The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by goi_dudee, 2021-05-01 23:26:04

รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ

รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ

Keywords: ศึกษานิเทศก์

ทางานร่วมกันและเรียนรู้ของผู้เรียน และตรวจสอบ สะท้อนผลการปฏิบัติท้ังในส่วน บุคคลและผลท่ี
เกิดขึ้นโดยรวม ผ่านกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ การวิพากษ์วิจารณ์ การทางาน ร่วมกัน การร่วมมือ
รวมพลัง โดยม่งุ เน้นและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้อยา่ งเปน็ องค์รวม

สมาชกิ ในชมุ ชนการเรียนรูท้ างวชิ าชพี

ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพจะประกอบไปด้วย กลุ่มของนักการศึกษา กลุ่มผู้บริหาร กลุ่ม
ครูผู้สอน และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซ่ึงหมายถึงนักเรียนและอาจหมายรวมไปถึงกลุ่ม ผู้ปกครอง โดย
สมาชิกเหล่านี้จะมีหน้าที่ร่วมกันวางเป้าหมายการเรียนรู้ของผู้เรียนร่วมกัน และ ตรวจสอบผลการปฏิบัติ
ท้ังในส่วนบุคคลไปจนกระทั่งผลท่ีเกิดข้ึนโดยรวมเพ่ือปรับปรุงความเป็น วิชาชีพอย่างต่อเนื่องและ
สํม่าเสมอ (Annenberg Institute for School Reform, 2013) ส่วน Hord, Roussin and Sommers
(2010) ได้อธิบายเก่ียวกับสมาชิกในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพไว้ว่า สมาชิกในชุมชนการเรียนรู้ทาง
วิชาชีพสามารถจัดเป็นโครงสร้างหลัก 2 ส่วน คือ 1)สมาชิกส่วนท่ี เป็นครูผู้สอน หรือ Grade-level
team ซึ่งเป็นกลุ่มของครูผู้สอนในแต่ละระดับ ส่วนใหญ่ใช้ในการ รวมกลุ่มของสมาชิกครูผู้สอนระดับ
ประถมศกึ ษา หรอื Subject matter team ซง่ึ เป็นกล่มุ ของ ครูผู้สอนในแต่ละรายวิชาหรือกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ใช้ในการรวมกลุ่มของสมาชิกครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษา และ 2)สมาชิกส่วนท่ีเป็นนักการศึกษา
หรือผู้เชย่ี วชาญ ซ่งึ หมายรวมถึงผู้บริหาร นัก การศึกษา ศึกษานิเทศก์ที่มีความรู้ความเช่ียวชาญในการให้
ความช่วยเหลอื แลกเปล่ยี นหรือเรียนรู้ ไมว่ ่าจะในด้านหลกั สูตร แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ
ความต้องการของผู้เรียน เพ่ือ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรูไ้ ดด้ ีท่ีสดุ

คุณลักษณะสาคัญทีท่ าให้เกิดชุมชนการเรยี นร้ทู างวชิ าชีพ

ในการกล่าวว่าโรงเรียนใดเกิดหรือมี PLC น้ัน นอกจากจะต้องประกอบด้วยสมาชิกซ่ึง เป็นกลุ่ม
บุคคลดังท่ีกล่าวไปแล้วนั้น การรวมตัวกันของสมาชิกชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพยังต้อง ประกอบด้วย
คณุ ลักษณะสาคัญ โดยมกี ารกลา่ วถงึ คุณลกั ษณะสาคญั ทีจ่ ะทาให้เกิด PLC ไว้อย่าง หลากหลาย อย่างไรก็
ตามสามารถสรุปคุณลักษณะสาคัญที่ทาให้เกิด PLC ได้ 5 ประการ คือ (Martin, 2011, Hord, Roussin
& Sommers, 2010, Annenberg Institute for School Reform, 2013, Richard DuFour, 2007)

1. การมีบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน (Shared values and vision) สมาชิกในชุมชน
การเรียนรู้ทางวิชาชีพต้องมีบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน ซ่ึงเป็นหลักการพื้นฐานสําคัญเน่ืองจาก
การมีพันธกิจที่ชัดเจนร่วมกันจะเป็นพ้ืนฐานท่ีสําคัญสําหรับการพัฒนาเป็นชุมชนการเรียนรู้ หรือ

Learning Community ในโรงเรียน ดังน้ันครูผู้สอนท่ีเป็นสมาชิกใน PLC จึงต้องมีบรรทัดฐาน
คา่ นยิ ม และความเชอื่ เก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ร่วมกัน

2. การร่วมกันรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน (Collective responsibility for
students learning) ผลการเรียนรู้ท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในตัวนักเรียนนั้นย่อมต้องอาศัยแนวทางและ
กลยุทธท์ ีห่ ลากหลาย โดยสิ่งเหล่านี้จะเกิดข้นึ ไดจ้ ากความคาดหวงั ท่ีครูผู้สอนมีต่อนักเรียนใน ระดับสูง
และอยู่บนฐานความเชือ่ ท่ีว่านักเรยี นทุกคนสามารถเรียนร้ไู ด้ ซ่ึงเป็นการวางเป้าหมาย เพื่อพัฒนาการ
จดั การเรยี นร้แู ละพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของผู้เรียน โดยเป็นการ วางเป้าหมายร่วมกันของครู
ท่ีเป็นสมาชกิ ในชุมชนการเรียนร้ทู างวิชาชพี ทกุ คน

3. การสืบสอบเพ่ือสะท้อนผลเชิงวิชาชีพ (Reflective professional inquiry) การพูดคุย
สนทนากันระหว่างสมาชิกในชุมชนการเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างครูผู้สอน ผู้เชี่ยวชาญ นัก
การศึกษาและผบู้ รหิ ารเก่ยี วกับการปฏบิ ัตงิ านสอนและการจดั การเรยี นร้เู พื่อสะท้อนผลการปฏิบัติ รวมทั้ง
ร่วมกันเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติที่ช่วยให้การเรียนรู้ของนักเรียนเกิดได้ดีข้ึน ซึ่งการ สะท้อนผลและ
การช้ีแนะการปฏิบัติจะเป็นเคร่ืองมือหรือกลไกในการทบทวนประเด็นพื้นฐาน สาคัญท่ีจะก่อให้เกิดผล
ทางบวกต่อการเรียนการสอนและคุณภาพการจัดการศึกษาในโรงเรียน หรือช่วยพัฒนาการจัดการเรียนรู้
และส่งผลให้นกั เรียนมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นสูงขน้ึ

4. การร่วมมือรวมพลัง (Collaboration) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพให้ความสําคัญกับ
การร่วมมือรวมพลังโดยการร่วมมือรวมพลังนี้จะต้องเป็นการร่วมมือรวมพลังของครูในภาพรวม
ทั้งหมดของโรงเรียน และส่ิงสําคัญของการร่วมมือรวมพลังในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ คือ การ
ดําเนินกิจกรรมเพ่ือมุ่งไปสู่ความสําเร็จภายใต้เป้าหมายเดียวกัน ท้ังนี้การร่วมมือรวมพลังจะให้
ความสําคัญกับความรู้สึกพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของสมาชิกในชุมชนระหว่างการดําเนินกิจกรรม
เพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายท่ีวางไว้ เช่น เกิดการแลกเปล่ียนเทคนิคการสอน สื่อและแหล่งการเรียนรู้ และ
แนวทางการจดั การเรียนรตู้ า่ งๆ

5. การสนับสนุนการจัดลาดับโครงสร้างและความสัมพันธ์ของบุคลากร (Supportive
conditions structural arrangements and collegial relationships) การเตรียมพร้อมในด้าน การ
สนับสนุนให้บุคลากรหรือสมาชิกในชุมชนได้มีโอกาสสังเกตการสอน วิพากษ์วิจารณ์และสะท้อน การ
ปฏิบตั งิ าน รวมท้งั การสอนของเพ่ือนรว่ มงานและของชมุ ชนการเรียนรูเ้ พือ่ มุง่ เนน้ กระบวนการ เรียนรู้ท่ีจะ
เกิดขึ้นในชุมชนและส่งเสริมผลสัมฤทธ์ิที่จะเกิดขึ้นในตัวผู้เรียนจะช่วยสนับสนุนให้เกิด ชุมชนการเรียนรู้
ทางวชิ าชพี ได้อยา่ งสมบรู ณ์

องค์ประกอบทั้ง 5 องค์ประกอบดังกล่าวข้างต้น ไม่มีลักษณะเป็นลาดับขั้น หรือ Hierarchy แต่เป็น
ลักษณะท่ีใช้แบง่ แยกให้เห็นความแตกต่างระหว่าง PLC กับชุมชนหรือการ รวมกลุ่มในโรงเรียนโดยท่ัวไป
นอกจากน้ี Hord, Roussin and Sommers (2010) ได้อธบิ ายวา่ ชุมชน การเรียนรทู้ างวิชาชีพยังสามารถ
พิจารณาได้ในอีกลักษณะ คือ นอกจากจะประกอบด้วย องค์ประกอบหลักท้ัง 5 ประการแล้ว ยังสามารถ
พจิ ารณาไดใ้ นอีกลักษณะ คอื องค์ประกอบเหล่านี้ ยังจัดเป็นองค์ประกอบภายนอกหรือกระบวนการที่ทา
ให้เกิดองค์ความรู้ซ่ึงเป็นผลลัพธ์ท่ีสาคัญของ ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยความสัมพันธ์ของ
องค์ประกอบที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ชุมชนการ เรียนรู้ทางวิชาชีพจะประกอบด้วย 1)ส่วนที่เป็นผลลัพธ์ คือ
องค์ความรู้ที่เกิดข้ึนจากการรวมกลุ่ม และสมาชิกชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพสามารถนาความรู้ดังกล่าว
ไปประยุกต์ใช้ และ 2) คุณลักษณะสาคัญท่ีก่อให้เกิดองค์ความรู้ โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวสามารถแสดง
ได้ดงั แผนภาพ

KNOWledge

มีบรรทดั ฐาน ค่านิยมร่วมกนั

สนบั สนนุ ความสัมพนั ธ์ คณุ ลกั ษณะสําคญั ที่ ร่วมกันรับผดิ ชอบ
บคุ ลากร ก่อใหเ้ กิดองค์ความรู้ การเรยี นรู้ของผเู้ รยี น

รว่ มมือ รวมพลงั องค์ความรู้ท่ีเกิดข้ึนจาก การ
รวมกลุ่มและสมาชกิ PLC สามารถ
นาความรู้ ดังกล่าวไปประยกุ ตใ์ ช้

สืบสอบ เพือ่ สะทอ้ นผลเชิงวิชาชีพ

ภาพที่ 2.14 แสดงความสมั พันธ์ขององคป์ ระกอบของชุมชนการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ

แนวทางในการสรา้ งชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ
จากการศึกษากระบวนการทางานของครูท่ีเป็นสมาชิกในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ พบว่า มี
แนวทางท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้ภายในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพหรือ PLC (Hord, Roussin &
Sommers, 2010) ดงั นี้

1. ครูผู้สอนและสมาชิกในกลุ่มร่วมกันระบุเป้าหมายการเรียนรู้ของผู้เรียน หรือผลการ
เรยี นรู้ทค่ี าดหวงั ทจ่ี าเป็นต้องให้ความสาคญั เป็นพเิ ศษ

2. ครูผู้สอนและสมาชิกในกลุ่มร่วมกันสะท้อนผลการปฏิบัติการสอนการจัดการเรียนรู้
และสิ่งทม่ี ีผลกระทบกับผลการเรียนรูข้ องผู้เรยี น

3. ครูผู้สอนและสมาชิกในกลุ่มร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจเลือกแนวทางที่ควรจัด
ใหก้ ับผูเ้ รียน เพ่อื ชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้ได้ดที ี่สุด โดยพิจารณาจากขอ้ มลู ท่มี ีอยู่

การจัดการเรยี นรู้แต่ละคร้งั นัน้ จะพบว่านกั เรียนมคี วามตอ้ งการท่ีหลากหลายแตกต่าง กันไป

ครูผู้สอนจึงไม่สามารถจัดการเรียนรู้แบบเฉพาะเจาะจงหรือใช้แนวทางในการจัดการเรียนรู้ ท่ีเหมือนกัน
ทุกคร้ังได้ ดังนั้นในการเตรียมการสอนหรือวางแผนการสอนแต่ละครั้ง ครูผู้สอนที่ เป็นสมาชิกในชุมชน
การเรยี นร้ทู างวชิ าชีพควรแลกเปล่ียนเรียนรู้รว่ มกนั ในประเดน็ ตอ่ ไปนี้

1. ระบขุ อบเขตความรทู้ ่สี าคญั ท่ีนกั เรยี นควรไดเ้ รียนร้แู ละพจิ ารณาเลอื กจากส่ิงท่สี าคญั ทสี่ ุด

2. กาหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาและสัมพันธ์กับความต้องการ ของ
ผู้เรียน ระยะน้ีเป็นระยะท่ีต้องอาศัยการเรียนรู้ทางวิชาชีพในการเลือกใช้และพัฒนาเทคนิค วิธีการสอน
แนวทาง รวมท้ังรูปแบบการสอนทมี่ ีประสิทธิภาพมากทส่ี ุด

3. ยอมรับเทคนิค วิธีการสอน แนวทาง รวมท้ังรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เป็นองค์ ความรู้ใหม่
หรอื สิง่ ท่ีครูผู้สอนเกดิ การเรยี นรจู้ ากการนาองค์ความรไู้ ปประยกุ ต์ใช้

4. ตัดสินใจเลือกแนวทางท่ีเหมาะและนาไปปรับใช้ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ของ
ผู้เรียนและของครผู ู้สอนทเ่ี ปน็ สมาชกิ ใน PLC อยา่ งตอ่ เนือ่ ง เพื่อพฒั นาแนวทางจัดการเรียนรู้ ของตนให้มี
ประสิทธิภาพมากขน้ึ

5. วางแผนการทางานรว่ มกนั เพือ่ ทดลองใช้แนวทางการจดั การเรียนรูท้ ่ีร่วมกันพฒั นาขน้ึ

6. พิจารณาใชแ้ ผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ผี า่ นการปรับปรงุ แกไ้ ขอีกครงั้ โดยอาจให้ผู้สอน ท่านอื่นนา
แผนดังกลา่ วไปใชเ้ พอ่ื ประเมินผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของผ้เู รียน

7. ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ จนได้แผนการจัดการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพและ
เหมาะสมกบั บรบิ ทมากท่สี ดุ

นอกจากแนวทางการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพดังท่ีเสนอไปแล้วนั้น Murphy and Dale
(2005) ยังได้เสนอแนวทางสาคัญท่ีควรใช้เพ่ือให้ครูเกิดการรวมกลุ่มและเกิดการทางาน แบบร่วมมือรวม
พลัง ซึ่งจะทาให้ในโรงเรยี นเกิดชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชพี ขน้ึ โดยการสร้าง กลุ่มหรอื ทมี ไดแ้ ก่

กลุ่มคณะกรรมการ (Committees) เป็นการรวมกลุ่มของสมาชิกในโรงเรียนตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป
โดยสมัครใจ ส่วนใหญ่มักเป็นลักษณะงานด้านการบริหารที่มีการกาหนดวัตถุประสงค์ไว้ ล่วงหน้า โดยมี
งานท่ีได้รับมอบหมายเป็นจุดเน้นในการสืบสอบหาแนวทางในการแก้ปัญหาและ พัฒนาเพ่ือนาไปทดลอง
ใช้

กลุ่มวิพากษ์ (Critical Friends Group) เป็นการรวมกลุ่มของครูผู้สอนท่ีมีความสนใจ ตรงกัน
รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญหรือท่ีปรึกษาของกลุ่ม โดยในแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกไม่เกิน 12 คน เพื่อ พบปะและ
แลกเปล่ยี นเรยี นรู้รว่ มกัน รวมท้ังฝกึ วางแผนและพัฒนาแนวทางการจัดการเรียนรู้อย่าง น้อยเดือนละคร้ัง
ตามข้อตกลงท่ีวางไว้ โดยมีจุดมงุ่ หมายหลักอยทู่ ่กี ารเรียนรขู้ องนกั เรยี น

กลุม่ ใหค้ าปรึกษา (Peer Coaching Team) เป็นการรวมกลุ่มของครูผู้สอน 2-3 คน เพ่ือ ร่วมกัน
วางแผนการจัดการเรียนรู้และทาการสังเกตการณ์สอนเพ่ือนครูผู้สอนที่เป็นสมาชิกในกลุ่ม จากน้ันจึงให้
ข้อสงั เกต คาแนะนา และข้อเสนอแนะเพือ่ พฒั นาแนวทางการจัดการเรยี นรใู้ ห้ สมบูรณย์ ิ่งขึน้

กลุ่มเรียนรู้ (Study Groups/ Independent or Stand-Alone) เป็นกลุ่มที่เรียนรู้การปฏิบัติ
จากกลุ่มการเรยี นรู้ย่อยๆ กลมุ่ อ่นื หรอื สมาชกิ คนอ่ืนในชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวิชาชพี ในกรณนี ี้อาจ

เป็นการเรียนรูข้ องสมาชิกครูผู้สอนที่อยู่โรงเรียนต่างกันได้ โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ท่ีการเรียนรู้ใน ประเด็นท่ี
ตนสนใจ เพอ่ื ให้มีความรคู้ วามเข้าใจในประเด็นเพมิ่ มากขนึ้

ทีมวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research Team) การวิจัยเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการ
ปฏิบัติงานของบุคคลหรือหน่วยงาน เป็นกระบวนการวิจัยท่ีเกิดข้ึนจากการปฏิบัติงานจริง โดย คานึงถึง
บรบิ ททางการศกึ ษา

ชมุ ชนการเรียนรูย้ อ่ ย (Small Learning Community) เป็นการรวมกลุม่ ของสมาชกิ สว่ น หน่ึงใน
โรงเรียนท่ีมีภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบใกล้เคียงกัน เช่น สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ เดียวกัน
ประจาระดับชั้นเดียวกัน เป็นต้น เพื่อร่วมแลกเปล่ียนเรียนรู้ ให้ข้อแนะนาเพื่อพัฒนาการ จัดการเรียนรู้
และพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของผู้เรียนใหส้ งู ขึน้

นอกจากการสร้างกลุ่มหรือทีมแล้ว กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในชุมชนการ เรียนรู้ทาง
วิชาชีพ เช่น การประชุมกลุ่ม (Department, Team, and Grade-Level Meetings) ซึ่งมุ่งเน้น การ

ประชุมของสมาชิกในหลายๆ ระดับ อาจเป็นกลุ่มครูผู้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน หรือระดับชั้น
เดยี วกัน หรือมีความสนใจในประเด็นเดียวกัน มารวมกลุ่มกันเพื่อมุ่งพัฒนาตาม เป้าหมายท่ีโรงเรียนหรือ
เขตพื้นท่ีกาหนดไว้ โดยใช้วิธีการพูดคุยเป็นหลัก หรือการพัฒนาบทเรียน ร่วมกัน (Lesson Study) ซ่ึง
เป็นแนวคิดการพัฒนาครูที่มีการรวมกลุ่มของครู อาจไม่จาเป็นต้องทา ในโรงเรียน หรือใช้โรงเรียนเป็น
ฐาน (school-based) โดยมุ่งท่ีการศึกษาตัวบทเรียนซ่ึงหมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ กระบวนการ
จดั การเรียนรู้ และการสังเกต สะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ ซ่ึง อยู่ในบริบทการทางานจริงและการวิจัยใน
ชัน้ เรยี น เป็นวงจรการปฏิบัติ กอ็ าจจะช่วยใหเ้ กิดการ รวมตวั กนั ของสมาชิกชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพท่ี
สมบรู ณ์ยงิ่ ขึ้น

ฮิป และ เว็ปเบอร์ (Hipp and Weber, 2008) ได้ทาการศึกษาพฤติกรรมของครูผู้สอนซ่ึง เป็น
สมาชิกในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่มีผลกระทบต่อโรงเรียน การเรียนรู้ของนักเรียน และ ได้สรุป
เก่ียวกับคุณลักษณะสาคัญที่ก่อให้เกิดความสาเร็จในการเรียนรู้ของครูผู้สอนในชุมชนการ เรียนรู้ทาง
วิชาชพี โดยกล่าวว่าการรวมตัวเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพนั้นสมาชิกในชุมชน จะต้องมีคุณลักษณะ
ร่วม กันดังน้ี มีความซื่อสัตย์ มีความเป็นํน้าหนึ่งใจเดียว มีการแลกเปล่ียน เรียนรู้ มีความเมตตากรุณา มี
ความคาดหวงั สาหรับตัวเองในระดบั สงู และทส่ี าคญั คอื มีความไว้ เนอื้ เชือ่ ใจกัน

เนอ่ื งจากเป้าหมายหลักของ PLC คือ การเรียนรู้ของสมาชิกที่เกิดข้ึนภายในชุมชน ดังน้ัน ในการ
ร่วมมือรวมพลัง แลกเปล่ียนเรียนรู้ของสมาชิกในชุมชนเพื่อให้เกิด PLC นั้น Hord, Roussin and
Sommers (2012) ระบุว่าการร่วมมือรวมพลังและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของสมาชิกในชุมชน การเรียนรู้
ทางวชิ าชีพจะตอ้ งอาศัยความหวัง หรอื HOPE ซ่ึงมคี วามหมาย ดงั นี้

H: Honesty and Humanity คือ มีความซื่อสัตย์และมีมนุษยธรรม หมายความว่า ครูผู้สอนซึ่ง
เป็นสมาชิกในชุมชนจะต้องซื่อสัตย์กับข้อมูลที่มีอยู่จริง ทั้งในแง่ของผลการเรียนของ ผู้เรียน ความรู้และ
ทักษะทตี่ นมีอยู่ รวมทงั้ กล้าท่ีจะขอความช่วยเหลอื และเรยี นรจู้ ากผู้อื่นท่ีมี ความรู้ความเชี่ยวชาญมากกว่า
เพอื่ ช่วยให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นร้ไู ดด้ ีย่ิงขึน้

0: Option and Openness คือ การมีทางเลือกและมีความจริงใจ เปิดเผย หมายความว่าใน
การจดั การเรยี นรแู้ ตล่ ะครั้งมีวิธีการหรือแนวทางหลากหลายวิธี ครูผู้สอนต้องเลือกวิธีการหรือ แนวทางท่ี
ดที สี่ ดุ และเปิดเผยขอ้ มูลท่ีเปน็ ประโยชนใ์ ห้สมาชกิ ได้รับทราบร่วมกนั

P: Patience and Persistence คือ มคี วามอดทน ความเพียรพยายาม หมายความว่า ครูผู้สอน
ต้องอดทนและเพียรพยายามเพื่อหาแนวทางท่ีดีท่ีสุดท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ที่สุด แม้ว่า

ความอดทนอาจไม่ใช่บรรทัดฐานของสังคมในปัจจุบัน แต่ความอดทนและเพียร พยายามในการค้นหา
คาตอบท่ดี ีทีส่ ดุ เปน็ ส่ิงจาเป็นในการสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรียนรทู้ างวิชาชีพ

E: Efficacy and Enthusiasm คือ ความมีประสิทธิภาพ และความกระตือรือร้น หมายความว่า
ครูผู้สอนซ่ึงเป็นสมาชิกในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพต้องเชื่อมั่นว่าประสิทธิภาพ ของครูผู้สอนส่งผลต่อ
การเรียนรู้ของนักเรียน และต้องกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองให้มี ประสิทธิภาพเพ่ือให้สามารถจัดการ
เรยี นรูใ้ หน้ กั เรยี นได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพเช่นกนั

การพฒั นาวชิ าชพี ครู โดยใช้ PLC

จากลักษณะสาคัญท่ีสรุปได้จากนิยามของ PLC ท่ีนักการศึกษาได้ให้ไว้อย่างหลากหลาย นั้น
Seashore, Anderson& Ricdel (2003) ไดใ้ ห้รายละเอยี ดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PLC ไว้ว่า PLC ไม่ได้ มุ่งเน้น
เฉพาะการกระทาที่แสดงถึงการแบ่งปันหรือการแลกเปลี่ยนของครู แต่มุ่งให้ความสาคัญใน การสร้าง
วัฒนธรรมการทางานร่วมกัน ความจริงใจของสมาชิกและการดาเนินการอย่างต่อเนื่องใน โรงเรียน และ
มุ่งเน้นไปที่การสะท้อนผลการปฏิบัติ รวมทั้งร่วมกันเสนอแนะแนวทางการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ
ของผู้เรียน โดยมีสมมติฐานคือ ส่ิงท่ีครูทาร่วมกันนอกห้องเรียนในการ วางแผน การออกแบบการจัดการ
เรียนรู้และการเตรียมการสอนมีความสาคัญเท่าๆ กับการจัดการ เรียนรู้ในห้องเรียน และกระบวนการ
ต่างๆ เหล่านี้สามารถปรับโครงสร้างของโรงเรียน พัฒนาวิชา ชีพครูและพัฒนาผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนได้
สอดคล้องกับนักการศึกษาอีกหลายท่านที่สรุปเก่ียวกับ คุณประโยชน์ของ PLC ไว้ว่า ถึงแม้การสร้าง
PLCs ในโรงเรียนจะเปน็ เร่ืองยากแต่ทว่ากลบั เป็นส่งิ ที่ช่วยปรับปรุงการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียน ได้
อย่างย่ังยืน (Louis, Kruse & Byrk, 1995 Newman & Wehlage, 1995; Hord, 1997, 2004; Olivier
& Hipp, 2006; Rosenholtz, 1989; Sackny, Mitchell & Walker, 2005; Schmoker, 2006 อ้างถึง
ใน Hipp & Weber, 2008, Cranston, 2009) โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พาณชิ (2555) กล่าวถึงบทบาทของครู
ในชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพวา่ ครูจาเป็นต้องเปลย่ี นบทบาทของตนเองและการศึกษาต้องเปลี่ยนจากท่ี
เน้นการสอนของครูมาเป็นเน้น ท่ีการเรียนรู้ของนักเรียน เปล่ียนจากเน้นการเรียนของแต่ละบุคคล
(Individual Learning) มาเป็น เรียนร่วมกันเป็นกลุ่ม (Team Learning) เปล่ียนจากการเรียนแบบเน้น
การแข่งขันมาเป็นเน้นความ ร่วมมือหรือช่วยเหลือแบ่งปันกันจึงถือเป็นการเรียนรู้ ร่วมกันไปกับ
กระบวนการเรียนรู้ของ ครูผู้สอนและสมาชิกท่ีอยู่ในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ นอกจากนี้มีงานวิจัย
จานวนหนึ่งแสดงถึง ผลทีเ่ กดิ จาก PLC วา่ สามารถชว่ ยสง่ เสรมิ สมรรถนะการสอนของครูผู้สอนได้และช่วย
ใหน้ ักเรยี น เกิด การเรียนรู้ได้ดีย่ิงขึ้น รวมทั้งมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น (Annenberg Institute for

School Reform, 2013) เน่ืองจากชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพท่ีเข้มแข็งมีประโยชน์ต่อการดาเนินงาน
ของ โรงเรียนและเขตพ้ืนที่การศึกษาในการช่วยให้ครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาสาระท่ีต้องจัด
การเรียนรู้ รวมท้ังรู้วิธีการและแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม มีความพึงพอใจในการ ทางาน
ปฏิบัติการสอนมากข้ึน จึงช่วยให้ผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนสูงข้ึนนอกจากนั้นชุมชนการเรียนรู้ ทางวิชาชีพยัง
ช่วยทาให้เกิดการปรับเปลี่ยนทางโครงสร้างวัฒนธรรมการทางานในโรงเรียน โดย ครูผู้สอนร วมท้ัง
ผู้บริหารมีโอกาสในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ผลท่ีเกิดข้ึนจากการปฏิบัติการสอนใน บรรยากาศท่ีเอื้อให้เกิด
การพัฒนา โดยมีเป้าหมายหลักรว่ มกัน คอื เพอื่ ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้ได้ดีย่งิ ขนึ้

การนาแนวคดิ PLC ไปปฏิบัตใิ นบรบิ ทไทย

ตัวอย่างโรงเรียนท่ีมุ่งพัฒนาวิชาชีพครูตามแนวคิดชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่เห็นได้ อย่าง
ชัดเจนในประเทศไทยแห่งหน่ึงคือ โรงเรียนเพลินพัฒนา โดยโรงเรียนได้ดาเนินกิจกรรม อย่างต่อเน่ืองมา
ตง้ั แตต่ น้ ปีการศกึ ษา 2554 ซ่ึงในระยะแรกน้ันการเรียนรู้ของครูภายในโรงเรียน เริ่มต้นข้ึนมาจากแนวคิด
ของการจัดการความรู้ แล้วจึงนาวิธีการพัฒนาบทเรียนร่วมกันหรือ Lesson Study เข้ามาปรับใช้ เป็น
เคร่อื งมือในการฝึกครูให้เรียนรู้ไปกับงาน ฝึกผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ และเกิดความเข้าใจในความคิด
ของตนเอง การเรียนรู้ร่วมกันของกลุ่มครูในชุมชนการเรียนรู้ทาง วิชาชีพจึงก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน
เรียนรู้รว่ มกัน และชว่ ยให้ครูใหม่ได้เรียนรแู้ บบปฏิบตั ทิ ด่ี ีของครูรุ่นพ่ี

วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวถึงความประทับใจในการไปเย่ียมชมกิจกรรม “ช่ืนใจ...ได้เรียนรู้ (ภาคครู
เพลิน) ครั้งที่ 1” ในวันที่ 17 ตุลาคม 2554 ซึ่งจัดข้ึน ณ อาคารประถมปลาย โรงเรียนเพลิน พัฒนาไว้ว่า
“สิ่งท่ีผมประทับใจที่สุด คือ ครูมีความม่ันใจในตนเอง และมีความรู้สึกปลอดภัยที่จะ เล่าทั้งความสาเร็จ
และความล้มเหลวของตนอยา่ งเปิดเผยเปิดใจ” (วิมลศรี ศุษิลวรรณ์, 2555) จะ เห็นได้ว่า บรรยากาศการ
เรียนรู้ในโรงเรียนเพลินพัฒนาเป็นการรวมตัวกันเรียนรู้ของกลุ่มครูที่เกิด เป็นวงจรการเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองอย่างตอ่ เนื่อง ซง่ึ การทางานท่มี กี ารแลกเปลี่ยนเรยี นรูก้ ันในลักษณะนีจ้ ะช่วยให้เกิดการมองเห็นงาน
ของตนจากการเรยี นรวู้ ิธีการทางานของคนอ่นื ด้วย และ นอกจากการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพให้
เกิดข้ึนในโรงเรียนเพลินพัฒนาแล้ว แนวคิด ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพยังได้แผ่ขยายไปยังโรงเรียนรุ่ง
อรณุ โดยครูบางทา่ นในโรงเรียนเพลิน พัฒนาได้มีโอกาสไปสอนท่ีโรงเรียนรุ่งอรุณ และส่ิงที่เกิดขึ้นคือ ทุก
ครัง้ ทีค่ รูท่านน้ไี ปสอน จะมี ครูของโรงเรยี นรุ่งอรุณเขา้ มานัง่ ร่วมสงั เกตการณ์ร่วมกับครูจากโรงเรียนเพลิน
พัฒนา และเรียนรู้ ฝึกฝนไปพร้อมกับผู้เรียน (วิมลศรี ศุษิลวรรณ์, 2555) การแลกเปล่ียนเรียนรู้ในชุมชน
การเรียนรู้ ทางวิชาชีพจึงเกิดข้ึนแบบข้ามโรงเรียน เป็นการปฏิวัติโครงสร้าง ระบบการทางาน และ
วัฒนธรรม การทางานในโรงเรียน จากระบบตัวใครตัวมัน มาเป็นระบบทีม หรือวัฒนธรรมรวมหมู่

(collective culture) โครงสรา้ งของระบบงาน ระบบการจัดการเรียนการสอนจะต้องปรับเปลี่ยนให้ เอ้ือ
ต่อการช่วยกนั ดาเนินการช่วยเหลือนักเรยี นทีเ่ รยี นชา้ ใหเ้ รยี นตามเพ่อื นกนั โดยท่กี ารช่วยเหลือ น้ันทาเป็น
ทีม มีหลายฝ่ายเข้ามาร่วมมือกัน และท่ีอยู่ภายในเวลาปฏิบัติงานปกติของโรงเรียน ไม่ใช่สอนนอกเวลา
ทาให้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หรือ PLC กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ ขับเคลื่อนคุณภาพของผลผลิต
ของโรงเรียน และสร้างสรรค์ให้โรงเรียนเป็นสถานที่ท่ีอยู่แล้วมี ความสุข (happy workplace) ท้ังของ
นักเรียน ครู และผู้บริหาร แล้วดาเนินการต่อเน่ืองย่ังยืนเป็น วงจร ไม่รู้จบ ซ่ึงก็คือโรงเรียนได้พัฒนาข้ึน
เปน็ องคก์ รเรยี นรู้ (Learning Organization) (วิจารณ์ พานชิ , 2555)

จากหลักการแนวคิดชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพผู้วิจัยเห็นว่าเป็นกระบวนการปรับ เปล่ียน
บรรยากาศของการทางานในองค์กรช่วยให้สมาชิกมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกันหรือชุมชน การเรียนรู้
ทางวิชาชพี อย่างเทา่ เทยี มกัน โดยมุ่งเน้นใหเ้ กดิ การเรยี นรู้และบรรลุวตั ถุประสงค์ในการ เรียนรู้ สมาชิกทุก
คนในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพจึงต้องร่วมกันคิดหาวิธีการใหม่ๆ ในการ จัดการเรียนรู้แล้วนาผลที่เกิด
ข้นึ มาปรึกษาหารอื หรือแลกเปล่ียนเรยี นรู้กัน โดยทกุ คนมคี วาม เชื่อมัน่ ในตนเองและเช่ือมั่นซึ่งกันและกัน
วา่ จะสามารถบรรลเุ ป้าหมายทีต่ งั้ ไวไ้ ด้ และสมาชกิ ทกุ คน จะเกิด การพัฒนาเนื่องจากคุณลักษณะสาคัญท่ี
ช่วยให้เกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพนั้น สมาชิกในชุมชนจะต้องมีบรรทัดฐานและค่านิยมร่วมกัน
รวมทง้ั ร่วมกนั รบั ผดิ ชอบต่อการเรียนรู้ โดยกระบวนการทสี่ มาชกิ ทุกคนต้องดาเนินการคือการสืบสอบเพื่อ
สะท้อนผลเชงิ วิชาชพี ซึง่ กระบวนการทุกอยา่ งตอ้ งอาศยั การร่วมมือรวมพลังกัน และจาเป็นต้องได้รับการ
สนับสนุนด้านการ จัดลาดับโครงสร้างและความสัมพันธ์ของบุคลากรให้เอ้ือต่อการวางแผนการจัดการ
เรียนรู้ร่วมกัน สามารถสังเกตและสืบสอบเพื่อสะท้อนผลเชิงวิชาชีพได้ ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพจึง
เปรยี บ เหมอื นเครอื่ งมอื สาหรบั ใหค้ รหู รือบุคลากรทางการศกึ ษารวมตัวกนั เปน็ ชุมชน (community) และ
กอ่ ให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงในระดบั “ปฏิรปู ” การเรียนรู้ เพือ่ พฒั นาวชิ าชพี ตอ่ ไป

งานวิจัยท่เี กย่ี วข้อง

ในการศึกษาการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ นั้น
ผู้วิจัยได้ทาการศึกษางานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องในเร่ืองนี้ไว้อย่างหลากหลายเพื่อใช้ในการอ้างอิง การศึกษาท่ี
สอดคลอ้ งกบั การดาเนินงานวิจยั ประกอบด้วย

ชัญญา อภิปาลกุล (2545 : 115) วิจัยรูปแบบการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาเพ่ือปฏิรูป การ
เรยี นรู้ในสถานศึกษา ผลการวจิ ัยพบว่า

1. รูปแบบการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา โดยพัฒนาตัวแบบการเรียนรู้สู่การปฏิบัติ (SINIPAE
Model) ประกอบดว้ ย 5 ข้นั ตอน ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง 2) เข้ารับการฝึกอบรม

แบบเข้ม 3) ฝกึ ปฏบิ ัติงานในสถานศึกษาต้นแบบ 4) นาความรู้และทักษะท่ีได้รับ ไปปฏิบัติในสถานศึกษา
5) มกี ารตดิ ตามผลเปน็ ระยะ ๆ เพอื่ นาผลไปพฒั นาตอ่ ไป

2. คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาท่ีสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ และ
เอ้อื ตอ่ การปฏริ ูปการเรยี นรู้ มดี งั น้ี 1) การบรหิ ารงานด้านวิชาการ ประกอบดว้ ย คุณลักษณะมีความรู้และ
เป็นผ้นู าดา้ นวิชาการ มีความรู้และทักษะ มีประสบการณ์ด้านการบริหาร วิชาการ สามารถใช้ความรู้และ
ประสบการณ์แก้ปัญหางานวิชาการได้ดี มีวิสัยทัศน์ทางการศึกษาที่ กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
2) การบรหิ ารงบประมาณ มคี วามเข้าใจนโยบาย อานาจหน้าท่ี และกิจกรรมในหน่วยงาน มีความรู้ระบบ
งบประมาณ เข้าใจระเบียบการคลัง วัสดุ และการเงิน มี ความซื่อสัตย์สุจริต 3) การบริหารบุคคล มี
ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในการบริหารงานบุคคล เป็นแบบอย่างท่ีดี มีมนุษย์สัมพันธ์ 4) การบริหาร
ท่วั ไป เป็นนักวางแผนและกาหนดนโยบายท่ีดี เป็นผู้ตัดสินใจ และวินิจฉัยสั่งการท่ีดี มีความรู้และบริหาร
โดยใช้ระบบสารสนเทศที่ทันสมัย เป็นผู้ มีความสามารถในการติดต่อสื่อสาร รู้จักมอบอานาจและความ
รบั ผิดชอบแกผ่ ทู้ เ่ี หมาะสม

นภาเดช บุญเชิดชู (2552: ง) วิจัยการพัฒนารูปแบบการพัฒนาสมรรถนะของผู้บริหาร โรงเรียน
ตามมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษาพบว่า 1) สมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียนตาม มาตรฐานวิชาชีพทาง
การศึกษา จานวน 20 สมรรถนะ 101 คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม 2)รูปแบบการ พัฒนามีลักษณะเป็น
รูปแบบบูรณาการการพัฒนาเพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียนมีคุณลักษณะตาม มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา
และพัฒนาประสิทธผิ ลการปฏบิ ัตงิ านผา่ นการพัฒนาสมรรถนะท่ีมี ความต้องการพัฒนาสูง 5ลักษณะย่อย
ได้แก่ ความสามารถในการบริหารงานวิชาการ ความสามารถ ในการบริหารจัดการอย่างประกันคุณภาพ
ความสามารถในการจัดระบบการปฏิบัติงาน ความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลงและ
ความสามารถในการบริหารจัดการความรู้ในองค์การ 3) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ
คา่ เฉลี่ยในระดับสูงมากเท่ากับ 4.57 -4.86 และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ค่าเฉลี่ยในระดับสูงถึงสูงมาก
เท่ากบั 4.29 – 4.86

มาเรียม นิลพันธ์ (2554: บทคัดย่อ) ได้ทาการประเมินโครงการยกระดับคุณภาพครูท้ัง ระบบ
กิจกรรมการพัฒนานิเทศแนวใหม่ พบว่า รูปแบบการนิเทศของแต่ละเขตพื้นท่ีการศึกษา ควร มีความ
หลากหลายเพื่อตอบสนองบริบทของแต่ละเขตพื้นท่ี ควรเป็นรูปธรรม โดยใช้การนิเทศแบบ บริบทเป็น
ฐาน (Context based Supervision) และการนเิ ทศแบบวิจัยเป็นฐาน (Research based Supervision)
โดยมีกระบวนการนิเทศการศึกษาประกอบด้วย 1.) วิจัยตามบริบท (Researchby Context) 2.) ร่วม
วางแผน (Planning) 3.) ร่วมดาเนินการ (Doing) 4.) ร่วมสะท้อนกลับ (Reflecting) 5.) ร่วมประเมินผล

(Evaluating) และ 6.) ร่วมปรับปรุงและพัฒนา (Improving and Developing) โดยมีการประชุมให้
ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback Workshop) ในทุกข้ันตอนของการนิเทศและ คุณลักษณะของศึกษานิเทศก์
ท่ีพึงประสงค์หรือมืออาชีพคือควรเป็นผู้ให้คาปรึกษาช่วยเหลือ (Coach)เป็นพี่เล้ียง(Mentor)เป็นผู้วิจัย
(Researcher) เป็นผู้พัฒนา (Developer) ศึกษานิเทศก์ที่พึ่ง ประสงค์ควรจะมีลักษณะ9Cs9Ts9Ssเป็นผู้
ทม่ี คี วามรูแ้ บบ 9Cs คือ มีความสามารถแบบ 9Ts และมี บุคลิกลักษณะแบบ 9Ss ดังนี้ ด้านความรู้ 9Cs;
COVER, CLEAR, CONTENT, CREATIVE, CONGRUENCE,CONCEPT, CONCRETE, CHANGE,
CONSTRUCT ด้านความสามารถ 9Ts; TARGET, TRANSFER, TACTICS,TECHNOLOGY, TEAM,
TECHNIQUE, THINKING, TREND, TEACHER OF TEACHERS ด้าน บุคลิกลักษณะ9Ss; SMART,
SMILE, SMALL, SUPER MODEL,SPIRIT, SHARING, SERVICE MIND, STANDARD,
SOCIALRELATIONSHIP

จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้มีนักการศึกษา นักวิชาการ ศึกษาค้นคว้าและ วิจัย
เก่ียวข้องกบั การปฏบิ ัตงิ านของศึกษานิเทศก์ซงึ่ มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่าศึกษานิเทศก์เป็น บุคคลที่มี
ความสาคญั ในการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา และ มบี ทบาทหน้าที่ในการให้คาแนะนา สนับสนุนช่วยเหลือ
มีส่วนร่วมในการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนและดาเนินการเกี่ยวกับ การให้การศึกษาร่วมกับ
บุคคลท่เี กี่ยวข้องให้ประสบผลดีย่ิงขึ้นโดยมุ่งเน้นให้บริการงานพัฒนาท้ัง ด้านวิชาการ กระบวนการนิเทศ
การศึกษา และการวิจัยทางการศึกษา ท้ังน้ีเพื่อการพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของประเทศเป็นเป้าหมาย
หลัก จากการนิเทศการศึกษาที่ผ่านมายังประสบปัญหาหลาย ประการ และเม่ือกระทรวงศึกษาธิการ ได้
กาหนดกรอบแนวคิด วัตถุประสงค์ขอบข่ายภารกิจหน้าที่ ให้กลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัด
การศึกษาในการปฏิบัติหน้าที่แตกต่างไปจากเดิม ตลอดจนพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการ
ศึกษาพ.ศ.2546กาหนดให้สานักงานเลขาธิการ คุรุสภาจัดทามาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษาให้กับ
มาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้มีมาตรฐานวิชาชีพในการสร้างความศรัทธา
และสร้างความเช่ือม่ันท้ังเป็นหลักประกัน ให้แก่สังคมและผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่จะได้
ศึกษานิเทศก์ที่ดีมีคุณภาพจึงเป็นเร่ืองที่น่า สนใจในการศึกษากระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศ
การศกึ ษาซงึ่ เปน็ สาระสาคญั ใน มาตรฐานวชิ าชีพศกึ ษานิเทศกเ์ พื่อจะได้กระบวนการพัฒนาสมรรถนะการ
นิเทศการศึกษาสู่ ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพที่สามารถนาไปสู่การปฏิบัติได้จริงโดยผู้วิจัยได้กาหนด
กรอบแนว คิดการวจิ ัย ดังภาพท่ี 2.16

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย

สมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่ความเปน็ ศึกษานิเทศกม์ อื อาชพี

กระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสูค่ วามเปน็ ศึกษานเิ ทศกม์ ืออาชพี

สรา้ งความ มงุ่ สกู่ ารนเิ ทศ สะท้อนวธิ ี ประยุกต์ใช้ ผลการพัฒนา
ตระหนักรู้ ภายใต้การ ปฏบิ ัติการนิเทศ สู่มืออาชพี 1.สมรรถนะการ
ปฏบิ ตั งิ าน นิเทศการศึกษา
2.ศกึ ษานิเทศก์
มืออาชีพ

หลักการ แนวคดิ ในการพฒั นาสมรรถนะ มาตรฐานการปฏบิ ัติงานของศึกษานิเทศก์ มาตรฐานท่ี 1 ปฏิบัติ
1. แนวคดิ สมรรถนะการปฏิบตั ิงาน (KSA) กิจกรรมทางวิชาการเก่ียวกับ การพัฒนาการนิเทศการศึกษา
2. การวิจยั และพัฒนา เพ่อื ให้เกดิ การพฒั นาวชิ าชพี ทางการศึกษา
3. สมรรถนะการนิเทศการศกึ ษา มาตรฐานท่ี 2 ตดั สินใจปฏิบัติกิจกรรมการนิเทศการศึกษา โดย
4. การพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ คานงึ ถึงผลทีจ่ ะเกิดแก่ผู้รับการนเิ ทศ
มาตรฐานท่ี 3 มุ่งมั่นพัฒนาผู้รับการนิเทศให้ลงมือปฏิบัติ
ทฤษฎที ่ีใชใ้ นการนเิ ทศการศึกษา กิจกรรมจนเกดิ ผลตอ่ การพฒั นาอย่างเต็มศักยภาพ
1. ทฤษฎภี าวะผนู้ าทางวชิ าการ มาตรฐานที่ 4 พัฒนาแผนการนิเทศให้สามารถปฏิบัติได้เกิด ผล
2. ทฤษฎกี ารเปลย่ี นแปลง จรงิ
3. ทฤษฎแี รงจูงใจ มาตรฐานท่ี 5 พัฒนาและใช้นวัตกรรมการนิเทศการศึกษา จน
4. ทฤษฎกี ารเรยี นรูข้ องผใู้ หญ่ เกดิ ผลงานทม่ี ีคณุ ภาพสงู ขึน้ เป็นลาดับ
มาตรฐานที่ 6 จดั กจิ กรรมการนิเทศการศึกษาโดยเน้นผล ถาวร
การนเิ ทศแนวใหม่ ท่เี กิดแกผ่ ู้รับการนิเทศ
1.การสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชพี มาตรฐานท่ี 7 รายงานผลการนิเทศการศกึ ษาไดอ้ ยา่ งเป็น
2.การนิเทศโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐานการวจิ ยั มาตรฐานที่ 8 ปฏิบัตติ นเป็นแบบอยา่ งทด่ี รี ะบบ
มาตรฐานที่ 9 ร่วมพัฒนางานกับผู้อ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์
มาตรฐานท่ี 10 แสวงหาและใช้ขอ้ มลู ขา่ วสารในการพัฒนา
มาตรฐานที่11 เป็นผนู้ าและสรา้ งผ้นู าทางวิชาการ
มาตรฐานท่ี12 สร้างโอกาสในการพัฒนางานได้ ทกุ สถานการณ์

ภาพที่ 2.15 กรอบแนวคิดในการวิจยั

บทที่ 3
วิธดี ําเนนิ การวจิ ยั

รูปแบบการวจิ ัย
การวจิ ยั ครัง้ นี้เป็นการวิจยั และพฒั นา (Research and development) ซึ่งประกอบด้วย

ขั้นตอนการดาเนินการวิจยั 4 ระยะ ดงั ต่อไปน้ี
ระยะที่ 1 ศึกษาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสคู่ วามเปน็ ศึกษานเิ ทศก์มอื อาชพี
ระยะท่ี 2 สร้างกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานเิ ทศก์ มอื

อาชีพ
ระยะท่ี 3 พฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสู่ความเปน็ ศึกษานเิ ทศก์มืออาชพี
ระยะท่ี 4 ยืนยนั กระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสู่ความเปน็ ศึกษานเิ ทศก์ มือ

อาชีพ

ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ประชากร(Population)
ในการวิจัยครั้งน้ี ประชากร ไดแ้ ก่ ศึกษานเิ ทศก์สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา ประถมศกึ ษาภูเกต็

ปีการศึกษา 2564 จานวน 16 คน
กลุม่ ตวั อย่าง (Sampling)
ศกึ ษานเิ ทศก์สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต ตรัง กระบี่ ปีการศึกษา 2564

จานวน 12 คน ซงึ่ ได้มาดว้ ยวธิ กี ารเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เขตพน้ื ทล่ี ะ 2 คน โดย
ผูว้ จิ ยั ได้กาหนดเกณฑใ์ นการคดั เลือก ดังน้ี

1. ดารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์ไมเ่ กนิ 5 ปี เน่อื งจากศกึ ษานเิ ทศก์กล่มุ นม้ี ีประสบการณ์ ในการ
นิเทศการศกึ ษานอ้ ยขาดการยอมรับจากผ้รู ับการนิเทศ ดังนั้นจงึ เปน็ กลุ่มที่เหมาะสมในการ นามาสกู่ าร
พฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่ความเป็นศึกษานเิ ทศก์มืออาชพี

2. มีความเต็มใจและต้องการเขา้ รบั การพัฒนาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสูค่ วามเป็น
ศกึ ษานิเทศก์มืออาชีพ

ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลัก (Key Informants)

การวจิ ยั คร้ังน้ีผ้วู ิจัยได้จาแนกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลกั ออกเปน็ 2 กลมุ่ ไดแ้ ก่

1. กลมุ่ ผูใ้ หข้ อ้ มูลหลกั ในการสมั ภาษณเ์ ชิงลึก (In-depth Interview of Key Informants)
ประกอบด้วย ศกึ ษานเิ ทศก์ต้นแบบ/ ศึกษานิเทศกแ์ กนนา และผเู้ ชีย่ วชาญ ผทู้ รงคุณวุฒิดา้ นการ นเิ ทศ
การศึกษาท้ังในสังกดั และนอกสังกดั สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานเกยี่ วกับ แนวคิดการ
พฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่ความเปน็ ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ โดยผู้วิจยั เลือก สมั ภาษณแ์ บบ
เจาะจง (Purposive selected) จานวน 5 ทา่ น (รายชอื่ ปรากฏในภาคผนวก ก) และมี เกณฑ์ในการ
คัดเลอื ก ดังน้ี

1.1 เปน็ ศกึ ษานิเทศกต์ น้ แบบ ศึกษานเิ ทศก์แกนนาทม่ี ผี ลงานการนิเทศการศึกษาโดย ใช้โรงเรยี น
เป็นฐานเปน็ ทีย่ อมรับของผูร้ บั การนิเทศ

1.2 เป็นผูท้ รงคณุ วฒุ หิ รือผูเ้ ชี่ยวชาญ ดา้ นการนเิ ทศการศึกษาทงั้ ในสงั กดั และนอก สงั กัด
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน

1.3 เปน็ ผ้ทู ่ีมีประสบการณ์ในการนเิ ทศการศึกษาและเป็นท่ียอมรบั ในวงการศึกษา

1.4 กรณเี ป็นศึกษานเิ ทศก์ต้องมีคุณสมบัติเป็นศึกษานเิ ทศก์ชานาญการพิเศษที่มีผลงาน การ
นิเทศโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐานทีป่ ระสบผลสาเร็จข้ึนไป

2. กลมุ่ ผใู้ หข้ ้อมลู หลักในการแสดงความคิดเห็นต่อสภาพการนิเทศการศึกษาของ ศึกษานิเทศก์ที่
เปน็ จริงและท่ีผู้รับการนเิ ทศการศกึ ษามีความตอ้ งการ ประกอบดว้ ย 1) ผู้บริหาร โรงเรียนสังกัดสานักงาน
เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จานวน 49 คน ซึ่งได้มา ด้วยการสุ่มหลายข้ันตอน (Multi-Stage
Sampling) โดยอาศัยตารางสุ่มของ Krejcie and morgan (ท่ี ระดับความเช่ือม่ัน 95%) ในการกาหนด
ขนาด 2) ครูผู้สอน จานวน 150 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่ม หลายข้ันตอน (Multi-Stage Sampling) โดย
อาศัยตารางสุ่มของ Krejcie and morgan( ที่ระดับความ เชื่อม่ัน 95%) ในการกาหนดขนาด จากครูใน
สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาเชยี งใหม่ เขต 1-6 ปรากฏดังตารางต่อไปน้ี

ตารางที่ 3.1 จานวนประชากรผใู้ ห้ข้อมูลการวจิ ยั

แหล่งขอ้ มลู ประชากร จานวนประชากร จานวนกลุ่ม
ตวั อยา่ ง
สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาภเู ก็ต ผบู้ รหิ าร
สานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา ตรังเขต 1 ครู โรงเรียน ผ้บู รหิ าร
สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษา ตรังเขต 2 ครู โงเรียน
สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษา ประถมศกึ ษากระบี่

เครื่องมือท่ใี ชใ้ นเกบ็ รวบรวมข้อมลู

การวิจัยเพื่อพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพน้ี ผู้วิจัยใช้
เครอื่ งมือเก็บรวบรวมข้อมลู ในการดาเนนิ การวจิ ยั ท้ัง 4 ระยะ โดยแบ่งเปน็ 2 กลุ่ม คือ

เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่

1. แบบวิเคราะห์เอกสาร เกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับสมรรถนะ (Competency) ของ
นักวิชาการท้ังในประเทศและต่างประเทศรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะศึกษานิเทศก์ (Competency
Model of Supervisor) การพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ ทฤษฎีท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การพัฒนาสมรรถนะการ นิเทศ
การศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ มาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เพ่ือสร้างองค์ ความรู้ในการ
พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ และนาไปสู่ การสร้าง คู่มือการ
พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ซ่ึงเป็น นวัตกรรมและ
กระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสาหรับใช้ในการพัฒนาสมรรถนะ ศึกษานิเทศก์
กลมุ่ เป้าหมาย

2. แนวการสมั ภาษณร์ ะดับลึก (Guideline of In depth Interview) ศึกษานิเทศก์ต้นแบบ หรือ
ศกึ ษานเิ ทศก์แกนนา และผู้เช่ยี วชาญ ผทู้ รงคุณวุฒกิ ารนเิ ทศการศกึ ษา

3. แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของ
ศึกษานิเทศกส์ คู่ วามเป็นมอื อาชพี ทเ่ี ปน็ จริงและท่ีผู้รบั การนิเทศการศกึ ษาต้องการ

4. แบบตรวจสอบความสอดคล้องเหมาะสมของกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศ
การศึกษาสู่ความเปน็ ศึกษานิเทศก์มอื อาชีพ

5. แบบสังเกตพฤติกรรมการนิเทศการศึกษาของศกึ ษานเิ ทศก์

6. แบบทดสอบความร้คู วามเข้าใจในสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสศู่ กึ ษานเิ ทศกม์ อื

7. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของ
ศกึ ษานิเทศก์

8. แบบสอบถามความพึงพอใจสาหรับศึกษานิเทศก์ต่อความพึงพอใจในหลักสูตรการ พัฒนา
สมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสคู่ วามเป็นศกึ ษานเิ ทศกม์ ืออาชีพ

9. แบบสารวจความต้องการสาหรับศึกษานิเทศก์ที่มีความต้องการในการพัฒนา สมรรถนะการ
นิเทศการศึกษาส่คู วามเป็นศกึ ษานิเทศก์มอื อาชีพ

เครอื่ งมือทเี่ ปน็ นวัตกรรมการพัฒนา ไดแ้ ก่ คูม่ อื การพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สู่ความ
เป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ของการอบรม วิธีการ
กระบวนการในการอบรม กิจกรรม การประเมินผล ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ และภาคผนวก (กาหนดการ
ตัวช้ีวดั ความสาเร็จ แบบสงั เกตพฤติกรรม Competency Education Supervision Dictionary เปน็ ตน้ )

การสรา้ งเคร่อื งมือ

1. แบบวิเคราะห์เอกสาร เรื่องแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับสมรรถนะ (Competency) ของ
นักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รูปแบบการพัฒนา สมรรถนะ
ศึกษานิเทศก์(Competency Model of Supervisor) ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนา สมรรถนะการ
นิเทศการศึกษาสคู่ วามเปน็ ศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชพี มาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เพื่อ สร้างองค์ความรู้ใน
การพฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มอื อาชีพ และ นาไปสู่การสร้าง คู่มือการ
พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ซึ่ง เป็นนวัตกรรมและวิธีการ
พฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสาหรบั ใชใ้ นการพัฒนาสมรรถนะ ศึกษานเิ ทศก์กลมุ่ เปา้ หมาย

1.1 ศึกษาเอกสารการสร้างแบบวิเคราะหเ์ อกสาร

1.2 สร้างแบบวิเคราะห์เอกสารเร่ืองแนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับสมรรถนะ (Competency)
ของนักวิชาการท้ังในประเทศและต่างประเทศ รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ ศึกษานิเทศก์
(Competency Model of Supervisor) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับ การ
พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ มาตรฐานวิชาชีพ
ศกึ ษานิเทศก์

1.3 นาแบบวิเคราะห์เอกสารที่สร้างข้ึนเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพ่ือ
ตรวจสอบความถูกต้องและนาไปปรบั ปรงุ แก้ไข

1.4 นาแบบวเิ คราะหเ์ อกสารที่ปรับปรุง แก้ไข แล้วเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน (รายชื่อ
ผู้เช่ียวชาญแสดงในภาคผนวก ข) ตรวจสอบความถูกต้อง และ ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา
(Content Validity) แล้ววิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective
Congruence : IOC) โดยใชเ้ กณฑ์การพิจารณา คอื

เห็นวา่ สอดคลอ้ ง ใหค้ ะแนน +1

ไมแ่ น่ใจ ใหค้ ะแนน 0

เห็นว่าไมส่ อดคลอ้ ง ใหค้ ะแนน -1

เม่ือนาผลการพิจารณามาวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใช้เทคนิคของ Rovincli
and Hambleton (พวงรัตน์ ทวีรตั น์ 2536 : 117) โดยใชส้ ูตร

IOC = ∑R
N

เมื่อ IOC หมายถงึ คชั นคี วามสอดคล้องของเครื่องมอื
∑R หมายถงึ ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เช่ียวชาญ
N หมายถงึ จานวนของผ้เู ชยี่ วชาญ

ได้คา่ ดัชนคี วามสอดคล้องเท่ากับ 1.00
1.5 นาแบบวิเคราะห์เอกสารไปปรับปรุงแก้ไข เก่ียวกับรายละเอียดของคาถามให้มี
ความชดั เจน สามารถสื่อความได้งา่ ย ตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ
2. แนวการสมั ภาษณ์ระดบั ลึก (Guideline of In depth Interview)

2.1 ผู้วิจัยศึกษากรอบแนวคิดท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของ
ศึกษานิเทศก์ เพอื่ กาหนดหัวขอ้ และประเดน็ คาถามทต่ี ้องการสมั ภาษณ์

2.2 สรา้ งแนวทางและประเด็นคาถามท่ตี ้องการสัมภาษณ์

2.3 พิจารณาประเด็นข้อคาถามที่ต้องการสัมภาษณ์ว่าครอบคลุม ตรงตามสาระ หลัก
ของการพฒั นาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานเิ ทศก์มืออาชีพหรอื ไม่

2.4 นาฉบับร่างของประเด็นข้อคาถามที่ต้องการสัมภาษณ์ ไปทดลองสัมภาษณ์
ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญซ่ึงเป็นผู้อานวยการกลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
และ นาไปใหอ้ าจารย์ทป่ี รึกษาตรวจสอบ ข้อความแต่ละขอ้

2.5 ปรับปรุงประเด็นข้อคาถามท่ีต้องการสัมภาษณ์ ตามคาแนะนาเช่น ให้ต้ังคาถาม ที่
จะนาไปสู่คาตอบที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ โดยมีการตล่อมถามในประเด็นที่ต้องการความ
ชดั เจน คาถามควรสั้นเข้าใจงา่ ย

2.6 จดั พิมพป์ ระเด็นข้อคาถามท่ีต้องการสัมภาษณฉ์ บับสมบรู ณ์

3. แบบสอบถาม การศึกษาความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศเป็นการศึกษาเชิงสารวจ (Survey
Research) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะ การนิเทศ
การศึกษาของศึกษานิเทศก์ที่เป็นจริงและที่คาดหวัง ซึ่งผู้วิจัยสร้างข้ึนเอง แบ่งออกเป็น 2 ตอน
ประกอบด้วย

ตอนท่ี 1 ข้อมลู ทวั่ ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม

ตอนท่ี 2 ความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น
ศึกษานิเทศก์มืออาชีพที่เป็นจริงและที่ผู้รับการนิเทศต้องการ ซึ่งสร้างประเด็นคาถามตามแนวคิด
สมรรถนะจากการสังเคราะห์แนวคิดของนักคิดและนักวิชาการ ในด้านความรู้ ทักษะความสามารถ และ
ด้านคุณลักษณะ ในลักษณะมาตราประเมินค่า (Rating scale) 5 ระดับ โดยใช้เกณฑ์ในการให้ คะแนน
ดงั ตอ่ ไปนี้

คะแนน 5 หมายถึง เห็นดว้ ยมากท่ีสดุ

คะแนน 4 หมายถงึ เห็นด้วยมาก

คะแนน 3 หมายถงึ เหน็ ด้วยปานกลาง

คะแนน 2 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยนอ้ ย

คะแนน 1 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยน้อยทสี่ ุด

โดยดาเนนิ การสร้าง ดงั น้ี

3.1 ผู้วิจัยศกึ ษากรอบแนวคดิ ท่เี กยี่ วกบั การพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ ความ
เป็นศกึ ษานิเทศกม์ อื อาชพี จากการศึกษาวเิ คราะห์แนวคิดองค์ประกอบของสมรรถนะของ คนใน
องค์กรท่ปี ระสบผลสาเร็จในการปฏิบัติงาน และผลการสัมภาษณ์ระดับลึกจากผู้ทรงคุณวุฒิ ด้าน
การนเิ ทศการศึกษานามากาหนดหัวข้อและประเด็นคาถามทีต่ อ้ งการสารวจความคิดเห็น

3.2 สร้างแนวทางและประเดน็ คาถามท่ตี ้องการสารวจความคิดเห็น

3.3 พิจารณาประเด็นข้อคาถามว่าครอบคลุม ตรงตาม สาระหลักของการพัฒนา
สมรรถนะ การนิเทศการศึกษาสคู่ วามเปน็ ศกึ ษานิเทศก์มอื อาชพี หรือไม่

3.4 นาแบบสอบถามทั้ง 2 ตอน ไปให้ผู้เช่ียวชาญจานวน 5 ท่าน (รายช่ือผู้เช่ียวชาญ
แสดงในภาคผนวก ข) เพ่ือตรวจตามความตรงของเน้ือหาว่าครอบคลุมแนวคิดและทฤษฎีหรือไม่
นามาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ตามคาแนะนา

3.5 ปรับปรุงประเด็นข้อคาถามท่ีต้องการสารวจความคิดเห็นตามคาแนะนาผู้เชี่ยวชาญ
จานวน 5 ทา่ น และอาจารยท์ ปี่ รึกษา

3.6 จัดพิมพป์ ระเด็นขอ้ คาถามท่ีต้องการสอบถามความคดิ เหน็ ฉบบั สมบูรณ์

4. แบบสอบถามความพึงพอใจของศึกษานิเทศก์ ต่อหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะการ นิเทศ
การศกึ ษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ซ่ึงเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ
จานวน 15 ข้อ แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ ด้านหลักสูตร ด้านวิทยากร และด้านวิธีการพัฒนา โดย กาหนดค่า
ระดบั ความพึงพอใจแต่ละช่วงคะแนนและความหมายดังน้ี

ระดับ 5 หมายถึง พง่ึ พอใจมากทสี่ ดุ

ระดบั 4 หมายถึง พึงพอใจมาก

ระดบั 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง

ระดับ 2 หมายถึง พึงพอใจน้อย

ระดับ 1 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ยที่สุด

ผู้วิจัยได้กาหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการให้ความหมายโดยได้จากแนวคิดของเบสท์ (Best 1986 : 195)
การใหค้ วามหมาย โดยการให้คา่ เฉลี่ยเปน็ รายด้านและรายขอ้ ดังนี้

4.51 - 5.00 หมายถงึ พอใจมากทส่ี ุด

3.51 – 4.50 หมายถึง พอใจมาก

2.51 – 3.50 หมายถงึ พอใจปานกลาง

1.51 – 2.50 หมายถึง พอใจน้อย

1.00 – 1.50 หมายถงึ พอใจน้อยทส่ี ุด

มขี ัน้ ตอนการสรา้ งดังนี้

4.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการจากหนังสือ ตารา เอกสารและงานวิจัยเพื่อเป็น
แนวทางในการสรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจ

4.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจให้ครอบคลุมและตรงตามเนื้อหา โดยขอ
คาแนะนาจากอาจารยท์ ่ีปรึกษาวทิ ยานิพนธ์

4.3 นาแบบสอบถามความพงึ พอใจทีส่ ร้างขึน้ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อ
ตรวจสอบความถกู ต้อง และนาไปปรับปรุงแก้ไข

4.4 นาแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน
ตรวจสอบความถูกตอ้ งและความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แล้ววิเคราะห์ค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่
ระหว่าง 1.00

4.5 นาแบบสอบถามความพึงพอใจไปปรับปรุงแก้ไขเกย่ี วกบั ข้อคาถามให้มีความ ชัดเจน
สามารถสื่อความได้งา่ ยตามคาแนะนาของผู้เชยี่ วชาญ

4.6 แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจในสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ศึกษานิเทศก์ มือ
อาชีพ

5. แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจในสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ศึกษานิเทศกมือ อาชีพ ใช้
ทดสอบความรู้ของศึกษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมายก่อนและหลังการพัฒนาสมรรถนะ ซ่ึงเป็น แบบทดสอบ
แบบปรนยั มีลักษณะข้อสอบแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ โดยมีเนื้อหา เก่ียวกับความหมาย
ความสาคัญของสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ การนิเทศโดยใช้โรงเรียน

เปน็ ฐานการวิจยั และการสร้างนวตั กรรมการนิเทศการศึกษา โดยมีเกณฑ์ การให้คะแนน ดังนี้ ถ้าตอบถูก
ให้ข้อละ 1 คะแนน ถ้าตอบผิดหรือไม่ตอบให้ข้อละ 0 คะแนน ผู้วิจัยได้ดาเนินการสร้างและพัฒนา
แบบทดสอบดงั นี้

5.1 ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ศึกษานิเทศก์มือ
อาชพี

5.2 สร้างแบบทดสอบให้ครอบคลุมและตรงตามเนื้อหา ความรู้ เรื่องสมรรถนะการ
นิเทศการศึกษาสคู่ วามเปน็ ศกึ ษานิเทศก์มอื อาชพี

5.3 นาแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพ่ือตรวจสอบ
ความถกู ตอ้ งและนาไปปรับปรงุ แก้ไข

5.4 นาแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแก้ไขแล้ว เสนอต่อผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน ตรวจสอบ ความ
ถูกต้องและความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) แล้ววิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง
(Index of Item Objective Congruence : IOC) ได้คา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ งเทา่ กบั 1.00

5.5 นาแบบทดสอบไปปรับปรุงแก้ไข เกี่ยวกับข้อคาถามให้มีความชัดเจนสามารถ ส่ือ
ความได้ง่าย ตามคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญ

6. แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ ความเป็น
ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ จานวน 32 ข้อ โดย
กาหนดคา่ ระดับความพงึ พอใจแตล่ ะชว่ งคะแนนและความหมายดังน้ี

ระดบั 5 หมายถึง พงึ พอใจมากทสี่ ุด

ระดับ 4 หมายถึง พงึ พอใจมาก

ระดับ 3 หมายถึง พงึ พอใจปานกลาง

ระดับ 2 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ย

ระดับ 1 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ยทสี่ ุด

ผู้วจิ ยั ไดก้ าหนดเกณฑ์ทใี่ ช้ในการให้ความหมายโดยไดจ้ ากแนวคดิ ของเบสท์ (Best

1986: 195) การใหค้ วามหมาย โดยการให้คา่ เฉล่ียเปน็ รายดา้ นและรายข้อ ดงั น้ี

4.51 - 5.00 หมายถึง พอใจมากท่สี ดุ

3.51 – 4.50 หมายถึง พอใจมาก

2.51 -3.50 หมายถึง พอใจปานกลาง

1.51 - 2.50 หมายถงึ พอใจนอ้ ย

1.00 – 1.50 หมายถงึ พอใจน้อยทสี่ ดุ

มขี น้ั ตอนการสร้างดังน้ี

6.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการจากหนังสือ ตารา เอกสารและงานวิจัยเพื่อเป็น
แนวทางในการสร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจ

6.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจให้ครอบคลุมและตรงตามเน้ือหา โดยขอ
คาแนะนาจากอาจารยท์ ีป่ รึกษาวิทยานพิ นธ์

6.3 นาแบบสอบถามความพงึ พอใจทส่ี รา้ งขน้ึ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพ่ือ
ตรวจสอบความถูกตอ้ งและนาไปปรบั ปรุงแก้ไข

6.4 นาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน
ตรวจสอบความถกู ต้องและความตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) แล้ววิเคราะห์ค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่
ระหวา่ ง 0.80 - 1.00

6.5 นาแบบสอบถามความพงึ พอใจไปปรบั ปรุงแกไ้ ขเกี่ยวกบั ขอ้ คาถามให้มีความ ชัดเจน
สามารถส่อื ความไดง้ า่ ยตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ

7. แบบสารวจความต้องการในการพฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่ ศกึ ษานเิ ทศก์ มอื อาชพี

แบบสารวจความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ
เป็นแบบตอบรับความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ ความเป็นศึกษานิเทศก์มือ
อาชีพ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย

ตอนที่ 1 ข้อมลู ท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม

ตอนที่2 ประเด็นการตอบรับความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ ความ
เปน็ ศกึ ษานิเทศกม์ ืออาชพี

โดยดาเนินการสรา้ ง ดงั นี้

7.1 ผู้วิจัยศึกษากรอบแนวคิดท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของ
ศึกษานิเทศก์ เพ่ือกาหนดหัวข้อและประเด็นคาถามความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการ
นิเทศ การศกึ ษาสศู ึกษานเิ ทศก์มืออาชีพ

7.2 สร้างแนวทางและประเดน็ การตอบรบั ท่ีต้องการสารวจความตอ้ งการ

7.3 พิจารณาประเด็นการตอบรับข้อคาถามว่าครอบคลุม ตรงตาม สาระหลักของการ
พฒั นาสมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสคู่ วามเปน็ ศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชพี หรือไม่

7.4 นาแบบสารวจความต้องการทั้ง 2 ตอน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน (รายชื่อ
ผู้เชยี่ วชาญแสดงในภาคผนวก ก) เพ่ือหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยการ
หา คา่ Index of Item – Objective Congruence โดยนาไปให้ผเู้ ช่ยี วชาญจานวน 5 ท่าน และ
อาจารย์ที่ ปรึกษาตรวจสอบ ข้อความแต่ละข้อ สามารถวัดได้ตรงประเด็น และครอบคลุมสิ่งท่ี
ตอ้ งการศกึ ษาทง้ั หมด

7.5 ปรับปรุงประเด็นข้อคาถาม ตามคาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน และ
อาจารย์ทีป่ รึกษาวทิ ยานิพนธ์

7.6 จดั พมิ พ์ประเดน็ ขอ้ คาถามที่ตอ้ งการสอบถามความคดิ เหน็ ฉบับสมบรู ณ์

8. แบบสังเกตพฤติกรรมการนเิ ทศการศึกษาส่คู วามเปน็ ศกึ ษานิเทศกม์ อื อาชพี

8.1 ผู้วจิ ัยศึกษากรอบแนวคดิ ที่เกยี่ วกบั การพฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสู่ ความ
เป็นศกึ ษานิเทศก์มืออาชพี เพื่อกาหนดหัวขอ้ และประเดน็ การสังเกตพฤตกิ รรม

8.2 สร้างแนวทางและประเด็นการสังเกตพฤตกิ รรม

8.3 พิจารณาประเด็นการสังเกตพฤติกรรมว่าครอบคลุม ตรงตาม สาระหลักของการ
พัฒนาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสู่ความเป็นศกึ ษานิเทศก์มืออาชพี หรอื ไม่

8.4 นาฉบับร่างของประเด็นการสังเกตพฤติกรรมการนิเทศการศึกษา ไปหาความ
เท่ียงตรงเชิงเนื้อหา( Content Validity) โดยการหาค่า Index of Item - Objective
Congruence โดยนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน และอาจารย์ท่ีปรึกษาตรวจสอบ ข้อความ
แตล่ ะขอ้ สามารถ วัดไดต้ รงประเด็น และครอบคลมุ สงิ่ ท่ตี อ้ งการศึกษาท้งั หมด

8.5 ปรับปรุงประเด็นการสังเกตพฤติกรรม ตามคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญ จานวน 5
ทา่ น และอาจารยท์ ปี่ รกึ ษาตรวจสอบ

8.6 จดั พิมพ์แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการนเิ ทศการศกึ ษาฉบบั สมบรู ณ์

9. คู่มือการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ การ สร้าง
ค่มู ือการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์ มืออาชีพมีเน้ือหาและข้ันตอนการ
ปฏบิ ัติ มดี ังต่อไปนี้

9.1 นาข้อมูลการสัมภาษณ์ศึกษานิเทศก์ต้นแบบ/แกนนาและผู้เชี่ยวชาญหรือ
ผู้ทรงคุณวุฒิ การสังเคราะห์เอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง การสรุปผลข้อมูลเชิงสารวจ และข้อมูล
เชิง คุณภาพ มาวิเคราะห์ ด้านเนือ้ หาประกอบการสร้างเนอ้ื หาในการอบรมเชิงปฏิบตั กิ าร

9.2 จัดร่างเนื้อหาการอบรมเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดองค์ประกอบสมรรถนะของ
David McCleland และ การวิจัยและพฒั นา (Research and Development)

9.3 จัดทาค่มู อื ชดุ การฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการการพฒั นาสมรรถนะการนิเทศ การศึกษาสู่
ความเปน็ ศกึ ษานิเทศกม์ ืออาชีพ ประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ของ การอบรม
วิธีการกระบวนการในการอบรม กิจกรรม การประเมินผล ผลที่คาดว่าจะได้รับ และ ภาคผนวก
(กาหนดการ ตัวชี้วัดความสาเร็จ แบบสังเกตพฤติกรรม Competency Supervision
Dictionary เป็นต้น) ซ่ึงมีขั้นตอนการพฒั นาและกจิ กรรม ดังน้ี

ขั้นที่ 1 การตระหนักรู้(Awareness) เป็นข้ันตอนการสร้างความตระหนักในการนิเทศ
การศึกษาของศึกษานิเทศก์ โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) กับ
ศึกษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมาย ในระยะเวลา 3 วัน เพื่อการสร้างความตระหนักให้กับศึกษานิเทศก์
ใน บทบาทหนา้ ทีข่ องการนิเทศการศกึ ษาสู่มืออาชีพ มกี ิจกรรม คอื

กิจกรรมท่ี 1 มองกว้าง คดิ ไกล

กิจกรรมที่ 2 ใส่ใจการเปลี่ยนแปลง

กจิ กรรมที่ 3 แสดงแนวความคดิ ใหม่

กจิ กรรมที่ 4 ปรับใช้ในการปฏบิ ตั ิงาน

ขั้นท่ี 2 มุ่งสู่การนิเทศการศึกษาภายใต้การปฏิบัติงาน (Under Learning on the job)
เป็นขนั้ ตอนการนาองคค์ วามรจู้ ากการอบรมปฏิบตั ิการไปปฏบิ ัตกิ ารนิเทศภายใต้สภาพจริง (Act)
โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซึ่งศึกษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมายจะจับคู่ (Buddy) ในการนิเทศ การศึกษา
เพ่อื ร่วมกันคดิ ร่วมพฒั นารว่ มสะท้อนวิธีการนิเทศการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ ผู้รับการ นิเทศพึง

พอใจ โดยกาหนดใหศ้ ึกษานเิ ทศก์กลุ่มเป้าหมาย ปฏิบัติการนิเทศการศึกษาในเวลา 1 ภาค เรียน
ท้ังนี้ผู้วิจัยพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการนิเทศการศึกษาเป็น Coach คอยชี้แนะและสะท้อนวิธี
ปฏบิ ตั กิ ารนิเทศการศึกษา ในเวลา 1 เดือน ต่อ 1 คร้งั

ข้ันที่ 3 สะท้อนวิธีปฏิบัติการนิเทศ (Reflection Supervision approach) เป็น
ขั้นตอนการนาวิธีปฏิบัติการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมาย มาร่วมแลกเปล่ียน
วิธี ปฏิบัติการนิเทศการศึกษาเพื่อสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning
community : PLC) โดยผู้เช่ียวชาญด้านการนิเทศการศึกษาเป็นพ่ีเล้ียง(Mentoring) คอยหนุน
เสริม ให้คาชี้แนะกลุ่มเป้าหมายทีละคนจนครบทุกคน ผู้วิจัยนาผลการแลกเปล่ียนวิธีปฏิบัติการ
นเิ ทศ การศกึ ษาสงั เคราะห์เป็นวิธีการนเิ ทศการศึกษาท่เี หมาะสมในบรบิ ทของจงั หวัดเชยี งใหม่

ขั้นที่ 4 ประยุกต์ใช้สู่มืออาชีพ(Apply to professional) ในขั้นตอนนี้ศึกษานิเทศก์นา
ขอ้ แนะนาไปปรับปรุงแกไ้ ขและประยุกตใ์ ชใ้ นการสร้างนวัตกรรมการนิเทศการศึกษาท่ีสอดคล้อง
เหมาะสมกับบริบทของแต่ละโรงเรียน นาผลงานมาแลกเปล่ียนเรียนรู้กันในงานสัมมนาวิชาการ
ศกึ ษานเิ ทศก์ซงึ่ จัดข้ึนทกุ ปี เพื่อรบั การประเมินผลงานทแ่ี สดงถึงผ้มู สี มรรถนะการนิเทศการศึกษา
ที่สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ เป็นศึกษานิเทศก์ดีเด่น และศึกษานิเทศก์ที่มี Best
practice

9.4 การตรวจสอบคุณภาพของคู่มือการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาสมรรถนะการ นิเทศ
การศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ก่อนนาไปทาการวิจัยภาคสนาม ผู้วิจัยนาไปให้
ผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน ทาการตรวจ แก้ไขความตรงของเน้ือหา (Content Validity) เพ่ือให้
ครอบคลุม ในแนวคิด และวัตถุประสงค์ในการทาวิจัยหลังจากน้ัน นาไปทดลองใช้ กับ
ศึกษานิเทศก์ท่ีไม่ใช่ กลุ่มเป้าหมาย เพื่อปรับแก้ไข ให้เกิดความเข้าใจ ที่ตรงกันระหว่างวิทยากร
และผู้รับการอบรม ตลอดจนทาการวัดผลด้านความรู้และเจตคติก่อนและหลัง เพื่อตรวจสอบ
เคร่ืองมอื ไปพร้อมๆ กนั

การเก็บรวบรวมข้อมูล

ในการดาเนินการวิจัย ผู้วจิ ัยได้วางกรอบในการวจิ ยั ไว้ 4 ระยะ ดังต่อไปนี้

ระยะท่ี 1 การวิจัย Research, (RI) : ศึกษาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น
ศึกษานเิ ทศก์มอื อาชีพ

ผู้วจิ ัยดาเนนิ การวิจัยดว้ ยการศกึ ษาข้อมลู ทีเ่ กยี่ วข้องกบั การพัฒนาสมรรถนะการนิเทศ การศึกษา
ของศึกษานิเทศก์ โดยวิเคราะห์สาระจากเอกสาร (Content Analysis) และงานวิจัยที่ เก่ียวข้อง ท้ังใน
ประเทศและต่างประเทศ สารวจความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศซ่ึงประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียนและ
ครูผู้สอน ร่วมกับการสัมภาษณ์ศึกษานิเทศก์ต้นแบบ/แกนนา และผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณวุฒิด้านการ
นิเทศการศึกษาท้ังในสังกัดและนอกสังกัดสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อกาหนด
กรอบแนวคิดในการวิจัย เป็นข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบและ วิธีการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศ
การศกึ ษาสคู่ วามเปน็ ศกึ ษานเิ ทศก์มืออาชพี ตามลาดับดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ศึกษาวิเคราะห์สาระสาคัญจากเอกสาร (Content Analysis) และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่
แนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะ (Competency) ของนักคิดและนักวิชาการท้ังในประเทศและ ต่างประเทศ
ดังน้ี แนวคิดเก่ียวกับการพัฒนาสมรรถนะของคนในองค์การของ David McCleland Boyazist และ
Spencer&spencer รูปแบบ/วิธีการพัฒนาสมรรถนะศึกษานิเทศก์(Competency Model of
Supervisor) การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ ทฤษฎที ีเ่ กยี่ วข้องกบั การพฒั นาสมรรถนะการ นิเทศการศึกษาสู่
ความเป็นศกึ ษานิเทศก์มืออาชีพ มาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เพ่ือนามาสร้าง องค์ความรู้ในการพัฒนา
สมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ และ นาไปสู่การออกแบบและวิธีการ
พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์ คือ กระบวนการและวิธีการพัฒนาสมรรถนะการ
นิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ คู่มือการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความ
เป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ สาหรับใช้ในการ พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์
กลุม่ เปา้ หมาย

2. สัมภาษณ์ระดับลึก (In-depth interview) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการนิเทศการศึกษาเพื่อ ศึกษา
เก่ยี วกบั แนวทางการพฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสคู่ วามเป็นศกึ ษานเิ ทศกม์ อื อาชีพ

3. ศึกษาความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศ ต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ศึกษานิเทศก์ มือ
อาชีพ ตามสภาพที่เป็นจริงและท่ีต้องการ โดยการใช้แบบสอบถามท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเองจากกรอบ แนวคิด
การพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ที่ได้จาก การศึกษาแนวคิด
ของนักคิดสมรรถนะ (Competency) ของ David McClelland และการสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการ
นเิ ทศการศึกษา

ผู้ให้ข้อมูลในการศึกษาความคิดเห็นต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์ คือ 1)
ผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จานวน 49 คน ซึ่งได้มาด้วยการ
สุม่ หลายขัน้ ตอน (Multi-Stage Sampling) โดยอาศยั ตารางสุ่มของ Krejcie and morgan(ท่ีระดับความ

เชื่อมั่น 95%) ในการกาหนดขนาด 2) ครูผู้สอน จานวน 150 คน ซึ่งได้มา โดยการสุ่มหลายขั้นตอน
(Multi-Stage Sampling) โดยอาศัยตารางสุ่มของ Krejcie and morgan(ที่ ระดับความเช่ือมั่น 95%)
ในการกาหนดขนาด จากครูในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษา ประถมศกึ ษาภูเกต็

ผู้วิจัยวิเคราะห์และสังเคราะห์ความคิดเห็นต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น
ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ จากเอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องและความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศ ศึกษานิเทศก์
ตน้ แบบหรอื แกนนา และผ้เู ชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ ปรับปรุงให้ได้ข้อมูลที่ สอดคล้องกันในการกาหนด
สมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ และ วิธีการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศ
การศกึ ษาสคู่ วามเป็นศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชีพ

ระยะที่ 2 (D1) สร้างกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น ศึกษานิเทศก์
มืออาชพี

ผูว้ ิจัยดาเนินการสร้างกระบวนการพฒั นาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น ศึกษานิเทศก์
มืออาชีพ โดยนาร่างกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ
ไปตรวจสอบความสมเหตุสมผล โดยผู้เชี่ยวชาญ(Developement:D) นาผล ท่ีได้จากการตรวจสอบไป
ปรบั ปรงุ แกไ้ ขมีรายละเอยี ด ดงั น้ี

1. นาผลจากการศึกษาในระยะที่ 1 และการศึกษาแนวคิดเก่ียวกับการพัฒนาสมรรถนะ การ
นิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ มากาหนดขั้นตอนของการพัฒนาสมรรถนะ การนิเทศ
การศกึ ษาสู่ความเปน็ ศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชพี

2. รวบรวมขอ้ มลู เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาจากผมู้ สี ว่ นเก่ียวข้อง 2 กลุ่ม ดังน้ี

2.1 กลมุ่ ผู้รบั การนิเทศผู้บรหิ ารโรงเรยี นและครผู ูส้ อน) เพอ่ื สอบถามความคิดเห็น ที่มีต่อ
สมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพที่เป็นจริงและท่ีผู้รับการนิเทศ มี
ความต้องการ

2.2 กลุ่มศึกษานิเทศก์ตน้ แบบ และผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เช่ียวชาญในการนิเทศการศึกษา เพื่อ
สอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ
โดยการสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง(Structured interview)

3. ร่างกระบวนการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มือ อาชีพโดย
การวิเคราะห์เนอ้ื หาเปน็ หมวดหมู่ตามกรอบแนวคิดจากการสงั เคราะหข์ อ้ มูลระยะที่ 1

และสรปุ รวมเป็นรายการ สังเคราะหค์ วามเชื่อมโยงสัมพันธ์ นามากาหนดประเด็นของขั้นตอนการ พัฒนา
สมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาส่คู วามเป็นศกึ ษานิเทศก์มอื อาชีพ นาร่างกระบวนการพัฒนา สมรรถนะการ
นเิ ทศการศกึ ษาของศกึ ษานเิ ทศก์สู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพยืนยันความ เหมาะสมของวิธีการ โดย
ตรวจสอบความสอดคล้องเหมาะสมของกระบวนการพัฒนาสมรรถนะ การนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น
ศกึ ษานิเทศก์มืออาชีพจากผเู้ ชย่ี วชาญ

4. นาความคิดเห็นและข้อเสนอแนะท่ีได้จากผู้เช่ียวชาญ มาสรุปและปรับปรุงแก้ไข รูปแบบการ
พัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสู่ความเป็นศกึ ษานิเทศกม์ อื อาชพี ทส่ี ร้างขึ้น

5. วางกรอบแนวทางการดาเนนิ งานตามขน้ั ตอนการพฒั นาสมรรถนะการนิเทศ การศึกษาสู่ความ
เปน็ ศกึ ษานิเทศก์มืออาชีพ ท่ีสร้างขึ้น และสร้างเคร่ืองมือต่าง ๆ เพ่ือนาไปใช้ใน การพัฒนาสมรรถนะการ
นเิ ทศการศกึ ษาของศกึ ษานิเทศก์ ดังน้ี

5.1 คมู่ ือการพฒั นาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสศู่ กึ ษานเิ ทศก์มอื อาชพี

5.2 แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจในสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น
ศกึ ษานเิ ทศก์มืออาชีพ

5.3 แบบสอบถามความคิดเห็นต่อหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สู่
ความเปน็ ศกึ ษานิเทศก์มอื อาชีพ

5.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สู่
ความเป็นศึกษานิเทศก์มอื อาชพี

ระยะท่ี 3 (R2) การพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสูค่ วามเป็นศึกษานิเทศกม์ ือ อาชพี

ในการดาเนินการวิจัยในระยะนี้ผู้วิจัยกาหนดระยะเวลาในการดาเนินการพัฒนา สมรรถนะการนิเทศ
การศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ตามกระบวนการท่ีสร้างข้ึน เป็น เวลา 1 ภาคเรียน โดย
กาหนดตวั ชี้วัดความสาเรจ็ ดงั น้ี

ดา้ นความรู้ : ศึกษานเิ ทศกม์ คี วามรูค้ วามเข้าใจในเรอ่ื งต่อไปนี้

1. ความรใู้ นศาสตร์การนเิ ทศทหี่ ลากหลาย

2. ความรู้เก่ียวกบั โรงเรียนทนี่ ิเทศ

3. ความรูใ้ นการวิเคราะหผ์ รู้ บั การนิเทศและผเู้ รียนรายบุคคล

4. ความรเู้ ก่ยี วกับสภาพปจั จบุ ันปญั หาและความตอ้ งการของผู้รับการนิเทศ

5. ความรูใ้ นการวจิ ยั
6. ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การศกึ ษา
7. ความรู้ในเน้ือหาสาระวิชาทน่ี เิ ทศ
8. ความรใู้ นเทคนคิ การนิเทศแนวใหม่
9. ความร้ใู นการสรา้ งนวตั กรรมการศกึ ษา
10. ความรู้ในหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน
ด้านทักษะความสามารถ: ศึกษานเิ ทศกม์ คี วามสามารถในการนิเทศการศกึ ษา ดงั นี้
1. สามารถเป็นผ้อู านวยการทางวิชาการ
2. สามารถเช่อื มโยงความรไู้ ปส่กู ารปฏิบัติ
3. สามารถเป็นพเ่ี ล้ียงดา้ นวชิ าการแก่โรงเรียน
4. สามารถสร้างเครอื ข่ายเพ่ือการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา
5. สามารถวนิ จิ ฉัยเด็กนกั เรียนได้
6. สามารถให้คาแนะนาดา้ นวชิ าการแก่ผูบ้ รหิ ารโรงเรียนและครูผสู้ อนได้
7. สามารถรว่ มพฒั นางานดา้ นวิชาการ
8. สามารถใชก้ ระบวนการวิจัยในการพฒั นาและแก้ปัญหาทางวชิ าการได้
9. สามารถใชเ้ ทคโนโลยใี นการนเิ ทศการศึกษาไดต้ ามความเหมาะสม
10. สามารถประสานงานกับผอู้ ่ืนได้
11. สามารถสรรหาวทิ ยากรเพ่ือชว่ ยใหค้ วามรแู้ กผ่ ู้รับการนเิ ทศได้เหมาะสม
12. สามารถสง่ เสริมการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองของผูร้ ับการนิเทศโดยการสรา้ งชุมชน
การเรียนร้ทู างวชิ าชพี (Professional Learning Community :PLC)
ด้านคุณลกั ษณะ ศกึ ษานิเทศกม์ ีคณุ ลกั ษณะในการนิเทศการศกึ ษา ดงั นี้
1. คณุ สมบัติการเปน็ โค้ชและพ่เี ล้ียง
2. มีภาวะผูน้ า

3. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

4. ใฝ่เรียนรอู้ ยู่เสมอ

5. มคี วามเป็นกัลยาณมิตร

6. มคี วามเชอ่ื ว่าบคุ คลสามารถพัฒนาได้

7. เปน็ นักวิจยั

8. มคี วามเช่อื มน่ั ในตนเอง

9. มีความคิดสรา้ งสรรค์

10. มีความรับผิดชอบทางานจนสาเร็จ

ขน้ั ตอนรายละเอียดดังนี้

1. สารวจความต้องการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ศึกษานิเทศก์มืออาชีพจาก
ศึกษานิเทศก์สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จานวน 16 คน ท้ังนี้มีการกาหนด
เกณฑ์ผู้เข้าร่วมพัฒนาคือศึกษานิเทศก์ท่ีมีอายุการปฏิบัติหน้าที่ศึกษานิเทศก์ไม่ เกิน 5 ปี และมีความ
ต้องการในการพัฒนา โดยผู้วิจัยจัดส่งหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศ การศึกษาสู่ความเป็น
ศกึ ษานเิ ทศก์มืออาชีพ พร้อมคู่มือการพัฒนา ไปยังสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต และ
กาหนดวัน เวลา และสถานทสี่ าหรับการพัฒนา ศึกษานเิ ทศก์

2. ประสานวิทยากรผู้เชี่ยวชาญตามเน้ือหาท่ีกาหนดในหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะ การนิเทศ
การศึกษาสคู่ วามเปน็ ศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชีพ

3. จัดประชุมศึกษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาเพ่ือชี้แจงวัตถุประสงค์และ รายละเอียด
ของหลักสูตรท่ใี ชใ้ นการพัฒนาโดยผ้วู ิจยั รว่ มกบั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์

4. ดาเนินการอบรมปฏิบัติการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็น ศึกษานิเทศก์มือ
อาชพี ตามหลักสูตรที่กาหนด

5. ศกึ ษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมายการพัฒนา เรียนรู้การนิเทศการศึกษาจากการปฏิบัติจริง (Under
Learning on the job) ในระยะเวลาทก่ี าหนด คอื 1 ภาคเรียน

6. ศกึ ษานิเทศกก์ ลมุ่ เป้าหมายการพัฒนาร่วมสะท้อนวิธีปฏิบัติการนิเทศโดยใช้โรงเรียน เป็นฐาน
การวิจัยต่อผู้เชี่ยวชาญการนิเทศการศึกษาในฐานะพี่เลี้ยง(Mentor) ร่วมกับผู้วิจัยในลักษณะ การจัดการ

ความรู้(KM) เพ่ือสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community) ร่วมกันซ่ึง
เปน็ ลกั ษณะสาคญั ของการพัฒนาสู่มอื อาชพี

7. ศึกษานิเทศก์กลุ่มเป้าหมายการพัฒนานาข้อสังเกตและคาแนะนาจากกลุ่มไปปรับปรุง แก้ไข
และนาผลการนิเทศการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานการวิจัยท่ีปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว มานาเสนอ
แลกเปล่ยี นเรียนรใู้ นการประชมุ สมั มนาทางวชิ าการศึกษานิเทศกป์ ระจาปี 2558

8. ผู้วิจัยสอบถามความพึงพอใจของศึกษานิเทศก์ต่อหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะการ นิเทศ
การศกึ ษาสคู่ วามเปน็ ศกึ ษานิเทศกม์ ืออาชพี

ระยะท่ี 4 (D2) ประเมินและปรับปรุงพัฒนา

การประเมนิ และปรบั ปรงุ พัฒนา เพื่อยนื ยนั รูปแบบและวิธกี ารพฒั นาสมรรถนะการ

นิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ผู้วิจัยได้ทาการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แบบ
สามเส้า โดยพิจารณาความสอดคล้อง และความเหมาะสมของข้อมูลที่ได้จาก กระบวนการพัฒนา
สมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสคู่ วามเปน็ ศึกษานิเทศกม์ อื อาชีพ หาข้อสรุปตีความในรูปแบบการพรรณนา
ตามกรอบแนวคิดที่กาหนดไว้ โดยทาการตรวจสอบข้อมูลแบบ “Triangulation” หรือ เรียกว่า “การ
ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า” เป็นการใช้กระบวนการวิธีที่ หลากหลาย (the Multiple Method
Approach) ในการตรวจสอบและวิเคราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี

1. การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) โดยการพิสูจน์ว่าข้อมูลท่ี ได้มาน้ัน
ถูกต้องหรือไม่ วิธีการตรวจสอบ คือ การตรวจสอบแหล่งของข้อมูล ได้แก่ แหล่งเวลา แหล่งสถานที่ และ
แหลง่ บคุ คล

2. การตรวจสามเส้าดา้ นทฤษฎี (Theory Triangulation) โดยตรวจสอบว่าหากผู้วิจัยใช้ แนวคิด
ทฤษฎีท่ีตา่ งกันออกไปจากเดมิ จะทาใหก้ ารตคี วามขอ้ มลู แตกต่างกันมากนอ้ ยเพียงใด

3. การตรวจสอบสามเส้าด้านวิธกี ารรวบรวมข้อมูล (Methodological Triangulation) โดย การ
ใช้วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลตา่ ง ๆ กันเพ่อื รวบรวมข้อมูลเรื่องเดียวกัน เช่น การใช้วิธีการสังเกต ควบคู่กับ
การซกั ถาม พร้อมกันนน้ั ก็ศึกษาขอ้ มลู จากตาราหรอื หนังสือประกอบ

สรุปสาหรับการตรวจสอบขอ้ มลู แบบสามเสา้ ของการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วจิ ยั ได้ทาการ ตรวจสอบในด้าน
ข้อมลู ด้านทฤษฎี และดา้ นวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู

การวิเคราะห์ข้อมลู

1. ข้อมูลจากการวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปสาระสาคัญ จาแนกและเรียบเรียงรายการตาม แบบ
วิเคราะห์เอกสาร โดยการวิเคราะห์เน้ือหาเป็นหมวดหมู่ และสรุปรวมเป็นรายการ สังเคราะห์ ความ
เชื่อมโยงสัมพันธ์ หลังจากนั้นนามากาหนดประเด็นการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษา สู่ความเป็น
ศกึ ษานเิ ทศก์มืออาชพี

2. ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ศึกษานิเทศก์ต้นแบบ ผู้ทรงคุณวุฒิ/ผู้เชี่ยวชาญด้านการนิเทศ
การศึกษานามาวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) สรุปเป็นประเด็นการพัฒนาและวิธีการพัฒนา
สมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาส่คู วามเปน็ ศึกษานิเทศกม์ ืออาชีพ

3. ข้อมูลจากการสารวจความคิดเห็นของผู้รับการนิเทศต่อสมรรถนะการนิเทศการศึกษา ของ
ศึกษานเิ ทศก์ทเี่ ป็นจริงและที่ต้องการ ผ้วู จิ ัยไดป้ ระมวลผลและวเิ คราะหข์ ้อมูลระดบั ความ คิดเห็นของผู้รับ
การนิเทศในสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของศึกษานิเทศก์ท่ีเป็นจริงและที่ คาดหวังโดยการหาค่าเฉล่ีย
(X) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และใช้การวิเคราะห์ PNIดัชนีความสาคัญของความต้องการจาเป็น
(Priority Need Index) โดยใช้สูตรดังนี้ Priority Need Index แบบปรับปรุงจากสูตรด้ังเดิมโดย สุวิมล
ว่องวาณิช (สุวิมล ว่องวาณชิ , 2548: 279) ดงั น้ี

PIN modified = (I- D)/D

PIN modified = ดัชนีลาดับความสาคัญของความตอ้ งการจาเป็นแบบปรับปรงุ

D = สมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาของศึกษานิเทศก์ท่ีมีอยู่จริง

I = สมรรถนะการนิเทศการศึกษาของศกึ ษานิเทศกท์ ผี่ ้รู ับการนเิ ทศตอ้ งการ

โดยกาหนดค่าคะแนนของคาตอบหรอื ตวั เลือกแต่ละระดบั ดังน้ี

ระดับ 5 หมายถึง เหน็ ด้วยมากท่สี ดุ

ระดบั 4 หมายถึง เหน็ ดว้ ยมาก

ระดบั 3 หมายถึง เหน็ ด้วยปานกลาง

ระดบั 2 หมายถงึ เหน็ ด้วยนอ้ ย

ระดับ 1 หมายถงึ เห็นดว้ ยนอ้ ยท่สี ดุ

การแปลความหมายของคา่ เฉล่ียทีค่ านวณได้เปน็ 5 ระดับ ดงั น้ี

ค่าเฉลย่ี ระหว่าง 4.50 - 5.00 หมายถึง เปน็ ค่าระดบั ทเ่ี ปน็ จริงตอ้ งการมากท่ีสุด

คา่ เฉลยี่ ระหวา่ ง 3.50 -4.49 หมายถงึ เป็นค่าระดบั ทเ่ี ปน็ จรงิ ตอ้ งการมาก

คา่ เฉลี่ยระหว่าง 2.50 – 3.49 หมายถึง เปน็ คา่ ระดบั ท่เี ปน็ จรงิ ต้องการปานกลาง

ค่าเฉล่ยี ระหว่าง 1.50 – 249 หมายถงึ เปน็ ค่าระดบั ท่เี ปน็ จรงิ ต้องการนอ้ ย

คา่ เฉลย่ี ระหวา่ ง 1.00 – 1.49 หมายถึง เปน็ คา่ ระดับทเ่ี ปน็ จรงิ ต้องการน้อยที่สุด

4. ข้อมูลการสารวจความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาของ ศึกษานิเทศก์
ในศตวรรษท่ี 21 เพ่ือการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ผู้วิจัยใช้ค่าความถ่ี(frequency) จาก ผู้ตอบแบบตอบ
รบั ในการพฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสูค่ วามเปน็ ศึกษานิเทศกม์ ืออาชีพ

5. ข้อมูลการพัฒนาสมรรถนะการนิเทศการศึกษาสู่ความเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพผู้วิจัย
ดาเนนิ การวิเคราะหข์ อ้ มูลตามข้นั ตอนการพฒั นา ดงั นี้

ขั้นตอนที่ 1 (Awareness) วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา สาระท่ี
กาหนด โดยใชส้ ถติ ิ ค่าเฉลย่ี คา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและคา่ ร้อยละ

ข้ันตอนที่ 2 การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง (Learning on the job) ใช้การวิเคราะห์เน้ือหา
(Content Analysis) จากการสังเกตพฤตกิ รรมการนเิ ทศการศกึ ษา

ขั้นตอนท่ี 3 สะท้อนวิธีปฏิบัติการนิเทศ (Reflection Supervision approach) ใช้การ
วเิ คราะห์เน้อื หา (Content Analysis)

ขัน้ ตอนท่ี 4 ประยกุ ตใ์ ชส้ ู่มอื อาชีพ (Apply to professional) ใช้การวเิ คราะห์เนื้อหา

(Content Analysis)

ตารางท่ี 3.1 ขัน้ ตอนการวจิ ัยการพัฒนาสมรรถนะการนเิ ทศการศึกษาสู่ความเป็นศกึ ษานิเทศก์มอื

อาชีพ

ข้ันตอน วิธกี ารดําเนินการวิจัย ผลทไ่ี ด้รบั

ขั้นตอน ระยะท1ี่ (R1) -วเิ คราะห์ สังเคราะห์สมรรถนะ -สมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสู่
ความเปน็ ศกึ ษานิเทศกม์ อื อาชีพ
ศึกษาสมรรถนะการ นเิ ทศ การนิเทศการศกึ ษาส่คู วามเปน็ ศึกษานิเทศกม์ ือ ตามความคดิ เหน็ ของนกั คดิ
การศึกษาสูค่ วาม เป็น อาชีพจากเอกสารงานวิจัยทเี่ กย่ี วข้อง นกั วชิ าการ ผูท้ รงคณุ วุฒดิ ้านการ
ศกึ ษานิเทศกม์ ือ อาชีพ นิเทศการศึกษาและผรู้ ับการ
-ศกึ ษาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสคู่ วามเป็น นิเทศ
ศกึ ษานิเทศก์มอื อาชพี จากศกึ ษานิเทศก์ตน้ แบบ/
แกนนาและผูเ้ ช่ียวชาญ

-ศึกษาความคิดเหน็ ของผรู้ ับการนเิ ทศตอ่ สมรรถนะ
การนิเทศการศกึ ษาของศกึ ษานเิ ทศกท์ ่ีตอ้ งการและ
ท่ีเปน็ จรงิ

ขน้ั ตอน ระยะท2ี่ (D1) -ร่างกระบวนการพฒั นาสมรรถนะการนิเทศ -ร่างรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะ

สรา้ งกระบวนการพัฒนา การศกึ ษาสคู่ วามเปน็ ศกึ ษานเิ ทสก์มืออาชพี จากการ การนิเทศการศกึ ษาสคู่ วามเป็น
สมรรถนะการนิเทศ
การศกึ ษาสู่ความเป็นมอื รวบรวมขอ้ มลู ผมู้ ีสว่ นเกยี่ วขอ้ งในระยะที่ 1 ศึกษานเิ ทศก์มอื อาชพี
อาชีพ
–ตรวจสอบรูปแบบโดยผเู้ ชย่ี วชาญ

ขั้นตอน ระยะท3่ี (R2) -ศึกษาความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะการ สมรรถนะการนิเทศการศกึ ษาสู่
นเิ ทศการศึกษาของศึกษานเิ ทศก์ ความเปน็ ศกึ ษานิเทศกม์ ืออาชีพ
การพัฒนาสมรรถนะการ
นเิ ทศการศึกษาสู่ความเปน็ -พัฒนาสมรรถนะการนเิ ทศการศกึ ษาสคู่ วามเปน็
ศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชพี ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ ตามกระบวนการทส่ี ร้าง
ข้ึนเป็ฯเวลา 1 ภาคเรยี น จานวน 6 คน

ขั้นตอน ระยะท4ี่ (D2) ยนื ยนั กระบวนการพฒั นาสมรรถนะการนเิ ทศ กระบวนการพัฒนาสมรรถนะการ
การศึกษาของสูค่ วามเปน็ ศึกษานเิ ทศกม์ อื อาชีพ นิเทศการศึกษาสคู่ วามเปฯ็
การยืนยัน โดยการตรวจสอบแบบสามเส้า ศึกษานเิ ทศกม์ ืออาชีพ
กระบวนการพัฒนา


Click to View FlipBook Version