ีการเจริญเติบโตเตม็ ท่ี (ระบุอายุ) และสถานท่ี
1.2.3 เรยี นร้ดู า้ นคณุ สมบตั ิ
เป็นการเรยี นรู้เรือ่ งท่ีไดก้ าหนด โดยแสดงวัสดุ อปุ กรณ์ วิธกี ารเรียนรู้ ผลการเรียนรู้
(ออกแบบตารางบนั ทึก) และสรปุ ผลการเรยี นรู้
1.3 เรียนรูด้ ้านพฤตกิ รรม

เปน็ การเรียนร้ดู า้ นพฤติกรรมของปจั จัยชีวภาพอ่ืน ๆ เชน่ การเดนิ การกิน การตอ่ สู้ การขบั ถ่าย
การขยบั การขยบั หนวด การบิน การกระโดด การพักผ่อน ฯลฯ

1.3.1 การกาหนดปัจจยั ในการเรยี นรู้
1. เลอื กชีวภาพอน่ื ๆ ทุกอวยั วะของชวี ภาพ
2. กาหนดจานวนของชวี ภาพอนื่ ๆ

1.3.2 การกาหนดเรอื่ งท่จี ะเรียนรู้
1. เรื่องท่จี ะเรยี นรู้ เชน่ การเดิน การกิน การต่อสู้ การขับถ่าย การขยับ การขยบั หนวด

การบิน การกระโดด การพกั ผ่อน ฯลฯ
2. อวยั วะของชวี ภาพอน่ื ๆ เชน่ หัว อก ท้อง ฯลฯ
3. นาอวัยวะของชีวภาพอื่น ๆ มากาหนดเร่ืองที่จะเรยี นรู้

วธิ ีการศกึ ษา ตัวแปรท่ศี ึกษา ขอบเขตการศกึ ษา

(118)

1.3.3 เรียนรู้ด้านด้านพฤติกรรม
เปน็ การเรยี นรูเ้ รอ่ื งที่ได้กา้ หนด โดยแสดงวัสดุ อุปกรณ์ วธิ กี ารเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบ

ตารางบันทึก) และสรุปผลการเรยี นรู้
2. สรปุ ผลการเรยี นรู้ ดา้ นรปู ลักษณ์ คุณสมบัติ และพฤติกรรม เป็นการนาผลการเรยี นรดู้ า้ นรูปลกั ษณ์

คุณสมบตั ิและพฤตกิ รรม ของชวี ภาพอืน่ ๆ มาสรปุ ผลการเรียนรู้
ลาดบั การเรียนรทู้ ี่ 3

เรยี นร้ธู รรมชาตขิ องปัจจยั กายภาพ (ดิน นา้ แสง อากาศ)
วัตถุประสงค์

1. เพอื่ รู้ธรรมชาติของปจั จยั กายภาพที่เขา้ มาเกย่ี วข้องกบั ปจั จัยหลกั

(119)

กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรูด้ ้านรปู ลักษณ์ และคุณสมบัติ
1.1 เรยี นรดู้ า้ นรูปลกั ษณ์
เปน็ การเรยี นรดู้ า้ นรปู ลกั ษณ์ ของกายภาพ เช่น รปู ร่าง รูปทรง สี ผวิ เน้อื ขนาด จานวน ฯลฯ
1.1.1 การกาหนดปจั จยั ในการเรยี นรู้
1.1.2 เลอื กกายภาพอ่ืน
1.1.3 กาหนดจานวนของภายภาพอ่ืน
1.1.4 การกาหนดเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้
1. เรือ่ งที่จะเรยี นรู้ เชน่ รปู ร่าง รูปทรง สี ผิว เนอื้ ขนาด จานวน ฯลฯ
2. องคป์ ระกอบของกายภาพ เช่น โครงสร้าง อนภุ าค สี ฯลฯ
3. นาองคป์ ระกอบของกายภาพ มากาหนดเรื่องที่จะเรียนรู้

วิธกี ารศึกษา ตัวแปรท่ีศกึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตวั อยา่ งเร่ืองทจ่ี ะเรียนรู้ :
การเรยี นรู้สขี องดนิ ในบรเิ วณทพี่ บพืชศกึ ษา
วธิ กี ารศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ีศกึ ษา : สขี องดนิ
ขอบเขตของการศึกษา : ในบรเิ วณที่พบพืชศึกษา และสถานที่

(120)
1.2 เรยี นรู้ด้านคุณสมบัติ

เปน็ การเรยี นรดู้ ้านคุณสมบตั ิ ของกายภาพ (ดนิ น้า แสง อากาศ) มีการเรียนรู้เรอ่ื งดา้ นเคมี เชน่
รสชาติ กล่นิ การติดสี ด้านฟิสิกส์ เชน่ ความแขง็ ความเหนียว การลอยนา้ การอมุ้ น้าของดิน ฯลฯ

1.2.1 การกา้ หนดปัจจัยในการเรียนรู้
1. เลอื กปจั จยั กายภาพ (ดิน นา้ แสง อากาศ)
2. กาหนดจานวนของกายภาพ (ดิน น้า แสง อากาศ)

1.2.2 การกาหนดเร่ืองท่จี ะเรยี นรู้
1. เรอ่ื งทีจ่ ะเรียนรู้ เชน่ ดา้ นเคมี เชน่ รสชาติ กล่นิ ความเปน็ กรด-ดา่ ง ฯลฯ ดา้ นฟสิ ิกส์

เชน่ ความแข็ง ความเหนียว ความหนาแน่น ฯลฯ
2. องคป์ ระกอบของกายภาพ (ดนิ นา้ แสง อากาศ)
3. กาหนดเรือ่ งท่ีจะเรยี นรู้

วิธีการศึกษา ตัวแปรท่ีศึกษา ขอบเขตการศึกษา

ตวั อยา่ งเร่ืองท่ีจะเรยี นรู้ :
การเรยี นรู้กลน่ิ ของดนิ ของดนิ ในบริเวณที่พบพชื ศึกษา
วธิ ีการศึกษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรทศี่ ึกษา : กลน่ิ ของดนิ
ขอบเขตของการศึกษา : ในบรเิ วณท่พี บพชื ศึกษา และสถานท่ี
2. สรุปผลการเรียนรู้ ดา้ นรปู ลักษณ์ และคุณสมบตั ิ
เป็นการน้าผลการเรียนรดู้ ้านรูปลกั ษณ์ และคุณสมบัตขิ องกายภาพ (ดิน นา้ แสง อากาศ) มาสรุปผล

การเรียนรู้

(121)
ลาดับการเรียนร้ทู ี่ 4
เรยี นร้ธู รรมชาตขิ องปัจจยั อ่ืน ๆ (ปจั จัยประกอบ เช่น วัสดอุ ปุ กรณ์ อาคารสถานท่)ี
วตั ถปุ ระสงค์
1 เพ่อื รสู้ ่วนประกอบปัจจยั อนื่ ๆ
2. เพ่ือรวู้ ธิ กี ารใชป้ ัจจัยอ่ืน ๆ
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรกู้ ารวิเคราะห์สว่ นประกอบของปจั จัยอื่น ๆ
1.1 สารวจ ศกึ ษา สว่ นประกอบ ของปจั จัยอ่นื ๆ ที่เข้ามาเกยี่ วข้องกับปัจจัยหลัก (ปัจจัยอนื่ ๆคือ
คอื สง่ิ ทม่ี าสนบั สนุนการเรยี นรพู้ ชื สตั วก์ ายภาพ)
1.2 วเิ คราะห์ จาแนก สว่ นประกอบของปจั จยั อนื่ ๆ
2. เรยี นรูว้ ธิ กี ารใชข้ องปัจจยั อ่นื ๆ
2.1 เรียนรู้ด้านรูปลักษณ์
เป็นการเรียนรดู้ ้านรูปลักษณ์ ของปจั จยั อ่นื ๆ เช่น รูปรา่ ง รูปทรง สี ผวิ เน้ือ ขนาด จา้ นวน ฯ
2.1.1 การกาหนดปัจจยั อ่ืนๆในการเรียนรู้
1. เลือกปัจจยั อืน่ ๆ
2. กาหนดจานวนปัจจัยอ่นื ๆ
2.1.2 การกาหนดเรอ่ื งทจ่ี ะเรยี นรู้
1. เรือ่ งทจี่ ะเรียนรู้ เช่น รูปรา่ ง รปู ทรง สี ผิว เนอื้ ขนาด จานวน ฯลฯ
2. องคป์ ระกอบของปจั จยั อนื่ ๆ เช่น โครงสรา้ ง อนภุ าค สี ฯลฯ
3. นาองคป์ ระกอบของปัจจยั อนื่ ๆ มากาหนดเร่อื งที่จะเรยี นรู้

วิธกี ารศกึ ษา ตัวแปรที่ศกึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตัวอยา่ งเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้ :
การเรียนรสู้ ีของผนงั คอนกรีตในบรเิ วณที่พบพืชศึกษา
วธิ กี ารศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตวั แปรท่ีศึกษา : สขี องผนงั คอนกรีต
ขอบเขตของการศึกษา : ในบริเวณท่ีพบพืชศึกษา และสถานที่
2.2. เรียนรู้ด้านคณุ สมบตั ิ
เปน็ การเรียนรู้ดา้ นคณุ สมบตั ิ ของปจั จัยอืน่ ๆ มีการเรียนรเู้ ร่อื งด้านเคมี เช่น รสชาติ กลน่ิ การติดสี

ด้านฟสิ กิ ส์ เช่น ความแขง็ ความเหนียว การลอยนา้ การอมุ้ น้าของดนิ ฯลฯ
2.2.1 การกาหนดปัจจยั ในการเรยี นรู้
1. เลอื กของปัจจัยอื่น ๆ
2. กา้ หนดจ้านวนปัจจยั อื่น ๆ

(122)

2.2. การกาหนดเร่อื งทจี่ ะเรยี นรู้
1. เรือ่ งท่ีจะเรยี นรู้ เชน่ ด้านเคมี เชน่ รสชาติ กลิน่ ความเป็นกรด-ด่าง ฯลฯ ด้านฟสิ ิกส์

เชน่ ความแขง็ ความเหนียว ความหนาแน่น ฯลฯ
2. องค์ประกอบของปจั จยั อนื่ ๆ มากา้ หนดเรื่องท่จี ะเรยี นรู้

วิธกี ารศึกษา ตัวแปรท่ีศกึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา

ตว้ อย่างเรื่องท่ีจะเรียนรู้ :
การเรยี นรูก้ ลิ่นของผนังคอนกรตี ในบริเวณท่พี บพืชศึกษา
วธิ กี ารศึกษา : การเรยี นรู้
ตวั แปรท่ีศกึ ษา : กล่ินของผนงั คอนกรตี
ขอบเขตของการศึกษา : ในบรเิ วณทพี่ บพชื ศึกษา และสถานที่

ลาดบั การเรียนรูท้ ่ี 5
เรียนรูธ้ รรมชาติของความพนั เกีย่ วระหว่างปจั จัย
วัตถุประสงค์
1. เพ่อื รู้ความพนั เกีย่ วระหวา่ งปจั จัย
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรู้ความสัมพันธ์
ให้เรียนรเู้ รอื่ งความสมั พันธพ์ ฤติกรรม การตอบสนองต่อกนั ระหว่างปัจจัยในสภาวะต่าง ๆ เช่น
การศกึ ษาความผูกพันของหม่อนกบั มดดาในสภาวะที่มแี สงและไม่มีแสง เป็นตน้
1.1 การกาหนดเร่อื งท่ีจะเรียนรู้
1. ปัจจยั หลัก (พชื ศึกษา)
2. ปจั จยั กายภาพและปัจจยั อื่นๆ

วิธกี ารศกึ ษา ตัวแปรท่ีศกึ ษา ขอบเขตการศึกษา

ตว้ อยา่ งเรอื่ งที่จะเรยี นรู้ :
การศกึ ษาความสัมพันธ์หม่อนกับมดดาในสภาวะท่มี แี สงและไมม่ แี สง
วิธกี ารศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรทีศ่ ึกษา : ความสัมพนั ธ์หม่อนกับมดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในสภาวะทม่ี แี สงและไม่มีแสง

(123)

ใหเ้ รยี นร้เู ร่ืองความผูกพนั พฤตกิ รรม การตอบสนองตอ่ กัน ระหว่างปจั จยั ในสภาวะต่าง ๆ เช่น
การศกึ ษาความผูกพันของหม่อนกบั มดดาในสภาวะที่มีแสงและไม่มแี สง เป็นตน้

2.1 การกาหนดเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้
1. ปัจจยั หลกั (พืชศึกษา)
2. ปัจจัยกายภาพและปัจจยั อื่นๆ
วธิ ีการศึกษา ตวั แปรทีศ่ ึกษา ขอบเขตการศกึ ษา

(124)

ตวั อย่างเร่อื งทจ่ี ะเรียนรู้ :
การศึกษาความผกู พนั หม่อนกบั มดดาในสภาวะที่มีแสงและไมม่ แี สง
วธิ ีการศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรทศ่ี กึ ษา : ความผกู พนั หม่อนกบั มดดา
ขอบเขตของการศึกษา : ในสภาวะทม่ี แี สงและไมม่ ีแสง
3. เรียนรดู้ ลุ ยภาพ ความสมดุล
ให้เรียนรูด้ ลุ ยภาพ ความสมดลุ ที่เกิดข้นึ ระหวา่ งปัจจัยศึกษา เชน่ การศกึ ษาดลุ ยภาพ ความสมดุล

ของหม่อนกบั มดดา้ ในสภาวะท่มี แี สงและไม่มีแสง เป็นต้น
2.1 การก้าหนดเรือ่ งท่ีจะเรยี นรู้
1. ปจั จยั หลัก (พชื ศกึ ษา)
2. ปัจจัยกายภาพและปัจจัยอ่ืน ๆ

วิธีการศึกษา ตวั แปรทศี่ ึกษา ขอบเขตการศึกษา

ต้วอย่างเร่อื งทีจ่ ะเรียนรู้ :
การศกึ ษาดุลยภาพ ความสมดลุ หม่อนกับมดดาในสภาวะที่มแี สงและไม่มแี สง
วธิ ีการศกึ ษา : การเรยี นรู้
ตัวแปรทศ่ี กึ ษา : ดุลยภาพ ความสมดุลหม่อนกบั มดดา
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในสภาวะท่ีมีแสงและไม่มีแสง

ลาดับการเรยี นรทู้ ี่ 6
สรุปผลการเรียนรู้ ดุลยภาพของความพนั เกย่ี ว
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่อื รู้ความสมดุลของความพันเกี่ยว
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นรกู้ ารสรปุ ผลความสัมพนั ธ์ ความผูกพนั ดลุ ยภาพ ความสมดลุ ระหว่างปัจจัยศึกษา
2. เรียนรกู้ ารสรปุ ผลดลุ ยภาพในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ การท้าแอนเิ มช่ัน แผนภาพ อินโฟกราฟฟิก
ภาพวาด แผนภมู ิ วฏั จกั ร ฯลฯ

(125)

ผลที่คาดวา่ จะไดร้ บั
ด้านวชิ าการ

1. พฤกษศาสตร์เช่น รูปลกั ษณ์ของพชื ชอ่ื วิทยาศาสตร์การจาแนกชนดิ
2. สตั วศาสตร์เชน่ รูปลักษณค์ ุณสมบตั ิและพฤติกรรมของสตั ว์ชือ่ วิทยาศาสตร์
การจาแนกชนิด
3. จลุ ชวี วทิ ยา เชน่ ส่งิ มีชวี ิตขนาดเล็ก แบคทีเรยี เช้อื รา
4. ชวี วิทยา เชน่ วงจรชวี ิต การเจรญิ เตบิ โต
5. ปฐพวี ิทยา เชน่ รปู ลกั ษณ์ และคุณสมบัติของดนิ
6. สังคมศาสตร์เช่น ความสัมพนั ธ์ ความผูกพนั การอยูร่ ว่ มกัน การพ่ึงพาอาศัยกนั
7. กฎี วิทยา เชน่ แมลงตา่ ง ๆ
8. นเิ วศวทิ ยา เช่น ห่วงโซอ่ าหาร ความสมั พันธ์ระหว่างปจั จยั
ดา้ นภูมิปญั ญา
1. การจดั การธรรมชาตใิ หส้ มดลุ
2. การจัดการชวี ิต เข้าใจชีวติ และอยกู่ บั ธรรมชาติได้อยา่ งเหมาะสม
คณุ ธรรมและจริยธรรม
1. มคี วามเมตตา กรุณา ไมท่ ้าร้ายท้าลาย
2. ความรับผิดชอบในการปฏบิ ัติงานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย
3. ความซ่ือตรง ในการศึกษาและรายงานผลทีถ่ ูกต้องเป็นจรงิ
4. ความมรี ะเบียบความรอบคอบ ละเอียดถี่ถว้ น
5. ความอดทนต่อสภาพแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั ิงาน เช่น อดทนต่อความร้อนของแสงแดด
6. ความเพยี รในการปฏิบัตงิ าน
7. มีความเอื้ออาทร เก้ือหนนุ

(126)

สาระการเรียนรู้ประโยชน์แท้แกม่ หาชน
หลักการ รูศ้ ักยภาพ รู้จินตนาการ รูป้ ระโยชน์
สาระการเรียนรู้

การวเิ คราะหศ์ ักยภาพของปจั จัยศึกษา จินตนาการเห็นคณุ สรรสร้างวิธีการ เพ่อื ประโยชนแ์ ท้แก่มหาชน
ลาดับการเรียนรู้

1. เรยี นร้กู ารวิเคราะหศ์ กั ยภาพของปัจจัยศึกษา
1.1 พจิ ารณาศักยภาพดา้ นรปู ลกั ษณ์
1.2 วเิ คราะห์ศักยภาพดา้ นคุณสมบัติ
1.3 จินตนาการศกั ยภาพด้านพฤติกรรม

2. เรียนรู้ จินตนาการเห็นคณุ ของศักยภาพ ของปัจจัยศึกษา
2.1 จินตนาการจากการวิเคราะห์ศักยภาพ
2.2 เรียนรสู้ รุปคุณของศักยภาพ ที่ได้จากจินตนาการ

3. สรรสร้างวิธีการ
3.1 พจิ ารณาคุณทเี่ กิดจากจินตนาการ
3.2 สรา้ งแนวคิด แนวทาง วธิ กี าร

4. สรปุ ผลการเรียนรู้ ประโยชน์แท้แก่มหาชน

(127)

อธิบายลาดบั การเรียนรู้
ลาดบั การเรยี นรทู้ ี่ 1
เรียนรู้การวเิ คราะหศ์ กั ยภาพของปัจจัยศึกษา
วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือร้กู ารวเิ คราะห์ศักยภาพ
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรูศ้ ักยภาพ
ศกั ยภาพ คือ ภาวะแฝง อ านาจหรอื คณุ สมบตั ิที่มแี ฝงอยูใ่ นสงิ่ ต่าง ๆ อาจท าให้พฒั นาหรือให้
ปรากฎเปน็ ส่ิงทปี่ ระจักษ์ได้
1.1 เรียนรู้การวเิ คราะห์ด้านรปู ลกั ษณ์
1.1.1 พจิ ารณารูปลกั ษณ์พชื ศึกษา ชวี ภาพ และกายภาพ
1.1.2 สรปุ ศักยภาพของรูปลกั ษณ์
1.2 เรียนร้กู ารวิเคราะหด์ า้ นคุณสมบตั ิ
1.2.1)จินตนาการคณุ สมบัติพชื ศกึ ษา ชวี ภาพ และกายภาพ
1.2.2)สรุปศักยภาพของคุณสมบตั ิ
1.3 เรียนรู้การวิเคราะห์ดา้ นพฤติกรรม
1.3.1 วเิ คราะห์พฤตกิ รรมพชื ศึกษา และชีวภาพ
1.3.2 สรุปศักยภาพของพฤติกรรม

ลาดบั การเรยี นรทู้ ี่ 2
เรียนรู้ จนิ ตนาการเห็นคณุ ของศักยภาพ ของปัจจยั ศึกษา
วตั ถุประสงค์
1 เพ่ือร้กู ารจนิ ตนาการเหน็ คณุ ของศักยภาพ

(128)

กระบวนการเรยี นรู้
1. เรยี นรู้การจินตนาการ
จนิ ตนาการ คอื การสร้างภาพขึน้ ในจติ ใจ
2. เรียนรกู้ ารจนิ ตนาการเห็นคณุ จากการวเิ คราะห์ศกั ยภาพด้านรปู ลักษณ์
2.1 จินตนาการเหน็ คุณด้านรปู ลักษณ์พืชศกึ ษา ชวี ภาพ และกายภาพ
2.2 สรปุ คณุ ของศักยภาพทไี่ ดจ้ ากการจินตนาการด้านรปู ลักษณ์
3. เรยี นรกู้ ารจินตนาการเหน็ คุณด้านคุณสมบตั ิ
3.1 จนิ ตนาการเหน็ คุณด้านคณุ สมบตั ิพชื ศึกษา ชีวภาพ และกายภาพ
3.2 สรปุ คุณของศักยภาพที่ได้จากการจนิ ตนาการด้านคุณสมบตั ิ
4. เรียนรกู้ ารจินตนาการเห็นคุณดา้ นพฤติกรรม
4.1 จินตนาการเห็นคณุ ด้านพฤติกรรมพชื ศกึ ษา และชวี ภาพ
4.2 สรุปคณุ ของศักยภาพท่ไี ดจ้ ากการจนิ ตนาการดา้ นพฤติกรรม
ลาดบั การเรยี นร้ทู ี่ 3 สรรค์สร้างวธิ ีการ

วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือรกู้ ารพจิ ารณาคุณ
2. เพ่ือรวู้ ธิ ีการสร้างแนวคดิ แนวทาง วิธกี าร

กระบวนการเรียนรู้
1. พจิ ารณาคณุ ท่ีเกดิ จากจนิ ตนาการ
2. สรา้ งแนวคิด แนวทาง วธิ ีการ
2.1 แนวคดิ คอื ความคดิ ท่ีมีแนวทางปฏบิ ัติ
2.2. แนวทาง คือ ทางปฏิบตั ทิ วี่ างไวเ้ ป็นแนว
2.3 วิธกี าร คอื วิธปี ฏบิ ัติตามหลักการ เปน็ ขนั้ ตอนอยา่ งมีระบบ

ลาดับการเรียนรู้ที่ 4 สรปุ ผลการเรียนรู้ ประโยชนแ์ ท้แก่มหาชน
วัตถปุ ระสงค์

1. เพอ่ื ใหส้ ามารถสรุปผลการเรียนรู้ ประโยชน์แทแ้ ก่มหาชนได้
กระบวนการเรยี นรู้

1. เรียนร้ปู ระโยชน์แกม่ หาชน
1.1 ประโยชน์
ประโยชน์ คอื สง่ิ ท่ีมผี ลใชไ้ ด้ดีสมกบั ที่คดิ มุ่งหมายไว้
1.2 ประโยชน์แท้
ประโยชน์แท้ คอื สง่ิ ทม่ี ผี ลใช้ไดด้ ีสมกบั ท่คี ิดมุง่ หมายไว้
1.3 ประโยชน์แก่มหาชน
ประโยชนแ์ ก่มหาชน คือ ผลประโยชนน์ ้ันเมอื่ เกดิ ข้ึนแลว้ บารงุ จิตให้เบิกบาน ขจดั ความขาด

แคลนทางกาย สบื เนื่องยาวนานไมร่ ้จู บ ตกอยกู่ ับมหาชนคนสว่ นใหญ่ และ
2. นาผลงานจากการเรียนรู้ มาสรุปประโยชนแ์ กม่ หาชน



พพชื ืชศศกึ กึ ษษาา

งาข้ีม้อน

ช่ือสามัญ Perilla

ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ Perilla frutescens (L.) Britton

ช่ือวงศ์ LAMIACEAE หรือ LABIATAE

ชื่อทอ้ งถิ่นอนื่ งาปุก งานก (คนเมือง) งาม้อน งาหอม งามน (แม่ฮอ่ งสอน), งาขมี้ ้อน

แง (กาญจนบรุ )ี , นอ่ ง (กะเหร่ยี ง-กาญจนบรุ )ี , นอ (กะเหรยี่ งแมฮ่ ่องสอน,

กะเหรย่ี งเชียงใหม่), ง้า (ลวั ะ), งาเจยี ง (ลาว), จีนเรยี กว่า ชซิ ู (Chi-ssu),

ญ่ีปุน่ เรยี กวา่ ชโิ ซะ (Shiso), เกาหลี เรียกวา่ เคนนปิ (Khaennip) อนิ เดยี

เรียกวา่ พันจีร่า (Bhanjira), เบงกอล เรยี ก Babtulsi เปน็ ตน้

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นงาขี้ม้อน ลาต้นต้ังตรง ความสูงของต้นประมาณ 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขา ลาต้นสี่เหล่ียมมน

ต้นมกี ลิ่นน้ามัน มีขนยาวละเอียดสีขาว ระหว่างเหลี่ยมที่ต้นมีร่องตามยาว เม่ือโตเต็มที่ลาต้นเคยเป็นเหล่ียมที่

โคนต้นจะหาย แต่ละข้อตามลาต้นท่ีจะแตกเป็นใบห่างกัน 4-11 เซนติเมตร ส่วนโคนต้นและโคนก่ิงจะแข็ง

รากแข็งเหนยี ว

ใบงาข้ีม้อน ใบใหญ่คล้ายกับใบย่ีหร่าอย่างมาก แต่มีสีอ่อนกว่าใบย่ีหร่า หรือคล้ายใบฤๅษีผสม ใบเป็น

ใบเด่ียว ใบออกเป็นคู่อยู่ตรงข้าม คู่ใบในข้อถัดไปใบจะออกเป็นมุมฉากกับใบคู่ก่อนสลับกันตลอดท้ังต้น

ลักษณะของใบคล้ายใบโพธิ์หรือรูปไข่กว้าง ปลายใบเรียวแหลมหรือเป็นต่ิงยาว โคนใบกลมป้าน หรือโคนตัด

สว่ นขอบใบหยกั เปน็ ฟันเลอ่ื ย ความกวา้ งของใบประมาณ 3-10 เซนตเิ มตร และยาวประมาณ 6-14 เซนติเมตร

ใบเป็นสีเขียวอ่อน ท้องใบมีสีอ่อนกว่าหลังใบ แผ่นใบมีขนสั้นๆ นุ่มสีขาวท้ังสองด้าน เม่ือไปสัมผัสจะไม่รู้สึก

ระคายเคืองหรือคัน ตามเส้นใบมีขน ท้องใบมีต่อมน้ามัน ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1-6 เซนติเมตร และมีขน

ยาวข้ึนแน่น เส้นใบ 7-8 คู่ แตกเป็นคู่ตรงข้ามกันจากเส้นกลางใบ ใบเหี่ยวเร็วมากเม่ือเด็ดจากต้น และไม่ควร

นาใบให้ววั ควายกินจะเกดิ พิษได้

ดอกงาขี้มอ้ น
ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามง่ามใบแต่ละข้อและท่ียอด ช่อดอกมีดอกย่อยเต็มก้านดอก ดอกย่อย

ขนาดเลก็ จานวนมากเปน็ กลุ่ม ชอ่ ดอกตั้งเป็นช่อรูปส่ีเหลี่ยม ดอกย่อยเชื่อมติดกันรอบก้านดอกไม่เป็นระเบียบ
ชูช่อดอกข้ึนไป ช่อดอกยาว 1.5-15 เซนติเมตร ช่อดอกคล้ายช่อดอกโหระพา ช่อดอกแมงลัก ดอกย่อยคล้าย
รูปไขเ่ ล็กๆ ไมม่ ีก้าน ดอกย่อยมรี ้ิวใบประดับอยู่ แตล่ ะดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีสีขาว สีขาวอมม่วงถึง
สีมว่ ง มขี นสขี าวขนึ้ ปกคลุม
ผลงาข้มี ้อน

ผลมีลักษณะเป็นรปู ไขก่ ลมขนาดเล็ก ผลออ่ นสีขาวหรอื เขยี วออ่ น ผลแกเ่ ป็นสนี า้ ตาลหรือสเี ทาเมลด็
งาข้ีม้อนในดอกย่อยแตล่ ะดอกมีเมลด็ อยู่ 1-4 เมลด็ เมล็ดมีขนาดเลก็ ลักษณะกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ
1.5 มิลลิเมตร มสี ีท่ีต่างกนั เป็นลายตั้งแต่สีดาหรือสีน้าตาลเข้ม สนี า้ ตาลอ่อน สีนา้ ตาลไหม้ สีเทาเขม้ สเี ทา
ออ่ นไปจนถึงสีขาว และมลี ายเปน็ รูปตาขา่ ย น้าหนกั เมล็ดประมาณ 4 กรมั ต่อ 1,000 เมล็ด
การเกบ็ เกยี่ ว

เมือ่ งาขี้ม้อนมีอายุได้ 4-5 เดอื น งาจะเริ่มแก่ สังเกตชอ่ ดอกสว่ นล่างเรม่ิ เปล่ียนเป็นสีนา้ ตาลบา้ งจึงเก็บ
เกยี่ วได้ เก่ยี วดว้ ยเคียวขณะที่ตน้ ยงั เขยี ว ลาต้นท่ยี ังอ่อนซงึ่ ทาให้งา่ ยต่อการเกี่ยว วางต้นงาทเี่ กยี่ วแล้วเพ่ือตาก
แดดทง้ิ ไว้บนตอซังท่ีเกย่ี วหรือวางบนรา้ นไม้ไผ่ ตากแดด 3-4 วนั ตน้ งาท่ีแหง้ แลว้ นามาตดี ว้ ยไม้ให้เมลด็ หลุด
ออกลงในภาชนะรองรับ ฝัดทาความสะอาดตากแดดอีกคร้ังแลว้ เก็บใส่กระสอบ เพอ่ื รอการจาหน่ายหรอื เกบ็ ไว้
บริโภคเอง
ประโยชนข์ องงาขมี้ ้อน

เมล็ดและใบงาข้ีม้อนใช้เป็นอาหารได้หลายอย่าง คนภาคเหนือใช้ประโยชน์จากเมล็ดงาข้ีม้อนมาช้า
นาน โดยนาเมลด็ มาบรโิ ภคทาเป็นอาหารว่างหรือของหวานชนิดหน่ึงที่ทาได้อย่างง่ายๆ ใช้เมล็ดงาตากับเกลือ
คลุกกับขา้ วเหนยี วขณะท่ียงั ร้อนๆ ตาใหเ้ ขา้ เปน็ เนอื้ เดียวกันกับงา หรือค่ัวงาให้สุกแล้วตางากับเกลือในครกจน
เขา้ กันดแี ละคลกุ กับข้าวเหนียวร้อนๆ จะได้กลิ่นหอมของข้าวสุกใหม่และกลิ่นของงา หากต้องการขบเมล็ดปน
อยู่บ้างก็ไม่ต้องตาจนละเอียด แต่ถ้าไม่ชอบให้เป็นเมล็ดก็ตาให้ละเอียดได้ ใส่ข้าวเหนียวท่ีนึ่งสุกใหม่ๆ ลงตา
คลกุ เคลา้ กบั งาในครก ถ้าทาครงั้ ละมากๆ จะตาในครกกระเด่ือง หรือจะคลุกเคล้าข้าวเหนียวอุ่นๆ กับงาให้เข้า
กนั ดกี อ่ นแลว้ เตมิ เกลือและตาใหเ้ ขา้ กันอกี ทีก็ได้ เรียกว่า “ข้าวนุกงา”

: พชื แนะนาศกึ ษา

ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี พน้ื ทีศ่ กึ ษา พชื แนะนาศกึ ษา

ช่ือสามัญ Teak

ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Tectona grandis L.f.

วงศ์ LAMIACEAE

ชือ่ พ้ืนเมือง ปฮี ี ปฮี ือ เปอ้ ยี (กะเหรย่ี ง-แม่ฮ่องสอน), ปาย้ี (กะเหร่ียง-กาญจนบรุ ี),

เสบ่ าย้ี (กะเหร่ียง-กาแพงเพชร), เคาะเยยี โอ (ละว้า-เชยี งใหม)่

ลักษณะทวั่ ไป

ไม้ ตนขนาดใหญ สงู ถึง 50 เมตร ผลดั ใบลาตนเปลาตรงมักมีพูพอน เปลือกสนี า้ ตาลปนเทา

ใบ เปนใบเดยี่ วตดิ ตรงขามเปนคูๆ มีขนาดใหญ โคนใบมน หรือ สอบแคบ ปลายใบแหลม

หรือ เรียวแหลม เนือ้ ใบสากคาย

ดอก เลก็ สีขาวนวล ออกรวมกนั เปนชอขนาดใหญตามปลายกิ่ง หรือ ตามงามใบใกลๆ ปลายก่ิง

กลีบเล้ยี งจะเชอื่ มตดิ กันบรเิ วณโคนกลีบสวนปลายจะแยกเปนแฉก 5-7 แฉก กลีบดอกจะเช่อื มติดกนั เป

นหลอดเกล้ียงๆ ปลายแยกเปน 5-7 แฉก

ผล เปนผลแหงคอนขางกลม ภายในมเี มลด็ 1-3 เมล็ด

การกระจายพันธุ

เปนไมถนิ่ เดมิ ของไทยและพมา พบตามปาเบญจพรรณภาคเหนอื ที่สงู จากระดบั น้าทะเลไมเกิน 900 เมตร

และมเี ปนหยอมๆ ทางภาคตะวันตก ขยายพนั ธุโดยเมลด็ ออกดอกเดือน มิถุนายน – ตุลาคม

ประโยชน

ราก เนื้อไม และ ใบ ใหสีแดง เขียว ใชยอมผา และ กระดาษ เน้ือไม ทนทาน สวยงาม ใชกอสรางบานเรือน

เคร่ืองแกะสลัก เฟอรนิเจอร เคร่ืองมือเกษตร เครื่องดนตรี ด านสมุนไพร เนื้อไมและใบ ใชทายาแก

โรคเบาหวาน ปสสาวะพิการ ขบั ลมในลาไส แกไตพิการ ใชตมและเอาน้าอาบเด็กท่ีเปนโรคอีสุกอีใส เปลือกใช

เปนยาคมุ ธาตุ

ชื่อสามญั Golden Fig, Weeping Fig, Weeping or Java Fig,
Weeping Chinese Bonyan, Benjamin Tree, Benjamin's fig, Ficus tree.
ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Ficus benjamina L.
ชอื่ วงศ์ MORACEAE
ชื่อท้องถิ่นอืน่ ไทรพนั (ลาปาง), ไทร (นครศรีธรรมราช), ไทรกระเบื้อง (ประจวบคีรขี นั ธ)์ ,

ไฮ (ภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือ), ไทรยอ้ ยใบแหลม (กรุงเทพฯ), จาเรย (เขมร), ไซรยอ้ ย
ลกั ษณะของไทรยอ้ ย

ตน้ ไทรย้อย มถี ่นิ กาเนดิ ในทวปี เอเชยี อินเดีย และภูมิภาคมาเลเซีย จัดเป็นไม้ยืนต้นหรือพุ่มไม้ผลัดใบ
ขนาดกลาง ท่ีมีความสูงได้ประมาณ 5-15 เมตร ลาต้นแตกเป็นพุ่มหนาทึบและแผ่ก่ิงก้านสาขาท้ิงใบห้อยย้อย
ลง เปลือกต้นเป็นสีน้าตาล กิ่งกา้ นห้อยย้อยลง มลี าต้นท่ีสูงใหญ่ ตามลาต้นจะมีรากอากาศแตกย้อยลงสู่พ้ืนดิน
เปน็ จานวนมากดสู วยงาม รากอากาศเป็นรากขนาดเล็ก เปน็ เสน้ สีนา้ ตาล ลักษณะรากกลมยาวเหมือนเส้นลวด
ย้อยลงมาจากต้น รากอากาศท่ีมีขนาดใหญ่จะมีเนื้อไม้ด้วย มีรสจืดและฝาด ขยายพันธ์ุด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
การตอนกิ่ง และวิธีการปักชา เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจ้า ชอบดินร่วนซุย ต้องการน้าและความ
ชุ่มช้ืนในระดับปานกลาง ไทรย้อยมีเขตการกระจายพันธ์ุกว้างในประเทศเขตร้อน พบได้ท่ีอินเดีย เนปาล
ปากสี ถาน จนี ตอนใต้ พม่า ภูมภิ าคอนิ โดจนี และมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบได้ท่ัว
ทุกภาคของประเทศ โดยมักข้ึนกระจายในป่าดิบแล้ง ป่าดิบช้ืน และป่าดิบเขา และบางคร้ังอาจพบได้ตามเขา
หินปูน จนถงึ ระดบั ความสูงประมาณ 1,300 เมตร

ใบ
ไทรย้อยแต่ละสายพันธ์ุน้ันจะมีลักษณะของใบที่แตกต่างกันเล็กน้อย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ
ลักษณะของใบเป็นรูปรีแกมรูปไข่ บางต้นลักษณะของใบเป็นรูปกลมป้อม ส่วนบางพรรณก็เป็นรูปยาวรี แต่
โดยทัว่ ไปแล้วใบจะมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-11 เซนติเมตร ปลายใบเรียว
แหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบค่อนข้างหนาเป็นสีเขียวเรียบเป็นมัน
เหมือนกันหมด เส้นแขนงใบมีข้างละประมาณ 6-16 เส้น ส่วนเส้นแขนงใบย่อยเรียงขนานกัน มีต่อมไขที่โคน
เส้นกลางใบ ก้านยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร มีหูใบยาวประมาณ 0.5-2.8 เซนติเมตร ร่วงได้ง่าย เกล้ียง
หรอื มีขนขน้ึ ประปราย

ดอก
ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกมีขนาดเล็ก เกิดภายในฐานรองดอกท่ีมีรูปทรงกลมคล้ายผล
ออกเป็นคู่จากจ้างก่ิง ไม่มีกลีบดอก[3] ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ช่อดอกของไทรก็คือผลท่ียังไม่สุกนั่นเอง แต่
เป็นช่อดอกท่ีได้รับการออกแบบมาให้ม้วนดอกทั้งหลายกลับนอกเข้าในเพ่ือทาหน้าที่พิเศษ ถ้านามาผ่าดูก็จะ
พบวา่ ขา้ งในกลวง ทีผ่ นงั มีดอกขนาดเล็ก ๆ จานวนนับร้อย ๆ ดอก ด้านตรงข้ามกับข้ัวผลไทรมีรูเปิดขนาดเล็ก
มาก และมีเกล็ดเล็ก ๆ ปิดซ้อนกันอยู่ โดยดอกไทรจะมีอยู่ด้วย 3 ประเภท คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และ
ดอกกอลล์ ซึ่งดอกกอลล์ (Gall flower) จะมีหน้าที่เป็นท่ีวางไข่และเล้ียงตัวอ่อนของ "ตัวต่อไทร" (เป็นแมลง
ชนดิ เดยี วเทา่ นัน้ ทช่ี ว่ ยผสมเกสรให้ตน้ ไทร)
ผล
ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมหรือรี ออกผลเป็นคู่ ๆ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8
เซนติเมตร ผลอ่อนเปน็ สเี ขียว เม่ือสุกแล้วจะเปล่ียนเป็นสีแดงเข้ม สีน้าตาล สีชมพู สีส้มแดง หรือสีม่วงดาเม่ือ
แก่ ไรก้ า้ น
ประโยชน์ของไทรยอ้ ย
1.รากไทรย้อยมีสรรพคณุ เป็นยาแกก้ าฬโลหติ (รากอากาศ)
2.รากอากาศมสี รรพคุณบารุงโลหิต แกต้ กโลหติ (รากอากาศ)
3.รากใช้เป็นยาแก้กระษยั (อาการป่วยท่ีเกดิ จากหลายสาเหตุ ทาให้ร่างกายเสอื่ มโทรม ซูบผอม ปวด
เม่ือย โลหติ จาง)
4.รากนามาตม้ กับนา้ กนิ เป็นยาบารุงน้านมให้สมบูรณ์ (รากอากาศ)
5.ชว่ ยแกอ้ าการทอ้ งเสีย (รากอากาศ
6.ใชเ้ ป็นยาขับพยาธิ (รากอากาศ)[5]
7.ใชเ้ ปน็ ยาขับปัสสาวะ แก้ขดั เบา ขับปัสสาวะให้คล่อง แก้นว่ิ แกป้ สั สาวะมีสีต่าง ๆ (รากอากาศ
8.ชว่ ยแก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดนิ ปสั สาวะท่ีมปี สั สาวะขุ่นขน้ เป็นสเี หลืองหรอื แดง และมกั มี
อาการแน่นท้อง รบั ประทานไมไ่ ด้รว่ มดว้ ย) (รากอากาศ)
9.ช่วยแก้อาการอักเสบหรือลดการติดเชอ้ื เช่น ฝหี รือรอยฟกชา้ (รากอากาศ)
10.ตารายาไทยจะใชร้ ากไทรย้อยใน “พกิ ดั ตรีธารทิพย์” (ประกอบไปด้วยรากไทรยอ้ ย รากราชพฤกษ์
และรากมะขามเทศ) มีสรรพคณุ เปน็ ยาบารุงน้านม แก้กษัย แก้ทอ้ งรว่ ง ชว่ ยฆ่าเชื้อคดุ ทะราด (รากอากาศ)

ชอื สามญั Sunrose Willow และ Creeping Water Primrose.
ชือวิทยาศาสตร์ Cleistocalyx nervosum var. paniala.
ชอื วงศ์ MYRTACEAE
ชือทอ้ งถนิ อืน หวา้ ส้ม,หวา้ นา

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลาต้น
มะเกี๋ยง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ลาต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร หรือมากกว่า ขนาดลาต้น

เม่ือมีอายุมากจะมีขนาดเส้นรอบวงได้ถึง 1.5 เมตร ลาต้นแตกกิ่งมาก เปลือกลาต้นมีสีเทาหรือน้าตาลอมเทา
เปลือกแก่ด้านนอกหลุดล่อนออกเป็นแผ่น เม่ือใช้มีดสับเปลือกด้านในจะมีสีน้าตาลอมชมพู แต่เม่ือแห้งจะมีสี
นา้ ตาล สว่ นเน้อื ไมค้ อ่ นขา้ งแข็ง มีสขี าวนวลหรอื เหลอื งออ่ น และมีเสีย้ นคอ่ นขา้ งมาก

ใบ
ใบมะเกีย๋ งออกเป็นใบเดี่ยวตรงขา้ มกนั เป็นคู่บนก่ิงย่อย จานวน 4-6 คู่ ในแต่ละก่ิงย่อย ใบมีรูปรีถึงรูป
หอก ขนาดใบกว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 15-25 เซนติเมตร แผ่นใบ และขอบใบเรียบ ใบมีลักษณะเป็นคล่ืน
และเป็นมันเล็กน้อย แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างมีสีเขียวอ่อน ก้านใบยาว 1.5-3 เซนติเมตร มี
เสน้ กลางใบด้านบนเป็นรอ่ งต้ืน ส่วนเส้นกลางใบดา้ นล่างนนู ขนึ้ มเี ส้นแขนงใบแยกออกซ้ายขวาสลับกัน ข้างละ
7-15 เสน้ ภายในใบมจี ดุ สีเหลืองกระจายไปทัว่ ใบอ่อน มีสีเขียวอมแดง ใบแก่มสี ีเขียว
ดอก
ดอกมะเกยี๋ ง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ แทงออกเป็นช่อ บริเวณปลายกิ่ง แต่ละก่ิงมีจานวน 5-15 ช่อดอก
ช่อดอกยาว 5-10 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกประมาณ 20-80 ดอก ดอกมีสีขาวอมเหลือง มีกลีบเล้ียง 4 กลีบ
และมีกลบี ดอก 4 กลีบ ขนาด 0.35-0.45 เซนติเมตรมีเกสรตัวผู้ประมาณ 150-300 อัน มีรังไข่อยู่บริเวณฐาน
ดอก ดอกมะเกี๋ยงจะเริ่มออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงหลังที่มีการแตกใบใหม่ และดอก
จะบานหลงั จากแทงตาดอกประมาณ 2 เดือน

ผล
ผลมะเกยี๋ ง
มีลักษณะเป็นรูปไข่คล้ายผลหว้า แต่เล็ก และป้อมกว่าเล็กน้อย ผลมีเปลือกบาง ผลอ่อนมีสีเขียวอม

เหลือง และค่อยๆเปลย่ี นเปน็ สีเหลืองอมชมพู ตอ่ มาเปน็ สีแดงเม่ือห่าม เม่ือสุกเป็นสีแดงม่วง และสุกมากเป็นสี
ดา ขนาดผลประมาณ 1-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร เนื้อผลมีสีขาว หนาประมาณ 3–5
มิลลิเมตร เมื่อรับประทานจะให้รสเปร้ียวอมฟาดเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม ตรงกลางผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ผล
มะเกี๋ยงเร่มิ สุก หลงั ดอกบาน ประมาณเกือบ 3 เดือน และสามารถเก็บผลได้ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน มี
ผลต่อช่อประมาณ 5-10 ผล และจะเรมิ่ ตดิ ผลไดเ้ มอ่ื ตน้ มอี ายปุ ระมาณ 3-5 ปี

เมล็ดมะเกี๋ยง
มีลักษณะกลมหรือค่อนข้างเป็นรูปไข่ ขนาดประมาณ 0.7-8 เซนติเมตร 0.8-1 เซนติเมตร เปลือก
เมลด็ มีสีน้าตาลอ่อน เนือ้ เมล็ดภายในมีสเี ขยี ว

ประโยชนม์ ะเกีย๋ ง
1. ผลมะเกย๋ี งใชร้ ับประทานเป็นผลไม้ ใหร้ สเปรี้ยวอมหวาน
2. ผลดบิ มะเก๋ียงนามาใสอ่ าหารประเภทตม้ ยา ให้รสเปร้ียวจัดจ้าน
3. ผลมะเกย๋ี งใชแ้ ปรรูปเป็นผลติ ภณั ฑอ์ าหาร
– นา้ มะเก๋ยี งพรอ้ มดม่ื
– ไวนม์ ะเกีย๋ ง
– เนคต้ารเ์ ก๋ียง
– มะเกี๋ยงแชอ่ ่มิ
– ชามะเกยี๋ ง
– เยลลี่มะเกีย๋ ง
– มะเกีย๋ งดอง
– โยเกริ ์ตมะเกยี๋ ง
4. ผลมะเกี๋ยงใช้สกัดทาสีผสมอาหาร ซ่งึ ให้สีม่วงแดง
5. ใบมะเกยี๋ งนามาต้มเป็นนา้ ยอ้ มผา้ ให้สีนา้ ตาลอ่อนหรือนา้ ตาลเข้ม
6. เปลือกมะเกีย๋ งนามาต้มนา้ ย้อมผ้า ใหส้ ีน้าตาลอมแดง
7. เมลด็ มะเกี๋ยงใชส้ กดั นา้ มนั สาหรบั ใช้ประกอบอาหารหรือใชเ้ ป็นสว่ นผสมเคร่ืองสาอาง และนา้ หอม
8. เนื้อไม้มะเกยี๋ งมีลักษณะค่อนข้างแข็ง ใช้แปรรูปเปน็ ไมป้ ูพน้ื ไมช้ ายคา ไมว่ งกบ รวมถึงแปรรปู

เป็นเฟอรน์ ิเจอร์ตา่ งๆ
9. กงิ่ นามาทาเปน็ ฟืน
10. ตน้ มะเกยี๋ งตามป่าหรอื หัวไรป่ ลายนาเปน็ ประโยชน์ต่อสัตวป์ ่าในดา้ นเปน็ แหลง่ อาหารสาคัญ

ชอ่ื สามัญ Golden shower, Indian laburnum, Pudding-pine tree, Purging Cassia

ช่ือวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L.

ชอ่ื วงศ์ FABACEAE

ชื่อพืน้ เมอื ง กเุ พยะ คนู ชัยพฤกษ ปอยู ปูโย เปอโซ แมะหลาหยู ลมแลง

ลกั ษณะท่ัวไป

ไมต้ น้ ผลดั ใบ สูง 8-15 เมตร

ใบ ใบประกอบแบบขนนกออกสลบั มีใบยอย 3-8 คู รปู ปอม รปู ไข หรอื รปู ขอบขนานแกมรูปไข

กวาง 4-8 เซนติเมตร ยาว 7-15 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนมน เสนแขนงใบถี่ เนอ้ื ใบคอนขางบาง

ดอก สเี หลอื ง ออกเปนชอหอยตามซอกใบ หรอื ตามกงิ่ ยาว 20-45 เซนตเิ มตร กวาง 4-5

เซนตเิ มตร กลีบเล้ยี งรปู รีแกมรปู ไข ผิวนอกมีขนคลมุ กลบี ดอก 5 กลีบ รูปไข หรือ รปู ไขกลับ เมอ่ื บานเสน

ผาศนู ยกลาง 5-8 เซนตเิ มตร เกสรตัวผู อัน ขนาดไมเทากัน รังไขและกานเกสรตัวเมีย มีขนคลุม ออกดอก

เดือนกมุ ภาพนั ธ – พฤษภาคม

ผล เปนฝกทรงกระบอกยาว 20-60 เซนติเมตร เสนผาศูนยกลาง 1.5-2.5 เซนตเิ มตร ฝกแกสีดา

การกระจายพันธ ถ่ินกาเนดิ เอเชียเขตรอนขน้ึ ตามปาเบญจพรรณแลงทว่ั ไป

ประโยชน

เปลือก เนอ้ื ไม ผล ใหสีเหลอื ง ใชยอมไหมและฝาย

ราก ฝนทาแกกลาก และ เปนยาระบาย

ราก และ แกน เปนยาขับพยาธิ

เปลอื กและไม ใชฟอกหนงั

เปลือก และ ใบ บดผสมกันใชทาฝและเมด็ ผ่ืนตามรางกาย

เนือ้ ไม สแี ดงแกมเหลอื ง แข็ง ทนทาน ใชทาเสา ลอเกวยี น คันไถ

ใบ ตมรับประทานเปนยาระบาย ฆาพยาธิ

ดอก แกไข ระบาย แกแผลเรอ้ื รงั

ฝก เนอื้ ในฝกรสหวาน เปนยาระบาย ชวยบรรเทาอาการแนนหนาอก

ฟอก หรือ ชาระนา้ ดี แกลมเขาขอ และขัดขอ

ช่ือสามญั Bengal almond, Indian almond, Olive-bark tree, Sea almond,
Singapore almond, Tropical Almond, Umbrella Tree

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Terminalia catappa L.
วงศ์ COMBRETACEAE
ช่ือท้องถ่ินอนื่ ตาปัง (พษิ ณโุ ลก, สตูล), โคน (นราธวิ าส), หลุมปัง (สุราษฎร์ธาน)ี , คัดมือ ตัดมือ (ตรัง),

ตาแปห์ (มลายู-นราธวิ าส) เปน็ ต้น
ลักษณะของต้นหูกวาง

ตน้ หูกวาง จัดเปน็ ไมย้ ืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ท่ีมีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร บางคร้ังอาจ
สงู ไดถ้ งึ 30-35 เมตร (แตไ่ ม่ค่อยพบตน้ ที่ใหญ่มากในประเทศไทย) มีเรือนยอดหนาแน่น แตกก่ิงก้านแผ่ออกใน
แนวราบเป็นชนั้ ๆ คลา้ ยฉัตร ลาต้นเปลาตรง ต้นที่มอี ายุมากและมขี นาดใหญ่จะเป็นพพู อนท่โี คนตน้ เปลือกลา
ต้นเป็นสีน้าตาลปนเทาเกือบเรียบ แตกเป็นร่องแบบต้ืน ๆ ตามแนวนอนและแนวตั้ง และลอกออกเป็นสะเก็ด
เลก็ ๆ ท่วั ไป ก่ิงอ่อนมีขนสนี ้าตาล ส่วนเนอื้ ไม้เปน็ สีแดง เป็นกลีบเล็กน้อย มีเส้ียนไม้ละเอียดสามารถขัดชักเงา
ไดด้ ี

ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด บางคร้ังน้าหรือค้างคาวก็ช่วยในกระจายพันธ์ุได้ด้วยเช่นกัน และสามารถ
เจรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นดนิ ทม่ี ีการระบายน้าได้ดอี ย่างดนิ ร่วนพอควรหรือปนทราย หูกวางเป็นพันธุ์ไม้ในป่าชายหาด
ท่ีพบข้ึนกระจายตามชายฝั่งทะเล พบปลูกทั่วตั้งแต่ประเทศอินเดียจนถึงตอนเหนือของทวีปออสเตรเลียทาง
ตอนเหนือ ต้นหูกวางเป็นพืชทิ้งใบ โดยท่ัวไปแล้วจะทิ้งใบ 2 คร้ัง ในรอบ 1 ปี หรือในช่วงประมาณเดือน
มกราคมถึงเดอื ยกมุ ภาพันธ์ และอกี ชว่ งในชว่ งเดอื นกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งก่อนขจะทิ้งใบ ใบหูกวางจะ
เปล่ียนเป็นสีเหลืองหรือสีส้มแดง ในปัจจุบันน้ีได้มีการนาต้นหูกวางมาปลูกท่ัวไปในพ้ืนท่ีเขตร้อนอย่างทวีป
เอเชีย ส่วนในประเทศไทยมักพบขึ้นตามชายฝ่ังทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ตราดและชลบุรี) ภาค
ตะวนั ตกเฉยี งใต้ (ประจวบคีรขี นั ธแ์ ละกาญจนบรุ ี) และภาคใต้ (นราธวิ าส ตรัง และสรุ าษฎร์ธานี)

ใบหกู วาง
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลับกันเป็นกระจุกหนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะของใบเป็นรูปไข่
กลบั ปลายใบแหลมเปน็ ติ่งสั้น ๆ (ปลายใบกว้างกว่าโคนใบ) โคนใบมนเว้าหรืแสอบแคบเป็นรูปลิ่ม และมีต่อม
เลก็ ๆ หนง่ึ คูอ่ ยูท่ ีโ่ คนใบบริเวณทอ้ งใบ สว่ นขอบใบเรียบเป็นคล่ืนหยักเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-15
เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร หลังใบและท้องใบมีขน เน้ือใบหนา ใบอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน
เม่ือแก่แล้วจะเปล่ียนเป็นเขียวเข้ม แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงเม่ือใกล้ร่วงหรือผลัดใบ มีก้านใบยาวประมาณ
0.5-1.5 เซนตเิ มตร มขี น มกั ผลัดใบในชว่ งฤดหู นาวในช่วงเดอื นตุลาคมถงึ เดอื นพฤศจิกายน
ดอกหกู วาง
ออกดอกเป็นช่อยาวแบบติดดอกสลับ โดยจะออกตามซอกใบ ลักษณะเป็นแท่งยาวประมาณ 8-12
เซนติเมตร มีดอกย่อยเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ดอกมีขนาดเล็กและไม่มีกล่ินหอม (บางข้อมูลว่ามีกลิ่นฉุน
ด้วยเล็กนอ้ ย) ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยใู่ นชอ่ เดียวกัน ดอกเพศผู้จะอยู่บริเวณปลายช่อ ส่วนดอกเพศเมียจะ
อยู่บริเวณโคนช่อ (อีกข้อมูลระบุว่าดอกแบบสมบูรณ์จะอยู่โคนช่อ) ไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงดอก 5 กลีบ
โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉกรูปสามเหล่ียม 5 แฉก มีขนด้านนอก ดอกเกสรเพศผู้มี 10 ชั้น ดอก
เมอ่ื บานเตม็ ที่จะมีขนาดกว้างประมาณ 0.4-0.6 เซนติเมตร โดยดอกจะออกดอกสองครั้งรอบ 1 ปี คือ ในช่วง
ฤดูหนาวหลงั จากแตกใบใหม่ (เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม) และอีกคร้ังในช่วงฤดูฝน (เดือนมิถุนายนถึง
เดอื นสิงหาคม)
ผลหกู วาง
ผลเปน็ ผลเดี่ยวในแต่ละผลมีเมลด็ 1 เมล็ด ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรีค่อนข้างแบนเล็กน้อย ผลแข็ง
มขี นาดกว้างประมาณ 2-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-7 เซนติเมตร ผลด้านข้างเป็นแผ่นหรือเป็นสันบาง
ๆ นูนออกรอบผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปล่ียนเป็นสีเหลืองหรือสีเหลืองอมเขียว และมีกล่ินหอม
ผิวผลเรียบ ผลเมื่อแห้งจะเป็นสีดาคล้า เปลือกผลมีเส้นใย ภายในมีเมล็ดเดี่ยว เมล็ดมีขนาดใหญ่ เหนียว และ
เปลือกในแข็ง โดยผลจะแก่ในช่วงในช่วงแรกประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน และอีกช่วงหน่ึง
ประมาณพฤษภาคมถึงเดอื นมิถนุ ายน
เมลด็ หกู วาง
ลักษณะของเมล็ดเปน็ รปู ไขห่ รอื รูปรี แบนป้อมเล็กน้อยคลา้ ยกับผล เม่อื เมลด็ แห้งจะเป็นสีน้าตาล แข็ง
ภายในมีเน้ือมาก
ประโยชน์ของหกู วาง
1.เมล็ดหูกวางสามารถนามารับประทานได้ และยังมีโปรตีนท่ใี หป้ ระโยชนแ์ กร่ ่างกายของเราอีกดว้ ย
2.เมลด็ สามารถนาเอาไปทาเปน็ นา้ มนั เพ่ือนาไปใช้บรโิ ภคหรอื ทาเครื่องสาอางได้
3.เปลือกและผลมีสารฝาดมาก สามารถนามาใช้ในอุตสาหกรรมย้อมสีผ้า ฟอกหนังสัตว์ และทาหมึก
ได้ ในอดีตมีการนาเอาเปลือกผลซึ่งมีสารแทนนินมาใช้ในการย้อมหวาย และได้มีการทดลองใช้ใบเพื่อย้อมสี
เสน้ ไหม พบวา่ สีทไี่ ด้คอื สีเหลอื ง สเี ขียวข้มี า้ หรือสนี า้ ตาลเขียว
4.ใบแก่นามาแช่น้าใช้รักษาบาดแผลของปลาสวยงาม อย่างเช่น ปลากัด ปลาหางนกยูงได้ อีกท้ังยัง
ช่วยบารุงสุขภาพปลาและสีสันของปลา ช่วยทาให้ตับของปลานั้นดีข้ึน จึงส่งผลให้ปลาแข็งแรง ช่วยป้องกัน
ไม่ใหป้ ลาเปน็ โรค
5.เนื้อไม้หกู วาง สามารถนามาใช้ในการก่อสรา้ ง ทาบา้ นเรอื น หรอื เคร่อื งเรอื นได้ดี เพราะเป็นไม้ที่ไม่มี
มอดและแมลงมารบกวน หรอื นามาใชท้ าฟืนและถา่ นกไ็ ด้

ชือ่ สามญั Asian bulletwood, Bullet wood, Bukal, Tanjong tree, Medlar, Spanish cherry
ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Mimusops elengi L.
ช่อื วงศ์ SAPOTACEAE
ชื่อท้องถ่นิ อน่ื ซางดง (ลาปาง), พกิ ลุ เขา พกิ ลุ เถอ่ื น (นครศรีธรรมราช), พกิ ลุ ป่า (สตลู ), แก้ว (ภาคเหนอื ),

กนุ (ภาคใต้), ไกรทอง, ตนั หยง, มะเมา, พกุล, พิกลุ ทอง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 10-25 เมตร ลาต้นแตกกิ่ง
กา้ นเปน็ พมุ่ กว้างหนาทบึ เปลือกตน้ เป็นสเี ทาอมสนี ้าตาลและแตกเป็นรอยแตกระแหงตามแนวยาว ทั้งต้นมีน้า
ยางสขี าว สว่ นกงิ่ ออ่ นและตามขี นสีน้าตาลข้ึนปกคลุม ขยายพนั ธด์ุ ้วยวิธกี ารเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และวิธีการ
ปกั ชากิง่ ชอบขึ้นในพ้ืนทดี่ นิ ดี ชอบแสงแดดจัด ทนทานต่อสภาพน้าท่วมขังได้นานถึง 2 เดือน มีการเพาะปลูก
มากในมาเลเซีย เกาะโซโลมอน นิวแคลิโดเนีย วานูอาตู และออสเตรเลียทางตอนเหนือ รวมไปถึงเขตร้อนท่ัว
ๆ ไป(เปลือกต้น พบว่ามีสารในกลุ่มไตรเทอร์ปีน ได้แก่ Beta amyrin, Betulinic acid, Lupeol,
Mimusopfarnanol, Taraxerone, Taraxerol, Ursolic acid, สารในกลุ่มกรดแกลลิก ได้แก่ Phenyl
propyl gallate, น้ามันหอมระเหย ได้แก่ Cadinol, Diisobutyl phthalate, Hexadecanoic acid,
Octadecadienoic acid, Taumuurolol, Thymol)

ใบพิกุล มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันแบบห่าง ๆ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปรี ใบมีความ
กว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมหรือหยักเป็นต่ิงส้ัน ๆ
โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบและเป็นคล่ืนเล็กน้อย หลังใบเป็นสีเขียวเรียบเป็นมัน ท้องใบจะเป็นสีเขียวอ่อน
และเน้ือใบมลี ักษณะคอ่ นขา้ งเหนยี ว สว่ นก้านใบยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร หูใบมีลักษณะเป็นรูปเรียวแคบ
ยาวประมาณ 3-5 มลิ ลเิ มตร และหลุดร่วงได้ง่าย

ดอกพกิ ลุ
ออกดอกเป็นดอกเด่ียวหรือเป็นกระจุกประมาณ 2-6 ดอก โดยจะออกตามซอกใบหรือตามปลายก่ิง
ดอกพิกุลจะมีขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลนิ่ หอม (กลิ่นยงั คงอยแู่ ม้ตากแห้งแล้ว) และหลุดร่วงได้ง่าย เมื่อดอกบาน
เต็มทจ่ี ะกว้างประมาณ 0.7-1 เซนตเิ มตร ก้านดอกย่อยมีความยาวประมาณ 2 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยง 8 กลีบ
เรียงซ้อนกัน 2 ช้ัน ช้ันละ 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงด้านนอกมีลักษณะเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม มีขนสั้นสี
น้าตาลนุ่ม ยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร โดยกลีบดอกจะส้ันกวากลีบเลี้ยงเล็กน้อย กลีบดอกมี 8 กลีบ ท่ีโคน
กลีบเช่ือมกันเล็กน้อย กลีบดอกแต่ละกลีบจะมีส่วนย่ืนออกมาด้านหลัง 2 ช้ิน ซ่ึงแต่ละช้ินจะมีลักษณะ ขนาด
และสีคล้ายคลึงกับกลีบดอกมาก ดอกมีเกสรตัวผู้สมบูรณ์ 8 ก้าน อับเรณูเป็นรูปใบหอกและยาวกว่าก้านชูอับ
เรณู เกสรตัวผู้เป็นหมัน 8 อัน และรังไข่มี 8 ช่อง เมื่อดอกใกล้โรยจะเป็นสีเหลืองอมสีน้าตาล สามารถออก
ดอกไดต้ ลอดปี (ดอกมีน้ามันหอมระเหย ซึ่งประกอบไปด้วย 3-hydroxy-4-phenyl-2-butanone 4.74%, 2-
phenylethanol 37.80%, 2-phenylethyl acetate 7.16%, (E)-cinnamyl alcohol 13.72%, Methyl
benzoate 13.40%, p-methyl-anisole 9.94%)
ผลพกิ ุล
ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ถึงรี ผิวผลมีลักษณะเรียบ ผลอ่อนเป็นสีเขียวมีขนสั้นนุ่ม เมื่อสุกแล้วจะ
เปลี่ยนเป็นสีแสด ที่ขั้วผลมีกลบี เลี้ยงติดคงทน ผลมขี นาดกวา้ งประมาณ 1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.5-
3 เซนติเมตร เนื้อในผลเป็นสีเหลืองมีรสหวานอมฝาดและมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะแบนรี แข็ง สีดาเป็นมัน
ติดได้ตลอดปี[1],[2],[3],[4] (ผลและเมล็ดพบ Dihydro quercetin, Quercetin, Quercitol, Ursolic acid,
สารในกลมุ่ ไตรเทอร์ปนี ซง่ึ ได้แก่ Mimusopane, Mimusops acid, Mimusopsic acid สว่ นเมล็ดพบสารไตร
เทอร์ปีนซาโปนินได้แก่ 16-alpha-hydroxy Mi-saponin, Mimusopside A and B, Mi-saponin A และยัง
มสี ารอน่ื ๆ อีก ได้แก่ Alpha-spinasterol glucoside, Taxifolin)
ประโยชน์ของพกิ ลุ
1.ผลพิกลุ สามารถใชร้ ับประทานเป็นอาหารหรอื ผลไม้ของคนและสัตว์ได้
2.ดอกพิกุลมกี ลิน่ หอมเยน็ นิยมนามาใช้บูชาพระ
3.น้าจากดอกใชล้ า้ งปากล้างคอได้
4.เนือ้ ไม้พิกุลสามารถนามาใช้ในการก่อสร้างทาเคร่ืองมือได้ เช่น ทาเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี การขุด
เรือทาสะพาน โครงเรือ ไม้คาน ไม้กระดาน วงล้อ ครก สาก ดา้ มเคร่ืองมือ เครื่องมือทางการเกษตร ฯลฯ และ
ยังใช้เนอื้ ไม้ในงานพธิ มี งคลได้เป็นอยา่ งดี เชน่ การนามาทาเปน็ ดา้ มหอกที่ใชเ้ ปน็ อาวธุ เสาบ้าน พวงมาลัยเรือ
5.เปลอื กตน้ พิกุลใชส้ กดั ทาสีย้อมผา้
6.ดอกมีกล่นิ หอมเย็น สามารถนามาสกัดเป็นน้ามันหอมระเหยได้ ซึ่งสามารถนามาใช้ในการแต่งกล่ิน
อาหาร ใช้เปน็ สว่ นผสมในน้าหอม ใช้แต่งกล่ินทาเคร่ืองสาอาง

ช่ือสามัญ Thai bungor

ช่ือวิทยาศาสตร์ Lagerstroemia loudonii Teijsm. & Binn.

วงศ์ LYTHRACEAE

ชื่อพ้นื เมอื งอ่ืน เกรยี บ ตะเกรียบ ตะแบกขน เสลาใบใหญ อินทรชิต

ลกั ษณะท่ัวไป

ไม ตนสูง 10-20 เมตร เรอื นยอดเปนพมุ กลมหรอื ทรงกระบอก กิง่ โนมหอยลงรอบ ทรงพุม

เปลือก สดี ามรี อยแตกเปนทางยาวตลอดลาตน

ใบ ใบเดย่ี ว เรียงตรงขาม รปู ขอบขนานกวาง 6-10 เซนตเิ มตร ยาว 16-24 เซนติเมตร ปลาย

เรียวแหลมเปนติ่ง โคนมน เนอ้ื ใบหนาปานกลาง เสนใบมขี นนุมท้งั 2 ดาน

ดอก สีมวง มวงอมชมพูหรือมวงกับขาว ออกเปนชอแบบชอแยกแขนงท่ีปลายก่ิง กลีบเลี้ยงเชื่อม

กันเปนรูปถวย ลายแยกเปน 5-8 แฉก กลีบดอกมี 6 กลีบ รูปกลมบางยับยนขอบยวย เม่ือบานเสนผาศูนย

กลาง 3-4 เซนตเิ มตร ออกดอกเดือนธนั วาคม – มีนาคม

ผล รูปเกอื บกลมผิวแข็งยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ผลแหงแตกตามยาว 5-6 พู มีเมล็ดจานวนมากมี

ปกบางๆ

การกระจายพนั ธุ

พบข้ึนตามปาเบญจพรรณ ปาดิบและปาชายหาด พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก

และภาคกลางลงไปถึงจงั หวดั ประจวบคีรขี ันธ

ประโยชน

เนื้อไม ทาเครื่องแกะสลัก ดามเครื่องมือการเกษตร ใบ บดกับกายาน ใชทาผดผื่นคัน ผล ใชทาไม

ประดบั แหง

ชือ่ สามัญ Burmese Padauk, Burmese ebony, Burma Padauk, Narva

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pterocarpus macrocarpus Kurz

วงศ FABACEAE

ช่ือพน้ื เมอื ง ด,ู ดูปา (ภาคเหนอื ) ฉะนอง (เชยี งใหม ประดปู า (ภาคกลาง)

ประดูเสน (ราชบรุ ี, สระบุรี)

ลักษณะทั่วไป

ไม้ ไมตนขนาดใหญสูง 15-30 เมตร เรือนยอดแผกวาง เปลือกหนาสีน้าตาลดาแตกเปนรองลึก

หรือเปนแผนหนา สบั เปลอื กมนี ้ายางสีแดง

ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายค่ี เรียงสลบั

ดอก ดอกชอกระจะ สเี หลือง ผล ผลมปี กโดยรอบ

การกระจาย

พบในประเทศพมา กัมพูชา ไทย และเวียดนาม ในประเทศไทยพบไดทุกภาคยกเวนภาคใต พบ

บริเวณปาเบญจพรรณ ปาเตง็ รงั และปาดิบแลงทร่ี ะดับความสงู ไมเกิน 800 เมตร

ประโยชน

เนอ้ื ไม้ สแี ดงอมเหลอื ง มลี วดลายสวยงาม แข็งแรง ใชในงานกอสราง ทาเสา พน้ื ตอเรอื เครื่องเรือน

เครอ่ื งดนตรี

เปลือก สมานแผล แกทองเสีย แกน รักษาคุดทะราด แกไข บารุงกาลัง แกพิษเบื่อเมา แกผดผื่นคัน

และทาใหเลอื ดลมซาน ใชยอมผา เปลอื ก ใชฟอกหนงั

ใบ พอกฝ รักษาบาดแผล แกผดผ่ืนคนั

ชอ่ื สามัญ Ebony tree

ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros mollis Griff.

วงศ์ EBENACEAE

ชอ่ื ทอ้ งถนิ่ อน่ื มักเกลอื (เขมร-ตราด), มักเกลือ หมกั เกลือ มะเกลอื (ตราด), ผีเผา ผีผา

(ฉาน-ภาคเหนอื ), มะเกอื มะเกยี (ภาคเหนอื ), เกลอื (ภาคใต้), มะเกล้อื (ทวั่ ไป)

ลกั ษณะของมะเกลอื

ต้นมะเกลือ มีถ่ินกาเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่าและไทย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึง

ขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 10-30 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่ม ลาต้นเปลา ที่โคนต้นมักขึ้นเป็นพูพอน ที่ผิว

เปลอื กเป็นรอยแตกเปน็ สะเก็ดเล็ก ๆ ตามยาว สดี า เปลือกดา้ นในมสี เี หลือง ส่วนกระพี้มีสีขาว แก่นมีสีดาสนิท

เน้อื มคี วามละเอยี ดเป็นมันสวยงาม ท่ีกิ่งอ่อนมีขนนุ่มขึ้นอยู่ประปราย โดยทุกส่วนของมะเกลือเม่ือแห้งแล้วจะ

เปลี่ยนเป็นสีดา และต้นมะเกลือจะขยายพันธ์ุด้วยวิธีการเพาะเมล็ด สามารถพบต้นมะเกลือได้ทั่วไปทุกภาค

ของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ โดยต้นไม้ชนิดนี้จะพบได้มากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา

ขอนแกน่ ชัยภมู ิ สกลนคร และอุดรธานี นอกจากนต้ี น้ มะเกลือยังเปน็ ตน้ ไม้ประจาจงั หวดั สพุ รรณบุรีอีกด้วย

ใบมะเกลือ ใบเป็นใบเด่ียวขนาดเล็ก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรี เรียงแบบสลับ โคนใบกลมหรือ

มน ปลายใบสอบเข้าหากัน ผิวใบเกลี้ยง ใบกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตรและยาวประมาณ 9-10

เซนตเิ มตร ใบอ่อนจะมขี นปกคลมุ อยูท่ ั้งสองด้าน

ดอกมะเกลือ ออกดอกเป็นชอ่ ตามซอกใบ ดอกเป็นแบบแยกเพศต่างต้นกัน ดอกตัวผู้จะมีขนาดเล็ด สี

เหลืองอ่อน ในหนึ่งช่อจะมีอยู่ 3 ดอก ส่วนดอกตัวเมียจะเป็นดอกเดี่ยว ลักษณะของดอกเหมือนกัน คือ กลีบ

รองดอกจะยาวประมาณ 0.1-0.2 เซนติเมตร ท่โี คนกลีบดอกจะเช่ือมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกจะแยก

เป็น 4 กลบี มีสีเหลือง เรยี งเวียนซ้อนทับกนั ที่กลางดอกจะมีเกสร

ผลมะเกลอื ลกั ษณะของผลกลม มขี นาดเสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวเรียบเกลี้ยง ผล
ออ่ นมีสเี ขียว ผลสกุ มีสเี หลอื ง สว่ นผลแกเ่ ป็นสีดา ผลเมือ่ แกจ่ ัดจะแหง้ ทผี่ ลมกี ลบี เลีย้ งตดิ อยบู่ นผล 4 กลีบ ผล
จะแก่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองประมาณ 4-5 เมล็ด มีขนาดกว้าง
ประมาณ 0.5-0.7 เซนตเิ มตรและยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร
ประโยชน์ของมะเกลือ

1.ไม้มะเกลือ มีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนามาใช้ทาเคร่ืองเรือนได้เป็นอย่างดี หรือ
จะใช้ทาเป็นเคร่ืองดนตรี เคร่อื งประดับมุก เครอ่ื งเขยี น เฟอรน์ ิเจอร์ไมม้ ะเกลอื ตะเกยี บกไ็ ด้เชน่ กนั

2.เปลือกนาไปปิ้งไฟให้เหลือง ใช้ใส่ผสมรวมกับน้าตาล นาไปหมัก ก็จะได้แอลกอฮอล์หรือที่เรียกว่า
น้าเมา

3.เปลือกตน้ มะเกลอื ใช้ทาเปน็ ยากันบูดได้
4.ผลมะเกลือมสี ดี า สามารถนามาใช้ประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมได้ ซึ่งสามารถนามาใช้ย้อมผ้าหรือ
ยอ้ มแห โดยจะให้สีดา สีทไ่ี ด้จะเขม้ และตดิ ทนนาน (ผลสุก)
5.สีดาท่ีได้จากผลมะเกลือยังสามารถนามาใช้ทาไม้ให้มีสีดาเป็นมันในการฝังมุกโต๊ะและเก้าอ้ี ช่วยทา
ใหม้ ลี วดลายสวยงามและเด่นมากขึน้

ช่ือสามญั Tamarind, Indian date

ชอ่ื วิทยาศาสตร Tamarindus indica L.

ชอ่ื วงศ FABACEAE

ชอ่ื พ้ืนเมืองอื่น ขาม (ภาคใต)้ ตะลูบ(ชาวบน-นครราชสมี า) ม่องโคลง้ (กะเหรย่ี ง-กาญจนบุร)ี

อาเปยี ล (เขมร-สรุ ินทร)์ หมากแกง (เง้ียว-แม่ฮ่องสอน) ส่ามอเกล

(กะเหรยี่ ง-แม่ฮอ่ งสอน)

ลักษณะท่ัวไป

ไมต้ ้น สูง 15-30 เมตร เปลือกสเี ทาหรือสํนี ้าตาลเขม

ใบ ใบประกอบแบบขนนก ยาว 5-10 เซนติเมตรกวาง 2-4 เซนติเมตร ใบยอย รปู ขอบขนาน

จานวน 10-20 คู ออกตรงขาม ยาว 1.2-2 เซนติเมตร กวาง 3-5 มิลลิเมตร ขอบใบเรยี บ ปลายเปนตง่ิ แหลม

ดอก ชอดอก แบบชอเชงิ ลดหอยลง ออกทง่ี ามใบและปลายก่ิง สีเหลืองออน

ผล เปนฝกยาว รปู รางยาวหรอื โคง ยาว 3-20 ซม. ฝกออนมเี ปลือกสีเขียวอมเทา สีนา้ ตาล

เกรยี ม เนอื้ ในตดิ กบั เปลอื ก เมือ่ แกฝกเปลย่ี นเปนเปลือกแขง็ กรอบหักงาย สนี า้ ตาล เน้ือในกลายเปนสํีน้าตาล

หมุ เมลด็ เนื้อมรี สเปรยี้ ว และหวานการกระจาย มีถนิ่ กาเนิดที่เกาะมาดากสั กาแพรกระจายแอฟรกิ าตะวนั ออก

และอินเดีย

ประโยชน

1.ราก แกทองเสยี

2.เปลอื ก แกไข แกทองเสยี สมานแผล รกั ษาแผลเรื้อรงั

3.ใบ ชวยยอยอาหาร ใชอบ อาบสมนุ ไพร

4.เนอื้ ในฝก เปนยาระบาย ขับเสมหะ บารุงผิวพรรณ กระตุนการสรางเซลลผวิ ใหม ลบรอยแผล

เปนและเหย่ี วยน

ช่ือสามญั Cork Tree , Indian Cork

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L.f.

ชอ่ื วงศ์ BIGNONIACEAE

ชื่อพื้นเมืองอื่น กาซะลอง กาดสะลอง เตก็ ตองโพ

ลกั ษณะท่วั ไป

ไมต้น ผลัดใบสูง 6-12 เมตร เรือนยอดเปนพุมทบึ กิ่งมักหอยลง เปลอื กสีเทา แตกเปนรองลกึ

เนือ้ หยนุ คลายไมกอก

ใบ ประกอบแบบขนนก 2-3 ช้ัน ออกตรงขาม ใบยอยรปู ไข หรอื รปู ไขแกมรูปใบหอก กวาง

1.5-3 เซนติเมตร ยาว 2.5-8 เซนติเมตร ปลายเรยี วแหลมโคนกลม ขอบจกั

ดอก สขี าวกล่นิ หอม ออกเปนชอใหญทป่ี ลายก่ิง ยาว 10-40 เซนติเมตร ทยอยบานกลบี เลี้ยง 5

กลีบ โคนเชอื่ มกนั เปนรปู ระฆัง กลีบดอกเช่อื มกนั เปนหลอดยาว ปลายบานออกเปนรูปแตร กวางประมาณ 2

เซนติเมตร มี 5 กลบี เกสรตวั ผู 4 อัน ออกดอกเดือนกันยายน – ธันวาคมบานเวลาเย็น

ผล เปนฝกแบน กวาง 1.5-2 เซนติเมตร ยาว 28-36 เซนตเิ มตร เมอื่ แกแตก 2 ซกี เมลด็ จานวน

มากมีปกการกระจายพันธุ ข้ึนในปาเบญจพรรณ และ เขาหินปนู ขยายพันธุโดยเมล็ด และ หนอ

ประโยชน

1.เปลือก เนอ้ื ไม ใหสีเหลือง น้าตาล ใชยอมฝาย

2.ราก เปนยาบารุงปอด รกั ษาวัณโรค เปลอื ก ทาจุกกอก ดอก สบู แกหืด

ชือ่ สามัญ West Indian Red Jasmine

ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Plumeria acuminata Aiton

ช่ือวงศ์ APOCYNACEAE

ชอ่ื ท้องถิ่นอน่ื ลน่ั ทมแดง ล่ันทมเหลือง ลลี าวดี

ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์

ไม้ตน้ ขนาดเล็ก สูง 3-8 ม. ขนาดทรงพุม่ 6-8 ม. ผลัดใบ ทรงพมุ่ รปู ไข่ หรอื รูปรม่ แผ่กวา้ ง โปรง่

ลาต้นและกิ่งอวบน้า เปลือกต้นสีน้าตาลปนเทา เรยี บ ทุกส่วนมีน้ายางสขี าว

ใบ ใบเดยี่ ว เรยี งเวยี นสลับถ่ที ่ีปลายกงิ่ รูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน มลี ักษณะป้อมส้ันกว้าง 10-15 ซม. ยาว

20-35 ซม.ปลายใบเปน็ ต่ิง แหลมโคนใบสอบ แผ่นใบคอ่ นขา้ งหนาและย่นเป็นลอนผวิ ใบดา้ นบน สีเขียวเขม้

เป็นมัน ผวิ ใบดา้ นล่างสีเขียวนวลและมขี นละเอียด ก้านใบอวบยาว 4-8 ซม.

ดอก สเี หลอื ง ชมพู ส้ม แดง ม่วง หรือมหี ลายสีปนกนั ในดอกเดียว มีกลนิ่ หอม ออกเปน็ ช่อแบบชอ่ เชงิ

ลดท่ปี ลายกิ่ง ช่อดอกต้ังยาว 15-25 ซม. ดอกยอ่ ย 8 -16 ดอก กลีบเลย้ี งเชื่อมติดกนั ปลายแยกเป็น 5 แฉก

กลีบดอกโคนเชือ่ มติดกนั เป็นหลอด ภายในมขี น ปลายแยกเป็น 5 แฉก ซ้อนเหลื่อมกนั ปลายกลบี ดอกมีติ่ง

แหลมและโคง้ ออกเลก็ น้อย เกสรเพศผู้ 4-5 อัน เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางดอก 5-7 ซม.

ผล ผลแหง้ แตกตะเขบ็ เดยี ว เป็นฝักคู่ รปู ยาวรี กวา้ ง 1.5 ซม. ยาว 15 ซม. สเี ขียวเขม้ เม่ือสุกสี

นา้ ตาลอมดา เมล็ดแบน และมีปกี เมล็ดสีน้าตาลจานวนมาก ออกดอกติดผลตลอดปี ขยายพนั ธุโ์ ดยการเพาะ

เมลด็ หรอื ปกั ชากิ่งควรปักชาในทราย

การใชป้ ระโยชน์

เปลือกรากใช้เปน็ ยาขับน้าเหลอื ง ยาระบาย เมลด็ ใชเ้ ปน็ ยาห้ามเลอื ด ยาง แกง้ ูสวดั หิด ใชใ้ สแ่ ผล

เอกสารอ้างองิ

กอ่ งกานดา ชยามฤต. (2548). ลักษณะประจาวงศ์พรรณไม้.กรงุ เทพฯ :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์ุพชื .

------------------------. (2549). ลกั ษณะประจาวงศพ์ รรณไม้ 2. กรงุ เทพฯ :
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์ุพชื .

ปา่ ไม้,กรม. (2558). พรรณไม้ในพระราชบญั ญัตสิ วนปา่ (ฉบบั ที่ 2). พ.ศ.2558. ม.ป.ท.
ศริ วิ รรณ สทุ ธจติ ต์. (2550). ผลติ ภัณฑ์ธรรมชาติเพ่อื สุขภาพ. (พมิ พ์ครั้งท่ี 4). กรุงเทพฯ :

บรษิ ัท ส.เอเชียนเพรส (1989) จากดั .
ไทยเกษตรศาสตร.์ (2556).ลั่นทมแดง. สืบค้นเม่อื 19 ตลุ าคม 2564 จาก https://www.thaikasetsart.com.
นัย บารุงเวช. (2562).เทคโนโลยีการเกษตร. สบื ค้น 19 สงิ หาคม 2564 จาก
https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_119025.
MedThai.สมุนไพร : มะเกลือ. สืบคน้ เมื่อ 19 ตลุ าคม 2564. จาก https://medthai.com.
Puechkaset. (2559). มะเกี๋ยง สรรพคุณ และประโยชน์มะเก๋ียง. สบื คน้ เมื่อ 18 ตุลาคม 2564

จาก https://puechkaset.com.

องคประกอบท1่ี
การจดั ทาปายชือ่ พรรณไม

ใบงานที่ 1.1
กาหนดพืน้ ท่ีศึกษา

วัตถปุ ระสงค
1. เพือ่ รูขอบเขต ขนาดพน้ื ที่ทั้งหมดของโรงเรียน
2. เพือ่ รูลักษณะทางกายภาพในโรงเรยี น
3. เพอื่ รูการแบงพน้ื ทเี่ ปนสวนยอยและการจดั การพื้นที่ศกึ ษาในการเขาไปเรยี นรูที่เหมาะสม
คาชแ้ี จง
1. นาพืน้ ทีข่ องโรงเรียนท้งั หมด มาวัดพืน้ ท่ี
2. เรยี นรูลักษณะทางกายภาพ
3. กาหนดขอบเขตพืน้ ทศ่ี ึกษา

ผงั พ้นื ท่ีท้ังหมดของโรงเรียน

สญั ลกั ษณ์ ผังพื้นท่ีทั้งหมดของโรงเรียน

N พืน้ ทีศ่ ึกษา..........................................................
มาตราสว่ น..........................................................
วันที.่ ....................................................................
ผู้ศกึ ษา................................................................

กาหนดขอบเขตพ้นื ทศ่ี กึ ษาไดท้ังหมด6 พื้นท่ี ดงั น้ี

1. พื้นที่ศกึ ษาที่ 1 บริเวณ............................................ ขนาดพน้ื ที่..............................ตารางเมตร
2. พื้นท่ีศกึ ษาที่ 2 บรเิ วณ............................................ ขนาดพ้ืนที่..............................ตารางเมตร
3. พน้ื ท่ีศึกษาที่ 3 บริเวณ............................................ ขนาดพนื้ ท่.ี .............................ตารางเมตร
4. พน้ื ที่ศึกษาที่ 4 บริเวณ............................................ ขนาดพ้ืนท.ี่ .............................ตารางเมตร
5. พื้นที่ศึกษาท่ี 5 บริเวณ............................................ ขนาดพื้นท่ี..............................ตารางเมตร
6. พน้ื ท่ีศึกษาท่ี 6 บรเิ วณ............................................ ขนาดพ้นื ท่ี..............................ตารางเมตร

ใบงานท่ี 1.2
การสารวจพรรณไม

วตั ถปุ ระสงค
1. เพอ่ื ทราบชนิดของพรรณไม
2. เพื่อทราบจานวนตนในแตละชนดิ
3. เพ่ือจาแนกลกั ษณะวิสยั ของพรรณไม ทีส่ ารวจในพนื้ ทีศ่ ึกษา
คาชแ้ี จง
1. ใหสารวจ ชนดิ ของพรรณไมในพืน้ ท่ศี ึกษา
2. ใหจาแนกลักษณะวสิ ัยของพรรณไม ทส่ี ารวจในพ้ืนท่ีศกึ ษา

ตารางการสารวจพรรณไมในพ้นื ทศ่ี ึกษา

ลาดบั ชื่อพรรณไม ลักษณะวิสัย จานวนตน

ตารางการสารวจพรรณไมในพ้ืนทีศ่ กึ ษาในโรงเรยี น

พน้ื ท่ศี ึกษาที่ ..... บรเิ วณ........................................................... ขนาดพน้ื ท.่ี .............................ตารางเมตร

ท่ี ชอื่ พรรณไม้ ลักษณะวิสัย

ไมตน ไมพมุ ไม ไมรอ ไผ เฟรน ปาลม กลวย

เลอ้ื ย เลอ้ื ย ไม้

สรุป จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
1. ไมตน จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
2. ไมพมุ จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนดิ
3. ไมเลอื้ ย จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
4. ไมรอเล้ือย จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
5. ไผ จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
6. เฟรน จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
7. ปาลม จานวน ..................... ตน จานวน .................... ชนิด
8. กลวยไม

ใบงานที่ 1.3
ทาและติดปายรหัสประจาตน

วัตถปุ ระสงค
1. เพอ่ื รูรปู แบบปายรหัสประจาตนตามแบบ อพ.สธ.
2. เพื่อใหเลือกวสั ดทุ าปายรหัสประจาตนท่เี หมาะสม
3. เพ่ือตดิ ปายรหสั ประจาตนใหถูกตอง
คาชแ้ี จง
1. ใหเรยี นรูรูปแบบปายรหัสประจาตนตามแบบ อพ.สธ.
2. ใหเลือกใชวสั ดใุ นการทาปายรหัส
3. ใหนาปายรหัสไปตดิ ประจาตนใหถกู ตอง

วัสด/ุ อุปกรณ ในการทาปายรหสั
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................

ใบงานท่ี 1.4
ตั้งชอ่ื หรอื สอบถามชื่อ และศึกษาขอมูลพน้ื บาน (ก.7-003 หนา ปก - 1)

วตั ถปุ ระสงค
1. เพ่ือรูชือ่ พ้ืนเมืองของพรรณไม
2. เพ่อื รูขอมลู พน้ื บานของพรรณไม
คาชีแ้ จง
1. ใหเรยี นรู สอบถามชอ่ื พืน้ เมอื งของพรรณไม
2. ใหเรียนรู สอบถามขอมลู พื้นบานของพรรณไม้





ใบงานท่ี 1.5
ทาผังแสดงตาแหนงพรรณไม

วตั ถปุ ระสงค
1. เพ่ือรูวธิ ีการหาและบันทึกตาแหนงพิกดั พรรณไม
2. เพอื่ รูความกวางของทรงพุมและจัดทาผงั พรรณไม

คาช้แี จง
1. ใหหาและบนั ทึกตาแหนงพิกดั พรรณไม
2. ใหวดั ความกวางของทรงพุมและจดั ทาผงั พรรณไม้

ตารางพกิ ัดพรรณไม

บรเิ วณพนื้ ที่ศึกษา...................................................... วัน/เดอื น/ป กลมุ ที่..................

จุดอางองิ ................................................................................................................................................

รหัสประจาตน้ ชอ่ื พื้นเมือง พกิ ดั พรรณไม้
คา X คา Y


Click to View FlipBook Version