การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นางสาวญาณิศา ดวงสุวรรณ เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มกราคม 2566 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นางสาวญาณิศา ดวงสุวรรณ เสนอต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มกราคม 2566 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัย นางสาวญาณิศา ดวงสุวรรณ อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ โฉมยา ปริญญา การศึกษาบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาไทย มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่พิมพ์ 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ก่อนและหลังการจัด การเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 จำนวน 43 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม (Cluster Random Sampling) และในห้องเรียนนั้นมีนักเรียนคละความสามารถ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้จำนวน 7 แผน ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด และ 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.21 – 0.67 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.73 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ สมมติฐานโดยใช้สูตร t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.51/80.69 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ : การวิเคราะห์วิจารณ์, การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ
ข TITLE The Development of the ability to critical analysis Thai literature, Ramayana Episode : Narayana defeats Nonthok by using learning management the Six Thinking Hats method for Mathayomsuksa 2 AUTHOR Miss Yanisa Duangsuwan ADVISOR Assoc. Prof. Dr. Rungson Chomeya DEGREE Bachelor of Education MAJOR Thai Language UNIVERSITY Mahasarakham University DATE 2023 ABSTRACT The objectives of this research are 1) to develop the ability to think analytically and critically and develop academic achievement in Thai literature to be effective according to the 80/80 criterion and 2) to compare the ability to think analytically and critically and academic achievement. Thai literature Before and after organizing learning using the Six Thinking Hats method. The sample used in this research was 43 Mathayomsuksa 2/7 students, which were obtained by random sampling. Using the classroom as the unit for random sampling (Cluster Random Sampling) and in the classroom there are students of mixed abilities. The tools used in the research were 1) 7 learning management plans that were evaluated by experts and were at the most appropriate level and 2 ) The test measures academic achievement, consisting of 30 items, with a discriminatory power between 0.21 - 0.67 and a confidence value of 0.73. Statistics used in data analysis include percentage, mean, standard deviation. and test the hypothesis using the t-test formula (Dependent Samples) The results of this research were as follow : 1. Effectiveness of the learning management plan It has an efficiency of 87.51/80.69, which is higher than the required 80/80 criteria. 2. The results of comparing the ability to think analytically and critically and academic achievement in Thai literature before and after learning with the Six Thinking Hats method found that after studying was significantly higher than before studying at the .05 level. Keywords : critical analysis, learning management the Six Thinking Hats method
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจากรองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ โฉมยา อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยที่ได้ให้คำปรึกษาแนะนำและให้ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ในการทำวิจัย ตลอดจนตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ ในความกรุณาของท่านเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.รัญชนีย์ ศรีสมาน อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก (สาขาวิชาภาษาไทย) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และการใช้ภาษา อาจารย์เบญจสิริ เจริญสวัสดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัย สันตพล ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน และนางนิชานันท์ สีหาอินทร์ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย โรงเรียนกัลยาณวัตร ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมินผลการศึกษาที่กรุณาให้ความอนุเคราะห์ เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจประเมินและให้ข้อเสนอแนะในการจัดทำเครื่องมือในการวิจัย ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณวัตร คณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และนักเรียน ที่ให้ความอนุเคราะห์อำนวยความสะดวกด้านสถานที่และการเรียนการสอนในการเก็บข้อมูลจากตัวอย่าง ในงานวิจัย ขอขอบพระคุณบิดาและมารดาที่คอยเป็นกำลังใจและคอยช่วยเหลือในทุก ๆ ด้าน คุณค่าหรือ ประโยชน์อันเกิดจากงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอน้อมบูชาแด่พระคุณบิดา มารดา ครูอาจารย์ที่อบรมสั่งสอน แนะนำ ให้การสนับสนุนและกำลังใจอย่างดียิ่งเสมอมา ญาณิศา ดวงสุวรรณ
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย............................................................................................................................. .......... ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ............................................................................................................................. ..... ข กิตติกรรมประกาศ........................................................................................................................... ............. ค สารบัญ............................................................................................................................. ............................. ง สารบัญตาราง............................................................................................................................. ................... ฉ สารบัญภาพประกอบ............................................................................................................................. ....... ช บทที่ 1 บทนำ............................................................................................................................. .................. 1 ที่มาและความสำคัญ....................................................................................................................... 1 วัตถุประสงค์ในการวิจัย................................................................................................................ .. 4 สมมุติฐานในการวิจัย...................................................................................................................... 4 ความสำคัญในการวิจัย..................................................................................................................... 4 ขอบเขตในการวิจัย.......................................................................................................................... 4 กรอบความคิดในการวิจัย................................................................................................................ 5 นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................................................. 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................ 8 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พุทธศักราช 2551.......... 8 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์วิจารณ์....................................................................................12 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีไทย................................................................................................24 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ.........................................25 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้...................................................................................28 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้..............................................................34 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน................................................................................37 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ..............................................................................41 งานวิจัยในประเทศ............................................................................................................41 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย....................................41 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ.............42 งานวิจัยต่างประเทศ..........................................................................................................44 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย............................................................................................................................. 46 การกำหนดประชากรและตัวอย่าง.................................................................................................. 46 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..................................................................................................................46 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................... 46 การเก็บรวบรวมข้อมูล.................................................................................................................... 51 การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................................... 51 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................ 52
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................................................... 55 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................55 ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................55 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................................... 56 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.............................................................................................60 วัตถุประสงค์ในการวิจัย...................................................................................................................60 สรุปผล............................................................................................................................. ................60 อภิปรายผล............................................................................................................................. .........61 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................................. .......63 บรรณานุกรม............................................................................................................................. ....................64 ภาคผนวก............................................................................................................................. .........................68 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญและหนังสือขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ...................................69 ภาคผนวก ข ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รามเกียรติ์ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ...................................................................74 ภาคผนวก ค แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2..................................................................................................................... ...100 ภาคผนวก ง ตารางการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...........................................................109 ภาคผนวก จ ประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์.....................................114 ภาคผนวก ฉ ภาพการ Try out และการเก็บข้อมูลวิจัย..................................................................120 ภาคผนวก ช ตัวอย่างผลงานนักเรียน..............................................................................................124 ประวัติผู้วิจัย............................................................................................................................. .....................131
ฉ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1..............................10 ตารางที่ 2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1....11 ตารางที่ 3 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1......11 ตารางที่ 4 มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระสำคัญ และจำนวนชั่วโมงของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2................................................................47 ตารางที่ 5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2..........................................................................................50 ตารางที่ 6 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ในแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 แผนการจัดการเรียนรู้...........56 ตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2...............................................................57 ตารางที่ 8 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ ตามเกณฑ์ 80/80............................................................................................................................. .............58 ตารางที่ 9 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัด การเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน....................................................58 ตารางที่ 10 ผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ.....................................110 ตารางที่ 11 ผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2...........................................................................................111 ตารางที่ 12 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2...........................................................................................112 ตารางที่ 13 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ตอน นารายณ์ ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยวิธีของโลเวทท์ (Lovett)...................................................................113 ตารางที่ 14 ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ในแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ..........................115 ตารางที่ 15 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 30 ข้อ..................................................................117 ตารางที่ 16 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ...........................................................................................119
ช สารบัญภาพประกอบ หน้า ภาพที่ 1 กรอบความคิดในการวิจัย (Conceptual Framework).................................................................5 ภาพที่ 2 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของ OLE............................................................................................31
บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ วรรณคดีเป็นงานเขียนที่มีคุณค่าที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีความไพเราะในอรรถรส มีคุณค่าทาง อารมณ์ความรู้สึก มีรูปแบบและเนื้อหาเฉพาะ ทั้งในรูปแบบร้อยกรองและรูปแบบร้อยแก้ว มีการให้คติธรรมที่ ช่วยยกระดับจิตใจของผู้อ่านให้สูงขึ้น ซึ่งวรรณคดีไทยเป็นภูมิปัญญาทางภาษาของกวีหรือนักประพันธ์ไทยที่ สืบต่อกันมาจากอดีตสู่ปัจจุบันกาล เปรียบเสมือนมรดกอันล้ำค่าที่เป็นสมบัติคู่แผ่นดินไทยมาทุกยุคสมัย และแสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ สอดคล้องกับรื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (2544 : 30) ที่อธิบายถึง ลักษณะของวรรณคดีไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า “วรรณคดีไทยก็เช่นเดียวกับวรรณคดีของชาติอื่น คือมีลักษณะ เฉพาะที่สะท้อนความเป็นไทยและมีความเป็นสากล อันทำให้วรรณคดีไทยบางเรื่องสร้างอารมณ์ร่วม ข้ามพรมแดนของกาลเวลาและวัฒนธรรม และมีคุณค่าโดดเด่นไม่แพ้วรรณคดีชาติใด” วรรณคดีไทยเป็นศิลปะ แห่งการประพันธ์เรื่องราว มีคุณค่าทางอารมณ์ด้วยวิธีร้อยเรียงถ้อยคำให้มีชีวิตจิตใจ ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ คล้อยตามและได้รับรสสุนทรียภาพของวรรณคดีรวมทั้งช่วยขัดเกลาจิตใจและยกระดับจิตใจของผู้อ่านให้ สูงขึ้น ช่วยจรรโลงจิตใจ ทำให้เห็นตัวอย่างของความสุข ความทุกข์ และปัญหาชีวิตต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้อ่าน มองชีวิตด้วยความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งคำกล่าวนี้ได้สอดคล้องกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (2518 : 99) ได้สรุปเกี่ยวกับวรรณคดีไว้ว่า “การอ่านวรรณคดีไม่ได้เป็นไปเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็น การฝึกให้เข้าใจเหตุผลต่าง ๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น” จึงเห็นได้ว่าวรรณคดีเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับจิตใจ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจโลกและเข้าใจชีวิตมากขึ้น ซึ่งสะท้อนภาพของสังคมไทยตามทัศนะและประสบการณ์ของกวี ที่อยู่ในสังคมนั้น ๆ วรรณคดีเป็นเครื่องชี้นำสังคมไทยให้ผู้คนดำเนินชีวิตได้อย่างมีแบบแผน ดังที่ ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2528 : 23-25) ได้อธิบายถึงการศึกษาวรรณคดีไว้ว่า “วรรณคดีคือศิลปะ ถือได้ว่าเป็น มรดกทางวัฒนธรรมของชาติอย่างหนึ่งที่บรรพชนได้สร้างสรรค์รักษามาจนถึงทุกวันนี้ การสอนวรรณคดี จึงเท่ากับเป็นการถ่ายทอดส่งต่อมรดกทางศิลปะให้แก่ลูกหลาน เพื่อศิลปะนั้นจะได้เกิดความเจริญงอกงาม และมีคุณค่าต่อชนในรุ่นหลังต่อไป การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วรรณคดีจึงมีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กได้เข้าใจถึง ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของมนุษย์” การศึกษาวรรณคดีไทย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าและช่วยธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิด พฤติกรรม และค่านิยมของคนในยุคสมัยนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไร รวมไปถึงเรียนรู้คติข้อคิด อุทาหรณ์สอนใจจาก วรรณคดีเหล่านี้ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่าที่กวีได้ฝากไว้ผ่านกลวิธีการประพันธ์ในงานเขียนวรรณคดีนั้น ๆ การเรียนรู้วรรณคดีไทยในปัจจุบันนั้น วรรณคดีไทยเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ผู้เรียนทุกคนต้องได้เรียน คือ วรรณคดี เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ซึ่งเป็นวรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลและมีเค้าโครงเรื่องมาจากมหากาพย์รามายณะของอินเดีย วรรณคดีเรื่องนี้ให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์จากการใช้โวหารกวีด้วยภาพพจน์ที่ทำให้เกิดจินตภาพ รวมทั้งให้ คุณค่าทางด้านเนื้อหาที่สามารถนำข้อคิดมาเปรียบกับพฤติกรรมของคนในสังคมปัจจุบันได้ ดังจะเห็นได้ว่า เมื่ออำนาจตกอยู่ในมือของคนที่ลืมตัวก็จะเกิดผลร้ายตามมา ผู้มอบอำนาจจึงต้องพิจารณาก่อนว่าจะจำกัด ขอบเขตของอำนาจที่เป็นรางวัลอย่างไร มิฉะนั้นจะต้องมาแก้ไขภายหลังเพราะมองคนผิด โดยวรรณคดี เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทกนี้ จะทำให้ผู้เรียนเห็นว่าวรรณคดีมิใช่เรื่องไกลตัว แม้จะมีตัวละคร และฉากอยู่ในโลกสมมุติ แต่ด้วยพฤติกรรมและความคิดอ่านต่าง ๆ ของตัวละครก็ไม่ต่างกับของคนที่ตกอยู่ใน
2 สภาพและเงื่อนไขเดียวกับตัวละคร วรรณคดีจึงเป็นบทวิจารณ์ชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตของเรา และของเพื่อนมนุษย์ได้อีกทางหนึ่ง จากความสำคัญของการศึกษาวรรณคดีไทยดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ทำให้การจัดการเรียนรู้ วรรณคดีไทยยังคงมีบทบาทสำคัญที่จะต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 54) จึงกำหนดให้วรรณคดี ไทยบรรจุอยู่ในสาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้จริง เพราะการสอนวรรณคดีไทย คือการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินคุณค่าในวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ โดยผสานไปกับ การเรียนรู้คุณค่าด้านเนื้อหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ และคุณค่าด้านสังคม ซึ่งผู้เรียนจะต้องสามารถวิเคราะห์ วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้จริงได้ด้วยตนเอง มีทัศนคติที่ดีต่อ การเรียนรู้ในวิชาภาษาไทย และสามารถต่อยอดความรู้ไปสู่สาธารณชนได้ แม้ว่าการเรียนวรรณคดีไทยจะมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากเพียงใดก็ตาม แต่จากผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน O-NET (Ordinary National Education Test) วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 พบว่า สาระที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.53 รองลงมา คือ สาระที่ 1 การอ่าน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 52.58 ซึ่งสาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 52.27 (สถาบันทดสอบทางการศึกษา แห่งชาติ, 2564 : Online) จัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยยังไม่ ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องมาจากผู้เรียนยังไม่สามารถวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีไทยได้ ด้วยปัจจัย ด้านเนื้อหาวรรณคดีไทยซึ่งจะมีการใช้คำศัพท์ที่สละสลวย ทำให้อาจยากต่อการทำความเข้าใจและไม่คุ้นเคย ในชีวิตประจำวัน ประกอบกับการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยที่ผ่านมาเน้นการท่องจำคำศัพท์ การแปล ความหมาย การถอดคำประพันธ์ด้วยวิธีการสอนแบบบรรยายเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า “การป้อนความรู้” จึงเป็นเหตุให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับชุดข้อมูลความรู้จากครูเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีการฝึกให้ผู้เรียนได้รู้จัก การวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีไทยด้วยตนเอง สอดคล้องกับ วิไลลักษณ์ คีรินทร์ (2548 : 16) ได้อธิบายไว้ ว่า “ครูมักจะสอนทักษะและกลวิธีการอ่านให้จบทันหลักสูตรในหนึ่งภาคเรียน จึงไม่มีโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ เวลาอ่านมาก ๆ ครูบางคนให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ซึ่งเป็นคำถาม ด้านความจำ กิจกรรมนี้นอกจากไม่ส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังไม่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในเรื่องที่อ่านอีกด้วย เพราะจัดเป็นการทดสอบมากกว่าการอ่าน” เมื่อผู้เรียนไม่สามารถวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีไทย ด้วยตนเองได้แล้ว ก็ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนขาดทักษะความสามารถในการวิเคราะห์และวิจารณ์ ไม่สามารถที่จะ รับรสสุนทรียภาพของวรรณคดีไทยได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนขาดการเข้าใจโลกและเข้าใจชีวิตอย่างรอบด้าน ด้วยเพราะวรรณคดีคือชีวิตที่เป็นภาพสะท้อนวิถีทางสังคม ซึ่งมีการแฝงไว้ด้วยคุณค่าและข้อคิดอันสามารถ นำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ในชีวิตจริงได้ (นันทญ์ณภัค พรมมา, 2563 : 2) จากสภาพปัญหาดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้ไปศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัย ในการนำแนวคิดทฤษฎีเพื่อช่วยพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทยของผู้เรียน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พบว่า มีผู้นำวิธีการจัดการเรียนรู้มาใช้แก้ปัญหาการอ่านวิเคราะห์วิจารณ์ไว้ อย่างหลากหลาย เช่น การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค SQ4R , การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL-Plus , การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ หรือการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA Model) ซึ่งเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สอดคล้องกับสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ตามกรอบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ความสามารถในการคิด หมายถึง
3 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดอย่างเป็น ระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ ตลอดจนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้ อย่างเหมาะสม (รัชชานนท์ เฟื่องบุญ, 2564 : 5) การจัดการเรียนรู้ที่นำเสนอมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้เลือกการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวก หกใบมาใช้ในการแก้ไขสภาพปัญหาของการวิจัย เนื่องจากการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ (Six Thinking Hats) แนวคิดของเอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน (Edward De Bono) เป็นวิธีการคิดอย่างรอบด้านที่เป็น ระบบในการพิจารณาสถานการณ์หรือเรื่องราวที่ปรากฏทีละด้าน โดยใช้สีหมวกเป็นสัญลักษณ์แทนการคิด หกด้าน ประกอบด้วย หมวกสีขาว เป็นการคิดหาข้อมูล ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ หมวกสีเขียว เป็นการคิด หาแนวความคิดใหม่ ๆ และความคิดสร้างสรรค์ หมวกสีเหลือง เป็นการคิดถึงผลในทางบวก ข้อดี จุดเด่น คุณค่า คิดถึงความเป็นไปได้และประโยชน์ที่ได้รับ หมวกสีดำ เป็นการคิดถึงผลในทางลบ จุดอ่อน จุดบกพร่อง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หมวกสีแดง เป็นการคิดจากอารมณ์ความรู้สึก และหมวกสีน้ำเงิน เป็นการสรุป ความคิดทั้งหมดให้มองเห็นภาพรวมของการคิด ซึ่งการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวก หกใบ เป็นแนวคิดที่สามารถจัดเรียงลำดับหมวกสีต่าง ๆ ตามประเภทของการคิดอย่างไม่สลับซับซ้อน และไม่มี การยึดติดกับความคิดด้านเดียวหรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง รวมทั้งเป็นกรอบแนวทางในการตั้งคำถาม เพื่อค้นหาคำตอบ โดยผู้เรียนสามารถค้นหาคำตอบจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างรอบด้าน และได้แสดงบทบาท การคิดในทุกแง่มุมตามสีของหมวกแต่ละใบที่มีความหมายบอกให้ทราบว่าผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนคิดไปทางใด ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยเพิ่มพูนทักษะความสามารถในการคิดของผู้เรียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560 : 1) ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยต่าง ๆ ที่ใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบเพื่อพัฒนา ความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทยของนักเรียน เช่น งานวิจัยของ นิภา สมสอน (2558) ที่ได้ ทำการศึกษาค้นคว้า เรื่อง การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคหมวกหกใบ เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคหมวกหกใบมีความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 รวมทั้งนักเรียนที่เรียนด้วยแผนการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคหมวกหกใบ มีระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก เช่นเดียวกับงานวิจัยของ วัรดาตี มามะ (2562) ที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้า เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การพัฒนาทักษะการอ่านอย่าง มีวิจารณญาณด้วยวิธีสอนแบบ KWL-Plus กับวิธีสอนแบบหมวก 6 ใบ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบหมวก 6 ใบ กับการจัดการเรียนรู้แบบ KWL-Plus สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความแตกต่างกัน เนื่องจากนักเรียนที่เรียนด้วยการสอนด้วย วิธีการจัดการเรียนรู้แบบหมวก 6 ใบ มีการคิดวิเคราะห์สูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ KWL-Plus อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลสัมฤทธิ์การอ่านอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนโดย วิธีการจัดการเรียนรู้แบบหมวก 6 ใบ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าประสิทธิผลของการอ่านอย่างมี วิจารณญาณวิชาภาษาไทยโดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ KWL-Plus ซึ่งจากงานวิจัยที่ได้นำมาอ้างอิงนั้น จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบเป็นแนวทางในการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะ การวิเคราะห์วิจารณ์ได้ดีขึ้น และช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของผู้เรียนให้สูงขึ้นได้ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะนำการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบมาจัดการเรียนรู้ วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก เพื่อพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์ วรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกัลยาณวัตร จังหวัดขอนแก่น เพราะเป็นวิธีการ
4 จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นสำหรับการคิดวิเคราะห์และฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการจับประเด็นสำคัญเพื่อให้เข้าใจ เนื้อเรื่องมากขึ้น สามารถใช้เหตุผลในการวิเคราะห์วิจารณ์ ฝึกกระบวนการทำงานกลุ่มและทักษะการทำงาน ร่วมกัน รวมถึงสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้ ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยได้ต่อไป วัตถุประสงค์ในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ สมมุติฐานในการวิจัย นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ความสำคัญในการวิจัย 1. เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก ให้สูงขึ้น โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วย วิธีการคิดแบบหมวกหกใบที่มีประสิทธิภาพ 2. เป็นแนวทางให้ผู้ที่สนใจนำไปเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้หรือพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ในรายวิชาภาษาไทยและระดับชั้นอื่น ๆ 3. เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะการออกแบบการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาวิจัยในชั้นเรียน สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 4 ขอบเขตในการวิจัย 1. ประชากร ประชากรได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/8 โรงเรียนกัลยาณวัตร จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 3 ห้องเรียน รวมนักเรียน 129 คน 2. ตัวอย่าง ตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 โรงเรียนกัลยาณวัตร จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 43 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม (Cluster Random Sampling) และในห้องเรียนนั้นมีนักเรียนคละความสามารถ 3. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ ได้แก่ 3.1 นวัตกรรม คือ การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ
5 3.2 ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก 4. เนื้อหา เนื้อหาเป็นไปตามวรรณคดีไทยที่กำหนดให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ศึกษาตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและ วรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจ และแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง จำนวน 1 เรื่อง คือ รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก จำนวน 7 แผน 7 ชั่วโมง 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โดยกำหนดระยะเวลาในการทดลอง 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบเรียน คาบเรียนละ 1 ชั่วโมง โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 2 คาบเรียน รวมทั้งสิ้น 9 คาบเรียน กรอบความคิดในการวิจัย นวัตกรรม ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบความคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) นิยามศัพท์เฉพาะ 1.การวิเคราะห์ หมายถึง การใคร่ครวญพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยการแยกแยะออกเป็นส่วน ๆ ว่าสิ่งใดหรือเรื่องนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วหาข้อสรุป เพื่อนำไป ประยุกต์ใช้ต่อไป 2. การวิจารณ์ หมายถึง การแสดงความคิดเห็นติชม เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร โดยการวิจารณ์ สิ่งใดก็ตามจึงต้องใช้ความรู้ มีเหตุผล มีหลักเกณฑ์ และมีความรอบคอบ 3. วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่ามีกลวิธีการแต่งที่ดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ ใช้ภาษาที่ไพเราะ สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิด เป็นแบบแผน และช่วยยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้ 4. รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก หมายถึง วรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลและมีเค้าโครงเรื่อง มาจากมหากาพย์รามายณะของอินเดีย เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีเนื้อหากล่าวถึงอดีตชาติของพระรามและทศกัณฐ์ โดยที่ทศกัณฐ์เคยเกิดเป็นยักษ์ชั้นต่ำหรือยักษ์ที่มีบุญน้อย ชื่อนนทก ทำหน้าที่ล้างเท้าให้เหล่าเทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวรอยู่ที่เขาไกรลาสแต่เพราะรูปร่างหน้าตา น่าเกลียดจึงถูกเหล่าเทวดากลั่นแกล้ง นนทกจึงไปเข้าเฝ้าพระอิศวรแล้วกราบทูลว่าตนเป็นยักษ์ที่ทำหน้าที่ รับใช้มานานแต่ไม่เคยได้อะไรตอบแทนเลย พระอิศวรจึงประทานนิ้วเพชร ที่เมื่อชี้ใครไปก็จะทำให้คนนั้นตาย การจัดการเรียนรู้ด้วย วิธีการคิดแบบหมวกหกใบ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก
6 เมื่อนนทกได้รับพลังนั้น แทนที่จะใช้ปกป้องตัวเอง กลับเอาไปไล่ฆ่าเทวดาจนล้มตายกันจำนวนมาก พระอิศวร จึงให้พระนารายณ์ไปปราบนนทก ก่อนตายนนทกตัดพ้อว่าตนถูกเอาเปรียบเพราะพระนารายณ์มี มีถึง 4 มือ แต่ตนเป็นยักษ์มีแค่ 2 มือ พระนารายณ์จึงท้าให้นนทกไปเกิดใหม่แล้วมี 20 มือ แล้วพระองค์จะตามไปเกิดเป็น มนุษย์มีเพียง 2 มือเพื่อสู้กัน หลังจากที่พระนารายณ์พูดจบก็ตัดศีรษะนนทก ต่อมานนทกไปเกิดเป็นทศกัณฐ์ ยักษ์ที่มี 20 มือ ส่วนพระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็นพระราม 5. วิธีการคิดแบบหมวกหกใบ หมายถึง ทฤษฎีการคิดของ ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน (Dr.Edward De Bono) ศาสตราจารย์ด้านการคิดชาวอิตาลี ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่มีมุมมองแบบ “รอบด้าน” คือ เน้นการคิด ที่ครอบคลุม เพื่อไม่ให้เกิดการตกหล่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นการจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิด มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้ใช้ความคิดจะต้องสมมุติตัวเองว่ากำลังสวมหมวกทีละใบ ซึ่งหมวกแต่ละใบนั้น จะแทนมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อสมมุติตัวเองสวมหมวกทั้งหกใบแล้ว จะทำให้เรื่องที่กำลังพิจารณา ได้ข้อสรุปที่เหมาะสมและครอบคลุม โดยหมวกทั้งหกใบนั้นประกอบด้วย 5.1 หมวกสีขาว (White Hat) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นกลาง การให้ข้อมูลพื้นฐาน เกี่ยวกับ ผลการศึกษาวิจัยหรือตัวเลขต่าง ๆ การที่ผู้คิดสวมหมวกสีขาวนั่นหมายความว่าผู้คิดกำลังต้องการ ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและเป็นกลางโดยปราศจากความรู้สึก 5.2 หมวกสีแดง (Red Hat) หมายถึง การแสดงออกตามอารมณ์และความรู้สึก รวมไปถึง สัญชาตญาณและลางสังหรณ์ต่าง ๆ เมื่อผู้คิดสวมหมวกสีนี้ จะเป็นการกำหนดให้ผู้คิดสามารถแสดงความรู้สึก กับเรื่องดังกล่าวว่าชอบหรือไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลต่าง ๆ 5.3 หมวกสีดำ (Black Hat) หมายถึง ความคิดเชิงลบ การปฏิเสธ เป็นการบอกถึงสิ่งที่ ไม่เหมาะสม สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ จุดด้อย อุปสรรคและข้อจำกัดต่าง ๆ โดยมีเหตุผลประกอบ ซึ่งเมื่อผู้คิด ใส่หมวกสีดำนั่นหมายความว่าผู้คิดจำเป็นต้องชี้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดไม่สอดคล้องและสิ่งใดใช้ไม่ได้ เพื่อช่วยให้ การปฏิบัติตามแนวคิดไม่เกิดความสูญเปล่าหรือสูญเสียโดยไม่จำเป็น 5.4 หมวกสีเหลือง (Yellow Hat) หมายถึง ตัวแทนของการมองโลกในแง่ดี การคิดถึง จุดเด่น โอกาส สิ่งที่เป็นประโยชน์ในเชิงบวกที่ผสมผสานความสงสัยใคร่รู้ ความสุข และความต้องการที่จะทำ สิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างมีความหวัง เมื่อกำหนดให้ผู้คิดสวมหมวกสีนี้ นั่นหมายความว่าผู้คิดต้องการข้อมูล ที่เป็นความหวังในแง่ดีที่เป็นจุดเด่นและโอกาสที่สามารถนำมาพัฒนาได้ 5.5 หมวกสีเขียว (Green Hat) หมายถึง ตัวแทนของความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ความคิด สร้างสรรค์ การคิดนอกกรอบ โดยใช้ประสบการณ์ของตัวเอง การสวมใส่หมวกสีเขียวของผู้คิด คือ การที่ผู้คิด ดำเนินความคิดต่อเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่มใหม่ ๆ เพื่อนำมาสู่การ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น 5.6 หมวกสีน้ำเงิน (Blue Hat) หมายถึง การควบคุมและการบริหารกระบวนการคิดต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของความคิดรวบยอด ข้อสรุป การยุติข้อขัดแย้ง การมองเห็นภาพและ การดำเนินการที่มีขั้นตอนเป็นระบบ เมื่อผู้คิดใช้หมวกน้ำเงิน นั่นหมายความว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิจารณา เรื่องนี้อย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน 6. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้คำถาม เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาการคิดของผู้เรียนให้มีความสามารถด้านทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ จุดเน้นคือการกระตุ้นผู้เรียนให้สามารถคิดและตั้งคำถามกระตุ้นให้เกิดความสนใจใฝ่รู้ และคิดหาคำตอบที่ ถูกต้อง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่
7 6.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ มีความ พร้อมที่จะเรียนรู้ โดยใช้วิธีการและสื่อที่หลากหลายประกอบการใช้คำถามกระตุ้นซักถาม ทบทวน หรือแสดง ความคิดเห็นให้ผู้เรียนนำประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับประสบการณ์ใหม่ 6.2 ขั้นดำเนินการสอน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อกระตุ้นการคิดด้วยการใช้คำถาม หมวกความคิดหกใบ โดยลักษณะกิจกรรมมุ่งให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากที่สุด กล่าวคือ ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ร่วมกันแสดงออกด้วยการตั้งคำถาม ตอบคำถาม โดยออกแบบกรอบ ของการคิดด้วยการใช้คำถามตามสีของหมวก (หมวกแต่ละสีใช้แทนวิธีคิดแต่ละแบบ) ซึ่งจะใช้หมวกสีใด ก่อนหลังก็ได้ และผู้เรียนสามารถใช้คำถามของหมวกแต่ละสีได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง จนกระทั่งได้คำตอบหรือ องค์ความรู้ในเรื่องที่เรียนอย่างชัดเจน ในขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องมีการร่วมกันวิเคราะห์เพื่อให้ได้ความจริง ข้อเท็จจริง หรือคำตอบที่ต้องการ 6.3 ขั้นสรุป เป็นการสรุปผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วม โดยผู้เรียนร่วมกันสรุปความรู้ภาพรวมของเรื่องที่เรียน หรือสรุปสาระสำคัญของบทเรียน โดยนำ ความรู้ที่ได้ทั้งหมดมานำเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันสรุปข้อค้นพบ หรือสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ 6.4 ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการจัดกิจกรรม ซึ่งได้จากการ สรุป การทดสอบ การบันทึก และการตรวจผลงาน โดยอาจเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เพื่อน ผู้ปกครอง หรือชุมชน ร่วมประเมินผลได้ 7. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ วิจารณ์วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบ หมวกหกใบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งครูได้มีการกำหนดองค์ประกอบ จุดประสงค์ วิธีการสอน สื่อการเรียนรู้ รวมถึงวิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้จำนวน 7 แผน 7 ชั่วโมง 8. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง คุณภาพด้านกระบวนการและผลลัพธ์ของ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เน้นการพัฒนาความสามารถ ในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วย วิธีการคิดแบบหมวกหกใบ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 มีความหมายดังนี้ 80 ตัวแรก (E1) หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ คิดเป็นค่าร้อยละของคะแนน เฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งได้จากคะแนนการทำกิจกรรม (50) และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (50) กำหนด สัดส่วนคะแนนเป็น 50 : 50 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ ทั้งนี้ต้องมีคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 80 ขึ้นไป 80 ตัวหลัง (E2) หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คิดเป็นค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยจะวัดเมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบ หมวกหกใบครบทุกแผน ทั้งนี้ต้องมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป 9. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งทำให้นักเรียนเกิด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย แสดงให้เห็นได้ด้วยคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พุทธศักราช 2551 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์วิจารณ์ 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีไทย 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ 5. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 6. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ 7. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พุทธศักราช 2551 1.1 ทำไมต้องเรียนภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย ได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป 1.2 เรียนรู้อะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจ เพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธีการเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่าง ๆ ของ การเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์ วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ
9 หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาส และบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของ งานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็น ภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของ สังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมา จนถึงปัจจุบัน 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 1.4 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายโดยตรงและ ความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้วิเคราะห์วิจารณ์อย่างมี เหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ ใช้สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษาเขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือ โต้แย้งอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการพูด
10 พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ รวมทั้งมีมารยาทใน การฟัง การดู และการพูด เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติใน ภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยครวม ประโยคซ้อน ลักษณะ ภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กาพย์และ โคลงสี่สุภาพ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่าที่ได้รับจาก วรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ข้อคิดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบ ต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตารางที่1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตาม รูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย 2. เขียนบรรยายและพรรณนา การเขียนบรรยายและพรรณนา 3. เขียนเรียงความ การเขียนเรียงความเกี่ยวกับประสบการณ์ 4. เขียนย่อความ การเขียนย่อความจากสื่อต่าง ๆ เช่น นิทาน คำสอน บทความทางวิชาการ บันทึกเหตุการณ์ เรื่องราวในบทเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น นิทานชาดก 5. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า การเขียนรายงาน 6. เขียนจดหมายกิจธุระ การเขียนจดหมายกิจธุระ 7. เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดง ความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้ง ในเรื่องที่อ่านอย่างมีเหตุผล การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือโต้แย้งจากสื่อต่าง ๆ 8. มีมารยาทในการเขียน มารยาทในการเขียน
11 สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกใน โอกาสต่างๆอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ตารางที่2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 1. พูดสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง และดู การพูดสรุปความจากเรื่องที่ฟังและดู 2. วิเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และ ความน่าเชื่อถือของข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ 3. วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องที่ฟังและดู อย่างมีเหตุผลเพื่อนำข้อคิดมาประยุกต์ใช้ ในการดำเนินชีวิต การพูดวิเคราะห์และวิจารณ์จากเรื่องที่ ฟังและดู 4. พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ การพูดในโอกาสต่าง ๆ เช่น - การพูดอวยพร - การพูดโน้มน้าว - การพูดโฆษณา 5. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษา ค้นคว้า การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าจาก แหล่งเรียนรู้ต่างๆ 6. มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด มารยาทในการฟัง การดู และการพูด สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและ นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตารางที่3 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 1. สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่านในระดับที่ยากขึ้น วรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับ - ศาสนา - สุภาษิต คำสอน - เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี - บันทึกการเดินทาง
12 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2. วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่นที่ อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ 3. อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน 4. สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจากวรรณคดี วรรณกรรม และวรรณกรรมท้องถิ่น 5. ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและ บทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ สรุปได้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่จัดการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะความสามารถทางด้านการอ่าน การเขียน การฟัง การดู การพูด หลักการใช้ภาษาไทย รวมทั้งวรรณคดีและวรรณกรรม อันจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ พัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ประเมินค่า และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม ตลอดจนสามารถนำความรู้มาพัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์วิจารณ์ 2.1 ความหมายของการอ่านวิเคราะห์ การอ่านวิเคราะห์ เป็นทักษะการอ่านขั้นสูงที่ต้องอาศัยกระบวนการทางความคิด มีนักวิชาการได้ กล่าวถึงความหมายของการอ่านวิเคราะห์ ดังนี้ ลินจง จันทรวราทิตย์ (2542 : 56) ให้ความหมายว่า การอ่านวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านอย่างละเอียด ถี่ถ้วนเพื่อให้ได้ความหมายบริบูรณ์แล้วจึงแยกแยะออกเป็นส่วน ๆ ว่า ส่วนต่าง ๆ นั้น มีความหมายและ ความสำคัญอย่างไร และแต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไร ประพนธ์ เรืองณรงค์ (2545 : 50-51) ให้ความหมายว่า การอ่านเชิงวิเคราะห์ เป็นการอ่านที่ฝึกให้ นักเรียนรู้จักอ่านหนังสืออย่างมีวิจารณญาณ รู้จักแยกแยะความเหมาะสมขององค์ประกอบในการเขียน ทั้งเนื้อหาและรูปแบบ เข้าใจจุดประสงค์และทัศนะของผู้เขียน รวมทั้งวินิจฉัยได้ว่าเรื่องนั้นควรอ่านหรือไม่ควร อ่านอย่างไร สมบัติ จำปาเงิน และสำเนียง มณีกาญจน์ (2548 : 100) ให้ความหมายว่า การวิเคราะห์ หมายถึง แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เมื่อนำมารวมกับคำว่าอ่าน การอ่านวิเคราะห์ จึงหมายถึง การอ่านเพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จิตต์นิภา ศรีไสย์ (2549 : 40) ให้ความหมายว่า การอ่านวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านหลาย ๆ ครั้ง อย่างไตร่ตรอง พิจารณาอย่างถี่ถ้วน สามารถแยกแยะข้อความออกได้เป็น ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นและสามารถ สรุปได้ว่าสิ่งใดเป็นวิชาการและสิ่งใดเป็นการแสดงทรรศนะของผู้เขียน สรุปได้ว่า การอ่านวิเคราะห์เป็นการอ่านโดยการพิจารณาแยกแยะข้อมูล เนื้อหา รูปแบบ จุดประสงค์ บอกรายละเอียดของเรื่อง วิเคราะห์แนวคิด คุณค่าของเรื่อง ทัศนะ ผู้อ่านวิเคราะห์ต้องอ่านด้วยความ ระมัดระวังและควรจะอ่านซ้ำเพื่อเก็บรายละเอียดให้ครบถ้วน
13 2.2 หลักของการอ่านวิเคราะห์ นักการศึกษาได้กล่าวถึงหลักของการอ่านวิเคราะห์ไว้แตกต่างกัน ดังนี้ พนิตนันท์ บุญพามี (2542: 105-110) อธิบายว่า การวิเคราะห์สามารถพิจารณาได้หลายส่วน ประกอบด้วย การวิเคราะห์คำ ประโยค ทัศนะของผู้แต่ง และรสของวรรณกรรม ซึ่งอธิบายไว้ดังนี้ 1. การวิเคราะห์คำ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านรู้จักแยกแยะถ้อยคำเป็นวลี ประโยค หรือข้อความต่าง ๆ สามารถบอกได้ว่าคำใดใช้อย่างไร ใช้ผิดความหมาย ผิดหน้าที่ ไม่เหมาะสมไม่ชัดเจนอย่างไร และควรปรับปรุง แก้ไขอย่างไรจึงจะสามารถใช้ได้ถูกต้อง 2. การวิเคราะห์ประโยค มีจุดมุ่งหมายเพื่อแยกแยะประโยคต่าง ๆ ว่าเป็นประโยคที่ถูกต้องชัดเจน หรือไม่ ใช้ประโยคผิดไปจากแบบแผนของภาษาอย่างไร เป็นประโยคที่ถูกต้องสมบูรณ์หรือไม่ มีหน่วยความ ในประโยคขาดเกินหรือเปล่า เรียงลำดับความในประโยคถูกต้องชัดเจนหรือไม่ เมื่อพบข้อบกพร่องต่าง ๆ แล้ว สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ 3. การวิเคราะห์ทัศนะของผู้แต่ง หลังจากอ่านจบแล้วลองตั้งคำถามตนเองว่ามีความคิดเห็นตรงกับ ผู้เขียนหรือไม่ ความคิดของผู้เขียนเลื่อนลอย ไร้สาระ หรือมีเหตุผลข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือเพียงใด การกระทำ เช่นนี้จะช่วยให้มองเห็นทัศนะของผู้เขียนได้ชัดเจนว่าเขาเป็นคนมองโลกในแง่ใดและอย่างไร จำเป็นด้วยหรือไม่ ที่เราต้องมีความคิดเห็นสอดคล้อง เมื่อผู้อ่านมีความคิดไม่สอดคล้องด้วย ผู้อ่านมีความเห็นส่วนตัวอย่างไร ซึ่งตอนนี้จะทำให้การวิเคราะห์ทัศนะของผู้เขียนแจ่มชัดมากขึ้นทีเดียว 4. การวิเคราะห์รส หมายถึง ความซาบซึ้งประทับใจที่เกิดขึ้นหลังจากสนใจหรือติดตามอ่านเรื่องมา มาก 4.1 รสของกาพย์กลอนไทย มี 4 รสด้วยกันคือ 4.1.1 เสาวรจนี (รสชมโฉม) คือ การกล่าวชมความงามของตัวละคร ธรรมชาติ สถานที่ต่าง ๆ 4.1.2 นารีปราโมทย์ (รสของบทเกี้ยวโอ้โลม) คือ รสในการแสดงความรักใคร่ พูดโอ้โลม บทเกี้ยว 4.1.3 พิโรธวาทัง (รสของบทโกรธ) คือ บทโกรธ แค้นใจ เสียดสี ตัดพ้อ ต่อว่า ด้วยความโกรธ 4.1.4 สัลลาปังคพิสัย (รสของบทโศก) คือ บทพรรณนาความโศกเศร้า คร่ำครวญ ตัดพ้อด้วยความน้อยใจ 4.2 รสของงานเขียนอื่น ๆ นอกจากรสของกาพย์กลอนวรรณคดีแล้ว ในงานเขียนประเภท ต่าง ๆ ก็สามารถพิจารณารสของงานเขียนนั้นได้ ได้แก่ 4.2.1 รสเสียง หมายถึง การได้ยินเสียงในขณะที่อ่านด้วยการใช้จินตนาการ หรือการเลียนเสียงธรรมชาติ 4.2.2 รสภาพ หมายถึง การที่ผู้อ่านมองเห็นภาพและเข้าใจเรื่องราวได้ในเวลา เดียวกัน ทำให้เข้าใจงานเขียนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพจากการเรียบเรียงถ้อยคำ 4.2.3 รสความ หมายถึง รสที่ผู้อ่านได้จากความไพเราะของเนื้อความบทประพันธ์ หรือหนังสือที่มีคุณค่าด้านความหมายในทำนองเปรียบเทียบหรือพรรณนา และมีคุณค่าทางด้านความคิด 4.2.4 รสคำหรือรสอันเกิดจากการใช้คำของบทประพันธ์ โดยเฉพาะบทประพันธ์ ประเภทร้อยกรอง ผู้แต่งจะพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ทำให้คำเหล่านั้นมีเสียงเสนาะ มีเสียงสัมผัส เป็นจังหวะไพเราะกว่าภาษาพูด หรือภาษาเขียนแบบร้อยแก้วธรรมดา
14 กรมวิชาการ (2546 : 189-208) อธิบายถึงหลักการอ่านเชิงวิเคราะห์ว่า เป็นทักษะการอ่านที่สูงขึ้นกว่า การอ่านทั่ว ๆ ไป กล่าวคือ ไม่ใช่เป็นเพียงการอ่านเพื่อความรู้และเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ต้องมีการ วิเคราะห์สิ่งที่ผู้เขียน เขียนในด้านต่าง ๆ ด้วย เพื่อนำไปสู่ความรู้ ความคิด การตัดสินใจแก้ปัญหาและการสร้าง วิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิต 1. การวิเคราะห์การอ่าน 1.1 การวิเคราะห์การอ่านประกอบด้วย 1.1.1 รูปแบบ 1.1.2 กลวิธีในการประพันธ์ 1.1.3 เนื้อหาหรือเนื้อเรื่อง 1.1.4 สำนวนภาษา 2. หลักการวิเคราะห์การอ่าน มีสิ่งที่ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้ 2.1 ดูรูปแบบของงานประพันธ์ว่าใช้รูปแบบใด อาจเป็นนิทาน บทละคร นวนิยาย เรื่องสั้น บทร้อยกรองหรือบทความจากหนังสือพิมพ์ 2.2 แยกแยะเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร 2.3 แยกพิจารณาแต่ละส่วนให้ละเอียดลงไปว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง 2.4 พิจารณาให้เห็นว่า ผู้เขียนใช้กลวิธีเสนอเรื่องอย่างไร สมบัติ จำปาเงิน และสำเนียง มณีกาญจน์ (2548: 103) อธิบายการอ่านวิเคราะห์ว่า สามารถแบ่ง การอ่านวิเคราะห์ได้ ดังนี้ 1. การอ่านวิเคราะห์คำ เป็นการอ่านเพื่อให้ผู้อ่านแยกแยะถ้อยคำในวลี ประโยค หรือ ข้อความต่าง ๆ โดยสามารถบอกได้ว่าคำใดใช้อย่างไร ใช้ผิดความหมาย ผิดหน้าที่ไม่เหมาะสม ไม่ชัดเจนอย่างไร ควรจะต้อง หาทางแก้ไขปรับปรุงอย่างไร 2. การอ่านวิเคราะห์ประโยค เป็นการอ่านเพื่อแยกแยะประโยคต่าง ๆ ว่าเป็นประโยคที่ถูกต้องชัดเจน หรือไม่ ใช้ประโยคผิดไปจากแบบแผนของภาษาอย่างไร เป็นประโยคที่ถูกต้องสมบูรณ์เพียงใด มีหน่วยความคิด ขาดเกินหรือไม่ เรียงลำดับความในประโยคถูกต้องหรือไม่ เมื่อพบข้อบกพร่องต่าง ๆ แล้วก็สามารถแก้ไขให้ ถูกต้องได้ 3. การอ่านวิเคราะห์ทัศนะของผู้แต่ง ผู้อ่านต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบว่าผู้เขียนเสนอทัศนะ มีเหตุผลประกอบข้อเท็จจริงน่าเชื่อถือเพียงใด เป็นคนมองโลกในแง่ไหน 4. การวิเคราะห์รส เป็นการอ่านอย่างพิจารณาถึงความประทับใจที่ได้จากการอ่าน คือการวิเคราะห์ รสของเสียงและรสของภาพ 4.1 ด้านรสของเสียง ผู้อ่านจะรู้สึกได้ชัดจากการอ่านออกเสียงดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน ปกติหรือใส่ทำนองเสนาะก็ตาม จะช่วยให้รู้สึกถึงความไพเราะของจังหวะและความเคลื่อนไหวที่แฝงอยู่ 4.2 ด้านรสของภาพ เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความเข้าใจเรื่อง ในขณะเดียวกันทำให้เห็นภาพ ด้วย จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมาย เกิดภาพขึ้นในใจ สรุปได้ว่า หลักการอ่านวิเคราะห์ประกอบด้วย การพิจารณารูปแบบของงานเขียน การพิจารณากลวิธี ในการเขียนและการใช้ภาษา พิจารณาเนื้อเรื่อง ความงามทางด้านวรรณศิลป์ พิจารณารสของงานเขียน พิจารณาจุดประสงค์ในการเขียน และยังเห็นว่าการวิเคราะห์ทัศนะของเจ้าของผลงานก็มีผลต่อความเข้าใจ เนื้อหา หรือแนวคิดของสารที่อ่านได้อย่างลึกซึ้ง
15 2.3 กระบวนการอ่านวิเคราะห์ การอ่านวิเคราะห์ เป็นการอ่านที่จะต้องสามารถแยกแยะข้อมูลต่าง ๆ ให้ละเอียดและมีกระบวนการ ขั้นตอนในการอ่าน มีนักวิชาการได้กล่าวถึงกระบวนการของการอ่านวิเคราะห์ไว้ ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 92) สรุปขั้นตอนกระบวนการอ่านวิเคราะห์ไว้ดังนี้ 1. จัดประเภทหนังสือตามชนิดและเนื้อหา หนังสือแต่ละประเภทมีวิธีอ่านต่างกัน ก่อนอ่านต้อง วิเคราะห์รู้ว่าหนังสือเล่มนั้นอยู่ในประเภทใด การแบ่งประเภทจะดูแต่ชื่อเรื่องหรือลักษณะภายนอก เพียงอย่างเดียวไม่ได้ต้องสำรวจเนื้อหาด้วย อย่างไรก็ตาม ชื่อเรื่องเป็นสิ่งแรกที่ใช้เป็นแนวทางได้เพราะผู้เขียน ย่อมต้องพยายามตั้งชื่อเรื่องให้ตรงแนวเขียนหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนของตนให้มากที่สุด 2. สรุปให้สั้นที่สุดว่าหนังสือนั้นกล่าวถึงอะไร หนังสือที่ดีทุกเล่มต้องมีเอกภาพ มีการจัดองค์ประกอบ ของส่วนย่อยอย่างมีระเบียบ ผู้อ่านต้องพยายามสรุปเอกภาพดังกล่าวออกมาเพียง 1-2 ประโยคว่าหนังสือ เล่มนั้นมีอะไรเป็นจุดสำคัญหรือเป็นแก่นเรื่อง แล้วจึงหาความสัมพันธ์กับส่วนสำคัญต่อไป 3. กำหนดโครงสังเขปของหนังสือ เมื่ออ่านต้องตั้งประเด็นด้วยว่าจากเอกภาพของหนังสือเล่มนั้นมี ส่วนประกอบใดสำคัญบ้าง ส่วนที่สำคัญ ๆ สัมพันธ์กันโดยตลอดหรือไม่ และแต่ละส่วนก็มีหน้าที่ของตน สนับสนุนซึ่งกันและกันหรือไม่ 4. กำหนดปัญหาที่ผู้เขียนต้องการแก้ ผู้อ่านควรพยายามอ่านและค้นพบว่าผู้เขียนเสนอปัญหาอะไร อย่างไร มีปัญหาย่อยอะไร และให้คำตอบไว้ตรง ๆ หรือไม่ การตั้งปัญหาเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจเรื่อง แจ่มแจ้ง ยิ่งตั้งปัญหาได้กว้างขวางลึกซึ้งเพียงใด ยิ่งเข้าใจได้เพิ่มขึ้นเพียงนั้น 5. การตีความเนื้อหาของหนังสือ เป็นสิ่งที่ผู้อ่านทำความเข้าใจความคิดของผู้เขียน พิจารณา วัตถุประสงค์ของผู้เขียน ซึ่งบางครั้งผู้เขียนไม่ได้บอกความหมายหรือนัยของข้อความที่เขียนออกมาตรง ๆ แต่ผู้อ่านต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจบริบทของเรื่องเป็นอย่างดี จึงจะตีความได้ถูกต้อง การทำความเข้าใจ ความคิดของผู้เขียนนั้น ไม่ว่าความคิดจะถูกต้องหรือไม่ เราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่การพยายามเข้าใจ เช่นนั้น ทำให้เราวิจารณ์ผู้เขียนอย่างไม่ยุติธรรม แต่จะพิจารณาทั้งข้อดี ข้อบกพร่องของงานเขียนกันอย่าง แจ่มแจ้ง การตีความเนื้อหาของหนังสือมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ 5.1 ตีความหมายของคำสำคัญ และค้นหาประโยคสำคัญที่สุด ผู้อ่านต้องพยายามเข้าใจ คำสำคัญ และเข้าใจประเด็นที่สำคัญที่ผู้เขียนเสนอ เพื่อเข้าใจความคิดของผู้เขียน 5.2 สรุปความคิดสำคัญของผู้เขียน โดยพิจารณาว่าประโยคใดเป็นเหตุ ประโยคใดเป็นผล ประโยคใดเป็นข้อสรุป ซึ่งบางครั้งผู้เขียนไม่ได้สรุปความคิดออกมาให้เห็นชัดเจน แต่ผู้อ่านต้องพยายามสรุป ออกมาให้ได้ 5.3 ตัดสินว่าอะไรคือการแก้ปัญหาของผู้เขียน เมื่อผู้อ่านตีความสำคัญให้ตรงกับผู้เขียน เข้าใจความคิดสำคัญของผู้เขียน และสรุปความคิดของผู้เขียนได้แล้ว ผู้อ่านก็จะวิเคราะห์หรือตัดสินได้ว่า จากเรื่องราวหรือเหตุผลต่าง ๆ ที่ผู้เขียนนำมาเสนอนั้นมีความสมเหตุสมผลหนักแน่น น่าเชื่อถือได้หรือไม่ เพียงใด เพื่อนำไปสู่การวิจารณ์หนังสือเรื่องนั้น ๆ ต่อไป วนิดา พรมเขต (2559: 42) ให้หลักเกณฑ์กระบวนการอ่านอย่างกว้าง ๆ ในการพิจารณารูปแบบของ งานเขียนกลวิธีในการเขียนและการใช้ภาษาดังนี้ 1. การพิจารณารูปแบบของงานเขียน กลวิธีในการเขียนและการใช้ภาษา เช่น สารที่อ่านเป็นร้อยกรอง ประเภทใด ร้อยแก้วประเภทใด มีกลวิธีและการใช้ภาษาอย่างไร หากเป็นบันเทิงคดีประเภทที่มีการดำเนินเรื่อง มีตัวละคร เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย และวรรณคดีบางเรื่อง อาจพิจารณาลักษณะ ตัวละคร ฉาก บรรยากาศ หรือ สถานที่ในเรื่องด้วย
16 2. การพิจารณาเนื้อเรื่อง เช่น ถ้าเป็นงานวิชาการและสารคดีพิจารณาว่าสารที่ได้คืออะไร มีการอ้างอิง และความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นบทความผู้อ่านก็ควรได้ความคิดเห็นของผู้เขียนที่มักแสดงไว้อย่าง สมเหตุสมผล แต่ถ้าเป็นบันเทิงคดีผู้อ่านต้องพิจารณาว่าแก่นเรื่องหรือแนวความคิดของเรื่องคืออะไร 3. การพิจารณาจุดประสงค์ของผู้เขียน มีผลต่อความเข้าใจสิ่งที่อ่านอย่างยิ่ง เพราะการทราบ จุดประสงค์ของผู้เขียนจะทำให้ผู้อ่านตีความและได้ประเด็นจากการอ่านตรงกับที่ผู้เขียนต้องการสื่อความ จุดประสงค์ของผู้เขียนอาจมีได้หลากหลาย เช่น ต้องการให้ความรู้ ให้ข้อคิด สั่งสอน ติเตียน เสียดสี ผ่อนคลาย อารมณ์ สะท้อนสังคมให้ปฏิบัติตาม เป็นต้น ดังนั้นถ้าผู้อ่านทราบว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์เพื่อการสั่งสอน สาระที่ได้จากการอ่านย่อมเป็นข้อคิด คำสอน หรือหากผู้อ่านมีจุดประสงค์เพื่อติเตียน สิ่งที่ผู้อ่านจะได้จากการ อ่านย่อมเป็นการเสนอข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นตามทัศนะและมุมมองของผู้เขียน 4. การพิจารณาประวัติของผู้เขียน ผู้อ่านที่รู้จักประวัติชีวิตของผู้เขียน เช่น ประวัติการศึกษา การทำงาน ประสบการณ์ ถิ่นที่อยู่ ความสนใจหรือความสามารถพิเศษ รวมถึงผลงานที่ผ่านมาของผู้เขียน จะทำให้เห็นมุมมองของผู้เขียนต่อสังคม เพราะประสบการณ์จะเป็นเครื่องหล่อหลอมความคิดและบุคลิก ของคน ดังนั้นผู้ที่มีความถนัด มีความเชี่ยวชาญใกล้ชิดกับสิ่งใด ก็ย่อมมีผลต่อความคิดและสามารถถ่ายทอด เป็นงานเขียนได้ดี เช่น ผู้เขียนมีภูมิลำเนาอยู่ภาคอีสาน ได้เห็นความแห้งแล้งและความขาดแคลนของคนอีสาน ผู้เขียนก็สามารถถ่ายทอดความอดอยากและการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้มีอำนาจได้ดี หรือผู้เขียนรักในการ เดินทางเพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับชีวิตก็ย่อมเห็นคุณค่าของการเดินทางและถ่ายทอดคุณค่าของการเดินทาง ให้ผู้อื่นเห็นความสำคัญตามไปด้วย เป็นต้น สรุปได้ว่า กระบวนการอ่านวิเคราะห์ คือ การอ่านพิจารณารูปแบบ แนวคิดของผู้เขียน วิเคราะห์ เนื้อหา กลวิธีในการนำเสนอ การดำเนินเรื่อง สำนวนภาษา การเสนอความคิดเห็น ตีความ ประเมินค่า สังเคราะห์ความรู้ รูปแบบ ประเภทของหนังสือ ความมีเอกภาพ รวมไปถึงประวัติผู้เขียนด้วย 2.4 การจัดการเรียนการสอนการอ่านวิเคราะห์ การอ่านวิเคราะห์เป็นการอ่านที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะต้องใช้ความคิดควบคู่ไปพร้อม ๆ กับการอ่าน จึงมีนักวิชาการได้กล่าวถึงวิธีสอนอ่านวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 21) ได้เสนอขั้นตอนการสอนอ่านวิเคราะห์ ดังนี้ ขั้นที่ 1 รวบรวมข้อมูล คือ รับรู้เรื่องราวและเข้าใจความหมายจากการสังเกต สนทนาซักถามเล่าเรื่อง บริบท ท่าทาง จากข่าวสาร ข้อมูลจากหนังสือต่าง ๆ ขั้นที่ 2 วิเคราะห์คือ คิดวิเคราะห์ จำแนก และ จับใจความสำคัญของเรื่องได้ว่า ใคร ทำอะไรกับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร และผลเป็นอย่างไร ขั้นที่ 3 สรุป คือ สังเคราะห์ข้อมูลแล้วสรุปประเมินความน่าจะเป็น น่าเชื่อถือ สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม หาหลักฐานประกอบการตัดสินใจเชิงเหตุเชิงผล ขั้นที่ 4 ประยุกต์และนำไปใช้คือ นำผลจากการเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริงเลือกอย่างเหมาะสมแล้ว นำไปใช้ กรมวิชาการ (2546: 251) เสนอว่า การสอนอ่านวิเคราะห์ ครูควรเตรียมเรื่องราว เนื้อหา หรือ ข้อความต่าง ๆ โดยจัดเตรียมเองหรือมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาหรือรวบรวมก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเนื้อหา หรือเรื่องราวที่จะนำมาวิเคราะห์นั้น ต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ด้วย สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ (2550: 36) อธิบายวิธีการสอนอ่านวิเคราะห์ว่า เป็นการอ่านและการคิดระดับสูง ซึ่งมีกลวิธีดังนี้
17 1. กลวิธีนำการอ่าน (Directed Reading Activity) เป็นกลวิธีสอนทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจที่ครู เป็นผู้ชี้นำการอ่านโดยตั้งคำถามจากเรื่องที่จะให้นักเรียนอ่าน แล้วให้นักเรียนอ่านเพื่อหาคำตอบของคำถาม ดังกล่าว 2. กลวิธีฝึกอ่าน SQ3R (Survey, Question, Read, Recite, Review) เป็นกลวิธีฝึกอ่านที่เริ่มจาก การให้ผู้อ่านสำรวจเรื่องที่จะอ่านแล้วตั้งคำถามต่าง ๆ จากนั้นให้อ่านเรื่องเพื่อหาคำตอบ เมื่ออ่านจบให้สรุป หรือทบทวนเรื่องที่อ่านอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจเรื่องได้ดียิ่งขึ้น 3. กลวิธีนำการอ่านและการคิด (Reading Thinking Guide) เป็นกลวิธีที่พัฒนาการอ่านของนักเรียน โดยการใช้คำถามชี้นำให้นักเรียนใช้บริบทหรือข้อความ เพื่อทำนายเนื้อหาของเรื่องที่จะอ่าน จากนั้นให้นักเรียน อ่านแล้วตรวจสอบว่าคำทำนายถูกต้องหรือไม่ พร้อมทั้งให้เชื่อมโยงเรื่องที่อ่านกับประสบการณ์ส่วนตัวและเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับกลวิธีการวัดและประเมินผลการอ่านวิเคราะห์ จากวิธีการสอนอ่านวิเคราะห์ที่นักวิชาการนำเสนอข้างต้น แต่ละรูปแบบมีข้อดีที่แตกต่างกันไปตาม จุดเน้นของแต่ละแบบ ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนอ่านวิเคราะห์จะต้องเตรียมเนื้อหาให้สอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ ฝึกให้ผู้อ่านใช้ความคิด รู้จักการวิเคราะห์ และประเมินผลความน่าเชื่อถือของข้อมูล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับ นักเรียน 2.5 การประเมินผลการอ่านวิเคราะห์ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ให้ผู้สอนใช้พัฒนาผู้เรียน เพราะจะช่วยให้ได้ข้อมูล สารสนเทศที่แสดงพัฒนาการความก้าวหน้า ความสำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน รวมทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ กรมวิชาการ (2546 : 209) มีแนวการวัดและประเมินผลการอ่านวิเคราะห์ไว้ดังนี้ 1. ให้นักเรียนอ่านนิทานและสรุปความจากเรื่องให้ถูกต้องชัดเจนตามแบบที่กำหนดให้ พร้อมทั้งแสดง ความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับโครงเรื่อง นิสัยของตัวละคร ข้อคิดที่ได้จากการอ่าน แล้วนำไปใช้ในชีวิต ประจำวัน 2. ให้นักเรียนวิเคราะห์วิจารณ์การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ในแง่การใช้สำนวนภาษา การสื่อความหมายและความสอดคล้องกับเนื้อหาของข่าวนั้น ๆ แล้วอ่านรายละเอียดของข่าว หรือบทความ จากหนังสือพิมพ์แล้วสรุปใจความสำคัญของข่าว ขีดเส้นใต้ข้อความที่เป็นข้อเท็จจริงและข้อความที่เป็น ข้อคิดเห็นของผู้เขียนหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน แล้ววิเคราะห์ข่าวนั้นมีการนำเสนอเฉพาะข้อเท็จจริงหรือ มีความคิดเห็นของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบว่าความคิดเห็นของผู้เขียนน่าเชื่อถือหรือไม่ เพียงใด ข้อคิดที่ได้จากการอ่านข่าวแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร 3. ให้นักเรียนตัดข้อความโฆษณาจากสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ แล้วแสดงความคิดเห็นเชิงตัดสินใจซื้อสินค้า 4. ให้นักเรียนเลือกวิเคราะห์วิจารณ์บทความ 1 เรื่อง ในเรื่องรูปแบบการนำเสนอ กลวิธีการแต่ง เนื้อหาและการใช้ถ้อยคำสำนวนภาษา 5. ให้นักเรียนอ่านสารคดีแล้วประเมินค่าของเรื่องที่อ่านทั้งจุดดีและจุดด้อย โดยใช้เหตุผลประกอบ ทั้งในด้านเนื้อหา รูปแบบ คุณค่าทางวรรณคดีและสังคม ส่วนการวัดและการประเมินผลในกิจกรรมต่าง ๆ ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นได้ถูกต้อง 6. ให้นักเรียนเลือกอ่านบทร้อยกรองที่นักเรียนชอบ แล้วสรุปความเป็นร้อยแก้วโดยใช้สำนวนภาษาที่ เข้าใจง่ายวิเคราะห์วิจารณ์บทที่อ่านในด้านรูปแบบฉันทลักษณ์เนื้อหาของบทร้อยกรอง ให้อารมณ์ความรู้สึก
18 สอดคล้องกับเนื้อหาของบทร้อยกรองหรือไม่อย่างไรนักเรียนมีความซาบซึ้ง ประทับใจกับบทร้อยกรองที่อ่าน หรือไม่ ต่อจากนั้นจึงพิจารณาความสามารถและผลการทำงานด้วย การวัดผลความถูกต้องของการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษาการสรุปความการวิเคราะห์วิจารณ์บทร้อยกรอง กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 216-217) อธิบายแนวทางการวัดและประเมินผลการอ่านเชิงวิเคราะห์ ว่าอาจใช้วิธีการดังนี้ 1. พิจารณาความถูกต้องเหมาะสมในการวิเคราะห์คำ วลีหรือประโยค นอกจากนั้น ควรวัดผลด้าน เหตุผลการวิเคราะห์ทัศนะของผู้เขียนจากเรื่องที่อ่าน ตลอดจนประเมินผลจากความตั้งใจ สนใจ และผลงานที่ ได้รับมอบหมาย 2. ให้นักเรียนเลือกอ่านบทร้อยกรองที่นักเรียนชอบ แล้วสรุปความเป็นร้อยแก้วโดยใช้สำนวนภาษาที่ เข้าใจง่าย 3. ให้นักเรียนอ่านบทร้อยกรอง แล้ววิเคราะห์วิจารณ์บทอ่านในด้านรูปแบบฉันทลักษณ์ความคิดและ เนื้อหาสาระในบทร้อยกรอง กลวิธีในการแต่งของบทร้อยกรองและสิ่งที่ผู้เขียนฝากไว้ในบทร้อยกรอง 4. ให้นักเรียนอ่านบทร้อยกรองแล้ววิเคราะห์ว่าเนื้อหาของบทร้อยกรองให้อารมณ์ความรู้สึก สอดคล้องกับเนื้อหาของบทร้อยกรองหรือไม่ อย่างไร นักเรียนมีความซาบซึ้งประทับใจกับบทร้อยกรองที่อ่าน หรือไม่ ต่อจากนั้นจึงพิจารณาความสามารถและผลการทำงานด้วยการวัดผลความถูกต้องของการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษา การสรุปความ การวิเคราะห์วิจารณ์บทร้อยกรอง และความตั้งใจในการทำกิจกรรม 5. ให้นักเรียนอ่านข้อความ แล้วสรุปความให้ถูกต้องชัดเจนตามแบบที่กำหนดให้ ดังตัวอย่าง แบบสรุปความ ใคร................................................................................. ทำอะไร.......................................................................... เมื่อไร............................................................................. อย่างไร........................................................................... ผลเป็นอย่างไร................................................................ สรุปความ....................................................................... 6. ให้นักเรียนอ่านเรื่องและสรุปความจากเรื่อง พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ 7. ให้นักเรียนอ่านข่าวหรือบทความจากหนังสือพิมพ์แล้วขีดเส้นใต้ข้อความที่เป็นข้อเท็จจริง และ ข้อคิดเห็นของผู้เขียนด้วยสีหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างกัน 8. ให้นักเรียนตัดข่าวจากหนังสือพิมพ์แล้ววิเคราะห์ว่าข่าวนั้นมีการนำเสนอเฉพาะข้อเท็จจริง หรือมี ความคิดเห็นของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบว่าความคิดเห็นของผู้เขียนน่าเชื่อถือหรือไม่ เพียงใด 9. ให้นักเรียนวิเคราะห์วิจารณ์การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ในแง่การใช้สำนวนภาษา การสื่อความหมายและความสอดคล้องกับเนื้อหาของข่าวนั้น ๆ 10. ให้นักเรียนตัดข้อความโฆษณาจากสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ แล้วแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์วิจารณ์ใน ด้านความน่าเชื่อถือ การใช้สำนวนภาษา ความน่าสนใจของการนำเสนอ 11. ให้นักเรียนอ่านเรื่องแล้วตีความเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เขียน แล้วสรุปความ คิดเห็นของผู้เขียน พร้อมทั้งเสนอแนวความคิดของผู้เรียนที่มีต่อหนังสือเล่มนั้น 12. ให้นักเรียนเลือกวิเคราะห์วิจารณ์บทความ 1 เรื่อง ในเรื่องรูปแบบการนำเสนอ กลวิธีการแต่ง เนื้อหา และการใช้ถ้อยคำสำนวนภาษา
19 13. ให้นักเรียนอ่านเรื่องแล้วประเมินค่าของเรื่องที่อ่านทั้งจุดดีและจุดด้อยโดยใช้เหตุผลประกอบ ทั้งในด้านเนื้อหารูปแบบ และคุณค่าทางวรรณคดีและสังคม สรุปได้ว่า การวัดและประเมินผลการอ่านเชิงวิเคราะห์มุ่งเน้นให้นักเรียนอ่านบทอ่านแล้วสามารถบอก ความเหมือนและแตกต่าง อ่านประโยคได้อย่างเข้าใจความหมาย สามารถบอกเรื่องราว เหตุการณ์ มีความสอดคล้องกันหรือไม่ สามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง เข้าใจความหมาย และสามารถประเมินเนื้อหา ต่าง ๆ ได้ เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยประเมินผล การอ่านวิเคราะห์โดยใช้ การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.6 ความหมายของการวิจารณ์วรรณคดี การวิจารณ์วรรณคดีคือ การศึกษา การประเมิน และการตีความว่าวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างไร ทั้งนี้ในการวิจารณ์วรรณคดีจะต้องมีหลักเกณฑ์และเป้าหมายในการวิจารณ์ว่าจะวิจารณ์วรรณคดีเรื่องนั้น ๆ ในแนวใด เช่น วิจารณ์แนวประวัติศาสตร์ วิจารณ์แนวจิตวิทยา เป็นต้น การวิจารณ์วรรณคดีเป็นการมอง วรรณคดีในมุมมองพิเศษที่เป็นจุดเด่นของวรรณคดีเรื่องนั้น ด้วยความคิดแห่งความเป็นปัจเจกของผู้วิจารณ์ แต่ละคน ซึ่งในวรรณคดีเรื่องเดียวกันผู้วิจารณ์แต่ละคนอาจวินิจฉัยต่างกันได้ นักวิชาการด้านการศึกษาได้ให้ ความหมายของการวิจารณ์วรรณคดีไว้มากมาย ดังนี้ วิภา กงกะนันท์ (2556: 11) ให้นิยามว่า การวิจารณ์วรรณคดี คือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ วรรณคดีโดยทั่วไปมนุษย์ธรรมดาที่มีพัฒนาการทางสมองเป็นปกติ มักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สิ่งต่าง ๆ ที่ตนได้สัมผัสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสด้วยหู จมูก ลิ้น ผิวกาย จิตใจ หรือปัญญาก็ตาม ผู้สัมผัสวรรณคดีก็ เช่นกัน คงจะได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณคดีที่ตนได้ฟังหรือได้อ่านอยู่บ้าง การแสดงความคิดเห็นของ แต่ละคนย่อมแตกต่างกันตามประสบการณ์ รสนิยม และเจตนารมณ์ บางคนอาจนิยมอิเหนาที่เป็นบท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่าเป็นผลงานศิลปะอันวิจิตร บางคนอาจ เหยียดหยาม และเห็นว่าเป็นผลงานที่สมควรถูกทำลาย เพราะให้ทรรศนะที่ผิดแก่ผู้อ่าน บางคนอาจนิยมผลงาน ของ รงค์ วงษ์สวรรค์ ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวหนังสือมีชีวิต และรงค์เป็นเจ้าแห่งสำนวนโวหาร อันเต็มไปด้วยพลัง ทางศิลปะ ส่วนบางคนอาจมองผลงานของนักเขียนคนเดียวกันนี้ด้วยสายตาที่แสดงความรังเกียจ ด้วยเหตุผล ที่ว่าเรื่องที่เขียนมักเป็นเรื่องของกามารมณ์ สุชารัตน์ ศศิพัฒนวงษ์ (2557: 47) การวิจารณ์วรรณคดี หมายถึง หลักความเห็นพิจารณา หรือตัดสิน คุณภาพของข้อเขียนถึงข้อดีข้อเสีย โดยอาศัยความซาบซึ้งและความรู้ความเข้าใจทฤษฎีการวิจารณ์วรรณคดี ต้องพิจารณาลักษณะของบทประพันธ์ แยกแยะส่วนประกอบสำคัญ อธิบายให้เห็นเหตุผลสนับสนุนทุกแง่มุม แล้วประเมินค่าโดยปราศจากอคติ จิตต์นิภา ศรีไสย์, ถนอม วิบูลย์พันธ์ และสนอง ค้าสิทธิ์ (2559: 8) การวิจารณ์วรรณคดีคือ การให้คำ ตัดสินว่าวรรณคดีนั้นมีคุณค่าหรือบกพร่องอย่างไร ซึ่งการวิจารณ์ควรพิจารณาเนื้อเรื่องว่าเหมาะสมหรือไม่ หากวิจารณ์คำประพันธ์ประเภทร้อยกรองควรพิจารณาเรื่องรูปแบบคำประพันธ์การใช้คำให้เกิดความงาม ด้านเสียงและความหมาย สรุปได้ว่า การวิจารณ์วรรณคดี คือ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณคดีโดยใช้หลักความเห็น พิจารณาตัดสิน ข้อดี ข้อเสีย และประเมินคุณค่า พิจารณาไตร่ตรอง การประเมินคุณค่าของวรรณคดีในด้าน ต่าง ๆ นั้น จะต้องมีหลักเกณฑ์และเป้าหมายในการวิจารณ์ ซึ่งการแสดงความคิดเห็นของแต่ละคนย่อมแตกต่าง กันตามประสบการณ์
20 2.7 หลักการวิจารณ์วรรณคดี หลักการวิจารณ์วรรณคดี การวิจารณ์วรรณคดีมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติอย่างกว้าง ทั้งนี้เพื่อให้ ครอบคลุมงานเขียนทุกประเภท แต่ละประเภทผู้วิจารณ์ต้องนำแนวการวิจารณ์ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับงาน เขียนแต่ละชิ้นงาน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2517: 5-10) ได้ให้หลักการสำหรับวรรณคดีวิจารณ์เป็นขั้น ๆ ดังนี้ 1. วิเคราะห์ คือ แยกแยะส่วนต่าง ๆ พิจารณางานเขียนแยกแยะไปตามรูปแบบของงานนั้น 2. วินิจสาร คือ การตีความ ต้องทำความเข้าใจขนบประเพณีเชิงวรรณกรรม ประวัติของเรื่อง พิจารณา ตามความเป็นไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือเรื่องนั้น ๆ นำความรู้ต่าง ๆ มาประมวลเข้าแล้วจึงตีความ จะได้รสของวรรณคดีนั้นอย่างเต็มที่ 3. วิจารณ์ คือ พิจารณากลวิธีของผู้แต่ง 4. วิพากษ์ คือ การวินิจฉัยเหตุผลหลายด้านแล้วนำมาตัดสินในการพิจารณาวรรณคดีนั้น ขึ้นอยู่ที่กลวิธี มากกว่าเนื้อหาหรือสาร ฉะนั้นการวิจารณ์วรรณคดีจึงเป็นกิจสำคัญในการศึกษาวรรณคดี การวิเคราะห์วินิจ สารและวิจารณ์เป็นปรวิสัย คือ วิทยากรที่ชี้แจงบอกกล่าวกันได้ แต่ชั้นวิพากษ์เป็นอัตวิสัย คือ เรื่องของบุคคลที่ จะให้เหตุผลวินิจฉัย กุหลาบ มัลลิกะมาส (2522 : 144-146) ได้เสนอหลักการวิจารณ์วรรณคดีไว้ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิจารณ์วรรณคดีประเภทเรื่องเล่า 1.1 การวิจารณ์เต็มรูปแบบ คือ การวิจารณ์วรรณคดีทั้งเรื่อง และมีกระบวนการของการ วิจารณ์เต็มที่ คือ 1.1.1 เล่าเรื่องให้เป็นที่เข้าใจ 1.1.2 บอกประเภทวรรณคดี 1.1.3 วิเคราะห์เนื้อเรื่องวรรณคดีเรื่องนั้น เช่น โครงเรื่อง สารัตถะของเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา ฉาก กลวิธีแต่ง ท่วงทำนองแต่ง หางเสียง และบรรยากาศ 1.1.4 กล่าวถึงข้อมูลแวดล้อมต่าง ๆ ภายนอกเนื้อเรื่องของวรรณคดีเรื่องนั้นเช่น เรื่องเกี่ยวกับผู้แต่ง และประวัติการแต่ง 1.1.5 ประเมินคุณค่า แสดงข้อคิดเห็นส่วนตัวของผู้วิจารณ์ตามเกณฑ์การประเมิน 1.2 การวิจารณ์เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของวรรณคดี 1.2.1 เล่าเรื่องโดยย่อที่สุด 1.2.2 บอกประเภทอย่างสั้น ๆ 1.2.3 วิเคราะห์ส่วนที่ต้องการวิจารณ์นั้น เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ลักษณะต่าง ๆ ในเนื้อเรื่องหรืออาจกล่าวถึงข้อมูลประกอบอื่น ๆ ตามความจ าเป็น 1.2.4 ประเมินคุณค่า ทำนองสรุปความคิดเห็นส่วนตัวของผู้วิจารณ์ตามเกณฑ์การ ประเมิน 2. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิจารณ์วรรณคดีประเภทร้อยกรอง 2.1 เนื้อเรื่องสำคัญ ถ้าเป็นเรื่องเล่าก็ดำเนินการวิจารณ์เหมือนประเภทเรื่องเล่าธรรมดา 2.2 รูปแบบการประพันธ์ (ลักษณะการแต่ง) หรือฉันทลักษณ์ 2.3 แง่งามของร้อยกรอง หรือศิลปะการแต่ง ได้แก่ 2.3.1 เสียงและลีลาจังหวะ 2.3.2 กวีโวหารด้านภาพพจน์และจินตนาการ
21 2.4 ประเมินคุณค่า สรุปความคิดเห็นของผู้วิจารณ์ตามเกณฑ์การประเมิน ประพนธ์ เรืองณรงค์และคณะ (2545 : 128) ได้ให้หลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการวิเคราะห์วรรณคดีและ วรรณกรรม ดังนี้ 1. ความเป็นมาหรือประวัติของหนังสือและผู้แต่ง เพื่อช่วยให้วิเคราะห์ในส่วนอื่น ๆ 2. ลักษณะคำประพันธ์ 3. เรื่องย่อ 4. เนื้อเรื่อง ให้วิเคราะห์เรื่องในหัวข้อต่อไปนี้ตามลำดับ โดยบางหัวข้ออาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ตามความจำเป็น เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก วิธีการแต่ง ลักษณะการเดินเรื่อง การใช้ถ้อยคำ สำนวน ในเรื่องท่วงทำนองการแต่ง วิธีคิดสร้างสรรค์ทัศนะหรือมุมมองของผู้เขียน เป็นต้น 5. แนวคิด จุดมุ่งหมาย เจตนาของผู้เขียนที่ฝากไว้ในเรื่อง ซึ่งต้องวิเคราะห์ออกมา 6. คุณค่าของวรรณกรรม โดยปกติแบ่งออกเป็น 5 ด้านใหญ่ ๆ และกว้าง เพื่อความ ครอบคลุมในทุกประเด็น ซึ่งผู้วิเคราะห์ต้องไปแยกหัวข้อย่อยให้สอดคล้องกับลักษณะของหนังสือที่จะวิเคราะห์ นั้น ๆ ตามความเหมาะสม 7. การวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม สรุปได้ว่า หลักการวิจารณ์วรรณคดี ผู้วิจารณ์จะต้องมีความรู้ความเข้าใจหลักเกณฑ์การวิจารณ์ วิจารณ์เนื้อเรื่อง รูปแบบ ลักษณะคำประพันธ์และวรรณศิลป์สามารถอธิบายลักษณะของวรรณคดี ลำดับขั้นตอนการวิจารณ์ แยกแยะ ตีความ วิพากษ์วิจารณ์อย่างมีลำดับขั้นตอน วิจารณ์โดยเป็นกลาง ปราศจากอคติและอธิบายได้อย่างมีเหตุผล 2.8 ขั้นตอนการวิจารณ์วรรณคดี ขั้นตอนการวิจารณ์งานประพันธ์ การที่จะวิจารณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น จำเป็นต้องเริ่มวิเคราะห์ องค์ประกอบต่าง ๆ ให้เข้าใจชัดเจนเสียก่อน แล้วจึงวิจารณ์แสดงความเห็นออกมาอย่างมีเหตุผล กุหลาบ มัลลิกะมาส (2522: 98-99) สรุปว่า โดยทั่วไปแล้วนักวิจารณ์ลำดับขั้นตอนของการวิจารณ์ วรรณคดีไว้เป็น 2 ขั้นตอน คือ การอธิบายลักษณะวิเคราะห์วรรณคดีนั้น ๆ และการประเมินคุณค่าหรือตัดสิน คุณค่า 1. การวิเคราะห์วรรณคดี คือ การแยกวรรณคดีที่เป็นรูปสำเร็จอยู่แล้วนั้นออกเป็นส่วนย่อยต่าง ๆ อย่างมีหลักเกณฑ์ ในการวิเคราะห์ผู้ฝึกฝนการวิจารณ์ควรจะได้คำนึงถึงหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 การแบ่งส่วนย่อยต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นรูปวรรณคดีฉบับนั้น ๆ เช่น โครงเรื่อง สารัตถะของเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา ฉาก กลวิธีแต่งและสไตล์ในการแต่ง เป็นต้น 1.2 การอธิบายลักษณะของส่วนย่อยต่าง ๆ ส่วนใดมีความเด่นหรือด้อยซึ่งจะส่งผลให้ วรรณคดีเรื่องนั้นมีความดีหรือความด้อยเพราะส่วนใด 1.3 พิจารณาให้เห็นจุดประสงค์สำคัญ หลักการหรือกลวิธีหรือวิธีการสำคัญที่ผู้แต่งนำมาใช้ 1.4 พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ในวรรณคดีเรื่องนั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึง ความกลมกลืน ความแตกต่าง หรือความขัดแย้งระหว่างส่วนเหล่านั้น 2. การประเมินคุณค่า อาจทำได้ทั้งภายในเนื้อเรื่องวรรณคดีเรื่องนั้นเอง หรืออาจนำไปเปรียบเทียบกับ วรรณคดีเรื่องอื่นที่เหมาะสม ควรที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพื่อให้เห็นลักษณะและคุณค่าที่เด่นชัดขึ้น โดยทั่วไปการประเมินคุณค่าในขั้นสุดท้ายอาจทำให้ได้ในหัวข้อดังนี้
22 2.1 ประเมินคุณค่าจากความถูกต้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงบางประการ หรือเกี่ยวกับหลักการ หรือความสมเหตุสมผล 2.2 ประเมินค่า โดยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ในวรรณคดีเรื่องนั้นเพื่อแสดงให้ เห็นความเหมาะสม ความสอดคล้องตลอดจนความแตกต่างหรือความสอดคล้องกัน 2.3 ประเมินคุณค่าในด้านเอกภาพของวรรณคดีเรื่องนั้นว่ามีลักษณะเป็นบูรณภาพเพียงใด มีตอนใด ส่วนใดแตกแยกออกไป ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของวรรณคดีเรื่องนั้นหรือไม่ 2.4 ประเมินคุณค่าของประสิทธิภาพในการใช้กลวิธีและท่วงทำนองของผู้แต่งว่าดีเด่น หรือ อ่อน ไม่เหมาะสมในส่วนใดตอนใด 2.5 ประเมินคุณค่าด้วยการเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่องอื่น เพื่อเน้นให้เห็นคุณค่าของ วรรณคดีที่วิจารณ์นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เถกิง พันธุ์เถกิงอมร (2528: 284-285) อธิบายว่า เนื่องจากการวิเคราะห์ วิจารณ์วรรณคดีไม่มี หลักการและแนวปฏิบัติตายตัวเสมอไป จึงควรยึดหลักการและแนวปฏิบัติพื้นฐานสำหรับการวิจารณ์ ซึ่งแบ่งเป็น การวิจารณ์สองด้าน คือ ด้านเนื้อหาและรูปแบบการวิจารณ์ ด้านเนื้อหานั้นเป็น การพิจารณาด้าน การวิเคราะห์เนื้อเรื่อง ลักษณะนิสัยตัวละคร การดำเนินเรื่อง และแก่นเรื่อง ส่วนด้านรูปแบบมีการพิจารณา องค์ประกอบ จังหวะลีลา การเสนอภาพพจน์ การใช้สัญลักษณ์การใช้ภาษา ท่วงทำนองการเขียน และ ประดิษฐการ ประคอง เจริญจิตรกรรม (2556: 74-76) แบ่งขั้นตอนในการวิจารณ์ออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1. การสรุปแนวคิดและสาระสำคัญของเรื่อง ขั้นตอนที่ 1 ผู้วิจารณ์ต้องถามตนเองว่าอะไร คือสิ่งที่นักเขียนต้องการให้เราทราบการตอบ คำถามนี้จะกระทำได้ เมื่ออ่านงานเขียนที่วิจารณ์อย่างน้อย 1 ครั้ง หรือบางครั้งต้องมากกว่านั้น เพราะเรา สามารถทราบความเป็นไปของเนื้อเรื่องทั้งหมดและสามารถจัดแนวความคิด ตลอดจนสาระของเรื่องได้อย่าง คร่าว ๆ พอที่จะเขียนลงในงานวิจารณ์ได้เป็นขั้นตอนแรก การจับสาระของเรื่อง ผู้วิจารณ์ต้องคำนึงว่าไม่ใช่ การย่อความ เพราะสามารถนำข้อความและคำพูดของตัวละครในเรื่องมาเขียนประกอบไว้ในสาระของเรื่องได้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจยิ่งขึ้น ส่วนแนวคิดของเรื่องคือแก่นหรือจุดสำคัญของเรื่องซึ่งเป็นหลักเป็นแกนกลางของเรื่อง นั้น เราสามารถจะหาได้จากการศึกษา ส่วนประกอบอื่น ๆ ของเรื่อง เช่นโครงเรื่อง ภาษา ฉาก ตัวละคร บทสนทนา เป็นต้น 2. การวิเคราะห์กลวิธีการแต่ง ขั้นตอนที่ 2 นักวิจารณ์ต้องถามตนเองต่อไปว่า นักเขียนสามารถสื่อความคิดและจุดมุ่งหมาย ให้ผู้อ่านทราบได้อย่างไร การจะตอบคำถามนี้ได้จำเป็นต้องวิเคราะห์กลวิธีการแต่งอย่างละเอียดลออพอสมควร กลวิธีการแต่งคือเทคนิคและศิลปะอันเป็นความรู้และฝีมือที่ผู้เขียน สามารถถ่ายทอดความรู้และอารมณ์ สะเทือนใจมาสู่ผู้อ่าน เทคนิคหรือศิลปะ พอจะแยกออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1) ศิลปะการใช้ภาษา 2) ศิลปะการสร้างเรื่อง 3 .การประเมินค่า ขั้นตอนที่ 3 เป็นด่านสุดท้ายของการวิจารณ์ที่ผู้วิจารณ์จะสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผลได้อย่างเต็มที่ เพื่อประเมินคุณค่าของงานเขียน แบ่งออกเป็น 1) การประเมินคุณค่าทางด้านความคิด ริเริ่ม 2) การประเมินคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ 3) การประเมินคุณค่างานเขียนที่มีต่อสังคม ประพนธ์ เรืองณรงค์และคณะ (2545 : 130) ได้อธิบายการวิเคราะห์และวิจารณ์ งานประพันธ์ พิจารณากว้าง ๆ 4 ประเด็น ดังนี้
23 1. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ความรู้สึก และจินตนาการตามรสความหมายของถ้อยคำ และภาษาที่ผู้แต่งเลือกใช้เพื่อให้มีความหมายกระทบใจผู้อ่าน 2. คุณค่าด้านเนื้อหาสาระ แนวความคิดและกลวิธีนำเสนอทั้ง 2 ประเด็นนี้ จะอธิบายและยกตัวอย่าง ประกอบพอเข้าใจ โดยจะกล่าวควบกันไปทั้งการวิเคราะห์และการวิจารณ์ 3. คุณค่าด้านสังคม วรรณคดีและวรรณกรรมจะสะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมและวรรณคดีที่ดี สามารถจรรโลงสังคมได้อีกด้วย 4. การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้อ่านสามารถนำแนวคิดและประสบการณ์จากเรื่องที่อ่านไป ประยุกต์ใช้หรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ พัฒจิรา จันทร์ดำ (2554: 86) เสนอว่า การวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นกิจกรรมของผู้รู้ และผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะการอ่านของนักวิจารณ์กับการอ่านของคนทั่วไปมีความแตกต่างกัน การอ่านเพื่อวิจารณ์จึงมีลักษณะดังนี้ 1. เป็นการอ่านซ้ำหลาย ๆ ครั้งอย่างใคร่ครวญ สังเกต วิเคราะห์ หรืออาจกล่าวได้ว่า การวิจารณ์คือ การเพิ่มเวลาในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณนั้นเอง 2. การอ่านเพื่อวิจารณ์ต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน รวมถึงการวิเคราะห์ จัดระเบียบ และ เปรียบเทียบการอ่านในลักษณะนี้เองที่แยกนักวิจารณ์ออกจากนักอ่านโดยทั่ว ๆ ไป 3. การอ่านเพื่อวิจารณ์เป็นการอ่านที่ผู้อ่านจะต้องไม่ปล่อยตัวไปกับตัวบทวรรณคดีหรือวรรณกรรม จนถูกครอบงำและถูกชักจูงจากอำนาจของวรรณคดีหรือวรรณกรรมจนเกินไป ซึ่งการอ่านวรรณคดีและ วรรณกรรมมี2 ลักษณะ คือ ทอดตัวทอดใจลงไปจับงานนั้นกับการอ่านถอยออกมาเพ่งพินิจ การอ่านในลักษณะแรกขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบเป็นสำคัญเป็นการอ่านที่ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัวและ มักปล่อยใจเคลิบเคลิ้มไปกับตัวบท จนอาจอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ตกหลุมพรางแห่งความเวทนา กล่าวคือ การอ่านที่ผู้อ่านเอาตนเองเข้าไปผูกพันกับตัวละครหรือเนื้อเรื่อง จนเกิดความหลงใหลและขาดความเป็นกลาง ทำให้การวิจารณ์ขาดความเที่ยงธรรม การอ่านเพื่อการวิจารณ์จึงต้องเป็นการอ่านในอีกลักษณะหนึ่ง คือ การถอยห่างออกมาเพ่งพิศ เป็นการอ่านที่วางใจเป็นกลาง และนำหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เข้ามาประกอบ การพิจารณา ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญยิ่งของนักวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม อลงกรณ์ พลอยแก้ว (2563 : Online) เสนอขั้นตอนการวิจารณ์วรรณคดีไว้ดังนี้ 1. อ่านอย่างช้า ๆ ละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเป็นบทร้อยกรอง ควรอ่านออกเสียง เพื่อรับรสค า และ พยายาม ใส่ความรู้สึกนึกคิดลงไปในการอ่านด้วย 2. ค้นหาความหมายของคำศัพท์ เพื่อหาความหมายที่ซ่อนเร้น 3. ศึกษากลวิธีในการแต่งว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น การใช้คำที่แฝงนัยหลายความหมาย การเล่นคำ สัมผัสอักษร สัมผัสสระ ทำให้เกิดความไพเราะ การใช้อุปมาโวหาร หรือการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ การใช้พรรณนาโวหาร และอติพจน์เพื่อกระตุ้นเร้าอารมณ์ความรู้สึก สรุปได้ว่า ขั้นตอนในการวิจารณ์วรรณคดีนั้น ผู้วิจารณ์จะต้องยึดหลักการและแนวปฏิบัติพื้นฐาน สำหรับการวิจารณ์วรรณคดีสามารถแบ่งออกเป็นสองด้าน คือ ด้านเนื้อหา และรูปแบบ การวิจารณ์ด้านเนื้อหา จะต้องวิเคราะห์โครงเรื่อง สารัตถะของเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา ฉาก และ กลวิธีในการแต่ง ด้านรูปแบบ พิจารณาองค์ประกอบ จังหวะลีลา การใช้ภาษา การเสนอภาพพจน์และประเมินคุณค่าในด้านต่าง ๆ ได้
24 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดี 3.1 ความหมายของวรรณคดี วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นงานเขียนที่ถ่ายทอดศิลปะในด้านของความรู้ความคิดที่สอดแทรกคติ ความเชื่อค่านิยมของแต่ละยุคสมัยและใช้ภาษาในเชิงสร้างสรรค์คำว่า วรรณคดีวรรณกรรม มีผู้ให้ความหมาย ไว้หลายท่าน ดังนี้ ศรีวิไล ดอกจันทร์(2529 : 3) ได้ให้ความหมายของคำว่าวรรณคดีหมายถึง หนังสือที่เรียบเรียงด้วย ถ้อยคำเกลี้ยงเกลาไพเราะ กระตุ้นให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ ทั้งยังเป็นหนังสือที่สอดแทรกคุณค่าต่าง ๆ และ สารัตถประโยชน์ไว้อีกด้วย อำภาพร รินปัญโญ (2561 : 23) ให้ความหมายว่า วรรณคดีเป็นงานเขียนที่บ่งชี้ถึงความเจริญทางด้าน วัฒนธรรมอันเป็นมรดกทางด้านภาษาที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและใช้ในการศึกษา สภาพสังคมของ บรรพบุรุษในอดีตของไทย เนื่องจากวรรณคดีไทยเป็นสิ่งที่จำเป็นในการขัดเกลาจิตใจ ของมนุษย์ในสังคม และ มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ประสงค์ที่จะให้ใครว่ากล่าว สั่งสอน ตักเตือนโดยตรง ดังนั้นวรรณคดีไทยจึงเป็นสื่อกลางใน การอบรมและชี้แนวทางแก่ชนรุ่นหลังแบบค่อยแทรกซึมเข้าไปในความคิด นันทญ์ณภัค พรมมา (2563 : 22) ให้ความหมายว่า วรรณคดีหมายถึง งานประพันธ์ทุกประเภทที่มี คุณค่าจนได้รับการยกย่องว่าเรียบเรียงด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ แต่งอย่างมีศิลปะทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม จินตนาการได้ตามที่ผู้แต่งต้องการ อาจสอดแทรกวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ของชาติหรือความรู้ลงในงานเขียน สรุปได้ว่า วรรณคดีหมายถึง งานประพันธ์ที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งได้ดีมีคุณค่า เป็นงานเขียนที่กวี ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ บันทึกเรื่องราวชีวิต สอดแทรกประวัติศาสตร์ไว้และยังเป็นงานเขียนที่มีความงดงาม ทางภาษา มีการใช้ภาษาอย่างได้อย่างสละสลวยงดงาม เลือกใช้คำอย่างประณีต สามารถสร้างความบันเทิงและ ความคิดที่ดีต่อผู้อ่าน และทำให้ผู้อ่านได้รับข้อคิดที่เป็นประโยชน์ 3.2 แนวทางการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย ในการสอนวรรณคดีผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือตัวครูผู้สอนเอง ซึ่งมีผู้ให้แนวทางในการจัดการเรียน การสอนวรรณคดีไทยไว้หลายท่าน ดังนี้ กรมวิชาการ (2546 อ้างอิงใน ปริญญา ปั้นสุวรรณ์, 2553 : 35-36) เสนอแนวทางการจัดการเรียน การสอนวรรณคดีสรุปได้ดังนี้ 1. อ่านเข้าใจ ในขั้นแรกครูผู้สอนต้องอ่านวรรณคดีวรรณกรรมที่จะสอนอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจ เนื้อหาและองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อจะได้จัดการเรียนรู้ให้นักเรียนเข้าใจตามได้ซึ่งต้องมีความ เข้าใจทั้งเนื้อเรื่อง จับใจความสำคัญและแยกแยะรายละเอียดของเรื่องได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และผลเป็นอย่างไร และเข้าใจศัพท์คือรู้และเข้าใจความหมายของศัพท์ยากหรือศัพท์โบราณ 2. ได้เสียงเสนาะ เสียงเสนาะของวรรณคดีวรรณกรรม มีทั้งในร้อยแก้วและร้อยกรอง คือ การออกเสียงที่แสดงออกถึงอารมณ์ของข้อความที่เล่าเรื่องราวนั้น ครูควรยกตัวอย่างการออกเสียงให้นักเรียน สังเกตความแตกต่าง เพื่อให้นักเรียนพบว่าข้อความต่าง ๆ มีเสียงเสนาะในการถ่ายทอดข้อความด้วย 3. เจาะแนวคิดสำคัญ เป็นการสอนให้นักเรียนค้นหาแนวคิดสำคัญของเรื่อง ด้วยการทำความเข้าใจ เรื่องให้แจ่มแจ้ง และวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องได้จะทำให้นักเรียนสามารถอธิบาย เหตุการณ์จากปมปัญหาสู่ผลของการกระทำได้อย่างมีเหตุผล ซึ่งครูต้องคอยกระตุ้นให้นักเรียนคิดพิจารณาด้วย ตนเองเป็นหลัก
25 4. หมั่นวิเคราะห์วินิจฉัย คือ การสอนให้นักเรียนรู้จักแยกแยะและพิจารณาเรื่องในองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล ทั้งในส่วนของรูปแบบ เนื้อหาสาระ กลวิธีการนำเสนอและ การใช้ภาษาว่ามีลักษณะอย่างไร 5. ใส่ใจวิพากษ์เป็นการฝึกให้นักเรียนกล้าแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ซึ่งครูผู้สอนสามารถ จัดกิจกรรมโดยใช้การซักถาม การยกตัวอย่างสถานการณ์ หรือการใช้บทบาทสมมติให้นักเรียนสมมติตนเองเป็น ตัวละครในเรื่อง และแสดงแนวคิดว่าจะตัดสินใจแก้ไขปมปัญหาในเรื่องตอน นั้น ๆ อย่างไร ก็จะทำให้นักเรียน มีโอกาสแสดงความรู้ความคิด และฝึกวิจารณ์ด้วย 6. ประสานกิจกรรมการสอนวรรณคดีวรรณกรรมให้น่าสนใจและสนุกสนานนั้น ส่วนหนึ่งมีอิทธิพลจาก การเลือกกิจกรรมการเรียนรู้ของครูที่จะนำมาใช้ในห้องเรียนตามความเหมาะสม เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การแสดงละคร การแสดงนาฏศิลป์และการวาดภาพ เป็นต้น ก็จะส่งเสริมบรรยากาศในการเรียน ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นอีกทางหนึ่ง 7. สัมพันธ์เนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมเป็นเนื้อหาที่สามารถนำมาสอนให้มีความสัมพันธ์กับเนื้อหา อื่น ๆ ทั้งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เช่น การสอนหลักภาษาไทย การสอน ภูมิศาสตร์และการสอนประวัติศาสตร์เป็นต้น นันทญ์ณภัค พรมมา (2563 : 28) สรุปว่า การจัดการเรียนรู้นั้นมีแนวทาง คือ ครูผู้สอนต้องมีความ เข้าใจเนื้อหาของวรรณคดีให้ถ่องแท้ก่อน จึงสามารถถ่ายทอดวรรณคดีให้ผู้เรียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ชัดเจน รวมไปถึงต้องมีเทคนิค ในการสอนที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความรู้สึกอยากที่จะเรียนรู้วรรณคดีครูผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกท่องบทประพันธ์ตามความสนใจ และชี้แนะให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญและ ความไพเราะไปถึงความงามในด้านวรรณศิลป์ จีรวรรณ สรบุญทอง (2563 : 30) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่นักเรียน ครูควรมีบทบาท หน้าที่ในการแนะนำ ส่งเสริมสนับสนุน อำนวยความสะดวกให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ อย่างเต็มที่ โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเหมาะสมกับบริบท เนื้อหาที่เรียน และส่งเสริม กระบวนการคิดของนักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจในเนื้อหาภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในสังคมใน แต่ละยุคที่สะท้อนภาพผ่านวรรณคดีตลอดจนบูรณาการเนื้อหาของวรรณคดีกับวิชาความรู้อื่น ๆ เพื่อให้ผู้เรียน เห็นคุณค่าและความสำคัญของวรรณคดีมากยิ่งขึ้น สรุปได้ว่า ในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีครูผู้สอนต้องมีความเข้าใจเนื้อหาของวรรณคดีให้ ถ่องแท้ก่อน จึงสามารถถ่ายทอดวรรณคดีให้ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ครูผู้สอนควรคำนึงถึง ผู้เรียนเป็นสำคัญในการหาเทคนิควิธีสอนและวิธีการประเมินผลที่เหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึงคำนึงถึงผล การเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้เรียนทั้งในส่วนของเนื้อหา ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความรู้ที่คงทน ความเข้าใจ ความซาบซึ้ง ในวรรณคดีและให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ในชีวิตจริงได้ 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการคิดแบบหมวกหกใบ 4.1 ความเป็นมาเกี่ยวกับเทคนิคหมวกหกใบ เทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบคิดค้นขึ้นโดย เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน (De Bono, 1996) ซึ่งเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1935 ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับปริญญาด้านเภสัชศาสตร์จากมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ และฮาวาร์ด และ ได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ลอนดอน เคมบริดจ์และฮาวาร์ด เป็นผู้ก่อตั้งและเป็น ผู้อำนวยการสถาบัน Cognitive Research Trust ในเคมบริดจ์ ทั้งยังได้ดำเนินการในการจัดการเรียนรู้ที่ เกี่ยวกับเทคนิควิธีการคิดหลากหลายโรงเรียนด้วยกัน เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน เป็นนักการคิด มีความถนัดการสอน
26 เพื่อพัฒนาทักษะการคิด เขาสนใจเรื่องการทำงานของสมองและใช้เวลากว่า 20 ปีเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับทักษะ การคิด อีกทั้งคิดค้นวิธีคิด เพื่อช่วยให้มนุษย์คิดอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ ครอบคลุม และรอบด้านยิ่งขึ้น ประมาณปี ค.ศ. 1970 เขาคิดค้นเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ (Six Thinking hats) โดยแยกความคิดออกเป็นด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ซึ่งลดความซับซ้อนและการขาดระเบียบ เทคนิค การคิดแบบหมวกหกใบสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้ดี สถานศึกษาประเทศต่าง ๆ ก็นำ วิธีการของเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบไปใช้อย่างแพร่หลาย และในปัจจุบันนักการศึกษาไทยหลายท่านได้ให้ ความสำคัญกับเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบเช่นกัน 4.2 ความหมายของเทคนิคหมวกหกใบ ราเชน มีศรี (2544) ให้นิยามเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบว่า ผู้สวมหมวกแต่ละใบ จะมีหน้าที่ใน การคิดตามความหมายของแต่ละสี ดังนี้ 1. หมวกสีขาว สีขาวเป็นสีที่เป็นกลางและเป็นปรนัย ผู้ใดสวมหมวกสีขาว หมายถึง ความต้องการให้ ผู้อื่นบอกข้อเท็จจริง ตัวเลขหรือสถิติ 2. หมวกสีแดง สีแดงบ่งบอกถึงความฉุนเฉียว เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก ผู้ใด สวมหมวกสีแดง หมายถึง ความต้องการให้ผู้อื่นแสดงความรู้สึกของตนว่าชอบ ไม่ชอบ ชื่นชม หรือตำหนิ ออกมา 3. หมวกสีดำ สีดำเป็นสีของความเศร้าหมอง อันตราย เป็นการแสดงความคิดในแง่ ลบความคิดไม่ดี เมื่อมีการสวมหมวกสีดำ คือต้องการให้ผู้อื่นบอกถึงผลกระทบ ข้อเสีย อันตรายที่จะเกิดขึ้น 4. หมวกสีเหลือง สีเหลืองเป็นสีของแสงอาทิตย์และมองในด้านบวก แสดงถึง ความคิดในด้านบวก ผู้ใดสวมหมวกสีเหลือง คือ ความต้องการให้ผู้อื่นบอกข้อดี ประโยชน์ คุณค่า 5. หมวกสีเขียว สีเขียวเป็นสีของต้นไม้ ความเขียวขจี ความอุดมสมบูรณ์ แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ และความคิดใหม่ ๆ เมื่อมีการสวมหมวกสีเขียว คือความต้องการให้ผู้อื่น แสดงความคิดใหม่ ๆ ความคิด แปลกใหม่ที่เป็นประโยชน์ 6. หมวกสีฟ้า สีฟ้าเป็นสีของความเย็นและเป็นสีของท้องฟ้า ซึ่งอยู่เหนือทุกสิ่งบนโลกเป็นการแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการควบคุมและการจัดระบบ เมื่อมีการสวมหมวกสีฟ้า ผู้สวมหมวกนั้นมีหน้าที่สรุปและ ควบคุมการคิดของสมาชิก ศุภวรรณ์ เล็กวิไล (2549) ได้ให้ความหมายเทคนิคหมวกหกใบว่า เป็นเทคนิควิธีคิดที่ช่วยให้มนุษย์มี การคิดที่มีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์และคิดครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น โดยใช้หมวกแสดงบทบาทในการคิด แต่ละบทตามสีของหมวก คุณค่าของหมวกแต่ละสีจะบอกถึงบทบาทของผู้สวมใส่ที่แสดงออกถึงความคิดแบบ ต่าง ๆ เป็นการคิดแนวขนาน คือ การคิดที่ไม่มีการโต้แย้งและไม่ด่วนสรุป แต่เป็นการส่งเสริมให้เกิดการค้นหา ค้นคว้าและสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ สรุปได้ว่า เทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบ หมายถึง วิธีการคิดที่มุ่งเน้นการคิดที่หลากหลายแง่มุม มีการจัดระบบความคิดเป็นขั้นตอน โดยใช้สีของหมวกบอกถึงบทบาทของผู้สวมใส่ให้เป็นตัวแทนความคิด ในแต่ละด้าน ได้แก่ หมวกสีขาวแสดงถึงตัวเลขและข้อเท็จจริงต่าง ๆ หมวกสีแดง หมายถึง การมองทางด้าน อารมณ์ความรู้สึก หมวกสีดำ หมายถึง เหตุผลด้านลบเหตุผลในการปฏิเสธ เป็นการคิดเชิงวิจารณ์ หมวกสีเหลือง หมายถึง เหตุผลทางบวก การมองในแง่ดีหมวกสีเขียว หมายถึง ความคิดใหม่ ๆ มุมมองใหม่ และความคิดสร้างสรรค์ และหมวกสีฟ้า หมายถึง การควบคุมและจัดระเบียบกระบวนการและขั้นตอนการใช้ หมวกสีอื่น ๆ
27 4.3 ลำดับขั้นของเทคนิคหมวกหกใบ เดอโบโน (De Bono, 1992) ได้นำหมวกแต่ละสีมาจัดเรียงลำดับตามประเภทของการคิด เพื่อให้การ คิดเป็นไปตามสาระ และกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งแนวคิดนี้อาจจะนำมาใช้ในการพัฒนากระบวนการคิด หรือปลูกฝังกระบวนการคิดให้แก่ผู้เรียน ซึ่งผู้สอนจะต้องตั้งคำถาม เรียงลำดับตามเป้าหมายที่ต้องการจะพัฒนา ผู้เรียน โดยอาจใช้เกณฑ์หรือแนวทาง ดังนี้ 1. หมวกแต่ละสีสามารถใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่ต้องเป็นไปโดยลำดับที่กำหนด 2. โดยทั่วไปมักจะเกิดผลดีถ้าหากใช้หมวกสีเหลืองก่อนหมวกสีดำ เนื่องจากเป็นการยากที่จะมองใน แง่ดีหลังจากที่เพิ่งแสดงการวิพากษ์วิจารณ์ 3. การใช้หมวกสีดำทำได้ 2 รูปแบบ 3.1 หมวกสีดำถูกใช้เพื่อชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของความคิด แล้วควรติดตามด้วยการใช้หมวกสี เขียวซึ่งพยายามเอาชนะจุดอ่อนนั้น 3.2 เมื่อหมวกสีดำถูกใช้ในขั้นตอนสุดท้ายของการประเมินความคิดใดก็ควรตามด้วยการใช้ หมวกสีแดง เพื่อที่จะได้ทราบความรู้สึกเกี่ยวกับผลการประเมินความคิดนั้น 3.2.1 หากเราเชื่อว่าเรื่องที่คิดนั้นเป็นเรื่องที่มีความรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึก เราก็ ควรเริ่มกระบวนการคิดด้วยหมวกสีแดงเพื่อให้มีการแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาอย่างเปิดเผย 3.2.2 หากไม่ใช่เรื่องที่มีความรุนแรงต่ออารมณ์ความรู้สึกเราควรเริ่มจากหมวกสีขาว เพื่อให้มีการสะสมข้อมูลต่าง ๆ หลังจากหมวกสีขาว เราสามารถใช้หมวกสีเขียวในการสร้างทางเลือก ซึ่งต่อมา ทางเลือกแต่ละทางจะได้รับการประเมินจากหมวกสีเหลืองและตามมาด้วยหมวกสีดำ ซึ่งทำให้เราสามารถเลือก ทางเลือกใดทางหนึ่งออกมาได้ หลังจากนั้นประเมินทางเลือกนั้นอีกครั้งด้วยหมวกสีดำและตามด้วยหมวกสีแดง 4.4 ประโยชน์ของเทคนิคหมวกหกใบ เดอ โบโน (De Bono, 1992) สรุปประโยชน์ของการคิดด้วยเทคนิคหมวกหกใบไว้ดังนี้ 1. ง่ายต่อการเรียนรู้และการนำไปใช้ และเป็นการเร้าความสนใจ โดยการใช้สีเป็นสัญลักษณ์แทน การคิดต่าง ๆ ทำให้การคิดนั้น ๆ ไม่น่าเบื่อหน่าย 2. ทำให้เกิดเวลาสำหรับความคิดสร้างสรรค์ 3. ลดปัญหาความสับสนทางความคิดในขณะที่คิดแบบใดแบบหนึ่ง 4. ทำให้สามารถเปลี่ยนแบบความคิดได้ง่ายและชัดเจน 5. เป็นการลดอัตตาส่วนตนและปล่อยความคิดให้มีอิสระไม่ยึดติดอยู่แต่ความคิดของตน 6. ทำให้สามารถจัดลำดับการระดมความคิดให้เหมาะที่สุดกับหัวข้อหรือประเด็นของการคิด 7. ป้องกันมิให้เกิดการโต้เถียงและลดแรงกดดันสำหรับผู้ที่คิดเห็นไม่ตรงกัน 8. ทำให้มีการระดมสมองในการคิด เพื่อผลิตผลงานออกมาดีขึ้น ทิศนา แขมมณี (2540) สรุปประโยชน์ของเทคนิคการคิดแบบหมวกหกใบว่าเป็นการพัฒนาความคิด ของผู้เรียน สามารถนำไปใช้ได้โดยง่าย เพราะไม่มีความซับซ้อน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้พยายามคิด ซึ่งเป็น การคิดอย่างรอบด้าน คิดทั้งจุดดี จุดด้อย จุดที่น่าสนใจ ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้น ๆ แทนที่จะยึดติดอยู่กับความคิด เพียงด้านเดียว สรุปได้ว่า การคิดด้วยเทคนิคหมวกหกใบ เป็นวิธีการจัดระเบียบความคิดให้คิดอย่างรอบด้าน สามารถ จัดลำดับการระดมความคิดให้เหมาะสมกับประเด็นนั้น และทำให้ผลงานออกมาดีขึ้น
28 5. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัดการเรียนรู้ 5.1 ความหมายของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ สำลีรักสุทธี(2544) ให้ความหมายว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หมายถึง แผนการหรือโครงการ ที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการระดมสรรพวิธีที่จะทำ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมวิชาการ (2546) ให้ความหมายว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คือ แผนการสอนที่เน้นให้ นักเรียนได้พัฒนาการเรียนของตนด้วยกิจกรรมหลากหลาย มีครูเป็นผู้แนะนำหรือจัดแนวการเรียนแก่นักเรียน ให้นักเรียนรู้จักคิด ศึกษาคันคว้า วิเคราะห์วิจารณ์ข้อมูลและสังเคราะห์เป็นความรู้ของตนเอง สุวิทย์มูลคำ (2549) ให้ความหมายว่า แผนการสอน คือ การกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า อย่างเป็นระบบและจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียน การสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนด โดยเริ่มจากการกำหนดจุดประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการ เปลี่ยนแปลงด้านใด (สติปัญญา/เจตคติ/ทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีใด ใช้สื่อการสอนหรือแหล่ง การเรียนรู้ใด และจะประเมินผลอย่างไร วิมลรัตน์สุนทรโรจน์(2550) ให้ความหมายว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หมายถึง บันทึกกิจกรรม ประจำวันที่ครูผู้จัดกิจกรรมการเรียนรู้จัดทำขึ้นจากสาระการเรียนรู้ ชวลิต ชูกำแพง (2551) ให้ความหมายว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หมายถึง การวางแผนจัด กิจกรรมการเรียนการสอนล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของครูผู้สอน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เป็นไปตามศักยภาพ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและ อุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของ ผู้เรียนให้เป็นไปตามศักยภาพและบรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนด 5.2 ความสำคัญของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์(2542) การจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะก่อให้เกิดประโยชน์ดังนี้ 1. ก่อให้เกิดการวางแผนและการเตรียมการล่วงหน้า เป็นการนำเทคนิควิธีการสอนการเรียนรู้สื่อ เทคโนโลยีและจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมด้านต่าง ๆ 2. ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการเรียนการสอนการเลือกใช้สื่อ การวัดและประเมินผล ตลอดจนประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็น 3. เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูผู้สอน และครูที่สอนแทนนำไปปฏิบัติการสอนอย่างมั่นใจ 4. เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการ จัดการเรียนการสอนต่อไป 5. เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทางวิชาการได้ ชัยชาญ วงศ์สามัญ (2543) การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประโยชน์หลายประการ ดังนี้ 1. ทำให้ผู้สอนรู้เรื่องที่จะสอน 2. ทำให้ผู้สอนสามารถกำหนดกิจกรรมของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม 3. ทำให้สามารถกำหนดสื่อการสอนได้เหมาะสม
29 4. ทำให้สามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเวลาที่มีอยู่ 5. ผู้สอนสามารถกำหนดวิธีสอนให้เหมาะสม 6. ทำให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจ 7. ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อการเรียน 8. ทำให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากขึ้น 9. ทำให้ผู้สอนปรับปรุงการเรียนการสอนได้ง่ายขึ้น 10. สามารถนำสิ่งที่จัดเตรียมมาสอนได้อีก บูรชัย ศิริมหาสาคร (2545) อธิบายความสำคัญของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่อวิชาชีพครูไว้ดังนี้ 1. แผนการสอนเป็นหลักฐานที่แสดงความเป็นครูแบบมืออาชีพมีการเตรียมการล่วงหน้า แผนการสอน ของครูเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรมและจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กมา ผสมผสานกัน หรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนที่ตนสอนอยู่ 2. แผนการสอนช่วยส่งเสริมให้ครูได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรเทคนิคการสอน สื่อ นวัตกรรม และวิธีการวัดและประเมินผล เพื่อพัฒนาวิชาชีพของตนเอง 3. แผนการสอนทำให้ครูที่จะมาสอนแทนสามารถปฏิบัติการสอนได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ 4. แผนการสอนเป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลที่จะ นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป 5. แผนการสอนเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในวิชาชีพครูซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงาน ทางวิชาการเพื่อประกอบการพิจารณาความดีความชอบประจำปีเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งหรือระดับชั้นสูงขึ้น และ เพื่อใช้ประกอบการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ รุจิร์ ภู่สาระ (2545) สรุปว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จะต้องตอบคำถามได้ว่า 1. จะให้นักเรียนมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์อย่างไร 2. จะเสริมสร้างกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอะไรบ้าง จึงจะทำให้นักเรียนบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ 3. ครูจะต้องมีบทบาทอย่างไรในการจัดกิจกรรมตั้งแต่ครูเป็นศูนย์กลางและนักเรียนเป็นผู้จัดทำ 4. ใช้สื่ออุปกรณ์อะไรจึงช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์ 5. จะรู้ได้อย่างไรว่านักเรียนเกิดคุณสมบัติที่คาดหวังไว้ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2544) สรุปว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นประโยชน์โดยตรงต่อ ผู้สอนและตัวผู้เรียน ดังนี้ 1. ทำให้ครูผู้สอนเกิดความมั่นใจในการสอนยิ่งขึ้น 2. ทำให้การสอนของครูต่อเนื่อง 3. ทำให้ผู้เรียนเกิดความศรัทธาในตัวครู 4. ทำให้บทเรียนมีประโยชน์และมีความหมายต่อชีวิตจริงของผู้เรียน 5. เป็นแนวทางการสอนสำหรับผู้อื่นที่จำเป็นต้องสอนแทน 6. เป็นหลักฐานในการวัดผลของผู้เรียน 7. เป็นหลักฐานในการพิจารณาผลงานของครู วิมลรัตน์สุนทรโรจน์ (2550) กำหนดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการวางแผนระยะยาวซึ่ง จำเป็นต้องทำให้เสร็จก่อนเริ่มเปิดภาคเรียนหรือปีการศึกษาใหม่ เพราะกำหนดการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญ ดังต่อไปนี้
30 1. เป็นแนวทางในการทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูกล่าวคือ การจัดทำแผนการเรียนรู้ จำเป็นต้องดูกำหนดการจัดการเรียนรู้เป็นหลัก ทั้งนี้เพราะกำหนดการจัดการเรียนรู้จะแบ่งให้ทราบว่า ในแต่ละวันของสัปดาห์จะต้องจัดการเรียนรู้เนื้อหาใด กิจกรรมข้อใด ผู้จัดการเรียนรู้ก็จะทำแผนการจัดการ เรียนรู้ของเนื้อหาที่จะจัดการเรียนรู้ในแต่ละวันแต่ละวิชาได้ถูกต้องตรงกันกับกำหนดการจัดการเรียนรู้ 2. ทำให้ครูได้เห็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระยะยาว ได้ทราบเนื้อหาที่จะต้องจัดการเรียนรู้ตลอด ภาคเรียนนั้นเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมตัว และการวางแผนทำงานตลอดภาคเรียนหรือตลอดปีการศึกษา 3. เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายวิชาการและฝ่ายบริหารของโรงเรียน เช่น การวางแผนจัดทำตารางจัด การเรียนรู้จัดครูเข้าจัดการเรียนรู้จัดเตรียมเอกสาร จัดเตรียมวันสอบกลางภาค สอบปลายภาค จัดเตรียมสื่อ การจัดการเรียนรู้เตรียมห้องสมุด เตรียมห้องเรียน เตรียมการใช้อาคาร สถานที่ต่าง ๆ เป็นต้น 4. เป็นประโยชน์ต่อครูผู้จัดการเรียนรู้ในการเตรียมการจัดกิจกรมการเรียนรู้อย่างกว้าง ๆ ในกรณีที่ กำหนดการเรียนรู้มีรายละเอียดมากพอก็สามารถใช้กำหนดการจัดการเรียนรู้แทนแผนการจัดการเรียนรู้ได้ ทำให้ครูผู้จัดการเรียนรู้สามารถเตรียมสื่อการจัดการเรียนรู้เตรียมแหล่งวิทยาการเตรียมวิทยากร เตรียมศึกษา หาความรู้เพิ่มเติมจากเอกสารตำรา โดยดูจากกำหนดการจัดการเรียนรู้ได้การจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เริ่มตั้งแต่ สามารถแปลงหลักสูตรไปสู่แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งสามารถวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อ กำหนดกรอบการเรียนการสอน สามารถกำหนดโครงสร้างการสอน อันนำไปสู่การจัดทำรายละเอียดของ องค์ประกอบต่าง ๆของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม การจัดทำแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นอกจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการจัดทำและเขียนแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แล้ว ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ในด้านแนวคิด หลักการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เทคนิคการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อที่จะนำความรู้ดังกล่าวมาใช้ ประกอบการจัดทำรายละเอียดในแต่ละองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง สุวิทย์มูลคำ และคณะ (2551) สรุปไว้ว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ช่วยให้ครูผู้สอนมีคู่มือในการ จัดการเรียนรู้ที่ท าไว้ล่วงหน้าด้วยตนเอง และท าให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย และ ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีจัดการเรียนรู้จะจัดหาและใช้สื่อแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผล สรุปได้ว่า การจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ล่วงหน้าของ ครูผู้สอน ซึ่งต้องเลือกใช้กิจกรรมการเรียนการสอนที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็นการสะท้อนให้ เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรมการเรียนรู้ของเด็กมาผสมผสานกัน หรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพของนักเรียน ทำให้การเรียนการสอนบรรลุวัตถุประสงค์มากขึ้น 5.3 ลักษณะแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี ลักษณะของแผนการสอน และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี นักการศึกษาสำคัญของไทยได้จัดทำ ข้อบ่งชี้ถึงลักษณะของแผนการสอนที่ดีว่าต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ วัลลภ กันทรัพย์ (2539) สรุปว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่ เข้าลักษณะ 4 ประการ คือ 1. เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมให้ผู้เรียนเป็นผู้ได้ลงมือปฏิบัติมากที่สุดโดยมีครูเป็น ผู้คอยชี้นำส่งเสริมหรือกระตุ้น ให้กิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินเป็นไปตามความมุ่งหมาย
31 2. เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง 3. เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการมุ่งให้ผู้เรียน ได้รับรู้และนำกระบวนการ ไปใช้จริง 4. เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์สำเร็จรูปราคาแพง บูรชัย ศิริมหาสาคร (2545) สรุปว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องตอบคำถามหลัก ได้3 ข้อ ดังนี้ 1. สอนเพื่ออะไร 2. สอนอย่างไร 3. สอนแล้วได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่ และสรุปว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีต้องมีส่วนประกอบอย่างน้อย 3 ส่วน คือ 1. จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน (Objective) (สอนเพื่ออะไร) 2. การเรียนการสอนที่จะทำให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนที่ตั้งไว้(Learning) 3. การวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้หรือไม่ (Evaluation) ทั้งสามส่วนนี้เรียกชื่อย่อว่า OLE : โอเล่ซึ่งสามารถเขียน แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของ OLE ได้ ดังภาพประกอบ 1 (บูรชัย ศิริมหาสาคร, 2545) ภาพที่ 2 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของ OLE จากแผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของ OLE : โอเล่ซึ่งสามารถเขียนแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ของ จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลในแผนการสอน จากแผนภูมิOLE เห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกันเป็นกระบวนการ ดังนี้ 1. จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นตัวตั้งหรือเป็นตัวเริ่มต้น 2. การเรียนการสอนเป็นตัวกลางนำไปสู่การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ 3. การวัดและการประเมินผล เป็นตัวสรุปเพื่อบ่งชี้ถึงความสำเร็จว่ากระบวนการเรียนการสอน หรือ การจัดการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้หรือไม่ ดังนั้น ในการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จึงส่งเสริมให้จัดทำที่สอดคล้องกับจุดเน้นและ แนวการใช้หลักสูตร แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสมกับ สภาพผู้เรียน สำลีรักสุทธี(2544) ได้สรุปว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่ เข้าลักษณะ 4 ประการ ดังนี้
32 1. เป็นแผนการจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่มีกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ลงมือทำให้มากที่สุดโดยครูเป็นเพียงผู้คอย ชี้นำ ส่งเสริม หรือกระตุ้นให้กิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการเป็นไปตามความมุ่งหมาย 2. เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบหรือทำสำเร็จได้ด้วย ตนเอง โดยครูพยายามลดบทบาทของผู้บอกคำตอบมาเป็นผู้คอยกระตุ้นด้วยคำถาม หรือปัญหาให้ผู้เรียนคิดแก้ หรือหาแนวทางไปสู่ความสำเร็จในการจัดทำกิจกรรมเอง 3. เป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการ มุ่งให้ผู้เรียนรับรู้และนำกระบวนการไป ใช้จริง 4. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการะบวนการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์สำเร็จรูปราคาสูง รุจิร์ ภู่สาระ (2545) ได้อธิบายถึงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องสามารถตอบคำถามได้ว่า 1. จะให้นักเรียนมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์อะไรบ้าง 2. จะเสริมสร้างกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนอะไรบ้าง จึงจะให้นักเรียนบรรลุผลตามจุดประสงค์ 3. ครูจะต้องมีบทบาทอย่างไรในการจัดกิจกรรม ตั้งแต่ครูเป็นศูนย์กลางจนถึงนักเรียนเป็นผู้จัดทำเอง 4. จะใช้สื่อ/อุปกรณ์อะไรจึงจะช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์ 5. จะรู้ได้อย่างไรว่านักเรียนเกิดคุณสมบัติตามที่คาดหวังไว้ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2544) เสนอว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เข้าลักษณะ 4 ประการ คือ 1. เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้ได้ลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด โดยครูเป็นผู้คอยชี้นำ ส่งเสริม หรือกระตุ้นให้กิจกรรมผู้เรียนดำเนินการไปตามจุดมุ่งหมาย 2. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบหรือทำให้สำเร็จด้วยตนเอง โดยครูพยายามลดบทบาทจากผู้บอกคำตอบมาเป็นผู้คอยกระตุ้นด้วยคำถาม หรือปัญหาให้ผู้เรียนคิดแก้หรือ หาแนวทางไปสู่ความสำเร็จในการทำกิจกรรมเอง 3. เป็นแผนการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการมุ่งให้ผู้เรียนรับรู้และนำกระบวนการไปใช้จริง 4. เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น หลีกเลี่ยง การใช้วัสดุอุปกรณ์สำเร็จรูปราคาสูง สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมให้ผู้เรียน เป็นผู้ได้ลงมือปฏิบัติมากที่สุดโดยมีครูเป็นผู้คอยชี้นำหรือส่งเสริม ให้กิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินเป็นไปตาม ความมุ่งหมาย เน้นทักษะกระบวนการมุ่งให้ผู้เรียนได้รับรู้และนำกระบวนการไปใช้จริง 5.4 ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2542) กำหนดแนวทางในการจัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1. ตั้งชื่อแผนตามสาระการเรียนรู้ 2. กำหนดจำนวนเวลา ระบุระดับชั้น 3. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ ตามมาตรฐานการเรียนรู้รายปี และรายภาคที่เลือกเขียนเป็น จุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชา โดยยึดหลักการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ 4. เลือกจุดประสงค์การเรียนรู้ที่วิเคราะห์ไว้แล้ว เฉพาะข้อที่สัมพันธ์กับหัวข้อสาระการเรียนรู้ กำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือจุดประสงค์ปลายทางตามธรรมชาติวิชา
33 5. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้เป็นรายละเอียด สำหรับนำไปจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้จะเป็นเนื้อหา ใหม่ของมวลเนื้อหาที่กำหนดไว้ที่จำเป็นต้องสอน 6. กำหนดจุดประสงค์นำทางตามลำดับความยากง่ายของเนื้อหานั้น ๆ เลือกกิจกรรม และเทคนิคการ สอนเหมาะสม 7. เลือกสื่ออุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะกับสาระการเรียนรู้ที่เลือกมา เช่น รูปภาพ บัตรคำ วีดีทัศน์ 8. จัดทำลำดับขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงขั้นตอนการสอนตามธรรมชาติวิชาตาม จุดประสงค์นำทาง ควรคำนึงถึงการบูรณาการเทคนิค และกระบวนการเรียนรู้รวมทั้งสาระการเรียนรู้อื่น ๆ เข้าไว้ในแต่ละขั้นตอนด้วย 9. กำหนดการวัดและประเมินผล โดยระบุวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ทั้งที่เกิดระหว่างเรียนตาม จุดประสงค์ย่อย / ปลายทาง และที่เกิดหลังการเรียนการสอน เมื่อจบแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการวัดที่ หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสม เช่น การปฏิบัติจริง การทดสอบความรู้ การทำงานกลุ่ม ฯลฯ วิมลรัตน์สุนทรโรจน์ (2545) เสนอขั้นตอนการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรในวิชาที่สอน 1.1 จุดประสงค์ประจำวิชา 1.2 คำอธิบายรายวิชา ซึ่งเสนอแนะกิจกรรม เนื้อหา และจุดประสงค์ไว้ 2. กรอกผลการวิเคราะห์ลงในตารางวิเคราะห์หลักสูตร 3. ย่อยเนื้อหา ย่อยจุดประสงค์การเรียนรู้และจัดคาบเวลาให้เหมาะสม 4. ศึกษาแนวการสอนของกรมวิชาการ เพื่อ 4.1 ศึกษารายละเอียดเนื้อหาว่าตรงกับการวิเคราะห์หลักสูตรที่วิเคราะห์ไว้แล้วหรืออาจจะมี อะไรเพิ่มเติมอีกให้สมบูรณ์ครบตามคาบเวลา 4.2 นำกิจกรรมในแนวการสอนมาพิจารณาประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในการ เขียนแผนการสอนต่อไป 5. ขั้นเขียนแผนการสอนหรือการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นขั้นสำคัญซึ่งผู้เขียนต้อง วางแผนเขียนอย่างรอบคอบ สิ่งที่ควรเขียนให้ชัดเจนในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้แก่ 5.1 ชื่อเรื่อง หรือชื่อหัวเรื่องย่อย 5.2 จำนวนคาบ 5.3 สาระสำคัญ 5.4 ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 5.5 เนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้ 5.6 สื่อการเรียนการสอนหรือสื่อการเรียนรู้ 5.7 กิจกรรมการเรียนการสอน 5.8 การวัดผลประเมินผล อาภรณ์ใจเที่ยง (2546) ได้นำเสนอขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้ 1. วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา รายปีรายภาค และหน่วยการเรียนรู้ที่สถานศึกษาจัดทำขึ้น เพื่อประโยชน์ในการเขียนรายละเอียดของแต่ละหัวข้อของแผนการจัดการเรียนรู้ 2. วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อนำมาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้โดยให้ครอบคลุม พฤติกรรมทั้งด้านความรู้ทักษะ/กระบวนการ เจตคติและค่านิยม
34 3. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนให้สอดคล้องกับผู้เรียน ชุมชน และท้องถิ่น 4. วิเคราะห์กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ 5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับมาตรฐาน การเรียนรู้ 6. วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้สรุปขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้(อาภรณ์ใจเที่ยง, 2546) ดังนี้ 1. วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา รายปีรายภาค และหน่วยการเรียนรู้ 2. วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ 4. วิเคราะห์กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล 6. วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้ 6. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ 6.1 ความหมายของประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ สมนึก ภัททิยธนี (2553) อธิบายว่า การหาประสิทธิภาพของเครื่องมือหรือนวัตกรรมการเรียน การสอน (E1/ E2) เป็นขั้นตอนการทำจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้แล้ว การที่จะสรุปได้ว่า นวัตกรรม การเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ จะต้องมีการกำหนดเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณา และยอมรับความผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละ 2.50 ชวลิต ชูกำแพง (2553) ให้ความหมายว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) มีความหมายดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เป็นค่าที่บอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้น สามารถพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์และกิจกรรมที่กำหนดให้โดยมีการเก็บข้อมูลของผล การเรียนรู้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการของผู้เรียนได้โดยคำนวณ จากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อย คะแนนจากพฤติกรรมการเรียนหรือคะแนนจากกิจกรรมการเข้ากลุ่ม (ไม่ใช่คะแนนการทำแบบฝึกหัดหรือ แบบฝึกทักษะ) ในระหว่างที่ผู้เรียนกำลังเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2. ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เป็นค่าที่บอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถส่งผลให้ผู้เรียนเกิด สัมฤทธิ์ผลหรือไม่ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ซึ่งคำนวณจากคะแนนการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบหลังเรียน) ของผู้เรียนทุกคน ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556) อธิบายว่า การผลิตสื่อหรือชุดการสอนนั้นก่อนนำไปใช้จริง จะต้องนำสื่อ หรือชุดการสอนที่ผลิตขึ้นไปทดสอบประสิทธิภาพ เพื่อดูว่าสื่อหรือชุดการสอนทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น หรือไม่ มีประสิทธิภาพในการช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือไม่และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนจากสื่อหรือชุดการสอนในระดับใด ดังนั้น ผู้ผลิตสื่อการสอนจำเป็นจะต้องนำสื่อหรือชุดการสอนไปหาคุณภาพ เรียกว่า การทดสอบประสิทธิภาพ การหาประสิทธิภาพ ครอบคลุม (1) ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ (2) ความจำเป็นที่จะต้องหา
35 ประสิทธิภาพ (3) การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ (4) วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพ (5) ขั้นตอนการทดลอง หาประสิทธิภาพ และ (6) เกณฑ์ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ เป็นการคำนวณ คะแนนจากการทำแบบทดสอบย่อย คะแนนจากพฤติกรรมการเรียนในระหว่างที่ผู้เรียนกำลังเรียนตามแผน การจัดการเรียนรู้ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ เป็นการคำนวณคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของผู้เรียนทุกคน 6.2 วิธีการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เผชิญ กิจระการ (2544) เสนอวิธีการหาประสิทธิภาพของสื่อที่สร้างขึ้น 2 วิธี ดังนี้ 1. วิธีการหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล (Rational Approach) กระบวนการนี้เป็นการหาประสิทธิภาพ โดยใช้หลักของความรู้และเหตุผลในการตัดสินคุณค่าของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ (Panel of Expert) เป็นผู้ตัดสินคุณค่าซึ่งเป็นการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสมใน ด้านการนำไปใช้ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน จะนำมาหาค่าประสิทธิภาพต่อไป 2. วิธีหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) วิธีนี้จะนำสื่อไปทดลองใช้กับกลุ่มนักเรียน เป้าหมาย การหาประสิทธิภาพของสื่อ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) บทเรียนโปรแกรม ชุดการสอน แผนการสอน แบบฝึกทักษะ เป็นต้น ส่วนมากใช้วิธีหาประสิทธิภาพด้วยวิธีนี้ ประสิทธิภาพที่วัด ส่วนใหญ่จะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์การทำแบบฝึกหัดหรือกระบวนการเรียนหรือแบบทดสอบย่อย โดยแสดง เป็นค่าตัวเลข 2 ตัว เช่น E1/ E2 = 80/80, E1/ E2 = 85/85, E1/ E2 = 90/90 เป็นต้น บุญชม ศรีสะอาด (2553) อธิบายว่า การนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมทางการศึกษา เป็นเครื่องมือ ในการทำวิจัย เช่น แผนการสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ชุดสื่อผสม เป็นต้น จำเป็นต้องหาคุณภาพของสื่อ ดังกล่าวด้วย ซึ่งมีขั้นตอนคล้ายกับการหาคุณภาพของแบบทดสอบหรือเครื่องมือชนิดอื่น ๆ คือ วิเคราะห์ คำอธิบายรายวิชา กำหนดเนื้อหาสาระเป็นรายบท แล้ววิเคราะห์เนื้อหา สาระเป็นรายบทในรูปของตาราง ความสัมพันธ์ระหว่างชื่อเรื่องย่อย ความคิดรวบยอดและจุดประสงค์เรียนรู้ขั้นต่อไปดำเนินการ ดังนี้ 1. ตรวจสอบความเที่ยงตรง (Validity) มักอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งควรให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตาราง ความสัมพันธ์ดังกล่าว 2. สร้างแผนการสอนหรือสื่อต่าง ๆ แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยพิจารณาความถูกต้อง จากนั้นนำไปทดลอง กับนักเรียนเป็นรายบุคคล ซึ่งนิยมใช้กับนักเรียนระดับการเรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน เพื่อพิจารณาเรื่องการออกแบบสื่อ คำอธิบายการใช้สื่อ การสื่อความ หรืออาจจะทดลองใช้แผนการสอนเป็น รายกลุ่ม เพียง 1-2 แผน เพื่อดูเรื่องเวลาที่ใช้จัดกิจกรรม บรรยากาศการเรียนการสอน เป็นต้น ส่วนการหาประสิทธิภาพของสื่อ (E1/ E2) เป็นขั้นตอนการทำการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่กำหนด ไว้แล้ว (ควรหาประสิทธิภาพของสื่อ (E1/ E2) ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้กับนักเรียนที่ ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างด้วย) สรุปได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้น สามารถพัฒนา ผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ภายใต้สถานการณ์และกิจกรรมที่กำหนดให้ โดยมีการเก็บข้อมูล ของผลการเรียนรู้ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู้เรียนได้โดยทั่วไปมักจะคำนวณ จากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อย หรือคะแนนจากพฤติกรรมการเรียนรู้หรือคะแนนจากกิจกรรม การเข้ากลุ่ม เป็นต้น (ไม่ใช่คะแนนการทำแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ) ในระหว่างที่ผู้เรียนกำลังเรียนตาม แผนการจัดการเรียนรู้
36 2. ประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E2) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้น สามารถส่งผลให้ผู้เรียน เกิดสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาก น้อยเพียงใด ซึ่งคำนวณจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบหลังเรียน) ของผู้เรียนทุกคน ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556) อธิบายว่า ประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนจะกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้ผลเฉลี่ยของคะแนนการทำงานและ การประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อร้อยละของผลการประเมินหลังเรียนทั้งหมด คือ E1/E2 ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ขั้นตอนในการทดลองหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนดังนี้ 1. ทดลองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to one Testing) โดยนำบทเรียนที่สร้างขึ้นไปทดลองกับนักเรียน 3 คน โดยเลือกระดับผลการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ ระดับละ 1 คน เพื่อเป็นการศึกษาถึงข้อบกพร่องที่ควร แก้ไขในด้านสำนวนภาษา ความเหมาะสมของระยะเวลาที่กำหนดในบทเรียนและข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพื่อนำไป ปรับปรุงแก้ไข 2. การทดลองในขั้นทดลองกับกลุ่มเล็ก (Small Group Testing) เป็นการศึกษาถึงความเหมาะสมของ บทเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ภาษาในบทเรียน นักเรียนในกลุ่มเล็ก ความเข้าใจตรงกันหรือไม่ ภาษาที่ใช้ คลุมเครือหรือไม่ ระยะเวลาที่กำหนดไว้มีความเหมาะสมหรือไม่ ผลเป็นอย่างไร เมื่อนำผลการทำแบบทดสอบ ระหว่างเรียนและผลการทดสอบหลังเรียนด้วยบทเรียนไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพแล้วได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้หรือไม่ นำข้อมูลที่ได้ในขั้นตอนนี้ไปปรับปรุง แก้ไขบทเรียนต่อไป 3. การทดลองในขั้นทดลองกับกลุ่มใหญ่ (Field Testing) เพื่อนำผลการทำแบบทดสอบระหว่างเรียน และผลการทดสอบหลังการเรียนด้วยบทเรียนไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของบทเรียน โดยมีวิธีการคำนวณ ตามสูตรการหาประสิทธิภาพ E1 ประสิทธิภาพของกระบวนการ และ E2 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ดังนี้ เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ΣX แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรืองาน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชิ้นรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียน เมื่อ E2 แทน ผลลัพธ์ของประสิทธิภาพ ΣY แทน ผลรวมของผลลัพธ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการสอบ N แทน จำนวนนักเรียน
37 สรุปได้ว่า เกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของสื่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอน หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ ซึ่งเป็นค่าที่บอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องหรือไม่ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์เป็นค่าที่บอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถส่งผลให้ ผู้เรียนเกิดสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้เกณฑ์และสูตรการหาประสิทธิภาพของชัยยงค์ พรหมวงศ์ โดยใช้ ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ในการหาประสิทธิภาพของแผน การจัดการเรียนรู้ 7. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 7.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2540) สรุปไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ทั้งปวง ที่บุคคลได้รับจากการ เรียนการสอน ท าให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพสมอง ธาริณี วิทยาอภิวรรตน์ (2542) ได้ให้ความหมายคำว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง พฤติกรรมที่ แสดงออกถึงความสามารถในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้จากที่ไม่เคยกระทำได้หรือกระทำได้น้อย ก่อนที่จะมี การเรียนการสอน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถวัดได้ สันต์ ยอดพุดซา (2542) สรุปไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง สมรรถภาพทางสมองที่เกิดจาก การเรียนรู้มาแล้ว มีความรู้ความสามารถเพียงใดโดยการวัดจากแบบทดสอบในด้านพุทธิพิสัยที่ใช้วัดสมรรถภาพ ต่าง ๆ ของการเรียนรู้ สมสุข ศรีสุก (2542) ให้ความหมายของคำว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จที่ได้รับ จากความรู้ ความสามารถ หรือทักษะ หรือความหมายถึงผลการเรียนการสอนหรือผลงานที่เด็กได้จากการ ประกอบกิจกรรมส่วนนั้น ๆ ก็ได้ ไพศาล หวังพาณิช (2543) สรุปไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถ ของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น จากการฝึกอบรม หรือจากการสอบ การวัดผลสัมฤทธิ์จึงเป็นการตรวจสอบความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ผล ของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าไร วราภรณ์ บรรติ (2543) สรุปไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดการ เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ในเนื้อหาสาระที่เรียนมาแล้ว นาฏยา ชมวิชา (2547) สรุปไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จที่เกิดจากการเรียนรู้ ในเรื่องใด ๆ ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือวัด ทางด้านจิตวิทยา หรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของบุคคล พฤติกรรมที่แสดงออก รวมถึง สมรรถภาพทางสมองที่เกิดการเรียนรู้มาแล้ว โดยใช้การวัดจากแบบทดสอบด้านต่าง ๆ ของการเรียนรู้ 7.2 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีนักการศึกษาได้อธิบายถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ ประภัสสร วงษ์ศรี (2541) อธิบายว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน ประกอบด้วย
38 1. ผู้สอน ควรมีการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจให้มาก เป็นประสบการณ์ทางการเรียนการสอน ความรู้ของครูผู้สอน การถ่ายทอดความรู้ของคุณภาพของการสอน อุปกรณ์การสอนที่ทันสมัย มีทัศนะที่ดีต่อนักเรียน มีคุณธรรมและมีความ ยุติธรรม การจูงใจและการกระตุ้น เสริมแรงผู้เรียน ให้ความช่วยเหลือ และสามารถแก้ปัญหาให้กับนักเรียนได้บรรยากาศในการสอนและ สิ่งแวดล้อม 2. ผู้เรียน ได้แก่ พันธุกรรม เชาว์ปัญญา ความถนัด ความสนใจ อารมณ์ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ของครอบครัว การศึกษาของบิดามารดา การปรับตัว แรงจูงใจ หลักสูตรหรือวิชาที่เรียน วัฒนธรรม ทัศนคติต่อ สถาบันและผู้สอน บรรยากาศในการเรียนและสิ่งแวดล้อม อริยา คูหา และบัญญัติ ยงย่วน (2547) สรุปไว้ว่า องค์ประกอบที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ 1. ความพร้อมด้านสติปัญญา หรือความรู้ ทักษะพื้นฐาน 2. บุคลิกภาพหรือจิตลักษณะ เช่น แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ อัตมโนทัศน์ 3. พฤติกรรมการเรียน เช่น วิธีการเรียน การผัดวันประกันพรุ่ง 4. บรรยากาศในการเรียน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน วิธีการสอนของครู 5. ตัวแปรทางประชากร เช่น อายุ เพศ สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม การศึกษาของบิดามารดา เป็นต้น Prescott (1961) ได้ทำการสรุปองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไว้ 6 ด้าน ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโตของร่างกาย สุขภาพข้อบกพร่องและ ลักษณะท่าทางของร่างกาย 2. องค์ประกอบทางความรัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ของบิดามารดา และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกใน ครอบครัว ่ 3. องค์ประกอบด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวการอบรม และฐานะทางบ้าน 4. องค์ประกอบด้านความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อน ได้แก่ ความสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเดียวกัน 5. องค์ประกอบทางการพัฒนาแห่งตน ได้แก่ สติปัญญาความสนใจ 6. องค์ประกอบทางการปรับตัว ได้แก่ ปัญหาการปรับตัวการแสดงออก Alexander และ Simmons (1975 อ้างอิงมาจาก กฤษฎา บุญวัฒน์, 2541) อธิบายว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นฟังก์ชันของปัจจัยที่เกี่ยวกับโรงเรียน ปัจจัยเกี่ยวกับกลุ่มปัจจัยของอิทธิพลภายนอกอื่น ๆ เช่น สภาพชุมชน ปัจจัยทางด้านเชาว์ปัญญา ปัจจัยเกี่ยวกับคุณลักษณะของนักเรียน รวมทั้งภูมิหลัง ทางเศรษฐกิจและสังคมของนักเรียน และยังมีความแปรปรวนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้อีก Bloom (1976 อ้างมาจาก ปัญญา ชูช่วย, 2551) ได้ศึกษาตัวแปรที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า มีตัวแปรอยู่ 3 ประการที่เกี่ยวข้อง คือ 1. พฤติกรรมด้านความรู้และความคิด (Cognitive Entry Behaviors) หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความถนัด และพื้นฐานของผู้เรียนที่มีมาก่อน 2. คุณลักษณะทางจิตใจ (Affective Entry Characteristics) หมายถึง แรงจูงใจที่ทำให้ผู้เรียนเกิด ความอยากเรียนอยากรู้สิ่งใหม่ ได้แก่ ความสนใจในวิชาเรียน เจตคติต่อเนื้อหาวิชา ระบบการเรียนและสถาบัน การยอมรับความสามารถของตนเอง เป็นต้น
39 3. คุณภาพทางการเรียนการสอน (Quality of Instruction) หมายถึง การเรียนการสอนหรือ ประสิทธิผลที่ผู้เรียนจะได้รับผลสำเร็จในการเรียน ได้แก่ การได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติ และแรงเสริมของ ผู้สอนที่มีต่อผู้เรียน เป็นต้น สรุปได้ว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้แก่ ความรู้ ความสามารถ ทักษะ เชาว์ปัญญา ความถนัด ความสนใจ และพื้นฐานของผู้เรียนที่มีมาก่อนความสนใจในวิชาเรียน การยอมรับ ความสามารถของตนเอง การเรียนการสอนหรือประสิทธิผลที่ผู้เรียนจะได้รับผลสำเร็จในการเรียน ระบบ การเรียนและสถาบัน หลักสูตรหรือวิชาที่เรียน อุปกรณ์การสอนที่ทันสมัย บรรยากาศในการเรียนและ สิ่งแวดล้อม ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว เป็นต้น 7.3 ลักษณะของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไพศาล หวังพานิช (2543) ได้แบ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวิชา ที่สอน ซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบ คือ 1. การวัดด้านปฏิบัติเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติ หรือทักษะของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปของการกระทำจริงให้ออกเป็นผลงาน เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การช่าง เป็นต้น การวัดแบบนี้จึงต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ(Performance Test) 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา อันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ของผู้เรียน รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวัดได้โดยใช้”ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์” (Achievement Test) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คือ 1. ด้านความรู้ ความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวกับกระบวนการต่าง ๆ ทางด้าน สติปัญญา และสมอง ประกอบด้วยพฤติกรรม 6 ด้าน ดังนี้ 1.1 ด้านความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถระลึกถึงเรื่องราวประสบการณ์ที่ผ่านมา 1.2 ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ การแปลความ การตีความ การขยายความของเรื่องได้ 1.3 การนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้หรือหลักวิชาที่เรียนมาแล้วในการ สร้างสถานการณ์จริง ๆ หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน 1.4 การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ หรือวัตถุสิ่งของ เพื่อต้องการค้นหาสาเหตุเบื้องต้น หาความสัมพันธ์ระหว่างใจความ ระหว่างส่วนรวม ระหว่างตอน ตลอดจนหา หลักการที่แฝงอยู่ในเรื่อง 1.5 การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้มาจัดระบบใหม่ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่ เหมือนเดิม มีความหมายและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 1.6 การประเมินค่า หมายถึง การวินิจฉัยคุณค่าของบุคคล เรื่องราว วัสดุสิ่งของ อย่างมีหลักเกณฑ์ 2. ด้านความรู้สึก (Affective Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ในด้านความสนใจ คุณค่า ความซาบซึ้ง และเจตคติต่าง ๆ ของนักเรียน 3. ด้านการปฏิบัติการ (Psycho-motor Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะใน การปฏิบัติและการดำเนินการ เช่น การทดลอง เป็นต้น
40 สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สามารถวัดได้ทั้งด้านทักษะปฏิบัติโดยใช้แบบทดสอบ ภาคปฏิบัติและการวัดทางด้านเนื้อหาโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ความคิด ด้านความรู้สึก และด้านการปฏิบัติการ จากการสรุปข้างต้น ผู้วิจัยได้ใช้การวัดด้านเนื้อหาโดยใช้แบบทดสอบปรนัย วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก 7.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับครูที่จะใช้ตรวจสอบพฤติกรรมหรือ ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน อันเนื่องมาจากการเรียนการสอนของครูว่า ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถหรือ ประสบผลสำเร็จในการเรียนมากน้อยเพียงใด ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนี้จะเป็นแนวทางในการ ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป ซึ่งมีนักการศึกษาได้กล่าวไว้ ดังนี้ บุญชม ศรีสะอาด (2553) ได้เสนอลักษณะของเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตาม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือไม่ การวัดตามจุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Reference Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อให้วัด ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อน ได้ดีเป็นหัวใจของข้อสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่ใช้ ความสามารถในการให้ความหมาย และแสดงถึงศักยภาพของบุคคลนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่ใช้ เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2536) ได้แบ่งไว้เป็น 2 พวก คือ 1. แบบทดสอบของครู (Teacher Made Test) หมายถึง ชุดของคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งเป็นข้อ คำถามที่เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนว่า ห้องเรียนมีความรู้มากแค่ไหนบกพร่องที่จุดไหน จะได้ สอนซ่อมเสริม หรือเป็นการวัดความพร้อมที่จะเรียนบทเรียนใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของครู 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละสาขา หรือจากครูที่สอนวิชานั้น ๆ แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั่งมีคุณภาพดีพอ จึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบ เพื่อเป็นหลักเปรียบเทียบผลประเมินค่าของการสอนเรื่องใดก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการสอน บอกวิธีสอน และยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนด้วย สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบอิงเกณฑ์ และแบบทดสอบอิงกลุ่ม และยังมีแบบทดสอบของครูและ แบบทดสอบมาตรฐานที่สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้เช่นกัน ซึ่งผู้วิจัยใช้แบบทดสอบอิงเกณฑ์ในการ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
41 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ 8.1 งานวิจัยในประเทศ 8.1.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีไทย นิตยา พืชเพียร (2564) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย ด้วยเทคนิค SQ4R กับเทคนิค KWL-PLUS สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา ชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้ได้ประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรม ส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยเทคนิค SQ4R 3) เปรียบเทียบ ผลการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยเทคนิค KWL-PLUS และ 4) เปรียบเทียบผลการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยของนักเรียนที่ศึกษาด้วยชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์ วรรณคดีไทยด้วยเทคนิค SQ4R กับเทคนิค KWL-PLUS สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านค่าย จำนวน 60 คน โดย การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย ด้วยเทคนิค SQ4R กับเทคนิค KWL-PLUS 2) แบบทดสอบวัดผลการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย และ 3) แผนการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบที ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า 1) ชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยด้วยเทคนิค SQ4R กับเทคนิค KWL-PLUS สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 83.83/82.44 2) ผลการอ่าน วิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทย สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยเทคนิค SQ4R หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์ วรรณคดีไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยเทคนิค KWL-PLUS หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยของนักเรียนที่ศึกษาด้วยชุดกิจกรรม ส่งเสริมการอ่านวิเคราะห์วรรณคดีไทยด้วยเทคนิค SQ4R กับเทคนิค KWL-PLUS สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วรางคณา ชั่งโต (2559) ได้ศึกษาเรื่อง ผลของการใช้รูปแบบการสอน 7E ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนวรรณคดีไทย และความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย และความสามารถในการอ่านอย่างมี วิจารณญาณของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการสอน 7E 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทยและความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณระหว่างนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการสอน 7E กับการสอนแบบเดิม ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีนนทบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โดยกลุ่มทดลองที่เรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอน 7E มีจำนวน 29 คน กลุ่มควบคุมที่เรียนรู้ด้วย การสอนรูปแบบเดิม มีจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการสอนด้วยรูปแบบการสอน 7E จำนวน 4 แผน 2) แผนการสอนแบบเดิม จำนวน 4 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี ไทยแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ เป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่าความแปรปรวนพหุคูณ (MANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบ การสอน 7E มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย และความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการสอน 7E มี