The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผู้เรียบเรียง และวาดภาพประกอบ
นางสาวอรปรียา อารมณ์ไวย
รหัสนิสิต ๖๒๑๐๓๑๓๘๐
นางสาวอารียามีน สุภเพียร
รหัสนิสิต ๖๒๑๐๓๑๓๘๑
หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต
สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยทักษิณ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Krittima May, 2022-11-11 23:35:23

หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมภาษาไทย ​"เสน่ห์สงขลา นคราแดนใต้" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

ผู้เรียบเรียง และวาดภาพประกอบ
นางสาวอรปรียา อารมณ์ไวย
รหัสนิสิต ๖๒๑๐๓๑๓๘๐
นางสาวอารียามีน สุภเพียร
รหัสนิสิต ๖๒๑๐๓๑๓๘๑
หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต
สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยทักษิณ

Keywords: ภาษาไทย

หนั งสื อเรี ยน
รายวิ ชาเพิ่ มเติ ม ภาษาไทย

เสน่ ห์สงขลา นคราแดนใต้

ชั้ นมั ธยมศึ กษาปี ที่ ๑

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน

พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผู้เรียบเรียง
นางสาวอรปรียา อารมณ์ไวย

นางสาวอารียามีน สุภเพียร

หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม
ภาษาไทย

เสน่ห์สงขลา นคราแดนใต้

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผู้เรียบเรียง และวาดภาพประกอบ
นางสาวอรปรียา อารมณ์ไวย
รหัสนิสิต ๖๒๑๐๓๑๓๘๐
นางสาวอารียามีน สุภเพียร
รหัสนิสิต ๖๒๑๐๓๑๓๘๑
หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต
สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยทักษิณ

พิมพ์ครั้งที่ ๑
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
ISBN : ๙๒๑-๕๔๕-๓๘๐-๓๘๑
จำนวน ๔๕๐ เล่ม

โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา
๒/๑ ถนนเพชรเกษม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๙๐๑๑๐
โทรศัพท์ ๐-๗๔๒๕-๓๒๗๒
โทรสาร ๐-๗๔๘๙-๔๘๙๗

พิมพ์ที่มหาวิทยาลัยทักษิณ
๑๔๐ ถ.กาญจนวนิช ม.๔ ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา ๙๐๐๐๐
โทร. ๐-๗๔๓๑-๗๖๐๐

คำนำ




หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมภาษาไทย เสน่ห์สงขลา นคราแดนใต้
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นสำหรับนักเรียนเพื่อใช้ในการฝึกทักษะ
การเขียน ฝึกทักษะการอ่าน และฝึกทักษะการฟังและดู ส่งเสริมให้นักเรียนมีนิสัย
รักการอ่านและสร้างจิตสำนึกรักท้องถิ่น อีกทั้งครูสามารถนำหนังสือเล่มนี้ประกอบ
การเรียนการสอนภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒๕๕๑

หนังสือเล่มนี้มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะทางด้านการเขียนทักษะทางด้าน
การอ่านและทักษะการฟังและดู ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักในเล่มนี้ยังส่งเสริมให้ผู้เขียนมี
ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเขียนจดหมาย การอ่านเพื่อระบุเหตุผลและข้อเท็จจริง
จากเรื่องที่อ่าน และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในการพูดแสดงความคิด
เห็นและพูดรายงานจากการศึกคว้าอย่างถูกต้อง ตลอดทั้งเล่มยังสอดแทรกเกร็ด
ความรู้ต่าง ๆ ในท้องถิ่นสงขลา รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับประเพณีที่น่าสนใจในสงขลา
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตต่อ
ไป

ขอขอบคุณอาจารย์ปริยากรณ์ ชูแก้ว อาจารย์ประจำภาควิชาสาขาภาษา
ไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ที่ได้ให้คำแนะนำ
ในการจัดทำหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมภาษาไทย เสน่ห์สงขลา นคราแดนใต้
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จนเสร็จสมบูรณ์ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะ
เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียนและ
ผู้ที่สนใจ

อรปรียา อารมณ์ไวย
อารียามีน สุภเพียร

คำแนะนำสำหรับครู

การวางแผนสำหรับครูในการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
๑. ครูจำเป็นต้องศึกษาหลักสูตรและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร เพื่อ

เข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
๒. ครูจำเป็นต้องศึกษาความรู้ความสามารถของนักเรียนและความรู้

ประสบการณ์เดิมของนักเรียนเรื่องการเขียน การอ่าน และการฟังและดูจากเรื่อง
ที่อ่าน เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและผู้เรียน
ได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างสูงสุด

๓. ครูควรสอนเรียงลำดับตามบทในหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากได้มีการจัดทำ
เนื้อหาที่เรียงลำดับจากง่ายไปยากเพื่อฝึกทักษะผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจมาก
ยิ่งขึ้น เนื้อเรื่องภายในหนังสือเล่มนี้จะมีความต่อเนื่องและสอดคล้องกัน และ
สอดแทรกเกี่ยวกับเนื้อหาสถานที่สำคัญ อาหาร และภูมิปัญญาท้องถิ่นในอำเภอ
ของจังหวัดสงขลาได้อย่างน่าสนใจ

บทอ่าน : นำเสนอเนื้อหาผ่านการท่องเที่ยวและดำเนินเรื่องของอารีและ
ปรียา สองพี่น้องที่เป็นตัวละครหลัก ได้ถ่ายทอดเนื้อหาดำเนินเรื่องอย่างสนุกสนาน
แทรกเรื่องราวสถานที่สำคัญของจังหวัดสงขลา ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมที่เก่าแก่
และน่าสนใจ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้แก่
ผู้เรียน

เล่าเรื่อง เมืองต่าง ๆ : จะเป็นเกร็ดความรู้เสริมที่อธิบายเพิ่มเติมจากที่
ปรากฏในเนื้อเรื่อง เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่ ภูมิปัญญา
และประเพณีวัฒนธรรมที่น่าสนใจของสงขลา ส่งเสริมให้ตระหนักและรักท้องถิ่น

อ่านเสริม เพิ่มความรู้ : นำเสนอเนื้อหาตามมาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวชี้วัดที่ได้จัดทำ โดยนำเสนอเนื้อหาสอดคล้องและเป็นลำดับ เพื่อเพิ่มความรู้
ความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนในเนื้อหาหลักภาษาไทบ

กิจกรรม ชวนคิด ลองทำดู : กิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะความรู้
ตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของแต่ละบท เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในระดับที่สูงขึ้น

โครงสร้างหลักสูตร สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
ภาษาไทย

ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

ชื่อบท ตัวชี้วัด

บทที่ ๑ สาระที่ ๒ การเขียน
เรียงร้อยตัวอักษร ตัวชี้วัด ท ๒.๑ ม.๒/๗ เขียนจดหมายส่วนตัวและ
สัญจรผ่านจดหมาย จดหมายกิจธุระ
ตัวชี้วัด ท ๒.๑ ม.๒/๙ มีมารยาทในการเขียน

บทที่ ๒ สาระที่ ๑ การอ่าน
พินิจความ ตัวชี้วัด ท ๑.๑ ม.๑/๓ ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับ
ตามถิ่นเมืองเกาะยอ ข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน

บทที่ ๓ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด
เปิดประตู ตัวชี้วัด ท ๓.๑ ม.๑/๓ พูดแสดงความคิดเห็นอย่าง
สู่โลกประเพณี สร้างสรรค์
เกี่ ยวกับเรื่ องที่ ฟังและดู
ตัวชี้วัด ท ๓.๑ ม.๑/๕ พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่
ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดู และการสนทนา

สารบัญ หน้า

บทที่ ๕
แนะนำตัวละคร ๒๑
๑ เรียงร้อยตัวอักษร สัญจรผ่านจดหมาย ๓๔
๔๖
เล่าเรื่อง เมืองบ่อยาง ๔๘
อ่านเสริม เพิ่มความรู้ ๖๘
กิจกรรม “ชวนคิด ลองทำดู” ๗๗
๒ พินิจความ ตามถิ่นเมืองเกาะยอ ๘๒
เล่าเรื่อง เมืองเกาะยอ ๘๗
อ่านเสริม เพิ่มความรู้ ๑๐๑
กิจกรรม “ชวนคิด ลองทำดู” ๑๐๘
๓ เปิดประตู สู่โลกประเพณี ๑๑๖
เล่าเรื่อง รวมประเพณี ๑๑๘
อ่านเสริม เพิ่มความรู้ ๑๑๙
กิจกรรม “ชวนคิด ลองทำดู” ๑๒๑
เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน ๑๒๒
บรรณานุกรม
บุคลานุกรม
ภาคผนวก



แนะนำตัวละคร

อารี

อารีเด็กหนุ่มวัยรุ่นอารมณ์ดี ใจเย็น
ขี้เล่น รักในการเดินทาง ชอบถ่ายรูป

และเป็นพี่ชายที่ดีของปรียา

ปรียา

ปรียาเด็กสาวที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น
คิดเร็วทำเร็ว รักการเซลฟี่ และชอบ
ออกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เวลาว่างจะ
ชอบอ่านสารคดีท่องเที่ยวเป็นพิเศษ

คุณยายสร้อยใจ

คุณยายที่ใจดีของหลาน ๆ และมักจะมี
เรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้หลาน ๆ ฟัง และ
คุณยายยังคอยดูแลคุณตาโชคดีอย่างดี

ที่สุด



คุณตาโชคดี

คุณตาโชคดี ดีกรีอดีตนักเรียน
ดุริยางคศิลป์ ศิลปากร นิสัยดี ใจเย็น
ชอบเล่นดนตรีและอ่านหนังสือพิมพ์

ลูกตาล

สาววัยรุ่นบ้านอยู่สทิงพระ นิสัยดี
มีความเป็นผู้นำ และชอบช่วยเหลือ

คนอื่นอยู่เสมอ

กุ้งส้ม

กุ้งส้มเป็นผู้หญิงใจเย็น ชอบเที่ยวและ
ทำกิจกรรมที่ท้าทาย และบางครั้งยังมี

โลกส่วนตัวสูงชอบอยู่กับตัวเอง



เปี๊ ยะเค็ม

หนุ่มกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น ชอบเที่ยวและ
ชอบเดินทาง กิจกรรมของเปี๊ ยะเค็มจึงจะ

ชอบเดินทางไปที่ต่าง ๆ ในวันหยุด

พ่อ (ป๊า)

คุณพ่อที่แสนดี และใจเย็นของอารีและ
ปรียา คุณจะชอบรับฟังลูก ๆ และ
เปิดโอกาสให้ลูกทำในสิ่งที่ชอบ

แม่ (มี้)

คุณแม่ที่ใจดีที่สุดของอารีและปรียา
คุณแม่จะสนับสนุนลูก ๆ ในทุกเรื่อง
และเป็นที่ปรึกษาที่ดีของลูกทั้งสอง



ลุงชัย

ลุงชัยที่ใจดีของเด็ก ๆ ใจเย็น ชอบเดินทาง
และใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย



"อำเภอบ่อยาง วัฒนธรรมไทย - จีน
ผสมผสานย่านถนนสามสาย
กลิ่นอายความคลาสสิค"



บทที่ ๑

"เรียงร้อยตัวอักษร
สัญจรผ่านจดหมาย"



สาระและมาตรฐานการเรียนรู้




สาระที่ ๒ การเขียน
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ
ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูล
สารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวชีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง
ตัวชี้วัด ท๒.๑ ม.๒/๗ เขียนจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ

- การเขียนจดหมายส่วนตัว
- การเขียนจดหมายกิจธุระ
ตัวชี้วัด ท.๒.๑ ม.๒/๙ มีมารยาทในการเขียน



จุดประสงค์การเรียนรู้

๑. นักเรียนสามารถบอกความหมาย และองค์ประกอบของ
จดหมายแต่ละประเภทได้ (K)

๒. นักเรียนสามารถบอกระดับของภาษาที่ใช้ในการเขียน
จดหมายแต่ละประเภทได้ (K)

๓. นักเรียนสามารถเขียนจดหมายได้ถูกต้องตามรูปแบบและ
เลือกใช้ภาษาได้ถูกต้อง (P)

๔. นักเรียนมีมารยาทในการเขียนและเห็นคุณค่าของมรดก
ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (A)

แนวคิด
จดหมายเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีมาแต่โบราณ แต่ก็ยังคงใช้กัน

ทั่วโลก เพราะข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษร สามารถเป็นหลักฐาน
ยืนยันได้เป็นอย่างดี



บทที่ ๑



เรียงร้อยตัวอักษร สัญจรผ่านจดหมาย

“อารี ปรียา เดินทางปลอดภัยนะลูก”
เสียงแม่ตะโกนจากรั้วประตูหน้าบ้าน หลังแท็กซี่กำลังเคลื่อนออกจากรั้วบ้านอย่าง

ช้า ๆ แม่เปล่งน้ำเสียงออกมาอย่างนุ่มนวลเพื่อกำลังอวยพรอวยชัยให้แก้วตาดวงใจของ
ตนเดินทางอย่างปลอดภัย

อารี ปรียา เป็นพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกัน อารี เป็นพี่ชาย อายุย่างเข้า ๑๒ ปี ส่วน ปรียา
เป็นน้องสาว อายุครบ ๑๙ ปีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งสองเป็นพี่น้องที่สนิทสนม
กัน รักใคร่ห่วงใยกันเสมอมา แม้บางครั้งอาจจะมีทะเลาะกันบ้างตามประสาพี่น้อง
แต่ทั้งสองก็ระลึกถึงคำสอนของแม่ว่าเป็นพี่น้องกันต้องรักใคร่สามัคคีกันทำให้ทั้งสองมัก
จะคืนดีกันได้อย่างรวดเร็ว

อารีเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ทำให้อารีเป็นพี่ชายที่มีความคิดและทัศนะ
คติในการใช้ชีวิตที่ดีมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดีมีจิตใจดีเอื้อเฟื้ อเผื่อ
แผ่เหมือนชื่อเล่นของตน ที่ชื่อว่า อารี ซึ่งหมายถึง ความเอื้อเฟื้ อ มีใจเผื่อแผ่ เป็นชื่อที่คุณ
พ่อตั้งให้เพราะหวังว่าลูกชายของตนจะมีน้ำใจแบ่งปันผู้อื่นและมีความโอบอ้อมอารีต่อ
น้องสาวเหมือนดังชื่อที่พ่อตั้งให้

ส่วน ปรียา เป็นหญิงสาวที่เข้าสู่วัยรุ่นอย่างเต็มตัว อยู่ในวัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงใน
หลายๆด้านทั้งด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ปรียามักจะชอบลองทำสิ่งใหม่ ๆ เป็นผู้หญิง
ที่มักจะสนใจใคร่รู้ในหลายๆเรื่อง และปรียายังเป็นคนใจคิดเร็ว ทำเร็ว จนบางครั้งตัดสิน
ใจเร็วด้วยความใจร้อน ทำให้พี่ชายอารี มักจะห้ามและบอกให้คิดให้ดี ๆ
ก่อนตัดสินใจเสมอ โดยชื่อนี้ มาจากชื่อจริงของแม่ ที่ชื่อว่า สุปรียา แปลว่าที่รักยิ่ง และแม้
แม่จะนำเพียงสองพยางค์ท้ายของชื่อจริงแม่เหลือเพียงคำว่า ปรียา แต่ก็ยังสื่อความหมาย
ว่า ที่รัก ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งอารี และ ปรียาจึงเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของพ่อและแม่เป็น
แก้วตาดวงใจของท่าน



แท็กซี่วิ่งตัวเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) สอง
ข้างทางรายล้อมไปด้วยตึกสูงตั้งเป็นตระหง่าน อยู่ในย่านใจกลางเมือง ถัดไปอีกนิดก็เห็นห้าง
สรรพสินค้าชื่อดัง ขนาดใหญ่ เห็นผู้คนต่างเร่งรีบ บ้างรีบเดิน บ้างกำลังกุลีกุจอรอรถอย่างตั้ง
อกตั้งใจ คงคิดหวังในใจรอรถเมย์สายประจำให้รีบมา ผู้คนในเมืองนี้ใช้ชีวิตแข่งกับเวลา แม้
เทคโนโลยีจะพัฒนาไปก้าวไกลสักเพียงใด แต่ไม่สามารถเพิ่มเวลาให้มากไปกว่านี้ได้ ทำให้
ผู้คนในชุมชมเมืองต้องกระตุ้นตื่นตัวและบริหารเวลาให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในเมืองศิวิไลซ์
นี้

รถเคลื่อนตัว และค่อย ๆ ชะลอจอดที่หน้าสถานรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)
“ถึงแล้วครับ”
เสียงคนขับแท็กซี่บอกสองพี่น้องอารีปรียา เพื่อเป็นสัญญาณว่าได้พาทั้งสองมาถึงจุดหมาย
ปลางอย่างสมบูรณ์ หลังสิ้นเสียงดังกล่าว อารีค่อย ๆ หยิบธนบัตรสีแดงจำนวน ๑ ฉบับ
ธนบัตรสีฟ้า ๑ ฉบับ และธนบัตรสีเขียว อีก ๑ ฉบับ หยิบอย่างค่อย ๆ ออกจากกระเป๋าสตางค์
สีน้ำตาลที่แม่ซื้อให้เมื่อวันเกิดปีที่แล้ว ก่อนยื่นให้คนขับแท็กซี่เป็นค่าโดยสารในครั้งนี้
“ขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะ ”
อารีปรียากล่าวขอบคุณคนขับแท็กซี่อย่างนอบน้อม ก่อนจะช่วยกันขนของและแบกเป้คู่ใจ
ค่อย ๆ เดินเข้าไปยังสถานีรถไฟ
ทั้งสองรีบเดินพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อมองหาจุดจำหน่ายตั๋ว เห็นผู้คนมาก
หน้าหลายตากำลังหิ้วสัมภาระพลุงพลัง บ้างถือกระเป๋าใบใหญ่ บ้างสะพายกระเป๋าเป้
กวาดสายตาไปมาเห็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังถือของที่จะเอาไปขายอีกจังหวัดหนึ่งกำลังตั้งใจรอ
รถไฟอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนที่จะกวาดสายตาไปเห็นจุดจำหน่ายตั๋วซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับทางเดินไป
ชานชาลาที่ ๑๒ ทั้งสองรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าตั๋วเวลาที่ตั้งใจจะหมด เมื่อถึงจุด
จำหน่ายตั๋ว อารีบอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว
“ ผมซื้อตั๋วรถไฟไปสายใต้ จุดหมายปลายทางที่สถานีรถไฟหาดใหญ่จำนวน ๒ ใบครับ ”
พร้อมทั้งนำบัตรประจำประชาชนของตนและของปรียาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อซื้อตั๋ว ปรียามองดู
เจ้าหน้าที่ลงข้อมูลตั๋วที่ซื้อ และรู้สึกใจเต้นรัว ตื่นเต้นสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
“ตั๋วรถไฟ ๒ ใบ เรียบร้อยแล้วครับ ขึ้นรถเวลา ๑๔.๐๐ น. ขบวนที่ ๑๗๕ รอที่ชานชาลาที่
๙ สำหรับรถเดินทางไปสายใต้ได้เลยครับ ”
สิ้นเสียงพนังงานขายตั๋วกำลังชี้แจงบอกรายละเอียดพร้อมทั้งยื่นตั๋วให้กับอารีและปรียา
ทั้งสองรีบเดินไปรอที่ชานชาลาที่ ๙ และช่างโชคดีที่วันนี้ตั๋วขบวนดังกล่าวเหลือเพียง ๒ ที่นั่ง
เท่านั้น ทำให้ทั้งสองได้เดินทางตามที่วางแผนไว้

๑๐

ตื่อ ดือ ดื้อออ “ท่านผู้สารโปรดทราบ รถไฟขบวนที่ ๑๗๕ เดินทางรับส่งผู้โดยสารที่สถานี
กรุงเทพ(หัวลำโพง) ปลายทางสถานีรถไฟหาดใหญ่ ตอนนี้เข้าจอดเทียบที่ชาลาที่ ๙ ขอความ
กรุณาผู้โดยสารที่ขึ้นหรือลงโปรดระมัดระวัง พลาดพลั้งท่านอาจได้รับอันตรายจากรถ และขอ
ให้ผู้โดยสารทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ ” สิ้นสุดเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ อารี และ
ปรียา รีบมุ่งหน้าเดินไปยังชานชาลาที่ ๙

การเดินทางครั้งนี้ของทั้งสองพี่น้องเป็นการเดินทางที่สุดจะตื่นเต้น เนื่องจากเป็นทริปใน
ช่วงปิดเทอม ๒ ของทั้ง ๒ คน ที่จะเดินทางไปเยี่ยมคุณตาและคุณยายที่ภาคใต้ ในจังหวัดที่ขึ้น
ชื่อในเรื่องทะเลสาบสวย โบราณสถานมีคุณค่า ย่านเมืองเก่า และอาหารพื้นบ้านอร่อย นั่นคือ
จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของคุณแม่ โดยครั้งนี้จะทั้งสองจะเดินทางไปเยี่ยมคุณ
ตาและคุณยายด้วยตนเอง

ทั้งสองเดินเข้าไปยังที่นั่งตนเอง วางสัมภาระเรียบร้อยแล้วค่อย ๆ นั่งลงอย่างช้า ๆ สายตา
สอดส่องไปมาเห็นผู้ร่วมขบวนรถไฟในครั้งนี้มากมาย ทั้งคุณป้า คุณตา และ คุณยาย ที่นั่งอยู่
เก้าอี้ทางขวามือของตนกำลังจัดแจงสัมภาระให้เข้าที่ อีกทั้งหันไปเห็นคุณแม่กำลังอุ้มลูกน้อย
ค่อย ๆ จัดที่นั่งให้นั่งอย่างระมัดระวัง ทุกคนในขบวนนี้เชื่อว่ามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเดินทาง
ไปภาคใต้ ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง ๆ ได้เห็น วิถีชีวิต และสัมผัสบรรยากาศแห่งการเดินทางซึ่ง
ครั้งนี้นับว่าโชคดีมากที่ทสองพี่น้องว่างตรงกันและมีโอกาสเดินทางไปด้วยกัน ปรียาคิดใน
ใจ แล้วรถไฟขบวนนี้ก็ค่อย ๆ เดินทางมุ่งหน้าสู่ภาคใต้

เมื่อผ่านพ้นพื้นที่เขตชุมชนเมือง ก็ได้สัมผัสกับ
ทิวทัศน์ข้างทางรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ ทั้งท้อง
ทุ่งนาที่เขียวขจี ไกลสุดตา มองเห็นนกกระยางกำลัง
หาอาหาร ใช้จงอยปากค่อย ๆ ก้มไปจับปลาในทุ่งนา
ชาวนากำลังใช้รถเกี่ยวข้าวกันอย่างรีบเร่งท่ามกลาง
แสงแดดจ้ากำลังส่องมายังปลายทุ่งนา สายลมที่พัด
ผ่าน ส่งผลให้กอข้าวเคลื่อนไหวไปมา คล้ายกำลัง
เต้นระบำอยู่บนเวที ช่างเป็นบรรยากาศที่ยากจะ
สัมผัสได้ภายในเมือง ก่อนที่แสงตะวันจะค่อย ๆ ลด
ดับแสงลง เสมือนบอกว่าตนทำหน้าที่สมบูรณ์แล้วใน
วันนี้ และมีพระจันทร์เข้ามาแทนที่ก่อนที่ดวงดาวหลายร้อยหลายพันล้านดวง ค่อย ๆ เปล่ง
แสงจรัสแข่งกัน คล้ายกำลังจะส่งเสียงบอกว่า ถึงเวลาค่ำคืน
พระจันทร์ส่องแสงแข่งกับแสงของดวงดาวที่กำลังกระพริบไปมา บรรยากาศเริ่มเย็นตัวลง
น้ำค้างเกาะยอดบนยอดหญ้า สายลมพัดผ่านเป็นระยะ จิ้งหรีดเรไรร้องส่งเสียงแข่งกับเสียงล้อ
รถไฟที่กระทบกับรางเหล็ก สองพี่น้องกำลังนั่งพูดคุย และตื่นเต้นกับการจะได้เจอคุณตาคุณ
ยายในรอบสองปี เนื่องจากก่อนหน้านี้มีสถาการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดจึงต้องเว้น
ระยะห่าง จนตอนนี้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้น สองพี่น้องจึงได้โอกาสมาเยี่ยมเยียนคุณตาคุณ
ยายที่สงขลา

๑๑

นั่งรถไปสักพัก พ่อค้าแม่ค้าขึ้นมาขายของ มีของกินมากมายทั้งข้าวเหนียว ไก่ย่าง ลูก
ชิ้นปิ้ ง หมี่ผัดกะทิ ผลไม้หวาน ๆ อีกทั้งสะตอ เสียงพ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงออดอ้อน ชวนให้
ลูกค้ามาซื้อ ช่างเป็นสีสันให้แก่ขบวนรถไฟขบวนนี้

นาฬิกาบอกเวลา ๒๒.๐๐ อารีค่อย ๆ ปรับที่นั่งจากเก้าอี้ มาต่อติดกันเป็นเตียงนอน
ส่วนปรียาปลดเหล็กแบน ๆ ที่พับอยู่ในสภาพที่แข็งแรง ออกอย่างช้า ๆ เพื่อปรับเป็นเตียง
ก่อนที่ทั้งสองค่อย ๆ ปิดม่านแล้วเข้านอน

รถไฟขบวน ๑๗๕ ยังค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ธรรมชาติข้างทางเปลี่ยนไปตามวิถีชีวิต
ของคนแต่ละจังหวัด ช่างงดงามและมีความหลากหลาย

๙.๐๕ น. เสียงประกาศจากสถานีรถไฟดังก้อง “ขณะนี้ผู้โดยสารถึงสถานีปลายทางชุม
ทางหาดใหญ่ ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเก็บสัมภาระและตรวจสอบให้เรียบร้อย ก่อนเดินลง
จากรถอย่างระมัดระวัง” เสียงเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ ประกาศ คนบนขบวนรถต่างตื่นตัวรีบ
จัดเตรียม เก็บของลงจากรถกันอย่างรวดเร็ว

สองพี่น้องอารีและปรียา เดินลงจากรถไฟ สัมผัสบรรยากาศของอำเภอหาดใหญ่ จังหวัด
สงขลา ก่อนเดินไปขึ้นรถตู้ที่บริเวณหน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ เพื่อเดินทางไปยังบ้านคุณตา
และคุณยาย ในตัวอำเภอสงขลา

รถตู้เคลื่อนตัวออกจากหน้าหอนาฬิกา ก่อนมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองสงขลา ใช้เวลา
ประมาณ ๓๕ นาทีเข้าสู่อำเภอเมือง แล้วต่อตุ๊ก ๆ ซี่งเป็นรถโดยสารท้องถิ่นที่นี่เข้าไปตาม
ถนนพัทลุง มุ่งหน้าสู่ อำเภอบ่อยาง

ตุ้ก ๆ ค่อย ๆ ชะลอจอดเป็นสัญญาณบอกว่าถึงจุดหมาย คุณตาคุณยายกำลังยืนรอ
รับหลานทั้งสองคนอย่างดีใจ หลานทั้งสองค่อย ๆ ลงจากรถตุ้ก ๆ จ่ายค่าโดยสารให้คุณลุง
ขับตุ๊ก ๆ ๒๐ บาท พร้อมกล่าวขอบคุณ แล้วรีบเดินเข้ามาสวมกอดคุณตาคุณยาย ภาพที่เห็น
ตรงหน้าสองตายายและหลานรักกำลังเข้าสวดกอดกันอย่างชื่นใจ หลังจากไม่ได้เจอกันมา
นานเกือบ ๒ ปี ทั้งตายายและหลานต่างตื่นเต้นไม่ต่างกันที่จะได้เจอกันในครั้งนี้ ยายรีบพาห
ลานเข้าไปด้านใน เปิดประตูบ้านซึ่งเป็นประตูไม้เก่า ๆ ให้หลานเดินเข้าไปก่อน พร้อมช่วย
จัดวางสัมภาระที่หลานทั้งสองคนพามา “เอาวางไว้ ที่โซฟาก่อนเถอะจ้ะหลาน นั่งพักให้
หายเหนื่อย นั่งรถมานาน ๆ ดื่มน้ำให้ชื่นใจก่อนสิจ้ะ” ยายบอกหลานพร้อมทั้งนำกระเป๋า
ของอารีและปรียาวางให้เป็นระเบียบ ซึ่งแม้หลานของตนจะเติบโตเป็นหนุ่มสาวกันหมดแล้ว
แต่คุณยายก็ยังมองว่าหลานของตนยังเป็นเด็กในสายตาของตนเสมอ

๑๒

ระหว่างหลานทั้งสองคนกำลังเข้าไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นคุณตาซึ่งพยายายามสอย
มะม่วงแก้มแดงอยู่หน้าบ้าน ไว้กินกับน้ำปลาหวานจัดเตรียมไว้ต้อนรับหลานรัก ส่วนในครัว
คุณยายก็กำลังจัดเตรียมข้าวปลาอาหารไว้มากมายสำหรับมื้อเย็นวันนี้ มีทั้ง ข้าวสตูหมูร้าน
ประจำ แกงส้มกุ้ง ไข่เจียวร้อน ๆ จัดเตรียมไว้รอหลานพร้อมกับมะม่วงแก้มแดงที่คุณตา
กำลังสอยอยู่หน้าบ้านกินคู่กับน้ำปลาหวานสูตรเด็ดของคุณยาย ซึ่งมื้อนี้นับว่าเป็นมื้อแห่ง
ความสุขและมื้อแห่งการได้พบเจอหลานซึ่งเป็นที่รักของตน

หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารมื้อเน็นกันเรียบร้อย อารีและปรียาก็ชมฝีมือคุณตา
คุณยายยังไม่หยุดว่าฝีมือยังอร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน “แกงส้มกุ้งกับไข่เจียวยังอร่อย
แบบที่เคยกินตอนเด็ก ๆ เลยค่ะคุณยาย” ปรียาเอ่ยพูดชมคุณยาย ทำเอาคุณยายยิ้มไม่หยุด
พร้อมลูบหัวหลายเบาๆ อย่างเอ็นดู

อารีและปรียาช่วยกันล้างจานและทำความสะอาดโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้วก็ค่อย ๆ
เดินไปนั่งข้าง ๆ คุณยายที่เก้าอี้ไม้สัก โดยมีคุณตานั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ตัวโปรดอยู่ใกล้ ๆ
ตายายและหลานทั้งสองต่างพูดคุยกันตามประสา ถามสารทุกข์สุขดิบกัน หัวเราะร่ากัน
สบายใจ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข และสร้างเสียงหัวเราะให้แก่บ้านหลังนี้ให้มีชีวิตชีวา
อีกครั้ง

พูดคุยกันไปหลายประเด็นอารี
ก็เกิดความสงสัยจนนำเข้าไปสู่เรื่อง
ความทรงจำของคุณตาและคุณยาย
ที่พบกันในสมัยก่อน“คุณตาและ
คุณยายครับเมื่อก่อนคุณตาและ
คุณยายเจอกันได้อย่างไรละครับ ”
อารีถามคุณตาคุณยายด้วย
ความสงสัย “นั่นสิคะคุณยาย เมื่อก่อนเทคโนโลยีก็ไม่ได้เจริญเท่านี้ การติดต่อสื่อสาร ก็ยาก
ลำบาก คุณตาคุณยายทำยังไงเหรอคะ คงคิดถึงกันมากเลยสิคะ” ปรียาเสริมคำถาม
ความสงสัยใคร่รู้ให้อารีแถมแซวคุณตาคุณยายให้เป็นสีสีนแห่งการสนทนาในครั้งนี้
คุณตาเห็นหลานต่างสงสัยกันเลยเอ่ยบอกว่า “ถ้าหากอยากรู้ก็ลองให้คุณยายเล่าดูสิ”
พร้อมส่งสายตาไปทางที่คุณยายและรอยยิ้มหวาน ๆ เป็นการส่งบอกขอร้องให้คุณยายเล่า
ให้หลานฟัง คุณยายเห็นดังนั้นก็พร้อมตอบรับตามข้อเสนอของคุณหลาน “ ถ้าหลานรักของ
ยายทั้งสองอยากฟังเกี่ยวกับความทรงจำในอดีตของการพบเจอกันกับคุณตา คุณยายก็จะ
เล่าให้ฟัง” อารี และปรียา เมื่อได้ยินคำตอบรับจากคุณยายก็ดีใจกันใหญ่ ต่างเอาหมอนกัน
คนละใบขยับไปนอนฟังใกล้ ๆ คุณยายอย่างตั้งใจ โดยมีคุณตานั่งฟังอยู่ข้าง ๆ

๑๓

ภาพบรรยากาศความอบอุ่นของสองตายายหลานก็กลับมาอีกครั้ง กับความรู้สึกอบอุ่น
การพูดคุย เสียงเราะที่ออกมาจากจิตใจแห่งความสุข ของสองตายายและหลานรักทั้งสอง
ของตน ที่เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแต่หวนคิดถึงคุณตาคุณยายและนาน ๆ ครั้งจะได้มีโอกาส
ดี ๆ อยู่ร่วมกันแบบนี้ ในห้องรับแขกตอนนี้ช่างอบอวลและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
และแววตาที่เป็นประกายของสองหลานรักที่กำลังตั้งใจฟังคุณยายเล่าเรื่อง

คุณยายหยิบหมากที่ตำไว้เรียบร้อยแล้วเคี้ยวไปมาในปาก รอยยิ้มที่ส่งมอบให้หลาน
และปากที่แดงด้วยสีของน้ำหมากช่างดูอ่อนโยนและมีเสน่ห์ไปอีกแบบคุณยายเคี้ยวหมากไป
ได้ที่แล้วเริ่มเล่าความทรงจำในอดีตที่ได้พบเจอกับคุณตา

สมัยคุณยายกับคุณตายังเป็นยุคที่เทคโนโลยียังไม่เจริญเทียบเท่าทุกวันนี้ ย้อนเวลา
กลับไปเมือ พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นยุคที่บ้านเมืองยังไม่เจริญ โทรทัศน์ยังคงเป็นภาพสีขาวดำ มิใช่
ภาพสีสดใสอย่างเช่นทุกวันนี้ จะดูหนังฟังข่าวแต่ละครั้งก็ต้องหมุนเสาอากาศไปมากันหลาย
รอบเพื่อหาสัญญาณ โทรศัพท์ก็ไม่มีให้ติดต่อโทรหากันสะดวกอย่างทุกวันนี้ คุณยายก็ต้อง
ส่งจดหมายไปมาหาสู่กัน จดหมายแต่ละฉบับกว่าจะถึงก็ใช้เวลาเกือบเดือน นับว่าต้องอดทน
และตั้งใจรออย่างมาก ทำให้เมื่อได้รับจดหมายแต่ละครั้ง นับว่าเป็นบทสนทนาที่มีคุณค่า

ผู้ส่งเขียนด้วยความตั้งใจส่วนผู้รับอ่านด้วยความห่วงใยช่างเป็นอะไรที่คลาสสิกและเป็น
ความทรงจำที่ดี

ระหว่างที่คุณยายหยุดเล่าไปชั่วครู่ เพราะกำลังเอาหมากที่ตำไว้ใส่เข้าไปในปากเพิ่ม
ปรียาก็เอ่ยถามคำถามคุณยาย“แล้วจุดเริ่มต้นของคุณตาและคุณยายเจอกันที่ไหนคะ”
คุณยายได้ยินคำถามที่ถามออกมาก็ยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องต่อ

“คุณยายกับคุณตาได้เจอกันที่มหาวิทยาลัยศิลปากร คุณยายเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์
ส่วนคุณตาเรียนคณะดุริยางคศาสตร์ ซึ่งทั้งคุณตาและคุณยายเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ได้พบ
เจอกันบ่อยจากการทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยจ้ะ” คุณยายเล่าพลางพร้อมส่งสายตาอัน
อ่อนโยนไปทางคุณตา โดยมีหลานทั้งสองกำลังยิ้มกับความน่ารักของสองตายาย แล้วคุณ
ยายจึงเริ่มเล่าต่อ “ เมื่อเรียนจบคุณตาและคุณยายก็ต้องแยกย้ายกันทำงาน และจัดพิธีการ
แต่งงานตามประเพณี ก่อนที่ภายหลังคุณตาต้องไปทำงานที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นจังหวัดใกล้
เคียงกับสงขลาส่วนคุณยายก็เป็นล่ามแปลภาษาให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในตัวเมือง
สงขลา ”

๑๔

เมื่อถึงตอนนี้ อารีก็เอ๋ยถามคุณยาย “ คุณยายครับแล้วช่วงที่คุณตากับคุณยายอยู่
คนละที่กันแล้วจะติดต่อกันด้วยวิธีใดได้บ้างครับ ” คุณยายได้ยินคำถามจากอารีก็เริ่มเล่าต่อ
“ คุณยายและคุณตาติดต่อกันด้วยวิธีส่งจดหมาย แม้สมัยนั้นจะมีโทรศัพท์แต่ราคาแพงมาก
และเครื่องใหญ่ซึ่งคุณตาและคุณยายไม่มีเงินมากพอจะซื้อโทรศัพท์จึงใช้วิธีส่งจดหมายหา
กันแม้จะใช้เวลานานหลายวันแต่ก็ดีกว่าที่ไม่ได้พูดคุยหรือสนทนาถามสารทุกข์สุขดิบกัน
จ้ะ” คุณยายพูดเสร็จก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นไปเปิดตู้ไม้สักที่เคลือบเงาแวววับจากการขัดอยู่เสมอ
แล้วหยิบกล่องเหล็กกล่องหนึ่งแล้วค่อย ๆ เปิดอย่างพิถีพิถัน ภายในเต็มไปด้วยจดหมายที่
คุณตาและคุณยายส่งหากัน หลานทั้งสองต่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นจดหมายซึ่งเป็นตัวแทนของ
ความทรงจำของท่านทั้งสองคนที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงตอนนี้

คุณยายค่อย ๆ เปิดจดหมายฉบับแรกอย่างระมัดระวัง ภายในจดหมายเขียนด้วยตัว
บรรจงสวยงาม แล้วอ่านให้หลานฟัง

จดหมายฉบับที่ ๑

วันอังคารที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๐๘
คุณสร้อยใจที่รัก

สวัสดีสร้อยใจ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่
สบายดีไหมครับ ส่วนผมตอนนี้งานเยอะมากเลยครับ สัปดาห์หน้าต้อง
ไปดูงานการแสดงดนตรีที่ต่างจังหวัด ผมเป็นห่วงคุณมาก ๆ ดูแล
สุขภาพและพักผ่อนให้เพียงพอนะครับ

ด้วยรักและห่วงใย
โชคดี

เมื่อคุณยายอ่านจดหมายฉบับแรกจบหลาน
ทั้งสองแอบหันไปเห็นคุณตาอมยิ้มคงจะหวน
คิดถึงวันเก่า ๆ ของตน ส่วนคุณยายก็หันไปยิ้มให้
กับหลาน ๆ ก่อนจะเริ่มอ่านฉบับที่ ๒

๑๕

จดหมายฉบับที่ ๒

วันจันทร์ที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๐๘
คุณโชคดีที่รัก

สวัสดีค่ะคุณโชคดี ฉันสบายดีค่ะ คุณพ่อและคุณแม่ก็สบายดี
สุขภาพของท่านดีขึ้นมากกว่าเดิม เพราะดิฉันได้พาท่านไปเดินออก
กำลังกายอยู่เสมอ ส่วนฉันงานก็เริ่มเยอะมากขึ้น ทางสำนักพิมพ์ได้มี
นวนิยายแปลจำนวนมาก ช่วงนี้เลยวุ่นอยู่กับการแปลงานค่ะ ส่วนคุณ
ดูแลสุขภาพดี ๆ นะคะ เป็นห่วงเสมอค่ะ

วันนี้ดิฉันไปดูการแสดงร้องเพลงที่ถนนนางงามมาค่ะ และได้
แวะไปทำบุญและไหว้พระที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองวันนี้ถนนนางงาม
เต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนสุดถนนตลอดทั้งสายเลยค่ะ ฉันหวังว่าเมื่อ
คุณได้กลับมาสงขลาจะได้มีโอกาสไปเที่ยวชมงานที่ถนนนางงามด้วย
กันนะคะ คิดถึงเสมอค่ะ

ด้วยรักและคิดถึง
สร้อยใจ

จดหมายฉบับที่ ๓

วันศุกร์ ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘
คุณสร้อยใจที่รัก

สวัสดีครับสร้อยใจ ผมคิดถึงคุณมากนะครับ ผมอ่านจดหมายที่คุณ
ตอบกลับมาอย่างมีความสุขแอบยิ้มตามไปด้วยที่คุณได้เที่ยวในงาน
เทศกาลของจังหวัดสงขลา ซึ่งผมก็หวังอย่างที่คุณกล่าวว่าถ้ามีวันหยุด
ตรงกับงานที่สงขลาผมจะได้มีโอกาศไปเที่ยวด้วยกันแล้วช่วงนี้คุณ
เป็นอย่างไรบ้างครับ อาการปวดไหล่ยังมีอีกไหม ผมเป็นคุณห่วงคุณ
นะครับ ถ้าหากนั่งทำงานนาน ๆ คุณอย่าลืมพักผ่อนร่างกายและ
สายตาบ้างนะครับ ส่วนผมช่วงนี้ได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดพระนอน
ทำบุญแล้วรู้สึกจิตใจสงบ ลดความเครียดไปได้ชั่วขณะ ผมคิดถึงคุณ
เสมอนะครับ

ด้วยรักและคิดถึง
โชคดี

๑๖

เมื่อคุณยายอ่านจดหมายฉบับที่ ๓ จบ หลาน ๆ และคุณตาต่างพากันยิ้มแย้มและแซว
กันไปมา ที่ท่านทั้งสองต่างมีความสุภาพ เป็นห่วงกันเสมอ แม้ระยะทางจะไกลสักเพียงใด
และการติดต่อสื่อสารจะใช้เวลานานแค่ไหนแต่ด้วยความรักและความอดรอของทั้งสองท่าน
ก็ทำให้เห็นถึงความรักที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน

คุณยายจึงเริ่มเปิดจดหมายฉบับที่ ๔ อย่างค่อย ๆ แล้วอ่านด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะและ
สีหน้าที่เบิกบาน

จดหมายฉบับที่ ๔

วันเสาร์ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘
คุณโชคดีที่รัก

สวัสดีค่ะคุณโชคดี ดิฉันคิดถึงคุณมากนะคะ ดิฉันสบายดี ดิฉันเป็น
ห่วงคุณนะคะ ถ้าหากงานเยอะค่อย ๆ สะสางไปทีละงาน อย่าหักโหม
จนเกินพอดีนะคะดิฉันได้เห็นคุณได้มีเวลาว่างดิฉันก็สบายใจค่ะ
เพราะเกรงว่าคุณจะทำงานจนพักผ่อนไม่เพียงพอ วันนี้ดิฉันว่างจาก
แปลงานส่งบรรณาธิการ ดิฉันได้พาคุณพ่อและคุณแม่ไปยังโรงสีข้าว
หับโห้หิ้นซึ่งได้ไปดูจำนวนข้าวในคลังที่ได้นำไปสีที่โรงสีวันนี้โชคดี
ระหว่างที่อยู่โรงสีข้าวหับโห้หิ้นได้เจอเพื่อนเก่าของคุณแม่สมัยเรียน
โรงเรียนมัธยมด้วยกัน ทำให้ท่านได้พูดคุยกับเพื่อนอย่างสบายใจ ดิฉัน
เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้เลยค่ะท่านบ่นคิดถึงคุณอยู่ด้วยนะคะแล้วคุณ
พ่อคุณแม่ของคุณเป็นอย่างไรบ้างคะช่วงนี้ดิฉันขอให้ท่านทั้งสองมี
สุขภาพแข็งแรงนะคะคุณหวังว่าสงกรานต์นี้เราจะได้มาทำบุญร่วมกัน
นะคะ

ด้วยรักและคิดถึง
สร้อยใจ

๑๗

เมื่อสิ้นเสียงคุณยายอ่านจดหมายฉบับที่ ๔ จบ ปรียาก็ได้ถามคุณยายเกี่ยวกับ
โรงสีข้าวหับโห้หิ้นเพราะฟังชื่อแล้วดูน่าสนใจ คุณยายเลยเล่าว่า โรงสีข้าวหับโห้หิ้นนี้
อยู่ คู่เมืองบ่อยางมานานหลายปีซึ่งคำว่าหับโห้หิ้นนั้นเป็นภาษาฮกเกี้ยนหมายถึง
ความสามัคคี ความกลมเกลียว ความเจริญรุ่งเรือง และชาวบ้านมักจะเรียกว่า โรงสี
แดง เพราะตัวโรงสีจะมีสีแดงทั้งหลังจ้ะ ยายเล่าจบหลานต่างรู้สึกตื่นเต้นกับสถานที่
ต่าง ๆ ที่มีตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังหลงเหลือให้เห็นอยู่ แล้วยายก็ค่อย ๆ บรรจงเปิด
จดหมายฉบับที่ ๕ ซึ่งเป็นจดหมายที่คุณตาส่งมาหา

จดหมายฉบับที่ ๕

วันศุกร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๐๘
คุณสร้อยใจที่รัก

สวัสดีครับสร้อยใจ ผมได้อ่านจดหมายที่คุณส่งมาหาผมยิ้มมีความ
สุขตามเลยครับ ที่คุณแม่ได้เจอเพื่อน ๆ เก่า คงทำให้ท่านได้มีความสุข
ที่ได้เจอและพูดคุยกับเพื่อนๆเก่าของท่านส่วนพ่อและแม่ของผม ท่าน
ทั้งสองสบายดีครับ วันก่อนผมได้พาไปออกกำลังกายที่สวนสุขภาพใน
หมู่บ้าน ท่านดูชอบใจและได้เจอเพื่อนวัยเดียวกันกับท่านผมเห็นท่าน
มีความสุขผมก็มีความสุขตามครับ ส่วนปลายเดือนหน้าผมมีข่าวดีจะ
บอกครับ วันหยุดยาววันสงกรานต์นี้ ตรงกับช่วงที่ผมหยุดงานพอดีผม
และพ่อแม่ของผมจะไปทำบุญร่วมกันกับที่บ้านคุณนะครับพ่อและแม่
ผมท่านนับวันรอที่จะได้ไปเที่ยวเมืองสงขลา และคุณอย่าลืมพาผมไป
ลองทานขนมการอจี้และไอศครีมยิวที่ถนนนางงาม ด้วยละครับ ผมจำ
ได้นะครับเป็นเมนูแรกที่ผมได้ลองทานสมัยที่ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณ
แม่คุณสร้อยใจ ผมคิดถึงคุณมาก ๆ นะครับ

ด้วยรักและคิดถึง
โชคดี

๑๘

เมื่อคุณยายอ่านจะหมายฉบับนี้จบ ทุกคนต่างหันไปที่คุณตา ซึ่งเห็นคุณตากำลัง
อมยิ้มที่ครั้งหนึ่งเคยมีความโรแมนติกให้คุณยาย ทำเอาคุณยายหวนคิดถึงความทรง
จำในยุคก่อนที่แม้นจะติดต่อกันยาก แต่ทุกคนก็สื่อสารกันด้วยความตั้งใจ เป็นความ
คิดถึงจากใจจริง ๆ

เมื่อทุกคนพากันแซวถึงความน่ารักของคุณตาที่ใส่ใจคุณยายเสมอ ทุกคนก็เริ่ม
จะอยากให้คุณยายเปิดจดหมายอีกฉบับอ่าน ซึ่งเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่นะเปิด
อ่านให้ฟังในค่ำคืนนี้

จดหมายฉบับที่ ๖

วันเสาร์ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๐๘
คุณโชคดีที่รัก
สวัสดีค่ะคุณโชคดี ดิฉันดีใจมากเลยนะคะที่คุณได้หยุดงานในช่วงวัน
สงกรานต์ และดีใจที่คุณพ่อและคุณแม่ได้มาทำบุญสงกรานต์ด้วยกัน
ท่านจะได้เจอกับพ่อแม่ฉัน คงจะหายคิดถึงกันเลย และดิฉันจะพาคุณ
และคุณพ่อคุณแม่ไปทานการอจี้และไอศกรีมยิวตามสัญญาค่ะ ยังคง
อร่อยเสมอค่ะฉันจะรอเจอคุณและครอบครัวนะคะ วันนี้ฉันพาหัวหน้า
งานไปเที่ยวชมกำแพงเมืองเก่า และเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ระ
แวกนั้น ก่อนจะปิดงานแปลนวนิยายเล่มล่าสุดค่ะ แล้วคุณละคะช่วงนี้
เป็นอย่างไรบ้างคิดถึงคุณเสมอนะคะสงกรานต์นี้รอไปทำบุญที่
วัดกลาง (วัดมัชฌิมาวาส)ด้วยกันค่ะ

ด้วยรักและคิดถึง
สร้อยใจ

๑๙

หลังจากที่คุณยายอ่านจดหมายฉบับที่ ๖ จบ ทุกคนต่างปรบมือให้แสดงความ
ยินดีต่อความรัก ความซื่อสัตย์ของคุณตาและคุณยาย ที่ความรักของท่านต้องแยก
กันเนื่องจากที่ทำงานอยู่คนละจังหวัด

“คุณยายทำงานอยู่สำนักพิมพ์ใกล้บ้านส่วนคุณตาทำงานอยู่อีกจังหวัด ซึ่งหนู
เห็นถึงความรักที่มั่นคงของคุณตาและคุณยาย อีกทั้งเป็นความรักที่บริสุทธิ์ด้วยค่ะ ”
ปรียากล่าวชื่นชมในความรักของคุณและคุณยายและคุณยายได้สอนเกี่ยวกับการมีคู่
ชีวิตที่ดีถ้าหากเราปฏิบัติดีต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน รักกันด้วยใจจริง ก็ย่อมจะ
ครองชีวิตคู่ได้ยาวนานอย่างเช่นคุณตาและคุณยาย นี่ไงจ้ะ

หลานทั้งสองต่างตอบรับด้วยรอยยิ้มและประทับใจกับความรักและเรื่องราว
ของคุณตาคุณยายในสมัยอดีต ไม่คิดว่าการที่ได้มาเยี่ยมคุณตาคุณยายในครั้งนี้ยังได้
ฟังเรื่องราวที่เป็นความทรงจำที่ดีและได้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารด้วย
จดหมายว่ามีคุณค่าทางจิตใจและความรู้สึกเนื่องจากต้องใช้เวลานานหลายวันกว่า
จะได้สื่อสารพูดคุยกันซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่ติดต่อกันสะดวกเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่
เจริญก้าวหน้าไปตามกาลเวลา ซึ่งทุกยุคทุกสมัยย่อมพัฒนาไปตามเวลาและมีคุณค่า
ในแต่ละสมัยนั้น

“ ราตรีสวัสดิ์นะอารีและปรียาหลานรัก” เสียงคุณตาและคุณยายบอกหลาน
ก่อนเข้านอนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวล

“ราตรีสวัสดิ์ครับ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณตาคุณยาย ” อารีและปรียากล่าวตอบ
คุณตาและคุณยายพร้อมกันแล้วค่อย ๆ เข้าไปสวมกอดคุณตาคุณยาย ก่อนที่
จะแยกย้ายกันไปยังห้องนอน

๒๐

ช่างเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีและโอกาสที่ดีที่อารีและปรียาได้มาเยี่ยมคุณตาและ
คุณยายในครั้งนี้และแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านอน

บ้านสวนแห่งความสุขของคุณตาโชคดีและคุณยายสร้อยใจในค่ำคืนนี้เป็นบ้าน
ที่อบอวลไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม ทำให้บ้านหลังนี้กลับมามีสีสัน
และบรรยากาศแห่งความสุขอีกครั้ง

แสงไฟในบ้านค่อย ๆ ปิดดับลง
ราตรีสวัสดิ์

๒๑

เล่าเรื่องเมืองบ่อยาง

ถนนนางงาม
วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง)
โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น

บ้านนครใน

กำแพงเมืองเก่าสงขลา

๒๒

เล่าเรื่องเมืองบ่อยาง

ข้าวสตู สงขลา
เต้าคั่ว

ขนมการอจี้
ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน

ไอติมยิว

๒๓

ถนนนางงาม

ถนนนางงาม หรือถนนเก้าห้องจังหวัดสงขลาโดยเฉพาะ
"ถนนนางงาม" ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่าในจังหวัดสงขลา คู่กับย่าน
เมืองเก่าอีก ๒ สาย คือถนนนครนอก และถนนนครใน ถนนทั้ง ๓
สายมีห้องแถวไม้แบบจีน ตึกคลาสสิกสไตล์ "ชิโน-โปรตุกีส" และ
ยังเป็นถนนที่มีขนมอร่อย ๆ ทั้งของไทย จีน ฝรั่ง

ถนนเก้าห้อง เป็นชื่อดั้งเดิมของถนนนางงามซึ่งตั้งมาตั้งแต่ปี ๒๓๗๕ ครั้งตั้ง
หลักเมืองสงขลาใหม่ๆ หลังย้ายเมืองสงขลาจากฝั่ งแหลมสนมายังฝั่ งตะวันออก
(บ่อยาง)ที่ได้ชื่อ เก้าห้องเนื่องจากถนนสายนี้มีบ้านอยู่ ๙ คูหา และได้เปลี่ยนชื่อจาก
ถนนเก้าห้อง มาเป็นถนนนางงาม สาเหตุเพราะ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อปี ๒๔๗๕ ได้มีการเฉลิมฉลอง

และมีการประกวดนางงามสงขลาขึ้นเป็นครั้ง
แรก เมื่อปี ๒๔๗๘ ปรากฏว่าสาวงามจากถนน
เก้าห้อง ชื่อ นงเยาว์ (แดง) โพธิสาร สกุลเดิม
บุญยศิวะ ลูกนายฮ่อง นางหั้ว บุญยศิวะ ได้รับ
คัดเลือกให้เป็นนางงามสงขลาคนแรกสมรสกับ
ครูถ้อง หรือครูสหัส โพธิสาร นับแต่นั้นมาคน
สงขลาก็เรียกถนนสายนี้ว่า “ถนนนางงาม
ปัจจุบันถนนนางงามเป็นถนนเส้นที่มีความคึกคัก แต่ละวันมี
นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวจำนวนมากเนื่องจากมีภาพวาด
บริเวณฝาผนังอาคาร ที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนเมืองสงขลา
อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยร้านอาหารพื้นเมืองทำให้ถนนนี้เส้น
ที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี

๒๔

วัดมัชฌิมาวาส
(วัดกลาง)

ที่มา : https://www.songkhla-ht.org/content/10842/

วัดมัชฌิมาวาสเป็นวัดสำคัญและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเมืองเก่าสงขลา
สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมชื่อ วัดยายศรีจันทร์ตามชื่อคหบดีที่เป็นผู้สร้างวัดนี้
แต่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า วัดกลาง เพราะมีการสร้างวัดเลียบทางทิศเหนือ และวัดโพธิ์
ทางทิศใต้ และเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาบาลีว่า "วัดมัชฌิมาวาส" โดยพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เมื่อครั้งเสด็จเมืองสงขลา พ.ศ.๒๔๓๑ จนกระทั่งในปี
พ.ศ.๒๔๖๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมให้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร

วัดแห่งนี้เป็นแหล่งที่รวมของงานศิลปะมากมายทั้งด้านสถาปัตยกรรม
ประติมากรรมและจิตรกรรมโดยแสดงให้เห็นถึงความผสมผสานของวิถีชีวิตวัฒนธรรม
ของผู้คนต่างวัฒนธรรมซึ่งอยู่ร่วมกันมาด้วยดีแต่ครั้งโบราณกาลคือคนไทย จีนและฝรั่ง
ที่เคยเข้ามาทำการค้าในสมัยนั้น

นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมัชฌิมาวาสเป็นพิพิธภัณฑสถานที่เกิด
ขึ้นจากความใส่ใจและสนใจในการรักษาเอกลักษณ์อันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมของ
ท้องถิ่น

๒๕

ศาลเจ้าหลักเมืองสงขลา

ที่มา : https://www.museumthailand.com/th/2778/

"ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมีนัยยะสำคัญต่อ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตั้งอยู่ที่ถนนนางงาม
ชุมชนจีนสงขลา เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยว ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัด
จิตใจ ภายในประดิษฐานเสาหลักเมือง สงขลา เป็นโบราณสถานในสมัยรัตนโกสินทร์
และพระหลักเมือง ตลอดจนเทพเจ้าตาม ลักษณะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีนสร้างขึ้นใน
คติความเชื่อของคนจีน" สมัยพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา)
เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ภายในศาล
(วิทยานิพนธ์ของเตชธร ตันรัตนพงศ์) จะประดิษฐานหลักเมืองที่ทำจากไม้ชัยพฤกษ์
ดังนั้น ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจึงเป็นศูนย์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
รวมความเชื่อของทั้งคนจีนและคนไทยใน ทรงพระราชทานให้ประจำเมืองโดยหลักเมือง
จังหวัดสงขลา นี้ทำพิธีฝังไปเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ปีพ.ศ.
๒๓๘๕

วิดีโอเพิ่มเติม

๒๖

โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น

ที่มา : https://www.songkhla-ht.org/content/7123

ยุคเริ่มต้น โรงสีแดง หับ โห้ หิ้น สร้างโดยขุนราชกิจการี (จุ้นเลี่ยง ลิ่มเสาวพฤกษ์)
เป็นโรงสีข้าวใช้เครื่องจักรไอน้ำขนาดใหญ่ มีปล่องไฟสูง ๓๔ เมตร สร้างตามมาตรฐาน
ประเทศอังกฤษ ชื่อ หับ โห้ หิ้น เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึง ความสามัคคี ความกลมกลืน
และความเจริญรุ่งเรือง เริ่มดำเนินกิจการในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ มีนายสุชาติ รัตนปราการ
เป็นผู้จัดการ เป็นยุคที่การค้าข้าวในลุ่มทะเลสาบสงขลารุ่งเรืองที่สุด ดำเนินกิจการสีข้าว
ตลอด ๒๔ ชั่วโมง

ยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. ๒๔๘๔ ครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพเรือ

ญี่ปุ่นได้บุกยึดเมืองสงขลา และยึดโรงสีเป็นคลังเก็บเวชภัณฑ์

ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่การเรียนรู้ หลังจากสงครามยุติมีการปรับปรุงพื้นที่โรงสี

เพื่อใช้เป็นท่าเทียบเรือด่วนรับส่งผู้โดยสารระหว่าง อ.ระโนด และ อ. เมืองสงขลาปรับปรุง

อาคารด้านทิศใต้เป็นโรงผลิตน้ำแข็งขนาดเล็ก

ระยะนั้นได้เกิดกิจการโรงสีข้าวขนาดเล็กเกิดขึ้นในชุมชน ทำให้ปริมาณข้าวเปลือก

ที่เข้ามาป้อนโรงสีลดน้อยลงจนโรงสีแดงต้องยกเลิกกิจการและได้แปรสภาพเป็นโกดัง

ยางพาราสำหรับขนส่งต่อด้วยเรือลำเลียงไปยังเรือเดินสมุทร
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ร่วมกับภาคีคนรักเมืองสงขลาสมาคมและองค์กรเครือข่าย

พัฒนาพื้นที่ภายในโรงสีแดง หับ โห้ หิ้น เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับคุณค่าและการอนุรักษ์

เมืองเก่าสงขลา ปัจจุบันเป็นแหลล่งเรียนรู้ เปิดเป็นพื้นที่นันทนาการ โรงละคร และแหล่ง

ท่องเที่ยวที่สำคัญในชุมชนเมืองสงขลา

วิดีโอเพิ่มเติม

๒๗

บ้านนครใน

บ้านเก่าหลังหนึ่งในย่านถนนวัฒนธรรมของจังหวัดสงขลาที่ถูกแปลงสภาพเป็น
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมถิ่น โดดเด่นด้วย “แจกัน โถไหกระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่ ที่มีลวดลาย
วิจิตรสวยงาม” ตกแต่งหน้าประตูทางเข้าทั้งสองฝั่ งถนนนครนอก ถนนนครใน รู้จักกันในชื่อ
“บ้านนครใน”

บ้านนครใน เป็นบ้านเก่าแก่อายุกว่า ๓๐๐ ปี บนถนนนครใน ถนนสายวัฒนธรรมประจำ
จังหวัดสงขลา เป็นอาคารชุด ๒ หลัง หลังที่ ๑ เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน และบ้านตึกสีขาวเป็น
แบบชิโนยูโรเปี้ ยน

บ้านนครใน ก่อตั้งโดยคุณกระจ่าง จารุพฤกษ์พันธ์ ที่ต้องการปลุกกระแสเมืองเก่าสงขลา
ให้กลับมามีชีวิตชีวา ภายในจัดแสดงของเก่าเก็บสะสมที่ทรงคุณค่า อาทิ เตียงโบราณแบบจีน ตู้
โบราณ โต๊ะและม้านั่งแบบจีน ถ้วยชามจีน เป็นต้น

ในบ้านมีมุมจัดแสดงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ ๙ และมีโถใบใหญ่ประดับอย่างสวยงาม

บ้านนครในจึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเที่ยวที่นี่ เนื่องจากเป็นบ้านที่รวมของ
สะสมที่มีคุณค่าและจัดตกแต่งอย่างสวยงาม

วิดีโอเพิ่มเติม

๒๘

กำแพงเมืองเก่าสงขลา

ที่มา : https://www.hatyaifocus.com/บทความ

กำแพงเมืองเก่า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า
อยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาวิเชียรคิรี(เถี้ยนเส้ง) ผู้สำเร็จราชการ
เมืองสงขลาในขณะนั้น ย้ายที่ตั้งเมืองสงขลาดังกล่าว จึงได้สร้างกำแพงเมืองสงขลาขึ้นตั้งแต่
พ.ศ. ๒๓๗๙ และก่อสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕

กำแพงเมืองสงขลาส่วนที่เหลืออยู่คือด้านทิศเหนือบริเวณถนนจะนะ และด้านทิศตะวันตก
บริเวณถนนนครนอก ด้านทิศเหนือที่เหลือมีลักษณะเป็นกำแพงที่ก่อด้วยหินสอปูน จากการขุด
ค้นทางโบราณคดีพบว่า กำแพงเมืองสงขลามีความสูงประมาณ ๕.๕ เมตร และหนาประมาณ
๔ เมตร กำแพงมีขอบด้านในและด้านนอก รวมทั้งมีเอ็นกำแพงเชื่อมระหว่างขอบกำแพงทั้ง
สอง ช่องว่างภายในกำแพงเมืองถมด้วยทราย ส่วนด้านบนของกำแพงประดับด้วยใบเสมาหรือ
ใบบังทรงสี่เหลี่ยม

กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานกำแพงเมืองสงขลา ในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ หน้า ๓๗๑๓ และประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
กำแพงเมืองสงขลาในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๓ ตอนที่ ๑๑๒ วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๑๙

๒๙

สตูเกียดฟั่ง สงขลา

ที่มา : https://www.wongnai.com/reviews/11c

ร้านเกียดฟั่ ง (โกยาว) ร้านอาหารในห้องแถวเก่าบนถนนนางงาม ย่านเมืองเก่า
สงขลา เริ่มขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ โดยเมนูเด็ดที่มาแล้วต้องลอง คือ “ข้าวสตูหมู”
ซึ่งถือเป็นเจ้าแรกต้นตำรับของเมืองสงขลา และไม่เหมือนใคร เพราะสูตรที่คิดค้นนั้น
มาจากความยากลำบากในการหาวัตถุดิบสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

สตูของจังหวัดสงขลา เป็นการถ่ายทอดวิธีการทำสตูฝรั่งจาก “โกลัก”
ซึ่งเคยเป็นกุ๊กอยู่บนเรือฝรั่งเป็นชาวจีนไหหลำที่เดินทางมาหากินในเมือง
สงขลาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ให้แก่ “โกยาว” เจ้าของร้านเกียดฟั่ ง
ซึ่งโกยาวได้นำมาดัดแปลงเป็นการทำสตู ๓ สัญชาติ คือ ในช่วงสงครามโลก
ครั้งที่ ๒ การหาวัตถุดิบบางอย่างนั้นค่อนบ้างยาก เช่น เนย นม โกยาว
เจ้าของร้าน เลยได้มีการปรับเปลี่ยนใช้น้ำกะทิแทนและได้มีการผสมผสาน
เครื่องเทศของมาเลเซียและใช้การปรุงรสแบบจีนทำให้เป็นเอกลักษณ์จนถึง
ทุกวันนี้ และที่สำคัญถูกปากคนในท้องถิ่นมานานหลายรุ่น

ข้าวสตู ได้ผ่านการเคี่ยวน้ำซุปมาระยะเวลานาน กว่าจะได้ความหอม
หวานของกระดูกและการปรุงรสที่กลมกล่อม มีการนำเนื้อหมู ทั้งหมูเนื้อแดง
และหมูกรอบ เนื้อไก่ เครื่องใน ทั้งตับ ไส้ เลือด มาใส่ในจาน

ข้าวสตูจะมีลักษณะเป็นน้ำกึ่งข้นกึ่งใส มีกลิ่นคล้าย ๆ พะโล้อ่อน ๆ
รสชาติออกเค็มนิดหน่อย โดยจะถูกเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และน้ำจิ้ม
สูตรเฉพาะทางร้าน ที่เป็นน้ำส้มใส มีความเปรี้ยวนำ หวานตามเล็กน้อย และ
มีความเผ็ดไม่มาก ช่วยชูรสของข้าวสตูให้อร่อยยิ่งขึ้น

๓๐

เต้าคั่ว

ที่มา : https://www.wongnai.com/food-tips/t

เต้าคั่ว = สลัดทะเลสาบ = รอเยาะ  เป็นสลัดเต้าหู้แข็งทอดแบบใต้
เต้าคั่ว มาจากคำว่า เต้าหู้ หรือเต้าหู้แข็งทอด เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวสงขลา
อาหารจานเดียวประเภทนี้ชาวสงขลาบ้างก็เรียกอีกอย่างว่าสลัดทะเลสาบ แต่มีต้นกำเนิด
มาจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์เรียกว่าโรจะก์ทางใต้ จ.ปัตตานีเรียก รอเยาะ

เต้าคั่ว มีส่วนผสมดังต่อไปนี้เต้าหู้ เส้นหมี่ กุ้งทอด
หูหมู เนื้อหมู เลือดหมู ผักบุ้ง ถั่วงอก แตงกวา และ
ไข่เป็ดยางมะตูม จัดวางในจานตามสัดส่วนเท่า ๆ
กัน ราดด้วยน้ำเชื่อมและพริกน้ำส้ม

เต้าคั่ว เป็นอาหารจานเดียวของปักษ์ใต้อีก
อย่างหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหารครบครันมี
รสชาติที่กลมกล่อมสามรสเปรี้ยวหวาน
เค็มนิดๆ

ชาวสงขลาเรียก เต้าคั่ว บ้างก็เรียก ท่าวขัว,
เถ้าขั้วตามสำเนียงที่ผิดเพี้ยนกันไปตาม
สำเนียงใต้แต่ละถิ่นหรือที่แปลกแตกต่างไป
เลยก็จะใช้ชื่อเรียกกันเฉพาะกลุ่มว่าสลัด
ทะเลสาบ นิยมรับประทานเป็นมื้อเช้าหรือมื้อ
สำหรับรองท้อง

๓๑

ขนมการอจี้

ที่มา : https://food.trueid.net/detail/4nmB

การอจี้ กะลอจี๊ หรือ กะลอจี๋ เป็นขนมที่ใช้ในพิธีไหว้ในเทศกาลต่างๆ ของชาว
จีนร่วมกับขนมเข่งและขนมเทียน กะลอจี๊ทำมาจากแป้งข้าวเหนียวกวนกับน้ำจน
ข้น เติมน้ำร้อน แล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นนำไปทอดน้ำมันน้อยให้เหลืองกรอบ เมื่อ
จะรับประทานจึงตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ คลุกด้วยงาและน้ำตาล จัดใส่กระทงกระดาษ
แป้งมัน ๆ เหนียวหนึบ ถั่วและงาคั่ว ลงตัวกับน้ำตาลทรายที่โรยมา ทำให้ได้รสชาติ
ที่หวาน หอม

บริเวณย่านเมืองเก่าสงขลา ถนนนางงาม ตรงข้ามศาลเจ้าพ่อหลักเมือง อำเภอ
เมือง จังหวัดสงขลา จะมีรถเข็นจอดอยู่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งเป็นร้านขายขนมการอจี้
สูตรโบราณร้านเก่าแก่ ที่สืบทอดการทำขนมการอจี้จากพ่อแม่เป็นรุ่นที่ ๒ ซึ่งเป็น
สูตรโบราณ จากชาวจีนโพ้นทะเลกว่า ๗๐ ปี

"ขนมการอจี้เป็นขนมโบราณของชาวจีน และได้รับสูตรการทำขนมจาก
คุณแม่ ทำให้ขนมการอจี้เป็นขนมที่มีความอร่อยแบบฉบับจีนแท้ เนื้อแป้งกรอบ
นอกนุ่มใน รับประทานพร้อมน้ำตาลและงา"

(ทิพวรรณ ดิลกเวช)

วิดีโอเพิ่มเติม

๓๒

ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อน

ที่มา : ttps://www.naewna.com/likesara/656579

ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อนเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดสงขลา มีส่วนประกอบสำคัญคือ
มะพร้าวอ่อน แป้งข้าวเหนียว น้ำตาลทราย เกลือ กะทิ

ขั้นตอนทำขนมบ้าบิ่นมีดังนี้ ผสมแป้ง เทแป้งข้าวเหนียว น้ำตาลทราย เกลือ และกะทิ
ลงในชามผสม แล้วคนผสมให้เข้ากัน ใส่มะพร้าวขูดลงไป นวดผสมให้เข้ากันและนำไปจี่โดย
ตั้งตั้งกระทะให้ร้อน ทาน้ำมันเล็กน้อยจากนั้นตักส่วนผสมลงกระทะ แล้วกดให้เป็นชิ้นแบน ๆ
แล้วพลิกกลับด้านขนมให้สุกและเหลืองทองเท่ากันทั้งสองด้าน พร้อมรับประทาน

ขนมบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อนสูตรโบราณของจังหวัดสงขลา เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
เนื่องจากทุกชิ้นมีความหนาแน่น อร่อย กลิ่นหอมจากมะพร้าวอ่อน รสชาติหวานตัดเค็มปลาย
ถ้าหากรับประทานขณะขนมบ้าบิ่นยังร้อน ๆ จะยิ่งเพิ่มความหอมจากกลิ่นมะพร้าวอ่อนและ
บริเวณขอบของขนมจะกรอบอร่อยยิ่งขึ้น

๓๓

ไอติมยิว จิ่น กั้ว หยวน

ร้านจิ่น กั้ว หยวน หรือที่คนในพื้นที่เรียกจนติดปากว่า "ไอศครีมยิว" เป็นร้านที่
เรียกตามชื่อของเจ้าของร้าน คือ นายยิว แซ่เอ่า ชาวจีนผู้เดินทางมาจากมณฑล
กวางตุ้ง ประเทศจีน ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๓๖ พร้อมภรรยา คือ นางโฮ่ยี่สุ่น แซ่โฮ่ ช่วงเริ่ม
แรกของการประกอบกิจการ นายยิวมีเพียงรถเข็นที่ขายไอศครีมบริเวณหน้าโรงเรียน
มหาวชิราวุธ เมื่อกิจการเติบโตจึงย้ายมายังร้านไอศครีม บนถนนนางงามดังปัจจุบัน

"เสน่ห์ของร้านไอศครีมยิวมาจากไอศครีมวนิลาสูตรของทาง
ร้าน และ "ไอศครีมไข่แข็ง" ซึ่งใช้ไข่แดงราดลงบนเนื้อไอศครีม
นอกจากนี้ เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของร้านไอศครีมยิว คือ ไข่แดงเมื่อ
โดนความเย็นบนเนื้อไอศครีมจะมีความมัน กลมกล่อม มากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันกิจการทางร้านตกทอดมาถึงรุ่นที่ ๒ ซึ่งทั้งสองเป็นลูกสาว
และลูกชาย ตามนามของร้าน "จิ่น กั้ว หยวน" แปลว่า "ที่นี่เป็นร้าน
ของลูกสาวและลูกชาย"

(สมบูรณ์ พงศ์พิสิธุสันต์)

วิดีโอเพิ่มเติม

๓๔

อ่านเสริม
เพิ่มความรู้

๓๕

การเขียนจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ

จดหมาย

จดหมาย เป็นเครื่องมือในการส่งสารชนิดหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายขึ้นอยู่กับ
วัตถุประสงค์ของผู้ส่งว่าต้องการแนะนำตน เล่าเรื่อง สอบถาม แสดงความคิดเห็น
หรือแสดงความรู้สึก ภาษาของจดหมายจะเป็นระดับใดขึ้นอยู่กับเนื้อหา
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งกับผู้รับและสถานภาพทางสังคม




จดหมายส่วนตัว

เป็นจดหมายทีใช้ติดต่อสื่อสารกันระหว่างญาติมิตร และผู้ที่เคยรู้จักกัน
เพื่อไต่ถามทุกข์สุข ส่งข่าวคราว หรือแจ้งความประสงค์บางประการ จดหมายส่วนตัว
เป็นจดหมายที่ไม่มีรูปแบบการเขียนตายตัวเหมือนจดหมายประเภทอื่น ๆ ข้อสำคัญ
อยู่ที่ว่า การเขียนจดหมายประเภทนี้ขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับบุคคลที่เรา
จะติดต่อสื่อสารด้วย คือ ถ้าเป็นบุคคลที่สนิทสนมคุ้นเคยก็อาจใช้ภาษาพูดได้ แต่ถ้า
หากเป็นผู้ที่ยังไม่สนิทสนมคุ้นเคย ก็ควรจะใช้ภาษา กึ่งแบบแผน หรือถ้าบุคคลที่เรา
เคารพนับถือ ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาที่สุภาพอ่อนน้อม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของ คนไทยมา
ดั้งเดิม

๓๖

องค์ประกอบและรูปแบบของจดหมาย

๑. ที่อยู่ของผู้เขียน อยู่ตรงมุมขวาของหน้ากระดาษ บอกบ้านเลขที่ ซอย ถนน
ตำบล จังหวัดและรหัสไปรษณีย์
๒. วันเดือนปี เขียนกึ่งกลางหน้ากระดาษ
๓. คำขึ้นต้น อยู่ด้านซ้ายห่างจากขอบกระดาษประมาณ ๑ นิ้ว และต้องเขียนให้
เหมาะแก่ฐานะและตำแหน่งหน้าที่
๔. เนื้อความ เริ่มเขียนโดยย่อหน้าเล็กน้อย และควรขึ้นย่อหน้าใหม่เมื่อขึ้น
เนื้อความใหม่ สำนวนภาษาที่ใช้ในการเขียน ต้องคำนึงถึงความสุภาพ เขียน
ถูกต้องเหมาะแก่ฐานะ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง
ถ้าต้องการอวยพรให้ญาติผู้ใหญ่ในตอนท้ายของจดหมายควรอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ส่วนการอวยพรให้เพื่อนจะอ้างถึงศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็ได้
๕. คำลงท้าย อยู่ตรงกับวัน เดือน ปีที่เขียน และต้องเขียนให้ถูกต้อง เหมาะแก่
ฐานะและบุคคล
ลายมือชื่อผู้เขียน เยื้องลงมาทางขวา ถ้าเขียนจดหมายถึงบุคคลที่ไม่คุ้นเคยควร
วงเล็บชื่อที่เขียนเป็นตัวบรรจง ถ้าเป็นจดหมายราชการต้องบอกยศตำแหน่งของ
ผู้ส่งด้วย
๗. การเขียนหน้าซองจดหมาย เป็นการเขียนชื่อและที่อยู่ของผู้รับจดหมาย
จะต้องเขียนให้ชัดเจน และปิดดวงตราไปรษณียากรตรงมุมซองด้านขวา และ
เขียนรหัสไปรษณียากรทุกครั้ง

๓๗

รูปแบบของจดหมายส่วนตัว

สถานที่เขียน

วัน เดือน ปี ที่เขียน

คำขึ้นต้น

..............................................เนื้อความจดหมาย.............................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................

คำลงท้าย
ชื่อผู้เขียน

ตัวอย่างการเขียนจดหมายส่วนตัว

๒๔๕ หมู่ ๖ ต.เขารูปช้าง
อ.เมือง จ.สงขลา
๙๐๐๐๐

๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕

อรปรียา เพื่อนรัก

จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่เราเขียนถึงเธอ สบายดีหรือเปล่า ได้เรียนที่
มหาวิทยาลัยหรือยัง มหาวิทยาลัยเรายังเรียนออนไลน์อยู่เลย คิดถึงตอนที่เธอ
สอนหนังสือให้เรานะ เราสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะมีเธอเป็นส่วนหนึ่งของ
ความสำเร็จนี้

ที่นี่มีเพื่อนคนหนึ่งเรียบร้อยและช่างพูดชอบชวนเราไปอ่านหนังสือที่ห้อง
สมุดเหมือนเธอเลย ทำให้เราคิดถึงเธอขึ้นมา ถ้ามหาวิทยาลัยปิดเทอม และ
สถานการณ์โควิดดีขึ้น เราจะกลับต่างจังหวัดไปหานะ

สุดท้ายนี้เราขอให้เธอมีความสุข คิดสิ่งใดก็ขอให้สมหวังนะ
รักและคิดถึง

อารียามีน สุภเพียร

จดหมายกิจธุระ ๓๘

จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายที่เขียนขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่องาน
หรือกิจธุระบางประการ เช่น จดหมายที่ส่งไปยังนิตยสารเพื่อขอความรู้จากผู้
เชี่ยวชาญ จดหมายลาป่วยถึงครูประจำชั้น จดหมายที่เขียนถึงบริษัทเพื่อสมัคร
งาน ระหว่างปิดภาคเรียน ผู้เขียนจดหมายประเภทนี้จะใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ
หรือภาษาที่เป็นทางการ ขึ้นอยู่กับจดหมายฉบับนั้นเขียนขึ้นเพื่อส่วนตัวหรือเขียน
ในนามขององค์กรหรือหน่วยงาน

องค์ประกอบจดหมายกิจธุระ

๑. หัวจดหมาย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ใช้ที่อยู่ของผู้เขียน แต่ถ้าเป็นหน่วยงาน

ก็จะเป็นชื่อหน่วยงานที่ออกจดหมาย พร้อมอยู่หน่วยงาน เหมือนจดหมาย

ธรรมดา
๒. ลำดับของจดหมาย เช่น ที่ ศธ ๕/๒๕ ศธ เป็นอักษรย่อหน่วยงาน คือ
กระทรวงศึกษาธิการ แต่ถ้าผู้เขียนจดหมายเป็นบุคลธรรมดา ก็ไม่ต้องมีในส่วน
นี้
๓. วัน เดือน ปี ที่ออกจดหมาย เหมือนจดหมายธรรมดา
๔. เรื่อง เป็นการระบุจุดประสงค์ของการเขียนจดหมาย เช่น ขอรายละเอียด
สอบถามวันเวลาการรับสมัคร ขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยเหลือ หรือขอเชิญ
เป็นวิทยากร ขอเชิญมาเป็นประธาน เป็นต้น
๕. คำขึ้นต้น โดยทัวไปใช้คำว่า “เรียน” ตามด้วย ชื่อ-นามสกุล พร้อม
ยศ-ตำแหน่ง ของผู้รับ หรือถ้าผู้รับเป็นผู้ที่มียศบรรดาศักดิ์สูง เช่น รัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี ก็ต้องใช้คำขึ้นต้นที่แตกต่างไปจากคำว่า “เรียน”
๖. สิ่งที่ส่งมาด้วยด้วย เป็นสิ่งที่แนบไปกับจดหมาย เช่น รายละเอียดโครงการ
เอกสารประกอบการประชุม หนังสือ (อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้) ซึ่งจะต้องระบุสิ่ง
ที่ส่งมาด้วยนี้ให้ชัดเจน
๗. เนื้อความจดหมาย มักมี ๒ ย่อหน้า หากเนื้อหาจดหมายมีความยาว อาจมี
๓ ย่อหน้าก็ได้ เป็นภาษาเขียน ภาษาราชการ เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่มีข้อคิด
เห็นเจือปน
๘. คำลงท้าย มักใช้ “ขอแสดงความนับถือ”
๙. ชื่อผู้เขียนจดหมาย ถ้าใช้ลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ต้องมีวงเล็บชื่อ-นามสกุล
ตัวบรรจงกำกับด้วย

รูปแบบของจดหมายกิจธุระ ๓๙

ตราครุฑ ชื่อหน่วยงาน
วัน เดือน ปี ที่เขียน
ที่

เรื่อง
เรียน
สิ่งที่ส่งมาด้วย

.........................................................................................เนื้อความจดหมาย..............................................................................…
..........................................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................

ขอแสดงความนับถือ
ลายมือชื่อ

๔๐

ที่ วก.๑๔๗/ ชมรมภาษาไทย
โรงเรียนเลิศวิชาการ
อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา ๙๐๐๐๐

๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เรื่องขอเชิญวิทยากร

เรียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุดา จิตจันตท์

สิ่งที่ส่งมาด้วย กำหนดการจัดงาน "วันภาษาไทย" ประจำปี ๒๕๖๕

เนื่องในโอกาส "วันภาษาไทยแห่งชาติ" วันที ๒๙ กรกฎาคม ของทุก ๆ ปี
ชมรมภาษาไทย โรงเรียนเลิศวิชาการ ได้จัดกิจกรรมการประกวดความสามารถ
ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้านการอ่านออกเสียงและการอ่านทำนอง
เสนาะ รายละเอียดดังกำหนดการที่แนบ ชมรมภาษาไทยได้พิจารณาว่าท่านเป็นผู้
เชี่ยวชาญด้านการอ่าน

จึงใคร่ขอเชิญท่านเป็นวิทยากรบรรยายและสาธิตเรื่องการอ่านออกเสียง
และทำนองเสนาะในวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐
น. ณ ห้องประชุมเลิศวิชาการ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้
ความเข้าใจก่อนการประกวด ในวันภาษาไทยแห่งชาติ

จึงเรียนมาเพื่อขอเชิญเป็นวิทยากรตามวันและเวลาดังกล่าว หวังเป็น
อย่างยิ่งว่าท่านจะกรุณาและขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

ขอแสดงความนับถือ

(นางสาวศิราวดี ดารากร)

ชมรมภาษาไทย โทร. ๐๘๔ - ๒๓๑๔๕-๘

หลักทั่วไปในการเขียนจดหมาย ๔๑

๑. เขียนด้วยข้อความชัดเจน เน้นความสุภาพ ถ้าผู้รับมีวัยวุฒิ คุณวุฒิมาก
ก็ต้องระมัดระวังในการเขียน การใช้ภาษาให้เหมาะสมมากตามไปด้วย เช่น
การเขียนถึงผู้อำนวยการโรงเรียน เขียนถึงพระภิกษุ ภาษาที่ใช้ย่อมต่างระดับ
กัน
๒. ในกรณีที่ไม่ใช้การพิมพ์จดหมาย ลายมือต้องเรียบร้อย อ่านง่าย เขียนด้วย
ตัวบรรจงได้ยิ่งเป็นสิ่งดี พยายามอย่าให้มีรอย ลบ ขูด ขีด ฆ่า
๓. เลือกใช้กระดาษที่สำหรับเขียนจดหมาย และซองจดหมายสีสุภาพ เหมาะ
สมกับระดับของบุคคล (ผู้รับ)
๔. ที่อยู่ของผู้เขียนทำให้ผู้รับทราบว่าผู้ใดเขียนจากที่ใด เพราะอยู่ข้างบนคือ
สถานที่เขียนจดหมาย ไม่ใช่
บ้านของผู้เขียนเสมอไป ผู้เขียนต้องระบุที่ที่เขียนจดหมายไว้ด้วย
๕. ใช้คําขึ้นต้น (คํานํา) คําสรรพนามแทนผู้เขียน รวมทั้งการผนึกดวงตรา
ไปรษณียากร ราคาเท่าไรนั้น
ควรปฏิบัติตามที่กรมไปรษณีย์โทรเลขแนะนํา (ปัจจุบัน ๒ บาท)
๖. การเขียนเนื้อเรื่อง จะเริ่มเห็นความแตกต่างกันบ้าง คือ

๖.๑ .จดหมายถึงเพื่อหรือญาติผู้ใหญ่ การเขียนมีลักษณะคล้ายเรียงความ
คือ มีการเกริ่นเรื่อง
มาก่อนเล็กน้อย แล้วจึงเขียนเล่าเรื่องไปตามลำดับ

๖.๒ ถ้าเป็นจดหมายถึงบุคคลอื่น เราก็เขียนตามเนื้อเรื่อที่ต้องการสื่อสาร
การใช้ถ้อยคำ
ภาษาอาจจะต้องระมัดระวังให้สุภาพเรียบร้อยกว่าจดหมายส่วนตัว
๗. ในกรณีที่มีการให้พร ควรอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มาให้พร
๘. คําลงท้าย ต้องให้เหมาะกาลเทศะและบุคคล
๙. การลงชื่อผู้เขียนโดยมารยาทควรเขียนให้อ่านออก เพราะผู้รับจะ
ไม่สบายใจ ว่าใครเป็นผู้เขียน

๔๒

มารยาทในการเขียนจดหมาย

๑. ใช้กระดาษสีขาว สีอ่อนหรือสีสุภาพเข้ากันกับซอง ไม่มีรอยยับหรือรอย
ฉีกขาดให้ได้มาตรฐาน ไม่ควนใช้กระดาษที่มีตราของทรางราชในการเขียนจดหมาย
ส่วนตัว

๒. ไม่ใช้ซองที่มีลวดลายหรือสีเข้มมาก
๓. เขียนด้วยหมึกสีดำ สีน้ำเงิน ไม่ควรใช้ดินสอหรือหมึกแดง หมึกสีฉูดฉาด
เพราะไม่สุภาพ ต้องเขียนตัวอักษรหรือตัวเลขให้ชัดเจน ไม่ขูด ลบ ขีด ฆ่า หรือเขียน
ทับลงไป
๔. เมื่อได้รับจดหมายหรือไปรษณียภัณฑ์แล้ว ต้องรีบตอบให้เร็วที่สุด
๕. ผนึกดวงตราไปรษณียกรให้ถูกต้องตามอัตราที่การสื่อสารกำหนดไว้
๖. ไม่ใช้ภาษาพูดในการเขียน
๗. ควรเขียนคำนำหน้าชื่อผู้รับบนจ่าหน้าซองให้ถูกต้องตามความนิยมและ
ความเหมาะสม เช่น คุณ นายแพทย์ อาจารย์ หรือยศทางทหาร
๘. ไม่ควรใช้ซองที่ประทับตราเมล์อากาศส่งทางไปรษณีย์ธรรมดา
๙. ไม่ควรเขียนจดหมายถึงผู้อื่น ในทำนองกล่าวหาว่าร้าย โดยไม่ลงชื่อผู้เขียน
(บัตรสนเท่ห์)
๑๐. ถ้าต้องการเขียนข้อความเพิ่มเติม หลังจากจบจดหมายแล้ว ต้องเขียนคำว่า
ป.ล. (ปัจฉิมลิขิต)
๑๑. เรียงลำดับเนื้อหาสาระให้เหมาะสม ไม่กำกวม ถ้าเป็นจดหมายส่วนตัว ควรมี
ถ้อยคำที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดี เช่น การถามทุกข์สุข
๑๒. ใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาและตามความนิยม คำนึงถึงความสุภาพ
ถูกกาลเทศะ รวมทั้งใช้คำนำ สรรพนาม และคำลงท้าย ให้เหมาะสมกับฐานะ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้รับ

การใช้คำขึ้นต้น ๔๓
สรรพนาม คำลงท้าย

ผู้รับ คำขึ้นต้น สรรพนามผู้เขียน สรรพนามผู้รับ คำลงท้าย

คุณพ่อ กราบเท้า..ที่ ลูก,หนู,ผม,กระผม,ดิ คุณพ่อ คุณแม่ ด้วยความเคารพ
คุณแม่ เคารพอย่างสูง ฉันมหรือชื่อเล่น อย่างสูง

ญาติผู้ใหญ่ กราบเท้า...ที่ หลาน,ผม , กระผม, คุณปู่ คุณย่า ด้วยความเคารพ
เคารพอย่างสูง ดิฉัน, หนู, หรือชื่อ คุณตา คุณยาย อย่างสูง
กราบเรียน...ที่ เล่น คุณลุง คุณป้า
เคารพอย่างสูง คุณนน้า คุณอา

พี่ หรือเพื่อน เรียนคุณพี่ที่ น้อง, ผม, คุณพี่,คุณ ด้วยความเคารพ
ที่อาวุโสกว่า เคารพ ดิฉัน,หนู,หรือชื่อเล่น ด้วยความเคารพ
กราบพี่ที่เคารพ
รัก

น้องหรือ น้องรัก... ฉัน พี่ เธอ,คุณ,น้อง ด้วยความรัก
เพื่อน คุณ...ที่รัก ด้วยความรักยิ่ง
ที่รัก (ชื่อเล่น) รักและคิดถึง

บุคคลทั่วไป เรียนคุณ...ที่ ผม, ดิฉัน คุณ,ท่าน ขอแสดงความ
นับถือ นับถือ

อาจารย์ เรียนอาจารย์ที่ อาจารย์ ผม ดิฉัน ด้วยความเคารพ
เคารพ ท่าน อย่างสูง

พระภิกษุ นมัสการ ผม,กระผม,ดิฉัน ท่าน, พระ ขอนมัสการมา
คุณท่าน , ด้วยความเคารพ
ใต้เท้า,พระคุณเจ้า
อย่างสูง


Click to View FlipBook Version