The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนบูรณาการศิลปะ64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แผนบูรณาการศิลปะ64

แผนบูรณาการศิลปะ64

Keywords: แผนบูรณาการ

(63)

2. ศึกษาธรรมชาติของพรรณไม้
2.1 กาหนดกลุ่มพรรณไม้ ลักษณะวสิ ัยของพรรณไมท้ ี่จะนามาปลูก (ตามจินตนาการ) และ

เลอื กชนิดพรรณไม้ จากที่กาหนดกลุม่ พรรณไม้ ลกั ษณะวสิ ยั และบันทกึ ผล
2.2 เรยี นรูส้ ภาพของชนดิ พรรณไม้ ท่ีอยู่ในธรรมชาติ (ในหรือนอกโรงเรียน) เช่น ปริมาณ

จานวน ความสมบูรณ์ ความไม่สมบูรณ์ของส่วนประกอบต่างๆของพรรณไม้ เปน็ ต้น
2.3 เรียนรสู้ ภาพแวดลอ้ มโดยรอบของชนดิ พรรณไม้ที่อยู่ในธรรมชาติ
2.3.1 สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (ส่งิ ไม่มชี วี ติ เชน่ ดนิ น้า แสง อากาศ เป็นต้น)

เรยี นรู้สภาพธรรมชาติของดนิ นา้ แสง อากาศ เช่น ปริมาณ จานวน ความสมบรู ณ์ ความไมส่ มบูรณ์
2.3.2 สภาพแวดล้อมทางชีวภาพ (สิง่ มีชวี ิต เช่น นก หนอน ผีเสอ้ื เป็นต้น) เรยี นรู้

สภาพ ธรรมชาตขิ องสง่ิ มชี วี ติ เชน่ ความสมั พันธ์ ปรมิ าณ จานวน พฤติกรรม เปน็ ต้น
2.4 รวบรวมข้อมลู และจดั ทารายงานการศึกษาพรรณไมท้ ่จี ะนามาปลูกท่ีอยู่ในสภาพ

ธรรมชาติ

ลาดบั การเรยี นรูท้ ่ี 2
สารวจ ศึกษา วเิ คราะห์สภาพพ้นื ท่ี
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่อื รู้สภาพภมู ิศาสตร์ของพนื้ ทีต่ ามผงั พรรณไม้
2. เพือ่ รูว้ ธิ ีการทาผงั แสดงสภาพภมู ิศาสตร์
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้สภาพภูมิศาสตรข์ องพื้นท่ตี ามผังพรรณไม้
1.1 เรียนรู้วิธกี ารใชว้ ัสดอุ ปุ กรณใ์ นการเก็บข้อมูลทางภูมิศาสตร์
1.1.1 พน้ื ที่ เช่น ตลับเมตร สายยางวดั ระดับน้ า เครื่องมือวัดความสงู (Altimeter)
1.1.2 ดิน เชน่ กระดาษลิสมสั กระดาษยนู ิเวอรเ์ ซลอินดิเคเตอร์ เทอร์โมมิเตอร์
EC-meter Soilmeter
1.1.3 นา้ เชน่ กระดาษลสิ มัส เทอร์โมมิเตอร์ เครื่องมือวัดค่า
OD BOD COD EC-meter
1.1.4 แสง เช่น ลกั ซม์ ิเตอร์
1.1.5 อากาศ เชน่ บาร์รอมิเตอร์ กงั หนั ลม ศรลม กระเปาะเปียกกระเปาะแห้ง
เทอรโ์ มมเิ ตอร์ ไฮโกร - เทอร์โมมิเตอร์ แอนิโมมเิ ตอร์

(64)

(65)

1.2 เรียนรู้วธิ ีการบนั ทกึ ข้อมูลสภาพภูมิประเทศ
1.2.1 พืน้ ท่ี เช่น ความลาดชัน ความสูงต่าของพน้ื ที่ ฯลฯ
1.2.2 ดิน เช่น ชนดิ และโครงสร้างของดนิ เน้ือดนิ การหาความเปน็ กรด-เบส

อณุ หภมู ิ ค่าการนาไฟฟ้า ฯลฯ
1.3 เรียนรู้และบันทึกขอ้ มูลสภาพภมู ิอากาศ
1.3.1 นา้ เช่น การหาความเป็นกรด-เบส อณุ หภมู ิ ปรมิ าณออกซิเจนในน้า

สารละลายในน้า ค่าการนาไฟฟา้ ปริมาณน้าฝน ฯลฯ
1.3.2 แสง เชน่ ความเข้มแสง พนื้ ที่รบั แสง ทิศทางของแสง
1.3.3 อากาศ เชน่ ทศิ ทางลม ความเร็วลม ความชน้ื สัมพทั ธ์ อณุ หภูมิ

1.4 เรียนรู้และบนั ทึกข้อมูลด้านมุมมองของพืน้ ที่
1.4.1 กาหนดตาแหน่งของมมุ มอง จากท้งั ภายในพน้ื ที่ และนอกพ้ืนท่ี
1.4.2 บันทกึ ข้อมลู ส่ิงที่มองเห็นจากมุมมองท่กี าหนด เช่น พรรณไม้ สง่ิ ปลกู สร้าง

ถนน เปน็ ตน้
1.4.3 สรุปขอ้ มลู ในพนื้ ที่ศึกษา

2. เรยี นร้วู ธิ ีการทาผงั แสดงสภาพภูมิศาสตร์
2.1 เรยี นรูอ้ งคป์ ระกอบของผังภูมิศาสตร์ประกอบไปด้วย 3 สว่ น
2.1.1 สว่ นของผงั เชน่ ขอบเขตพ้ืนที่
2.1.2 ส่วนของสัญลกั ษณเ์ ช่น เสน้ จุด ลกู ศร สี
2.1.3 สว่ นของรายละเอยี ด เชน่ ชอื่ ผัง มาตราส่วน ทิศ พื้นที่ศกึ ษา วัน เดือน ปี

ชอ่ื ผู้จดั ทา เป็นต้น
2.2 เรียนรู้การนาข้อมูลจากการสารวจและบันทกึ มาจัดทาเปน็ ผงั ภมู ศิ าสตร์แสดงข้อมลู

ของดิน นา้ แสง อากาศ และมุมมอง เป็นตน้

(66)

(67)

ลาดับการเรียนรทู้ ่ี 3
พิจารณาคุณ สุนทรยี ภาพของพรรณไม้
วัตถุประสงค์
1. เพอ่ื รู้คุณคา่ และประโยชนข์ องพรรณไม้
2. เพอ่ื ร้สู นุ ทรียภาพของพรรณไม้
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นรคู้ ุณคา่ และประโยชน์ของพรรณไม้
1.1 เรียนร้คู ณุ ค่าของพรรณไม้
1.1.1 เรียนรพู้ รรณไมแ้ ละความสมั พันธข์ องพรรณไม้กบั ปัจจยั กายภาพและ
ชีวภาพทเี่ ขา้ มา เก่ียวข้องกบั พรรณไม้
1.1.2 เรียนร้พู รรณไมแ้ ละความสาคญั ของพรรณไม้
1.2 เรียนรปู้ ระโยชนข์ องพรรณไม้ โดยนาสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของพชื มาใช้ประโยชน์
ดา้ นอาหาร ทอ่ี ยู่อาศัย เครื่องนุ่งหม่ และ ยารักษาโรค
2. เรยี นรู้สนุ ทรียภาพของพรรณไม้
2.1 เรยี นรคู้ วามงามของพรรณไม้ เช่น ความกลมกลนื ความเดน่ ความสมดุล
สนุ ทรยี ภาพ พิจารณาความงามของพรรณไม้ในดา้ นรูปลักษณ์ คณุ สมบตั ิ พฤติกรรม เป็นต้น
1. สัดสว่ น (proportion) สดั สว่ นเปน็ เร่ืองท่ีเก่ยี วกับ ขนาด พื้นท่ี และปริมาณของส่วน
ตา่ ง ๆ ในภาพรวม ทาให้เกดิ ความสวยงาม
2. ความกลมกลืน (harmony) เป็นความพอเหมาะพอดีขององค์ประกอบความกลมกลนื
จากการทาเป็น รูปซา้ ๆ กัน สสี นั ผวิ สมั ผัส ช่องวา่ ง รปู ทรงที่คลา้ ยกัน
3. ความเดน่ (dominant point) จดุ รวมหรอื ดงึ ดูดสายตา เป็นจุดท่ีส่งเสรมิ ความงาม
เช่น นา้ พุ รปู ปนั้ นา้ ตก กอ้ นหนิ พนั ธไ์ุ ม้ที่มรี ูปทรงสวยงาม
4. ความตา่ ง(contrast) การจัดสวนใหเ้ กดิ ความแตกต่างทาไดห้ ลายลกั ษณะ เชน่ ความ
แตกตา่ งของ รปู ทรง สี เสน้ แสง เงา สดั สว่ น ชอ่ งวา่ ง จังหวะ ความแตกตา่ งของพรรณไม้

(68)

ลาดับการเรยี นรู้ท่ี 4
กาหนดการใชป้ ระโยชนใ์ นพ้ืนที่
วัตถปุ ระสงค์
1. เพื่อรกู้ ารจนิ ตนาการของการใช้ประโยชนใ์ นพ้นื ที่
2. เพือ่ รสู้ ดั สว่ นการใชป้ ระโยชน์ในพ้ืนท่ีอย่างเหมาะสม
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรูก้ ารจินตนาการการใช้ประโยชนใ์ นพนื้ ท่ี
1.1 เรียนร้กู ารก าหนดการใช้ประโยชน์ จากข้อมูลสภาพภมู ศิ าสตร์และธรรมชาติของ
พรรณไม้
1.2 เรยี นร้กู ารสรปุ จนิ ตนาการประกอบเหตผุ ลสนบั สนนุ จินตนาการน้นั ๆ
2. เรยี นรูส้ ดั ส่วนการใชป้ ระโยชน์ในพ้ืนทีศ่ ึกษาอยา่ งเหมาะสม
2.1 เรยี นรู้การน าข้อมลู ที่ได้จากการสรปุ จินตนาการ มาก าหนดสัดสว่ นการใช้
ประโยชนใ์ นพื้นท่ีศกึ ษา
2.2 เรียนรู้การทาผงั กาหนดการใช้ประโยชนใ์ นพน้ื ที่ศึกษาแสดงรายละเอยี ดขนาด
พืน้ ที่ การใช้ ประโยชน์ เช่น บริเวณที่ 1 ไม้พมุ่ ขนาดพนื้ ท่ี 15 ตร.ม.

(69)

ลาดับการเรียนรู้ท่ี 5
กาหนดชนิดพรรณไม้ทจี่ ะปลูก
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพอ่ื รู้การกาหนดชนิดพรรณไม้ทจี่ ะปลูกใหเ้ หมาะสมกับการใช้ประโยชนใ์ นพนื้ ท่ี
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรยี นรกู้ ารกาหนดชนิดพรรณไม้ที่จะปลกู ให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชนใ์ นพื้นที่
1.) เรยี นรูก้ ารกาหนดชนิดพรรณไม้ท่ีจะปลกู ทีส่ อดคล้องผังกาหนดการใช้ประโยชน์
ในพืน้ ท่ี เช่น บริเวณที่ 1 ไมพ้ ุ่ม ขนาดพนื้ ที่ 15 ตร.ม. กาหนดชนิดพรรณไม้เปน็ แกว้ จานวน 10 ตน้
1.2 เรียนรูว้ สั ดปุ ลูกทีเ่ หมาะสมกับพรรณไม้ท่ีจะปลูก เชน่ ดนิ ป๋ยุ แกลบ ขยุ มะพร้าว
เปน็ ต้น

พน้ื ทศี่ ึกษาท่ี 14 โรงเรียนอนุรกั ษพ์ ฒั นา จงั หวัดกรุงเทพมหานคร
กล่มุ ที่ 1 วนั / เดอื น/ ปี 20 กรกฎาคม 2560

บริเวณ/ สดั สว่ น แนวคดิ การ ชนิด การนาไปใช้ วสั ดปุ ลูก

จินตนาการ การใชพ้ ้นื ที กาหนดชนิด พรรณไมท้ ่จี ะ ประโยชน์ (ดนิ ปลกู /

การใช้ พรรณไม้ ปลกู ภาชนะปลูก)

ประโยชน์ในพ้ืน

ที

บรเิ วณท่ี 3 18 ตร.ม. โลง่ เรยี บ -ทากจิ กรรม 1.พน้ื ดาดแข็ง

ลาน กล่มุ 10-20 คน

อเนกประสงค์

บรเิ วณท่ี 4 ไม้ 20 ตร.ม. จัดแนวไม้พุ่ม 1.หญา้ แฝก -ป้องกันการ 1.หญ้าแฝก

พุม่ ใบแน่น ตามขอบถนน พังทลายของดนิ (สัดสว่ น 1 : 1)

ดนิ รว่ น : ปุ๋ย

หมกั

ภาพท่ี 3.100 ตัวอย่างการบันทึกข้อมูล กาหนดชนดิ พรรณไมท้ ่จี ะปลูก

(70)

ลาดบั การเรียนรู้ที่ 6
ทาผงั ภูมทิ ัศน์

วัตถุประสงค์
1. เพ่อื รู้รปู แบบและวธิ ีการจัดทาผังภมู ิทัศน์

กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรรู้ ปู แบบการทาผังภูมิทัศน์
1.1. รปู แบบผงั แสดงผงั ทม่ี องจากมมุ มองดา้ นบน (Top view)
1.2 รปู แบบภาพ แสดงทัศนียภาพ (Perspective) รูปด้าน (elevation) รปู ตดั (section)
2. เรียนรวู้ ธิ ีการจัดทาผงั ภูมิทศั น์
2.1 กาหนดขอบเขตพ้นื ทจ่ี ัดทาผงั ภูมทิ ศั น์
2.2 กาหนดรายละเอียดการปลกู พรรณไม้ เช่น กาหนดตาแหนง่ พรรณไม้ทจ่ี ะปลกู

ชอื่ พรรณไม้ ขนาดและความสงู ของตน้ ระยะปลูก จานวนตน้ ฯลฯ

(71)

ลาดับการเรยี นรทู้ ่ี 7
จัดหาพรรณไม้ และวัสดุปลูก
วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือร้วู ธิ ีการในการจัดหาพรรณไม้
2. เพือ่ รู้วิธกี ารจัดหาวัสดุปลกู
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นร้วู ิธีการในการจดั หาพรรณไม้โดยการหาวธิ กี ารขยายพนั ธไุ์ ม้ทไ่ี ด้จากการจัดหามาปลูก ตามผัง
ภูมิทัศน์ให้เหมาะสมกับสภาพพรรณไม้แต่ละชนิด และเหมาะสมกับสภาพพ้ืนที่ท่ีจะปลูก โดยทาการบันทึก
ข้อมูลและวิเคราะห์ข้นั ตอนวธิ กี ารปลกู แตล่ ะวิธีของพรรณไมแ้ ตล่ ะชนดิ พร้อมระบุจานวนตน้
1.1 การมสี ่วนรว่ ม ชุมชน หน่วยงาน ผู้ปกครอง ฯลฯ คอื บุคคลท่ีมสี ่วนร่วมในการ
สนบั สนนุ ต้นไม้ ตา่ ง ๆ ตามท่ีได้กาหนดจากผังภูมิทัศน์ โดยแสดงถึงท่ีมาของพรรณไม้ที่ได้จัดหามา พร้อมระบุ
ชนดิ และจานวนที่ ปลกู ตามแบบผงั ภมู ทิ ัศน์
1.2 การขยายพันธ์ุ การตอน การปกั ช า การเพาะเมล็ด การตดิ ตา ฯลฯ คอื การกาหนด
วิธีการ ขยายพันธด์ุ ้วยวิธีตา่ ง ๆ ของพรรณไม้แตล่ ะชนดิ
2. เรยี นรูว้ ิธกี ารจัดหาวัสดุปลูก
2.1 เรียนรปู้ ระเภทวัสดปุ ลกู เช่น ดิน เปลือกมะพรา้ ว ขุยมะพรา้ ว ข้ีเถา แกลบ
ปุ๋ยคอก ฯลฯ
2.2 เรยี นรู้การเตรยี มวัสดุปลกู เช่น การกาหนดอตั ราส่วนผสมของวสั ดุปลูก
และหน่วยงานต่าง ๆ

(72)

ลาดบั การเรยี นรูท้ ี่ 8
ปลูกพรรณไมเ้ พิ่มเติม
วัตถุประสงค์
1. เพ่อื รวู้ ิธกี ารปลกู พรรณไม้
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนร้วู ธิ กี ารปลกู พรรณไม้ตามผงั ภมู ิทศั น์
1.1 การเตรียมหลุมปลูก แปลงปลกู เปน็ การเตรียมพ้ืนที่ศกึ ษาตามผังภูมิทัศน์ใหเ้ หมาะสม
กับชนดิ พรรณไม้ท่จี ดั หามาได้ โดยระบุและบนั ทึกข้อมูล ขั้นตอนการปลูกพันธไุ์ มช้ นิดต่าง ๆ ตามผังภูมิทัศน์
1.2 การปลกู แบบสลับ แบบแถว แบบคละ
1.3 การคา้ ยนั พรรณไม้ทีป่ ลกู

(73)

ลาดบั การเรยี นรทู้ ี่ 9
ศกึ ษาพรรณไม้หลังการปลกู
วตั ถุประสงค์
1. เพื่อรขู้ ้อมูลพรรณไม้หลังการปลูก
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้ บันทกึ การดูแลรักษา
1.1 การให้น้า
1.2 การให้ปยุ๋
1.3 การตัดแตง่
1.4 การพรวนดนิ โดยบันทึกข้อมลู การดูแลรักษาดว้ ยวิธีต่างๆ ระบจุ านวนครัง้ ในแต่ละ
ชว่ งเวลา เชน่ รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ของพรรณไม้ทกุ ชนดิ ท่ีปลูกแล้วตามผังภมู ิทศั น์
2. เรยี นรู้ บันทึก การเปล่ียนแปลง การเจริญเติบโตของราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมล็ด ของพรรณไม้
ท่ี ปลกู โดยเริ่มบันทึกขอ้ มลู พรรณไมต้ ้งั แต่เรม่ิ มกี ารเปลี่ยนแปลงในแตล่ ะช่วงระยะเวลา เชน่ การวดั ขนาด นับ
จานวน การเปล่ียนแปลงของสีความสูง เปน็ ตน้
3. เรยี นรู้ บนั ทึก ความสัมพันธ์ระหวา่ งปัจจัยท่ีเก่ยี วข้องกับพืชทป่ี ลูกมีความสมั พันธก์ ับพืชทป่ี ลูก
อย่างไร เชน่ พืช : สงิ่ มชี วี ติ (พืช, สัตว,์ ชวี ภาพอื่น ๆ ไดแ้ ก่ เห็ด รา สาหรา่ ย ไลเคน พืช : กายภาพ (น้า, แสง,
อากาศ, ส่ิงปลูกสรา้ งต่างๆ พรอ้ มแสดงภาพและผู้บนั ทึก
3.1 เรียนรู้ปจั จัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ปจั จัยหลกั ปัจจยั รอง ปัจจัยเสริม และปจั จัยประกอบ
3.2 เรยี นรคู้ วามสัมพันธ์ระหว่างปัจจยั
4) เรียนรู้ บนั ทึก คุณ สนุ ทรยี ภาพของพรรณไม้
4.1 เรียนรู้คณุ ทเี่ กดิ แกส่ รรพสตั ว์ แกค่ น แก่สถานศึกษา จากพรรณไม้ทีป่ ลูก
4.2 เรยี นร้สู ุนทรยี ภาพของพรรณไม้ท่ีปลกู
4.2.1 ศึกษาและบนั ทึกความงามของพรรณไม้ เชน่ ความกลมกลนื ความเด่น
ความสมดลุ เป็นต้น
4.2.2 สรปุ ข้อมลู สุนทรียภาพของพรรณไมแ้ ตล่ ะชนดิ (รวมถงึ พรรณไม้ทป่ี ลกู ตาม
ผังภูมิทศั น)์

(74)

ผลที่คาดวา่ จะได้รับ
ด้านวชิ าการ

1. การคดิ วเิ คราะหอ์ ยา่ งเปน็ ระบบ เช่น การวางแผนการปฏิบัตงิ าน การออกแบบตาราง บนั ทกึ
2. ภูมิศาสตร์เชน่ การวเิ คราะห์สภาพพ้นื ท่ี
3. สงั คมศาสตรเ์ ช่น การท างานรว่ มกนั ความสัมพนั ธก์ บั ชุมชน
4. การออกแบบภูมิทศั น์ เช่น หลกั การออกแบบ องค์ประกอบของศิลปะ
5. เกษตรศาสตร์เชน่ การขยายพันธ์ุพืช การปลกู การดูแลรักษาพรรณไม้
6. พฤกษศาสตร์ เชน่ โครงสรา้ งของพืช ลกั ษณะพรรณไม้
7. นิเวศวิทยา เชน่ ระบบนิเวศน์ ลักษณะพื้นที่ ความสมั พันธ์ระหวา่ งปัจจัย วฏั จกั ร หว่ งโซ่ อาหาร
ดา้ นภูมิปัญญา
1. การประยกุ ต์ใชว้ ัสดตุ ่าง ๆ ในการวเิ คราะห์พน้ื ที่ การปลูก
2. การจดั หา การปลกู การขยายพันธ์ุพชื การดแู ลรักษา และการจัดการ
3. ภมู ปิ ญั ญาที่เกยี่ วข้องกบั พืชพรรณ
ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม
1. ความอดทน
2. ความขยันหมั่นเพียร
3. การอยรู่ ่วมกนั อยา่ งเอ้อื อาทรตอ่ กนั
4. เมตตา กรุณา ต่อสตั ว์และส่งิ ตา่ ง ๆ
5. ความรับผิดชอบ โดยฝึกให้ดแู ลต้นไม้
6. การยอมรับความคดิ เห็นของผู้อื่น ความมเี หตุ มผี ล

(75)

องคป์ ระกอบท่ี 3 การศกึ ษาข้อมูลดา้ นต่าง ๆ
หลักการ รูก้ ารวเิ คราะห์ เหน็ ความตา่ ง รูค้ วามหลายหลาก
สาระการเรียนรู้

การศึกษาข้อมลู ด้านตา่ งๆ ทางดา้ นข้อมูลพื้นบา้ น ขอ้ มลู พรรณไม้ การสืบคน้ ขอ้ มลู ด้านพฤกษศาสตร์
การศกึ ษาพรรณไม้ที่สนใจอย่างละเอยี ดท้ังโครงสร้างภายนอกและภายใน การก าหนดเรื่องทจ่ี ะเรียนรใู้ น
องคป์ ระกอบสว่ นยอ่ ยของพรรณไมท้ ีส่ นใจ และเปรยี บเทียบความตา่ งแตล่ ะเรื่องกับพืชชนดิ เดยี วกัน โดยมกี าร
ตรวจสอบผลงานเปน็ ระยะ
ลาดับการเรยี นรู้

1. ศกึ ษาพรรณไมใ้ นสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน (ก.7-003) ครบตามทะเบยี นพรรณไม้
1.1 มสี ว่ นรว่ มของผู้ศึกษา
1.2) ศกึ ษาข้อมูลพน้ื บา้ น
1.3) ศึกษาข้อมลู พรรณไม้
1.4 สรุปลักษณะและข้อมลู พรรณไม้
1.5 สบื ค้นขอ้ มลู พฤกษศาสตร์
1.6 บนั ทึกข้อมลู เพ่ิมเติม
1.7 ตรวจสอบผลงานเป็นระยะ
1.8 ความเปน็ ระเบยี บ ความตง้ั ใจ

2. ศึกษาพรรณไม้ท่สี นใจ
2.1 ศึกษาลักษณะภายนอก ภายในของพืชแต่ละส่วนโดยละเอียด
2.2 กาหนดเรอื่ งทจี่ ะเรยี นรู้ในแต่ละส่วนของพชื
2.3 เรียนรู้แตล่ ะเรอ่ื ง แต่ละส่วนขององคป์ ระกอบย่อย
2.4 นาขอ้ มูลมาเปรียบเทยี บความต่างในแตล่ ะเร่ือง ในชนิดเดียวกัน

อธบิ ายลาดับการเรียนรู้
ลาดบั การเรยี นรู้ท่ี 1
ศึกษาพรรณไม้ในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน (ก.7-003) ครบตามทะเบียนพรรณไม้
วตั ถุประสงค์
1. เพ่ือรขู้ ้อมลู และลักษณะพรรณไมแ้ ตล่ ะต้นในพนื้ ทศ่ี ึกษาถูกต้องและชดั เจน
กระบวนการเรียนรู้
1. มีสว่ นรว่ มของผูศ้ ึกษา (หนา้ ปก)
1.1 แบ่งกลมุ่ ผูศ้ กึ ษา
1.1.1 โดยผู้ศกึ ษามสี ่วนร่วมทั้งโรงเรียน

(76)

1.1.2 โดยผู้ศกึ ษามสี ว่ นรว่ มในกลุ่มย่อยให้เหมาะสมกบั ระดับการเรียนรู้โดยมผี ู้ศึกษา และผู้
รว่ มศกึ ษา พร้อมระบหุ นา้ ท่ีให้ชดั เจน

1.2 แต่ละกลุ่มเลอื กพรรณไม้ในพนื้ ท่ีศึกษากลมุ่ ละ 1 ตน้
1.3 ศกึ ษาและบันทึกผล

1.3.1 ชอ่ื พนั ธุไมใ้ ห้บันทึกชื่อพน้ื เมอื ง ในระดับท้องถนิ่
1.3.2 รหสั พรรณไม้ใหเ้ ขยี นตามรูปแบบ อพ.สธ.
1.3.3 ภาพวาดทางพฤกษศาสตรโ์ ดยวาดลกั ษณะวสิ ยั ใหเ้ ห็นโครงสร้างของพืชตัง้ แตร่ ะดับโคน
ต้นถึงปลายยอด มมี าตราส่วนกากบั
1.3.4 บริเวณทีส่ ารวจ บันทกึ ช่ือพ้นื ที่ศกึ ษาที่ทาการสารวจ
1.3.5 วันทสี่ ารวจ บนั ทกึ วนั ท่ีเริ่มศึกษา
1.3.6 ผสู้ ารวจและผ้รู ว่ มสารวจ เขียนชอื่ -สกุล ระบรุ ะดับชั้น ถา้ สมาชิกเกินจานวนท่กี าหนดไว้
ให้นาไปเขยี นทห่ี ลงั ปกหน้า
1.3.7 ทอ่ี ยู่สถานศกึ ษา บนั ทกึ ที่อย่สู ถานศึกษา โดยระบุ ชื่อโรงเรยี น ถนน ตาบล อาเภอ
จังหวดั และรหสั ไปรษณีย์
2. ศึกษาขอ้ มลู พ้นื บา้ น (หนา้ ท่ี 1)
2.1 เรียนรู้ทกั ษะการตั้งค าถามและสอบถามจากผรู้ ู้
2.2 สอบถามชอ่ื พ้ืนเมืองจากผรู้ ู้ในท้องถ่นิ
2.3 ไมท่ ราบชอ่ื พ้นื เมืองต้งั ช่ือเองได้
2.4 สอบถามและบันทึกข้อมูลการใช้ประโยชน์จากส่วนตา่ งๆ ของพรรณไม้ ด้านอาหาร ยารกั ษา
โรค ก่อสรา้ งเคร่ืองเรือน เครื่องใช้ ยาฆา่ แมลง ยาปราบศัตรพู ชื ความเกี่ยวข้องกับประเพณี วฒั นธรรม หรือ
ความเชอ่ื ทางศาสนา อน่ื ๆ (เชน่ การเปน็ พษิ อนั ตราย) และบนั ทกึ ช่ือ อายุ ท่ีอย่ผู ใู้ หข้ ้อมูล วันท่ี สถานท่ี
บันทึก
3. ศึกษาข้อมูลพรรณไม้ (หน้าท่ี 2–7)
3.1 ศึกษาลักษณะวิสยั และบนั ทึกลงในแบบศึกษาพรรณไม้
3.2 วดั ความสูง และความกว้างทรงพมุ่
3.3 ศกึ ษาสภาพแวดลอ้ มและแหลง่ ที่อยู่ของพรรณไม้
3.4 ศกึ ษาลักษณะภายนอกของลาต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด แล้วบนั ทึกลงในแบบศกึ ษาพรรณไม้
3.5 วาดภาพส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของพรรณไม้ ได้แก่ ลาต้น ใบ ดอก ผล และเมลด็ โดยมมี าตรา
สว่ นกากบั
4. สรุปลกั ษณะและขอ้ มลู พรรณไม้
4.1. บันทึกช่ือพืน้ เมืองและรหัสพรรณไม้ (จากหน้าปก)
4.2. นาขอ้ มลู หนา้ ที่ 2–7 เขียนเป็นความเรยี งในย่อหนา้ ที่ 1
4.3. นาข้อมูลหน้าที่ 1 เขียนเปน็ ความเรียงในยอ่ หน้าท่ี 2

(77)

5) สบื คน้ ขอ้ มลู พฤกษศาสตร์(หนา้ ท่ี 9)
5.1) หลักการสบื ค้นข้อมูลพรรณไม้จากเอกสาร ส่อื อิเล็กทรอนิกส์
5.2) นาขอ้ มลู ทส่ี รปุ ในหน้าที่ 8 เปรยี บเทยี บกับข้อมลู ที่ไดจ้ ากการสบื คน้
5.3) ตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมลู เพื่อบนั ทึกขอ้ มลู พฤกษศาสตรใ์ ห้ชดั เจน
5.4) บนั ทกึ ข้อมูล: ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์ ชือ่ สามญั ชอ่ื พน้ื เมืองอื่นๆ ถน่ิ กาเนิด การกระจายพนั ธ์ุ

นเิ วศวทิ ยา เวลาออกดอก เวลาตดิ ผล การขยายพันธุ์ การใชป้ ระโยชน์ ประวัตพิ ันธไุ์ ม้ และเอกสารอ้างองิ
6. บันทกึ ขอ้ มูลเพ่มิ เติม (หน้าที่ 10)
6.1 สบื คน้ ศกึ ษา หรอื สอบถามข้อมูลต่าง ๆ ท่ีไม่มีการบันทึกในหน้าท่ี 1 – 9
6.2 บนั ทึกข้อมลู เพิ่มเติม เช่น ประวัตกิ ารนาเขา้ มาปลูกในโรงเรยี น เวลาการออกดอกการติดผลนอก

ฤดกู าล หรอื อืน่ ๆ
7. ตรวจสอบผลงานเปน็ ระยะ
7.1 ตดิ ตามความก้าวหนา้ ในการเรียนรู้ ตรวจสอบใหค้ าแนะน า ลงลายมือชือ่ ผู้ตรวจ ระบุวันที่
8. ความเป็นระเบยี บ ความตงั้ ใจ
8.1 ทาเครอื่ งหมายหรือสัญลกั ษณใ์ นการบนั ทกึ ข้อมลู เปน็ รปู แบบเดยี วกนั ทง้ั เล่ม
8.2 บันทึกข้อมลู ในแต่ละหนา้ แสดงถึงความตั้งใจ เช่น ความสวยงามของตัวหนงั สอื ความเปน็

ระเบียบในย่อหนา้ ในหนา้ ท่ี 8 ความสะอาดในการบนั ทึก ไมต่ กแต่ง ไม่วาดภาพเพ่ิมเตมิ

ลาดบั การเรียนรูท้ ี่ 2 ศกึ ษาพรรณไมท้ ่สี นใจ (พืชศกึ ษา)
วัตถุประสงค์

1. เพอ่ื รโู้ ครงสร้างภายนอก ภายใน ของพชื แตล่ ะส่วนโดยละเอียด
2. เพ่ือรวู้ ิธกี ารกาหนดเร่ืองที่จะเรียนรู้
3. เพือ่ รู้วธิ กี ารเรยี นรู้
4. เพอ่ื รูว้ ิธกี ารวธิ ีการเปรยี บเทียบ
กระบวนการเรียนรู้
1. ศกึ ษาลักษณะภายนอก ภายในของพืชแตล่ ะสว่ นโดยละเอียด

1.1 ศึกษาลักษณะภายนอก
1.1.1 สังเกต บนั ทึกและวาดภาพ ให้ครบทัง้ ต้น พรอ้ มระบสุ ่วนประกอบของพชื ศึกษาในโรงเรยี น

(78)
ดอก ผล และเมลด็ พร้อมระบมุ าตราส่วน

(79)

1.2 ศึกษาลกั ษณะภายใน
1.2.1 สงั เกต บันทึก วาดภาพหรอื ถา่ ยภาพลกั ษณะภายในของ แตล่ ะสว่ นประกอบ ไดแ้ ก่ ราก

ลาต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ด โดยบนั ทกึ ข้อมูลทีส่ งั เกตเหน็ ภายใต้กล้องจุลทรรศนเ์ ชน่ รปู ร่าง รปู ทรง สี ขนาด
พรอ้ มระบชุ อ่ื สว่ นประกอบ และมาตราสว่ น

(80)

2. กาหนดเรอื่ งท่จี ะเรยี นรูใ้ นแต่ละสว่ นของพชื
2.1 วเิ คราะห์ส่วนประกอบของพืชท้ังภายนอกและภายในของพืช โดยแยกโครงสรา้ งท่สี ังเกตเหน็ ใน

แตล่ ะสว่ นประกอบ (ราก ล าตน้ ใบ ดอก ผล และเมล็ด)
2.2 กาหนดเรื่องที่จะเรยี นรเู้ ปน็ การกาหนดหวั ข้อเรือ่ งเรยี นรู้ กบั ข้อมูลการสารวจโครงสรา้ งแต่ละ

สว่ นของพืชอยา่ งละเอียด
2.2.1 กาหนดเรอ่ื งทจ่ี ะเรยี นรู้ในแตล่ ะสว่ นประกอบย่อยของพืช ได้แก่ รูปร่าง รูปทรง
2.2.2 กาหนดเรือ่ งให้ครบทุกสว่ นของพชื ได้แก่ ราก ล าต้น ใบ ดอก ผล และเมล็ดสี ผวิ เนอ้ื

ขนาด ตวั อย่างเชน่ รูปร่างแผ่นใบดา้ นบนตอนโคน

(81)

4. การเรียนรู้แตล่ ะเร่ือง แตล่ ะสว่ นขององค์ประกอบย่อย
4.1 เรยี นร้แู ตล่ ะเร่อื งท่ีได้วางแผน ออกแบบ การจดั การเรียนร้ตู ามขน้ั ตอน
4.2 บนั ทึกข้อมูลผลการเรยี นรูแ้ ตล่ ะเร่ือง โดยแสดงขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการเรียนรูเ้ น้นความกระชับ

เข้าใจงา่ ย โดยบันทึกได้ทง้ั บรรยาย ตาราง กราฟ และรูปภาพ
4.3 สรปุ และเรยี บเรียง ผลการเรยี นร้แู ต่ละเร่ือง และแต่ละส่วนประกอบของพืช คือ การนาผลการ

เรียนร้กู ารสรุปสนั้ ๆ โดยเนน้ ยา้ ถึงผลการเรียนรู้ท่สี าคัญ เด่น และน่าสนใจ หรือผลการเรียนรู้ท่เี กดิ ขึ้นแปลก
ใหม่ ควรเปน็ ขอ้ ความที่ไมซ่ ้าไปซ้ามา

(82)

5. นาขอ้ มูลมาเปรยี บเทยี บความต่างในแต่ละเรอื่ ง ในชนิดเดียวกัน เปน็ การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้
ระหว่างตัวอย่างท่นี ามาศกึ ษา (สว่ นประกอบพชื ศึกษา) ท่นี ามาเรียนรู้ในเรื่องเดียวกนั ซง่ึ เปน็ การระบุเหตผุ ลวา่
ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการเรียนรู้เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ทีต่ ั้งไว้หรอื ไม่ ซง่ึ เปน็ การอธิบายขยายความจากผลการเรยี นรู้
ท่แี สดงจดุ สนใจ เพ่ือชนี้ าใหเ้ ข้าใจวัตถปุ ระสงค์ โดยเน้นแปลความหมาย

5.1 เปรียบเทยี บเร่อื งเดียวกนั สว่ นประกอบยอ่ ยเดียวกนั หรือตา่ งส่วนประกอบยอ่ ย
5.2 สรุปผลการเปรยี บเทยี บวา่ เหมอื นหรือต่างกันอย่างไร

(83)

ผลที่คาดว่าจะไดร้ ับ
ด้านวิชาการ

1. สัณฐานวทิ ยา เชน่ โครงสร้างภายนอก
2. กายวภิ าควทิ ยา เชน่ โครงสรา้ งภายใน
3. พฤกษศาสตร์ เช่น ขอ้ มลู ลักษณะพรรณไม้ ช่อื วิทยาศาสตร์ ชอื่ วงศ์
4. วิทยาศาสตร์ เชน่ การวเิ คราะห์ การบันทกึ สังเกต ทกั ษะการใช้เครื่องมือ
5. ภาษา เช่น การสอ่ื สาร การใช้ภาษาในการเรียบเรียงขอ้ มลู การก าหนดค า
6. ศิลปะ เชน่ การวาดภาพ
ดา้ นภูมิปญั ญา
1. การจดั เกบ็ ข้อมูลพืน้ บ้าน
2. การใช้เครื่องมือในการศกึ ษาข้อมลู
3. การวางแผนการปฏบิ ัตงิ าน
คุณธรรมและจริยธรรม
1. ความรบั ผิดชอบในการปฏบิ ตั ิงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
2. ความซื่อตรง ในการศกึ ษาและรายงานผลทีถ่ ูกต้องเปน็ จริง
3. ความมีระเบยี บ รอบคอบ ละเอยี ด ถ่ีถ้วน ในการปฏบิ ัติงาน
4. ความอดทนต่อสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงาน
5. ความสามัคคี
6. ความเออ้ื เฟ้อื เผ่ือแผ่
7. มนษุ ยสัมพันธ์

(84)
องคป์ ระกอบท่ี 4
การรายงานผลการเรียนรู้
หลักการ รสู้ าระ รสู้ รปุ รสู้ อื่
สาระการเรียนรู้
การรายงานผลการเรยี นรู้ ท่ีได้จากการรวบรวมผลการเรียนรู้ คดั แยกสาระสาคญั จัดหมวดหมู่ จัดระบบ
ข้อมูล และการเขียนรายงานในรูปแบบวิชาการและแบบบูรณาการ โดยใช้ภาษาส่ือที่กระชับ ได้ใจความ
รวมถงึ วธิ กี ารรายงานในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังแบบเอกสารแบบบรรยาย แบบศิลปะ และแบบนิทรรศการ เป็นตน้
ลาดับการเรียนรู้
1. รวบรวมผลการเรียนรู้
2. คดั แยกสาระสาคัญ และจัดใหเ้ ปน็ หมวดหมู่
2.1. วิเคราะห์ เรียบเรียงสาระ
2.2. จัดระเบียบข้อมลู สาระแต่ละด้าน
2.3. จดั ลาดบั สาระหรือกลุม่ สาระ
3. สรปุ และเรยี บเรยี ง
4. เรียนรรู้ ปู แบบการเขียนรายงาน
4.1 แบบวชิ าการ
4.2 แบบบรู ณาการ
5. กาหนดรปู แบบการเขยี นรายงาน
6. เรยี นรู้วธิ กี ารรายงานผล
6.1 เอกสาร เชน่ หนงั สอื แผ่นพับ
6.2 บรรยาย เชน่ การเลา่ นิทาน อภิปราย สัมมนา
6.3 ศลิ ปะ เชน่ การแสดงศลิ ปะพื้นบ้าน ละคร รอ้ งเพลง ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์
6.4 นทิ รรศการ
7. กาหนดวิธีการรายงานผล

(85)

อธิบายลาดบั การเรียนรู้
ลาดับการเรียนรูท้ ่ี 1 รวบรวมผลการเรียนรู้
วัตถุประสงค์
1. เพ่อื รแู้ หลง่ เรียนรูแ้ ละที่มาของผลการเรยี นรู้
2. เพอื่ รู้วิธีการรวบรวมผลการเรียนรู้
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรู้แหล่งเรยี นรูต้ า่ ง ๆ ภายในสถานศกึ ษา ตวั อยา่ งเชน่ พน้ื ท่ีศึกษา ห้องสวนพฤกษศาสตร์
โรงเรียน ห้องสมุด เวบไซต์ ฯลฯ ที่รวบรวมผลการเรียนรู้จากงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น
2. เรยี นรูว้ ิธีการรวบรวมผลการเรียนรู้
2.1. รวบรวมผลทีไ่ ด้จากการเรียนร้ใู นองค์ประกอบท่ี 1, 2, 3 พืชศึกษา และ 3 สาระการเรยี นรู้
2.2 สรปุ ผลไดจ้ ากการเรยี นรู้เชน่ ผลงาน ชนิ้ งาน ฯลฯ
ใบงานท่ี 1.2 การรวบรวมผลการเรยี นรูจ้ ากเอกสาร ก.7-003
คาชี้แจง รวบรวมผลการเรยี นรู้จากเอกสาร ก.7-003 ในแตล่ ะหนา้ (หนา้ ปก และหน้าท่ี 1-10 ใหค้ รบถ้วน
และชดั เจนย่งิ ขึ้น
ตัวอยา่ ง

บนั ทึกผล
ชือ่ พืช .............................................

(86)

ลาดับการเรยี นรู้ท่ี 2
คดั แยกสาระสาคัญและจัดใหเ้ ปน็ หมวดหมู่
วัตถปุ ระสงค์
1. เพือ่ รูว้ ธิ กี ารคัดแยกสาระสาคัญ
2. เพอื่ รวู้ ธิ ีการจัดหมวดหมู่
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นร้วู ธิ กี ารคัดแยกสาระสาคญั
1.1 วิเคราะห์ผลการเรยี นรู้โดยพิจารณาสาระสาคัญ เปน็ สาระหลกั สาระรอง สาระย่อย และสาระ
ประกอบ
1.1.1 สาระหลัก คือ ส่ิงทจี่ ะรายงาน
1.1.2 สาระรอง คอื สิ่งทจี่ ะหนุนให้สาระหลกั มีนา้ หนัก นา่ เชือ่ ถอื มากข้ึน
1.1.3 สาระย่อย คือ ส่ิงที่ทาให้ สาระหลัก สาระรอง มีความน่าสนใจย่ิงขึน้
1.1.4 สาระประกอบ คือ สง่ิ ทท่ี าให้ สาระหลัก สาระรอง และสาระย่อย มีความนา่ สนใจย่ิงขึน้
2. เรยี นรูว้ ธิ กี ารจัดใหเ้ ปน็ หมวดหมู่
2.1 นาสาระส าคญั ท่ผี ่านการวิเคราะห์มาจัดเป็นหมวดหมหู่ รอื กลุ่มข้อมูล เชน่ หมวดชือ่ หมวด
รปู ลกั ษณะ หมวดนิเวศนว์ ิทยา หมวดการขยายพันธุ์ หมวดการใช้ประโยชน์ ฯลฯ
2.2) จัดระเบียบหรือลาดบั ข้อมลู สาระแตล่ ะหมวดที่เรียบเรียงมาจัดเปน็ กลุ่มขอ้ มลู แต่ละหมวด
เชน่
หมวดชอื่ พรรณไม้ ช่อื พ้ืนเมือง ชื่อวทิ ยาศาสตร์ ชือ่ วงศ์ ชอ่ื สามัญ
หมวดรปู ลกั ษณะ ลักษณะวิสัย ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมลด็
ตวั อย่าง การจัดลาดับสาระหรือกลุ่มสาระ
ลกั ษณะวสิ ยั ความสงู รปู ร่างทรงพุ่ม ความกวา้ งทรงพมุ่
ลาตน้ ชนดิ ของลาตน้ ผวิ ลาตน้ การมียาง สขี องลาตน้
ใบ ชนดิ ของใบ การเรยี งตวั ของใบบนก่งิ รปู รา่ งแผ่นใบ ขนาดแผน่ ใบ
รูปรา่ งปลายใบ รปู รา่ งโคนใบ รูปร่างขอบใบ สีของใบ ลกั ษณะพิเศษของใบ
ดอก ชนดิ ของดอก ตาแหน่งท่ีออกดอก รูปรา่ งของดอก สขี องดอก การมีกลน่ิ
กา้ นดอก กลบี เลี้ยง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ ก้านชูอับเรณู อับเรณู
ละอองเรณู เกสรเพศเมีย ตาแหน่งของรังไข่ก้านเกสรเพศเมยี
ยอดเกสรเพศเมีย
ผล ชนดิ ของผล รูปร่างของผล สีของผล ลักษณะพิเศษของผล
เมล็ด จานวนเมล็ดตอ่ ผล รูปรา่ งของเมลด็ การงอกของเมลด็

(87)

ลาดบั การเรยี นรทู้ ่ี 3
สรุปและเรียบเรียง
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อรู้วิธีการสรุปและเรยี บเรียงข้อมลู ในแต่ละหมวดหมู่
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้วธิ กี ารตรวจคาผดิ ตดั คาซา้ คาซ้อน
2. เรยี นรู้การเชอ่ื มโยงเน้อื หา สาระให้ไดภ้ าษาทีก่ ระชับ ส้นั ได้ใจความ

(88)

ลาดบั การเรยี นรู้ที่ 4
รปู แบบการเขยี นรายงาน
วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่ือร้รู ูปแบบการเขียนรายงาน
2. เพอ่ื รวู้ ธิ กี ารเขียนรายงาน
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรยี นร้รู ปู แบบการเขยี นรายงาน
1.1 รปู แบบการเขียนรายงานแบบวิชาการ
1.1.1 การเขียนรายงานวิชาการแบบสมบรู ณ์ส่วนประกอบของรายงาน มคี วามถูกต้องเป็นไป
ตามมาตรฐานทางวิชาการ เช่น รายงานวชิ าการ รายงานวิจยั
1.1.2 การเขียนรายงานวชิ าการแบบสรุป ส่วนประกอบของรายงานไม่เต็มรปู แบบ เชน่
การรายงานเชงิ วิชาการ
1.2 รปู แบบการเขยี นรายงานแบบบูรณาการ
1.2.1 แบบบรู ณการกลุม่ สาระ เชน่ หนังสอื เล่มเล็ก เพลง นทิ าน กลอน การแสดง กราฟเสน้
กราฟวงกลม ฯลฯ
1.2.2 แบบบูรณาการแห่งชีวิต ส่วนประกอบของรายงานแสดงบรู ณาภาพแหง่ ชวี ติ เชน่ แรง
บันดาลใจ จนิ ตนาการ ปัจจยั และเปาู หมายการเรยี นร้วู ิธกี ารที่ใช้ในการเรียนรจู้ ติ อารมณ์ พฤตกิ รรมของตน
และงานทเ่ี นื่องต่อ
2. เรยี นรวู้ ธิ กี ารเขียนรายงาน
2.1 วธิ กี ารเขียนรายงานแบบวิชาการ
2.1.1 การเขียนรายงานทางวชิ าการแบบสมบูรณ์
1. สว่ นประกอบของรายงานทางวิชาการแบบสมบูรณม์ ลี ักษณะ ดังน้ี
1.1. สว่ นประกอบตอนตน้ มสี ว่ นประกอบตามลาดบั ดังน้ี
1.1.1. หนา้ ปก (ปกนอก)
1.1.2. หนา้ ช่อื เรอ่ื ง (ปกใน)
1.1.3. คานา (กิตตกิ รรมประกาศ)
1.1.4. สารบญั
1.1.5. สารบัญตาราง
1.1.6. สารบญั ภาพประกอบ
1.2. สว่ นประกอบตอนกลาง (เนื้อเรื่อง) เป็นส่วนสาคญั ทสี่ ุดของรายงาน แบง่ แยกเนอื้ หาทเ่ี ขียนเปน็
บทอยา่ งมีระบบระเบยี บ ตามลาดบั เช่น รายงานทางวชิ าการมีโครงสรา้ งมาตรฐาน 5 บท คือ
1.2.1. บทที่ 1 บทน า
1.2.2. บทท่ี 2 เอกสารและรายงานการศกึ ษาทเี่ ก่ียวข้อง
1.2.3. บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การศกึ ษา
1.2.4 บทท่ี 4 ผลการศกึ ษา
1.2.5 บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ

(89)

นอกจากนี้ ยงั มสี ว่ นประกอบ ทีส่ าคญั ของเนอ้ื เร่ือง ได้แก่ การอา้ งอิงจากการศึกษาคน้ คว้า แบบ
เชิงอรรถท้ายหนา้ หรืออ้างอิงแทรกในเน้ือหา (นามป)ี ข้อมูลสารสนเทศตารางประกอบ แผนภมู ิ ภาพประกอบ

1.3. สว่ นประกอบตอนทา้ ย ได้แก่ บรรณานกุ รม ภาคผนวก และอภธิ านศัพท์ เปน็ รายละเอียด
เพิ่มเติมจากเน้ือเรือ่ ง เชน่ การอา้ งอิงที่ไดร้ ะบุไว้ในเชิงอรรถ ก็นามาระบุไวใ้ นบรรณานกุ รมท้ายเลม่
รายละเอียดต่าง ๆ เช่น ตารางข้อมูลแผนงานโครงการ บนั ทึกประจาวัน สาหรบั ผูส้ นใจรายละเอยี ด

2. ลกั ษณะของรายงานวชิ าการแบบสมบรู ณ์ท่ีดี
2.1. มีการนาหลกั การและ / หรอื ทฤษฎมี าใช้อยา่ งเหมาะสมเนื่องจากในการศึกษาคน้ คว้า จะต้องมี
การวเิ คราะห์เน้ือหา โดยมหี ลกั การหรอื ทฤษฎมี ารองรบั อย่างเหมาะสม หลกั การหรือทฤษฎดี งั กลา่ วควรเปน็ ที่
ยอมรบั ในแวดวงสาขาวชิ าการนั้น ๆ พอควรและตรงกับเรือ่ งทีศ่ ึกษาค้นคว้า
2.2. มีการแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อยา่ งเหมาะสม เชน่ เสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่ไม่เคยมี
ผู้ทามากอ่ น หรือเคยมีผ้ทู าตไ่ ม่ชัดเจนเพยี งพอ
2.3. ความสมบรู ณ์และความถกู ต้องของเนอื้ หาสาระ เน้อื หาสาระตอ้ งสมบูรณต์ ามช่อื เรอื่ งที่กาหนด
และถูกตอ้ งในข้อเท็จจรงิ การอา้ งองิ ท่ีมาหรือแหลง่ ค้นคว้าตอ้ งถกู ต้องเพื่อแสดงจรรยามารยาทของผเู้ ขยี น
และเปน็ แหล่งชีแ้ นะให้ผู้สนใจไดต้ ดิ ตามศกึ ษาคน้ ควา้ ต่อไป การค้นควา้ ควรศกึ ษามาจากหลายแหล่ง
2.4. ความชัดเจนของการเขียนรายงานจะต้องมีความชัดเจนในดา้ นลาดับการเสนอเร่อื งมี
ความสามารถในการใชภ้ าษา และการนาเสนอตาราง แผนภูมิ/ ภาพประกอบท้ังน้เี พ่ือให้การนาเสนอเน้ือหา
ชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย เป็นระเบียบไม่ซา้ ซ้อนสบั สน

3. การใช้ภาษาในการเขยี นรายงาน
3.1. ควรใชภ้ าษาหรอื ส านวนโวหารเป็นของตนเองท่ีเข้าใจงา่ ยและถูกต้อง
3.2. ใช้ประโยคส้นั ๆ ใหไ้ ดใ้ จความชัดเจน สมบูรณ์ ตรงไปตรงมาไมว่ กวน
3.3. ใช้ภาษาทเี่ ปน็ ทางการไม่ใช้ภาษาพูด คาผวน คาแสลง อักษรย่อ คาย่อ
3.4. ใช้คาทีม่ คี วามหมายชดั เจน ละเวน้ การใชภ้ าษาฟุ่มเฟือย การเล่นสานวน
3.5. ระมดั ระวังในเร่ืองการสะกดคา การแบ่งวรรคตอน
3.6. ระมดั ระวงั การแยกคาด้วยเหตุทีเ่ น้ือที่ในบรรทดั ไมพ่ อหรือหมดเน้ือท่ีในหนา้ ท่ีนั้นเสียกอ่ น เช่น
ไม่แยกคาวา่ “ละเอยี ด” ออกเป็น “ละ” ในบรรทัดหนง่ึ สว่ น “ละเอยี ด” อยู่อกี บรรทัดต่อไปหรือหนา้ ต่อไป
3.7. ใหเ้ ขยี นเปน็ ภาษาไทยไมต่ ้องมคี าภาษาองั กฤษกากับ ถ้าเป็นาใหม่หรือศพั ท์วิชาการในการ
เขยี นครง้ั แรกให้กากบั ภาษาอังกฤษไว้ในวงเล็บ ครัง้ ต่อ ๆ ไปไม่ต้องกากับภาษาอังกฤษ
มีลักษณะต่อไปนี้

3.7.1. เป็นงานเขยี นทเี่ ปน็ งานเป็นการ ค่อนข้างจริงจัง หนกั แน่น
3.7.2. การให้ความคดิ ความรู้ มากกวา่ เรยี งความทว่ั ไป
3.7.3. เปน็ ความเรียงร้อยแกว้ ใชภ้ าษาเขียนถูกต้องตามหลักวิชาการ
3.7.4. มีหลักฐาน ขอ้ เท็จจรงิ อา้ งอิงประกอบ
3.7.5. ไม่ต้องใช้สานวนโวหารใหไ้ พเราะเพราะไม่ใชง่ านประพนั ธ์
3.7.6. มคี วามกระชับ รัดกมุ กะทัดรดั ชดั เจน ตามทีน่ ยิ มกันตามปกติ
3.7.7. ไมใ่ ชค้ าท่ีอาจมคี วามหมายได้หลายประการ

(90)

3.7.8. หลีกเลี่ยง การใชภ้ าษาพดู ภาษาแสลง หรือภาษาตลาด
3.7.9. หลีกเลยี่ งการใช้ภาษาทอ้ งถิ่น
3.7.10. เลอื กใชภ้ าษาสามญั ทีเ่ ขา้ ใจง่าย
3.7.11. ตวั สะกดการันต์ถกู ต้องตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน
3.7.12. การใชค้ าศัพท์ เช่น การใชค้ าสุภาพ คาราชาศพั ท์ คาทใี่ ชก้ ับภิกษุ ล้วนตอ้ งเลือกใชใ้ ห้
ถูกต้อง ตามหลกั การใชภ้ าษา และความนยิ มในปัจจุบัน
ตัวอย่างการใชค้ าศัพทเ์ ช่น
- สไลด์ เปลยี่ นเป็น ภาพเลอื่ น ให้ถูกต้องตามศัพท์บญั ญัติ
- ตรรกวทิ ยา (Logic) มวี งเลบ็ ภาษาอังกฤษต่อท้าย
- รอ้ ยละ ไม่ต้องวงเลบ็ (Percent) เพราะใช้กนั แพรห่ ลายแลว้
- ไมค่ วรใช้ ศธ. หรือเขียนย่อวา่ กระทรวงศึกษา ฯ แทน “กระทรวงศึกษาธกิ าร”
- ไม่ควรใช้ ร.ร. แทน โรงเรียน ยกเวน้ กรณที ี่นิยมใชแ้ บบยอ่ กันแพร่หลายแลว้ เช่น พ.ศ.
- การใชค้ า กบั แด่ แต่ ตอ่ ใหถ้ ูกต้อง ตวั อยา่ งเช่น

- กับ ใช้กับสง่ิ ของหรือคนทีท่ ากรยิ าเดียวกนั เช่น ครูกบั นักเรียนอ่านเอกสาร เด็กเลน่ กับผูใ้ หญ่
- แด่ ต่อ ใช้กบั กริยา ใหร้ ับ บอก ถวาย ต่อบุคคลที่สมควร เชน่ กล่าวรายงานตอ่ ประธานถวาย
ของแด่พระสงฆ์
- แก่ ใชเ้ ชน่ เดียวกบั แดต่ ่อ แตใ่ ชก้ บั บุคคลทั่วไป เช่น พระราชทานแก่ ให้แก่ บอกแก่แจ้งแก่
- เขียนเนือ้ หาให้แจ่มแจ้งชัดเจน มกี ารเน้น เน้ือหาทีส่ าคัญ โดยใช้ คา วลี และข้อความทส่ี าคญั
ขนึ้ ต้นประโยค หรอื จบประโยค กล่าวซ้า เพื่อใหค้ วามสาคัญกบั คาท่ีกลา่ วซา้ เปรียบเทยี บ
- เพือ่ ให้ขอ้ ความชัดเจน และให้รายละเอียดเป็นตัวอย่าง รูปภาพประกอบ ทาใหช้ ัดเจน เข้าใจงา่ ย
และถ้าต้องการใหม้ ผี ลในทางปฏิบตั ิ จะต้องใช้ ตวั อย่าง ข้อความ สนบั สนนุ หลกั การแนวคดิ ทเ่ี สนอ ให้ชัดเจน
อยา่ งมีศิลปะในการเขยี น
- มเี อกภาพ ในการเสนอเน้อื หาทุกส่วนของรายงาน เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของการเขยี น
- มีสมั พนั ธภาพ ในการจัดลาดบั เน้ือหา คือเขยี นใหส้ มั พันธก์ ัน เชน่ ตามลาดบั เวลา ตามลาดบั เหตุ
และผล จัดลาดับ ระหวา่ ง หัวข้อใหญ่ หวั ข้อยอ่ ย ระหว่างย่อหน้า เรียงตามความสาคัญ หัวขอ้ ท่ีสาคัญเทา่ กัน
หรือระดบั เดียวกนั เขยี นใหย้ ่อหน้าเท่ากนั ตรงกัน ย่อหนา้ หนึง่ ควรมใี จความสาคญั เดียว
- รายงานทางวิชาการ เนน้ ความจรงิ ความถูกต้อง ไม่ควรเขยี นเกินความจริงที่ปรากฏ
- รายงานตามข้อมูลที่พบ ไม่ควรเขยี นคาคณุ ศพั ท์ เชน่ ดมี าก ดีทส่ี ดุ เหมาะสม ดี โดยไม่มขี ้อมูล
หลักเกณฑช์ ดั เจน แสดงถึงการวนิ ิจฉยั ประเมินคา่ เกินจริง
- คณุ สมบตั ิของผู้เขียนรายงาน ทจ่ี ะชว่ ยให้รายงานมีคณุ ค่า ได้แกค่ วามรู้ทัว่ ไปในเร่อื งท่เี ขียน จะ
ทาใหเ้ ตรียมการอย่างรอบคอบ เขียนได้ครอบคลุม ตอ่ เน่ือง ชดั เจน มีความสามารถในการวิเคราะห์ ใหค้ ุณค่า
ขอ้ มลู อยา่ งแมน่ ตรงมวี ิจารณญาณในการเลอื กเสนอสง่ิ ท่สี าคัญ สามารถใช้เทคนิคผสมผสานความรู้
ประสบการณ์ออกมาเปน็ ความคิด แลว้ ถ่ายทอด ออกมาเป็นภาษาเขียน

(91)

2.1.2 การเขยี นรายงานแบบวิชาการ ประกอบดว้ ย
1. ปกนอก
2. ปกใน
3. คานา
4. สารบัญ
5. วธิ ดี าเนนิ การเรียนรู้
6. ผลการเรยี นรู้
7. สรปุ
8. บรรณานกุ รม / เอกสารอา้ งอิง

2.2 วิธีการเขียนรายงานแบบบรู ณาการ
2.2.1 การเขียนรายงานแบบบูรณาการกลุ่มสาระ
1. เรยี นรรู้ ูปแบบการเขียนรายงานแบบบูรณาการ
2. เขยี นรายงานแบบบรู ณาการ
3. ตรวจสอบ แก้ไข และให้ข้อเสนอแนะการเขียนรายงานแบบบรู ณาการ

(92)

2.2.2 การเขยี นรายงานแบบบูรณาการแห่งชีวิต
การเรียนรแู้ บบบูรณาการเป็นการนาเอาวิชาต่างๆ มาผสมผสานเขา้ ด้วยกัน สาหรับการเขียนรายงาน
แบบบรู ณาการได้จากการเรยี นรสู้ มั ผสั ปจั จัยชีวภาพ พรอ้ มให้อารมณค์ วามรู้สึกทัง้ ก่อน ขณะ และหลัง
การศึกษา เพ่ือใหร้ ู้ตวั เองทุกเวลาแล้วจะส่งผลดตี อ่ ตน
1. แรงบันดาลใจ เป็นเหตทุ ่เี กดิ มีขึน้ ด้วยแรงอานาจของสิง่ ใดสิ่งหนง่ึ ทีจ่ ุดประกายความคิดให้ริเริ่มที่
นาไปสกู่ ารเรียนรู้
2. จินตนาการ เปน็ การสรา้ งภาพในจิตใจกอ่ นที่จะสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงาน ซึ่งการจนิ ตนาการนี้ใช้
พน้ื ฐานจากการไดส้ ัมผัสโดยใช้หู ตา จมกู ลน้ิ ผิวกาย และจติ ใจ รับรพู้ ชื พรรณธรรมชาติ
3. ปัจจัยและเปูาหมายการเรียนรู้
4. วธิ กี ารทใ่ี ช้ในการเรียนรู้(เหต)ุ เปน็ วิธีการท่ีคิดข้นึ เองหรอื น าวธิ กี ารของผู้อ่นื มาประยุกตใ์ ช้
5. จิต อารมณ์ พฤตกิ รรมของตน (ก่อนศึกษา ขณะศกึ ษา และหลังศึกษา) ในการบันทึกจิต อารมณ์
พฤติกรรมของตน เพอ่ื ใหร้ ตู้ ัวทกุ เวลาแล้วจะสง่ ผลดีต่อตน
6. ผลการเรียนรู้ เป็นผลทสี่ รปุ จากการเรยี นรู้ในทกุ ข้ันตอน
7. งานทเี่ นอื่ งต่อ เปน็ การเรียนรู้ท่ีมคี วามสมั พนั ธ์ และเกีย่ วข้องกับองค์ความรเู้ ดิม

ลาดบั การเรียนรทู้ ี่ 5
กาหนดรูปแบบการเขียนรายงาน
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่ือรูว้ ิธกี ารกาหนดรปู แบบการเขียนรายงานท่ีเหมาะสม
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นร้วู ธิ ีการกาหนดรูปแบบการเขยี นรายงานทเ่ี หมาะสม
1.1 เลือกรูปแบบการเขยี นรายงานให้เหมาะสม
1.2 นาข้อมลู ท่สี รุปและเรยี บเรยี งแลว้ มาเขยี นรายงานตามรูปแบบทก่ี าหนด
1.3) จดั ทาข้อมลู เพ่ิมเติมใหค้ รบตามรูปแบบรายงาน
เปน็ การพจิ ารณาเน้ือหา / ปรมิ าณ ขอ้ มูลทไี่ ด้จากการคดั แยกสาระให้เปน็ หมวดหมู่จนสรุปได้เป็นองค์
ความรู้ และนาข้อมูลมากาหนดรูปแบบเขยี นรายงานท่ีเหมาะสมและถูกต้อง โดยรปู แบบรายงานควรมจี ดุ เดน่
อ่านเขา้ ใจงา่ ย และดึงดูดความสนใจของอา่ น

(93)

ลาดบั การเรยี นรู้ท่ี 6
เรียนรวู้ ธิ กี ารรายงานผล
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อรรู้ ูปแบบและวธิ ีการรายงานผล
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นรู้รปู แบบการรายงานผล
1.1 รูปแบบการรายงานแบบเอกสาร เช่น หนงั สือ แผน่ พับ ซีดี
1.2 รูปแบบการรายงานแบบบรรยาย เชน่ เช่น การสนทนา เสวนา สมั มนา อภิปราย การเล่านิทาน
1.3 รปู แบบการรายงานแบบศลิ ปะ เชน่ การแสดงศิลปะพนื้ บา้ น ละคร รอ้ งเพลง ภาพวาดทาง
พฤกษศาสตร์การถ่ายภาพทางพฤกษศาสตร์
1.4 รปู แบบการรายงานแบบนทิ รรศการ เช่น นิทรรศการ นทิ รรศการประกอบการบรรยายสรปุ
นทิ รรศการเฉพาะเรื่อง เฉพาะประเภท และเว็บไซต์
2. เรยี นรู้วิธกี ารรายงานผล
2.1 วธิ ีการรายงานแบบเอกสาร ใหแ้ สดงข้นั ตอนวธิ ีการในแต่ละรปู แบบ เชน่ หนงั สือ แผ่นพับ ซีดี
2.2 วธิ ีการรายงานแบบบรรยาย ให้แสดงขน้ั ตอนวิธีการในแต่ละรูปแบบ เช่น การสนทนา เสวนา
สัมมนา อภิปราย การเล่านิทาน
2.3 วิธีการรายงานแบบศิลปะ ให้แสดงขั้นตอนวิธีการในแต่ละรูปแบบ เช่น การแสดงศลิ ปะพ้นื บ้าน
ละคร รอ้ งเพลง ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ การถา่ ยภาพทางพฤกษศาสตร์
การแสดงพ้ืนเมือง เป็นการแสดงที่แสดงออกถงึ การสืบทอดทางศลิ ปะและวฒั นธรรมของแต่ละท้องถนิ่
ที่สบื ทอดกันตอ่ ๆ มาอย่างชา้ นาน ตง้ั แตส่ มยั โบราณจนถึงปัจจบุ นั การแสดงจะออกมาในรปู แบบใดน้นั ขึ้นอยู่
กับสภาพทางภมู ิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม อาชีพ และความจาเป็นทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอุปนสิ ัยของประชาชนใน
ทอ้ งถิน่ จงึ ทาให้การแสดงพ้นื เมือง มีลลี าท่าทางทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป แต่ก็มจี ดุ มงุ่ หมายอย่างเดียวกัน เพ่อื
ความสนกุ สนานร่ืนเรงิ และพักผอ่ นหย่อนใจ
ดนตรี (องั กฤษ: music) คอื เสียงและโครงสร้างท่จี ัดเรียงอยา่ งเป็นระเบยี บแบบแผน ซง่ึ มนษุ ยใ์ ช้
ประกอบกิจกรรมศิลปะทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับเสียง โดยดนตรีน้ันแสดงออกมาในดา้ นระดับเสียง (ซ่งึ รวมถึงทว่ งทานอง
และเสียงประสาน) จังหวะ และคุณภาพเสยี ง (ความตอ่ เนื่องของเสยี ง พ้นื ผวิ ของเสยี ง ความดังค่อย) นอกจาก
ดนตรีจะใชใ้ นดา้ นศิลปะไดแ้ ล้ว ยงั สามารถใชใ้ นด้านสุนทรียศาสตร์ การสอ่ื สาร ความบันเทิง รวมถึงใช้ในงาน
พธิ กี ารต่าง ๆ ได้
2.4 วิธีการรายงานแบบนทิ รรศการ ใหแ้ สดงข้ันตอนวิธกี าร การออกแบบนิทรรศการ เช่น
นทิ รรศการ การจัดบอร์ด โปสเตอร์ นิทรรศการประกอบการบรรยายสรุป นิทรรศการเฉพาะเร่ือง เฉพาะ
ประเภท และเว็บไซต์

(94)

ลาดบั การเรียนรูท้ ่ี 7
กาหนดวธิ ีการรายงานผล
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อรวู้ ธิ ีการ กาหนดวธิ กี ารรายงานผล
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรยี นรู้วธิ ีการ กาหนดวธิ ีการรายงานผลทีเ่ หมาะสม
1.1 เลอื กรูปแบบวธิ ีการรายงานผลใหเ้ หมาะสม
1.2 นาข้อมูลที่สรปุ และเรยี บเรียงแลว้ มาแสดงขั้นตอนวิธีการรายงานผลตามรูปแบบที่กาหนด
1.3 จัดทาข้อมูลเพ่ิมเตมิ ใหค้ รบตามรปู แบบวิธีการรายงานผล

ผลทคี่ าดว่าจะได้รบั
ดา้ นวชิ าการ

1. ภาษา เช่น การวเิ คราะห์สาระ การรวบรวมสาระ การจดั กลุม่ สาระ การเรียบเรียงสาระเปน็ ผล
การจดบนั ทึก การสรุปผลการการเรียนรทู้ กุ เรื่องที่เกดิ จากกระบวนการเรียนรู้

2. ศลิ ปะ เช่น การแสดงศลิ ปะพื้นบา้ น การเล่านิทาน การเขียนการ์ตูน การวาดภาพ
3. วิทยาศาสตร์ เช่น การคน้ ควา้ ด้วยตวั เอง การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ การจินตนาการบนฐานของ
ความเปน็ จรงิ
ด้านภูมิปญั ญา
1. รูว้ ิธีการถ่ายทอดความรู้
2. ฝึกความกลา้ แสดงออก
3. เกิดความคิดสร้างสรรค์
4. ร้จู กั ใชแ้ ละพัฒนาสื่อ
คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
1. ร้กู ารแบ่งปนั
2. มคี วามซ่ือตรง
3. มีสมาธิ
4. เห็นคณุ ค่าในตนเองและผอู้ นื่ เชน่ การเข้าใจถงึ แก่นสาระของวิชาการ
5. มคี วามรบั ผิดชอบ

(95)

องคป์ ระกอบที่ 5
การนาไปใช้ประโยชน์ทางการศึกษา
หลกั การ นาองค์ความรู้ ที่เป็นวทิ ยาการ เผยแพรเ่ พ่ือใหเ้ กิดองคค์ วามรู้ใหม่
สาระสาคัญ
การนาไปใชป้ ระโยชน์ทางการศึกษาโดยการบรู ณาการสกู่ ารเรยี นการสอน การใช้สวนพฤกษศาสตร์
โรงเรียนเปน็ แหล่งเรยี นรู้ บนั ทึกข้อมูล รวบรวมเป็นพิพิธภณั ฑเ์ ฉพาะเรือ่ ง พิพิธภัณฑ์ธรรมชาตวิ ิทยา รวมถงึ
การเผยแพร่องค์ความรู้ การใช้และพฒั นาแหล่งเรยี นรู้อยา่ งตอ่ เน่ือง
ลาดับการเรยี นรู้
1. นาสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี นบรู ณาการสูก่ ารเรียนการสอน
1.1 จัดทาหลักสูตรและการเขยี นแผนการสอนใหส้ อดคล้องกับหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั
พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
1.2 จัดเก็บผลการเรียนรู้
2 เผยแพร่องค์ความรู้
2.1 บรรยาย
2.1.1 สนทนา
2.1.2 เสวนา
2.1.3 สัมมนา/อภิปราย
2.2 จัดแสดง
2.2.1 จดั แสดงนิทรรศการ
2.2.2 นิทรรศการประกอบบรรยายสรุป
2.2.3 จดั นิทรรศการเฉพาะเรื่อง/ประเภท
3. จัดสร้างแหลง่ เรยี นรู้
3.1 จดั แสดงพิพิธภัณฑ์
3.2 จดั แสดงพพิ ิธภัณฑเ์ ฉพาะเรอ่ื ง
3.3 จัดแสดงพพิ ิธภัณฑธ์ รรมชาตวิ ทิ ยา
(หมายเหตุ : จดั สร้างแหลง่ เรยี นรตู้ ามศักยภาพ)
4. ใช้ ดูแลรกั ษา และพฒั นาแหลง่ เรยี นรู้

(96)

อธิบายลาดบั การเรยี นรู้
ลาดับการเรียนรูท้ ี่ 1
นาสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี นบูรณาการสกู่ ารเรยี นการสอน
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่ือรู้วธิ ีการนางานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี นบูรณาการสกู่ ารเรยี นการสอน
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรวู้ ธิ ีการนางานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียนบูรณาการส่กู ารเรียนการสอน
1.1 วิเคราะห์ความสอดคล้องงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียนกับหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้
พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
1.2 จดั ทาแผนการจัดการเรียนรู้ บูรณาการทกุ กลุ่มสาระการเรียนรู้
1.3 จดั เกบ็ ผลการเรยี นรู้ผลงาน จานวนชิน้ งาน ท่ีผ้เู รยี นแต่ละระดับ แต่ละกลุ่มสาระการเรยี นรู้
ที่ได้ดาเนนิ การตามแผนการจัดการเรียนรู้

ลาดับการเรยี นรู้ที่ 2
เผยแพร่องค์ความรู้
วัตถปุ ระสงค์
1. เพอื่ รวู้ ธิ ีการเผยแพร่องค์ความรูใ้ ห้เหมาะสม
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรยี นร้วู ธิ ีการเผยแพรอ่ งค์ความรู้ให้เหมาะสม
1.1 การเผยแพรอ่ งค์ความรแู้ บบเอกสาร เชน่ หนังสอื แผ่นพับ ซดี ี
1.2 การเผยแพรอ่ งคค์ วามรู้ แบบบรรยาย เชน่ การสนทนา เสวนา สัมมนา อภปิ ราย การเลา่ นทิ าน
1.3 การเผยแพรอ่ งค์ความรู้ แบบศิลปะ เชน่ การแสดงศลิ ปะพน้ื บา้ น ละคร รอ้ งเพลง ภาพวาดทาง
พฤกษศาสตร์ การถ่ายภาพทางพฤกษศาสตร์
1.4 การเผยแพร่องคค์ วามรู้ แบบนทิ รรศการ เช่น นิทรรศการ นทิ รรศการประกอบการบรรยาย
สรุป นิทรรศการเฉพาะเรอ่ื ง เฉพาะประเภท และเวบ็ ไซต์

(97)

(98)

ลาดบั การเรยี นรู้ท่ี 3
จัดสร้างแหล่งเรยี นรู้
วัตถุประสงค์
1. เพ่ือเพ่ิมจานวนแหล่งเรียนรูใ้ นสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
2. เพื่ออนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
กระบวนการเรียนรู้
1. หลักการการจดั สร้างแหลง่ เรยี นร้ใู นสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน
2. เรียนร้วู ิธีการจดั สรา้ งแหล่งเรียนร้ใู นสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น
3. กาหนด และออกแบบ แหล่งเรียนรใู้ นสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น
4. รวบรวม องคค์ วามรู้จากงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น
5. คดั เลือก องค์ความร้จู ากงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
6. เตรยี ม วสั ดุ อุปกรณ์ สาหรับใชจ้ ัดทาแหล่งเรียนรู้
7. จดั ทาแหลง่ เรยี นรตู้ ามที่ออกแบบไว้

(99)

(100)

ลาดับการเรยี นรทู้ ่ี 4
ใช้ ดูแลรักษา และพัฒนาแหล่งเรียนรู้
วตั ถุประสงค์
1. เพอื่ ร้แู ละสรุป การใช้ การดูแลรกั ษา และพฒั นาแหลง่ เรียนรูใ้ นสวนพฤษศาสตร์โรงเรยี น
กระบวนการเรียนรู้
1. การใชแ้ หล่งเรียนรู้
1.1 วางแผน และกาหนดการใช้แหลง่ เรียนรู้
1.2 เรยี นรูต้ ามแหลง่ เรยี นรู้ทกี่ าหนด
1.3 สรุปความรทู้ ไี่ ด้รับ จานวนครง้ั และจานวนนกั เรยี นทใี่ ช้ในรอบปี
2 การดูแลรักษาแหลง่ เรียนรู้
2.1 วางแผน และกาหนดการดูแลรกั ษาแหลง่ เรยี นรู้
2.2 เรียนรูก้ ารดูแลรกั ษาแหลง่ เรยี นรู้ตามท่ีกาหนด
2.3) สรุปความร้ทู ี่ได้รับ จานวนครงั้ และจานวนนกั เรยี นทีด่ แู ลรกั ษาแหลง่ เรยี นรู้ในรอบปี
3 การพฒั นาแหลง่ เรียนรู้
3.1 วางแผน และกาหนด การพัฒนาแหล่งเรียนรู้
3.2 เรยี นร้พู ัฒนาแหลง่ เรียนรู้ตามที่กาหนด
3.3 สรุปความรกู้ ารพัฒนา และแนวทางการพฒั นาตอ่ ไป จานวนครั้ง และจานวนนกั เรียนทร่ี ่วม
พฒั นาแหลง่ เรยี นรูใ้ นรอบปี
ผลท่ีคาดว่าจะไดร้ ับ
ดา้ นวิชาการ
1. การพัฒนาด้านการศึกษา เช่น การจดั ทาหลักสตู ร การเขยี นแผนจดั การเรียนรู้
2. ศิลปะ เชน่ การจดั แสดงผลงานทางวิชาการ การออกแบบแหล่งเรียนรู้
3. การสอื่ สารทางการศกึ ษา เชน่ การสนทนา เสวนา สัมมนา อภิปราย การจัดแสดงในรปู แบบต่าง ๆ
และเอกสาร
ดา้ นภมู ปิ ัญญา
1. การเรยี นรู้ตลอดชีวิต
2. การสร้างองค์ความรู้ขนึ้ ใหม่
3. การใช้องค์ความรู้
คุณธรรมและจรยิ ธรรม
1. ความรบั ผดิ ชอบ
2. ความเออ้ื อาทร เออ้ื เฟ้อื เผื่อแผ่
3. ความสามัคคี
4. มนุษยสัมพันธ์

(101)

สาระการเรยี นร้ธู รรมชาติแหง่ ชีวติ
หลักการ รู้การเปล่ยี นแปลง รคู้ วามแตกต่าง รู้ชีวิต
สาระการเรียนรู้

การเรียนรู้วงจรชวี ิตของชีวภาพนัน้ ๆ ไดข้ ้อมูลการเปลี่ยนแปลงและความแตกตา่ งด้านรปู ลักษณ์
คุณสมบัติ และพฤติกรรม แล้วนามาเปรียบเทียบตนเองและผูอ้ นื่ กบั ชวี ภาพรอบกาย เพือ่ ประยุกตใ์ ชใ้ นการ
ดาเนนิ ชวี ติ
ลาดบั การเรียนรู้

1. สัมผสั เรียนรวู้ งจรชวี ิตของชีวภาพ
1.1 ศกึ ษาดา้ นรปู ลกั ษณ์ ได้ข้อมูลการเปลย่ี นแปลงและความแตกต่างดา้ นรปู ลกั ษณ์
1.2 ศกึ ษาด้านคุณสมบัติ ไดข้ ้อมลู การเปลย่ี นแปลงและความแตกต่างด้านคุณสมบัติ
1.3 ศึกษาด้านพฤติกรรม ได้ข้อมลู การเปลีย่ นแปลงและความแตกตา่ งดา้ นพฤตกิ รรม

2. เปรียบเทยี บการเปล่ียนแปลงและความแตกต่าง
2.1 รปู ลกั ษณ์กบั รปู กายตน
2.2 คณุ สมบตั ิกับสมรรถภาพของตน
2.3 พฤติกรรมกับจิต อารมณ์และพฤติกรรมของตน

3. สรุปองคค์ วามรูท้ ่ีไดจ้ ากการศกึ ษาธรรมชาตแิ ห่งชวี ติ
4. สรปุ แนวทางเพื่อน าไปสกู่ ารประยกุ ตใ์ ชใ้ นการด าเนินชวี ิต

อธิบายลาดับการเรยี นรู้
ลาดับการเรียนรูท้ ี่ 1
สมั ผสั เรียนรู้วงจรชีวิตของชวี ภาพ
วตั ถุประสงค์
1. เพื่อร้วู งจรชีวติ ของชีวภาพ
กระบวนการเรียนรู้
1. เรียนรู้วงจรชีวติ ของชีวภาพ
1.1 เรยี นรวู้ งจรชวี ิตดา้ นรูปลกั ษณ์
1.1.1 เรยี นรดู้ า้ นรูปลักษณ์
เป็นการเรยี นรูป้ จั จัยชวี ภาพ (พืช) ในช่วงทีม่ ีการเจริญเติบโตเตม็ ทีแ่ ละระบุอายุทุกสว่ นประกอบของพืช
ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมล็ด โดยมกี ารเรยี นร้เู ร่ือง รปู ร่าง รูปทรง สี ผิว เนื้อ ขนาด จานวน ฯลฯ
1. การกาหนดปัจจัยในการเรยี นรู้
1.1. เลอื กพชื ศึกษาในระยะท่ีมีการเจริญเติบโตเต็มท่ี ครบทุกส่วนประกอบและระบอุ ายุของพืช
1.2. กาหนดจานวนของพชื ศกึ ษาใหเ้ พยี งพอกบั จานวนผู้เรยี น โดยพิจารณาจากการจัดกลุม่ และการ
วางแผนการทดลอง ซง่ึ รวมถงึ การเกบ็ ขอ้ มูลซ้าเพื่อให้ได้ข้อมลู ทม่ี คี วามแม่นยาและน่าเช่ือถือ เชน่ ระดับ
ประถมศกึ ษา อยา่ งนอ้ ยจานวน 5 ซ้า ระดบั มธั ยมศกึ ษา อยา่ งน้อยจานวน 10 ซ้า
2. การกาหนดเรอ่ื งทจี่ ะเรียนรู้
2.1. เรอ่ื งท่ีจะเรยี นรู้ เชน่ รปู ร่าง รูปทรง สี ผวิ เนื้อ ขนาด จานวน ฯลฯ
2.2. สว่ นประกอบของพืช เช่น ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมลด็
2.3. นาสว่ นประกอบของพืชมากาหนดเร่ืองท่จี ะเรียนรู้

(102)

ตัวอยา่ งเรอื่ งท่จี ะเรยี นรู:้
การเรียนร้รู ูปรา่ งของแผน่ ใบหม่อน ในระยะที่มีการเจริญเติบโตเตม็ ที่ (ระบุอายุ)

วธิ ีการศกึ ษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ีศึกษา : รูปรา่ งของแผน่ ใบหม่อน
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในระยะที่มีการเจริญเตบิ โตเตม็ ท่ี (ระบุอายุ) และสถานท่ี
3. เรียนรู้ดา้ นรูปลกั ษณ์
เป็นการเรียนรูเ้ รื่องที่ไดก้ าหนด โดยแสดงวสั ดุ อุปกรณ์ วธิ ีการเรียนรู้ ผลการเรยี นร(ู้ ออกแบบตาราง
บนั ทึก) และสรุปผลการเรียนรู้

(103)

1.1.2 เรียนรู้การเปล่ยี นแปลงด้านรปู ลักษณ์
เปน็ การเรียนรปู้ จั จยั ชวี ภาพ (พชื ) ในแตล่ ะช่วงอายุอยา่ งน้อย 4 ช่วงอายุ ทกุ ส่วนประกอบของพืช
ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล เมล็ด โดยมกี ารเรียนรูเ้ รื่อง รปู ร่าง รปู ทรง สี ผิว เนื้อ ขนาด จานวน ฯลฯ
1. การกาหนดปัจจัยในการเรียนรู้

1.1 เลือกพืชศกึ ษาในระยะท่ีมีการเจริญเติบโตเตม็ ท่ี ครบทุกสว่ นประกอบ
1.2 ระบอุ ายุของพืช อย่างน้อย 4 ชว่ งอายุ
1.3 กาหนดจานวนของพืชศึกษาใหเ้ พยี งพอกับจานวนผ้เู รียน โดยพิจารณาจากการจัดกลุ่มและ
การวางแผนการทดลอง ซ่งึ รวมถึงการเก็บข้อมูลซ้าเพื่อให้ได้ข้อมลู ที่มีความแมน่ ยาและน่าเช่อื ถอื เชน่ ระดับ
ประถมศกึ ษา อย่างนอ้ ยจานวน 5 ซา้ ระดับมธั ยมศกึ ษา อย่างน้อยจานวน 10 ซา้
2. การกาหนดเร่ืองท่ีจะเรียนรู้
2.1 เรื่องท่จี ะเรยี นรู้ เช่น รปู ร่าง รูปทรง สี ผวิ เนือ้ ขนาด จานวน ฯลฯ
2.2 สว่ นประกอบของพชื เช่น ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล เมลด็
2.3 นาส่วนประกอบของพืชมากาหนดเร่ืองทจี่ ะเรียนรู้

วิธีการศกึ ษา ตวั แปรทศ่ี ึกษา ขอบเขตที่ศึกษา

ตัวอย่างเรอ่ื งท่จี ะเรยี นรู้ :
การเรียนรรู้ ปู ร่างของแผ่นใบหม่อน ในระยะท่ีมกี ารเจรญิ เติบโตในแต่ระยะช่วงอายุ (ระบุช่วงอาย)ุ

วธิ ีการศกึ ษา : การเรียนรู้การเปลีย่ นแปลง
ตัวแปรทีศ่ กึ ษา : รูปรา่ งของรากพริกข้หี นู
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในแต่ระยะชว่ งอายุ (ระบชุ ่วงอาย)ุ และสถานที่

3. เรียนรกู้ ารเปล่ียนแปลงด้านรูปลกั ษณ์
เป็นการเรียนรเู้ ร่อื งที่ไดก้ าหนด โดยแสดงวสั ดุ อปุ กรณ์ วิธกี ารเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบตาราง
บันทกึ ) และสรปุ ผลการเรียนรู้

(104)

1.2 เรียนร้วู งจรชีวิตด้านคุณสมบตั ิ
1.2.1 เรียนรดู้ ้านคณุ สมบตั ิ

เปน็ การเรยี นรู้ปัจจัยชวี ภาพ (พชื ) ในช่วงทม่ี ีการเจริญเติบโตเต็มท่ที ุกส่วนประกอบของพืช ราก ลาตน้
ใบ ดอก ผล เมล็ด โดยมีการเรยี นรดู้ ้านเคมี เช่น รสชาติ กล่นิ การตดิ สี สารตา่ ง ๆ ดา้ นฟสิ กิ ส์ เช่น ความแขง็
ความเหนยี ว การลอยน้า การยดื หยนุ่ ฯลฯ

1. การกาหนดปัจจัยในการเรยี นรู้
1.1 เลือกพืชศกึ ษาในระยะทีม่ ีการเจริญเติบโตเตม็ ท่ี ครบทุกสว่ นประกอบ
1.2 กาหนดจานวนของพืชศึกษาให้เพยี งพอกบั จานวนผู้เรียน โดยพจิ ารณาจากการจัดกลมุ่ และ

การวางแผนการทดลอง ซง่ึ รวมถงึ การเก็บข้อมลู ซ้าเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแมน่ ยาและน่าเชื่อถอื เชน่ ระดับ
ประถมศึกษา อยา่ งนอ้ ยจานวน 5 ซ้า ระดับมัธยมศกึ ษา อย่างนอ้ ยจานวน 10 ซา้

2. การกาหนดเรื่องท่ีจะเรยี นรู้
2.1 เร่ืองทจ่ี ะเรยี นรู้ เช่น รสชาติ กลน่ิ การติดสี ความแข็ง ความเหนียว การลอยน้า การยืดหยุ่น

ฯลฯ
2.2 สว่ นประกอบของพชื เช่น ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมล็ด
2.3 นาสว่ นประกอบของพืชมากาหนดเรื่องท่ีจะเรียนรู้
วิธีการศึกษา ตวั แปรทีศ่ ึกษา ขอบเขตท่ีศึกษา

(105)
ตวั อย่างเรือ่ งที่จะเรียนรู้ :

การเรียนร้กู ารไดก้ ลิ่นของผลหม่อนในระยะที่มีการเจริญเตบิ โตเต็มท่ี (ระบุช่วงอายุ)
วิธีการศกึ ษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ศี ึกษา : การได้กลน่ิ ของผลหมอ่ น
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในระยะท่ีมีการเจรญิ เติบโตเตม็ ที่ (ระบุชว่ งอายุ) และสถานท่ี
3. เรียนรดู้ า้ นคุณสมบัติ
เปน็ การเรียนรู้เรอื่ งท่ีไดก้ าหนด โดยแสดงวัสดุ อุปกรณ์ วธิ ีการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบตาราง
บันทกึ ) และสรุปผลการเรยี นรู้

1.2.3 เรียนรูก้ ารเปลี่ยนแปลงดา้ นคณุ สมบตั ิ
เป็นการเรยี นรูป้ จั จัยชวี ภาพ (พชื ) ในแต่ละช่วงอายุ อย่างน้อย 4 ช่วงอายุ ทกุ ส่วนประกอบของพืช
รากลาต้น ใบ ดอก ผล เมล็ด โดยมีการเรยี นรู้ดา้ นเคมี เช่น รสชาติ กล่นิ การติดสีสารตา่ ง ๆ ด้านฟิสกิ ส์ เชน่
ความแข็ง ความเหนยี ว การลอยน้ า การยืดหยุ่น ฯลฯ

(106)

1. การกาหนดปจั จัยในการเรยี นรู้
1.1 เลือกพชื ศกึ ษาในระยะที่มกี ารเจริญเตบิ โตเต็มท่ี ครบทุกส่วนประกอบ
1.2 ระบุอายขุ องพืช อย่างน้อย 4 ช่วงอายุ
1.3 กาหนดจานวนของพชื ศึกษาให้เพยี งพอกับจานวนผูเ้ รียน โดยพจิ ารณาจากการจดั กลมุ่ และ

การวางแผนการทดลอง ซึง่ รวมถงึ การเก็บข้อมูลซ้าเพื่อให้ไดข้ อ้ มูลท่ีมีความแมน่ ยาและน่าเชื่อถอื เช่น ระดับ
ประถมศึกษา อยา่ งนอ้ ยจานวน 5 ซ้า ระดบั มัธยมศกึ ษา อย่างนอ้ ยจานวน 10 ซา้

2. การกาหนดเร่ืองท่ีจะเรียนรู้
2.1 เรื่องท่ีจะเรยี นรู้ เช่น รสชาติ กลิ่น การติดสี ความแข็ง ความเหนยี ว การลอยนา้

การยดื หยุ่น ฯลฯ
2.2 ส่วนประกอบของพืช เชน่ ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมล็ด
2.3 นาสว่ นประกอบของพืชมากาหนดเร่ืองท่ีจะเรยี นรู้

วธิ กี ารศึกษา ตวั แปรท่ศี ึกษา ขอบเขตที่ศึกษา

ตัวอยา่ งเรอ่ื งท่ีจะเรยี นรดู้ า้ นเคมี :
การเรยี นรู้การเปล่ียนแปลงกลิ่นของผลหม่อนในแตล่ ะช่วงอาย(ุ ระบุช่วงอาย)ุ

วิธกี ารศกึ ษา : การเรียนรูก้ ารเปลี่ยนแปลง
ตัวแปรทศี่ ึกษา : กลนิ่ ของผลหม่อน
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในแต่ละชว่ งอายุ(ระบชุ ว่ งอายุ) และสถานท่ี
ตวั อยา่ งเรื่องท่ีจะเรยี นร้ดู ้านฟิสกิ ส์ :

การเรียนรู้การเปลยี่ นแปลงการลอยนา้ ของผลหม่อนในแต่ละช่วงอาย(ุ ระบุช่วงอายุ)
วธิ ีการศึกษา : การเรียนรู้การเปล่ยี นแปลง
ตัวแปรทีศ่ กึ ษา : การลอยน้ าของผลหม่อน
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในแต่ละช่วงอายุ(ระบชุ ว่ งอายุ) และสถานที่

3. เรียนร้กู ารเปลี่ยนแปลงดา้ นคุณสมบัติ
เป็นการเรยี นรเู้ รอ่ื งที่ได้กาหนด โดยแสดงวัสดุ อปุ กรณ์ วิธกี ารเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ (ออกแบบตาราง
บันทกึ ) และสรุปผลการเรียนรู้

(107)

1.3 เรยี นรวู้ งจรชวี ิตด้านพฤตกิ รรม
1.3.1 เรียนรู้ดา้ นพฤตกิ รรม
เปน็ การเรียนรูป้ ัจจยั ชวี ภาพ (พชื ) ในช่วงทม่ี ีการเจริญเติบโตเต็มทท่ี ุกสว่ นประกอบของพชื ราก

ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมล็ด โดยมีการเรียนรู้พฤตกิ รรมทม่ี ีการตอบสนองตอ่ ปจั จัยภายใน และภายนอก ท่ีมีผลต่อ
การเจรญิ เติบโตของพชื การตอบสนองต่อปจั จยั ภายนอก เชน่ การหบุ การบาน การคายน้า การรว่ ง การโน้ม
เขา้ หาแสง การลลู่ ม การเปลี่ยนสี การตอบสนองต่อปจั จัยภายใน เชน่ ฮอรโ์ มน

1. การกาหนดปจั จัยในการเรียนรู้
1.1 เลอื กพืชศกึ ษาในระยะทม่ี ีการเจริญเตบิ โตเต็มที่ ครบทุกสว่ นประกอบ
1.2 กาหนดจานวนของพชื ศกึ ษาใหเ้ พยี งพอกับจานวนผู้เรยี น โดยพจิ ารณาจากการจัดกลมุ่ และการ

วางแผนการทดลอง ซง่ึ รวมถึงการเกบ็ ข้อมูลซ้าเพื่อให้ไดข้ ้อมูลท่ีมีความแมน่ ยาและนา่ เช่ือถือ เช่น ระดับ
ประถมศกึ ษา อยา่ งนอ้ ยจานวน 5 ซา้ ระดับมธั ยมศกึ ษา อย่างน้อยจานวน 10 ซา้

2. การกาหนดเรื่องที่จะเรยี นรู้
2.1 เร่ืองที่จะเรยี นรู้ เชน่ การหุบ การบาน การคายน้า การรว่ ง การโน้มเข้าหาแสง การลลู่ ม

การเปลยี่ นสฯี ลฯ
2.2 สว่ นประกอบของพืช เช่น ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมลด็
2.3 นาสว่ นประกอบของพชื มากาหนดเร่อื งท่จี ะเรียนรู้
วธิ กี ารศกึ ษา ตัวแปรทีศ่ ึกษา ขอบเขตทศี่ ึกษา

(108)

ตัวอย่างเรือ่ งท่ีจะเรยี นรูก้ ารตอบสนองต่อปัจจัยภายใน :
การเรียนร้กู ารคายน้าของใบหม่อนในระยะท่ีมีการเจรญิ เติบโตเตม็ ที่ (ระบชุ ่วงอายุ)

วธิ กี ารศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ีศึกษา : การคายน้าของใบหม่อน
ขอบเขตของการศกึ ษา : ในระยะที่มีการเจรญิ เตบิ โตเต็มที่ (ระบุชว่ งอายุ) และสถานที่
3. เรียนรดู้ า้ นพฤตกิ รรม
เป็นการเรยี นร้เู รื่องที่ไดก้ าหนด โดยแสดงวสั ดุ อุปกรณ์ วธิ ีการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ (ออกแบบตาราง
บันทึก) และสรปุ ผลการเรียนรู้

1.3.2 เรยี นรู้การเปล่ียนแปลงด้านพฤตกิ รรม
เปน็ การเรียนรู้ปจั จัยชีวภาพ (พชื ) ในแตล่ ะชว่ งอายุ อย่างน้อย 4 ชว่ งอายุ ทกุ ส่วนประกอบของพืช
ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล เมลด็ โดยมกี ารเรยี นรพู้ ฤตกิ รรมท่ีมกี ารตอบสนองต่อปจั จัยภายใน และภายนอก ทมี่ ี
ผลต่อการเจริญเติบโตของพืช การตอบสนองต่อปจั จยั ภายนอก เช่น การหบุ การบาน การคายน้ า การรว่ ง
การโน้มเข้าหาแสง การลูล่ ม การเปล่ยี นสี การตอบสนองต่อปัจจัยภายใน เช่น ฮอรโ์ มน
1. การกาหนดปจั จยั ในการเรยี นรู้
1.1 เลอื กพชื ศึกษาในระยะที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่ ครบทุกสว่ นประกอบ
วิธกี ารศึกษา ตัวแปรท่ศี กึ ษา ขอบเขตการศกึ ษา
1.2 ระบุอายุของพืช อย่างน้อย 4 ชว่ งอายุ
1.3 กาหนดจานวนของพืชศกึ ษาให้เพียงพอกบั จานวนผู้เรียน โดยพิจารณาจากการจัดกลุ่มและการ
วางแผนการทดลอง ซง่ึ รวมถงึ การเกบ็ ขอ้ มูลซ้าเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่มี ีความแมน่ ยาและน่าเชื่อถือ เช่น ระดบั
ประถมศึกษา อยา่ งน้อยจานวน 5 ซ้า ระดับมธั ยมศกึ ษา อย่างนอ้ ยจานวน 10 ซา้
2. การกาหนดเร่อื งท่ีจะเรยี นรู้

2.1 เรื่องท่ีจะเรยี นรู้ เชน่ การหุบ การบาน การคายนา้ การรว่ ง การโนม้ เขา้ หาแสง การล่ลู ม
การเปลย่ี นสฯี ลฯ

2.2 สว่ นประกอบของพืช เช่น ราก ลาต้น ใบ ดอก ผล เมล็ด
2.3 นาสว่ นประกอบของพชื มากาหนดเร่อื งทจ่ี ะเรยี นรู้

วิธีการศึกษา ตัวแปรที่ศึกษา ขอบเขตทศี่ ึกษา

ตวั อยา่ งเร่ืองที่จะเรียนรู้:
การเรยี นรู้การคายน้าของใบหม่อนในแตล่ ะช่วงอายุ(ระบุชว่ งอายุ)

วิธีการศึกษา : การเรียนรู้
ตัวแปรท่ศี กึ ษา : การตอบสนองต่อฮอรโ์ มนของรากพริกข้ีหนู
ขอบเขตของการศึกษา : ในแตล่ ะช่วงอายุ (ระบุชว่ งอาย)ุ และสถานที่
3. เรยี นรกู้ ารเปล่ยี นแปลงดา้ นพฤติกรรม

เป็นการเรียนร้เู ร่ืองท่ีไดก้ าหนด โดยแสดงวสั ดุ อุปกรณ์ วธิ ีการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ (ออกแบบตาราง
บนั ทึก) และสรุปผลการเรยี นรู้

(109)
ลาดบั การเรียนรู้ท่ี 2
เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงและความแตกต่าง
วัตถปุ ระสงค์
1. เพ่อื ร้กู ารเปรียบเทียบการเปล่ยี นแปลงและความแตกตา่ งระหวา่ งพืชกับตน / คน
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนรวู้ ธิ ีการเปรยี บเทยี บการเปล่ียนแปลงและความแตกต่างระหว่างพืชกบั ตน / คน
1.1 วิธกี ารสรปุ ผลการเรียนรกู้ ารเปลยี่ นแปลงของพืช โดยน าผลการเรยี นรกู้ ารเปลีย่ นแปลง
(รูปลักษณ์ คณุ สมบัติ พฤติกรรม) มาสรปุ ผลในแตล่ ะระยะการเจรญิ เตบิ โต

1.2 วธิ ีการเรียนร้กู ารเปล่ียนแปลงของคนในเรื่องของรูปกายตน / คน สมรรถภาพจติ อารมณ์
พฤติกรรม ของตน / คน

1.2.1 รูปกายตน / คน เปน็ การเรียนรู้รูปกาย เชน่ รปู ร่าง รปู ทรง สี ผิว ขนาด ลักษณะ เป็น
ตน้ ของผู้เรียน (ตน) 1 ระยะ และผอู้ นื่ (คน) ในระยะตา่ ง ๆ บนั ทึกผลเพ่ือน าข้อมูลที่ไดม้ าเปรียบเทียบกบั
รปู ลักษณ์ของพืช

(110)
1.2.2 สมรรถภาพ เปน็ การเรยี นรู้สมรรถภาพ เชน่ ความสามารถในการเดนิ ความสามารถใน
การวิ่ง ความสามารถทางความคดิ ความจา เปน็ ต้น ของผู้เรียน (ตน) 1 ระยะ และผอู้ ่นื (คน) ในระยะต่าง ๆ
บนั ทึกผลเพ่ือนาข้อมูลที่ได้มาเปรยี บเทียบกบั คณุ สมบตั ิของพืช
สมรรถภาพ คือ น. ความสามารถ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 หน้า 1128)

1.2.3 จติ อารมณ์ และพฤติกรรม เป็นการเรียนรู้ จติ อารมณ์และพฤติกรรมของตน เช่น
การดีใจ การเสยี ใจ การไมส่ บายใจ การหงุดหงดิ เป็นต้น ของผู้เรยี น (ตน) และผูอ้ ื่น (คน) ในช่วงเวลาหน่งึ
บันทกึ ผลเพ่ือนาข้อมูลท่ีได้มาเปรียบเทยี บกบั พฤติกรรมของพชื

จิต คือ น. ใจ สิ่งท่มี หี น้าที่รู้ คิดและนึกถึง (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 หนา้ 312)
อารมณ์ คือ น. สง่ิ ทย่ี ดึ หนว่ งจิตโดยผา่ นทางสายตา หจู มูก ลน้ิ กายและใจ (พจนานุกรม ฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน 2542 หน้า 1367)
พฤตกิ รรม คือ น. เหตกุ ารณท์ เี่ ปน็ มาหรอื ท่จี ะเป็นไป ความเป็นไปในเวลากระทาการ (พจนานุกรม
ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน 2542 หน้า 768)

2. เรยี นรกู้ ารเปรยี บเทยี บการเปลย่ี นแปลงและความแตกต่างระหว่างพชื กับตน / คน
2.1 เรียนรกู้ ารเปรยี บเทยี บข้อมลู ด้านการเปลี่ยนแปลงด้านรปู ลักษณ์กับรูปกายตน / คน เป็นการ

นาผลการเรยี นรกู้ ารเปลย่ี นแปลงด้านรูปลักษณ์ของพชื ในส่วนประกอบต่างๆ นามาพจิ ารณาเปรยี บเทยี บกับ
ส่วนตา่ ง ๆ ของรูปกายตน / คน

2.2 เรียนรู้การเปรียบเทียบข้อมูลดา้ นการเปลย่ี นแปลงคณุ สมบัตกิ บั สมรรถภาพของตน / คน เป็น
การน าผลการเรยี นร้กู ารเปลี่ยนแปลงดา้ นคุณสมบัตขิ องพืชในสว่ นประกอบต่าง ๆ น ามาพิจารณา
เปรยี บเทียบกบั สมรรถภาพของตน / คน

(111)

2.3 เรยี นรกู้ ารเปรยี บเทียบข้อมลู ด้านการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมกับจติ อารมณ์และพฤติกรรมของ
ตน / คน เปน็ การนาผลการเรียนรูก้ ารเปล่ียนแปลงด้านพฤติกรรมของพืชในส่วนประกอบต่าง ๆ นามา
พจิ ารณาเปรยี บเทยี บกับจิต อารมณ์ พฤติกรรมของตน / คน

ลาดบั การเรยี นร้ทู ี่ 3
สรุปองค์ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการศกึ ษาธรรมชาติแห่งชีวิต
วตั ถุประสงค์
1. เพอ่ื รู้วธิ กี ารสรุปองค์ความรจู้ ากการศกึ ษาธรรมชาติ
แห่งชวี ิต
กระบวนการเรียนรู้
1. เรยี นรู้วธิ ีการสรปุ องค์ความรูก้ ารศึกษาดา้ นรปู ลกั ษณ์
1.1 สรุปความรู้ ดา้ นรูปลักษณ์ของพืชศกึ ษา
นาความรูท้ ั้งหมดท่ไี ดจ้ ากผลการศึกษาด้านรปู ลักษณ์ของพืชมาสรปุ และบันทกึ ผล
1.2 สรุปความรู้ ดา้ นรูปกายของตน / คน
นาความรทู้ ง้ั หมดทีไ่ ด้จากผลการศึกษาด้านรปู กายของตน / คน มาสรุปและบนั ทกึ ผล
1.3 สรุปองคค์ วามรู้ดา้ นรปู ลกั ษณ์
นาความร้ทู ัง้ หมด ด้านรูปลักษณ์ของพืชศึกษา และความรู้ดา้ นรปู กายของตน / คน มาสรปุ
เปน็ องค์ความรดู้ ้านรปู ลักษณ์ เพอื่ ใหเ้ ห็นการเปลย่ี นแปลง มีความแตกต่างสามารถนาไปสรุปใหเ้ กิดเปน็ องค์
ความรู้และสิ่งท่ีผ้เู รียนคน้ พบนาไปสูค่ วามเขา้ ใจในชวี ติ
2. เรียนรูว้ ธิ กี ารสรปุ องคค์ วามรกู้ ารศึกษาดา้ นคุณสมบัติ
2.1 สรุปความรู้ ด้านรูค้ ณุ สมบัติของพืชศกึ ษา
นาความรทู้ ง้ั หมดทไ่ี ดจ้ ากผลการศึกษาด้านคุณสมบัติของพืชมาสรุปและบันทึกผล
2.2 สรปุ ความรู้ ดา้ นสมรรถภาพของตน/คน
นาความรู้ทั้งหมดท่ไี ดจ้ ากผลการศึกษาด้านสมรรถภาพของตน/คน มาสรุปและบนั ทึกผล
2.3 สรุปองค์ความรู้ด้านคุณสมบตั ิ
นาความรูท้ ้งั หมด ดา้ นคณุ สมบตั ิของพชื ศึกษา และความรู้ดา้ นสมรรถภาพของตน/คน มาสรุป
เป็นองค์ความรดู้ า้ นคุณสมบัติ เพื่อใหเ้ หน็ การเปลี่ยนแปลง มีความแตกต่างสามารถนาไปสรปุ ให้เกดิ เปน็ องค์
ความร้แู ละสงิ่ ท่ีผเู้ รียนคน้ พบนาไปสู่ความเขา้ ใจในชีวติ
3. เรยี นร้วู ธิ ีการสรปุ องคค์ วามรู้การศกึ ษาดา้ นพฤติกรรม
3.1 สรุปองคค์ วามรู้ ดา้ นพฤติกรรมของพชื ศกึ ษา
นาความรทู้ ้ังหมดที่ไดจ้ ากผลการศึกษาด้านพฤตกิ รรมของพชื มาสรุปและบันทึกผล
3.2 สรปุ องค์ความรู้ ดา้ นจิต อารมณ์ และพฤติกรรมของตน/คน
นาความร้ทู ั้งหมดท่ไี ด้จากผลการศึกษาด้านจิต อารมณ์ และพฤตกิ รรมของตน/คน มาสรปุ และ
บนั ทกึ ผล

(112)
3.3 สรุปองคค์ วามรู้ดา้ นพฤติกรรม

นาความรู้ท้ังหมด ดา้ นพฤติกรรมของพืชศึกษา และความรดู้ ้านจติ อารมณ์ และพฤตกิ รรมของ
ตน/คน มาสรุปเปน็ องคค์ วามร้ดู า้ นพฤติกรรม เพอ่ื ใหเ้ หน็ การเปล่ยี นแปลง มีความแตกต่างสามารถนาาไปสรุป
ใหเ้ กดิ เปน็ องค์ความร้แู ละส่งิ ท่ีผเู้ รียนคน้ พบนาไปสคู่ วามเข้าใจในชีวิต

ลาดับการเรียนรทู้ ่ี 4
สรปุ แนวทางเพ่ือนาไปสู่การประยกุ ตใ์ ช้ในการดาเนนิ ชีวิต
วตั ถุประสงค์
1. เพ่อื รูว้ ิธกี ารนาองค์ความรูไ้ ปประยุกต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวติ
กระบวนการเรยี นรู้
1. เรียนร้วู ธิ กี ารน าองคค์ วามรดู้ ้านรปู ลักษณ์ไปประยุกต์ใชใ้ นการด าเนนิ ชวี ิต
นาองคค์ วามรู้และส่ิงทผ่ี ้เู รียนคน้ พบดา้ นรปู ลักษณ์ไปกาหนดเป็นแนวคิด แนวทาง ใหส้ ามารถดาเนนิ
ชีวิตอย่างเข้าใจ เข้าใจธรรมชาตริ อบตน รแู้ ละเข้าใจคนรอบขา้ ง เพื่อนรว่ มงาน มีความเขา้ ใจตน ดารงตนอยา่ ง
มคี วามสขุ
2. เรยี นรู้วธิ ีการนาองค์ความรู้ด้านคุณสมบตั ิไปประยุกต์ใชใ้ นการดาเนนิ ชวี ติ
นาองคค์ วามรู้และสิ่งทผี่ เู้ รียนค้นพบด้านคุณสมบัติไปกาหนดเปน็ แนวคิด แนวทาง ใหส้ ามารถดาเนนิ
ชวี ิตอยา่ งเขา้ ใจ เข้าใจธรรมชาตริ อบตน รู้และเข้าใจคนรอบข้าง เพ่ือนรว่ มงาน มีความเข้าใจตน ดารงตนอยา่ ง
มคี วามสขุ
3. เรียนรวู้ ธิ กี ารนาองค์ความรูด้ า้ นพฤตกิ รรมไปประยกุ ต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวิต
นาองคค์ วามรู้และส่ิงท่ีผเู้ รียนคน้ พบดา้ นพฤตกิ รรมไปกาหนดเปน็ แนวคิด แนวทาง ให้สามารถ
ดาเนนิ ชวี ิตอยา่ งเข้าใจ เข้าใจธรรมชาตริ อบตน รแู้ ละเข้าใจคนรอบข้าง เพ่ือนรว่ มงาน มีความเข้าใจตน ดารง
ตนอยา่ งมีความสขุ
ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ
ดา้ นวิชาการ
1. พฤกษศาสตร์เช่น ช่ือวทิ ยาศาสตรช์ อื่ วงศ์ข้อมลู ลักษณะพรรณไม้
2. ชวี วทิ ยา เชน่ วงจรชีวิต
3. นเิ วศวิทยา เชน่ ขอ้ มลู ถ่ินอาศัย ดนิ นา้ ลม แสงแดด ความสมั พนั ธ์ระหว่างปจั จัย
4 สรีรวิทยา เช่น การเปลีย่ นแปลงรปู ลกั ษณ์การเจริญเติบโต การคายน้า การสงั เคราะห์
ดว้ ยแสง
5. เกษตร เชน่ การปลกู การดแู ลรักษา
6. วทิ ยาศาสตร์เช่น การสงั เกต การบันทึก การเปรียบเทียบ
7. ภาษา เชน่ การเขยี นบรรยาย
8. สงั คม เชน่ พฤตกิ รรมการตอบสนองและแสดงออก
9. ศลิ ปะ เช่น การวาดภาพ การถ่ายภาพ


Click to View FlipBook Version